โครงงานวิทยาศาสตร์ เร่ือง พลังงานไฟฟา้ จากผกั และผลไมธ้ รรมชาติ โดย นายชษิ ณพุ งษ์ เนตรทิพย์ เลขที่ 4 นายสนั ติสุข ภคู าพิทกั ษพ์ งศ์ เลขท่ี 12 นางสาวชลธชิ า มาไกล เลขท่ี 15 นางสาวรัศมณิ ัน จันต๊ะวงศ์ เลขท่ี 24 นางสาวหน่ึงนภา ศรนี ารินทร์ เลขที่ 28 รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการศึกษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (I30201) โรงเรียนปัว ภาคเรยี นที่ 1 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 5/1 ปกี ารศกึ ษา 2564
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง พลังงานไฟฟา้ จากผักและผลไม้ธรรมชาติ โดย นายชษิ ณุพงษ์ เนตรทิพย์ เลขที่ 4 นายสนั ติสขุ ภคู าพิทกั ษพ์ งศ์ เลขท่ี 12 นางสาวชลธิชา มาไกล เลขท่ี 15 นางสาวรัศมิณัน จันตะ๊ วงศ์ เลขที่ 24 นางสาวหนึง่ นภา ศรีนารินทร์ เลขท่ี 28 ครทู ่ีปรกึ ษา นายดารง คันธะเรศย์ รายงานน้ีเปน็ ส่วนหนึง่ ของรายวชิ าการศึกษาค้นคว้าและสร้างองคค์ วามรู้ (I30201) โรงเรียนปวั ภาคเรยี นที่ 1 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5/1 ปีการศกึ ษา 2564
ก บทคัดย่อ ช่อื เร่อื ง พลังงานไฟฟ้าจากผกั และผลไมธ้ รรมชาติ ผูศ้ ึกษา นายชษิ ณุพงศ์ เนตรทิพย์ และคณะ สถานศกึ ษา โรงเรียนปัว สานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษาเขต 37 ปีที่ศึกษา 2564 บทคดั ย่อ เนื่องจากปจั จบุ นั ทรพั ยากรในโลกไม่เพยี งพอต่อจานวนความตอ้ งการของมนษุ ย์ จงึ มีความตอ้ งการหา แหล่งพลงั งานไฟฟ้าแหล่งใหม่จากธรรมชาติมามาทดแทน เพอื่ ชว่ ยในการอนุรักษ์สง่ิ แวดล้อมและลดปัญหา พลงั งานไมพ่ อต่อความต้องการ คณะผู้จัดทาจงึ มีความประสงค์จะใชผ้ ักและผลไม้ที่มีสารอิเลก็ ทรอไลต์ โดยกลุ่มของคณะผ้จู ัดทาไดม้ ีการ คัดเลอื กชนิดของักและผลไม้ทน่ี ามาทดสอบไดแ้ ก่ มะนาว สม้ สับปะรดและแก้วมงั กร นามาทดสอบและ เปรียบเทียบเพ่ือหาประสิทธิภาพของผักและผลไม้แตล่ ะชนิด ว่าชนิดใดจะสามารถนามาพัฒนาเพื่อต่อยอดได้
ข กิตติกรรมประกาศ รายงานโครงงานวทิ ยาศาสตรฉ์ บับนสี้ าเรจ็ ลลุ ่วงไปไดด้ ้วยความเมตตาชว่ ยเหลืออยา่ งดียิ่งจากครดู ารง คันธะเรศย์ ครผู ู้สอน วชิ าการ ศึกษาคน้ คว้าเเละสรา้ งองค์ความรู้ อนมุ ัติเหน็ ชอบในการจัดทาโครงงานและให้ ความรู้เก่ียวกบั เวบ็ ไซต์ Pubthml5 อีกทั้งเปน็ ทีป่ รึกษาในดา้ นวชิ าการและการจัดทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ตลอดจนอาจารย์ทุกทา่ นในโรงเรียนปัวทีม่ สี ว่ นช่วยแนะนาการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง พลังงานไฟฟ้าจาก ผกั เเละผลไม้ธรรมชาติ ซง่ึ คณะผ้จู ดั ทาซาบซ้ึงในความกรุณาอนั ย่ิงใหญจ่ ากท่านและขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ คณะผจู้ ดั ทา
ค คานา โครงงานวทิ ยาศาสตร์เล่มนี้จัดทาขน้ึ เพื่อเป็นสว่ นหนึ่งของรายวิชา I30201 การศึกษาค้นควา้ และสร้าง องค์ความรู้ ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 5/1 เพือ่ ใหไ้ ดศ้ ึกษาความรู้ในเรือ่ ง พลังงานไฟฟา้ จากผักและผลไมธ้ รรมชาติ และ ได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเปน็ ประโยชน์กบั การเรยี น คณะผ้จู ัดทาหวังว่า โครงงานวิทยาศาสตรจ์ ะเปน็ ประโยชน์ตอ่ ผอู้ ่าน ผู้ที่ศึกษา ที่กาลงั หาขอ้ มลู เร่ืองน้ีอยู่ หากมขี ้อผดิ พลาดประการใด คณะผู้จัดทาขอน้อมรับไวแ้ ละขออภยั มา ณ ท่นี ้ีดว้ ย
สารบญั ง คานา หน้า สารบัญ ค สารบญั ตอ่ ง สารบัญตาราง จ สารบญั ภาพ ฉ บทที่ 1 บทนา ช ท่มี าและความสาคัญ วัตถุประสงค์ 1 ขอบเขตของโครงงาน 1 สมมติฐาน 1 ตัวแปร 1 แผนการกาหนดเวลาปฏบิ ตั ิงาน 2 ผลท่ีคาดว่าจะได้รบั 2 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เกยี่ วข้อง 2 อเิ ล็กโทรไลต์ (Electrolyte) 3
พลงั งานไฟฟ้า จ แรงดนั ไฟฟา้ 4 สายพนั ธข์ุ องส้ม 5 สายพนั ธุข์ องมะนาว 8 สายพนั ธ์ุสบั ปะรด 9 บทที่ 3 วธิ ีการดาเนนิ การทดลอง 12 วสั ดุอุปกรณ์และเคร่ืองมือพิเศษ ข้ันตอนการดาเนนิ การทดลอง 17 บทท่ี 4 ผลการทดลอง 18 บทที่ 5 สรปุ ผลการทดลอง 19 สรุปผลและขอ้ เสนอแนะ 21
สารบัญตาราง ฉ ตาราง หน้า ตารางที่ 1 แผนการปฏบิ ตั ิงาน 2 ตารางท่ี 2 ตารางผลการทดลอง 19
สารบญั ภาพ ช ภาพท่ี หน้า ภาพท่ี 1 การเปน็ อเิ ลก็ โทรไลตแ์ ละนอนอิเล็กโทรไลต์ของสาร 3 ภาพที่ 2 ตัวอย่างสมการแสดงการแตกตวั ของสารละลายอิเล็กโทรไลต์แก่ 4 ภาพที่ 3 ตัวอย่างสมการแสดงการแตกตวั ของสารละลายอิเล็กโทรไลตอ์ ่อน 4 ภาพท่ี 4 มะนาวสายพนั ธุ์แป้นสริ นิ ทร์ 9 ภาพท่ี 5 มะนาวสายพนั ธ์ุแป้นสิรินทร์ 10 ภาพที่ 6 ตน้ กล้ามะนาวสายพันธุ์แป้นสริ นิ ทร์ 11 ภาพท่ี 7 การทดลองการวัดของมะนาว 19 ภาพที่ 8 การทดลองการวดั ของสบั ปะรด 19 ภาพที่ 9 การทดลองการวดั ของแก้วมงั กร 20 ภาพท่ี 10 การทดลองการวดั ของสม้ 20
ซ
1 บทท่ี 1 บทนา 1.1 ทม่ี าและความสาคญั ในปจั จบุ นั นเี้ รามีเช้ือเพลงิ ทางเลือกในการผลติ พลงั งานไฟฟ้าไดม้ ากมาย เช่น ลม แดด น้า เปน็ ตน้ นอกจากนย้ี ังมีผลไมท้ ี่มสี ารอิเลก็ โทรไลตน์ าไปเปน็ แหลง่ กาเนิดพลังงานไฟฟา้ ไดอ้ ีก ดว้ ย โดยแหลง่ กาเนดิ ไฟฟ้า จากผลไม้เปน็ พลังงานทส่ี ะอาด ปลอดสารเคมีอนั ตรายและไม่ก่อใหเ้ กดิ มลพิษอีก ท้ังยังเปน็ พลังงานหมนุ เวียน ที่สามารถหมนุ เวียนนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ย่างไรก็ดี ผลไม้ท่ีแตกตา่ งชนดิ กนั มีความสามารถในการผลิต กระแสไฟฟ้าและพลังงานไฟฟ้าไม่เท่ากัน จงึ เปน็ ที่มาของการทดลองคุณสมบัติการผลติ กระแสไฟฟ้าจากผลไมช้ นดิ ต่างๆ 1.2 วตั ถุประสงค์ เพอ่ื เปรยี บเทยี บคุณสมบตั ิการผลติ กระแสไฟฟา้ จากมะนาว สม้ แกว้ มังกรเเละสับปะรด 1.3 ขอบเขตของการทาโครงงาน ขอบเขตพ้ืนที่ : อาเภอปวั จงั หวดั นา่ น ขอบเขตเวลา : 12 กรกฎาคม 2564 - 31 สงิ หาคม 2564 สง่ิ ท่นี ามาศึกษา : มะนาวสายพนั ธ์ุแป้นสริ นิ ทร์ ส้มสายพันธจุ์ ดี๊ เเละสบั ปะรดสายพนั ธภ์ุ เู เล 1.4 สมมติฐานของการศกึ ษา มะนาวสามารถผลติ กระเเสไฟฟา้ ได้มากท่ีสดุ
2 1.5 ตวั แปร ตวั แปรต้น : ชนดิ ของผักเเละผลไม้ ไดแ้ ก่ มะนาวสายพันธ์แุ ป้นสริ นิ ทร์ สม้ สายพนั ธจ์ุ ีด๊ แกว้ มงั กร เเละ สับปะรดสายพนั ธ์ุภเู เล ตัวแปรตาม : ปริมาณเเรงดนั ไฟฟา้ ทไี่ ด้จากมะนาวสายพันธุ์แป้นสริ ินทร์ สม้ สายพนั ธจ์ุ ี๊ด แก้วมังกร เเละ สับปะรดสายพนั ธภ์ุ เู เล ตัวแปรควบคุม : ช่วงเวลาในการเก็บค่าแรงดนั ไฟฟา้ ขนาดนา้ หนกั ของผกั เเละผลไม้ 1.6 แผนการกาหนดเวลาปฏิบตั ิงาน ตารางท่ี 1 แผนการปฏบิ ตั ิงาน 1.7 ผลทคี่ าดว่าจะได้รับ 1.ได้ทราบถึงความสามารถในการผลิตประเเสไฟฟา้ ของมะนาวสายพันธ์แุ ปน้ สิรนิ ทร์ ส้มสายพันธ์จุ ๊ดี แก้วมงั กร เเละสับปะรดสายพนั ธ์ภุ เู เล 2.เพื่อนาพีชพรรณธรรมชาติที่ไมม่ ีอันตรายมาทดแทนการใช้สารเคมี 3.เพอ่ื ศกึ ษาประโยชนข์ องพชื พรรณธรรมชาติท่ีพบเห็นบอ่ ยในชวี ิตประจาวัน
3 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กยี่ วข้อง 2.1 อิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte) อเิ ล็กโทรไลต์ (Electrolyte) หมายถึง สารีทเี่ ม่ือละลายในน้าจะนาไฟฟา้ ได้ เีน่ืองจากมไี อออนซง่ึ อาจจะ เปน็ ไอออนบวก หรอื ไอออนลบเคลือ่ นีท่ีอยใู่ นสารละลาย สารละลายอเิ ลก็ โทรไลตีน์ อี้ าจเป็นสารละลายกรด เบส หรือเกลือกไ็ ด้ ตวั อยา่ งเช่น สารละลายกรดเกลือ (HCl) สารละลายโซเดยี มไฮดรอกไซด์ (NaOH) และสารละลาย ของเกลือ KNO3 เปน็ ตน้ โดยในสารละลายดงั กลา่ วประกอบดว้ ยไอออน H+ , Cl- , OH- , K+ และ NO3 - ตามลาดับ (ณรงคช์ ยั , 2558) รูปภาพท่ี 1 การเปน็ อเิ ล็กโทรไลต์และนอนอิเล็กโทรไลตข์ องสาร อิเล็กโทรไลต์แก่และอเิ ล็กโทรไลตอ์ ่อน สารละลายอิเลก็ โทรไลต์ตา่ งๆ นาไฟฟ้าได้ไม่เท่ากนั เน่ืองจากการแตกตัวเปน็ ไอออนของอเิ ล็กโทรไลต์ไม่ เท่ากัน อเิ ล็กโทรไลต์ที่แตกตวั เป็นไอออนไดม้ ากกว่า กจ็ ะนาไฟฟา้ ไดด้ ีกว่าอิเล็กโทรไลต์ท่ีแตกตวั เป็นไอออนได้น้อย กวา่ อิเลก็ โทรไลต์แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. อิเลก็ โทรไลตแ์ ก่ (strong electrolyte) หมายถงึ สารทล่ี ะลายน้าแลว้ แตกตัวเปน็ ไอออนได้มาก อาจจะแตกตัวได้ 100% และนาไฟฟ้าไดด้ ีมาก เช่น กรดแก่ และเบสแก่ และเกลือสว่ นใหญ่จะแตกตวั ได้ 100% เป็นต้น
4 ภาพท่ี 2 ตวั อย่างสมการแสดงการแตกตวั ของสารละลายอิเล็กโทรไลต์แก่ 2. อเิ ลก็ โทรไลต์ออ่ น (weak electrolyte) หมายถึง สารทลี่ ะลายน้าแล้วแตกตัวได้บางสว่ น นาไฟฟา้ ไดน้ ้อย ภาพที่ 3 ตัวอยา่ งสมการแสดงการแตกตวั ของสารละลายอิเล็กโทรไลต์อ่อน จากความหมายของอเิ ล็กโทรไลต์ สรุปไดว้ ่าสารอเิ ลก็ โทรไลต์คอื การที่เม่ือละลายน้าจะทาใหเ้ กิดเปน็ สารท่ี มีไอออนจะสามารถทาใหเ้ กดิ เป็นปฏิกริ ยิ าทางไฟฟ้าเคมไี ด้ 2.2 พลังงานไฟฟา้ ไฟฟา้ เป็นพลงั งานรปู หนึ่งทีส่ ามารถทางานได้ และมีความสาคัญมากเพราะนามาใชก้ ับอุปกรณ์ไฟฟา้ ชนิด ตา่ ง ๆ ที่อานวยความสะดวกในการดารงชีวิต เราใช้ประโยชน์จากกระแสไฟฟ้า ที่ผลิตขน้ึ ผ่านเคร่อื งใช้ไฟฟา้ โดยตอ่ สายไฟระหวา่ งเครอื่ งกาเนิดไฟฟ้าไปยังเคร่อื งใช้ไฟฟ้า เชน่ พัดลม โทรทศั น์ วิทยุ เตารดี เมื่อเปิดสวติ ช์แลว้ เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าจะทางานโดยเปล่ียนพลงั งาน ไฟฟ้าเปน็ พลังงานรปู อ่ืน เชน่ พลังงานแสง พลังงานเสยี ง พลงั งานกล พลงั งานไฟฟา้ แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.ไฟฟา้ สถติ (Static electricity หรอื Electrostatic Charges) เกดิ จากการนาวัตถุสองชนดิ มาขัดสีหรอื ถกู นั ทาให้ประจุไฟฟ้าที่อยใู่ นวัตถุนนั้ เกดิ การเคล่อื นที่ และวตั ถุนนั้ สามารถแสดงอานาจไฟฟ้าได้ ตวั อย่างเชน่ เมอ่ื นาผ้าแหง้ มาถูกับท่อพีวซี ี ทาให้เกดิ อานาจไฟฟ้าท่ีท่อพีวซี ี เมอื่ นาเข้าใกลก้ ระดาษชน้ิ เลก็ ๆ ท่อพวี ซี จี ะดูดเศษ กระดาษได้
5 2. ไฟฟ้ากระแส (Current Electricity) เกิดจากการเคลอ่ื นที่ของประจุไฟฟา้ ไหลผ่านตวั นาไฟฟา้ จาก แหลง่ กาเนิดไฟฟ้าไปยงั เครื่องใช้ไฟฟ้า ไฟฟา้ กระแส แบ่งได้เปน็ 2 ชนิด คื 1. ไฟฟา้ กระแสตรง (Direct Current = D.C.) เปน็ กระแสไฟฟา้ ที่มที ิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้า ไปทางเดียวกนั ตลอดเวลา คือจะไหลจากขวั้ บวกไปขั้วลบ เช่น กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ถ่านไฟฉาย และเซลล์ สรุ ิยะ เปน็ ตน้ 2.ไฟฟา้ กระแสสลับ (Alternating Current = A.C.) เป็นกระแสไฟฟ้าท่ีมที ิศทางการไหลของ กระแสไฟฟ้าไหลกลบั ไปกลบั มาอย่างรวดเรว็ ตลอดเวลาระหวา่ งขัว้ บวกกับขว้ั ลบ เปน็ กระแสไฟฟ้าทีเ่ ราใชต้ าม อาคารบา้ นเรือน เปน็ ไฟฟา้ ทเี่ กิดจากการหมนุ ของไดนาโมกระแสสลบั จากเคร่ืองจักรหรือแหลง่ พลงั งานอ่ืน ๆ เช่น พลังนา้ จากเข่ือน หรือพลังงานลม เป็นตน้ (นพรัตน์, 2558) ไฟฟ้าเกดิ ขึน้ ไดห้ ลายวธิ ี 1.เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ ได้แก่ ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า เกดิ จากการเปลี่ยนพลังงานความร้อนเป็นพลงั งานไฟฟ้า 2.เกดิ จากการเปลยี่ นแสงสว่างใหเ้ ปน็ พลังงานไฟฟา้ โดยเซลล์แสงอาทติ ย์ (Solar Cell)หรือ โฟโตเซลล์ (Photo Cell) 3.เกดิ จากปฎิกริ ยิ าเคมี เชน่ แบตเตอรี่ ถ่านไฟฉาย เซลลแ์ ห้งและเซลลเ์ ช้อื เพลงิ เป็นตน้ 4.เกดิ จากการเหน่ียวนาของอานาจแมเ่ หล็กโดยเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้า ได้แก่ ไฟฟา้ ท่ีใชอ้ ยูต่ ามอาคาร บ้านเรือนในปัจจุบัน ( วนั ชัย, 2560 ) 2.3 แรงดันไฟฟ้า แรงดันไฟฟา้ คอื แรงดันไฟฟ้า อักษรย่อ V คือแรงท่ีมากระทา ใหอ้ เิ ล็กตรอนหลดุ เป็นอสิ ระ ทาใหเ้ กดิ กระแสไหล ศกั ย์ไฟฟา้ อักษรย่อ DV เปน็ อีกคาหน่ึงทคี่ ลา้ ยกับแรงดันไฟฟา้ จะหมายถึง ระดบั ไฟฟ้า เชน่ อะตอมมี ประจุไฟฟา้ บวกจะมศี ักย์ไฟฟ้าสูง อะตอมมีประจุไฟฟ้าลบจะมีศักยไ์ ฟฟา้ ต่า ดงั น้นั ความต่างศกั ย์ไฟฟา้ คือ ความ แตกต่างของศกั ย์ไฟฟา้ ระหว่างอะตอมท้ังสอง แรงขบั เคลื่อนทางไฟฟา้ หมายถงึ แรงที่สรา้ งใหเ้ กิดแรงดันไฟฟา้ ซึง่ ทาใหเ้ กิดการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน อิสระตลอดเวลา กระแสไฟฟา้ จงึ ไหลตลอดเวลา แรงเคลื่อนไฟฟ้านี้อาจเกิด จากเครื่องกาเนิดไฟฟา้ , แบตเตอรี่, ถา่ นไฟฉาย และเซลล์เช้ือเพลิง ฯลฯ หนว่ ยของแรงดันไฟฟา้ , ความตา่ ง ศักย์ไฟฟ้า หรอื แรงขับเคล่ือนทางไฟฟ้า มีหน่วยคือ โวลต์ (Voltage ซ่งึ แทนด้วย V) (ศลิษา ขอบจติ ต์, 2560)
6 แรงดันไฟฟา้ เป็นหนว่ ยวดั ทีใ่ ช้ในการวดั แรงดันท่ีทาใหก้ ระแสไฟฟ้าไหลไปตามตัวนาไฟฟ้า เชน่ สายไฟ ซ่งึ มีหน่วยนบั เป็น โวลต์ (Voltage) และทเ่ี ราเหน็ บ่อย ๆ จะยอ่ ด้วยสญั ลักษณ์ V เชน่ 220V เปน็ ต้น ตัวแปรอนื่ ๆ คร่าวๆ ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับแรงดันไฟฟา้ โวลต์ (Voltage) หรือ V คือหนว่ ยวัดแรงดนั ไฟฟ้า แอมแปร์ (Ampare) หรือ A เป็นหนว่ ยวัดกระแสไฟฟ้า วตั ต์ (Watt) หรือ W เป็นช่วยของกาลังไฟฟ้าท่ีใชง้ านจรงิ ความถี่ (Hertz) หรือ Hz เปน็ หน่วยวัดความถี่ของกระแสไฟฟ้า ตัวอย่าง เตารีดชนิดหน่งึ ใช้ไฟฟา้ 220V กาลังไฟ 2000W หมายความวา่ เตาอบชิน้ นีต้ ้องใช้ไฟฟา้ ที่มแี รงดัน 220V และกินไฟฟา้ 2000W ตลอดเวลาทีใ่ ช้งาน ประเภทของแรงดันไฟฟ้า 1. ไฟฟ้าแรงสูง เม่ือพดู ถงึ ไฟฟ้าแรงสงู ทุกคนอาจจะตดิ วา่ มนั คงเป็นไฟฟ้าเหมือนกนั ว่งิ ตามสายไฟมาเหมอื นกนั แต่จรงิ ๆ แล้วไฟฟ้าแรงสงู นน้ั มีค่าแรงดันไฟฟ้าสูงกว่าไฟฟา้ ตามบ้านเป็นอยา่ งมาก และผ่านการแปลงดว้ ยหล้อแปลงไฟฟ้า ตามจุดตา่ งๆ จนลดลงเหลอื 220V ทใี่ ชง้ านตามบา้ นท่ัวไป การสง่ ไฟฟา้ มาในระยะทางไกลๆ จากโรงไฟฟา้ เป็น รอ้ ยๆ กโิ ลเมตร จาเปน็ จะต้องส่งไฟฟ้าที่มแี รงดนั สงู ออกมา เพราะไฟฟ้าท่ีมแี รงดนั มากๆ จะสามารถเดินทางไปใน ระยะทางที่ไกลและลดการสูญเสยี ไฟฟ้าไดด้ ีกวา่ ไฟฟ้าแรงสูงจะมอี ยหู่ ลายระดับแรงดนั ไฟฟา้ ตามรายละเอยี ดจาก การไฟฟ้าฝ่ายผลติ แห่งประเทศไทย มีดังนี้ 500 กิโลโวลต์ (500KV) 230 กโิ ลโวลต์ (230KV) 115 กโิ ลโวลต์ (115KV) 69 กโิ ลโวลต์ (69KV) ซงึ่ จุดสงั เกตคือยิง่ เสาท่มี ีขนาดสงู มากกย็ ง่ิ เป็นเสาไฟฟ้าที่มแี รงดนั ไฟฟ้ายิ่งมาก และ สายไฟฟ้าบนเสา ก็ไมค่ วรไปเขา้ ใกล้อยา่ งมาก เพราะเป็นอันตราย โดยควรอยหู่ า่ งจากสายอยา่ งน้อย 4 เมตร 2. ไฟฟ้า 3 เฟส (ไฟฟ้าโรงงาน) ระบบไฟฟ้า 3 เฟส จะมีสายไฟในระบบถึง 4 เส้น ซึ่งสายไลน์กับไลน์ในจะมีแรงดังไฟฟา้ 380-400 V และ สายไลนก์ บั สายนิวทรอลมีแรงดนั ไฟฟา้ 220-230V มคี วามถ่ที ี่ 50Hz และสายนวิ ทรอลท่ีไมม่ ีไฟอีก 1 เส้น ซง่ึ ระบบไฟฟ้า 3 เฟาน้ี จะเหมาะสาหรบั อปุ กรณ์ไฟฟ้าสาหรับโรงงาน ทีใ่ ชก้ บั เครื่องจักรอุตสาหกรรมโรงงาน เพราะ เคร่อื งจักรเหล่านใ้ี ชแ้ รงดันไฟฟา้ สูงกวา่ ปกติ และมกี ารเปดิ การใช้งานแบบต่อเน่ือง พร้อมๆ กนั
7 ระบบไฟฟ้า 3 เฟส ก็สามารถติดตัง้ ภายในบ้านได้ แต่จะต้องแบ่งใช้ไฟฟ้า เป็น 3 ชดุ ชดุ ละ 1 เฟส กระจายไปตาม จดุ ต่างๆ ภายในบา้ น ทาให้สามารถใช้งานภายในบ้านได้ แต่การขอใช้งานไฟฟา้ 3 เฟส จะมขี ั้นตอนค่อนขา้ ง เยอะ และมีค่าใชจ้ ่ายสูงกวา่ ระบบไฟฟ้า 1 เฟส 3. ไฟฟ้า 1 เฟส (ไฟฟ้าตามบ้านเรอื นทวั่ ไป) ระบบไฟฟ้า 1 เฟส จะใหแ้ รงดันไฟฟ้า 220-230V มีความถ่ที ่ี 50Hz โดยจะมีสายไฟอยู่ 2 เส้น คอื สาย เฟสหรือสายไฟ และสายนิวทรอล ซึง่ การใชง้ าน เราจะต้องเสียบให้ครบทัง้ 2 ชอ่ ง และสายไฟท่ีใชง้ าน 2 เส้น ถึง จะใชง้ านได้ การติดตั้งระบบไฟฟา้ 1 เฟส สามารถขอติดตัง้ ได้ง่าย และมคี า่ ใช้จา่ ยไม่แพงนัก จึงเปน็ ทีน่ ยิ มในการ ติดตั้งภายในบ้านเรือนท่ัวไป (TPE Trading, 2564) แรงดันไฟฟา้ คอื กระแสไฟฟ้าเกิดจากการที่มอี เิ ล็กตรอนไหลในสายไฟ ซ่ึงการที่อเิ ลก็ ตรอนไหลหรือ เคลือ่ นท่ีไดน้ ้นั จะตอ้ งมีแรงมากระทาต่ออิเล็กตรอนทาให้เกิดกระแสไหล แรงดงั กลา่ วนีเ้ รียกว่า แรงดนั ไฟฟ้า (Voltage) ศักย์ไฟฟ้า เป็นอีกคาหน่ึงทค่ี ล้ายกับแรงดนั ไฟฟา้ จะหมายถงึ ระดับไฟฟ้า เช่น ลูกกลมที่ 1 มีประจุไฟฟ้า บวกจะมีศักยไ์ ฟฟ้าสูง สว่ นลูกกลมที่ 2 มปี ระจุไฟฟ้าลบจะมีศักยไ์ ฟฟ้าตา่ ดังนั้น ลูกกลมท่ี 1 และ 2 จงึ มีความ แตกต่างของศกั ย์ไฟฟา้ เรียกว่าความตา่ งศักย์ไฟฟา้ แรงขบั เคลื่อนทางไฟฟา้ หมายถึง แรงที่สร้างให้เกดิ แรงดันไฟฟา้ ซึ่งทาให้เกิดการเคลื่อนท่ีของอิเลก็ ตรอน อสิ ระตลอดเวลา กระแสไฟฟ้าจึงไหลตลอดเวลา แรงเคลอ่ื นไฟฟ้านอ้ี าจเกิดจากเครื่องกาเนดิ ไฟฟา้ , แบตเตอรี่, ถา่ นไฟฉาย และเซลล์เชอ้ื เพลิง ฯลฯ หนว่ ยของแรงดนั ไฟฟ้า, ความต่างศักย์ไฟฟ้า หรือแรงขับเคลือ่ นทางไฟฟา้ มหี นว่ ยเดยี วกัน คือ โวลต์ (Voltage ซึ่งแทนด้วย V) แรงดันไฟฟ้า 1 โวลต์ คอื แรงดนั ทท่ี าใหก้ ระแสไฟฟ้า 1 แอมแปรไ์ หลผา่ นเข้าไปในความ ตา้ นทาน 1 โอห์ม (่ห้องไฟฟ้า, 2560) จากความหมายของแรงดนั ไฟฟ้าดังกลา่ ว สรุปวา่ กระแสไฟฟา้ เกดิ จากการทม่ี ีอิเลก็ ตรอนไหลในสายไฟ ซึ่งการท่ีอเิ ลก็ ตรอนไหลหรือเคลื่อนท่ีได้นน้ั จะตอ้ งมีแรงมากระทา ทาให้อเิ ล็กตรอนหลุดเปน็ อสิ ระ จึงเกดิ กระแส ไหล ซ่งึ แรงดันไฟฟ้ามหี นว่ ยเป็น โวลต์ (Voltage ซึ่งแทนด้วย V)
8 2.4 สายพันธข์ุ องสม้ สาหรับสายพันธ์สุ ้มมีหลายชนิด แต่ละชนดิ ะมีรสชาติทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป โดยการเลือกซื้อสม้ ใหม้ ีรสชาติ หวานอรอ่ ยควรเลอื กสม้ ที่ผิวเรยี บเนียน เปลอื กบาง เพราะจะใหน้ ้าเยอะ สาหรับสม้ ทน่ี ิยมปลกู มากในบา้ นเรานี้ก็ ได้แก่ ส้มเกลยี้ ง สม้ เขยี วหวาน สม้ จุก ส้มตรา (ส้มเช้ง) และส้มโอ สว่ นชนดิ ของส้มน้นั กไ็ ดแ้ ก่ 1.สม้ เกลีย้ ง ถ่ินกำเนดิ จำกจีน เป็นหนง่ึ ในตระกลู สม้ ท่ีนิยมปลกู กนั มำกในไทย เหมำะแก่กำรใชท้ ำบญุ หรอื งำนเทศกำลตำ่ ง ๆ 2.สม้ เชง้ หรอื สม้ ตรำ สม้ พืน้ เมืองของชำวจีนและจดั วำ่ เป็นผลไมม้ งคลในกำรประกอบพธิ ีตำ่ ง ๆ ใชก้ ิน สด ๆ หรอื ทำเป็นนำ้ ผลไม้ 3.สม้ แกว้ ปลกู มำกในจงั หวดั สมทุ รสงครำม เป็นสม้ ท่ีมีขนำดใหญ่รองจำกสม้ โอ นยิ มใชท้ ำนำ้ สม้ คนั้ และเป็นผลไมเ้ ซน่ ไหวใ้ นชว่ งเทศกำลตำ่ ง ๆ 4.สม้ จกุ มีรสชำตหิ วำนออ่ น ๆ เหมำะกบั ผทู้ ่ีเป็นโรคเบำหวำน หรือผทู้ ่ีตอ้ งกำรลดนำ้ หนกั 5.สม้ จีน ผลไมม้ งคลสำหรบั คนจีน สีเหมือนทอง นิยมนำมำไหวเ้ จำ้ หรือบรรพบรุ ุษ 6.สม้ จีด๊ ไมน่ ิยมนำมำกินเพรำะมีรสเปรยี้ วมำก แตค่ นจีนนยิ มนำมำอบแหง้ 7.สม้ โอ สำมำรถนำมำทำอำหำรไดห้ ลำยชนดิ ทงั้ คำวและหวำน 8.สม้ ซนั คสิ ต์ รสชำตเิ ขม้ ขน้ เปลือกมีกล่นิ หอม นิยมใชเ้ ปลือกมำทำขนม เชน่ แยม คกุ กี้ เลมอน มีรสเปรีย้ วหวำนนิด ๆ เป็นท่ีนิยมของตำ่ งประเทศ 8.มะนำว ก็จดั อยใู่ นตระกลู สม้ เหมือนกนั และจดั วำ่ มีรสเปรยี้ วมำกท่ีสดุ 9.มะกรูด นิยมนำกล่นิ หอมจำกเปลือกมำใชใ้ นกำรปรุงอำหำร แตน่ ำ้ มะกรูดก็นำมำใชท้ ำยำสระผมได้ เหมือนกนั ส้มจ๊ีด หรือ ส้มกมิ จ๊อ ชอื่ วิทยาศาสตร:์ Citrus Japonica Thunb ชือ่ วงศ์: RUTACEAE ไม้พมุ่ ขนาดกลาง แตกแขนงเปน็ พุ่มแนน่ ใบรูปไข่ สเี ขียวสดเปน็ มนั มีหูใบขนาดเล็ก ดอกออกดอกเดย่ี ว แต่มกั ออกรวมกนั เป็นกลุ่ม มีสีขาว ตดิ ผลดก ผลกลมเหมือนสม้ ทว่ั ไป แตม่ ีขนาดเลก็ เป็นส้มชนิดทกี่ นิ เปลอื ก ผลขนาดเล็ก มที ง้ั กลมและรี เปลอื กสเี หลือง เหลืองอมเขียว หรือเหลืองทอง ผลดก ผิวทหี่ นา มีรสเปรย้ี ว อมหวานเฝอ่ื นนดิ ๆ จึงนิยมนาเปลือก
9 ไปดองเคม็ เรยี กกิมจอ๊ เป็นพืชท้องถ่ินในประเทศจนี แล้วจงึ แพร่หลายไปสู่ญีป่ ุ่น ไตห้ วัน และเกาหลี ภาษาจีน กวางต้งุ เรียกว่าก่าควดิ ซึง่ เป็นท่มี าของชื่อสามัญในภาษาอังกฤษ Kumquat เปน็ ได้ทัง้ ไม้กินผลและไม้ประดบั เปลือกสม้ มีสรรพคุณช่วยขบั ลม ช่วยย่อย ทาให้เจริญอาหาร ขับเสมหะ ดองเกลือและทาให้แห้ง อมแก้เจ็บคอ แตง่ รสเปร้ยี วในการทาน้าผลไม้ ใช้ทาแยม (SCG, 2558) 2.5 สายสายพันธ์มุ ะนาว มะนาว ถือเป็นพืชเศรษฐกิจท่ีมีบทบาทสูง และเป็นทต่ี ้องการของตลาดตลอดทงั้ ปี โดยเฉพาะช่วงฤดูแลง้ ประมาณเดือน มีนาคม-เมษายน มักมีผลผลิตเข้าสตู่ ลาดในปรมิ าณนอ้ ย ทาใหม้ ะนาวชว่ งหนา้ แล้งมรี าคาสูงกวา่ ปกติ หากใครมีพน้ื ท่ีอยแู่ ลว้ แตย่ ังตดั สินใจไม่ได้วา่ จะเลอื กปลกู มะนาวพันธ์ุใด กข็ อแนะนา “มะนาวแปน้ สริ นิ นท์” มะนาวแป้นสริ ินนท์ จดุ เด่นของมะนาวแป้นสริ นิ นท์ ให้ผลดก ตลอดทั้งปี แปน้ สิรนิ นท์ มีโครงสร้างใบ 3 ส่วน : 2 ส่วน คือ แผนใบ และ ก้านใบ แต่แปน้ สิรินนท์ มสี ่วนประกอบของใบท่ีเพ่มิ ข้ึนมาอีก 1 ส่วน คอื หใู บ แป้นสิรินนท์ มผี วิ มันเหมอื น มีแว็กซ์เคลือบผิว ผวิ บาง ให้นา้ เยอะ การปลูกดูแล มะนาวแปน้ สริ ินนท์ เหมาะสาหรับปลกู เชงิ การคา้ เพราะปลูกดูแลงา่ ยใหผ้ ลตอบแทนต่อไร่สูง ย่ิงปลกู มะนาวในวงบ่อซเี มนต์ จะทาใหต้ ้นมะนาวไมส่ งู มาก ดูแลจัดการงา่ ย ตงั้ แต่การควบคุมปัญหาโรคและศัตรูพชื การเก็บเกย่ี วผลผลติ ตัดแตง่ กิ่งได้งา่ ยและบังคบั ให้ตน้ มะนาวมผี ลผลิตนอกฤดูไดง้ ่ายและใหผ้ ลผลิตทด่ี ี (กลั ยารตั น์, 2561) ภาพที่ 4 มะนาวสายพนั ธุ์แป้นสริ นิ ทร์
10 มะนาวแป้นสริ ินนท์ มะนาวชนดิ น้ีมที ี่มาของสายพันธ์แุ ละช่ือโดยอ. บุญเก้ือชมฉ่าหรือ“ อ. แปะ๊ ” เจา้ ของสวนมะนาวที่ บ้านเลขที่ 99/4 หมู่ 1 ถ. นครอินทรต์ . บางไผ่อ. เมืองจ. นนทบุรีทป่ี ลูกมะนาวสายพนั ธ์ุตา่ งๆไว้จานวนมากได้ ขยายพนั ธ์ุน่าเอากิง่ มะนาวต้นหนง่ึ ทป่ี ลูกไว้ แต่จาไม่ได้วา่ เป็นพนั ธุอ์ ะไรไปเสยี บยอดกับตอสม้ โอแลว้ ปลกู เลย้ี งจน ตน้ โตมดี อกและติดผลปรากฏวา่ ตดิ ผลดกมากผลมีขนาดใหญ่กวา่ ผลมะนาวแปน้ ท่วั ไปอย่างชดั เจนเปลือกผลบางมี เมลด็ ไม่มากนักเมื่อนาเอาผลผ่าบบี หรือค้นั เอานา้ ให้น้าเยอะรสชาตขิ องน้าเปรยี้ วจดั และมกี ลิ่นหอมแรงเฉพาะตวั จงึ เช่ือว่าเปน็ มชนาวพันธใ์ุ หม่อย่างแนน่ อนเลยขยายพันธุต์ อนกิ่งปลูกทดสอบความนิง่ ของพันธ์ุอยู่หลายวธิ แี ละหลาย ครง้ั ปรากฏวา่ ทกุ อยา่ งยังคงที่ไม่เปลย่ี นแปลงเลยตั้งช่ือวา่ “ มะนาวแป้นสริ ินนท์ \"ซึง่ หมายถงึ มะนาวดีของจงั หวัด นนทบรุ นี น่ั เองมะนาวแป้นสริ ินนท์มลี กั ษณะทางพฤกษศาสตร์และชอ่ื วิทยาศาสตรเ์ หมือนกับมะนาวท่ัวไปทุกอยา่ ง มีความโดดเดน่ ประจาพันธุ์คือติดผลดกตลอดปีโดยธรรมชาตผิ ลโตเตม็ ทม่ี ีนา้ หนกั เฉลยี่ ประมาณ 10-13 ผลตอ่ 1 กโิ ลกรัมเปลอื กผลบางมีเมลด็ ไมม่ ากนกั ผ่าบบี หรือค้ันเอาน้าใหน้ ้าเยอะรสชาตเิ ปรีย้ วจัดมีกลน่ิ หอมแรงตามทก่ี ลา่ ว ข้างตน้ ขยายพันธแุ์ บบทั่วไปด้วยเมลด็ ตอนก่ิงทาบก่ิงและเสียบยอด (เกษตร, 2558) ภาพท่ี 5 มะนาวสายพนั ธุแ์ ป้นสิรินทร์ “มะนาวแปน้ สิรินนท์” เปลอื กผลบาง น้าเยอะ รสชาตเิ ปร้ยี วจดั และมกี ล่ินหอม สาหรับใครทก่ี าลังหา มะนาวพนั ธุด์ ีมาทดลองปลูก มะนาวแป้นสริ นิ นท์ ก็เป็นอีกพันธม์ุ ะนาวท่ีน่าสนใจ เพราะวา่ ผลมีขนาดใหญก่ ว่าผล มะนาวแป้นท่ัวไปอยา่ งชดั เจน เปลอื กผลบาง มีเมลด็ ไม่มากนกั ผลโตเตม็ ท่มี นี ้าหนักเฉลยี่ ประมาณ 10–13 ผล ต่อ 1 กิโลกรมั สาหรบั มะนาวแล้วยังเปน็ พืชท่ีนา่ สนใจแม้จะเร่มิ มีการปลูกมากขึ้น แต่คนก็ยังมปี จั จัยอน่ื ๆท่ียงั ทา
11 ให้มะนาวยงั ราคาดีอยู่ มะนาวแป้นสริ นิ นท์ มะนาวชนิดนี้ มีที่มาของสายพันธ์ุและช่ือ โดย อ.บญุ เก้ือ ชมฉ่า หรือ “อ.แป๊ะ” เจ้าของสวนมะนาว ที่บ้านเลขท่ี 99/4 หมู่ 1 ถ.นครอนิ ทร์ ต.บางไผ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี ทปี่ ลูกมะนาว สายพนั ธุต์ ่างๆไว้จานวนมาก ได้ขยายพนั ธน์ุ าเอากิ่งมะนาวต้นหนึ่งทีป่ ลกู ไวแ้ ตจ่ าไม่ได้ว่าเป็นพนั ธ์อุ ะไรไปเสียบยอด กับตอส้มโอ แล้วปลกู เล้ยี งจนตน้ โตมีดอกและตดิ ผล ปรากฏวา่ ตดิ ผลดกมาก ผลมีขนาดใหญ่กว่าผลมะนาวแป้น ทั่วไปอย่างชัดเจน เปลือกผลบาง มเี มล็ดไมม่ ากนัก เม่ือนาเอาผลผ่าบบี หรอื ค้ันเอานา้ ให้น้าเยอะ รสชาติของ น้า เปร้ียวจดั และมกี ลิน่ หอมแรงเฉพาะตัว จึงเช่ือว่าเป็นมะนาวพนั ธ์ุใหม่อย่างแน่นอน เลยขยายพนั ธุต์ อนกง่ิ ปลูก ทดสอบความนิ่งของพนั ธอ์ุ ย่หู ลายวธิ แี ละหลายคร้งั ปรากฏว่าทกุ อย่างยังคงทไ่ี ม่เปล่ียนแปลง เลยตง้ั ชอ่ื วา่ “มะนาวแปน้ สริ นิ นท์” ซึ่งหมายถึงมะนาวดีของจงั หวดั นนทบรุ ี (บางกอกทูเดย์ทีม, 2558) ภาพที่ 6 ต้นกลา้ มะนาวสายพันธ์ุแป้นสิรินทร์ จากสายสายพันธม์ุ ะนาวแปน้ สริ นิ ทร์ ดงั กล่าว สรุปไดว้ า่ มะนาวพนั ธ์แุ ป้นสิรินทร์ ให้ผลดก ตลอดทง้ั ปี มีผวิ มันเหมือนมีแว็กซ์เคลือบผิว ผิวบาง ให้นา้ เยอะ ผลดกตลอดปโี ดยธรรมชาตผิ ลโตเต็มทมี่ นี ้าหนักเฉลี่ยประมาณ 10-13 ผลตอ่ 1 กิโลกรมั รสชาติเปรย้ี วจัด และมกี ลน่ิ หอม สาหรับใครทีก่ าลังหามะนาวพันธุด์ มี าทดลองปลูก ผลมีขนาดใหญ่กวา่ ผลมะนาวแปน้ ทว่ั ไปอยา่ งชดั เจน เปลือกผลบาง มีเมลด็ ไมม่ ากนัก ผลโตเตม็ ทีม่ นี ้าหนักเฉล่ีย
12 ประมาณ 10–13 ผล ตอ่ 1 กิโลกรมั ปลูกง่าย ใหผ้ ลิตเยอะ เม่อื นาเอาผลผา่ บีบหรือคั้นเอาน้าใหน้ า้ เยอะ รสชาติ ของ น้าเปรย้ี วจดั และมีกลิ่นหอมแรงเฉพาะตัว 2.6 สายพันธ์ุของสบั ปะรด 1.พันธุป์ ตั ตาเวยี ลกั ษณะทว่ั ไปมที รงต้นใหญ่กวา่ พันธอ์ุ นื่ ๆ ใบมีสีเข้ม ผวิ ใบดา้ นบนเป็นเงามนั ขอบใบเรียบอาจมหี นามท่ี ปลายใบเลก็ นอ้ ย ผลมีขนาดใหญ่ น้าหนกั 2-6 กโิ ลกรัม ก้านผลสน้ั เปลอื กผลสเี ขยี ว รูปทรงกระบอก หรอื อาจมี โคนใหญ่ปลายเรียว เน้ือละเอียด สเี หลือง แกนใหญ่ รสหวานแหลม มเี ยอ่ื ใยในเนอื้ ผลเม่ือแก่ จะเปล่ยี นเปน็ สี เหลอื งอมเขยี ว เหลอื งสม้ หรืออาจไมเ่ ปลย่ี นสี ตาค่อนข้างลึกและเปลอื กหนา 2.พนั ธ์ุอนิ ทรชติ แดง สบั ปะรดพันธุน์ ี้นับเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของประเทศไทย ลักษณะท่วั ไปใบจะมีหนามแหลมคม รูปโค้งงอ สี นา้ ตาลอมแดงท่ีขอบใบ ใบสเี ขียวออ่ น ใบด้านไม่เปน็ มัน ไม่เป็นร่องชดั เจนเหมือนกับพนั ธ์ุปตั ตาเวยี ขอบใบทงั้ สอง ข้างจะมแี ถบสีนา้ ตาลตามยาว ผลมขี นาดเลก็ ผลย่อมนนู เด่น ตาลกึ เน้อื ในสเี หลืองทอง รสหวานอ่อน ไมห่ อมจัด มี เยื่อใยมาก ไมเ่ หมาะกับการทาอตุ สาหกรรมเนื่องจากมผี ลขนาดเลก็ เกินไป 3.พนั ธอ์ุ นิ ทรชิตขาว สับปะรดพนั ธุน์ ม้ี ีลักษณะของทรงพมุ่ คอ่ นข้างเตย้ี ใบแคบและสน้ั กว่าพนั ธ์อุ ินทรชติ แดง ใบสีเขียวอม เหลอื งหรือเขยี วใบไม้ ขอบใบหนามงอโค้งสปู่ ลาบใบ เนอื้ ผลสเี หลืองทอง รสหวานอ่อน คณุ ภาพของเน้ือไมด่ นี ัก ผลมหี ลายจุก ขนาดผลเล็กพอ ๆ กบั พันธอ์ุ ินทรชติ แดง 4.พันธุ์ภเู ก็ต สับปะรดพันธุ์นี้ มชี ่ือเรียกในหลายรูปแบบ ท้ังสบั ปะรดฝร่ัง พันธ์ุสวี พันธช์ุ ุมพร โดยมลี กั ษณะเป็นทรงพุม่ ปานกลาง ใบสชี มพปู นแดง ขอบใบมหี นามเรียงตวั กนั เป็นระเบียบ ขนาดของผลเลก็ กวา่ ทกุ พันธ์ุ ผลเปน็ รูป ทรงกระบอกไดส้ ัดสว่ น นา้ หนักผล 0.5-1 กิโลกรมั ปรมิ าณเย่อื ใยในเน้ือต่ามาก เน้ือเหลอื งสดใส รสชาติหวานหอม กรอบ ปัจจุบนั นิยมปลูกทางภาคใต้ โดยจะปลูกแซมสวนมะพรา้ วและยางพาราปลูกใหม่ ซงึ่ แหล่งปลูกทส่ี าคญั คือ จ.ภเู ก็ต,ชมุ พร และตราด
13 5.พันธุ์นางแล บางคนเรียกพนั ธน์ุ า้ ผึ้ง อาจจัดไดว้ า่ เปน็ พันธย์ุ ่อย ของพันธ์ุปตั ตาเวีย เพราะมลี ักษณะของลาตน้ ใบ ดอก และรูปรา่ งอน่ื ๆ คลา้ ยคลึงกบั สับปะรดในกล่มุ Cayenne ทรงพุ่มไล่เลีย่ กัน ขอบใบเรยี บไมม่ หี นาม ขนาดผลเล็ก กวา่ มที รงผลกรม โดยสับปะรดพันธุน์ ี้ผลยอ่ ยค่อนขา้ งโปนออกมาภายนอกผลเปลือกบาง เมือ่ ปอกเปลือกจงึ ไม่มี สว่ นของตาฝังอยขู่ ้างใน 6.สับปะรดศรีราชา เป็นสับปะรดทขี่ ้ึนทะเบยี นสง่ิ บ่งชท้ี างภมู ิศาสตร์ เม่ือวนั ท่ี 15 ส.ค.2558 รูปรา่ งกลมรี มีปลายจกุ แหลม น้าหนักผล 1.5-3.5 กิโลกรมั กา้ นผลสัน้ มีไส้ใหญ่ตาคอ่ นข้างตน้ื เปลือกผวิ ผลดิบมสี ีเขยี วคล้า ผลสุกมสี เี ขยี วอิม เหลืองอมสม้ เน้ือละเอยี ดสีเหลอื งอ่อน แต่จะเป็นสีเข้มในฤดูร้อน รสชาตหิ วานฉ่า มกี ลน่ิ หอม เก็บเก่ียวผลผลติ ได้ เกือบท้ังปีโดยผลผลิตจะออกมากชว่ งเดือน เม.ย.-ม.ิ ย. และเดือน ต.ค.-ธ.ค. 7.สัปปะรดตราดสที อง เปน็ สับปะรดสายพันธค์ุ วนี ที่มีคุณภาพดี ปลูกงา่ ย ปลกู ได้ตลอดทงั้ ปี มีผลขนาดใหญ่ หวาน กรอบ ใบ แคบและยาวสีเขยี วออ่ นมแี ถบหรอื เส้นสแี ดงตอนกลางใย ทขี่ อบใบมีหนามสีแดงรปู โค้ง จกุ มีหยามเหมือนใบ สว่ น ผลเป็นรูปทรงกระบอกสม่าเสมอเปลอื กบาง เปลือกสเี ขยี วอมส้ม ผลแก่สีเหลืองท้ังผล ตานูนและลึก ขนาดผลหนัก 1.8-1.5 กโิ ลกรัม เน้อื มีสเี หลืองเข้ม ละเอยี ด ไม่ฉ่าน้า เยอื่ ใยน้อยมชี อ่ งวา่ งในเนื้อ แกนกลางเลก็ สม่าเสมอ เน้อื และ แกนกรอบ รสหวานมาก มีกลิ่นหอม 8.สับปะรดหว้ ยมุ่น เป็นสับปะรดสายพนั ธ์ดุ ีของ จ.อุตรดติ ถ์ เปน็ พนั ธป์ุ ตั ตาเวียจาก จ.ระยอง ชลบรุ ี แต่เม่ือนามาปลูกท่ี ต. หว้ ยมุ่น อ.นา้ ปาด จ.อตุ รดิตถ์ ซึ่งพ้นื ทป่ี ลกู สว่ นใหญเ่ ปน็ ดอยสงู ท่เี ชงิ เขา สงู จากระดับนา้ ทะเลกว่า 400 เมตร สับปะรดเป็นพืชเศรษฐกิจทส่ี าคัญของจงั หวัดอุตรดิตถ์ มีลักษณะท่ีดีหลายประการ เป็นที่ตอ้ งการของตลาดและ ผู้บริโภค เชน่ เนือ้ เหลอื งอมน้าผึ้ง รสชาตหิ วานฉา่ ตาไมล่ ึก ทาให้มสี ว่ นของเนอ้ื มาก ผลค่อนข้างเล็ก นา้ หนกั 1-3 กิโลกรมั รบั ประทานแลว้ ไมร่ ะคายคอ ปัจจุบันมีพ้นื ท่ีปลูกประมาณ 13,000 ไร่ พน้ื ที่ใหผ้ ลผลติ แล้วประมาณ 9,500 ไร่ ได้ผลผลติ เฉลยี่ 6 ตันต่อไร่ ฤดูกาลปลูกอยใู่ นชว่ งเดือนม.ิ ย.-ก.ค
14 9.สบั ปะรดภแู ลเชียงราย เปน็ สบั ปะรดในกลุ่มควีนที่ได้ ขึน้ ทะเบียนส่งิ บ่งชที้ างภมู ิศาสตรเ์ ม่อื วนั ที่ 8 พ.ย.2548 เม่ือ พ.ศ.2520 นาย เอนก ประทีป ณ ถลาง อาจารยม์ หาวทิ ยาลัยราชภัฏเชียงราย ไดน้ าหนอ่ พนั ธ์ุสับปะรดภูเก็ต จากจังหวัดภูเก็ตมา ปลูกคร้ังแรกท่ี ต.นางแล อ.เมือง จ.เชยี งราย ด้วยสภาพทางภมู ศิ าสตร์ทาใหส้ ับปะรดภแู ลมีลกั ษณะที่แตกต่างจาก สับปะรดภูเกต็ คือ ขนาดผลเล็ก มีน้าหนกั ตง้ั แต่ 0.15-1 กโิ ลกรัม จกุ มีลกั ษณะช้ีตรว ตาผลเตง่ ตงึ โปนออกมาจาก ผลอยา่ งเห็นไดช้ ัด เปลอื กค่อนขา้ งหนา เหมาะสาหรบั การขนสง่ ระยะไกล เม่อื สกุ เปลือกผลจะมีสเี หลอื งหรอื เหลือง ปนเขยี ว เนอื้ สีเหลือง กรอบ กล่นิ หอม แกนสบั ปะรดกรอบรบั ประทานได้ ปลูกไดต้ ลอดทัง้ ปี เก็บเกย่ี วเหลังจาก ออกดอกประมาณ 120-150 วนั ขน้ึ กบั ฤดกู าล เรียกชอ่ื สบั ปะรดดังกลา่ วว่า “สบั ปะรดภแู ล” โดยการนาเอาชื่อ “ภเู กต็ ” ซ่งึ เป็นแหลง่ ปลกู เดิมมาผสมคากบั แหล่งปลกู ใหม่ คือ “นางแล” 10.สบั ปะรดภูเกต็ เปน็ กลมุ่ สายพันธค์ุ วีน ซ่ึงได้ขึ้นทะเบียนสิง่ บง่ ช้ีทางภูมศิ าสตรเ์ มอื่ วนั ท่ี 26 ต.ค.2550 หมายถงึ สับปะรดที่ อยู่ในสายพันธุ์ควีน ซ่งึ ปลูกใน อ.เมืองกะท้แู ละ อ.ถลาง จ.ภูเกต็ ลกั ษณะใบมีสเี ขยี วอ่อน มแี ถบสีแดงบรเิ วณกลาง ใบ ขอบใบเรียบ มหี นามสีแดงตลอดความยาวของใบ ผลรปู ทรงกระบอกขนาดกลาง มีน้าหนักตง้ั แต่ 0.9-1.6 กโิ ลกรมั ตัวจกุ มีลกั ษณะตรงหรือเอียง ตาผลลึก เนื้อมสี ีเหลืองเขม้ สมา่ เสมอ กล่นิ หอม เยอื่ ใยน้อย รสชาตหิ วาน กรอบ แกนผลมีความกรอบมากแตร่ บั ประทานได้ 11.พนั ธ์ุเพชรบรุ ี 1 เป็นสับปะรดกล่มุ ควนี ทมี่ ีการปรบั ปรุงสายพันธจ์ุ ากประเทศไต้หวนั โดยกรมวชิ าการเกษตรท่ีศนู ยว์ ิจัยพชื สวนเพชรบรุ ี ลักษณะทวั่ ไปน้ันเปน็ ผลสับปะรดขนาดใหญ่ นา้ หนัก 1.5-2 กโิ ลกรัม ตาโต รอ่ งตาลึก คล้ายพันธุ์ ตราดสีทอง เน้ือสเี หลอื งเข้มตลอดผล เยอ่ื ใยน้อย รสชาติหวาน กล่ินหอม ขอบใบมหี นามแหลมคม จกุ มีหนาม 12.พนั ธุ์เพชรบุรี 2 เป็นสบั ปะรดทีน่ าสายพนั ธุ์เข้ามาจากฮาวาย ผลใหญม่ าก น้าหนกั ผล 2-4 กิโลกรมั อายุการบังคับดอก นานกว่าทุกสายพนั ธุ์ ใบไม่มหี นาม เนือ้ สีขาว อ่อนน้มุ ฉ่าน้า รสชาตหิ วานมาก เป็นสับปะรดท่ีให้จานวนหนอ่ น้อย ท่ีสดุ
15 13.พนั ธภุ์ ชู วาหรอื ไซโก้เบอร์ 6 เปน็ สบั ปะรดท่ีพัฒนาขน้ึ โดย รศ.จารพุ ันธ์ ทองแถม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในโครงการวิจยั ท่ี จ. ระยอง ขนาดผลน้าหนกั 1.2-1.5 กโิ ลกรัม ผลออ่ นเปลือกสีเขียวออ่ น เม่ือสกุ จะเปลยี่ นเป็นสเี หลอื งทองสวยงามทัง้ ผล เน้ือสเี หลืองทองตลอดผล เนอ้ื นุ่มไม่มเี ยื่อใย เคี้ยวไปไม่ติดฟนั มกี ลน่ิ หอม 14.พนั ธุ์ MD2 หรือคนไทยเรียกว่า “พนั ธุ์เหลืองสายร้อยยอด” หรือ “พันธ์ุหอมสุวรรณ” เป็นสบั ปะรดลกู ผสมจาก ฮาวาย สหรฐั อเมริกา ใชบ้ ริโภคผล ( พานิชย์ ยศปัญญา, 2558 : หนา้ 93 ) สายพันธ์ขุ องสับปะรด 1.พนั ธุป์ ัตตาเวีย (Smooth Cayenne) หรอื ที่เรยี กกนั ท่ัวไป ว่า พนั ธ์ศุ รีราชา มีผลใหญ่ทีส่ ดุ ใน บรรดาสับปะรดด้วยกัน เนอื้ มรี สหวานฉ่า ใบมสี ีเขยี วเขม้ กลางใบเป็นรอ่ งมีสีแดงอมนา้ ตาล ปลาย ใบมีหนามเลก็ น้อย เปน็ พันธุ์เดยี วที่ปลูกเพอื่ ส่งโรงงานสับปะรดกระปอ๋ ง ปลูกมากในจงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ ชลบุรี เพชรบรุ ี ระยอง และลาปาง 2.พันธ์อุ นิ ทรชติ หรอื อินทรชติ แดง (Singapore Spanish) เป็นพนั ธ์ุ เก่าแกท่ ส่ี ุดของประเทศ ไทย ปลกู มานานนบั ตงั้ แตส่ มัยกรงุ ศรอี ยุธยา ตน้ มขี นาดใหญ่กว่าพันธปุ์ ัตตาเวีย เลก็ นอ้ ย แตม่ หี นาม แหลมคมรูปโค้งงอ สีนา้ ตาลอมแดงทข่ี อบใบ ใบมีสเี ขียวออ่ น ผลย่อยนนู เดน่ ชัด ตาลึกเมือ่ แกจ่ ัด เน้อื เปน็ สีทอง รสไมห่ วานจดั ภายในผลมเี ส้นใยมากและผลค่อนข้างเลก็ จึง ไมน่ ยิ มปลกู เพ่อื บรรจุ กระปอ๋ ง ปลกู มากทอี่ าเภอบางคลา้ จงั หวดั ฉะเชงิ เทรา 3.พันธขุ์ าว (Selangor Green) เปน็ พนั ธุ์ทีป่ ลกู มากในอาเภอ บางคลา้ มที รงพุ่มเต้ยี มใี บสี เขยี วอมเหลือง ใบสั้นและแคบกว่าอินทรชติ ขอบใบมีหนามแหลม ผลมหี ลายจุก แต่เนือ้ มีรสชาตแิ ละ คุณภาพคล้ายคลึง กับพนั ธ์ุอินทรชิตมาก จงึ มผี สู้ นั นิษฐานวา่ คงจะกลายพันธมุ์ าจากพนั ธุ์ อินทรชิ 4.พันธภ์ุ ูเก็ต หรอื พนั ธุส์ วี (Malacca Queen) เปน็ พนั ธ์ุทม่ี ใี บแคบ และยาว ใบสีเขียวอ่อน และมแี ถบสแี ดงตอนกลางใบ ขอบใบเตม็ ไปดว้ ย หนามสแี ดง ผลมีขนาดเลก็ ผลย่อยนูน ตาลกึ เนือ้ มีสี เหลอื ง รสหวานกรอบ และมกี ลิน่ หอม นยิ มปลูกกันมากในภาคใต้บริเวณจังหวัดภูเกต็ และชุมพร 5.พนั ธุ์นางแล หรอื พนั ธนุ์ ้าผึง้ มีผกู้ ล่าวว่าพนั ธ์ุน้าผึง้ นี้นามา จากประเทศศรลี งั กาบางทา่ นก็ กลา่ วว่านามาจากมณฑลยูนนานของจีนแตจ่ าก ลกั ษณะต่างๆ ไมว่ ่าจะเปน็ ลกั ษณะของต้น ใบ ดอก
16 และผล จะคลา้ ยคลึงกนั พันธุป์ ตั ตาเวียมาก จึงอาจเปน็ พนั ธุย์ อ่ ย หรอื กลายพันธ์ุมาจาก พันธุ์ปัตตาเวีย มปี ลูกมากท่ี ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย เน่ืองจากมรี ส หวานจดั เปน็ ที่นิยมของตลาด จึงปลกู เพ่มิ มากขนึ้ ในพืน้ ทดี่ ังกล่าว (ณฐั นนท์ พทุ ธพงค์, 2554 : หนา้ 3 ) พนั ธ์สุ ับปะรดมีการจาแนกพนั ธ์ุออกเป็น 5 กล่มุ ได้แก่ Cayenne, Queen, Spanish, Pernambuco และ Mordilona โดยกลุม่ ทีจ่ ดั วา่ มีบทบาทสาคญั ทางการค้ามี 3 กลมุ่ คือ 1. กลมุ่ ไคยีน (Cayenne) มลี ักษณะ ขอบใบเรียบมหี นามเพียงเล็กน้อยที่ส่วนปลายใบ มี จานวนใบประมาณ 80 ใบ สีเขยี วเข้มด้านบนเป็นมนั และมักมเี หลอื บสีแดงในฤดทู ี่มีแสงแดดจดั ด้านล่าง ใบมไี ขลักษณะเป็นขนสเี ทา เงินปกคลุมอยทู่ ัว่ ไป ผลมีขนาดเฉลีย่ 1.0-2.5 กิโลกรัม ทรงกระบอก สว่ นปลายมกั จะเรยี วเลก็ กวา่ ส่วนโคน เปลือก ผลจะ มีสีเขียวเข้มและเปลีย่ นเปน็ สีเหลอื งเมื่อผลสกุ ตาตื้น เน้อื สเี หลืองมปี ริมาณกรดและน้าตาลค่อนขา้ งสูง เมื่อ เปรยี บเทยี บกับสับปะรดในกลุม่ อ่นื โดยเฉลีย่ มปี รมิ าณกรด 0.3-0.7 เปอร์เซ็นต์ และปริมาณ น้าตาล 12-16 บริกซ์ สร้างตะเกยี งน้อย พนั ธ์ุ สับปะรดในกลมุ่ น้ีได้แก่ Smooth Cayenne หรือ พนั ธ์ปุ ัตตาเวยี พนั ธ์ุศรีราชา พันธ์ุหว้ ยมนุ่ พันธนุ์ าง แล และพันธุ์ MD2 หรือทมี่ ีชื่อเรียกทางการคา้ อืน่ ๆ เชน่ พนั ธเ์ุ หลืองสามร้อยยอดหรือพันธ์ุ หอมสวุ รรณ 2. กลุ่มควนี (Queen) ลักษณะขอบ ใบมหี นามเรียงชดิ ติดกนั ตลอดความยาวของใบ สี เขยี วออ่ น มีแถบสชี มพู บรเิ วณกลางใบ ผลมขี นาด ประมาณ 1 กโิ ลกรมั ทรงกระบอก ตานนู เปลือก หนา เปลอื กผลสีเขยี วปนเทาเมื่อสุก เปลอื กจะมีสี เหลอื ง เนื้อผลสเี หลืองเขม้ รสหวานอมเปร้ียวแกน และเนื้อกรอบมีกล่ินหอมแรง มกี ารแตกหน่อมาก พันธส์ุ ับปะรดกลุ่มนไ้ี ด้แก่ พันธ์ภุ เู กต็ พันธุ์ตราดสที อง พันธุ์ภแู ล (Mauritius Pine, Ceylon, Malecca Queen) 3. กลุ่มสเปน (Spannish) ลักษณะใบ แผ่ออกไม่ค่อยมีรอ่ งกลางใบ ขอบใบมีหนามแหลม รปู โคง้ งอ ผลมี รูปรา่ งกลมน้าหนกั เฉลีย่ 1.0-1.5 กิโลกรัม ตานนู ขนาดของตาใหญ่กว่าพวก Cayenne เน้ือในมสี ีเหลอื งซดี มี ปริมาณเยื่อใย สงู แกนผลเหนียว กลิ่นหอมแรงและรสหวานอม เปรย้ี ว พนั ธุ์สบั ปะรดท่ปี ลูกในประเทศไทยนิยม เรียก วา่ สบั ปะรดสิงค์โปรได้แก่ พนั ธอุ์ นิ ทรชติ แดง และ พนั ธข์ุ าว (Singapore Spanish,Green Spanish) ( สนั ติ ชา่ งเจรจาเเละคณะ, 2559 : หน้า 6 ) จากข้อมลู ของสายพันธส์ุ บั ปะรดดังกล่าว สรปุ ไดว้ า่ สายพันธขุ์ องสับปะรดในประเทศไทย มีการจาแนกพันธ์ุ ออกเปน็ 5 กลมุ่ หลกั ได้แก่ Cayenne, Queen, Spanish, Pernambuco และ Mordilona กลุ่มท่ีมีบทบาท สาคญั ทางการค้ามี 3 กลมุ่ คือ Cayenne, Queen, Spanish ถา้ หากเเบ่งตามลกั ษณะที่เเตกต่างกันจะได้สายพันธุ์ จานวนมาก เช่น พนั ธปุ์ ตั ตาเวีย พนั ธุอ์ นิ ทรชิตหรืออินทรชิตแดง พนั ธ์ขุ าว พันธนุ์ างเเลหรอื พันธุน์ ้าผึ้ง พนั ธภ์ุ ูเกต็ หรอื พันธส์ุ วีพันธศ์ุ รีราชา พนั ธุต์ ราดสีทอง พนั ธุห์ ว้ ยมนุ่ พันธุ์ MD2 เปน็ ตน้
17 บทที่ 3 วิธดี าเนนิ การทดลอง 3.1 วสั ดอุ ปุ กรณ์และเครื่องมอื พเิ ศษ 3.1.1 วัสดุอุปกรณ์ 1.แก้วมังกร 2.สับปะรด 3.สม้ 4.มะนาว 5.แผ่นสงั กะสี 6.แผน่ ทองแดง 3.1.2 เครือ่ งมือชนดิ พเิ ศษ 1.โวลต์มิเตอร์
18 3.2 ขั้นตอนดาเนนิ การทดลอง 1.ขั้นตอนการเตรียมผัก-ผลไม้ นามะนาว สม้ แกว้ มังกรและสับปะรดมาลา้ งใหส้ ะอาด แล้วนาไปซบั ให้แห้ง 2.การทดลองเปรียบเทยี บปริมาณแรงดนั ไฟฟา้ ในผกั -ผลไม้ 1.นาแผน่ สังกะสแี ละทองแดง มาตดั ให้มขี นาดเท่ากนั คือ 7*4 เซนติเมตร 2.นาแผน่ สังกะสแี ละทองแดงปกั ในมะนาว ลกึ 4 เซนติเมตร 3.นาปากหนบี สีแดงสมั ผัสกบั แผน่ ทองแดง และปากหนบี สีดาสัมผัสกบั แผ่นสังกะสี 4.สังเกตตวั เลขบนโวลต์มิเตอร์ 5.บนั ทึกผลตวั เลขที่ได้จากโวลตม์ ิเตอร์ 6.ทาขน้ั ตอน 1-5 ซา้ โดยเปลยี่ นจากมะนาวเปน็ สม้ แก้วมังกรและสับปะรด
19 บทท่ี 4 ผลการทดลอง ตารางที่ 4.2 ตารางผลการทดลอง ปรมิ าณแรงดนั ไฟฟา้ ( V ) 0.870 ผกั -ผลไม้ 0.354 ส้ม 0.915 0.950 แกว้ มังกร สับปะรด มะนาว ภาพท่ี 7 การทดลองการวดั ของมะนาว ภาพที่ 8 การทดลองการวัดของสบั ปะรด
20 ภาพที่ 9 การทดลองการวดั ของแก้วมงั กร ภาพท่ี 10 การทดลองการวดั ของสม้
21 บทที่ 5 สรุปผลการทดลอง 5.1 สรุปผล หลังจากการทดลองการวัดปริมาณแรงดนั ไฟฟ้าของผัก - ผลไม้ ได้แก่ ส้ม แก้วมังกร สบั ปะรด มะนาว พบว่า ส้มวัดคา่ ปริมาณแรงดันไฟฟ้าเท่ากบั 0.870 โวลต์ แกว้ มงั กรวดั ค่าปริมาณแรงดนั ไฟฟ้าเท่ากับ 0.354 โวลต์ สับปะรดวัดคา่ ปริมาณแรงดนั ไฟฟ้าเทา่ กับ 0.915 โวลต์และมะนาววดั คา่ ปรมิ าณแรงดนั ไฟฟา้ เท่ากับ 0.950 โวลต์ ดังนั้น มะนาวมีแรงดนั ไฟฟา้ มากท่สี ดุ 5.2 อภิปรายผล การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทวิทยาศาสตร์ส่ิงแวดลอ้ ม เร่อื ง พลงั งานไฟฟ้าจากผักและผลไม้ ธรรมชาติ สามารถอภปิ รายผลไดด้ ังนี้ การที่เราวัดปริมาณแรงดนั ไฟฟา้ ของผกั และผลไม้โดยการใช้เครอื่ งมัลติ มเิ ตอร์ในการวัดค่าปริมาณแรงด้นไฟฟา้ ของผักและผลไมน้ ้ี แรงดนั ไฟฟ้าทีไ่ ด้มาจากสารอิเล็กโทรไลต์ (สารท่เี ม่ือ ละลายในน้าแลว้ จะนาไฟฟา้ ได้ ) พบวา่ 1)ปรมิ าณแรงดนั ไฟฟา้ ของส้ม มีคา่ อยู่ที่ 0.870 โวลต์ 2) ปรมิ าณ แรงดันไฟฟ้าของแก้วมังกร มีค่า 0.354 โวลต์ 3) ปรมิ าณแรงดันไฟฟา้ ของสับปะรด มีคา่ 0.915 โวลต์ และ 4) ปรมิ าณแรงดนั ไฟฟ้าของมะนาว มีคา่ 0.950 โวลต์ ซึ่งแสดงให้เห็นวา่ มะนาวมปี รมิ าณของแรงดนั ไฟฟ้ามากทส่ี ุด 5.3 ข้อเสนอแนะ 1.อาจจะมีความคลาดเคล่อื นในการทดลอง 2.มีความระมัดระวังและความรู้ในการใชเ้ คร่ืองโวลต์มเิ ตอร์ก่อนใช้งาน
22 เอกสารอ้างอิง โรงเรียนวดั ศิรมิ งคล อาเภอหนองหาน จังหวดั อุดรธานี. (2557). พลังงานไฟฟ้าจากตน้ กลว้ ย สบื ค้นเมื่อวนั ท่ี 21 กรกฎาคม 2564 จาก www.srimongkolschool.com/images โรงเรียนสา อาเภอเวียงสา จงั หวดั นา่ น. (2559). การเปรียบเทยี บปริมาณกระแสไฟฟ้าใน ผลไม้ สืบคน้ เมื่อวนั ท่ี 22 กรกฏาคม 2564 จาก www.slideshare.net/mobile/ssuser 16bc30/ss-44961091
Search
Read the Text Version
- 1 - 32
Pages: