Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงานสิมศรีสะเกษ

โครงานสิมศรีสะเกษ

Published by louissarete, 2020-11-02 07:02:36

Description: โครงานสิมศรีสะเกษ

Keywords: สิม

Search

Read the Text Version

1 บทท่ี 1 บทนำ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือที่เราเรียกว่า \" อีสาน \" นั้น มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอัน ยาวนาน มีการผสมผสานระหวา่ งวัฒนธรรมที่หลากหลายตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และมีการตั้งถิ่น ฐานของกลุ่มชนต่างๆ มาเป็นเวลานานหลายเชื้อชาติ ปรากฏร่องรอยทางอารยธรรม ทั้งคติความเช่ือ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมต่างๆ เช่น ศิลปกรรมบนใบเสมาอันตกทอดมา ตั้งแต่สมัยทวาราวดี ปราสาทหินอันใหญ่โตวิจิตรอันได้รับมาจากอิทธิพลขอม ซึ่งล้วนแต่แสดงถึงความ ย่ิงใหญ่ ม่ังคง่ั และศรัทธาของผคู้ นบนผนื แผน่ ดนิ นีใ้ นอดีต ศิลปวัฒนธรรมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสานมีพุทธศาสนาเป็นหัวใจสำคัญ ใน การสร้างเอกลักษณ์ของตนเอง มีการสั่งสมศิลปวัฒนธรรมของตนเองอย่างเด่นชัด จากรูปแบบ สถาปตั ยกรรมท้องถ่นิ ไดแ้ ก่ พระธาตุ หอระฆงั หอกลอง หอแจก หรือศาลาการเปรียญ และ โดยเฉพาะ สิมหรือโบสถ์ ซึ่งเป็นอาคารสำคัญของวัดในฐานะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เสมือนเป็นที่ประทับ ขององค์ พระพุทธเจา้ เปน็ อาคารท่ีพระวินยั ในพทุ ธบัญญัติกำหนดขน้ึ เพอ่ื ให้พระสงฆ์ใชท้ ำสงั ฆกรรม ตามกิจของ สงฆ์ได้แก่ พิธีบรรพชา พิธีอุปสมบท สวดปาฎิโมกข์ ทำวัดเช้า ทำวัดเย็น และอื่นๆ ที่เกี่ยวกับทาง พระพุทธศาสนา ซึ่งชาวอีสานให้ความสำคัญต่อการสร้างสรรค์รูปแบบ คติ แนวคิด และวิธีก่อสร้าง ตลอดจนการแก้ปัญหา ที่สืบทอดมาตามขนบธรรมเนียมประเพณีจนได้ความสมบูรณ์ ในรูปแบบงาน ประณีตศิลป์ เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยสมบูรณ์แบบ บ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์อย่างเด่นชัด แสดงให้ เหน็ ถงึ พ้ืนฐานทางศลิ ปวัฒนธรรมของทอ้ งถ่ินไดเ้ ปน็ อยา่ งดี สิมเป็นชื่อเรียกภาษาพื้นถิ่นภาคอีสานหมายถึงโบสถ์ อุโบสถ พระอุโบสถ ของภาษาภาคกลาง สิมเป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นท่ีพระสงฆ์ในพุทธศาสนาใช้ประชุมเข้าสังฆกรรมต่าง ๆ มีขอบเขตที่กำหนด ด้วยสีมาและได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ขนาดของโบสถ์นั้นต้องสอดคล้องกับพุทธบัญญัติซ่ึงบัญญัติ ไวใ้ ห้มีขนาดพอเหมาะ พอควรกับสงั คม สำหรบั โบสถ์ในประเทศไทยขนาดมิได้กำหนดแน่นอน ข้ึนอยู่กับ แต่ละยุคแต่ละสมัย หรือเศรษฐกิจ สังคม ขนาดของโบสถ์ก็จะเล็กลง สิมอีสานเป็นตัวแทนของรสนิยม ด้านความงาม สะท้อนความเชื่อมั่นศรัทธา และสะท้อนความเป็นจริงในทัศนะของชาวอีสาน ที่ไม่แสดง ตนแบบยิ่งใหญ่เกินตัว และยังสะท้อนให้เห็นถึงฐานะที่ยากจน ซึ่งต่างกับโบสถ์ใหม่ของภาคอีสานใน ปัจจุบัน ซึ่งสร้างใหญ่โตเกินความจำเป็น ชาวบ้านและพระภิกษุผู้เข้ามาใช้จะไม่รู้สึกถูกข่มด้วยขนาดที่ ใหญ่โตเหมือนโบสถ์วิหารในภูมิภาคอื่น แต่ใหค้ วามร้สู ึกที่ สงบ สมถะเรยี บง่าย สันโดษ และจริงใจ อย่าง ยงิ่ แกท่ ้งั ภิกษแุ ละชาวบ้านทั่วไปทเ่ี ข้ามากราบไหว้

2 ปจั จบุ นั อายุของสิมได้ถึงที่สุด ถึงจดุ เสอื่ มโทรมตามกาลเวลา ทีส่ ำคัญได้มีการสร้างโบสถ์ข้ึนใหม่ แทนสิมเดิม ดว้ ยรูปแบบสถาปตั ยกรรมภาคกลาง ขาดการสบื ทอดรูปแบบลกั ษณะของสมิ แบบดง้ั เดมิ สิม จึงเป็นเสมือนมรดกที่มีคุณค่า เป็นมรดกของชาวอีสานโดยตรงและตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่มักถูก มองข้ามจากคนส่วนใหญ่ บ่อยครั้งที่ดูเหมือนประหนึ่งว่าไม่มีความสำคัญ มักถูกมองว่าขาดความงาม ด้อยสุนทรียภาพเมื่อเทียบกับศิลปกรรมของช่างหลวง จากภาคกลางที่มีรูปแบบ ความงดงามตาม ระเบียบแบบแผน แต่กระนั้นงานสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของชาวอีสานก็มีความงดงามตามแบบ ฉบับของตนเอง ตามลักษณะของศิลปะพื้นบ้าน (Folk arts) ซึ่งไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้ ด้วย คณุ คา่ คนละแบบกนั จงึ เป็นท่ีน่าเสียดายอยา่ งยิ่ง ในช่วงครึ่งศตวรรษมานี้สถาปัตยกรรมพื้นถิน่ ชาวอีสานท่ียอดเย่ียม เหล่านัน้ ไดถ้ ูกรื้อถอนทำลายลงเปน็ อันมาก อาทิ สิม,วิหาร,ศาลาการเปรียญ,หอไตร ตลอดถึงอาคารทาง ศาสนาอื่นๆ แม้แต่บ้านเรือนของผู้คนที่อยู่อาศัยได้สุขสบายมาแต่บรรพบุรุษ ดังนั้น สิมในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ จึงนับวันจะเหลือน้อยลงทุกที ถูกทิ้งร้าง รื้อถอน บางแห่งก็พังทลาย ทรุดโทรม ขาดการเหลียวแล ซึ่งเกิดเนื่องจากสาเหตุหลายประการ ทั้งจากตัวสิมเองที่ผุพังไปตามสภาพและเวลาท่ี ล่วงไปตามอายุ สภาพดินฟ้าอากาศ ภัยธรรมชาติต่างๆ อีกทั้งขาดความเอาใส่ใจและการทำลายด้วย น้ำมอื ของมนุษย์ทั้งทีท่ ำโดยตง้ั ใจและรู้เท่าไมถ่ ึงการณ์ แม้บางแหง่ ชาวบา้ นอยากทำการอนรุ ักษ์ ซ่อมแซม แตก่ ข็ าดความร้คู วามเข้าใจเชงิ ช่างสถาปัตยกรรมพืน้ ถ่นิ ขาดงบประมาณในการสนับสนนุ จากการพฒั นา สังคมที่ไม่เอื้อต่อการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่นของชาวอีสาน จึงเกิดวิกฤตศรัทธาต่อภูมิปัญญา พน้ื บ้านเหลา่ นั้น จนทำให้คนรุน่ ใหม่ไม่แนใ่ จต่อความงามและเอกลกั ษณ์ของบรรพบรุ ษุ จังหวัดศรีสะเกษ ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างหรืออีสานใต้เป็นเมืองที่มี ประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีแหล่งโบราณคดีที่แสดงถึงอารยธรรมเก่าแก่มากมาย เคยเป็นชุมชนที่มี อารยธรรมรุ่งเรืองมานับพันปี นับตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ และมีชนเผ่าต่าง ๆ อพยพมาตั้งรกรากใน บริเวณนี้ ได้แก่ พวกส่วย ลาว เขมร และเยอ จังหวัดศรีสะเกษมีพื้นที่ประมาณ 8,839.90 ตาราง กิโลเมตร หรอื 5,524,987.5 ไร่ มพี รมแดนติดต่อกับราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมแี นวเขตเทือกเขาพนม ดงรักเป็นแนวพรมแดน จังหวัดศรีสะเกษเป็นพื้นที่หนึ่งในภาคอีสานที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง มีสิม เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะสิมอีสานพื้นบ้านบริสุทธิ์ แต่จากการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม วฒั นธรรม เศรษฐกิจ การปกครอง การปกครองคณะสงฆ์ คา่ นิยมของชมุ ชน วัสดุก่อสร้าง ฝีมือชา่ ง จนถึง รสนิยมของเจ้าอาวาส ได้นำไปสู่การรื้อถอนทำลายสิมลงเป็นอันมาก หรือบูรณะปรบั เปลีย่ นรปู แบบท่ไี ม่ หลงเหลือเคา้ โครงเดมิ ในชว่ ง 3 ทศวรรษที่ผา่ นมา ( พ.ศ. 2530 - พ.ศ. 2560) คณะผู้จัดทำโครงงานเรื่อง สิมศรีสะเกษ : การศึกษาสิมอีสาน (โบสถ์) ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ เห็นความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมของคนอีสาน จึงได้ทำการศึกษาประวัติความเป็นมา และ

3 รูปแบบงานสถาปัตยกรรมสิมอีสาน และบทบาท หน้าที่ ความสำคัญของสิม คติความเชื่อท้องถิ่นของ ชุมชนท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั สมิ อสี านเพอ่ื ให้เห็นถึงคุณค่า ตลอดจนการเปลย่ี นแปลงของสมิ อสี าน ในเขต จังหวัด ศรีสะเกษ เพื่อให้เข้าใจถึงปัญหาและหาแนวทางอนุรักษ์เอาไว้ เพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ต่อไป และ เปน็ แหล่งข้อมลู ในการศึกษาหาความรู้ เป็นข้อมลู ทางประวัตศิ าสตรท์ ั้งทางดา้ นสถาปัตยกรรม และด้าน อน่ื ๆ ใหแ้ ก่คนรนุ่ ลูกหลานไดเ้ รยี นรู้ความเป็นมาของผืนแผ่นดนิ น้ี ทราบซ้ึงถึงคณุ ค่ามรดกทางวัฒนธรรม ทต่ี กทอดมาจากบรรพบุรุษในอดีต วัตถุประสงคก์ ารศกึ ษา 1. เพอื่ ศึกษาประวตั ิความเป็นมา และรูปแบบงานสถาปัตยกรรมสมิ อสี าน(โบสถ)์ ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ 2. เพือ่ ศึกษาการเปล่ยี นแปลงของสิมอีสาน (โบสถ์) ในชว่ ง 3 ทศวรรษ (พ.ศ. 2530 – 2560) ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ สมมตุ ฐานการศกึ ษา สิมอีสาน(โบสถ์) ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมท่ีสัมพันธ์กับปัจจัยทาง ภูมิศาสตร์ และเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เช่น การโยกย้ายของกลุ่มคน การนับถือพุทธศาสนา การ เปลย่ี นแปลงทางการเมือง การรบั อิทธพิ ลทางวัฒนธรรม คติความเชอ่ื และเทคนคิ วิทยาการก่อสร้างของ ชุมชนในเขตวัฒนธรรมลาว เขมร ส่วยและเยอ โดยสิมอีสานในเขตจังหวัดศรีสะเกษ สามารถแบ่ง ออกเป็นสิมอีสานพื้นบ้านบริสุทธิ์ สิมอีสานพื้นบ้านที่ได้รับอิทธิพลจากล้านช้าง และสิมอีสานพื้นบ้านท่ี สรา้ งโดยกลุ่มชา่ งในท้องถิน่ ทีม่ อี ทิ ธิพลของวฒั นธรรมเขมร กับการบูรณะของชา่ งชาวญวน และสมิ อสี าน ลอกเลียนแบบเมืองหลวง ที่สามารถผสมผสานและปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะต่อพื้นที่และการใช้งาน ในรูปแบบสิมอีสานที่มีความสงบ สมถะเรียบง่าย สันโดษ และจริงใจ เน้นประโยชน์การใช้สอยมากกว่า ความงาม เหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงของสิมอีสานในเขตจังหวัดศรีสะเกษ มาจากสภาพอาคารที่มีความ เสือ่ มโทรมตามกาลเวลา และความต้องการของเจ้าอาวาส เป็นสำคัญ

4 ขอบเขตการศกึ ษา คณะผู้จัดทำโครงงานเรื่อง สิมศรีสะเกษ : การศึกษาสิมอีสาน (โบสถ์) ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ ได้กำหนดขอบเขตการศกึ ษา ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ศึกษาสถาปัตยกรรมสิมอสี านในเขตจังหวัดศรีสะเกษ ซึง่ เปน็ สิมบกที่เป็นอาคารทางศาสนาท่ี ยังคงหลงเหลืออยู่ มีสภาพสมบูรณ์ และมีลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของสิมในเขตจังหวัดศรีสะเกษเป็น เกณฑ์ในการศึกษาเท่าที่สำรวจและค้นคว้าข้อมูลเอกสารภายในระยะเวลาที่กำหนด กำหนดสิมอีสาน ทำการศึกษา จำนวน 3 หลงั ดังน้ี - สมิ วดั โสภณวหิ าร บ.ลมุ พกุ ต.กนั ทรารมย์ อ.ขขุ ันธ์ จ.ศรสี ะเกษ - สมิ วดั บา้ นสะเดา บ.สะเดา ต.โพธช์ิ ยั อ.อทุ มุ พรพิสยั จ.ศรีสะเกษ - สมิ วัดทุง่ เลน บ.ทงุ่ เลน ต.พราน อ.ขนุ หาญ จ.ศรีสะเกษ 2. ศึกษาสถาปัตยกรรมสิมอีสาน ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ ที่มีการรื้อถอน ปรับปรุง บูรณปฎสิ งั ขรณ์ เปลย่ี นแปลง ในชว่ ง 3 ทศวรรษทีผ่ ่านมา ( พ.ศ. 2530 - พ.ศ. 2560) 3. ขอบเขตของคำวา่ สมิ อีสาน หมายถงึ รูปแบบทส่ี บื ทอดตามขนบธรรมเนยี มดั้งเดิมมีอายุต้ังแต่ 70 ปีขนึ้ ไป 4. ศึกษาถึงความแตกต่างและสอดคล้องสัมพันธ์กัน ทางลักษณะรูปแบบสิมอีสานอันเกิดจาก ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ และเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เช่น การโยกย้ายของกลุ่มคน การนับถือพุทธ ศาสนา การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การรับอิทธิพลทางวัฒนธรรม คติความเช่ือ และเทคนิควิทยาการ กอ่ สร้างของชมุ ชนในเขตวัฒนธรรมลาว เขมร ส่วยและเยอ ของแต่ละชุมชน 5. ชว่ งระยะเวลาทท่ี ำการเกบ็ ข้อมูลศึกษา คอื ระหวา่ งเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561 – ธันวาคม พ.ศ. 2561 ขั้นตอนการศึกษา การดำเนินการศึกษาโครงงานในครั้งนี้ คณะผู้จัดทำโครงงานได้สืบหาลักษณะรูปแบบและ ส่วนประกอบทางสถาปัตยกรรม โดยใช้วิธีการหลายๆ อย่าง เช่น การค้นคว้าจากภาคสนาม ( Field Research) ประกอบการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ และการศึกษาจากเอกสาร ( Documentary Research) ตามกระบวนการทางประวตั ศิ าสตรใ์ นการศึกษาคน้ คว้า ดังน้ี 1. ขั้นทำการรวบรวมและศึกษา ข้อมูลภาคเอกสาร โดยการรวบรวมข้อมูลที่เป็นเอกสาร, สงิ่ พมิ พ์ต่างๆ ท่ีเกย่ี วข้องกบั การศกึ ษา

5 2. ขั้นทำการรวบรวมศึกษา ข้อมูลภาคสนาม เป็นการสำรวจเกบ็ ข้อมูลตัวแบบสถาปัตยกรรมท่ี ทำการศกึ ษา และสมั ภาษณ์ 2.1 ตัวอาคารสิมที่ยังปรากฏหลักฐานในวัด ถ่ายภาพ ภาพถ่ายสิมอีสานในอดีต สิมและ อาคารตา่ ง ในผังบรเิ วณผังอาคาร ผงั วัด เปน็ ต้น 2.2 หลักฐานจากชิ้นส่วนอันเป็นชิ้นส่วนงานประณีตสถาปัตยกรรมที่ตกแต่งอาคารได้แก่ เครอ่ื งไมแ้ กะสลกั 2.3 ข้อมูลสัมภาษณ์ผู้รู้ในท้องถิ่น ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสิมอีสานในเขตพื้นท่ี ทำการศกึ ษาได้แก่ พระภิกษุ อดีตพระภกิ ษุ ปราชญ์ชาวบ้าน ( ทีม่ ีอายมุ ากกวา่ 60 ปี ) เปน็ ตน้ 2.4 ข้อมูลสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสิมอีสาน คือ ดร.ติ๊ก แสนบุญ รองคณบดี คณะศิลปประยุกต์และการออกแบบ มหาวิทยาลยั อุบลราชธานี 3. ขั้นจดั ลำดับและกล่มุ ขอ้ มูลต่างๆ ให้เปน็ หมวดหมู่ 4. ขั้นทำการวิเคราะหข์ อ้ มลู การวิเคราะห์ข้อมูลโดยนำข้อมูลภาคเอกสาร และภาคสนาม จัดกลุ่มแตกความแตกต่าง ลักษณะเฉพาะของสิมแต่ละชุมชนถึงความสัมพันธ์กันกับลักษณะทางสถาปัตยกรรม และประวัติความ เป็นมา ลำดบั อายกุ ่อนหลังที่เกดิ ข้ึนในแต่ละช่วงของประวัติศาสตร์ 5. ข้นั สรปุ ผลการศกึ ษาตามเปา้ หมายและวตั ถปุ ระสงคท์ ี่กำหนดไว้ นิยามคำศัพท์ 1. สมิ เป็นคำนามที่ชาวอสี านใชเ้ รียกอาคารที่เป็นโบสถ์ มาจากภาษาบาลี คำว่า สมี า (เขต) 2. สิมอสี าน หมายถึง โบสถอ์ ีสาน มาจากการท่ีทางอีสานเรียกโบสถว์ า่ “สมิ ” ลกั ษณะโดยท่ัวไป ของสิม แบ่งเป็น 2 ประเภทหลักตามสภาพของแหลง่ ทีต่ ง้ั คอื สิมน้ำและสิมบก สมิ นำ้ เป็นสมิ ท่ตี ้ังอยู่ กลางน้ำ เชน่ สระ หนอง บงึ ส่วนใหญ่เปน็ อาคารทส่ี ร้างอยา่ งชว่ั คราวสำหรับวดั ทย่ี ังไม่มีวิสุงคามสีมา สว่ นใหญ่ สิมบกเป็นสมิ ท่ตี ้ังอยู่บนแผน่ ดนิ ในบริเวณน้ันวดั ล้อมรอบด้วยหมู่กุฏิ หอแจก หอกลอง หอระฆัง หอพระธาตุ ลกั ษณะของสมิ บกมที ้งั สิมทบึ และสิมโปร่ง 3. สมิ ทรงโรง หมายถึง สิมทึบหรือโบสถ์รปู แบบพิเศษ ไม่มมี ุขด้านหน้าและดา้ นหลัง ใช้ผนงั เปน็ ตัวรบั นำ้ หนกั หลังคาสิม มีพ้นื ท่ใี ชส้ อยมากกว่าสิมทว่ั ไป 4. สิมศรสี ะเกษ หมายถงึ สิมบกท่ีมีอายมุ ากกว่า 70 ปขี ้ึนไป ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ ทม่ี ีท่ี สร้างสรรค์โดยชา่ งทอ้ งถ่ิน และมเี อกลักษณ์ตา่ งจากรูปแบบสถาปัตยกรรมในพน้ื ท่ีอืน่ ๆ เอกลักษณ์ที่เกิด จากการผสมผสานแนวคดิ คติความเช่อื และเทคนิคในการสร้างงานตามภูมปิ ัญญาของผู้คนในทอ้ งถิน่ ท่ี สืบทอดตามขนบธรรมเนยี ม

6 ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รบั 1. ข้อมูลจากการศึกษาสิมอีสาน ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ ในครั้งนี้สามารถนำเป็นข้อมูลพื้นฐาน เพื่อเป็นแนวทางการอนุรกั ษส์ ถาปัตยกรรมสิมอสี าน การบรู ณะปฏิสังขรณใ์ ห้เหมาะสมกอ่ นท่ีจะสญู หาย 2. ข้อมูลจากการศึกษาสิมอีสาน ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ ในครั้งนี้ เป็นแหล่งเรี ยนรู้ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของจังหวัดศรีสะเกษ และสถาปัตยกรรมท้องถิ่นที่มีคุณค่าเป็นแหล่งเรียนรู้ให้ นกั เรยี น และผู้ทส่ี นใจได้เรียนรู้ 3. ทำให้ได้รับความรู้ในด้านศิลปสถาปัตยกรรมท้องถิ่น และเห็นคุณค่าของสิมอีสานทั้งในด้าน ความงามด้านสถาปตั ยกรรม และงานฝีมือ ในเขตจงั หวัดศรสี ะเกษ ซ่งึ นำมาสูค่ วามรกั ความภาคภูมิใจใน ท้องถิน่ ของตนเอง

7 บทที่ 2 สถาปตั ยกรรมสมิ อีสาน และประวัตคิ วามเป็นมาของจังหวดั ศรสี ะเกษ วัดเปน็ สถานท่ีสำคัญทีม่ ีความสำคัญกับชมุ ชนและผู้คนในภาคอีสาน เนื่องจากการมีความเชื่อ และความผกู พนั เกยี่ วกับธรรมเนยี มประเพณีทเี่ รียกว่า “ฮตี วดั ” กล่าวคือการสร้างวดั ขึ้นพร้อมกับการ สรา้ งบา้ นสรา้ งเมือง วดั จงึ เป็นสถานท่ีสำคญั ของชมุ ชนในฐานะของการเป็นจุดศนู ย์รวมของชมุ ชน น้ันคือ วัดเปน็ ทั้งสถานที่สำหรบั ทำสังฆกรรมของพระสงฆแ์ ละการเปน็ สถานทีท่ ำกจิ กรรมของชาวบ้าน โดยส่วน ใหญ่วดั ในภาคอสี านประกอบดว้ ย พระธาตุ สิม หอแจก หอไตร กุฏิ หอระฆัง หอกลอง และหอพระ 1. ท่มี าและความหมายของสิม ในสมัยพทุ ธกาล พระเจ้าพิมพิสารทรงมีพระราชประสงค์ ทีจ่ ะขอพระราชทานพระพุทธองค์ ทรง อนุญาตให้นักบวชประชมุ กันทุกวัน 8 ค่ำ 14 ค่ำ 15 ค่ำ โดยแสดงธรรมและสวดปาตโิ มกขท์ ุกวนั 14 ค่ำ และ 15 ค่ำ โยทรงกำหนดสมบัติสิมานั้นอย่างน้อยต้องจุพระภกิ ษุได้ไม่ต่ำกว่า 21 รูป นั่งหัตถบาตกันได้ ขนาดไม่ใหญ่เกิน 3 โยชน์ สีมาที่ใหญ่หรือเล็กกว่านี้ถือว่าวิบัติ โดยกำหนดตัวอาคารด้วย นิมิต 8 อย่าง ต่อมาเมื่อพระสงฆ์ในพุทธศาสนาจะทำสังฆกรรมอันใดต้องประชุมร่วมกันทำอุโบสถกรรม ต้องสมมติ พ้นื ทน่ี ้ันเปน็ สมี าที่ถูกต้องตามวนิ ยั กอ่ น อุโบสถ หมายถึงอาคารที่ทำการแสดงปาติโมกข์ และทำสังฆกรรม อุปสมบทกรรมซึ่งเป็นเขตท่ี ทรงบญั ญัตไิ วต้ ามพระวนิ ยั ท่ใี ช้ทำสงั ฆกรรมได้ นนั้ จะอยูใ่ นเขตสีมาต้องมีการกำหนดเขตสีมาด้วย นิมติ ซึง่ สามารถกำหนด นิมติ ได้ ด้วยของสำคัญ 8 ชนิด คือ ภูเขา ศิลา ปา่ ไม้ ต้นไม้ จอมปลวก หนทาง แม่น้ำ นำ้ เทา่ น้นั ในพระ วนิ ยั ปิฎกตอนวินยั มขุ เลม่ 3 กัณฑท์ ี่ 24 กลา่ วถงึ ชนดิ ของนมิ ติ การกำหนดเขตสีมา และข้อกำหนดการ สร้างอุโบสถาวร นอกจากนี้ยังกล่าวถึง น่านน้ำ ที่พระสงฆ์กำหนดเป็น อุทกกเขปสีมา มี 3 ประเภท คือ แม่นำ้ ทะเล ชาตสระ ( สระทีเ่ กิดขึน้ เอง หว้ ยหนอง บึง ทะเลสาป) เวลาจะทำสังฆกรรมต้องผูกแพในน้ำ นั้นแล้วผูกไม่ให้ลอย หรือปลูกร้านอาคารในน้ำนั้น จะต้องห่างจากฝั่งช่วงระยะวักน้ำสาดไม่ถึง มิฉะนั้น เมื่อประกอบพิธีกรรม จะเป็นสีมาวิบัติ (ประกอบสังกรรมไม่ได้) ในภาคอีสานจะพบ สิมน้ำ ในลักษณะ ดังกล่าวมากในอดีต ในช่วงแรกเริม่ ก่อต้ังชุมชนเพราะความต้องการใช้อาคารสิม เพื่อประกอบสังฆกรรม และอปุ สมบทกรรมไดก้ ่อนทจ่ี ะมีการสมิ เปน็ การถาวรท่ีเรียกวา่ สิมบก ซึง่ ใช้เวลานาน สมี า เป็นเขตแดนท่สี มมุติขึ้นว่ามีพื้นท่ีเท่าใด ในทางด้านเมืองหมายถึงพน้ื ท่ีของประเทศ ฉะน้ัน เมื่อจะกำหนดเขตสีมาเพือ่ การตั้งหรอื สร้างพระอุโบสถจึงต้องมีการขอพระราชทานวิสุงคามสมี า เพื่อกัน แดนให้เป็นเขตเฉพาะหรือเป็นเขตต่างจากคามสีมา ( คือประเทศ หมู่บ้าน ชุมชน) สีมาแบ่งเป็น 2

8 ประเภท คือ พัทธสมี า แปลวา่ ผกู แลว้ กำหนดเขตแล้วเปน็ การถาวรสว่ น อพทั ธสมี า หมายถึงแดนที่ไม่ผูก ใชท้ ำสังฆกรรมไดเ้ ช่นเดียวกัน คำว่า “สมิ ” ตามพจนานกุ รมภาคอีสาน-ภาคกลางใหค้ วามหมายคำว่า “สมิ ” เปน็ โรงท่ีพระสงฆ์ ทำสังฆกรรมต่าง ๆ เป็นภาษาพื้นถิ่นในวัฒนธรรมล้านช้างและดินแดนในภาคอีสาน มีความหมาย เช่นเดียวกับโบสถ์หรืออุโบสถในภาคกลาง โดยมีที่มาจากคำว่า “สีมา” หมายถึงหลักหรือที่นิยมเรียก ทวั่ ไปวา่ “ใบสมี า” ซ่ึงใช้ปักลอ้ มรอบโบสถเ์ พอ่ื เปน็ การแสดงขอบเขตศักดิ์สิทธข์ิ องโบสถ์ โดยเขตสมี าต้อง มกี ารกำหนดเขตดว้ ยนิมติ 8 ชนดิ คือ ภูเขา ศลิ า ป่าไม้ ตน้ ไม้ จอมปลวก หนทาง แมน่ ำ้ และน้ำ ในพระ วินัยปิฎก ตอนวินัยมุข เล่ม3 กัณฑ์ที่ 24 กล่าวถึงแหล่งน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ได้แก่ ทะเลสาบ หว้ ยหนอง และบงึ ดังนนั้ อาคารประเภทสิมในภาคอสี านจงึ พบท้ังสมิ นำ้ และสิมบก “สมิ ” หมายถึงอาคารศาสนสถานใชส้ ำหรบั ประกอบพธิ ีสังฆกรรมรวมถึงพธิ ีกรรมในพุทธศาสนา เช่น การทำอุโบสถกรรมตามพระวินัยบัญญัติและใช้ในการอุปสมบท เป็นต้น ดังนั้นสิมจึงถือเป็นอาคาร สงั ฆกรรมสำคญั ของวดั ในภาคอีสาน 2. คติความเช่ือเกีย่ วกับสิม ตามความเชื่อของชาวอีสานถือว่าพื้นที่ภายในอาคารที่เรียกว่า “สิม” เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์และมี ความบริสุทธ์ิ ดังนั้น สิมจึงเป็นพื้น ที่เฉพาะสำหรับการทำสังฆกรรมของพระสงฆ์เพียงเท่านั้นในขณะ พระสงฆ์ทำสังฆกรรมฆราวาสจะไม่สามารถเข้าไปภายในบริเวณสิม แม้กระทั่งบริเวณบันไดหรือมุข ด้านหน้าสิม โดยฆราวาสต้องอยู่ในบริเวณศาลาหรือหอแจก ในพิธีกรรมทางศาสนาบางอย่างมีการ อนโุ ลมฆราวาสผชู้ ายสามารถเขา้ ไปภายในสิม มขี อ้ ห้ามเด็ดขาดในการหา้ มผู้หญงิ เข้าไปภายในสิม ข้อจำกัดดังกล่าวเกี่ยวกับการใช้งานสิมเป็นผลมาจากความเชื่อของชาวในเรื่องของบือสิมชาว อีสานจะให้ความสำคัญของบือสิมอย่างมาก ในการสร้างสิมของชาวอีสานจะมีประเพณีการฝังลูกนิมิต ตรงกลางสิม ลูกนิมิตนีเรียกว่า “บือสิม” ดังนั้น ชาวอีสานจึงให้ความสำคัญกับบือสิมในฐานะสิ่งของอัน ศักดิ์สิทธ์ิท่ีบรรพบุรุษได้สร้างเอาไว้และควรให้คงอยู่ต่อไป ด้วยความเชือ่ ดงั กล่าวจึงเกดิ ปัญหาการรื้อฟืน้ ตัวอาคารสิมหลงั เก่าท้ิง เพอื่ สร้างอโุ บสถหลังใหม่ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อในเรื่องของตำแหน่งการวางสิม โดยมีข้อห้ามไม่ให้สร้างอาคารหลังอื่น ในตำแหน่งด้านหน้าสิมโดยเฉพาะกุฏิสงฆ์ เนื่องจากชาวอีสานมีความเชื่อว่าการสร้างกุฏิไปด้านหน้าสิม เป็นการหันหน้าตรงกับพระพักตร์และพระเนตรของพระประธานภายในสิม ทำให้พระประธานเห็นการ กระทำของพระสงฆ์ที่ไมส่ มควรอาจจะก่อใหเ้ กิดความวิบตั ิแก่วดั และพระสงฆ์ และตามความเช่ือของชาว อีสานหากมชี มุ ชนขวางหน้าสมิ จะมกี ารสรา้ งกำแพงเพื่อกำหนดเขตศกั ดิ์สทิ ธ์ิ

9 โบสถ์ หรือ สมิ เปน็ สถานทสี่ ำคัญทีส่ ุดในบรเิ วณวัด โดยถอื ว่าเป็นเขตพุทธาวาส คนโบราณไดค้ ติ ความเชอ่ื เก่ียวกับการวางตำแหน่งไวด้ ังน้ี - ไม่วางอาคารอื่นในวัดอยแู่ นวตรงกันกับตัวโบสถ์ - หา้ มสร้างกฏุ ิอยูห่ นา้ โบสถ์ - เงาของโบสถไ์ ม่ให้ทับสง่ิ กอ่ สรา้ งอ่นื ๆ ทอี่ ยบู่ ริเวณวัด จากการศึกษามักพบว่าโบสถ์จะตั้งอยู่ทิศตะวันออก หรือตะวันออกเฉียงเหนือของผังวัด โดยมี อาคารอื่นวางเยื้องด้านทิศตะวันตกลงสู่ทิศใต้ เช่น ศาลากุฏิ ตามลำดับ เมื่อมาพิจารณาถึงการวาง ตำแหน่งและตั้งวัด อาคาร ที่มีความสำคัญจะถือทิศที่มีความหมายเป็นมงคลแห่งทิศ อันได้แก่ ทิศ ตะวันออก ทิศเหนือ หรอื ในแนวทศิ ตะวันออกเฉียงเหนอื เป็นเกณฑใ์ นการวางตำแหน่ง ภาพท่ี 1 แผนผงั ในการวางตำแหนง่ อาคารภายในวดั ตามคติความเช่ือ จากการศึกษาของ รศ.ดร.วโิ รฒ ศรีสโุ ร ท่านไดใ้ ห้ความเห็นในเร่ืองการวางผังอาคารในวัด ไว้ว่า การวางผังของวัดและสิมพืน้ บา้ นในภาคอีสาน ไม่มีกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผนที่ตายตัว เนื่องจากสิมพื้น บ้านเป็นงานพื้นบ้านที่ทำตอบสนองประโยชน์ใช้สอย มากกว่าเป็นการตั้งกฎเกณฑ์วางอาคารตามคติ ความเชื่อ ซ่ึงจากการพิจารณาความสมั พันธข์ องการวางอาคารตามความเห็นของ สวุ ิทย์ จิระมณี จะพบว่าการวางอาคารตามผังดังกล่าวเป็นการวางตำแหนง่ ที่ตอบสนองประโยชน์ใช้สอย อาคารที่มีการ ใช้งานบ่อยและมีความสัมพันธ์กัน เช่น หอระฆังและกุฏิ มักจะพบอยู่ใกล้กัน สิมพื้นบ้านมักตั้งอยู่เป็น อาคารเดี่ยวที่มี พื้นที่โล่งกว้างโดยรอบอาคาร ตอบสนองการใช้งานพิธีกรรมและกิจกรรมงานบุญต่าง ๆ เป็นตน้

10 3. บทบาทและหนา้ ทีข่ องสมิ สิมเป็นอาคารสำคัญของวัดใช้สำหรับการทำพิธีกรรมทางศาสนาและสังฆกรรมของพระสงฆ์ หากวัดใดไม่มีสิมไม่สามารถทำสังฆกรรมที่สำคัญได้ อย่างเช่น หมู่บ้านใดภายในวัดไม่มีสิมการอุปสมบท ต้องเดินทางไปทำในหมบู่ า้ นอนื่ และมกี ารกำหนดสงั ฆกรรมเพยี งไม่กี่อย่างทีส่ ามารถทำภายในสมิ ได้ ดังนี้ 3.1 การทำอุโบสถกรรมตามพระวินัยบัญญัติ ได้แก่ การสวดพระปาฎิโมกข์ในทุกครงึ่ เดอื นของวนั 15 คำ่ และการทำวัตรเช้าและทำวัตรเยน็ ในช่วงเข้าพรรษา 3.2 การอปุ สมบทเป็นสงั ฆกรรมสำคญั ฐานะแหลง่ กำเนิดพระภกิ ษุผสู้ ืบทอดพระพุทธศาสนา 3.3. พธิ สี วดผา้ กฐิน งานบุญกฐนิ จดั ขน้ึ ในเดือนสิบสอง ตามประเพณีมกี ารถวายผา้ กฐิน เมอ่ื รับผา้ กฐนิ แลว้ พระสงฆ์จะนำผ้ากฐินไปสวดภายในสมิ 3.4. ใชใ้ นการทำสังฆกรรมเพื่อสวดในงานเขา้ ปรวิ าสกรรม เช่น การสวดอพั ภาน ซึ่ง เปน็ ขั้น ตอนสุดท้ายของการเขา้ ปริวาสกรรม 4. รูปแบบทางสถาปตั ยกรรมของสมิ อสี าน สิม ทางภาคอีสานในสมัยก่อนส่วนใหญ่นยิ มสร้างอาคารขนาดเล็กกระทัดรดั ส่วนมากไม่เกนิ 3 ชว่ งเสา บางแหง่ ก็มมี ุขด้านหน้า เน่อื งจากเปน็ สิมท่ีใช้ประกอบพิธีกรรมในชุมชนทไี่ ม่ใหญ่นัก แต่ละวัด มีจำนวนพระสงฆ์ไมม่ าก มกั สร้างให้เพียงพอแก่พระสงฆ์ในการประกอบสังฆกรรมได้สัก 21 รปู ตามบรม พทุ ธานุญาติ โดยมขี นาดนัง่ หตั ถบาตรเรยี งลำดบั หา่ งกนั องคห์ นึง่ ๆ หนง่ึ ศอก ประเภทของสิมอีสาน สิมอีสานสามารถจำแนกประเภทของสิมออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ สมิ น้ำ และสมิ บก 4.1. สิมน้ำ เป็นสิมสร้างขึ้นในแหล่งน้ำ และกำหนดเขตสีมาด้วยน้ำ เรียกว่า “อุทกเขปสมี า” สมิ นำ้ เปน็ อาคารถกู ปลกู สรา้ งขึ้นช่วั คราวขณะยังไม่มีวิสุงคามสีมาแบบถาวร โดยสร้าง ตามแหลง่ นำ้ ธรรมชาตใิ กลก้ บั หมบู่ า้ น เชน่ หว้ ย บงึ และหนองน้ำ รปู แบบของสมิ น้ำ มีความเรียบงา่ ยสว่ น ใหญ่มีลักษณะคล้ายศาลากลางน้ำ มีฝาปิดล้อมรอบแบบหลวมๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเทเข้าสู่ภายในได้ สะดวก การสร้างจะไม่คำนึงถึงรูปแบบทาง สถาปัตยกรรมและความสวยงาม การสร้างสิมน้ำ พบตามพื้นที่เขตชนบทห่างไกลตามภาคอีสาน ปจั จุบนั สมิ นำ้ แถบจะไมเ่ หลอื อยูใ่ นภาคอีสานหาก ยังเหลือส่วนใหญ่อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมอยา่ ง มาก เนื่องจากการไม่ได้ใช้ประโยชน์และบ่อยทิ้ง ให้ผุพงั ตามกาลเวลา ภาพท่ี 2 สิมกลางนำ้ วัดศริ ิสวา่ งวราราม อำเภอ กมลาไสย จังหวัด กาฬสินธ์ุ ท่มี า : http://isan.tiewrussia.com/wat_sirisawang/

11 4.2. สิมบก เป็นอาคารปลูกสร้างบนพื้นดินในบริเวณวัด ลักษณะรูปแบบเป็นอาคารชนิด ถาวรก่อดว้ ยไมห้ รือก่ออฐิ ฉาบปูน รูปแบบของสมิ บกสามารถแบง่ ออก 2 ประเภท คือ สมิ โปร่งและสิมทบึ 1) สิมโปร่ง เป็นสิมก่ออฐิ ฉาบปูนชะทายพน้ื เมอื งซ่ึงเปน็ ปูนขาวผสมทราย และน้ำหนงั ยางบงแบบพ้ืนเมือง อยใู่ นผงั ส่ีเหลี่ยมผืนผา้ ขนาด 2 – 3 หอ้ ง ก่อผนงั เตย้ี ในสว่ นของผนงั ดา้ นขา้ งและ ด้านหน้าในส่วนผนังดา้ นหลังซ่งึ เป็นสว่ นของพระประธานก่อทบึ สงู จัว่ ผนังดา้ นหลังก่ออฐิ เป็นแท่นยาว ติดตามแนวผนงั สำหรบั เปน็ ฐานวางพระพุทธรปู โครงสร้างหลังคาเปน็ จ่วั ช้นั เดียวนิยมทำปีกนกยื่นออกมา ทง้ั 4 ด้าน หน้าบนั ด้านหลงั ปิดทึบไม่มชี านจ่ัว และในสว่ นด้านหน้าทำชานยน่ื คลมุ บันได ภาพที่ 3 แสดงสิมโปรงพ้ืนบาน ลักษณะและพืน้ ที่การใชสอยของสิมโปรง ทม่ี า : ภาพตนฉบับจากหนังสือสมิ อีสาน, รองศาสตราจารย์วิโรฒ ศรสี ุโร 2) สิมทบึ เปน็ สิมท่ีมีการกอ่ ผนังปิดทบึ ทง้ั 4 ด้าน การสร้างผนังนิยมสร้างเปน็ ผนงั ไม้ และก่ออิฐฉาบด้วยปูนชะทายพื้นเมือง เปน็ อาคารในผังส่ีเหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 1 – 3 ห้อง ผนังดา้ นขา้ ง เจาะช่องหน้าต่าง 1 – 2 ชอ่ ง มที างขน้ึ ดา้ นหนา้ เพียงด้านเดยี ว โครงสรา้ งหลงั คาเป็นหลังคาทรงจ่วั ช้นั เดียวหรอื ซอ้ นชน้ั นิยมสร้างหลังคาปกี นกโดยรอบอาคาร ราวบนั ไดนยิ มทำเปน็ รูปสัตว์ เช่น นาค มกร จระเข้ เป็นต้น องคป์ ระกอบตกแตง่ นิยมสรา้ งดว้ ยไม้ เช่น โหง่ ลำยอง รวงผ้ึงและคนั ทวย ภาพท่ี 4 แสดงสิมทบึ พืน้ บาน ลักษณะและพนื้ ที่การใชสอยของสิมทบึ ท่มี า : ภาพตนฉบบั จากหนงั สือสิมอีสาน, รองศาสตราจารย์วิโรฒ ศรีสโุ ร

12 จากการศึกษาของ รองศาสตราจารยว์ โิ รฒ ศรีสุโร ได้จำแนกสิมบกไวต้ ามปัจจัยการที่ทำ ให้อาคารสิมสะท้อนให้เหน็ วิวฒั นาการ ของคติการสร้างและบูรณะปฏิสังขรณ์ของชมุ ชนพทุ ธศาสนาใน อีสาน เมื่อชมุ ชนรับอิทธิพลต่าง ๆ จากภายนอกเข้าไป และจำแนกสิมอีสาน ซ่งึ มกี ารรวบรวมและแบง่ ประเภทตามลักษณะทางสถาปัตยกรรมของสิมไว้ 4 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ • สมิ พน้ื บ้านบริสุทธิ์ • สิม พื้นบา้ นประยุกต์ โดยช่างพื้นบา้ น (รุ่นหลัง) • สิม พืน้ บ้านผสมเมืองหลวง • สมิ ทีล่ อกเลยี นเมืองหลวง 5. องคป์ ระกอบทางสถาปัตยกรรมของสิมอีสาน นอกจากสมิ จะมีรปู แบบตวั อาคารท่แี สดงถงึ เอกลักษณข์ องสถาปตั ยกรรมพนื้ ถน่ิ อสี านอย่าง ชัดเจนแล้ว ยังมอี งค์ประกอบ ต่าง ๆ ทางสถาปัตยกรรมเพื่อใช้ในการตกแต่งสิมโดยเฉพาะทีท่ ำใหต้ วั สมิ เองมีความวิจติ รพิสดารงดงามเพิ่มมากย่ิงขนึ้ ซ่ึงมรี ายละเอียดดงั นี้ ภาพที่ 5 แสดงองคป์ ระกอบและตำแหนง่ ขององค์ประกอบสมิ ในท่ีน้ใี ช้สมิ ทบึ เปน็ แบบอย่างในการแสดง ทม่ี า : ภาพตนฉบับจากหนงั สือสิมอีสาน, รองศาสตราจารย์วโิ รฒ ศรสี โุ ร

13 1) ฐานสมิ ( แอวขัน หรือ เอวขัน ) ลักษณะฐานรากเป็นแบบฐานรากแผ่ มีการบด อดั ดินบรเิ วณทจ่ี ะสรา้ งให้แน่น และทำการกอ่ สร้างอาคาร เป็นผนังรับน้ำหนักโดยที่ไม่มีการตอกเข็ม ส่วนลักษณะ ฐานอาคาร มีความเรียบง่าย บางแห่งเป็นลักษณะฐาน ปัทม์ ตั้งซ้อนกัน 3 ชั้น แต่ส่วนมากมีการนำเอา องค์ประกอบแบบลักษณะของฐานสถาปัตยกรรมไทยมา ใช้ คือ บัวคว่ำ บัวหงาย แต่ในรูปแบบที่ไม่เป็นพิธีรีตอง มากนัก ไม่มี กฎเกณฑ์ตายตัว ส่วนมากมีการยกพ้ืน บางแห่งสูงถึง 1-2 เมตร เป็นฐานแบบก่ออิฐฉาบปูนโดย ใช้ปูนหมัก เรียบไม่มีลวดลาย ส่วนฐานของสิม เรียกว่า เอวขัน หรือ แอวขัน (ตามเสียงภาษาพื้นถิ่นอีสาน) หาก แปลตามความหมาย เอวขันจะหมายถึง ส่วนกลาง ภาพที่ 6 แสดงรูปแบบของฐานสมิ หรอื แอวขนั ของขันหมาก ซึ่งมีลักษณะคอดกิ่วเข้าไป มักได้ ทม่ี า : สมิ สถาปตั ยกรรมอีสาน รองศาสตราจารยส์ มใจ น่มิ เลก็ สัดส่วนกันระหว่างด้านบน กับด้านล่าง เมื่อนำไปใช้ ในงานก่อสรา้ งท่มี รี ูปรา่ งคลา้ ยดังน้นั ชา่ งจะเรยี กว่า เอวขนั ซึ่งสว่ นประกอบ มดี ังนี้ - โบกควำ่ (บวั ควำ่ ) - ทอ้ งไม้ (สว่ นกลางของเอวขนั ) - โบกหงาย (บัวหงาย) - ลวดบวั (สว่ นยอ่ หยักเปน็ ส่วนขนาน) 2) บนั ไดทางข้นึ มักมีบันไดทางข้ึนเพียงด้านเดียว นยิ มทำปนู ปัน้ เปน็ รปู สัตว์เฝา้ บันไดเชน่ จระเข้นอนราบบาง แห่งเปน็ จระเข้อ้าปากคาบสิงห์ บางแห่งเปน็ ตัวสัตว์คล้ายมอมท่ีคนสมัยก่อนใชส้ กั ไวต้ ามขา (เฉพาะ ผู้ชาย) เปน็ ตน้ ภาพท7่ี ลักษณะการตกแตง่ บนั ไดทางขึ้นของสิม ลายเสน้ โดยอาจารยก์ ิตตสิ ันต์ ศรรี ักษา ท่มี า: http://202.12.97.23/main/esanart/sketch/decor/skl002.jpg

14 3) คนั ทวย คันทวยหรือแขนนางหรือค้ำยันหลังคาเป็นลักษณะพิเศษของสิมอีสานที่ไม่มีในที่อืน่ กล่าวคอื จะมีทั้งทวยนาคและทวยแผง ซึ่งเป็นแผงแผ่นไม้ขนาดค่อนข้างใหญ่ แกะสลักลายนูนต่ำสองด้าน การ ประดับของคันทวยในด้านล่างจะมเี ต้าไม้ยน่ื ออกมารบั จากผนังและเอนหัว ออกเล็กน้อยเพ่ือข้ึนไปยึดกับ ไม้ดา้ นบน ที่เป็นไมข้ ื่อรับปีกนกยันเชิงชาย ภาพที่ 8 ลกั ษณะของคันทวยแบบต่างๆ ทม่ี า: หลากภมู ิธรรม นฤมติ กรรมอสี าน, รศ.ดร.วิโรฒ ศรสี โุ ร 4) ฮงั ผง้ึ ฮังผึ้ง หรือ “รวงผึ้ง” ในภาษาภาคกลาง หรือ “โก่งคิ้ว” ในภาษาภาคเหนือ มีลักษณะเด่นใน การตกแตง่ ดา้ นหน้าของสมิ อีสาน ซึ่งมักจะแบง่ ออกเปน็ สามส่วน สว่ นแรกอยู่บรเิ วณชว่ งเสากลางหนา้ บนั ของจัว่ ใหญ่ ตรงกับบันไดทางข้นึ (ฮังผง้ึ จะอยสู่ งู กว่าปกติ) อีกสองส่วนจะอยู่ในบรเิ วณช่วงเสาอีกสองข้าง ของบันไดปีกนก (ฮังผึ้งจะอยู่ต่ำลงมา) โดยจะมีการแกะสลักลวดลายวิจิตรประณีต ทำให้สิมมีความ สวยงามมากย่งิ ขน้ึ ภาพท่ี 9 ลักษณะการตกแต่งฮังผ้งึ ของสิม ลายเสน้ โดยอาจารย์กิตตสิ นั ต์ ศรีรกั ษา ทีม่ า: http://202.12.97.23/main/esanart/sketch/décor/skl555.jpg

15 5) ฮูปแต้ม ฮูปแต้มหรือจิตรกรรมฝาผนังที่ปรากฏอยู่บนผนังของสิม ซึ่งจะมีการเขียนภาพเป็นเรื่องราว ต่าง ๆ เกีย่ วกับวรรณกรรมทางศาสนา ชาดก หรือเรอ่ื งราวการประกอบอาชีพ ประเพณีต่าง ๆ ของผู้คน ในภาคอีสาน โดยจะปรากฏบนผนังทง้ั ภายในและภายนอกของสิม ภาพที่ 10 ลักษณะของฮปู แต้ม วดั บา้ นสะเดา อำเภออุทุมพรพสิ ยั จงั หวดั ศรีสะเกษ 6) ช่อฟา้ หรือปราสาท ช่อฟา้ เปน็ ส่วนประดับท่ีบนทสี่ ดุ ของสิม มักแกะสลกั ด้วยไม้เป็นลักษณะคล้ายปราสาทหรอื ฉัตรตัง้ ลดหล่ันซอ้ นกนั ขน้ึ ไปบนสนั หลังคาตรงสว่ นกลางของหลงั คาสิม ซ่งึ ถือเปน็ สว่ นสำคัญทบ่ี ่งบอกถึง ความเปน็ อีสาน ภาพที่ 11 ลักษณะการตกแต่งช่อฟา้ ของสิม ลายเส้นโดยอาจารยก์ ติ ตสิ ันต์ ศรีรักษา ที่มา: http://202.12.97.23/main/esanart/sketch/décor/skl5123.jpg 7) โหง่ โหง่หรือ “ช่อฟ้า” ในภาคกลาง ถือเป็น องค์ประกอบสำคัญในการตกแต่งสิมอีสานที่ขาดไม่ได้ เพราะจะทำให้หลังคาดูขาดด้วนไม่สมบูรณ์อย่างเห็น ได้ชัด ช่างมีแนวความคิดในการออกแบบโหง่ให้มี รูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะพื้นถิ่น ทำให้มีคุณค่า ทางศิลปกรรมเปน็ อยา่ งมาก ภาพท่ี 12 แสดงรปู แบบของโหง่ ทม่ี า : สมิ สถาปัตยกรรมอสี าน รองศาสตราจารย์ สมใจ นิ่มเล็ก

16 8 ) ลำยอง ลำยองคือส่วนที่เรียกว่า “นาคสะดุ้ง” แต่สิมอีสาน มักนิยมทำเรียบเป็นแบบ “แป้นลม” ของเรือนพักอาศัย หลาย แห่งแกะสลักเป็นลำตัวนาค เกี่ยวหางต่อหัวกนั ข้างละไม่ต่ำกวา่ 3-5 ตัว ภาพที่ 13 แสดงรปู แบบของแผงนาคหรอื รำยอง ทม่ี า : สิม สถาปัตยกรรมอสี าน รองศาสตราจารย์ สมใจ น่ิมเลก็ 9) หางหงส์ (สว่ นประดบั บนป้ันลม) หางหงส์ เป็นส่วนประดับบนปลายปั้นลม สลักเป็นหัวพญานาค หรือลายก้านดก (กนกหัว ม้วน) ขนึ้ อย่กู บั แนวความคดิ และจติ นการของชา่ ง ภาพที่ 14 แสดงรูปแบบของหวั นาคหรือหางหงษ์ ที่มา : สิม สถาปตั ยกรรมอสี าน รองศาสตราจารย์ สมใจ นม่ิ เล็ก 10) สีหนา้ (หน้าบัน) นยิ มทำเปน็ ลายตาเวน หรือเปน็ ดวงตะวนั ส่องแสงเปน็ รศั มตี ิดกระจกประดบั เสมือนความ สวา่ งไสวสดใสชชั วาลแหง่ ดวงประทปี สอ่ื ความหมายถึง ปัญญาของผใู้ ฝใ่ จในพระธรรมขององค์พระ สมั มาพุทธเจ้า ภาพท่ี 15 แสดงรูปแบบของสีหนา้ หรือหนา้ บันลายตาเวน วดั บา้ นดูน อำเภอกนั ทรารมย์ จังหวดั ศรีสะเกษ

17 6. ประวตั ิความเป็นมาของจังหวัดศรีสะเกษ ก่อนสมัยกรงุ ศรีอยุธยา ความเปน็ มาทางประวัติศาสตรข์ องจังหวัดศรีสะเกษก่อนสมัยกรงุ ศรีอยุธยา ไม่ปรากฎหลักฐาน แน่นอน มีการจดบันทึกไวพ้ อสังเขป ส่วนมากได้จากคำบอกเล่าของผ้สู งู อายเุ ลา่ ต่อ ๆ กันมา เอาความ แน่นอนไมไ่ ด้นัก นกั ประวัตศิ าสตร์ และนกั โบราณคดสี นั นิษฐานว่า พนื้ ท่ภี าคอสี านในปัจจบุ ันเคยเปน็ ท่ี อยูข่ องพวกละวา้ และลาว มแี วน่ แควน้ อาณาเขตปกครองเรียกวา่ \"อาณาจกั รฟนู ัน\" ภาพท่ี 16 แสดงการตั้งชุมชนตา่ ง ๆ ในจังหวัดศรีสะเกษ ท่ีมา : http://www.finearts.go.th/surinmuseum/หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์/ book/49.html?page=83

18 ประมาณปี พ.ศ.1100 พวกละวา้ ท่เี คยมอี ำนาจปกครอง อาณาจกั รฟูนนั เส่ือมอำนาจลง ขอมเข้า มามีอำนาจแทนและตัง้ อาณาจักรเจนละหรืออศิ านปุระข้ึน พวกละว้าถอยรน่ ไปทางเหนือ ปลอ่ ยใหพ้ ื้นที่ ภาคอีสานรกร้างวา่ งเปล่าเป็นจำนวนมาก เขตพ้นื ทจ่ี ังหวัดศรสี ะเกษและจงั หวัดใกลเ้ คียงจึงถกู ท้งิ ใหเ้ ป็น ท่ีรกร้างและเปน็ ปา่ ดง ขอมไดแ้ บ่งการปกครองเป็น 3 ภาค โดยมีศูนยก์ ารปกครองอยูท่ ่ลี ะโว้ (ลพบรุ ี) พิมาย(นครราชสีมา) และสกลนคร มีฐานะเปน็ เมอื งประเทศราช ข้นึ ตรงต่อศูนย์กลางการปกครองใหญ่ที่ นครวัด ในยุคทข่ี อมเรืองอำนาจ ศรีสะเกษน่าจะเปน็ ดินแดนแห่งหนึ่งทีข่ อมใช้เป็นเส้นทางไปมาระหว่าง เมืองประเทศราชดงั กลา่ วแลว้ เพราะปรากฎโบราณสถานโบราณวัตถขุ องขอมซึ่งกรมศิลปากรสำรวจใน จังหวัดศรีสะเกษเม่ือ พ.ศ.2512 จำนวน15 แหง่ ไม่รวมเขาพระวหิ ารซ่งึ เปน็ เทวะสถานของขอมทย่ี ่ิงใหญ่ แห่งหนง่ึ นอกจากนยี้ ังมปี ราสาทหินสระกำแพงใหญส่ ระกำแพงน้อย ปราสาทลมุ พุก ปราสาทบา้ นทาม จาน(บ้านสมอ) ปราสาทเยอ ปราสาทโดนตว็ ล(ชอ่ งตาเฒ่า อ.กนั ทรลกั ษ์) สันนิษฐานว่าโบราณสถาน เหล่าน้ีมีอายุประมาณ 1,000 ปเี ศษมีอยูต่ ามท้องที่อำเภอต่าง ๆ ของจังหวดั ศรสี ะเกษ ขอมคงสร้างข้ึนเพื่อ เป็นท่พี ักและประกอบพิธที างศาสนาระหวา่ งเดินทางจากนครวดั นครธม ขา้ มเทือกเขาพนมดงรักมาสู่ ศนู ยก์ ลางการปกครองภาคอีสานทงั้ 3 เมอื งดงั กล่าวแล้ว เมอื่ ขอมเสื่อมอำนาจลง ไทยเริ่มมอี ำนาจครอบครองดินแดนเหล่านี้ ขณะเดยี วกันพืน้ ทีจ่ ังหวัด ศรีสะเกษมสี ภาพเปน็ ป่าดงอยนู่ าน เพราะแม้แตส่ มัยกรุงศรอี ยธุ ยาตอนกลางกม็ ไิ ดบ้ นั ทึกกล่าวถงึ จังหวดั ศรสี ะเกษในเอกสารใด เพิง่ จะไดม้ กี ารบันทึกหลักฐานในพงศาวดารกล่าวถงึ เมืองสุรินทร์ดว้ ย สมยั กรุงศรีอยุธยา ในสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยาอาณาจักรกวา้ งขวางมาก มีชาวบ้านป่าซ่งึ เป็นชนกลุม่ น้อยอาศัยอย่แู ถบ เมอื งอตั ปือแสนแป แคว้นจำปาสักฝัง่ ซ้ายแม่น้ำโขง ประเทศสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว ปจั จบุ นั ชนพวกนี้เรียกตวั เองวา่ \"ขา่ \" สว่ ย\" \"กวย\" หรอื \"กยุ \" อยู่ในดนิ แดนของราชอาณาจักรไทย โดย สมบรู ณ์ (เพ่งิ เสียให้ฝรง่ั เศสเมื่อ พ.ศ.2436หรือ ร.ศ.112) พวกนี้มคี วามรู้ความสามารถในการจบั ช้างป่ามา เลีย้ งไวใ้ ชง้ าน ชาวสว่ ยหรอื ชาวกวยไดอ้ พยพย้ายที่ทำมาหากินขา้ มมาฝ่งั ขวาแม่นำ้ โขง เน่ืองจากชาวเมือง ศรีสัตนาคนหตุ (เวยี งจันทน์) ไดเ้ ข้าไปต้ังถนิ่ ฐานแยง่ ทีท่ ำมาหากิน ในปี พ.ศ.2260 ชาวส่วยได้อพยพแยกออกเป็นหลายพวกด้วยกนั แต่ละพวกมีหวั หนา้ ควบคมุ มา เชน่ เซียงปมุ เซียงสี เซยี งสง ตากะจะและเซยี งขนั เซียงฆะ เซียงไชย หวั หน้าแต่ละคนก็ได้หาสมคั รพรรค พวกไปตั้งรกรากในท่ตี ่าง ๆ กนั เซียงปุมอยู่ทบ่ี ้านที เซียงสีหรือตะกะอามอยทู่ ่ีรตั นบรุ ี เซียงสงอยบู่ า้ น เมอื ลีง (อำเภอจอมพระ) เซียงฆะอยู่ท่สี งั ขะ เวียงไชยอยู่บา้ นจารพัด (อำเภอศรีขรภมู ิ) ส่วนตากะจะ และเซยี งขนั อยู่ทบ่ี ้านปราสาทสเี่ หลย่ี มดงลำดวน (บา้ นดวนใหญป่ ัจจุบัน)

19 พวกส่วยเหลา่ นอี้ ยรู่ วมกันเป็นชมุ ชนใหญ่หาเลีย้ งชพี ดว้ ยการเกษตรและหาของปา่ บริโภคใช้สอย มกี ารไปมาหาสตู่ ดิ ต่อกันระหวา่ งพวกสว่ ยอยู่เสมอ มสี ภาพภูมิประเทสตดิ ต่อเขตกมั พูชา และมเี ทือกเขา พนมดงรักเปน็ เส้นกนั เขตแดน ป่าดงเขตน้มี ีฝงู สัตวป์ ่าอุดมสมบูรณ์ โขลงช้างพงั ชางพลาย ฝูงเกง้ กวาง ละมั่งและโคแดงอยมู่ ากมายตามทงุ่ หญ้าและราวป่า เหมาะกบั การทำมาหาเล้ียงชพี ของชาวส่วยอยา่ งย่ิง ลุ พ.ศ.2302 ปีเถาะ จลุ ศักราช 1181 ตรงกบั สมยั แผ่นดนิ สมเด็จพระที่นงั่ สุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทศั น์) กษัตริย์องคส์ ุดทา้ ยของกรุงศรีอยุธยา พระยาช้างเผือกของพระองคไ์ ดแ้ ตกออกจาก โรงชา้ งต้นในกรุงศรีอยุธยา เดินทางมาทศิ ตะวันออกเฉียงเหนอื โปรดให้ทหารเอกคู่พระทยั สองพนี่ ้อง (เข้าใจว่าสมเดจ็ เจ้าพระยามหากษัตรยิ ศ์ ึก พระนามเดิมทองด้วง และกรมพระราชวงั บวรมหาสุรสงิ หนาท พระนามเดิมบญุ มา) คุมไพร่พล 30 นาย ออกติดตามผ่านมาแขวงพิมาย ทราบจากเจ้าเมืองพมิ ายว่า ใน ดงริมเขาพนมดงรักมีพวกสว่ ยชำนาญใชการจบั ชา้ ง เล้ยี งช้าง สองพ่ีน้องกบั ไพร่พล จงึ ไดต้ ิดตามสอง พน่ี ้องไปหาเซียงสไี ปทบ่ี ้านกดุ หวาย(อำเภอรตั นบรุ ี) เซยี งสีจึงไดพ้ าสองพนี่ อ้ งและไพร่พลตามหาเซยี งสง ที่บา้ นเมืองลีง เซยี งปมุ่ ท่ีบ้านเมอื งที เซยี งไชยทบ่ี ้านกุดปะไท ตากะจะและเซียงขนั ทบี่ ้านโคกลำดวน เซียฆะท่ีบา้ นอจั จะปะนึง(เขตอำเภอสงั ขะ) ทกุ คนร่วมเดินทางตดิ ตามพระยาชา้ งเผอื ก สองพีน่ ้องและ หัวหนา้ ปา่ ดงทงั้ หมด ได้ออกตดิ ตามล้อมจับพระยาช้างเผือกไดท้ ่ีบา้ นหนองโชก ได้คืนมาและนำส่งถงึ กรุงศรีอยธุ ยา ด้วยความดคี วามชอบในคร้งั นี้สมเดจ็ พระท่ีนงั่ สุริยาศน์อมรินทร์ จึงทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ ต้งั ให้หวั หน้าบา้ นปา่ ดงมบี รรดาศักด์ทงั้ หมด ตากะจะหัวหน้าหมบู่ า้ นโคกลำดวน ได้เปน็ หลวงแก้ว สวุ รรณ เซยี งขันไดเ้ ป็นหลวงปราบอย่กู ับตากะจะ ต่อมาหัวหนา้ หมูบ่ ้านป่าดงท้งั 5 ไดพ้ ากนั ไปเฝ้าสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงศรีอยุธยา โดยนำ สิ่งของไปทลู เกล้าฯ ถวาย คอื ชา้ ง มา้ แกน่ สน ยางสน ปกี นก นกระมาด (นอแรด) งาชา้ ง ขี้ผงึ้ นำ้ ผงึ้ เปน็ การส่งส่วยตามพระราชประเพณี สมเด็จพระที่นง่ั สุรยิ าศนอ์ มรนิ ทร์ทรงพิจารณาเห็นความดคี วามชอบ เมื่อครั้งได้ช่วยเหลอื จบั พระยาชา้ งเผือก และเมื่อหวั หน้าหมูบ่ า้ นได้นำส่ิงของไปทูลเกลา้ ฯ ถวาย จงึ ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ แตง่ ตั้งบรรดาศักด์ิใหห้ วั หนา้ หมบู่ ้านสูงขึ้นทกุ คน ในปี พ.ศ.2302 นีเ้ องหลวงแก้วสุวรรณ(ตากะจะ) บา้ นโคกลำดวนไดบ้ รรดาศักด์ิเปน็ เป็น พระยาไกรภกั ดีศรนี ครลำดวน มีพระบรมราชโองการยกบ้านปราสาทส่ีเหล่ียมดงลำดวน ซง่ึ เดิมเรยี กว่า \"เมอื งศรนี ครลำดวน\" ข้ึนเปน็ เมอื งขุขนั ธ์ แปลว่า \"เมืองปา่ ดง\" ให้พระยาไกรภักดศี รีนครลำดวนเป็นเจ้า เมอื งปกครอง สมัยกรงุ ธนบรุ ี เมือ่ กรุงศรีอยุธยาเสียกรุงแกพ่ ม่าในปี พ.ศ.2310 แลว้ สมเดจ็ พระเจ้ากรุงธนบุรพี ระเจ้าตากสิน มหาราช ได้ทรงกอบกู้อิสรภาพและทรงตั้งกรุงธนบรุ ีเปน็ ราชธานี พ.ศ.2321 ปีจอ จุลศักราช 1140

20 กรงุ ศรีสัตนาคนหุต(เวยี งจันทน์) เป็นกบฏต่อไทย สมเด็จพระเจ้ากรงุ ธนบุรไี ดโ้ ปรดเกล้าฯ ใหส้ มเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั ริย์ศึก(พระบามสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช) กบั เจา้ พระยาสุรสหี ์เป็น แมท่ ัพยกข้ึนไปทางเมืองพมิ าย แม่ทัพสั่งใหเ้ จ้าเมืองพิมายแต่งข้าหลวงออกเกณฑ์กำลังเมอื งประทาสมนั ต์ (จงั หวดั สุรินทร)์ เมืองสังฆะ เมืองขขุ นั ธ์ เมืองรัตนบรุ ี เป็นทพั บกยกไปตเี มืองเวยี งจันทน์ เมอื งจำปาศักดิ์ ได้ชยั ชนะยอมขน้ึ ต่อไทยทั้งสองเมือง กองทัพไทยเขา้ เมืองเวียงจนั ทน์ ได้อญั เชญิ พระแกว้ มรกตและ พระบาง พร้อมคมุ ตวั นครจำปาศักดิ์ไชยกมุ ารกลับกรงุ ธนบุรีในการศึกคร้ังน้ีเมอื่ เดนิ ทางกลบั หลวงปราบ (เซียงขัน) ทหารเอกในกองทัพ ได้หญิงมา่ ยชาวลาวคนหน่ึงกลับมาเป็นภรรยา มบี ุตรชายตดิ ตามมาด้วย ชื่อทา้ วบุญจนั ทน์ พ.ศ.2324 เมืองเขมรเกดิ จลาจล สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริยศ์ ึกกบั พระยาสุรสีห์ ได้รบั พระบรมราชโองการใหเ้ ปน็ แม่ทัพยกกองทัพไปปราบจลาจลครง้ั นี้ โดยเกณฑ์กำลงั ของเมืองปะทายสมนั ต์ เมืองขขุ ันธ์ และเมืองสงั ฆะ สมทบกบั กองทพั หลวงออกไปปราบปราม กองทัพไทยยกไปตเี มืองเสยี มราฐ กำพงสวาย บรรทายเพชร บรรทายมาศ และเมืองรูงตำแรย(์ ถำ้ ช้าง) เมืองเหลา่ นีย้ อมแพ้ ขอขึ้นเปน็ ขอบ ขณั ฑสมี า เสรจ็ แลว้ ยกทพั กลับกรุงธนบุรี เมอื่ เสร็จสงครามเวียงจันทน์ และเมืองเขมรแลว้ ได้ปนู บำเหนจ็ ให้แก่เจา้ เมืองปะทายสมนั ต์ เมืองขุขันธ์ และเมืองสังฆะเลอื่ นบรรดาศักดิ์ใหเ้ ปน็ พระยาใหพ้ ระยาทงั้ สามเมอื ง เจา้ เมอื งขขุ นั ธไ์ ด้ บรรดาศักดิใ์ หม่ จากพระยาไกรภักดีศรนี ครลำดวน เป็นพระยาขขุ นั ธภ์ กั ดี ในปเี ดยี วกนั น้นั เองพระยา ขขุ ันธภ์ กั ด(ี ตากะจะ) ถงึ แก่อนจิ กรรมจงึ โปรดใหห้ ลวงปราบ(เซยี งขนั ) ขึ้นเปน็ พระยาไกรภกั ดีศรนี คร ลำดวนเจา้ เมืองขุขันธ์ ตอ่ มาเมืองขขุ ันธท์ ี่บา้ นปราสาทสี่เหลย่ี มดงลำดวนกนั ดารนำ้ พระยาไกรภกั ดีฯ จึง อพยพเมืองยา้ ยมาอยบู่ า้ นแตระ(แตระ)ตำบลหว้ ยเหนือ ทตี่ ้ังอำเภอขขุ ันธใ์ นปัจจุบนั สมยั กรุงรตั นโกสินทร์ ลุ พ.ศ.2325 ปีขาล จลุ ศักราช 1144 พระบามสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช เสด็จ เถลิงถวลั ยราชสมบตั ิ พระยาไกรภักดีศรนี ครลำดวน(เซยี งขัน) ไดบ้ รรดาศักดิเ์ ป็นพระยาขขุ นั ธ์ภักดี ได้มใี บบอกกราบ บงั คมทูลขอ้ ตั้งท้าวบญุ จนั ทร์ เป็นพระยาไกรภกั ดศี รีนครลำดวน ผชู้ ว่ ยเจ้าเมือง อยู่มาวนั หน่ึงพระยา ขขุ ันธ์ภกั ดี เผลอเรยี กพระยาไกรภกั ดีฯ(บุญจนั ทร์)วา่ \"ลกู เชลย\" พระยาไกรภักดีจงึ โกรธและผูกพยาบาท ภายหลังมีพอ่ ค้าญวน 30 คน มาซ้ือโคกระบือที่เมืองขขุ ันธ์ พระยาขุขนั ธภ์ กั ดีอำนวยความสะดวกและจดั ทีพ่ กั ให้ญวนตลอดจนให้ไพรน่ ำทางไปช่องโพย ให้พวกญวนนำโค กระบอื ไปยังเมืองพนมเปญไดส้ ะดวก พระยาไกรภกั ดีฯ(บุญจนั ทร์) ได้กลา่ วโทษมายงั กรงุ เทพฯและโปรดเกลา้ ใหเ้ รียกตัวพระยาขขุ นั ธไ์ ปลงโทษ และจำคุกไวท้ ่ีกรงุ เทพฯ แล้วโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ้ังพระยาไกรภักดฯี (บญุ จนั ทร)์ เปน็ เจา้ เมืองขุขนั ธแ์ ทน

21 ในปี พ.ศ.2325 น้ี พระภักดีภธู รสงคราม(อุ่น) ปลัดเมืองขุขนั ธ์ กราบบงั คมทูลขอแยกจากขขุ ันธ์ ไปต้งั ที่บา้ นโนนสามขา จึงทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯให้ยกบ้านโนนสามขาขึน้ เปน็ เมือง \"ศรสี ระเกศ\" ตอ่ มาปี พ.ศ.2328 ไดย้ า้ ยเมอื งศรีสระเกศจากบ้านโนนสามขา มาต้ัง ณ บ้านพันทาเจียงอี อยใู่ นเขต เทศบาลเมืองศรีสะเกษทุกวนั น้ี พ.ศ.2342 มโี ปรดเกลา้ ฯ ให้เกณฑ์กำลงั เมืองสรุ ินทร์ เมอื งขุขันธ์ เมืองสังฆะ เมืองละ 100 คน รวม 300 คน ยกทพั ไปตีพม่าซง่ึ ยกมาต้ังในเขตนครเชียงใหม่ กองทัพไทยมทิ ันไปถึง กองทัพพมา่ ก็ถอย กลบั จึงโปรดเกล้าฯให้กองทัพไทยยกกลับ พ.ศ.2350 ทรงพระราชดำริวา่ เมืองสุรินทร์ เมืองสงั ฆะ และเมอื งขขุ นั ธ์ เปน็ เมืองเคยตามเสด็จ พระราชดำเนินในการพระราชสงครามหลายคร้ังมีความชอบมาก จงึ โปรดเกลา้ ฯ ให้ท้งั 3 เมือง ข้ึนตรงตอ่ กรงุ เทพฯ มีอำนาจชำระคดไี ด้เอง ไม่ตอ้ งขนึ้ ต่อเมืองพมิ ายเหมือนแต่กอ่ น พ.ศ.2369 รัชสมยั สมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจา้ อยูห่ วั เจา้ อนุวงศ์ เมืองเวยี งจันทน์แต่งตง้ั ให้เจา้ อุปราช (สีถาน) กับเจ้าราชวงศเ์ มืองเวียงจนั ทน์ คุมกองทัพบกเข้าตีเมอื งรายทางเข้ามาจนถึงเมืองนครราชสมี า ฝา่ ยทางเมืองจำปาศกั ดิ์ เจ้านครจำปาศักดิ(์ เจา้ โย่) เกณฑก์ ำลังยกทัพมาตเี มอื งขุขันธ์จับพระไกรภกั ดีศรี นครลำดวน(บุญจันทร์) เจา้ เมืองขุขันธ์ กับพระภักดภี ูธรสงคราม(มานะ) ปลดั เมอื งกับพระแก้วมนตรี(ทศ) ยกกระบตั รกับกรมการได้ ฆ่าตายทัง้ หมด เจา้ เมืองสงั ฆะ และเมืองสรุ ินทรห์ นไี ด้ทัน กองทัพจำปาศักดิ์ ตัง้ คา่ ยอยู่ท่ีบ้านสม้ ป่อย แขวงเมืองขุขนั ธค์ ่ายหน่ึง และค่ายอน่ื ๆ สค่ี ่าย กวาดต้อนครอบครัวไทยเขมรไป เมืองจำปาศกั ด์ิ จากน้ันมาเมืองขุขันธ์ ไม่มีขา้ ราชการปกครอง โปรดเกล้าฯ ใหพ้ ระยาสังฆะ ไปเป็นพระยา ไกรภักดีศรีนครลำดวนเจา้ เมือง ให้พระไชยเปน็ พระภักดีภธู รสงครามปลดั เมือง ใหพ้ ระสะเท้ือน (นวน) เป็นพระแก้วมนตรยี กกระบตั รเมอื ง ให้ท้ายหลา้ บตุ รพระยาขขุ นั ธ์(เซยี งขัน) เปน็ มหาดไทยชว่ ยกนั รักษา เมอื งขขุ นั ธต์ อ่ ไป จากนัน้ มาไดม้ กี ารเปลยี่ นแปลงตำแหนง่ เจ้าเมืองและนามเจา้ เมืองหลายครัง้ พ.ศ.2426 รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว พระยาขุขันธ(์ ปญั ญา) เจา้ เมืองกับ พระปลดั (จันลี) ไดน้ ำชา้ งพังสีประหลาดหนึง่ เชือกลงมาน้อมเกลา้ ฯ ถวายที่กรงุ เทพฯ พ.ศ.2433 มสี ารตราโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ มืองศรสี ระเกศ(ชื่อเดมิ ) ไปอยใู่ นบงั คบั บัญชาของข้าหลวง ใหญ่ได้โปรดใหห้ ลวงจำนงยุทธกิจ(อมิ่ ) กับขุนไผทไทยพิทกั ษ(์ เกลื่อน) เป็นขา้ หลวงเมืองศรสี ระเกศ พ.ศ.2435 โปรดเกล้าฯ ให้จัดรูปการปกครองแบบมณทลเมืองศรสี ะเกศขึน้ อยู่กับเมณฑลอีสาน กองบัญชาการมณฑลอยทู่ จ่ี งั หวดั อบุ ลราชธานี พ.ศ.2445 เปลย่ี นชอ่ื มณฑลอีสานเปน็ มณฑลอบุ ลมีเมืองข้ึน 3 เมืองคือ อุบลราชธานี ขขุ ันธ์ และ สรุ นิ ทร์ ไม่ปรากฏชอื่ เมืองศรีสระเกศ สันนษิ ฐานว่าเมืองศรสี ระเกศถกู ยบุ ลงเป็นอำเภอข้ึนกบั เมืองขุขันธ์ ซึ่งเป็นเมืองเกา่ มาแตเ่ ดมิ

22 พ.ศ.2447 ยา้ ยทต่ี ั้งเมืองขุขนั ธ์(ซ่งึ อยู่ทีบ่ ้านแตระ ตำบลหว้ ยเหนืออำเภอขุขันธ์ในปัจจบุ นั ) มาอยู่ ทต่ี ำบลเมืองเกา่ (ปัจจบุ นั คือตำบลเมอื งเหนือในเขตเทศบาลเมืองศรสี ะเกษในปัจจุบนั ) และยงั คงใช้ชือ่ \"เมอื งขุขนั ธ์\" ยุบเมืองขขุ นั ธเ์ ดิมเปน็ อำเภอห้วยเหนือ(อำเภอขุขันธ์ในปจั จุบนั น)้ี พ.ศ.2459 กระทรวงมหาดไทย มปี ระกาศให้เปล่ยี นชื่อเมืองทุกเมืองเป็นจังหวดั เมืองขขุ ันธจ์ ึง เปน็ เป็นจังหวัดขุขันธ์ เม่อื วันท่ี 9พฤศจิกายน พ.ศ.2459 เปลี่ยนผ้วู ่าราชการเมืองเป็นผู้วา่ ราชการจังหวัด พ.ศ.2481 มพี ระราชกฤษฎีกา เปลย่ี นชอ่ื จังหวัดขขุ ันธ์ เปน็ จังหวดั ศรสี ะเกษ ตัง้ แต่บัดน้ันเป็นตน้ มาจนถงึ ปจั จุบัน

23 บทที่ 3 สมิ อีสานในเขตจงั หวดั ศรสี ะเกษ จงั หวัดศรีสะเกษต้งั อยใู่ นเขตภาคตะวันออกเฉยี งเหนือตอนลา่ งเรียกว่าอสี านใต้ มปี ระวตั ิศาสตร์ อนั ยาวนาน มีแหล่งโบราณคดที ี่แสดงถงึ อารยธรรมเก่าแก่มากมาย เคยเปน็ ชมุ ชนทีม่ ี อารยธรรมรงุ่ เรือง มานับพนั ปี นบั ต้ังแตส่ มัยขอมเรืองอำนาจ และมชี นเผา่ ต่าง ๆ อพยพมาต้งั รกรากในบริเวณน้ี ได้แก่ พวก ส่วย ลาว เขมร และเยอ จงั หวดั ศรสี ะเกษเป็นพ้นื ท่หี น่ึงในภาคอสี านทพ่ี ุทธศาสนาเจรญิ รงุ่ เรอื ง มสี มิ เกิดขนึ้ เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะสิมอีสานพนื้ บ้านบรสิ ุทธิ์ ทแี่ สดงออกถึงความสงบ สมถะเรียบงา่ ย สันโดษ และจรงิ ใจ ท่เี กดิ จากการผสมผสานแนวคดิ คติความเชอ่ื และเทคนคิ ในการสรา้ งงานตามภูมิ ปญั ญาของผคู้ นในท้องถน่ิ ทสี ืบทอดตามขนบธรรมเนยี มของชาวอีสาน ดงั นี้ 1. สิมอสี านในเขตจังหวดั ศรสี ะเกษ ในการศึกษาสิมอีสาน ในเขตจงั หวัดศรสี ะเกษ มสี ิมอสี านทั้งส้ิน 18 สมิ ในเขตพ้นื ที่ 8 อำเภอ ดงั ต่อไปน้ี 1.1 สิมวดั คูซอด บ.คูซอด ต.คซู อด อ.เมืองศรสี ะเกษ จ.ศรสี ะเกษ อายุประมาณ 112 ปี รูปแบบ สิมโปร่งพ้นื บ้านบริสุทธ์ิมีคนั ทวย สภาพสิมได้รับการบรู ณปฏิสังขรณ์ จากกรมศิลปากร และไดร้ บั การประกาศขึน้ ทะเบียนเปน็ โบราณสถานของชาติ 1.2 สมิ วดั สิมเกา่ บ.คูซอด ต.คูซอด อ.เมืองศรีสะเกษ จ.ศรสี ะเกษ อายุประมาณมากกวา่ 100 ปีรปู แบบ สมิ โปร่งพ้นื บ้านบริสุทธิ์ สภาพสิมมีสภาพทรุดโทรมเหลอื เพียงซากปรักหักพังแต่ได้รับการ สงวนรักษา และไดร้ ับการประกาศข้นึ ทะเบยี นเป็นโบราณสถานของชาติ

24 1.3 สมิ วัดบ้านเวาะ บ.เวาะ ต.คซู อด อ.เมืองศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ อายุประมาณมากกว่า 100 ปี รปู แบบ สมิ โปรง่ พ้ืนบ้านบริสุทธ์ิ สภาพสมิ มสี ภาพทรดุ โทรมเหลือเพียงซากปรักหักพังแต่ไดร้ บั การสงวนรักษาดูแลจากทางวดั และชมุ ชน 1.4 สมิ วดั โนนใหญ่ บ.โนนใหญ่ ต. โพธ์ิชัย อ. อุทมุ พรพิสยั จ. ศรีสะเกษ อายปุ ระมาณมากกวา่ 100 ปี สิมทบึ พื้นบ้านบริสุทธ์ิ สภาพสิมมสี ภาพทรุดโทรมแตไ่ ดร้ บั การบูรณะปฏสิ งั ขรณ์ตามสภาพจาก ทางวัดและชมุ ชน 1.5 สมิ วัดบา้ นสะเดา บ.สะเดา ต.โพธช์ิ ยั อ.อทุ ุมพรพสิ ัย จ.ศรีสะเกษ อายปุ ระมาณ 105 ปี รูปแบบ สิมโปรง่ พืน้ บ้านบรสิ ุทธ์ิ มฮี ูปแต้ม สภาพสิมไดร้ ับการบรู ณปฏิสังขรณจ์ ากกรมศิลปากร ปจั จุบัน ยังคงใช้สิมในการทำสงั ฆกรรมตา่ ง ๆ และได้รับการประกาศขน้ึ ทะเบียนเปน็ โบราณสถานของชาติ

25 1.6 สิมวัดบา้ นส้มปอ่ ยน้อย บ.ส้มป่อยน้อย ต.สำโรง อ.อุทุมพรพสิ ยั จ.ศรีสะเกษ อายุประมาณ มากกวา่ 100 ปี รูปแบบ สิมโปร่งพื้นบ้านบริสทุ ธ์ิ สภาพสมิ มีสภาพทรดุ โทรมเหลือเพียงซากปรักหักพัง ขาดการดูแลจากท้ังทางวดั และชมุ ชน 1.7 สมิ วัดบา้ นกลาง บ.กลาง ต.ขะยงู อ.อุทุมพรพสิ ยั จ.ศรีสะเกษ อายุประมาณมากกว่า 100 ปี รปู แบบ สมิ โปรง่ พืน้ บ้านบริสุทธิ์ สภาพสมิ ได้รับการบูรณะทไี่ ม่เหมือนรปู แบบสิมอสี าน และใชเ้ ปน็ หอ้ ง เก็บสง่ิ ของ 1.8 สิมวดั บา้ นหวั ช้าง บ.หัวช้าง ต.หัวชา้ ง อ.อทุ มุ พรพสิ ัย จ.ศรสี ะเกษ อายปุ ระมาณ 80 ปี รูปแบบ สิมทบึ พนื้ บ้านอิทธิพลช่างญวน มีฮูปแตม้ สภาพสมิ ไดร้ ับการบรู ณปฏสิ ังขรณ์ตามสภาพของ วัดและชมุ ชน

26 1.9 สมิ วัดบา้ นเมอื งจันทร์ บ.เมืองจนั ทร์ ต.เมอื งจนั ทร์ อ.เมอื งจนั ทร์ จ.ศรสี ะเกษ อายุ ไมน่ ้อย กว่า 200 ปี สร้างราวสมยั อยุธยา รปู แบบสิมทบึ อิทธพิ ลลา้ นช้าง มคี นั ทวย สภาพสมิ คงเหลอื เพยี ง โครงสรา้ งอฐิ ของสิมที่ไดร้ บั การบูรณะปฏสิ ังขรณ์ จากกรมศิลปากร และได้รบั การประกาศขนึ้ ทะเบยี น เป็นโบราณสถานของชาติ 1.10 สิมวดั ใต้ บ.ใหญ่ ต.เมืองคง อ.ราศีไศล จ.ศรีสะเกษ อายุ ไม่น้อยกวา่ 150 ปี รูปแบบ มี สิม 2 หลงั เป็นสมิ อิสานพืน้ บา้ น สิมสมิ หลงั ท่ี 1 เปน็ สมิ โปรง่ สร้างด้วยไมท้ ง้ั หลัง หลังท่ี 2 เปน็ สิมโปร่งครึง่ ไม้ครึ่งปูน มฮี ังผง้ึ สภาพสมิ สมิ หลงั ท่ี 1 มีสภาพทรุดโทรมมาก สิมหลงั ท่ี 2 ได้รับการบรู ณะปฏิสงั ขรณ์ จากทางวัดแต่ไม่เปน็ ไปตามรูปแบบชา่ งโบราณ 1.11 สิมวัดบ้านดูน บ.ดูน ต.ดูน อ.กนั ทรารมย์ จ.ศรสี ะเกษ อายุ ไม่น้อยกวา่ 150 ปี รูปแบบ เปน็ สมิ โปรง่ พนื้ บา้ นบริสทุ ธิ์ สภาพสิมมคี วามทรุดโทรมตามกาลเวลามีการซ่อมแซมปฏสิ งั ขรณ์เปน็ บ้าง เลก็ นอ้ ย

27 1.12 สิมวัดบา้ นโนนผ้งึ บ.โนนผ้ึง ต.โนนสัง อ.กนั ทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ อายุประมาณ 200 ปี รปู แบบเปน็ สมิ โปร่งพื้นบ้านบริสุทธิ์ สภาพสิมได้รบั การซ่อมแซมปฏิสังขรณ์จากทางวัดและชมุ ชน 1.13 สิมวดั โสภณวิหาร บ.ลมุ พกุ ต.กันทรารมย์ อ.ขุขนั ธ์ จ.ศรีสะเกษ อายุ มากกว่า 200 ปี รปู แบบสิมทบึ อิทธพิ ลล้านชา้ ง สภาพสมิ ค่อนขา้ งสมบรู ณ์เพราะไดร้ บั การการบูรณะปฏิสังขรณ์มาตลอด จากทัง้ ทางวัดและชุมชน โดยคงรปู แบบให้เหมอื นเดิมมากท่สี ุด และสมิ วดั โสภณวิหารยังใชท้ ำสงั ฆกรรม ตา่ ง ๆ เปน็ ปกติ ปจั จบุ ันสมิ วัดโสภณวหิ ารไดร้ บั การประกาศข้ึนทะเบยี นเป็นโบราณสถานของชาติ 1.14 สมิ วดั เขียนบรู พาราม ต.หว้ ยเหนอื อ.ขขุ ันธ์ จ.ศรีสะเกษ อายุประมาณ 200 ปี รูปแบบ เป็นสมิ ทบึ ทรงโรง ในเขตวฒั นธรรมเขมร ท่ีมขี นาดใหญ่กวา่ สิมปกตมิ าก สภาพสิมค่อนข้างสมบูรณ์เพราะ ได้รับการการบูรณะปฏสิ งั ขรณ์มาตลอด จากทัง้ ทางวดั และชมุ ชนและสมิ วดั โสภณวหิ ารยังใช้ทำสงั ฆกรรม ต่าง ๆ เป็นปกติ ปจั จุบันสมิ วัดโสภณวหิ ารได้รบั การประกาศข้นึ ทะเบียนเปน็ โบราณสถานของชาติ

28 1.15 สิมวดั ไพรบงึ ต.ไพรบงึ อ.ไพรบึง จ.ศรสี ะเกษ อายุ 76 ปี รูปแบบเปน็ สิมทึบทรงโรงอิทธพิ ล ชา่ งญวน ในเขตวัฒนธรรมเขมร ที่มีขนาดใหญ่กวา่ สมิ ปกติมาก สภาพสิมภายนอกค่อนข้างสมบูรณ์เพราะ ได้รบั การการบูรณะปฏิสงั ขรณ์มาตลอด แตภ่ ายในค่อนขา้ งชำรดุ ทรดุ โทรม 1.16 สิมวัดบ้านสิ บ.สิ ต.สิ อ.ขนุ หาญ จ.ศรีสะเกษ อายุประมาณ 90 ปี รูแบบ เดิมสมิ วัดบ้าน สิ เป็นสิมบา้ นทรงโรง ทม่ี ีขนาดใหญก่ ว่าสิมปกตมิ าก สภาพสิมไดร้ บั การบูรณะจากไม้เป็นถืออิฐกอ่ ปนู ใน รปู แบบอิทธิพลจากเมืองหลวง ปัจจุบันยงั ใชใ้ นการทำสังฆกรรมต่าง ๆ เปน็ ปกติ 1.17 สมิ วดั บ้านทงุ่ เลน บ.ท่งุ เลน ต.พราน อ.ขนุ หาญ จ.ศรสี ะเกษ อายุ 70 ปี รูปแบบเป็นสิม ทบึ ทรงโรงในเขตวัฒนธรรมเขมรเดมิ เป็นสมิ ไม้ ทม่ี ีขนาดใหญ่กว่าสมิ ปกติมาก สภาพสิมวัดบ้านทุ่งเลนยัง มสี ภาพค่อนข้างสมบรู ณ์ ชำรุดในส่วนเครื่องประดบั ตกแตง่ เชน่ โหง่ ลำยอง เป็นต้น และปจั จุบันใช้ในการ ทำสังฆกรรมตา่ ง ๆ เป็นปกติ

29 1.18 สมิ วดั บา้ นกระเบากันตรวจ บ.กระเบากนั ตรวจ ต.โนนสงู อ.ขนุ หาญ จ.ศรสี ะเกษ อายุ 70 ปี รปู แบบสมิ ทึบกอ่ อฐิ ถือปูนลอกเลยี นเมืองหลวง สภาพสิมภายนอกมสี ภาพค่อนขา้ งดี แต่ภายในชำรุด ทรุดโทรม ปัจจุบันใช้ในการทำสงั ฆกรรมต่าง ๆ เป็นปกติ

30 2. แผนทแี่ สดงตำแหนง่ ของสิมอีสาน(โบสถ์) ในเขตพนื้ ท่ีจังหวัดศรสี ะเกษ

31 3. สมิ ศรสี ะเกษ สมิ ศรีสะเกษ ท่ีสรา้ งสรรคโ์ ดยช่างท้องถิ่น และมีเอกลักษณ์ต่างจากรูปแบบสถาปัตยกรรมใน พ้ืนที่อ่นื ๆ เอกลกั ษณท์ ่เี กดิ จากการผสมผสานแนวคดิ คตคิ วามเชื่อและเทคนิคในการสรา้ งงานตามภูมิ ปัญญาของผคู้ นในทอ้ งถิน่ ทสี่ ืบทอดตามขนบธรรมเนยี ม ในการศกึ ษาสิมศรีสะเกษ การศึกษาสิมอสี าน (โบสถ์โบราณ)ในเขตจงั หวัดศรสี ะเกษ โดยเลอื กศึกษาสิมศรสี ะเกษ จำนวน 3 หลงั ดงั น้ี 2.1 สิมวดั โสภณวิหาร บ.ลุมพกุ ต.กันทรารมย์ อ.ขุขนั ธ์ จ.ศรสี ะเกษ อายุมากกว่า 200 ปี ภาพที่ 17 แสดงลักษณะของสมิ วดั โสภณวหิ าร สิมพน้ื บา้ นอทิ ธิพลแบบลา้ นชา้ งผสมเขมร วัดโสภณวหิ าร เดิมชอื่ “วดั รว็ มปุก” ตั้งขึ้นราว พ.ศ. 2410 ก่อนการต้ังเมืองกันทรารมย์(พ.ศ. 2415) นบั เป็นวดั เก่าแก่ที่สุดของชุมชนแถบนี้ สนั นิษฐานวา่ วัดน้ีนา่ จะสร้างขนึ้ โดยญาติพนี่ อ้ งในตระกลู เจา้ เมอื งท่านแรกของเมืองกันทรารมย์ คอื พระกนั ทรานรุ กั ษ์ (พ.ศ. 2415-2436) ซง่ึ จะปรากฎหลักฐาน ธาตเุ จดยี บ์ รรจอุ ัฐิเก่าแก่ขนาดใหญข่ องตระกลู เจ้าเมืองในบรเิ วณรอบ ๆ สมิ อีสานโบราณทย่ี ังคงความ งดงามล้ำคา่ และโดนเด่นอย่ใู จกลางวดั ซ่งึ ชาวบา้ นเรียกกนั ในปจั จบุ ันวา่ \"โสภณวหิ าร\" ในสิมมี พระพทุ ธรูปศักดสิ์ ิทธป์ิ ระดิษฐานอยชู่ ่อื ว่า \"พระพทุ ธโสภณ\" เปน็ ท่ียดึ เหนีย่ วจิตใจแกช่ มุ ชนนี้ตลอดมา ภาพท่ี 18 แสดงพระพุทธรปู ศกั ดิ์สิทธิ์ ในสิมวดั โสภณวหิ าร “พระพุทธโสภณ”

32 ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2494 พระอุปัชฌายเ์ สยี ง หริจนั โท เจา้ อาวาสวัดร็วมปุก ในขณะน้ันได้รวบรวมพลัง ศรัทธาจากชาวบา้ นในตำบลกันทรารมยไ์ ดร้ ว่ มกันสละกำลงั กายและกำลังทรัพยบ์ ูรณะพระอุโบสถหลงั น้ี ขึน้ ให้สวยงามยิง่ ขน้ึ ดังท่เี ราไดเ้ ห็นกันอยูใ่ นปัจจบุ ัน วดั โสภณวิหาร มีเน้ือที่ 22 ไร่ 76 คารางวา ได้รับ อนุญาตให้ตั้งวัดเมอื่ ปี พ.ศ. 2414 ได้รับพระราชทานวิสงู คามสมี าเพ่ือปี พ.ศ. 2475 องค์ประกอบสถาปตั ยกรรมและการตกแต่ง วดั โสภณวิหาร สรา้ งบนฐานแอวขนั ท่ีสงู ชันและทบึ ตันด้วยศลิ ปะแบบลาวซึ่งนิยมทำฐานเปน็ บัว งอนสะบดั ปลายหรือแอวขันเขา่ พรหม ทง้ั น้ีในสว่ นด้านล่างยงั ทำชอ่ งเจาะขนาดเลก็ รปู สามเหลยี่ มสำหรบั ประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ซง่ึ ในปัจจุบัน พระพทุ ธรปู ไดส้ ญู หาย ประกอบกบั การถมดินปรับระดบั พ้นื สูงขึน้ ภาพท่ี 19 แสดงฐานแอวขันและชอ่ งสำหรับประดษิ ฐานพระพทุ ธรูปของสมิ วดั โสภณวหิ าร หลังคายกสองชั้น ด้านบนมีช่อฟ้ากลางสันหลงั คาปนู ป้ันรูปปหน้ากาล ปูนปั้นปกนกช้อนต่อกันมี การตกแต่งสันหลังคาเปน็ ลายวนั แล่น ภาพที่ 20 แสดงในสว่ นหลงั คา สิมวัดโสภณวหิ าร

33 ดา้ นขา้ งคนั ทวยปูนปั้นลักษณะเป็นแผงทบึ มีลวดลายประกอบ ภาพท่ี 21 แสดงคนั ทวยแบบแผงทบึ แกะลาย สมิ วดั โสภณวหิ าร หน้าบันป้ันนนู ตำ่ เปน็ รูปเทพนม สว่ นประกอบหลงั คา ปัจจุบันทำดว้ ยปนู ปั้นลายดอกประดบั กระจก สรา้ งในยคุ ใดยังไม่ปรากฏ มีบันใดข้นึ สามทาง คือ ด้านทิศเหนอื ทศิ ใตแ้ ละทศิ ตะวันออก ราวบันใดข้นึ ท้ัง สามด้าน จะมี 3 ช้ัน โดยช้นั ท่ี 1 จะเปน็ รปู ป้ันแมช่ นี ่ังพนมมือ ช้นั ท่ี 2 จะเป็นรูปปั้นสิงโตยนื สีข่ า ชัน้ ที่ 3 จะเป็น ตวั มอมคาบพญานาค 3 เศยี ร ภาพที่ 22 แสดงคนั ทวยแบบแผงทึบแกะลาย สมิ วดั โสภณวิหาร

34 ภาพท่ี 23 แสดงหน้าต่าง3ช่องแบบลูกมะหวดรูปแบบศิลปะเขมร พื้นมกุ ดา้ นหนา้ ปดู ้วย กระเบื้องเคลือบมีลวดลาย เพดานปู ไม้เขยี นลายสี ประดับโคมไฟ ซมู้ ประตปู นั้ ปนู หนา้ บนั ซุ้มประตปู ้นั นูน ต่ำเป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับนั่ง ปางสมาธิ ประตูทำด้วยไม้ หนา้ ตา่ ง 3 ชอ่ ง ปัน้ เปน็ ซ้มุ เรือนแกว้ มีไม้กลงึ เป็นลกู มะหวด 3 อนั ประดบั หนา้ ตา่ งไว้ทุกช่อง ดา้ นหลงั สมิ ปั้นเป็นซุม้ ขนาดใหญ่ ดา้ นบนป้ันรปู พระพุทธเจา้ ประทับน่งั ปางสมาธิ ดา้ นล่างเปน็ รูปป้นั พระแม่ธรณีบบี มวยผมเปน็ เน้ือหาพุทธประวัติตอนพระพุทธเจ้าผจญมาร องคป์ ระกอบ สว่ นอ่ืน ๆ ไมไ่ ดป้ ัน้ ไว้ นอกจากนี้ภายในพระอโุ บสถยังพบพัทธสมี าโบราณจำนวน 6 องค์สถติ อย่ภู ายในสมิ อีกดว้ ย ภาพท่ี 24 แสดงสมี าโบราณจำนวน 6 องค์สถิตอยู่ภายในสมิ วหิ ารวัดโสภณวิหาร ได้รับการบูรณะมาแลว้ 2 คร้ัง แตเ่ ดมิ เป็น วิหารท่สี ร้างดว้ ยเสาไม้ ไมม่ ีหลงั คา ตอ่ มาได้บรู ณะเพิม่ เติม โดยการ สรา้ งหลังคาด้วยไมเ้ น้ือแข็ง มุงดว้ ยแป้นเกล็ด ครง้ั ที่สองได้ทำการบูรณะ โดยการเปลีย่ นหลงั คาเปน็ กระเบ้ือง และบรู ณะส่วนอน่ื ๆ ใหค้ งทน แขง็ แรงดว้ ยการฉาบปูน ตกแตง่ ทาสี ดังท่ีเหน็ ในปจั จบุ นั สถปู (บรรจอุ ฐั ิ) เป็นสถูปโบราณขนาดใหญ่รูปแบบ สถาปัตยกรรมอีสานล้านชา้ ง แกะลวดลายชัดเจน มักสรา้ งไวเ้ ปน็ คู่ หลายคดู่ ว้ ยกัน และมีแบบเดีย่ ว ๆ ดว้ ย ไมแ่ น่ใจว่าเกิดจากการทุบ ทำลายหรือจงใจสรา้ งกันแน่ พบช่องบรรจอุ ัฐิอยู่ระหว่างกลางสถูป มองเห็นไดช้ ัดเจน เป็นสงิ่ ที่พบเห็นได้ไมง่ ่ายนกั อีกท้ังยงคงสภาพท่ี สมบูรณ์ ไม่มสี ว่ นใดแตกหัก ภาพท่ี 25 แสดงสถูปบรรจุอัฐโิ บราณ ศลิ ปะลา้ นช้าง อยู่ภายในวดั โสภณวิหาร มาก มากถึง 19 ธาตุ

35 2.2 สิมบ้านสะเดา บ.สะเดา ต.โพธ์ชิ ัย อ.อุทุมพรพสิ ัย จ.ศรีสะเกษ อายุ 105 ปี ภาพท่ี 26 แสดงสมิ อสี านพ้ืนบา้ นบริสุทธิ์ สมิ โปรง่ ก่ออฐิ ถือปนู วัดบา้ นสะเดา วัดบ้านสะเดาสรา้ งขน้ึ พรอ้ มกับการตัง้ หมูบ่ า้ นเม่อื พ.ศ. 2413 (สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจอม เกลา้ เจ้าอยหู่ ัว รัชกาลที่ 4) โดยตง้ั ชอ่ื ตามต้นสะเดาใหญ่ ท่ีมมี าตั้งแตค่ รั้งต้งั หมู่บ้าน (ตดั โคน่ ลงเม่อื พ.ศ. 2514) บรรพบุรษุ ด้ังเดมิ ของหม่บู า้ น อพยพมาจากบา้ นยาง เขตอำเภอราศีไศล สร้างเมอ่ื ประมาณ พ.ศ. 2456 มลี ักษณะเป็นสิมพน้ื บ้านบรสิ ุทธิ์ แบบสมิ โปรง่ มเี สาค้ำปีกนก คือ เปน็ อาคารโถง กอ่ อฐิ ถือปนู แบบโบราณ(ปนู ชะทาย) ผังพ้ืนในแบบสีเ่ หลีย่ มผืนผา้ ทำทางขน้ึ บนั ไดตรง กลางทางด้านหน้า 3 ขนั้ ฐานแอวขันประดับบวั ลกู แก้ว และยดื ฐานบวั ควำ่ ด้านลา่ งสุดให้สูงขน้ึ กว่าปกติ แอวขนั สงู เกือบ 2 เมตร ภาพที่ 27 แสดงสมิ อีสานพื้นบา้ นบริสทุ ธ์ิ สมิ โปร่งก่ออิฐถือปนู วัดบ้านสะเดา

36 สว่ นกลางของสมิ วัดบ้านสะเดา บรเิ วณทางด้านขา้ งของตัวสิมโปร่งมักปล่อยโลง่ ในช่วงเสาแรก ส่วนชว่ งเสาที่ 2 มักทำเป็นผนังกอ่ แบบขั้นบันได ทม่ี ีความสูงในแตล่ ะขั้นเทา่ กนั ภาพที่ 28 แสดงสมิ อสี านพ้ืนบา้ นบรสิ ุทธิ์ สิมโปร่งก่ออฐิ ถือปนู วัดบ้านสะเดา หลังคามุงแปน้ ไม้ ก่อสรา้ ง มีผนังสงู ผนงั ด้านหลังพระประธาน อกี 3 ด้านเปน็ ผนงั เต้ีย ที่ผนงั ทั้ง ภายนอก และภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนงั โดยญาคูหาญ พระสงฆ์ท่ีเดนิ ทางมาจากสาธารณรัฐ ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว ได้รวบรวมช่างฝีมอื ชว่ ยกันเขยี นข้ึนในภายหลงั จติ รกรรมฝาผนังทเ่ี ขียน ประกอบด้วย 3 เรอื่ ง คือ ดา้ นนอกเขียนภาพนิทานพื้นบา้ น เร่ืองการะเกด ภาพท่ี 29 แสดงสิมอีสานพ้ืนบา้ นบรสิ ทุ ธ์ิ สมิ โปร่งกอ่ อฐิ ถือปูน วดั บ้านสะเดา ภาพที่ 30 แสดงสมิ อสี านพ้ืนบ้านบรสิ ทุ ธิ์ สิมโปรง่ กอ่ อิฐถือปนู วัดบา้ นสะเดา

37 ส่วนดา้ นในเขยี นภาพชาดก เร่ืองพระเวสสนั ดรชาดก ซึง่ เป็นเร่ืองท่ีนยิ มเขียนในสมัย พระบาทสมเดจ็ พระมงกกุฏเิ กลา้ เจ้าอยหู่ ัว รชั กาลท่ี 6 ภาพทั้งหมดนเ้ี ขียนด้วยดนิ สอดำเปน็ เสน้ โครงรา่ ง เป็นภพเขียนไม่เสร็จสมบรู ณ์ บางภาพลงสขี าวเปน็ พื้น บางภาพเพิ่งเร่ิมลงสี ภาพที่ 31 แสดงสมิ อสี านพื้นบา้ นบรสิ ทุ ธิ์ สมิ โปรง่ กอ่ อฐิ ถือปนู วัดบา้ นสะเดา ภาพที่ 32 แสดง พระพทุ ธรูปประจำสิมบา้ น สะเดา ศลิ ปะแบบลาว กรมศลิ ปากร ได้ประกาศข้ึนทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานวัดบ้านสะเดา ในราช กจิ จานุเบกษา เล่ม 122 ตอนพิเศษ 126ง ฉบับวนั ท่ี 7พฤศจิกายน 2548 กำหนดพน้ื ที่โบราณสถาน ประมาณ 1 งาน 10 ตารางวา บรู ณะซ่อมแซม เมื่อปี พ.ศ. 2555

38 2.3 สิมอีสานวัดบ้านทุ่งเลน ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ อายุประมาณ 70 ปี วัดบ้านทุ่งเลน ต.พราน อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีพื้นที่ 16 ไร่ 3 งาน ในอดีตวัดบ้านทุ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของบ้านทุ่งเลน ต่อมาได้ย้ายมาตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของบ้าน ทงุ่ เลน สิมวัดบ้านทุง่ เลนเดมิ ในอดตี เป็นสมิ ไมม้ ากอ่ น สร้างอย่างเรียบงา่ ย ซึ่งเป็นสิมท่ีสร้างขึ้นเอง โดย แรงงานพระสงฆ์ และชาวบา้ น แต่เดิมโบสถ์วดั บา้ นทงุ่ เลนเคยเปน็ โบสถ์ไม้มาก่อน หลังคาเปน็ กระเบื้องท่ี ทำเองรปู แบบจากแม่พิมพ์ พระในวัดได้ไปเรียนชา่ งจากเขมรแล้วกลับมาสร้างโบสถ์ มพี ระท่ีมาจากเขมร และชาวบ้านบริเวณนั้นมาร่วมกันช่วยสร้าง พระประธานด้านในโบสถ์ปั้นขึ้นมาพร้อม ๆ กับตอนสร้าง โบสถ์ไม้ ใช้เวลาสร้าง 2-3 ปีจนเสร็จ ทั้งในงานช่างศิลป์ การวาด การแกะสลักไม้ การปั้นพระพุทธรูป ลว้ นแตเ่ ปน็ แรงงานชาวบา้ น และพระสงฆ์ ต่อมาสิมวัดบ้านทุ่งเลน ได้ผุผังลง จากปลวกและหลังคากระเบื้องดินที่หนัก จึงได้มีการบูรณะ สิม ขึ้นใหม่โดยใช้โครงสรา้ งไม้เดิม รูปแบบการก่อสรา้ งนัน้ มีความคล้ายคลงึ กับสิมวัดเขียนบูรพาราม วัด เก่าแก่ที่อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ สร้างตั้งแต่เมืองขุขันธ์มีสถานะเป็นเมืองสำคัญ สมัยต้น กรุงรตั นโกสินทร์ ภาพที่ 33 เปรียบเทียบสมิ วัดเขยี นบูรพาราม วดั เก่าแก่ท่ีอำเภอขุขนั ธ์ และสิมวัดบา้ นทุ่งเลน ตอ่ มาทำการสร้างใหม่ครอบโบสถ์เก่าในรูปแบบเดิมโดยใชป้ ูนและเปล่ียนจากหลังคากระเบื้องมา เป็นหลังคาสังกะสี พญานาค ประตูและหน้าต่างยงั เป็นอันเดิม หน้าบันตั้งแต่เดิมพระแกะเป็นรูปแล้วนำ ขนึ้ ไปติด รูปภาพดา้ นบนโบสถ์ขา้ งนอกเมื่อก่อนเป็นภาพเขียนซึง่ เป็นชา่ งพระหลายคนจงึ ทำใหล้ ายเส้นไม่ เหมือนกนั และเม่อื กอ่ นโบสถเ์ คยสงู กว่านีแ้ ต่บริเวณน้ำท่วมบ่อยจงึ ต้องถมดนิ ซึง่ ทำใหใ้ บเสมาที่อยู่รอบๆ ถูกถมไปด้วย

39 เมื่อครั้งบูรณะมาเป็นโบสถ์ปูน ก็เป็นพระและชาวบ้านช่วยกันทำเช่นเดิม โดยทำอิฐเผาเอง ปั้น แล้วเผาบริเวณในวัดแล้วช่วยกันโบกปูน เปลี่ยนเป็นหลังคาสังกะสี ใช้ประตู หน้าต่างและลำยองอันเดิม มาวาดและระบายภาพใหเ้ กดิ เน้อื เรื่องตา่ งๆ ด้านบนโบสถ์ ทำฐานพระประธานให้สูงขึ้นแล้วทาสตี กแต่ง ในปจั จุบนั สิมวดั บ้านทงุ่ เลน ภายนอกมีสภาพค่อนข้างทรดุ โทรม เครือ่ งประดบั อาคารหลายส่วน ผุพัง แตกหักไปหลายส่วน แต่ภายในยังมีสภาพดี เนื่องจากทางวัดบ้านทุ่งเลน และชาวบ้านบ้านทุ่งเลน ร่วมกันดูแลบำรุงรักษา ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้สิมวัดบ้านทุ่งเลน ยังใช้ในการทำ สังฆกรรมและประกอบพิธกี รรมศาสนาได้ตามปกติ ลักษณะทัว่ ไปของ สิมวดั บ้านทุ่งเลน ลักษณะทั่วไปของสิมวัดบ้านทุ่งเลน เป็นสิมทึบทรงโรง สร้างด้วยอิฐถือปูน มีแผนผังรูป สี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 5 ห้อง ไม่มีมุขโถงด้านหน้า หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีทางเข้าหน้าเพียงด้าน เดยี ว และมีทางออกด้านหลงั เพยี งทางเข้าออกทางเดียว มบี ันไดทางเข้าและออกไม่มีรปู ป้ันสัตว์เผ้าบันได มีแอวขันเป็นฐานรับบริเวณตัวอาคาร สูงประมาณ 1.50 เมตร แต่ปัจจุบันมีการนำดินถมที่วัดทำให้แอว ขันเห็นได้เพียงประมาณ 1 เมตร ภายในสิม มีฐานชุกชี 2 ชั้น ขนาดใหญ่เป็นรูปสี่เหลี่ยม ซึ่งมี พระพุทธรูปปางทรมานพระยามหาชมพู (ปางโปรดพระยาชมพูบดี) ทรงเครื่องขนาดใหญ่ ประดิษฐาน เปน็ พระประธาน ภาพที่ 34 แสดง ภายนอกสิม อีสานวดั บ้าน ทุ่งเลน อำเภอขนุ หาญ จงั หวดั ศรีสะเกษ

40 ภาพท่ี 35 แสดงภายในสิมอีสานวัดบา้ นทุ่งเลน อำเภอขนุ หาญ จงั หวัดศรีสะเกษ องค์ประกอบสถาปัตยกรรมและการตกแต่ง ส่วนฐาน: ฐานแอว ฐานล่างสุดเป็นฐานแอวทรงพาน ท้องไม่ยืดไม่มีลวดลาย แบบเรียบง่าย มี บันไดก่ออิฐถือปูน ไม่มีรูปปั้นสัตว์เฝ้าบันได ทั้งด้านหน้าและด้านหลังสิม แต่ปัจจุบันแอวขันถูกการถม ท่ดี ินภายในถมให้จมลงไปประมาณ 50 เซนตเิ มตร ภาพท่ี 36 แสดงลักษณะฐานแอวและบันไดของสิมอสี านวัดบ้านทงุ่ เลน อำเภอขนุ หาญ จังหวดั ศรสี ะ เกษ ส่วนกลาง : ผนังสิม ผนังด้านข้างสิมก่ออิฐฉาบปูน ทั้ง 4 ด้าน ขนาด 5 ห้อง ไม่มีมุขโถง ด้านหนา้ และด้านหลัง มกี ารเจาะหนา้ ต่างขา้ งละ 3 ชอ่ ง ซ้มุ หน้าต่างทำอยา่ งเรยี บง่ายไม่มีลวดลาย บาน ประตหู น้าต่างสรา้ งขึ้นจากไมเ้ นอ้ื แข็ง แบบบานเปิดคู่แบบมีอกเลาแต่ไม่มีการแกะสลกั ลวดลายใด ๆ ผนัง ดา้ นหน้าเจาะเป็นประตูทางเข้า 1 ชอ่ งไมม่ กี ารตกแต่ง ประตูเปน็ ประตูไม้ไม่มลี วดลายตกแต่ง ผนังด้านใน และด้านนอกไม่ปรากฏภาพจิตรกรรม การก่อสร้างใช้เสาและผนังรับน้ำหนัก ด้านในสิมมีพื้นที่ใช้งาน มากกว่าสิมรปู แบบอ่นื ๆ

41 ส่วนบน : โครงสร้างหลังคา โครงสร้างหลังคาเป็นโครงสร้างไม้ การมียื่นคอสองคล้าย สถาปัตยกรรมพม่า หลังคาช้อน 2 ชั้น มุงด้วยสังกะสี มีภาพจิตรกรมเกี่ยวกับพุทธประวัติและนรก สวรรคบ์ รเิ วณคอสอง ซึ่งเจาะเป็นจะให้แสงและลมเขา้ ไปในภายในสิม มีการประดับตกแต่งด้วยโหง่ แผง นาค หางหงษ์ และบริเวณเชิงชายมีการแกะลายไม้มาติดอย่างสวยงาม แต่ละด้านมีรูปสัตว์ประจำ แตกตา่ งกนั ภายในสิมมีเสาไม้ 8 ตน้ ดา้ นในสิมรบั นำ้ หนักหลังคา ภาพท่ี 37 แสดงลักษณะโครงสรา้ งสว่ นหลังคาและการแกะสลักเชิงชาย สิมวดั บา้ นทงุ่ เลน การประดับตกแต่ง โหง่ เป็นงานไม้เก่าดั้งเดิมแกะสลักเป็นรูปนก ซึ่งมีสภาพชำรุดทรุดโทรมแตกหัก ซึ่งมีลักษณะ พืน้ บา้ นของสมิ อีสาน มีการแสดงรายละเอียดอย่างชดั เจน ลภาพท่ี 38 แสดงลกั ษณะของโหง่ สมิ วัดบา้ นทุ่งเลน อำเภอขุนหาญ จงั หวัดศรีสะเกษ แผงนาค,หางหงส์ เป็นงานไม้ดั้งเดิม แกะสลักเป็นรูปพญานาคแตกหัก ไม่ปรากฎส่วนหัว มี เพียงลำยอง ในส่วนงานปูนที่ เป็นรูปพญานาคที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนหลังคา ทั้ง 4 ด้านซึ่งมีรูปร่าง หน้าตาแตกตา่ งกันทงั้ 4 ดา้ น ภาพที่ 39 แสดงลกั ษณะของแผงนาค และสวนลำยองของ สิมวดั บา้ นทงุ่ เลน

42 สหี นา้ หรือหนา้ บัน หนา้ บนั เป็นงานไมด้ ้ังเดิม เปน็ งานไมแ้ กะสลักโดยการนำแผน่ ไม้เรียงรองพ้ืน และแกะสลับไม้เป็นรูปนำแปะติดคล้ายคลึงกับงานวัดเขียนบูรพาราม อำเภอขุขันธ์ ซึ่งหน้าบันด้านหน้า แกะเป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติ ตอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรนิ ิพพาน ซึ่งงานไม้ทาดว้ ยสีเหลืองดั่งเดิม มีการแกะข้อความ ภาษาไทย“สรา้ งเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2491 ปี วอกสบั ศกั วาดเรอ่ื งพระนพิ พาน” นอกจากน้ี หน้าบันด้านหน้หน้าบันด้านหลังเป็นการแกะสลักไม้ในลักษณะเดียวกัน แต่มีความน่าใจในรูปแกะสลัก เป็นรปู ซึ่งครุฑพ่าห์ ด้านบนครุฑเป็นรปู ราหู ดา้ นขา้ งครุฑเป็นตัวละครลิงในเรื่องรามเกียรต์ิ ด้านล่างเป็น รูปทหารในชุดเครื่องแบบสมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ซึ่งน่าจะมีความสอดคล้อง กับ แนวคิดบ้านเมืองหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึงแนวคิดแบบลัทธิชาตินิยม ใน สมัยจอมพล ป. พิบลู สงคราม ภาพที่ 40 แสดงงานแกะสลักหน้าบันท้ังด้านหน้า,ด้านหลังสมิ วดั บา้ นท่งุ เลน

43 ด้านในสิมวัดบ้านทุ่งเลน มีการบูรณะปรับปรุงเพียงเล็กน้อย ด้วยการปูกระเบื้องสมัยใหม่ ใน ส่วนที่เป็นเอกลักษณ์ของสิมทึบ ทรงโรงท่ีปรากฏในเขตอีสานใต้ ภายในจะมีเสาไม้ดั้งเดิมมีการแกะ ลวดลายบัวหัวเสาอย่างสวยงาม ท่ีใช้ค้ำยันหลังคา จำนวน 8 เสา ตั้งอยู่บริเวณกลางสิม พื้นระหว่างเสา ยกระดับขึน้ เพือ่ เป็นทีน่ ่งั ทำสงั ฆกรรมของพระสงฆ์ ให้อยูส่ ูงกว่าฆราวาส ภาพที่ 41 แสดงงานแกะสลกั หนา้ บนั ทัง้ ดา้ นหน้า,ด้านหลังสิมวัดบ้านทุง่ เลน ด้านหลังภายในของสิม มีพระประธานป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประดิษฐานบนฐานชุกชี ขนาดใหญแ่ บบแทน่ 4 เหลย่ี ม 2 ชน้ั สูงประมาณ 2 เมตร และมีพระพทุ ธรูปปางทรมานพระยามหาชมพู (ปางโปรดพระยาชมพูบดี) ทรงเครื่องขนาดใหญ่ สมมติฐานน่าจะเป็นศิลปะแบบเขมร ( เป็นพระพุทธรปู ที่พระและชาวบ้านในวัดปั้นขึ้นเอง ) สวยงามเป็นยิ่ง ภายในอากาศเย็นสบายไม่รู้สึกอับชื้น และมีแสง สวา่ งอยา่ งพอเพยี ง เพราะมีชอ่ งระหว่างผนังและหลังคาทีใ่ หแ้ สงและลมเข้าออกไดใ้ นตวั อาคาร ภาพที่ 42 แสดงลกั ษณะฐานชุกชีและพระประธาน สิมวัดบา้ นทุง่ เลน อำเภอขนุ หาญ จังหวดั ศรสี ะเกษ

44 4. การเปลี่ยนแปลงของสมิ อสี านในเขตจังหวงั ศรีสะเกษ ในช่วง 3 ทศวรรษ (พ.ศ.2530- 2560) สมิ อสี านเป็นงานสถาปตั ยกรรมพ้ืนถิน่ เป็นอาคารสำคัญของวัดในฐานะเป็นสถานที่ศกั ด์ิสิทธ์ิ ประหน่ึงเป็นท่ปี ระทับของพระพุทธเจา้ เป็นอาคารทีพ่ ระวินยั ในพุทธบัญญัตกิ ำหนดเพือ่ ใหส้ งฆใ์ ช้ทำ สังฆกรรมตามกจิ ของสงฆ์ ได้แก่ พธิ บี รรพชา พิธีอปุ สมบท สวดปาฎิโมกข์ ทำวตั รเชา้ ทำวัตรเย็น และอ่นื ๆ ทีเ่ กี่ยวข้องกบั พุทธศาสนา นอกจากนี้สมิ อีสานยังเป็นเอกลักษณ์และแสดงออกถึงคณุ คา่ ของความเป็นพื้น ถน่ิ ของภาคอีสาน ทส่ี ะท้อนความงาม สะท้อนความเช่ือมัน่ ศรทั ธา และสะทอ้ นความเปน็ จรงิ ในทัศนของ คนอสี าน ทไ่ี มแ่ สดงตนแบบย่ิงใหญเ่ กนิ ตัว สงบ สมถะเรียบง่าย สนั โดษ และจรงิ ใจ เปน็ ท่ีนา่ เสยี ดายวา่ ในปัจจบุ ันนส้ี ิม ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือหรอื ภาคอีสาน นบั วันจะเหลือ น้อยลงทุกที บางแห่งถูกทง้ิ ร้าง รือ้ ทิง้ ไป บางแห่งกพ็ งั ทลาย ทรดุ โทรม ซึง่ เกิดจากสาเหตุหลายประการทั้ง จากตวั สถาปตั ยกรรมเองที่ผพุ ังไปตามสภาพ กาลเวลาทล่ี ว่ งไปตามอายุ สภาพดินฟ้าอากาศภัยธรรมชาติ ตา่ ง ๆ อีกทงั้ ยังขาดความเอาใจใสแ่ ละการทำลายดว้ ยน้ำมอื ของคนที่รูเ้ ทา่ ไม่ถงึ การณ์ หรือบางครัง้ ขาด ความรู้ ความเขา้ ใจ หรือขาดงบประมาณในการสนบั สนุน การศึกษาสิมอสี านในเขต จงั หวดั ศรสี ะเกษใน รอบ 3 ทศวรรษ(พ.ศ.2530-พ.ศ. 2560) ท่ีผ่านมามีการเปล่ียนแปลงเก่ยี วกบั สิมอีสาน อยู่เป็นจำนวนมาก มีสิมอีสานเกิดข้ึนในจังหวดั ศรีสะเกษ หลายหลงั ทม่ี ีมีการรื้อถอนหรือทุบทำลาย มีการบูรณปฏิสังขรณ์ ใหมแ่ ต่ขาดซึง่ ความรู้ ความเข้าใจจนนำไปสกู่ ารเกดิ สมิ อีสานท่ีมรี ปู ลกั ษณอ์ ันผิดแปลกในรอบ 3 ทศวรรษ (พ.ศ.2530-พ.ศ. 2560) การเปลย่ี นแปลงของสิมอสี านในเขตจังหวัดศรสี ะเกษ มลี กั ษณะ ดงั นี้ 4.1 การรือ้ ทงิ้ เพ่ือสรา้ งใหม่ สิมอสี านหลายๆ หลังในภาคอีสานถกู ร้ือท้งิ เพือ่ สร้างอโุ บสถแบบใหม่ สืบเน่ืองจากเงือ่ นไขและข้อกำหนดของรฐั ท่ีต้องนำพาประเทศไปส่กู ารรวมศูนยอ์ ำนาจสูส่ ว่ นกลางอย่าง เป็นระบบ เพื่อสร้างความเป็นชาตนิ ิยม ดงั ปรากฏในสมัยจอมพล ป. พบิ ูลสงครามมีมติใหม้ กี ารออกแบบ โบสถแ์ บบมาตรฐาน พ.ศ.2483 ซึง่ รูจ้ ักกันในชือ่ วา่ โบสถแ์ บบ ก.ข.ค. เพ่อื เป็นเครอ่ื งแสดงวฒั นธรรมของ ชาติ และใหม้ ีการแจกจ่ายรปู แบบโบสถ์มาตรฐานไปยังตา่ งจงั หวดั ของประเทศไทยส่งผลใหส้ ิมอสี านตาม วัดชนบทถกู รือ้ ถอน เพื่อสรา้ งโบสถ์ตามรูปแบบท่ีรฐั กำหนด ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2513 กรมศาสนาได้ปรับปรุง รูปแบบโบสถ์ขึ้นใหมโ่ ยปรับปรงุ มาจากรปู แบบโบสถม์ าตรฐาน ก.ข.ค. ได้ 3 แบบ คือ แบบ(0101) แบบ (0102) แบบ(0103) และไดน้ ำรปู แบบแจกจา่ ยใหก้ บั วดั ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทำให้มกี ารร้ือสิมแบบดงั้ เดิม เพื่อสร้างโบสถ์มาตรฐาน ทีม้ ีความงามเหมอื นโบสถ์ของภาคกลาง นอกจากนี้เม่ือกระแสสงั คม เศรษฐกจิ การเมืองโลกปจั จุบนั ถูกครอบงำดว้ ยระบบทุนนิยมและ วตั ถุนยิ มแบบสงั คมเมืองขยายเขา้ ส่วู ถิ ชี วี ติ ในชนบททำใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสมิ อีสานกลาย มาเปน็ โบสถท์ ีย่ งิ่ ใหญ่งดงามอลงั การ ทย่ี ึดตามรูปแบบโบสถภ์ าคกลางนำเสนอภาพลักษณท์ างเศรษฐกิจ ของวัด เพ่อื การดึงดดู นักท่องเทย่ี ว เพอ่ื ดึงดดู เงนิ บริจาค และเพื่อเป็นหน้าตาทางสงั คมใหก้ บั ชุมชนหรือ

45 พระสงฆ์ทำใหร้ ปู แบบสิมของวดั หลายๆ แห่งในภาคอสี านกลายเป็นงานศิลปกรรมทไี่ ร้ซึ่งคณุ คา่ และเสน่ห์ ของความเป็นชาวอีสาน รวมไปถงึ รสนยิ มของผู้ทมี่ บี ทบาทในการสร้างสิม หรอื โบสถ์ใหม่ เน่อื งจากสภาพของสิมอสี าน เดิมมีสภาพทรุดโทรมจากกาลเวลา จากวสั ดทุ เ่ี ส่อื มคุณภาพ จากภัยธรรมชาติ จนนำไปสสู่ าเหตทุ ่ีตอ้ งมี การเปลย่ี นแปลง รสนิยมของผู้ที่มีบทบาทในการสร้าง ซ่อม บูรณปฏิสังขรณ์ จงึ มีความสำคญั เปน็ อยา่ งยิง่ การเปล่ียนแปลงรูปแบบของสิมจากสิมอีสาน ไปส่โู บสถ์ภาคกลางหรอื จากสิมขนาดเล็กไปสโู่ บสถข์ นาด ใหญ่ ได้แก่ เจ้าอาวาส ผรู้ บั เหมา และผู้ให้การสนับสนุน(ญาติโยมทีเ่ ลื่อมใส) นอกจากนใ้ี นพ้ืนทจี่ ังหวดั ศรีสะเกษ รปู แบบของสิมหรือโบสถ์ ทห่ี ลายวดั มกี ารก่อสร้างสมิ หรือ โบสถ์ไดท้ ำการก่อสรา้ งเปน็ สิมแรกของวดั แต่มรี ูปแบบ ขนาด และมูลค่าการกอ่ สร้างที่เปลยี่ นแปลงและ แตกต่างจากความเป็นสิมอสี านเปน็ อยา่ งมาก ไม่สะท้อนคุณค่าของความเป็นพืน้ ถนิ่ ภาคอีสาน ทส่ี ะท้อน ความงาม สะท้อนความเชื่อม่ันศรทั ธา และสะทอ้ นความเป็นจริง ในทัศนของคนอสี านที่ไม่แสดงตนแบบ ยง่ิ ใหญเ่ กนิ ตัว มีความสมถะ เรียบง่าย และพอเพียง เชน่ วดั หนองห้าง อ.อุทุมพรพิสยั , วดั รงั แร้ง อ.อทุ มุ พรพสิ ัย เป็นต้น วัดบ้านหนองหา้ ง วัดบา้ นรังแรง้ ภาพท่ี 43 แสดงสิมหรือโบสถ์รปู แบบปัจจุบัน หลงั การทุบสิมอสี านในเขตจังหวดั ศรีสะเกษ 4.2 การซ่อมแซมต่อเติมโดยขาดความรู้ด้านสถาปัตยกรรมพื้นถนิ่ เน่ืองจากสิมอีสานเปน็ สิมเกา่ แก่ บางสมิ มีอายุมากกว่า100 ปที ำให้สมิ จำนวนหลายหลัง ในปจั จุบันได้มีสภาพชำรุดทรดุ โทรมอย่างมาก ดังนนั้ พระสงฆแ์ ละชาวบ้านจงึ ทำการซ่อมแซมปรับปรงุ ซ่ึงโดยทัว่ ไปมักจา้ งช่างตามบริษทั เหมาเป็นผทู้ ำ การซอ่ มบูรณปฏิสงั ขรณ์ ในบางพ้นื ทชี่ ่างพืน้ ถิน่ เปน็ การบูรณปฏสิ ังขรณ์แต่ขาดความรู้ ความเข้าใจ เกย่ี วกบั รปู แบบงานสถาปตั ยกรรมพน้ื ถ่ินของชาวอีสาน ทำให้เกิดการบูรณปฏสิ งั ขรณ์ โดยการนำเอา รูปแบบโบสถแ์ บบภาคกลางหรือเพื่อประโยชนใ์ ชส้ อย มาปรับใช้ ปญั หาใหญ่อีกประเดน็ คอื ระบบทุนนิยม และวตั ถนุ ิยมที่เฟืองฟเู ป็นอย่างมากในสงั คมปจั จุบนั ทำใหก้ ารบรู ณปฏิสงั ขรณโ์ ดยใชว้ ัสดุสำเร็จรูปท่งี ่าย

46 และสะดวกรวดเรว็ ใชง้ บประมาณน้อยกว่าการบูรณปฏิสังขรณใ์ ห้ถกู ต้องตามหลกั สถาปัตยกรรมพ้นื ถ่ิน เช่นการสร้างประตูแบบบานกระจกเล่ือน การมุงหลังคาด้วยเมทัลซีส เป็นตน้ แม้วา่ การบรู ณปฏิสังขรณ์ ตอ่ เติมโดยขาดความรู้ด้านสถาปัตยกรรมพ้นื ถิ่น จะเป็นปัญหาท่ีเกดิ ขน้ึ กบั สมิ อีสาน นอกจากน้ที ัศนคตเิ กี่ยวกบั ความงามของชาวอสี านท่ถี ูกฝังใหเ้ ห็นศลิ ปกรรมของชาวอสี าน ดอ้ ยกว่าศิลปกรรมของชาวอ่ืน ๆ โดยเฉพาะภาคกลางจงึ นำมาส่กู ารสร้างการบูรณปฏิสังขรณส์ ิมอีสาน ให้ ออกมาเปน็ โบสถ์แบบภาคกลาง หรือเปลยี่ นบทบาทของสิมอีสานเป็นอาคารใช้สอยอน่ื ๆ เช่น สมิ วดั บ้าน กลาง อ.อุทุมพรพสิ ยั , สมิ วัดใต้ หลงั ท่ี 2 อ.ราษีไศล เป็นต้น ภาพท่ี 44 แสดงสมิ อีสานได้รบั การบรู ณปฏิสงั ขรณ์ไมเ่ หมาะสม ตามหลักสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น 4.3การปลอ่ ยปละละเลย สิมอีสานจำนวนมากถูกปล่อยทิ้ง ให้ชำรุดพังทลายตามกาลเวลาโดย ไมเ่ ห็นคุณค่า โดยมากมกั พบตามวดั ในเขตพืน้ ทีช่ นบท ท่ีไดร้ บั ผลกระทบจากกระแสทุนนยิ มในปจั จบุ นั และถูกกลืนกินวฒั นธรรมไปตามกาลเวลา การปลอ่ ยละเลยสมิ อีสาน โดยไม่ไดร้ บั การดูแลซอ่ มแซม เกิด จากการขาดการเอาใจใส่ เพราะไม่เหน็ คณุ คา่ ในงานศิลปกรรมพน้ื บ้านท่สี ืบทอดกันมาต้ังแตบ่ รรพบรุ ุษ ของพระสงฆแ์ ละชาวบา้ น ทำใหส้ ิมอสี านถูกปล่อยท้ิงอย่างไรค้ ุณคา่ และกำลังเลอื นหายไปตามกาลเวลา ทั้งนีเ้ กิดขึ้นจากการขาดสำนึกในการหวงแหน มรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบรุ ษุ ไดส้ ร้างเอาไวใ้ นอดีต ภาพท่ี 45 สิมอีสานท่ถี ูกปลอ่ ยปละละเลยจนมีสภาพทรดุ โทรม ในเขตจงั หวัดศรสี ะเกษ

47 ในกรณเี ขตจังหวัดศรสี ะเกษ การเปลย่ี นแปลงทีเ่ กดิ จากการปล่อยละเลย นนั้ มีกรณสี มิ วดั ส้มปอ่ ยนอ้ ย อ.อุทุมพรพิสยั , สมิ วัดบา้ นโนนใหญ่ อ.อทุ ุมพรพสิ ยั , สิมวัดบา้ นดูน อ.กนั ทรารมย์, สมิ วดั ใต้ หลงั ท่ี 1 อ.ราษไี ศล เปน็ ตน้ ที่ปลอ่ ยใหส้ มิ มีสภาพทรุดโทรม ผุพงั หักพัง อาจเน่อื งจากทางวดั ทง้ั สาม มี โบสถ์แบบภาคกลางหลงั ใหม่ทใ่ี ช้ในการทำสังฆกรรม สมิ หลังเก่าจงึ ไมไ่ ดร้ ับการทำนุบำรุง ทำความสะอาด อย่างสมำ่ เสมอ ประกอบกับการทรุดโทรมตามสภาพของกาลเวลา และในส่วนงานทเ่ี ป็นงานประณตี ศิลป์ ไดผ้ หุ กั พัง ซึ่งเปน็ งานช่างท่ีต้องมีความชำนาญในด้านสถาปัตยกรรมพื้นถน่ิ ซง่ึ หาช่างผู้ชำนาญค่อนขา้ ง ยาก และการขาดงบประมาณในการบรู ณปฏิสังขรณ์ของทางวดั

48 บทท่ี 4 บทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ การศึกษาโครงงานเร่อื งสิมศรีสะเกษ : การศึกษาสมิ อสี าน(โบสถ)์ ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ เพ่ือ ศึกษางานสถาปัตยกรรมพืน้ ถิ่นทีเ่ กดิ จากภมู ปิ ญั ญาของชาวบา้ น ซง่ึ เปน็ งานที่มีคุณค่าอันประเมินมิได้ เป็นความภาคภมู ิใจให้กับชาวอสี าน ในดา้ นประวัติความเป็นมา และรูปแบบงานสถาปตั ยกรรมสิมอีสาน การเปลี่ยนแปลงของสมิ อีสาน ในช่วง 3 ทศวรรษ (พ.ศ. 2530 – 2560) ในเขตจงั หวัดศรสี ะเกษ เพ่ือให้ เข้าใจถึงปัญหาและหาแนวทางอนุรักษ์เอาไว้ เพ่ือนำกลบั มาใช้ประโยชนไ์ ด้ต่อไป และเป็นแหล่งขอ้ มลู ใน การศกึ ษาหาความรู้ เปน็ ข้อมูลทางประวัติศาสตรท์ ง้ั ทางด้านสถาปัตยกรรม และด้านอื่น ๆ ใหแ้ ก่คนรุ่น ลูกหลานได้เรยี นรู้ความเป็นมาของผืนแผน่ ดนิ น้ี ทราบซ้งึ ถึงคุณค่ามรดกทางวัฒนธรรมทตี่ กทอดมาจาก บรรพบรุ ุษ ทไี่ ม่แสดงตนแบบยง่ิ ใหญ่เกินตัว มคี วามสมถะ เรยี บงา่ ย และพอเพยี ง คณะผจู้ ดั ทำ โครงงานเรอื่ งสมิ ศรสี ะเกษ : การศึกษาสมิ อีสาน(โบสถ์)ในเขตจงั หวัดศรสี ะเกษ ได้ดำเนนิ การศึกษา ดงั ต่อไปน้ี ศึกษาสถาปตั ยกรรมสมิ อีสาน ในเขตจงั หวดั ศรีสะเกษ ซ่ึงเปน็ สมิ บกที่เป็นอาคารทางศาสนาที่ ยังคงหลงเหลอื อยู่ มสี ภาพสมบรู ณ์ และมีลกั ษณะอนั เป็นเอกลกั ษณ์ของสิม ในเขตจังหวัดศรีสะเกษเปน็ เกณฑ์ในการศกึ ษาเทา่ ท่ีสำรวจ และคน้ คว้าข้อมูลเอกสารภายในระยะเวลาท่ีกำหนดกำหนดสิมอสี าน ทำการศึกษา จำนวน 3 หลงั ดังนี้ - สมิ วดั โสภณวิหาร บ.ลมุ พกุ ต.กนั ทรารมย์ อ.ขุขนั ธ์ จ.ศรีสะเกษ - สมิ วดั บา้ นสะเดา บ.สะเดา ต.โพธิ์ชยั อ.อุทมุ พรพิสัย จ.ศรีสะเกษ - สิมวัดทงุ่ เลน บ.ทงุ่ เลน ต.พราน อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ศกึ ษาสถาปตั ยกรรมสิมอีสาน ในเขตจงั หวดั ศรสี ะเกษ ท่ีมีการรื้อถอน ปรับปรุง บูรณปฎิสังขรณ์ เปล่ยี นแปลง ในชว่ ง 3 ทศวรรษทผี่ ่านมา ( พ.ศ. 2530 - พ.ศ. 2560) การดำเนินการศึกษาในคร้ังนี้ คณะผจู้ ัดทำโครงงานไดส้ ืบหาลกั ษณะรูปแบบและสว่ นประกอบ ทางสถาปัตยกรรม โดยใชว้ ธิ ีการหลายๆ อย่าง เช่น การค้นคว้าจากภาคสนาม ( Field Research) ประกอบการสมั ภาษณ์อยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการ และการศกึ ษาจากเอกสาร ( Documentary Research) ตาม กระบวนการทางประวตั ิศาสตร์ในการศึกษาค้นควา้ ไดผ้ ลการศกึ ษาดงั ต่อไปน้ี สรปุ ผลการศึกษา 1. สิมอีสานในเขตจังหวัดศรีสะเกษ แสดงถึงความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกับอิทธิพลของกลุ่มคน และศลิ ปวฒั นธรรมในท้องถิน่ นนั้ ๆ โดยเฉพาะศลิ ปวฒั ธรรมของกลุ่มเช้ือชาติลาว ทส่ี ะทอ้ นใหเ้ ห็นในสิม

49 อีสานกลุ่มอำเภออุทุมพรพิสัย, ราษีไศล และอำเภอเมืองศรีสะเกษ ที่มีลักษณะรูปแบบของสิมอีสาน พื้นบ้านบริสุทธิ์ ทั้งในรูปแบบของสิมโปร่ง และสิมทึบ ที่ได้รับอิทธิพลของศิลปวัฒนธรรมลาว ใน โครงสรา้ งและองค์ประกอบของสิม เช่น - สิมวัดบ้านสะเดา อ.อุทุมพรพิสัย ที่ได้รับอิทธิพลศิลปวัฒนธรรมลาวในส่วนของฮูปแต้ม พระพุทธรปู ประจำสิมทีเ่ ปน็ พระพุทธรูปแบบลาว - สิมวัดใต้ อ.ราษีไศล ที่ได้รับอิทธิพลศิลปวัฒนธรรมลาวในส่วนของฮังผึ้ง และพระพุทธรูป ประจำสมิ ทเ่ี ปน็ พระพทุ ธรูปแบบลาว - สิมวัดคูซอด อ.เมืองศรีสะเกษ ที่ได้รับอิทธิพลศิลปวัฒนธรรมลาวในส่วนของคันทวย และ พระพุทธรปู ประจำสมิ ทเี่ ป็นพระพุทธรูปแบบลาว นอกจากนี้รูปแบบของสิมอีสานในเขตพื้นที่น้ี มีจำนวนมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่อื่น ๆ ใน ศรสี ะเกษ ท่มี สี ิมพ้นื บา้ นบรสิ ทุ ธ์ิ เชน่ ในเขตอำเภอกันทรารมย์ ที่มีสมิ วัดบ้านดูน และสิมวัดโนนผึ้งที่ เป็นสมิ โปรง่ เป็นต้น 2. สิมอีสานในเขตจังหวัดศรีสะเกษ แสดงถึงความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกับอิทธิพลของกลุ่มคน และศิลปวัฒนธรรมในท้องถิ่นนั้น ๆ โดยเฉพาะศิลปวัฒธรรมของกลุ่มเชื้อชาติเขมร ที่สะท้อนให้เห็นใน สิมอีสานกลุ่มอำเภอขุขันธ์ ,อำเภอขุนหาญ และอำเภอไพรบึง ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีเชื้อสายเขมร อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีรูปแบบสิมที่เป็นเอกลักษณ์ คือสิมทึบทรงโรง สิมที่มีขนาดใหญ่กว่าสิม ทั่วไป เชน่ สมิ วัดเขยี นบูรพาราม, สิมวดั ไพรบงึ และสมิ วัดทงุ่ เลนเปน็ ต้น 3. สิมอีสานในเขตจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้รับอิทธิพลแบบล้านช้าง ซึ่งเป็นกลุ่มสิมที่มีอายุเก่าแก่ มากที่สุดคือ มากกว่า 200 ปี ได้แก่ สิมวัดโสภณวิหาร อ.ขุขันธ์ และสิมวัดบ้านเมืองจันทร์ ที่มีอิทธิพล ของศิลปะแบบล้านช้างไม่ว่าจะเป็น ฮังผึ้ง คันทวย หรือรูปแบบแอวขันของล้านช้าง ผสมเข้ากับศิลปะ แบบเขมรของกลุ่มคนในท้องถิ่นนั้น ๆ เป็นที่น่าสังเกตที่สิมในกลุ่มนี้มักจะวางตำแหน่งใบเสมาไว้ในตัว สิมแทนท่ีบริเวณรอบ ๆ สิม 4. สิมอีสานในเขตจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้รับอิทธิพลของช่างญวน ซึ่งเป็นกลุ่มสิมอีสานที่มีอายุ ในช่วง 70 -90 ปี ที่ผ่านมา ผ่านรูปแบบการก่อสรา้ งสิมทึบ สิมทึบทรงโรง และลวดลายต่าง ๆ ที่ปรากฎ บนสิมที่ดูแตกต่างจากสิมทั่วไป เช่น สิมวัดหัวช้าง อ.อุทุมพรพิสัย , สิมวัดไพรบึง อ.ไพรบึง และสิมวัด เขยี นบรู พารามในการบูรณปฏิสังขรณ์ครงั้ ท่ี 3 5. สมิ อสี านในเขตจังหวัดศรสี ะเกษ ทไี่ ด้รับอทิ ธิพลของช่างเมืองหลวงและการเมืองการปกครอง ในยคุ หลงั การเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เช่น หน้าบันสมิ วดั บ้านท่งุ เลน ทีป่ รากฏภาพครุฑและ ภาพทหารสมยั สงครามโลกครัง้ ท่ี 2 และสิมวัดบ้านกระเบากันตรวจ ที่เป็นสมิ เลียนแบบเมืองหลวง

50 6. การเปลีย่ นแปลงของสิมอีสาน ในชว่ ง 3 ทศวรรษ(พ.ศ.2530 – 2560) ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ การเปลีย่ นแปลงของสมิ อีสานในเขตจงั หวัดศรสี ะเกษ มีลักษณะ ดังน้ี - การร้ือท้ิงเพื่อสรา้ งใหม่ สิมอสี านหลายๆ หลังในภาคอีสานถูกร้ือทิ้งเพื่อสร้างอโุ บสถ แบบใหม่ เช่น วัดหนองหา้ ง อ.อุทุมพรพสิ ยั , วดั รงั แรง้ อ.อุทุมพรพิสยั เป็นตน้ - การซอ่ มแซมต่อเติมโดยขาดความรดู้ ้านสถาปตั ยกรรมพื้นถ่นิ เนอ่ื งจากสิมอีสานเป็น สิมเก่าแกบ่ างสมิ มีอายุมากกวา่ 100 ปีทำใหส้ ิมจำนวนหลายหลงั ในปจั จบุ นั ได้มสี ภาพชำรดุ ทรุดโทรม อย่างมากดงั น้ันพระสงฆแ์ ละชาวบ้านจึงทำการ ซ่อมแซมต่อเตมิ โดยขาดความรูด้ ้านสถาปัตยกรรมพืน้ ถน่ิ หรือเปลย่ี นบทบาทของสมิ อสี านเป็นอาคารใชส้ อยอ่ืน ๆ เชน่ สิมวดั บา้ นกลาง อ.อุทมุ พรพิสัย ,สิมวัดใต้ หลังที่ 2 อ.ราษไี ศลเปน็ ตน้ - การปลอ่ ยปละละเลยสิมอีสานจำนวนมากถูกปลอ่ ยท้ิง ให้ชำรุดพงั ทลายตามกาลเวลา โดยไม่เห็นคณุ ค่า โดยมากมกั พบตามวดั ในเขตพื้นท่ชี นบท ในกรณีเขตจังหวดั ศรสี ะเกษ การเปลยี่ นแปลง ทเ่ี กิดจากการปล่อยละเลย น้ันมีกรณีสิมวดั สม้ ป่อยน้อย อ.อทุ ุมพรพิสยั , สมิ วดั บ้านโนนใหญ่ อ.อุทมุ พร พสิ ยั , สมิ วดั บ้านดนู อ.กนั ทรารมย์, สิมวดั ใต้ หลังท่ี 1 อ.ราษีไศล เป็นต้น ท่ีปล่อยให้สมิ มีสภาพทรดุ โทรม ผพุ งั หักพัง อาจเน่ืองจากทางวดั ทั้งสาม มโี บสถแ์ บบภาคกลางหลงั ใหม่ท่ีใช้ในการทำสงั ฆกรรม สิมหลงั เกา่ จึงไมไ่ ด้รับการทำนุบำรุง ทำความสะอาด อย่างสมำ่ เสมอ ประกอบกับการทรดุ โทรมตามสภาพของ กาลเวลา และในสว่ นงานท่ีเปน็ งานประณีตศิลป์ได้ผหุ ักพัง ซงึ่ เปน็ งานชา่ งที่ต้องมีความชำนาญในด้าน สถาปตั ยกรรมพื้นถิ่นซึ่ง หาช่างผชู้ ำนาญคอ่ นข้างยาก และการขาดงบประมาณในการบูรณปฏิสงั ขรณ์ ของทางวดั ขอ้ เสนอแนะ สถาปตั ยกรรมทีเ่ รยี กว่าสิมอีสาน เป็นเอกลักษณแ์ ละแสดงออกถึงคุณคา่ ความเป็นคนอีสานแต่ ในปัจจุบนั สมิ อีสานในหลายพื้นทที่ งั้ ของจังหวัดศรสี ะเกษ และจงั หวดั อ่นื ๆ ในภาคอีสานได้ถกู ทำลาย ทุบ รื้อ เพื่อสร้างโบสถ์หลงั โต หลงั ใหญ่ สวยงาม ราคาแพง หรือปล่อยให้สมิ อีสานชำรดุ ทรดุ โทรมไปตาม กาลเวลา การท่จี ะอนรุ กั ษ์สมิ อสี านให้เกิดประโยชนท์ ี่แท้จรงิ นัน้ จำเป็นต้องรู้คณุ ค่าของสิ่งเหลา่ น้นั ก่อน การสร้างปลูกฝงั จติ สำนกึ ในการหวงแหน มรดกทางวฒั นธรรมของตนใหเ้ กดิ ขึ้นในตัวผู้ศึกษา หรอื คณะ ผ้จู ดั ทำโครงงานก่อนจะทำให้ผลการทำงาน ผลการศึกษามีประสิทธภิ าพ และเกิดการเรียนรู้ทแี่ ท้จริง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook