Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงงานทดลองเครื่องสำอาง ม.ปลาย 264

โครงงานทดลองเครื่องสำอาง ม.ปลาย 264

Published by kanyarats6, 2022-05-08 22:04:27

Description: โครงงานทดลองเครื่องสำอาง ม.ปลาย 264

Search

Read the Text Version

โครงงานวิทยาศาสตร์ เร่อื ง การเลือกใชเ้ ครอื่ งสำอางใหป้ ลอดภยั จากสารสเตียรอยด์ จดั ทำโดย 1. นางนติ ย์ วงคต์ ะวนั ระดับ ม.ปลาย 2. นางสาวยุพารตั น์ วงศต์ ะวนั ระดบั ม.ปลาย 3. นางสาวจริ ัตตกิ าล แสนสี ระดบั ม.ปลาย กศน.ตำบลสบสาย ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยอำเภอสงู เมน่ อาจารย์ทปี่ รกึ ษา นางสาวกญั ญารตั น์ สายแสง ครู กศน.ตำบลสบสาย ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อำเภอสงู เมน่ สำนกั งานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยจงั หวดั แพร่

ชอื่ โครงงาน การเลือกใช้เคร่ืองสำอางให้ปลอดภยั จากสารสเตยี รอยด์ ชอ่ื นกั ศกึ ษา 1. นางนติ ย์ วงค์ตะวัน 2. นางสาวยุพารัตน์ วงศ์ตะวนั 3. นางสาวจิรัตติกาล แสนสี ชอื่ ครทู ปี่ รกึ ษา อาจารย์ กญั ญารัตน์ สายแสง สถานศกึ ษา กศน.ตำบลสบสาย ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสูงเมน่ บทคดั ยอ่ โครงงานทดลองเรื่องการเลือกใช้เครื่องสำอางให้ปลอดภัยจากสารสเตียรอยด์ เป็นการ ทดลองทนี่ ำเอาเครื่องสำอาง (ครมี บำรุงผวิ หน้า) มาทำการทดสอบว่ามีสารสเตียรอย์เป็นส่วนผสมอยู่ ด้วยหรือไม่ โดยใช้ผงซักฟอกที่มีอยู่ในบ้านมาทำการทดสอบในเบื้องต้น ซึ่งจะทำให้เราทราบว่า เครื่องสำอาง (ครีมบำรุงผิวหน้า) ที่เราใช้อยู่ หรือที่กำลังจะใช้ปลอดภัยจากสารสเตียรอยด์ที่เป็น อนั ตรายตอ่ รา่ งกาย เป็นการปอ้ งกันการรับเอาสารเคมเี ขา้ ส่รู ่างกายไดด้ ว้ ยตนเอง ด้วยวธิ กี ารง่ายๆ

สารบญั หนา้ บทที่ 1 บทนำ………………………………………………………………………….…..………………… 1 - ท่ีมาและความสำคัญของปัญหา……………………..………………………………….. 1 - วตั ถปุ ระสงค์…………………………………………………….……………………………... 1 - ปญั หา……………………………………………………………….……………………………. 1 - สมมตุ ฐิ าน……………………………………………………………………………………….. 1 - ตวั แปรท่ใี ชใ้ นการทดลอง………………………………………………………………….. 1 - ขอบเขตของโครงงาน……………………………………………..…………………………. 1 บทท่ี 2 เอกสารทเ่ี กย่ี วขอ้ ง……………………………………………………………………………..... 2 - เคร่อื งสำอาง....………………………………………………………………………………….. 2 - ครมี บำรงุ ..…………………………………………………………………….………………….. 6 - สเตยี รอยด์……………………………………………………………………………………….. 7 - ผงซักฟอก……………………………………………………………….……………………….. 9 - ทิชชู.......………………………………………………………………….……………………….. 9 บทท่ี 3 อปุ กรณ์ และวิธกี ารดำเนนิ การศึกษา………………………...…………………………. 10 - อปุ กรณ์ และวธิ ีการดำเนินการ …………………………………….……………………… 10 บทที่ 4 ผลการศกึ ษาและอภปิ ราย…………………………………….…………………………….... 11 บทที่ 5 สรปุ ผล ประโยชน์ ขอ้ เสนอแนะ………………………………………………………… 13 - สรปุ ผล……………………………………………………………………………..………………. 12 - ประโยชน์ทไี่ ดร้ ับจากโครงงาน...………………………………..…………………………. 12 - การแก้ไขปญั หา...........................…………………………………………………………. 12 - ขอ้ เสนอแนะ……………………………………………………………………...……………… 12

1 บทที่ 1 บทนำ ทีม่ าและความสำคัญของโครงงาน ในปัจจุบนั ความนิยมในการใช้เคร่ืองสำอางมมี ากขึน้ และเคร่ืองสำอางเขา้ มามีบทบาทกบั คน ทุกเพศ ทุกวัย เครื่องสำอางที่ผลิตขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในยุคปัจจุบันนั้น มี หลากหลายรูปแบบ สามารถใช้ได้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ดังนั้นเราจึงต้องรู้จักเลือกใช้ เครื่องสำอางที่ปลอดภัยกับร่างกายเรามากที่สุด เพราะในปัจจุบันการตลาดมีการแข่งขันทางการค้า สูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการบางราย ที่ขาดคุณธรรม จริยธรรม และนำสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อ ร่างกาย มาเป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางที่เราใช้ และทำการผลิตโดยไม่ผ่าน อย. ทำให้ ผบู้ ริโภคได้รบั ผลกระทบตอ่ รา่ งกาย ในเมื่อเราหลีกเลี่ยงที่จะใช้เครื่องสำอางในชีวิตประจำวันไม่ได้ เราจึงต้องหาวิธีการที่จะ ทดสอบว่าเครื่องสำอางที่เราจะใช้ในชีวิตประจำวัน มีการปนเปื้อนสารเคมีหรือไม่ในเบื้องต้น เพ่อื ทีจ่ ะไดห้ ลกี เล่ียง และป้องกนั ตนเองจากสารเคมีที่จะเข้าสู่ร่างกายด้วยตนเอง ดังนนั้ คณะผู้จักทำ จึงคิดโครงงานการเลือกใช้เครื่องสำอางให้ปลอดภัยจากสารสเตียรอยด์ เพื่อเป็นการ ทดสอบว่า เครื่องสำอางทเี่ ราจะใชใ้ นชวี ิตประจำวันปลอดภยั กับร่างกายเราหรอื ไม่ วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงงาน 1. เพื่อทดสอบวา่ มกี ารปนเปือ้ นของสารสเตยี รอยดใ์ นเครือ่ งสำอาง (ครมี บำรุงผิวหน้า) ที่นิยมใช้ในชวี ติ ประจำวนั ปญั หาทต่ี อ้ งการทราบ มกี ารปนเปื้อนของสารสเตียรอยด์ในเคร่อื งสำอาง (ครมี บำรงุ ผิวหนา้ ) หรือไม่ สมมตุ ฐิ าน เครอ่ื งสำอาง (ครมี บำรุงผิวหน้า) ชนิดใดจะมสี ารสเตียรอยดเ์ ป็นสว่ นผสม ตวั แปรทใ่ี ชใ้ นการทดลอง ตวั แปรตน้ ได้แก่ เครือ่ งสำอาง (ครีมบำรุงผวิ หน้า) ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ ประสทิ ธภิ าพ (ผงซักฟอก) ในการทดสอบเครอ่ื งสำอาง ตวั แปรควบคมุ ได้แก่ เครื่องสำอาง (ครมี บำรงุ ผิวหน้า) ระยะเวลาที่ใชใ้ นการทดลอง ขอบเขตของโครงงาน ระยะเวลาในการศึกษา วันท่ี 12 – 16 สิงหาคม 2562

บทที่ 2 2 เอกสารทเี่ กย่ี วขอ้ ง โครงงานการเลือกใช้เครอ่ื งสำอางให้ปลอดภัยจากสารสเตียรอยด์ ศกึ ษาเอกสารทเ่ี ก่ียวข้อง ดงั น้ี เครอ่ื งสำอาง คอื วตั ถุท่มี งุ่ หมายสำหรับใชท้ า ถู นวด โรย พน่ หยอด ใส่ อบ หรอื กระทำ ดว้ ยวธิ อี ่ืนใดต่อส่วนหนง่ึ ส่วนใดของรา่ งกาย เพอื่ ความสะอาด ความสวยงาม หรอื สง่ เสรมิ ให้เกดิ ความ สวยงาม และรวมตลอดทง้ั เคร่ืองประทนิ ผวิ ต่างๆ ดว้ ย กำเนิด และ วิวัฒนาการ เท่าที่ปรากฏในโบราณคดี สันนิษฐานว่าคงมีการใช้เครื่องหอมใน พิธีศาสนา สำหรับ บูชาพระเจ้าโดยการเผา ใช้น้ำมันพืชทาตัว หรือใช้อาบศพเพื่อไม่ให้เน่าเปือ่ ย มี การแลกเปลี่ยนซื้อขายกันจากประเทศตะวันออก และใช้เครื่องหอมนี้ไม่ต่ำกว่า 5000 ปี เชื่อว่า อียิปต์เป็นชาติแรกที่รู้จักศิลปะการตกแต่ง และการใช้เครื่องสำอาง และแพร่ไปถึงแลสซีเรีย บาบี โลน เปอร์เซีย และกรีก เมื่อคราวที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้ยกทัพเข้ายึดประเทศอียิปต์ ประเทศในยโุ รปบางส่วน ตลอดจนถงึ กรกี ทำให้ความรู้เรอื่ งเคร่ืองสำอางแพร่หลาย ศูนย์การของ ความเจริญอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย จนถึงสมัยจูเลียส ซีซาร์รบชนะกรีก ก็ได้รับศิลปวิทยาการ ต่างๆ มาจากกรีก ศูนย์การของศิลปะวิทยาการต่างๆ ได้ย้ายมาอยู่ที่กรุงโรม มีการอาบน้ำหอม ในระยะที่โรมนั กำลังรุง่ เรอื ง ซีซาร์ไดย้ กกองทพั ไปตีอยี ิปต์ซ่งึ มีพระนางคลโี อพัตราเปน็ ราชนิ ี

3 รจู้ กั วิธีการใชศ้ ิลปะการตกแตง่ ใบหน้า และร่างกาย ทำให้การใชเ้ ครื่องสำอางเปน็ ท่แี พร่หลายยิ่งขึ้น ในคริสต์ศตวรรษที่ 2 Galen บิดาแห่งเภสัชกรรม กายวิภาค อายุศาสตร์ และปรัชญา ได้ ประดิษฐc์ oldcreamข้ึน เปน็ ครั้งแรก ตอ่ มา เมือ่ จกั รวรรดโิ รมันออ่ นกำลงั ลง ประเทศท่ีนำหน้าเรื่อง เคร่ืองสำอาง คอื ฝรง่ั เศส และมีสเปนเป็นคู่แขง่ ประวตั ิเคร่ืองสำอาง การใช้เครื่องสำอางจัดเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่มีมาแต่สมัยโบราณ มีการค้นพบว่า มีการใช้ เครื่องสำอางมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ จีน อินเดีย และต่อมาจนถึงปัจจุบัน โดยชาวกรีกเป็น ชาติแรกที่มีการแยกการแพทย์ และเครื่องสำอางออกจากกิจการทางศาสนา และยังถือว่าการใช้ เคร่อื งสำอางเป็นสิง่ สำคญั ทตี่ ้องปฏิบัติตอ่ ร่างกายให้ถูกตอ้ งสม่ำเสมอ เป็นกจิ วัตรประจำวัน ศิลปะ การใชเ้ คร่อื งสำอาง และเครื่องหอมได้ถงึ ขดี สุดในระหวา่ ง 2 ศตวรรษแรกแหง่ อาณาจกั รโรมัน แลว้ ค่อยๆ เสื่อมลง และเมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมอำนาจลงในศตวรรษที่ 5 ศิลปะการใช้เครื่องสำอาง จึงแพร่หลายเข้าสู่ทวีปยุโรป นอกจากนี้ ชาวอาหรับก็เป็นสว่ นสำคัญที่ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้า ในการผลิตเครื่องสำอาง โดยได้มีการดัดแปลง แก้ไขส่วนผสมต่างๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอางที่มีคุณภาพดีขึ้น เช่น การใช้กรรมวิธีการกลั่นเพื่อให้มีความบริสุทธิ์สูง การใช้ แอลกอฮอลเ์ ปน็ ตัวทำละลาย เปน็ ต้น เมอื่ ศลิ ปะการใชเ้ ครื่องสำอางไดแ้ พร่หลายเขา้ สใู่ นประเทศ ฝรงั่ เศสมากขน้ึ เจ้าหนา้ ท่ชี าวฝรัง่ เศสไดพ้ ยายามเสนอให้มกี ารแยกกิจการด้านเครอื่ งสำอางไว้เฉพาะ โดยให้แยกออกจากกิจการด้านการแพทย์ เนื่องจากกิจการด้านการแพทย์ และเครื่องสำอางต้อง อยู่ในการควบคุมของกฎหมาย ในระหว่างปี ค.ศ. 1400 – 1500 และความพยายามก็ประสบ ความสำเรจ็ ในปี ค.ศ.1600 ศลิ ปะการใช้เคร่ืองสำอางได้แยกออกมาจากกิจการดา้ นการแพทย์อย่าง

4 ชัดเจน ต่อมาในปี ค.ศ. 1800 ได้มกี ารรวบรวมและแยกแยะความร้ใู นดา้ นศิลปะการใชเ้ ครอ่ื งสำอาง ออกเป็นหลายๆ ประเภท เช่น เภสัชกร ช่างเสริมสวย นักเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งต้องใช้ความรู้ที่ได้มา จากเภสัชกรรม และเครื่องสำอางมาประยุกตใ์ ช้ให้เหมาะสมกับแต่ละอาชีพ การผลิตเครื่องสำอาง ในช่วงแรกๆ นั้น ยังมีกรรมวิธีการผลิตที่ไม่แน่นอน เครื่องสำอางบางประเภทมีขายในร้านขายยา การผลิตเป็นความรู้ส่วนบุคคลที่ได้รับสืบทอดมา หรือได้จากการศึกษาค้นคว้า ลองผิดลองถูก จนถึงปลายศตวรรษที่ 19 ไดม้ ีผนู้ ำวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตรส์ มัยใหม่เข้ามาช่วยในการผลิตแทนวิธีเก่า และเมื่อผลิตเครื่องสำอางแต่ละชนิดจะมีเครื่องหมายการค้าชัดเจน และมีกรรมวิธีในการผลิตท่ี แนน่ อน ทำใหเ้ คร่อื งสำอางท่ีผลิตขน้ึ มคี ุณภาพ สามารถเพ่มิ รายได้ให้กับผู้ผลติ ทำให้มีการเพิ่มการ ผลิต และพยายามปรับปรุงคุณภาพของเครื่องสำอางให้มีคุณภาพสูงขึ้น ต่อมาได้มีการนำความรู้ ทางวิทยาศาสตร์สมยั ใหม่ เขา้ มาปรบั ปรุงคุณภาพของเครอื่ งสำอาง โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งวชิ าเคมี ได้มี ส่วนเข้ามาช่วยในการปรับปรุงคณุ ภาพของผลติ ภัณฑ์เคร่ืองสำอางให้มคี ณุ ภาพสูง ในการผลิตแต่ละ ครงั้ ต้องมสี ่วนประกอบที่คงที่ ได้ผลิตภัณฑอ์ ย่างเดยี วกัน มหี ลักการเลอื กใชว้ ตั ถุดิบทไ่ี ด้มาตรฐานใน การผลิต และมีการตรวจสอบคุณสมบัติ ตลอดจนการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในปี ค.ศ. 1895 ได้มีการเปิดสอนวิชาการเครื่องสำอาง ในเมืองชิคาโก มลรัฐอิลลินอยส์ ประเทศ สหรัฐอเมริกา เป็นครั้งแรก ทำให้นักศึกษาได้รู้จักวิธีการใช้เครื่องสำอางชนิดต่างๆ ในการรักษา ผวิ หนงั และเส้นผม ตอ่ มาการศึกษาวชิ านีไ้ ด้แพรห่ ลายไปอย่างรวดเร็ว

5 คุณลกั ษณะเครื่องสำอาง ในการผลิตเครื่องสำอาง มีลักษณะการเตรียม หรือการผลิตเหมือนกับการเตรียม หรือการ ผสมยา แต่ในกรณีของการเตรียมเครื่องสำอางจะมีลักษณะท่ีเฉพาะเด่นชัดทีแ่ ตกต่างจากการผลติ ยา อยู่ 3 ประการ คือ 1. เป็นผลติ ภัณฑ์ท่ีมกี ลนิ่ หอมชวนดม 2. มีลักษณะสวยงาม ทง้ั ลกั ษณะของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการบรรจุหีบหอ่ 3. ใช้งานได้ง่าย สะดวกต่อการพกพาเครื่องสำอางโดยทั่วไป จะต้องบอกคุณลักษณะของ เครื่องสำอางนั้นๆ ไว้ ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เช่น ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ วิธีใช้ ข้อควรระวัง ภาชนะและการบรรจุ รวมถึงการทดสอบ การตรวจหาปริมาณ และการวิเคราะห์ ต่างๆ ประโยชน์ของเครือ่ งสำอาง 1. ช่วยตกแตง่ ใหผ้ ิวดเู นียนและผุดผอ่ งข้นึ เช่น แปง้ แตง่ หนา้ ดินสอเขยี นค้วิ ครีมต่างๆ 2. ช่วยทำความสะอาดรักษาอนามยั และสขุ ภาพผวิ ของปาก และฟัน เช่น สบู่และยาสฟี นั 3. ชว่ ยกลบเกลอ่ื นใหแ้ ลดเู ป็นธรรมชาติ เชน่ กลบฝ้า และไฝต่างๆ 4. ชว่ ยตกแต่งทรงผมใหอ้ ยทู่ รง และสวยงามตามท่ีต้องการ 5. ชว่ ยทำใหส้ บายผิว แกค้ วามอบั ชืน้ เชน่ แป้งฝุ่นโรยตวั 6. ทำให้จิตใจสดช่นื รสู้ ึกผ่อนคลาย เนือ่ งจากกลิ่นหอมของเครอ่ื งสำอาง ประเภทของเครอื่ งสำอางเครอ่ื งสำอาง สามารถแบง่ ได้เปน็ หลายประเภท แตโ่ ดยทั่วไปมกั จะแบ่งเปน็ ประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ 1. เครื่องสำอางที่ไม่ได้ใช้แต่งสีของผิว เครื่องสำอางประเภทนี้ ใช้สำหรับการทำความสะอาด ผิวหนัง หรือใช้เพื่อป้องกันผิวหนังไม่ให้เกิดอันตรายจาสิ่งแวดล้อม เครื่องสำอางประเภทนี้ได้แก่ สบู่ แชมพู ครีมลา้ งหนา้ ครีมกันผิวแตก นำ้ ยาชว่ ยกระชับผวิ ใหต้ งึ เป็นต้น 2. เครื่องสำอางทีใ่ ช้แต่งสีผิวเครื่องสำอางประเภทนี้ ใช้สำหรับการแตง่ สีของผิวใหม้ ีสีสดสวยขึ้นจากผวิ ธรรมชาติทีเ่ ปน็ อยู่ เช่น แปง้ แตง่ ผิวหน้า ลิปสติก เปน็ ตน้ เครอื่ งสำอางทีพ่ บในท้องตลาดอาจจะแบ่งออกเปน็ 10 ประเภท ดังนี้ 1. เครื่องสำอางสำหรับผิวหนัง ได้แก่ ครีมทาผิว ผลิตภัณฑ์ขจัดสิว ผลิตภัณฑ์ขจัดสีผิวและ ขจัดฝ้า ผลิตภัณฑ์ระงับเหง่ือและขจดั กลิ่นตัว ผลิตภัณฑ์ป้องกนั แสงแดด ผลิตภัณฑ์ป้องกันแมลงกัด ต่อย

6 2. เครื่องสำอางสำหรับผมและขน ได้แก่ แชมพูและครีมนวดผม ผลิตภัณฑ์ตกแต่งผม ผลติ ภณั ฑส์ ำหรบั โกนหนวดและกำจดั ขน 3. เครอ่ื งสำอางสำหรบั แตง่ ตาและค้ิว 4. เครื่องสำอางสำหรับแต่งใบหน้า ผลิตภัณฑ์พอกและลอกหน้า ผลิตภัณฑ์กลบเกลื่อน ผลติ ภณั ฑ์รองพ้นื แต่งหน้า แป้งผดั หน้าและแปง้ โรยตัว 5. เครอื่ งสำอางสำหรับแตง่ แกม้ 6. เครอ่ื งสำอางสำหรับแตง่ ปาก 7. เครื่องสำอางสำหรบั ทำความสะอาดผิวปาก และฟัน ครีมล้างหน้าและครีมล้างมือ ยาสีฟัน และนำ้ ยาบว้ นปาก 8. เครอ่ื งสำอางสำหรบั เล็บ 9. เครอ่ื งสำอางสำหรบั เดก็ 10. ผลติ ภัณฑน์ ้ำหอม ครีมบำรุง คือ ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ช่วยฟื้นฟูผิวแห้งกร้าน ปรับสีผิวให้ สม่ำเสมอ ปกป้องผิวจากสิ่งสกปรกภายนอก บรรเทาอาการผิวหนังอักเสบชนิดไม่รุนแรง ลดเลือน ร้วิ รอยร่องต้ืน และช่วยปรบั สภาพผวิ กอ่ นลงเครอ่ื งสำอาง

7 เวชสำอางท่ีขายกันตามทอ้ งตลาดได้มกี ารโฆษณาถึงคุณสมบตั ิพิเศษต่างๆ เช่น ลบรอยตนี กา ลบรอยด่างดำ ทำให้หน้าสดใส อ่อนกว่าวัย บางชนิดก็อธิบายถึงส่วนประกอบทั้งวิตามิน สมุนไพร สารอาหาร บางชนิดก็อ้างว่าชะลอความแก่ ซึ่งการโฆษณาอวดอ้างดังกล่าวยังไม่มีการควบคุมกัน หรือมีการพสิ จู น์กัน สว่ นประกอบทส่ี ำคญั ในเวชสำอาง คอื ครมี ใหค้ วามชมุ่ ชน้ื Moisturizers เปน็ ครีมให้ความชมุ่ ชื้น จะเหมาะสำหรบั ผทู้ มี่ ปี ญั หาผิวหนังดังน้ี ผิวแห้ง ผิวผู้สูงอายุ ผู้ที่มีรอยตีนกา ซึ่งจะช่วยเพียงระยะเวลาสั้นๆ ส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับ ครีมใหค้ วามชมุ่ ชืน้ กบั ผวิ หนงั ได้แก่ Petroleum jelly ซงึ่ ควรจะใชท้ าหลงั อาบน้ำจะทำให้ผิวชุมชื่น แต่คนจะไม่ชอบเนื่องจากเมื่อทาบริเวณใบหน้าจะดูเหมือนหน้ามัน ครีมให้ความชุ่มช้ืนส่วนใหญ่จะ ประกอบด้วยสารที่สำคัญได้แก่ น้ำ, glycerin, petrolatum, stearic acid, propylene glycol, และ lanolin บางชนิดอาจจะใส่ผลิตภัณฑ์จากพืชเช่น jojoba oil, น้ำมันมะพร้าว coconut oil, น้ำมนั ทานตะวนั และ linoleic acid ซึ่งจะทำให้ผิวนุ่ม นอกจากนัน้ ยังมีสารประกอบท่ีทำให้ครีมให้ ความชุมช้นื นา่ ใช้ได้แกส่ าร cetyl alcohol, palmitic acid และ dimethicone ครมี ใหค้ วามชมุ่ ช้ืน บางชนิดยังใส่ครีมกันแสงซึ่งจะป้องกันการเสื่อมของผิวหนัง ครีมลอกผิว สารดังกล่าว จะช่วยลอก เซลล์ท่ีตายแล้วให้หลุดออกไปซึ่งจะได้เซลล์ใหม่ ลบรอยดา่ งดำ และรอยเหยี่ วย่น สารท่ีเป็นตัวลอก ผิวท่ีสำคญั คอื alpha hydroxy acids (AHAs) และ beta hydroxy acids (BHAs)

8 สเตยี รอยด์ คือ ชอื่ เรียกโดยยอ่ ของกลมุ่ ยาทม่ี ีชอ่ื เตม็ วา่ corticosteroid ยา กลมุ่ น้มี ีฤทธิ์ และข้อบ่งใช้มากมาย สามารถใช้ในโรคหรือภาวะต่างๆ ไดอ้ ย่างหลากหลาย ยากลุม่ สเตียรอยด์ สามารถแบ่งตามรปู แบบของการใช้ยาไดเ้ ป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. สเตียรอยด์ประเภทใช้ภายนอก สามารถแบ่งตามรูปแบบของยา และตัวอย่างของ โรคทีใ่ ชไ้ ด้ ดงั น้ี - ยาทา (ทง้ั ในรูปครีม โลชัน ขี้ผง้ึ ) สำหรับรักษาผนื่ แพ้ ลมพษิ ผวิ หนงั อักเสบ สะเก็ดเงิน - ยาหยอดตา ยาป้ายตา ยาหยอดหู สำหรบั รักษาภูมิแพห้ รืออกั เสบที่ตา และหู - ยาพน่ จมกู สำหรับรกั ษาโรคภมู แิ พ้ทีม่ ีอาการทางจมกู ริดสีดวงจมูก - ยาพน่ คอ สำหรบั รักษาโรคหืด ภมู แิ พ้ท่ีทำใหเ้ กดิ อาการหอบ 2. สเตียรอยด์ประเภทกิน และฉดี การรักษาโรค หรือภาวะบางอย่าง จำเป็นต้องใช้ ยากิน หรือยาฉีดเท่านั้น เช่น อาการแพ้บางชนิด โรคหืดชนิดรุนแรง โรค ภูมิคุ้มกันไวเกิน ผไู้ ด้รบั การผ่าตัดเปลยี่ นอวยั วะ เป็นตน้ อนั ตรายจากการใชย้ าสเตยี รอยด์ ถ้ากิน หรอื ฉีดยาสเตียรอยด์ ในขนาดนอ้ ยๆ เพียงช่วงระยะเวลาส้นั ๆ มกั ไม่ทำให้เกดิ อาการไม่พงึ ประสงคท์ ีร่ ุนแรง แตถ่ ้ากิน หรือฉีดต่อเนอ่ื งเป็นเวลานาน จะกอ่ ใหเ้ กิดผลเสียที่

9 รนุ แรงหลายประการดว้ ยกนั ไดแ้ กต่ ิดเชอ้ื โรค (ยากดการทำงานของภมู คิ ุม้ กันในรา่ งกาย) เป็น เบาหวาน (ยาทำให้นำ้ ตาลในเลือดสูง) บวม และความดันโลหติ สงู (ยาทำให้ขบั นำ้ ลดลง แตเ่ พม่ิ การสะสมไขมนั ทห่ี นา้ หลัง และทอ้ ง) กระดกู พรุน (ยารบกวนสมดลุ การสร้างกระดูก) รวมทั้งเปน็ แผลในทางเดินอาหาร ผิวหนงั เหยี่ วย่น และบาง ตาเปน็ ต้อ การทำงานของต่อมหมวกไตผิดปกติ รบกวนการเจรญิ เติบโตในเด็ก เป็นตน้ นอกจากนี้ยงั มียาสมนุ ไพรบางชนดิ ทีไ่ ม่ไดข้ ึ้นทะเบยี น อย. ที่แอบใส่สารสเตยี รอยด์ เพอ่ื ให้ ผลการรกั ษาที่ดตี ามสรรพคณุ ทโี่ ฆษณาไว้ ทำให้เราอาจไดร้ บั สเตยี รอยด์โดยที่เราไมร่ ู้ตัว ดังน้ัน ควรหลกี เลยี่ งยาทีไ่ ม่ได้ขึน้ ทะเบยี น อย. ตรวจส่วนผสมของยาก่อนทาน และควรปรกึ ษาแพทย์ หรอื เภสชั กรก่อนทานยาทกุ ครง้ั ดงั นั้นเราควรระวังสเตียรอยด์ในทกุ รปู แบบ ไมว่ ่าจะเปน็ การทา หยอด พน่ หรอื ฉีด ควรใช้เมอื่ แพทย์เป็นผสู้ ัง่ ให้เทา่ น้นั

10 ผงซกั ฟอก คอื สารซกั ลา้ งทผ่ี ลติ ข้นึ มาใช้แทนสบู่ มีสารลดแรงตึงผวิ ชนดิ สงั เคราะห์ และชนดิ ธรรมชาติเปน็ ส่วนประกอบหลกั เปน็ เกลือโซเดยี มซัลโฟเนตของไฮโดรคารบ์ อน สำหรบั ใชซ้ ักผา้ ครอบคลุมถึงผงซกั ฟอกทีม่ ีลักษณะเป็นผงเมด็ เลก็ ๆ หรอื เกลด็ อดั ข้ึนรูปกึง่ แข็งกง่ึ เหลว แท่ง หรือลกั ษณะอ่นื แต่ไม่ครอบคลมุ ถึงผลิตภัณฑซ์ กั ผ้าชนิดเหลว ทชิ ชู หรอื กระดาษทชิ ชู (อังกฤษ: tissue paper) คอื กระดาษประเภทหน่งึ ท่ีผลิตจาก เยื่อกระดาษ โดยทวั่ ไปกระดาษทชิ ชแู บ่งออกไดเ้ ป็นหลายประเภทตามประโยชน์ใชส้ อย แตใ่ น ประเทศไทย ผู้คนมกั นยิ มเรยี กเหมารวมกระดาษในกล่มุ นี้ว่ากระดาษทชิ ชู และมักไม่แยกการใช้ งานของกระดาษทชิ ชู

บทที่ 3 11 อปุ กรณแ์ ละวธิ กี ารดำเนนิ การศกึ ษา อปุ กรณ์ 1. เครอื่ งสำอาง (ครมี บำรุงผิวหนา้ ) 2. ผงซักฟอก 3. ทิชชู่ 4. นำ้ 5. ช้อนพลาสติก วิธดี ำเนนิ การศกึ ษา มวี ธิ ดี งั น้ี 1. รวมกลุ่ม และกำหนดหวั ข้อในการทำโครงงาน 2. คน้ ควา้ เอกสารตำราต่างๆ 3. จดั เตรียมวัสดอุ ปุ กรณใ์ นการดำเนินงาน 4. ลงมือปฏิบัติตามโครงงาน โดยการนำเอาเคร่อื งสำอาง (ครมี บำรุงผวิ หน้า) มาหา สารสเตียรอยด์ โดยการใชผ้ งซกั ฟอกในการทดสอบ 5. เขยี นรายงานพรอ้ มสรุปผล และอภปิ รายผล

บทท่ี 4 12 ผลการศกึ ษาและอภปิ รายผล จากการศึกษาโครงงาน เร่ือง “การเลอื กใช้เครอื่ งสำอางให้ปลอดภยั จากสารสเตยี รอยด์” ได้ผลการศึกษา ดังน้ี ตารางท่ี 1 แสดงการนำเครือ่ งสำอางชนิดต่างๆ มาทดสอบดว้ ยผงซักฟอกเข้มข้น เพ่อื ดูการ ปนเป้ือนของสารสเตยี รอยด์ (ระยะเวลา 5 นาที) เครอ่ื งสำอาง การเปลยี่ นแปลงของสเี ครอื่ งสำอาง สดี ำ (ครมี บำรงุ หน้า) สีไมเ่ ปลี่ยนแปลง น้ำตาลออ่ น นำ้ ตาลเขม้ เครื่องสำอาง ชนิดที่ 1 ✓ เครื่องสำอาง ชนิดท่ี 2 ✓ เครื่องสำอาง ชนดิ ที่ 3 ✓ เครื่องสำอาง ชนดิ ท่ี 4 ✓ จากตารางท่ี 1 ผลการทดลองพบวา่ - สีของเครอ่ื งสำอาง ชนดิ ที่ 1, 2 และ 4 ไม่มกี ารเปลย่ี นสี - สขี องเคร่อื งสำอาง ชนิดท่ี 3 มกี ารเปล่ียนเปน็ สนี ้ำตาลออ่ น ตารางที่ 2 แสดงการนำเครื่องสำอางชนดิ ต่างๆ มาทดสอบดว้ ยผงซกั ฟอกเข้มข้น เพ่อื ดกู าร ปนเปื้อนของสารสเตียรอยด์ (ระยะเวลา 10 นาที) เครอื่ งสำอาง การเปลีย่ นแปลงของสีเครอ่ื งสำอาง สดี ำ (ครมี บำรงุ หน้า) สีไม่เปลยี่ นแปลง น้ำตาลออ่ น น้ำตาลเขม้ เคร่ืองสำอาง ชนิดที่ 1 ✓ เครื่องสำอาง ชนดิ ท่ี 2 ✓ เครื่องสำอาง ชนิดที่ 3 ✓ เครื่องสำอาง ชนดิ ที่ 4 ✓ จากตารางท่ี 2 ผลการทดลองพบวา่ - สีของเคร่ืองสำอาง ชนดิ ที่ 1, 2 และ 4 ไม่มกี ารเปล่ยี นสี - สขี องเครื่องสำอาง ชนิดท่ี 3 มกี ารเปลี่ยนเปน็ สีน้ำตาลอ่อน

13 บทท่ี 5 สรปุ ผล ประโยชน์ ขอ้ เสนอแนะ สรปุ ผล จากการทดสอบหาสารสเตียรอยด์ในเครือ่ งสำอาง สรปุ ผลได้ว่าพบว่าเคร่อื งสำอางทน่ี ำมา ทดสอบ เปน็ เครือ่ งสำอางทีป่ ลอดภยั สามารถใชไ้ ด้ ได้แก่ ชนดิ ท่ี 1, 2 ละ 4 ส่วนเครือ่ งสำอางชนดิ ที่ 3 พบการปนเป้ือนของสารสเตยี รอยด์ จึงไม่ควรนำมาใช้ และจากการทดลองปรากฏว่า ระยะเวลา ในการทดลองไมม่ ีผลต่อการเปลย่ี นแปลงของสีเคร่ืองสำอาง นอกจากน้ีเรายังสามารถนำผงซักฟอก เขม้ ข้นมาทดสอบหาสารสเตียรอยด์เบ้ืองตน้ ได้ดว้ ยตนเอง เพ่ือเปน็ การป้องกันตนเองใหป้ ลอดภยั จาก สารเคมี ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ บั จากโครงงาน 1. ฝึกการทำงานเป็นทมี 2. ใช้เวลาว่างให้เกดิ ประโยชน์ 3. รจู้ ักการวางแผนการทำงาน 4. ฝึกการเปน็ ผ้นู ำที่ดี และผู้ตามทด่ี ี 5. ฝกึ สมาธิ 6. ประหยัดค่าใช้จ่ายอกี ด้วย 7. ได้ทราบว่ามีการปนเป้ือนของสารสเตียรอยด์ในเครอื่ งสำอาง (ครีมบำรุงผิวหนา้ ) ท่ีนิยมใช้ในชวี ติ ประจำวนั การแกไ้ ขปญั หา 1. เลอื กใชผ้ ลติ ภณั ฑ์เครอื่ งสำอางทผ่ี ลิตจากธรรมชาติ 2. เลอื กใช้ผลติ ภัณฑ์เครือ่ งสำอางทมี่ ี อย. ขอ้ เสนอแนะ 1. ควรศึกษาขอ้ มูลเกยี่ วกับพษิ ภยั สารเคมีเพิ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อท่ีจะไดน้ ำความร้มู าปรับใช้ใน ชวี ิตประจำวันได้ เป็นการดแู ลสขุ ภาพของตนเองในเบือ้ งต้น ใหห้ ่างไกลจากสารเคมี 2. ควรใชเ้ คร่อื งสำอางท่ีผลิตจากธรรมชาติ และมี อย. รับรอง เพื่อความปลอดภัย

บรรณานกุ รม https://dictionary.sanook.com https://pharmacy.mahidol.ac.th https://www.pobpad.com https://www.sanook.com https://www.siamhealth.net http://www.skinbiotechthai.com https://th.wikipedia.org

ภาคผนวก

วสั ดใุ นการทดสอบหาสารสเตยี รอยดป์ นเป้อื นในเครอ่ื งสำอาง (ครีมบำรงุ , ผงซกั ฟอก, ทชิ ชู่, ชอ้ นพลาสติก, น้ำ) ขนั้ ตอนการทดสอบ นำครมี บำรุงแตล่ ะชนดิ ป้ายลงบนกระดาษทิชชู่ จากน้ันตกั ผงซักฟอกที่ผสมนำ้ แบบเข้มขน้ ใส่ลงบนครมี บำรงุ แตล่ ะชนิด สังเกตการณเ์ ปล่ยี นแปลงของสี (เวลา 5 นาที)

ภาพการทดสอบ (หาสารสเตยี รอยดป์ นเปอ้ื นในเครอ่ื งสำอาง)

ขนั้ ตอนการทดสอบ นำครีมบำรงุ แต่ละชนดิ ป้ายลงบนกระดาษทชิ ชู่ จากนั้นตกั ผงซักฟอกทผี่ สมน้ำแบบเขม้ ข้นใส่ลงบนครมี บำรงุ แต่ละชนิด สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของสี (เวลา 5 นาที และ 10 นาที)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook