Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Gene and chromosome

Gene and chromosome

Published by charinrat36, 2019-03-01 10:47:06

Description: Gene and chromosome

Search

Read the Text Version

หนงั สอื อิเล็กทรอนกิ ส์ (E-book) เรื่อง ยีนและโครโมโซม จัดทาโดย นางสาวชรนิ รตั น์ จันทร์ฝาย รหัส 61941900504 สาขาประกาศนียบัตรวชิ าชีพครู

คานา หนังสืออเิ ล็กทรอนิกส์ (E-book) เร่ือง ยีนและโครโมโซม ไดจ้ ัดทาข้ึน เพ่ือใช้ประกอบการเรียนการสอนในรายวิชา ชีววิทยา ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 สาหรับนักเรยี นตลอดจนผ้ทู ี่สนใจศึกษา โดยในเนอ้ื หาประกอบดว้ ยการถา่ ยทอด ยีนและโครโมโซม การค้นพบสารพันธุกรรม โครงสร้างและองค์ประกอบของ DNA และการสังเคราะห์ DNA ผู้จัดทาหวังว่าเน้ือหาสาระของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์นี้ จะเป็น ประโยชนใ์ นการศกึ ษาต่อผูเ้ รยี นและผู้ทส่ี นใจไมม่ ากก็น้อย ชรินรตั น์ จนั ทรฝ์ าย ผจู้ ัดทา

สารบญั หน้า 4 การถ่ายทอดยีนและโครโมโซม 5 ทฤษฎโี ครโมโซมในการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม 7 การคน้ พบสารพันธกุ รรม 12 โครโมโซม 17 องคป์ ระกอบทางเคมีของ DNA 23 โครงสร้างของ DNA 26 สมบตั ขิ องสารพันธุกรรม 27 การสังเคราะห์ DNA 34 สรุป 35 แบบทดสอบ 45 แหล่งอา้ งองิ 46 ผจู้ ัดทา

การถา่ ยทอดยนี และโครโมโซม • วอลเตอร์ ซัดตนั (Walter Sutton) • เป็นบุคคลแรกท่ีเสนอ ทฤษฎีโครโมโซมในการถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม คือ ส่ิงที่เรียกว่า แฟกเตอร์ จาก ข้อเสนอของเมนเดลซึ่งต่อมาเรียกว่า ยีน นั้นน่าจะอยู่บน โครโมโซม เพราะมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ยีน และ โครโมโซมมีความสอดคลอ้ งกนั ภาพที่ 1 วอลเตอร์ ซัดตัน ทม่ี า : https://www.slideshare.net/somycha/gene- and-chromosome-update

ทฤษฎีโครโมโซมในการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม • ยีนมี 2 ชดุ และโครโมโซมก็มี 2 ชุด (จานวนชุดของยีนเท่ากับจานวนชดุ ของโครโมโซม) • ยนี และโครโมโซมสามารถา่ ยทอดไปสูร่ ุ่นลูกหลานได้ • ขณะท่ีมกี ารแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ (meiosis) โครโมโซมมกี ารเขา้ คกู่ นั และต่างแยกกันไปยงั เซลลล์ กู แต่ละเซลล์ ยีนก็มกี ารแยกตวั ของแอลลลี • การแยกตวั ของโครโมโซมท่เี ป็นคกู่ นั ไปยังข้วั เซลลอ์ ย่างอสิ ระเชน่ เดียวกับ การแยกตัวของแอลลลี

• ขณะเกิดการสืบพันธุ์ การรวมของเซลล์ไข่กับสเปิร์ม เป็นไซโกตเกิด แบบสุ่ม ทาให้ชุดโครโมโซมจากเซลล์ไข่และสเปิร์มเป็นไปแบบสุ่มด้วย เช่นเดียวกับการรวมชุดของแอลลลี จากเซลลไ์ ข่และสเปริ ์ม • ทุกเซลล์ท่ีพัฒนามาจากไซโกตจะมีโครโมโซมครึ่งหนึ่งมาจากพ่อ และอีก ครึ่งหนงึ่ มาจากแม่ เช่นเดียวกันกับยีนที่ครึ่งหน่ึงมาจากพอ่ และคร่ึงหน่ึงมา จากแม่ สรุป คอื ยีนอยบู่ นโครโมโซม

การค้นพบสารพันธกุ รรม ภาพที่ 2 เฟรดริช มเิ ชอร์ (F. Miescher) ท่มี า : https://mgronline.com/science/detail/9570000020592 • ศึกษาสว่ นประกอบของนวิ เคลยี สในเมด็ เลอื ดขาว • พบว่า เอนไซม์เพปซินไม่สามารถย่อยสารชนิดหน่ึง ใน นิวเคลียสได้ • เม่ือวิเคราะห์ส่วนประกอบ พบว่า มี N และ P เป็น องค์ประกอบ จึงตง้ั ชอ่ื ว่า นิวคลีอนิ (nuclein) • ต่อมาได้เปล่ียนช่ือเป็น กรดนิวคลีอิก (nucleic acid) เพราะพบวา่ สารนม้ี ีสมบัติเปน็ กรด

การค้นพบสารพนั ธกุ รรม • โรเบิร์ต ฟอยล์แกน (R. Feulgen) ไดพ้ ัฒนาสี ฟุคซิน ซึ่งย้อมติด DNA ให้สีแดง ซึ่งเม่ือนาไป ย้อมเซลล์ พบว่าติดที่นิวเคลียส และรวมกัน หนาแน่นที่โครโมโซม จึงสรุปว่า DNA เป็นสาร พนั ธุกรรมของสิง่ มชี วี ิต • แต่นักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นส่วนใหญ่เชื่อว่า สารพันธุกรรมน่าจะเป็นโปรตีน เพราะมี จานวนชนิดมากพอที่จะควบคุมลักษณะของ สง่ิ มีชวี ติ ได้อย่างครบถว้ น สฟี คุ ซนิ

การค้นพบสารพนั ธกุ รรม • เฟรเดอริก กริฟฟิท (F.Griffith)ทาการทดลอง โ ด ย ก า ร ฉี ด แ บ ค ที เ รี ย Streptococcus pneumoniae ที่ทาให้เกิดโรคปอดบวมในหนู โดยใชแ้ บคทีเรีย 2 สายพันธ์ุ • สายพันธทุ์ ่มี ผี วิ หยาบ (R) Streptococcus pneumoniae ภาพที่ 3 การทดลองของกรฟิ ฟทิ • สายพนั ธุ์ที่มีผิวเรียบ (S) ซ่ึงเป็นสายพันธท์ุ ่ีทาให้ ที่มา : https://ksnattie.wordpress.com เกิดโรคปอดบวมรุนแรง

การค้นพบสารพันธุกรรม • O.T.Avery และคณะ พบว่า กรดนิวคลีอิกชนิด DNA คือ สารพันธุกรรม เนอ่ื งจาก เมือ่ เติม DNase ลงไป แบคทีเรยี จะไมส่ ามารถเพ่มิ จานวนได้

จากการค้นพบสารพนั ธกุ รรม สรุปได้ว่า • ยนี หรอื สารพันธกุ รรม ซึง่ ทาหน้าทีถ่ ่ายทอดลกั ษณะของสิ่งมชี ีวติ ไปสู่ รุ่นตอ่ ๆ ไปน้ัน อยู่บนสารชีวโมเลกุลขนาดใหญ่ คอื DNA • DNA จะประกอบไปด้วย ส่วนท่คี วบคมุ ลักษณะทางพนั ธกุ รรม เรียกว่า ยีน (gene) ยีน (gene) เป็นเพียงส่วนหนง่ึ ของสาย DNA เท่าน้นั (เฉพาะสว่ นที่มกี ารแสดงออกทางพันธกุ รรม)

โครโมโซม (Chromosome)

ตารางแสดงจานวนโครโมโซมในเซลล์ ของสิ่งมชี ีวติ ชนิดตา่ งๆ



สว่ นประกอบของโครโมโซม • โครโมโซม ประกอบด้วย สดั ส่วนระหว่าง DNA : Protein = 1 : 2 • ฮีสโตน (Histone) เป็นโปรตนี ท่ีประกอบไปด้วยกรดอะมิโนท่ีมีประจุบวก เป็นส่วนใหญ่ จึงเกาะจับได้ดีกับสาย DNA ซึ่งมีประจุเป็นลบ จึงทาให้เกิด การสรา้ งสมดลุ ประจุ • DNA ทพี่ นั ด้วยโปรตีนฮีสโตน คลา้ ยเม็ดลกู ปัด เรยี กว่า นวิ คลีโอโซม ท่มี า : https://sites.google.com/site/biobiobiotech/chiw-molekul-khxng- sing-mi-chiwit/kharbohidert

• โปรตีนบางชนิดมีส่วนเกี่ยวข้องกับ กระบวนการจาลองตัวเองของ DNA (DNA replication) หรือ เก่ียวข้องกบั การแสดงออกของยนี • จีโนม (genome) คือสารพันธุกรรม หรือยีนทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตชนิด หนึง่ ๆ ท่อี ยใู่ นโครโมโซม 1 ชดุ (คดิ เปน็ จานวนคเู่ บส) จโี นม

องค์ประกอบทางเคมีของ DNA • DNA เปน็ กรดนิวคลอี ิก ซึง่ เปน็ พอลิเมอรส์ ายยาว ท่ีประกอบไปดว้ ย หน่วยย่อย (monomer) ที่เรียกวา่ นวิ คลีโอไทด์ (nucleotide)

นวิ คลีโอไทด์ ประกอบดว้ ย 3 สว่ น ดังน้ี • หมู่ฟอสเฟต (PO3-4 ) • นา้ ตาลดอี อกซีไรโบส (deoxyribose) ซง่ึ เปน็ น้าตาลท่มี ี C 5 อะตอม • ไนโตรจนี ัสเบส (nitrogenous base) 4 ชนิด ไดแ้ ก่ อะดีนนี (A) กวานีน (G) ไซโทซีน (C) และไทมีน (T)

• การเชอ่ื มของนวิ คลีโอไทดเ์ กิดจากการสร้างพันธะโฟสโฟไดเอสเทอร์ ระหว่างหมู่ฟอสเฟสท่ี C5 กบั หมู่ไฮดรอกซิล (-OH) ท่ี C3 • เม่ือหลายๆ นิวคลโี อไทดม์ าเชอ่ื ต่อกนั จะเกดิ เป็นสายพอลนิ ิวคลีโอไทด์

• ปลายสายด้านหนึ่งจะมีหมู่ฟอสเฟตเชื่อมกับนา้ ตาลดอี อกซีไรโบสท่ี C5 เรยี กปลายด้านนี้วา่ ปลาย 5’ • อีกปลายดา้ นหนึ่งจะมีหมูไ่ ฮดรอกซทิ ่ี C3 เรียกปลายด้านน้วี า่ ปลาย 3’

การวิเคราะหเ์ บสในสาย DNA • เออร์วิน ชาร์กาฟฟ์ (Erwin Chargaff) ไดว้ ิเคราะห์ปริมาณสารใน DNA พบว่าอัตราส่วนของน้าตาล และหมู่ฟอสเฟตค่อนข้างคงท่ี แต่อัตราส่วน ของเบส 4 ชนดิ ทีส่ กดั ได้ในส่งิ มชี วี ิตชนิดต่าง ๆ จะแตกต่างกนั

กฎของชาร์กาฟฟ์ (Chargaff’s Rule) • อตั ราสว่ นระหว่างเบส A จะใกล้เคียงกบั เบส T • อตั ราสว่ นระหวา่ งเบส G จะใกล้เคยี งเบส C • อตั ราส่วนระหวา่ ง A : T และ C : G จะคงท่เี สมอ

โครงสร้างของ DNA • มิวรัส H.F Wilkins และ โรลซาลินด์ แฟรงคลิน ใช้ เทคนิค X-ray diffraction โดยการฉายรังสีเอ็กซ์ผ่าน ผลึก DNA • สรุปได้ว่า โครงสร้างของ DNA ประกอบด้วย สาย polynucleotide มากกว่า 1 สาย พันกันเป็นเกลียว โดยเกลียวแต่ละรอบมรี ะยะห่างเท่ากนั

แบบจาลองโครงสรา้ ง DNA • Watson and Crick ได้เสนอแบบจาลองโครงสร้างของ DNA คือประกอบด้วย polynucleotide 2 สาย เป็น เกลียวคู่เวียนขวาตามเข็มนาฬิกา (double helix) โดย มีทศิ ทางจากปลาย 5’ ไป 3’ สวนทางกัน • เบสในแต่ละสายของ DNA ที่เป็นเบสคู่สม จะยึดกันด้วย พันธะไฮโดรเจน (H-bond) โดย A = T และ C G • เกลียวคู่มีระยะห่าง 20 อังสตรอม เกลียวแต่ละรอบจะมี ระยะหา่ งเทา่ ๆ กัน 34 องั สรอม และมีคู่เบสจานวนเท่ากัน ห่างกัน 3.4 อังสตรอม



สมบตั ขิ องสารพันธุกรรม คณุ สมบัติของการเป็นสารพนั ธุกรรมของ DNA • ตอ้ งสามารถเพ่ิมจานวนตัวเองได้ โดยมีลักษณะเหมือนเดิมเพื่อให้สามารถ ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากร่นุ พอ่ แม่ไปยงั ลูกได้ • สามารถควบคุมให้เซลล์สังเคราะห์สารต่าง ๆ เพ่ือแสดงลักษณะทาง พันธุกรรมใหป้ รากฏ • ต้องสามารถแลกเปล่ียน เปล่ียนแปลงได้บ้าง โดยก่อให้เกิดลักษณะทาง พันธุกรรมท่ีต่างไปจากเดิม และเป็นช่องทางให้เกิดสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ๆ ขนึ้ (ทาให้เกิดวิวฒั นาการของสิง่ มีชีวิต)

การสังเคราะห์ DNA (DNA replication ) • การจาลองตัวเองของ DNA โดย polynucleotide 2 สาย แยกออกจากกันโดยการ สลาย H-bond ระหว่าง เบสคู่สม เพื่อให้ได้ polynucleotide แต่ละสายเป็น DNAแม่แบบสาหรับการสร้างสายใหม่ โดยนาเอา nucleotideอิ ส ร ะ ท่ี อ ยู่ ใ น เ ซ ล ล์ เ ข้ า ม า จั บ กั บ polynucleotide สายเดิม ทาให้ได้ สายเดิม 1 สาย จับกับสายใหม่ 1 สาย เรียกการจาลองลักษณะนี้เป็น แบบก่ึงอนุรักษ์ (semiconservative) • ทิศทางการสังเคราะห์ DNAสายใหม่ คือ จาก 5’→ 3’

DNA replication

อาร์เธอร์ คอนเบริ ก์ (Atrhur kornberg) • สามารถสังเคราะหโ์ มเลกลุ ของ DNA ในหลอดทดลองไดส้ าเร็จ • โดยนาเอนไซม์ DNA พอลิเมอเรส ซง่ึ สกัดจาก E.coli ได้ DNA แม่แบบ และ นิวคลโี อไทด์ 4 ชนิด คือ นิวคลโี อไทดท์ ีม่ เี บส A T C G และเอนไซม์ DNA พอลิเมอเรส ซ่ึงทาหน้าทีเ่ ช่อื มนวิ คลโี อไทดใ์ หต้ ่อกนั กลายเปน็ สาย ยาว • โดยมที ศิ ทางการสงั เคราะห์สายดเี อ็นเอสายใหม่ จากปลาย 5’ ไปยงั ปลาย 3’

อตั ราส่วนของเบสใน DNA ที่สงั เคราะหไ์ ดใ้ นหลอดทดลองและ DNA แมพ่ มิ พ์

• จากผลการทดลองพบว่า DNA ท่ีสังเคราะห์ได้ในหลอดทดลอง มีอัตราสว่ นของเบส A+T ตอ่ C+G ใกลเ้ คียงกบั ของ DNA แมแ่ บบ • การค้นพบเอนไซม์ที่ใช้ในการเชื่อมนิวคลีโอไทด์เข้าด้วยกัน พบว่าการ สังเคราะห์ DNA สามารถเกิดข้ึนได้ในหลอดทดลองโดยไม่จาเป็นต้อง เกิดขึน้ ภายในเซลลเ์ ท่านน้ั • ปัจจุบันมีการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ท่ียืนยันได้ว่า DNA มี กระบวนการจาลองตัวของ DNA โดยกระบวนการดังกล่าวเป็นไปแบบกึ่ง อนุรกั ษ์

• การสังเคราะห์ DNA สายใหม่ 2 สาย มีส่วนท่ีแตกต่างกันคือ สายหนึ่งจะ สร้างต่อเนื่องกันเป็นสายยาว เรียกสายน้ีว่า ลีดดิงสแตรนด์ (leading strand) • ส่วนสายใหม่อีกสายหนึ่งไม่สามารถสร้างต่อกันเป็นสายยาวเนื่องจากทิศ ทางการสรา้ งการสร้างจากปลาย 5' ไปยังปลาย 3' น้ันสวนทางกับทิศทางการ คลายเกลียวของ DNA โมเลกุลเดิม จึงสร้างพอลินิวคลีโอไทด์สายสั้นๆ มี ทิศทางจาก 5' ไป 3' จากน้ัน เอนไซม์ไลเกส (ligase) จะเช่ือมต่อสายสั้นๆ ให้เป็นสายเดียวกัน เรียกสาย DNA ท่ีถูกสร้างข้ึนเป็นสายส้ันๆว่า แลกกิง สแตรนด์ (lagging strand)



สรุป • ยีน ทาหนา้ ท่ีในการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม ซง่ึ ยีนอยู่บนโครโมโซม • DNA จะประกอบไปด้วย สว่ นท่คี วบคุมลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม เรยี กวา่ ยนี • DNA เป็นกรดนิวคลอี กิ ซ่ึงเปน็ พอลิเมอร์สายยาว ทปี่ ระกอบไปด้วย หน่วยย่อย ที่เรียกว่า นิวคลีโอไทด์ ประกอบด้วย 3 สว่ น คือ หมู่ฟอสเฟต น้าตาลดีออกซี- ไรโบส ไนโตรจนี สั เบส ไดแ้ ก่ อะดนี ีน กวานนี ไซโทซนี และไทมีน • โครงสร้างของ DNA ประกอบด้วย polynucleotide 2 สาย เป็นเกลยี วค่เู วียน ขวาตามเขม็ นาฬกิ า โดยมีทิศทางจากปลาย 5’ ไป 3’ สวนทางกัน • การสังเคราะห์ DNA เป็นการจาลองตัวเองของ DNA โดย polynucleotide 2 สาย แยกออกจากกัน เพื่อให้ได้ polynucleotide แต่ละสายเป็นแม่แบบ ทาให้ได้ สายเดิม 1 สาย จบั กบั สายใหม่ 1 สาย

แบบทดสอบหลังเรียนเร่ือง ยนี และโครโมโซม 1.) เซลล์ในระยะใดเหมาะสมต่อการศกึ ษารปู ร่างและลักษณะของ โครโมโซมมากท่ีสุด 1. ระยะทีย่ ังไมม่ กี ารแบ่งเซลล์ 2. ระยะโพรเฟสซงึ่ เสน้ ใยโครมาทินเริ่มหดตวั สั้นลง 3. ระยะโพรเฟส I ซ่งึ กาลงั เกดิ กระบวนการครอสซงิ โอเวอร์ 4. ระยะอินเตอร์เฟสซึง่ มกี ารสะสมสารต่างๆ 5. ระยะเมทาเฟสซง่ึ โครโมโซมเรยี งอยู่ตรงกลางเซลล์

2.) เอนไซมช์ นดิ ใดท่ีทาหนา้ ท่ีในการเชอื่ มสายพอลนิ ิวคลโี อไทดใ์ ห้เป็น สายยาว 1. DNA Polymerase 2. RNA Polymerase 3. DNA ligase 4. Helicase 5. Topoisomerase

3. ) ข้อใดกล่าวไมถ่ ูกตอ้ งเก่ียวกบั โครโมโซม 1. มนุษยม์ โี ครโมโซม 46 แทง่ 2. ออโตโซมทุกคู่จะมีขนาดเทา่ กัน 3. โครโมโซมแต่ละคู่จะมยี ีนตา่ งกนั 4. เซลลไ์ ข่หรืออสุจจิ ะมีโครโมโซม 23 แทง่ 5. โครโมโซมคทู่ ่ี 23 ของเพศชายกับเพศหญงิ จะต่างกนั

4.) การศกึ ษาข้อมูลจากภาพทเ่ี กิดจากการหักเหของรงั สีเอ็กซผ์ า่ นผลกึ DNA ทาให้ วตั สนั และครกิ ส์ไดท้ ราบคณุ สมบัตขิ อง DNA ในข้อใด A. โมเลกุลมรี ปู รา่ งเป็นเกลียว B. ระยะหา่ งของเกลยี วแต่ละรอบ C. ลาดับของนิวคลีโอไทดใ์ นสาย DNA D. ความยาวของเส้นผ่านศูนยก์ ลางของเกลยี ว DNA 1. ขอ้ A และ B 2. ข้อ B และ C 3. ขอ้ C และ D 4. ข้อ A B และ C 5. ขอ้ A B และ D

5.) ขอ้ ใดกลา่ วไมถ่ ูกต้องเกยี่ วกบั ดีเอ็นเอ 1. DNA 1 เกลียวประกอบดว้ ยคู่เบส 10 คู่ 2. โครงสรา้ งเกลยี วค่ขู อง DNA หา่ งกัน 20 A 3. อัตราส่วนระหว่างเบส A : T และ G : C จะใกล้เคียงกับ 1 เสมอ 4. DNA ประกอบดว้ ยพอลนิ ิวคลโี อไทด์ 2 สายเรยี งสลบั ทิศและพันเปน็ เกลยี วคู่ เวียนตามเข็มนาฬิกา 5. เบส G กบั เบส C จะสร้างพันธะไฮโดรเจนระหวา่ งกนั 2 พนั ธะ

6.) จากการสังเคราะห์ DNA ของแบคทเี รยี ในหลอดทดลอง ไดผ้ ล อัตราสว่ นของ ������+������ = 0.5 อตั ราสว่ นของพันธะไฮโดรเจนของเบสท่ี ������+������ จบั ค่กู นั ไดเ้ ป็นเทา่ ใด 1. 1/2 2. 2 3. 1/3 4. 3 5. 1/4

7.) ข้อใดตอ่ ไปนี้ไมใ่ ชค่ ณุ สมบัตขิ องสารพนั ธุกรรม 1. สามารถเพม่ิ จานวนได้ 2. สามารถถา่ ยทอดจากรนุ่ หนง่ึ สูร่ ุ่นหนงึ่ ได้ 3. สามารถสังเคราะหส์ ารได้ 4. สามารถควบคมุ การทางานของเซลลไ์ ด้ 5. สามารถเกดิ ความแปรผันทที่ าให้มลี ักษณะแตกตา่ งไป จากเดิมได้

8.) ในการสงั เคราะห์ mRNA สารในข้อใดทีต่ อ้ งใชใ้ นปริมาณเท่ากบั สาร ในพอลนิ ิวคลโี อไทดแ์ มแ่ บบ A. จานวนน้าตาลไรโบสเท่ากับดีออกซไี รโบสในแมแ่ บบ B. จานวนเบสยูราซิลเทา่ กับเบสไทมีนในแม่แบบ C. จานวนหมู่ฟอสเฟตเทา่ กับหมนู่ า้ ตาลในแมแ่ บบ 1. ขอ้ A 2. ข้อ B 3. ขอ้ B และ C 4. ข้อ A และ C 5. ขอ้ A B และ C

9.) ข้อใดกลา่ วถกู ต้อง A. ลีดดงิ สแตรนด์ถูกสงั เคราะหใ์ นทศิ ทางเดียวกันกับทิศทางการคลายเกลียวของ DNA แมแ่ บบ แต่แลกกิง สแตรนด์ถกู สงั เคราะห์ในทศิ ทางตรงกนั ขา้ ม B. ลีดดิงสแตรนด์ถกู สังเคราะห์โดยการเติมนิวคลโี อไทด์ที่ปลาย 3’ แตแ่ ลก กงิ สแตรนด์ถูกสงั เคราะห์โดยการเติมนิวคลโี อไทด์ท่ปี ลาย 5’ C. การสงั เคราะห์ลดี ดงิ สแตรนด์เกดิ ข้นึ อย่างตอ่ เน่อื ง แต่แลกกิงสแตรนด์ถกู สงั เคราะหเ์ ป็นสายสน้ั ๆ 1. ขอ้ A 2. ขอ้ A และ B 3. ข้อ A และ C 4. ข้อ B และ C 5. ขอ้ A B และ C

10.) RNA ชนดิ ใดทาหนา้ ทน่ี ากรดอะมโิ นท่ีมอี ยูใ่ นไซโทพลาสซมึ ไปยงั บรเิ วณทีม่ ีไรโบโซมเกาะอยเู่ พอื่ สงั เคราะหส์ ายพอลิเพปไทด์ 1. tRNA 2. mRNA 3. rRNA 4. rRNA และ mRNA 5. RNA ทั้งสามชนิด

แหลง่ อ้างองิ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ. (2559). หนงั สอื รายวิชาเพม่ิ เติม ชีววิทยา เล่ม 4 ชั้น มธั ยมศึกษาปีท่ี 4-6. พมิ พ์ครั้งท่ี 9. กรงุ เทพมหานคร : สกสค. ลาดพร้าว. ปินชั ยา นาคจารญู . (2560). ยนี และโครโมโซม. สบื ค้นจาก https://www.slideshare.net/pinutchayanakchumroon/16- 81924478

ผูจ้ ดั ทา นางสาวชรนิ รัตน์ จนั ทร์ฝาย รหสั 61941900504 สาขาประกาศนยี บตั รวิชาชพี ครู มหาวิทยาลยั ราชภัฎลาปาง Charinrat Janfay aun_charinrat


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook