แบดมินตนั
คำนำ รำยงำนเล่มนเ้ี ป็นส่วนหน่งึ ของรำยวชิ ำกำรสืบค้นขอ้ มูลทำง อนิ เตอร์เนต็ กลุ่มสำระกำรเรยี นร้เู ทคโนโลยสี ำรสนเทศชนั้ มธั ยมศกึ ษำปที ่ี 6 เปน็ เนือ้ เกย่ี วกับทำงวชิ ำกำรในเรอื่ งกีฬำ แบดมินตนั รำยงำนเล่มนเี้ น้นกำรสร้ำงควำมรเู้ กีย่ วกบั ดอกไม้ รำยงำนเลม่ นจ้ี ดั ทำเพ่อื ใหส้ อดคล้องกับหลกั สตู รกำรสอน ภำยในโรงเรียนตำมควำมเหมำะสม หวังว่ำรำยงำนเล่มนจี้ ะเป็นประโยชนต์ อ่ กำรหำควำมรู้ ไดอย่ำงมีประสิทธิภำพเป็นไปตำมหลักกำรและจุดมุ่งหมำย ขอขอบคณุ เว็บไซตท์ ี่ให้ขอ้ มลู ในกำรทำรำยงำนเลม่ นใ้ี ห้ สำเรจ็ ลุลว่ งดว้ ยดีไว้ ณ โอกำสน้ี
บทนำ
ประวตั ิของแบดมนิ ตนั ประวัตแิ บดมินตันในประเทศไทย กำรเล่นแบดมนิ ตันไดเ้ ข้ำมำส่ปู ระเทศไทยในรำวปี พ.ศ. 2456 โดยเริม่ เล่นกฬี ำแบดมนิ ตนั แบบมี ตำขำ่ ย โดย พระยำนพิ ทั ยกุลพงษ์ ได้สรำ้ งสนำมขน้ึ ทบ่ี ้ำน ซง่ึ ตัง้ อยู่ริม คลองสมเด็จเจ้ำพระยำธนบรุ ี แลว้ นยิ มเล่นกนั อย่ำงแพร่หลำย ออกไป สว่ นมำกเล่นกนั ตำมบำ้ นผู้ดีมตี ระกลู วงั เจ้ำนำย และ ในรำชสำนกั กำรเลน่ แบดมินตันคร้ังน้นั นยิ มเลน่ ข้ำงละ 3 คน ต่อมำประมำณปี พ.ศ. 2462 สโมสรกลำโหมไดเ้ ป็นผู้จัด แข่งขันแบดมินตันทั่วไปข้นึ เป็นคร้ังแรก โดยจัดกำรแข่งขัน 3 ประเภทได้แก่ ประเภทเด่ียว ประเภทคู่ และประเภทสำมคน ปรำกฏวำ่ ทีมแบดมินตนั บำงขวำงนนทบุรี (โรงเรยี นรำช วิทยำลยั บำงขวำงนนทบุรี) ชนะเลิศทุกประเภท นอกจำกน้ี มี นักกีฬำแบดมินตนั ฝีมือดเี ดินทำงไปแขง่ ขนั ยงั ประเทศ ใกลเ้ คยี งอยบู่ อ่ ยๆ
ในปี พ.ศ. 2494 พระยำจนิ ดำรกั ษ์ไดก้ อ่ ตัง้ สมำคม ชื่อว่ำ \"สมาคมแบดมินตนั แห่งประเทศไทย\" เม่อื แรกต้ังมีอยู่ 7 สโมสร คอื สโมสรสมำนมิตร สโมสร บำงกอก สโมสรนวิ บอย สโมสรยูนิตี้ สโมสร ส.ธรรม ภกั ดี สโมสรสิงห์อุดม และสโมสรศริ บิ ำเพญ็ บญุ ซงึ่ ใน ปจั จบุ นั นีเ้ หลือเป็นสโมสรสมำชิกของสมำคมอย่เู พยี ง 2 สโมสร คือ สโมสรนวิ บอย และสโมสรยูนติ เี้ ทำ่ นั้น และในปเี ดยี วกัน สมำคมแบดมนิ ตนั แห่งประเทศไทยก็ ไดส้ มคั รเข้ำเป็นสมำชิกของสหพนั ธ์แบดมนิ ตนั นำนำชำติด้วย สมำคมแบดมินตนั แหง่ ประเทศไทยมี นกั กฬี ำแบดมนิ ตนั ที่มีฝีมือดอี ยู่มำก ซ่งึ ได้สร้ำงชอื่ เสียง ให้กับประเทศไทยจำกกำรลงแข่งขนั ใน รำยกำรต่ำง ๆ ของโลกเป็นอย่ำงมำก ทงั้ โธมัสคพั อเู บอร์คพั และกำร แขง่ ขันออลอิงแลนด์ โดยวงกำรแบดมินตนั ของไทยยก ยอ่ ง นำยประวตั ิ ปัตตพงศ์ (หลวงธรรมนูญวุฒิกร) เป็น บดิ ำแหง่ วงกำรแบดมินตันของประเทศไทย
กติกา 1. สนามและอปุ กรณส์ นาม 1.1 สนำมจะเปน็ รูปสี่เหล่ียมผืนผำ้ ประกอบดว้ ยเสน้ กว้ำงขนำด 40 มลิ ลิเมตร ตำม ภำพผัง ก. 1.2 เส้นทกุ เส้นต้องเด่นชดั และควรทำด้วยสขี ำวหรือสีเหลอื ง 1.3 เส้นทุกเส้นเป็นส่วนประกอบของพื้นที่ซึ่งกำหนดไว้ 1.4 เสำตำขำ่ ยจะตอ้ งสงู 1.55 เมตรจำกพื้นสนำม และตั้งตรงเมื่อขงึ ตำขำ่ ยใหต้ งึ ตำมทไ่ี ด้กำหนดไวใ้ นกตกิ ำ ข้อ 1.10 โดยทจี่ ะตอ้ งไม่มีสว่ นหนึง่ สว่ นใดของเสำยนื่ เขำ้ มำในสนำม (เฉพำะรำยกำรที่รับรองโดย IBF จะต้องใช้ระเบยี บน้ี จนกระทัง่ 1 สงิ หำคม พ.ศ. 2547 ทกุ รำยกำรท่แี ข่งขนั จะตอ้ งยดึ ตำมระเบียบน้ี) 1.5 เสำตำข่ำยจะต้องต้ังอยบู่ นเส้นเขตข้ำงของประเภทคู่ ตำมทไ่ี ด้แสดงไว้ในภำพ ผัง ก. โดยไมต่ อ้ งคำนึงวำ่ จะเป็นประเภทเดีย่ วหรือเล่นคู่ 1.6 ตำขำ่ ยจะตอ้ งถักดว้ ยเสน้ ดำ้ ยสีเข้ม และมขี นำดตำกว้ำงไม่น้อยกว่ำ 15 มิลลิเมตร และไมเ่ กนิ 20 มิลลิเมตร 1.7 ตำขำ่ ยต้องมคี วำมกว้ำง 760 มลิ ลเิ มตร และควำมยำวอย่ำงนอ้ ย 6.1 เมตร 1.8 ขอบบนของตำข่ำยต้องมแี ถบผ้ำสีขำวพับสอง ขนำดกว้ำง 75 มลิ ลิเมตร ทบั บนเชือกหรือลวดที่รอ้ ยตลอดแถบผำ้ ขำว 1.9 เชอื กหรอื ลวดต้องมีขนำดพอท่ีจะขึงใหต้ งึ เต็มทก่ี บั หวั เสำ 1.10 สุดขอบบนตำข่ำยต้องสงู จำกพื้นท่ีตรงก่งึ กลำงสนำม 1.524 เมตร และ 1.55 เมตร เหนอื เสน้ เขตขำ้ งของประเภทคู่ 1.11 ต้องไมม่ ีช่องวำ่ งระหว่ำงสุดปลำยตำขำ่ ยกับเสำ ถำ้ จำเปน็ ตอ้ งผูกรอ้ ยปลำย ตำขำ่ ยท้งั หมดกบั เสำ
2. ลกู ขนไก่ 2.1 ลูกขนไก่อำจทำจำกวัสดุธรรมชำติ หรอื วสั ดุสงั เครำะห์ ไม่ว่ำลูกน้นั จะทำจำก วสั ดุชนิดใดกต็ ำม ลักษณะวิถวี ่งิ ทั่วไป จะตอ้ งเหมือนกับลกู ซึ่งทำจำกขนธรรมชำติ ฐำนเป็นหวั ไม้ก๊อก หมุ้ ด้วยหนัง บำง 2.2 ลกู ขนไกต่ อ้ งมขี น 16 อนั ปักอยู่บนฐำน 2.3 วดั จำกปลำยขนถงึ ปลำยสุดของฐำน โดยควำมยำวของขนในแต่ละลกู จะ เท่ำกันหมด ระหวำ่ ง 62 มิลลเิ มตร ถึง 70 มิลลิเมตร 2.4 ปลำยขนแผ่เป็นรปู วงกลม มีเสน้ ผำ่ ศูนยก์ ลำงระหวำ่ ง 58 มลิ ลเิ มตร ถงึ 68 มลิ ลิเมตร 2.5 ขนต้องมดั ให้แนน่ ด้วยเสน้ ด้ำย หรอื วัสดอุ ื่นทเ่ี หมำะสม 2.6 ฐำนของลกู ตอ้ งมีเส้นผ่ำศูนยก์ ลำง 25 มิลลิเมตร ถงึ 28 มลิ ลเิ มตร และ ส่วนลำ่ งมนกลม 2.7 ลูกขนไกจ่ ะมนี ้ำหนกั ตัง้ แต่ 4.74 ถึง 5.50 กรมั 2.8 ลกู ขนไกท่ ไ่ี มใ่ ช้ขนธรรมชำติ 2.8.1 ใชว้ ัสดุสงั เครำะห์แทนขนธรรมชำติ 2.8.2 ฐำนลกู ดังท่ไี ด้กำหนดไว้ในกติกำขอ้ 2.6 2.8.3 ขนำดและนำ้ หนกั ของลกู ตอ้ งเป็นไปตำมท่ไี ดก้ ำหนดไว้ในกตกิ ำข้อ 2.3, 2.4 และ 2.7 อย่ำงไรก็ตำม ควำมแตกตำ่ งของควำมถว่ งจำเพำะ และคณุ สมบัติของ วสั ดสุ งั เครำะหโ์ ดยกำรเปรียบเทียบกับขนธรรมชำติ ยอมให้มคี วำมแตกตำ่ งไดถ้ ึง 10% 2.9 เนอ่ื งจำกมไิ ด้กำหนดควำมแตกตำ่ งในเรือ่ งลักษณะท่วั ไป ควำมเรว็ และวถิ วี ิ่ง ของลูกอำจมกี ำรเปลย่ี นแปลงคณุ ลกั ษณะดงั กลำ่ วขำ้ งตน้ ได้โดยกำรอนมุ ัตจิ ำก องคก์ รแห่งชำติทเี่ กีย่ วขอ้ งในท่ซี ึ่งสภำพควำมกดอำกำศสูงหรอื สภำพดินฟ้ำอำกำศ เป็นเหตใุ หล้ ูกขนไก่ตำมมำตรฐำนที่กำหนดไว้ไม่เหมำะสม
3. การทดสอบความเร็วของลูก 3.1 การทดสอบ ให้ยืนหลงั เสน้ เขตหลังแลว้ ตลี กู ใตม้ อื อย่าง สุดแรง โดยจดุ สัมผัสลูกอย่เู หนือเส้นเขตหลงั ลกู จะพุ่งเปน็ มมุ สูง และอยใู่ นแนวขนานกับเส้นเขตขา้ ง 3.2 ลูกท่มี ีความเร็วถกู ตอ้ ง จะตกหา่ งจากเสน้ เขตหลงั ของอกี ดา้ นหนง่ึ ไมน่ อ้ ยกวา่ 530 มลิ ลิเมตร และไมม่ ากกว่า 990 มิลลิเมตร (ภาพผัง ข.)
4. แรก็ เกต 4.1 เฟรมของแรก็ เกตยาวท้งั หมดไมเ่ กนิ 680 มลิ ลิเมตร และกว้างท้ังหมดไม่เกนิ 230 มิลลเิ มตร สว่ นตา่ ง ๆ ที่สาคญั ไดอ้ ธบิ ายไว้ในกติกาข้อ 4.1.1 ถงึ 4.1.5 และได้แสดงไวใ้ นภาพผงั ค. ภาพผัง ค. 4.1.1 ดา้ นจับ เปน็ สว่ นของแรก็ เกตทีผ่ ูเ้ ลน่ ใช้จับ 4.1.2 พน้ื ที่ขงึ เอน็ เปน็ ส่วนของแร็กเกตทผ่ี เู้ ลน่ ใช้ตลี ูก 4.1.3 หวั บริเวณทใ่ี ชข้ งึ เอ็น 4.1.4 กา้ น ตอ่ จากด้ามจับถึงหัว (ข้นึ อยู่กับกตกิ าข้อ 4.1.5) 4.1.5 คอ (ถา้ มี) ตอ่ กา้ นกบั ขอบหวั ตอนล่าง 4.2 พืน้ ที่ขึงเอ็น 4.2.1 พนื้ ทข่ี งึ เอน็ ต้องแบนราบ ดว้ ยการร้อยเอน็ เส้นขวางขดั กบั เสน้ ยนื แบบการขงึ เอ็นทั่วไป โดยพน้ื ท่ี ตอนกลาง ไมค่ วรทบึ น้อยกวา่ ตอนอ่ืน ๆ 4.2.2 พนื้ ท่ขี งึ เอน็ ตอ้ งยาวทงั้ หมดไม่เกิน 280 มลิ ลิเมตร และกว้างทัง้ หมดไมเ่ กิน 220 มิลลเิ มตร อย่างไร กต็ ามอาจขงึ ไปถงึ คอเฟรม หากความกว้างทีเ่ พม่ิ ของพน้ื ทีข่ งึ เอน็ นน้ั ไม่เกิน 35 มลิ ลเิ มตรและความยาวทง้ั หมด ของพื้นท่ขี ึงเอน็ ต้องไม่เกนิ 330 มลิ ลเิ มตร 4.3 แรก็ เกต 4.3.1 ต้องปราศจากวัตถุอ่นื ติดอยู่ หรือยน่ื ออกมา ยกเวน้ จากสว่ นทีท่ าเพื่อจากัดและป้องกันการสึกหรอ ชารดุ เสียหาย การสั่นสะเทือน การกระจายน้าหนกั หรอื การพนั ด้ามจับใหก้ ระชับมอื ผเู้ ลน่ และมีความเหมาะสม ท้ังขนาดและการตดิ ตง้ั สาหรับวตั ถุประสงค์ดงั กลา่ ว 4.3.2 ตอ้ งปราศจากส่งิ ประดิษฐ์อืน่ ๆ ที่ช่วยให้ผเู้ ลน่ เปลยี่ นรปู ทรงของแรก็ เกต
5. การยอมรบั อุปกรณ์ สหพนั ธแ์ บดมนิ ตนั นำนำชำติ จะกำหนดกฎเกณฑ์เกยี่ วกับ ปัญหำของแรก็ เกต ลกู ขนไก่ หรืออปุ กรณต์ น้ แบบ ซง่ึ ใช้ในกำรเล่น แบดมินตนั ใหเ้ ป็นไปตำมข้อกำหนดตำ่ ง ๆ กฏเกณฑด์ ังกล่ำวอำจเปน็ กำรรเิ ริ่มของสหพนั ธ์เองหรือจำกกำรย่นื ควำมจำนงของคณะบุคคล ที่ มผี ลประโยชน์เก่ยี วขอ้ งอย่ำงแท้จริงกบั ผู้เล่น ผผู้ ลิต หรอื องค์กร แหง่ ชำติหรอื สมำชิกขององคก์ รน้ัน ๆ 6. การเส่ียง 6.1 ก่อนเร่ิมเลน่ จะตอ้ งทำกำรเสียง ฝำ่ ยทีช่ นะกำรเสียง มีสทิ ธ์เิ ลือก ตำมกตกิ ำขอ้ 6.1.1 หรือ 6.1.2 6.1.1 สง่ ลกู หรือรับลูกกอ่ น 6.1.2 เร่มิ เลน่ จำกสนำมขำ้ งใดข้ำงหนงึ่ 6.2 ฝ่ำยทีแ่ พก้ ำรเสี่ยง มสี ทิ ธิ์ท่เี หลือจำกกำรเลือก
7. ระบบการนับคะแนน 7.1 แมทช์หนง่ึ ตอ้ งชนะใหไ้ ด้มำกที่สุดใน 3 เกม เวน้ แต่จะได้กำหนด เปน็ อย่ำงอืน่ 7.2 ในประเภทชำยคู่และประเภทชำยเดี่ยว ฝำ่ ยท่ไี ด้ 15 คะแนนกอ่ น เปน็ ฝำ่ ยชนะในเกมนน้ั ยกเวน้ ตำมทไ่ี ดก้ ำหนดไวใ้ นกติกำข้อ 7.5 7.3 ในประเภทหญงิ เดย่ี ว หญงิ คู่ คผู่ สม ฝ่ำยทไ่ี ด้ 11 คะแนนก่อนเปน็ ฝ่ำยชนะในเกมนนั้ ยกเวน้ ตำมท่ไี ดก้ ำหนดไวใ้ นกติกำขอ้ 7.5 7.4 ฝ่ำยสง่ ลกู เท่ำนนั้ เป็นฝ่ำยได้คะแนน (ดูกตกิ ำข้อ 10.3 หรือ 11.5) 7.5 ถ้ำได้ 14 คะแนนเทำ่ กัน (10 คะแนนเทำ่ กันในประเภทหญิงเด่ยี ว หญงิ คู่ คผู่ สม) ฝ่ำยที่ได้ 14 (10) คะแนนกอ่ น มีสทิ ธเิ์ ลอื กในกติกำขอ้ 7.5.1 หรือ 7.5.2:- 7.5.1 ตอ่ เกมนน้ั ถึง 15 (11) คะแนน กล่ำวคือ ไม่เลน่ ต่อ ในเกมนัน้ หรอื 7.5.2 เลน่ ต่อ เกมน้ันถึง 17 (13) คะแนน 7.6 ฝ่ำยชนะ เปน็ ฝ่ำยสง่ ลูกกอ่ นในเกมต่อไป
8. การเปล่ียนข้าง 8.1 ผู้เลน่ จะเปล่ยี นขำ้ ง :- 8.1.1 หลงั จำกจบเกมที่ 1 8.1.2 กอ่ นเริม่ เล่นเกมที่ 3 (ถ้ำม)ี และ 8.1.3 ในเกมท่ี 3 หรอื ในกำรแขง่ ขันเกมเดยี ว เมอื่ คะแนนนำถึง 6 คะแนน สำหรับเกม 11 คะแนน / 8 คะแนน สำหรับเกม 15 คะแนน 8.2 ถำ้ ผเู้ ล่นลมื เปลี่ยนข้ำงตำมทีไ่ ดร้ ะบุไวใ้ นกติกำข้อ 8.1 ผู้เลน่ ตอ้ งเปล่ยี นข้ำงทนั ทที ี่รตู้ วั และลูกไมอ่ ยู่ในกำร เล่น และให้นบั นับคะแนนต่อจำกคะแนนทไี่ ดใ้ น ขณะนั้น
9. การส่งลกู 9.1 ในกำรสง่ ลูกทถ่ี กู ต้อง 9.1.1 ท้ังสองฝำ่ ยตอ้ งไม่ประวิงเวลำให้เกดิ ควำมล่ำชำ้ ในกำรส่งลูก ทนั ทีทผ่ี สู้ ่งลูก และผ้รู ับลูกอยใู่ นท่ำพร้อมแลว้ 9.1.2 ผสู้ ง่ ลกู และผรู้ บั ลกู ตอ้ งยนื ในสนำมส่งลกู ทะแยงมมุ ตรงขำ้ ม โดยเทำ้ ไมเ่ หยยี บเส้นเขตของสนำมส่งลกู 9.1.3 บำงสว่ นของเทำ้ ทง้ั สองของผู้ส่งลกู และผู้รบั ลูก ตอ้ งแตะพ้นื สนำมในท่ำนงิ่ ตง้ั แตเ่ รม่ิ สง่ ลูก (กตกิ ำข้อ 9.4) จนกระทง่ั สง่ ลกู แล้ว (กตกิ ำขอ้ 9.5) 9.1.4 จดุ สัมผสั แรกของแรก็ เกตผู้ส่งตอ้ งตที ฐี่ ำนของลกู 9.1.5 ทุกสว่ นของลกู จะตอ้ งอยตู่ ่ำกว่ำเอวของผ้สู ง่ ขณะทีแ่ ร็กเกต สัมผัสลกู 9.1.6 กำ้ นแรก็ เกตของผูส้ ่งลูกในขณะตลี กู ต้องช้ลี งต่ำจนเหน็ ได้ชดั วำ่ ส่วนหัวทง้ั หมดของแร็กเกตอยตู่ ่ำกว่ำทุกสว่ นของมือทจี่ บั แรก็ เกต ของผู้สง่ ลูก ตำมภำพผัง ง.
9.1.7 กำรเคล่อื นแรก็ เกตของผ้สู ่งลกู ไปขำ้ งหนำ้ ตอ้ งต่อเนือ่ งจำกกำร เร่ิมส่งลูก (กติกำขอ้ 9.4) จนกระท่งั ไดส้ ง่ ลูกแล้ว และ 9.1.8 วิถีลกู จะพุง่ ข้นึ จำกแร็กเกตของผู้ส่งลกู ข้ำมตำข่ำย และถำ้ ปรำศจำกกำรสะกัดก้นั ลูกจะตกลงบนพื้นสนำมส่งลูกของผู้รบั ลูก (กล่ำวคือ บนหรอื ภำยในเส้นเขต) 9.2 ถำ้ กำรสง่ ลูกไม่ถูกตอ้ ง ตำมกตกิ ำของขอ้ 9.1.1 ถึง 9.1.8 ถือว่ำ ฝำ่ ยทำผดิ เสีย (กตกิ ำขอ้ 13) 9.3 ถือว่ำ เสยี ถ้ำผ้สู ่งลูกพยำยำมจะสง่ ลกู โดยตีไม่ถกู ลกู 9.4 เมือ่ ผ้เู ลน่ อยู่ในทำ่ พรอ้ มแล้ว กำรเคลื่อนแรก็ เกตไปข้ำงหน้ำของผู้ ส่งลกู ถือวำ่ เร่มิ สง่ ลูก 9.5 ถือว่ำไดส้ ง่ ลูกแล้ว (กติกำขอ้ 9.4) ถำ้ แร็กเกตของผสู้ ง่ สัมผสั ลกู หรอื พยำยำมจะสง่ ลูกแต่ตีไมถ่ ูกลกู 9.6 ผูส้ ง่ ลูกจะสง่ ลกู ไมไ่ ด้ถำ้ ผู้รบั ลูกยงั ไม่พร้อม แต่ถอื ว่ำผูร้ บั ลกู พร้อม แลว้ ถ้ำพยำยำมตลี กู ทส่ี ง่ มำกลบั ไป 9.7 ในประเภทคู่ คู่ขำจะยืน ณ ทใี่ ดกไ็ ด้ โดยไม่บังผสู้ ่งลกู และผรู้ ับลูก
เอกสำรอ้ำงองิ https://hilight.kapoo k.com/view/71895
จัดทำโดย ด.ญ.จริ ำยณุ ัฐ จอมวัน 3/6 เลขที่3 ด.ญ. สุพรรษำ ขนุ เทย่ี งธรรม 3/6 เลขท3ี่ 4 ด.ญ. สพุ รรษำ สเี หลก็ เพช็ ร์ 3/6 เลขที่35
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: