ผลการเรียนรู้ 1. สืบคน้ ขอ้ มูล อภิปราย และอธิบายเก่ียวกบั ลกั ษณะพนั ธุกรรม สาร พนั ธุกรรม โครโมโซม การแปรผนั ทางพนั ธุกรรม และการเกิดมิวเท ชนั 2. อธิบายผลการคดั เลือกธรรมชาติ การคดั เลือกและการปรับปรุงพนั ธุ์ โดยมนุษย์ การใชเ้ ทคโนโลยชี ีวภาพ 3. สารวจ สืบคน้ วิเคราะห์และนาเสนอเก่ียวกบั ความหลากหลายของ ระบบนิเวศ สภาพแวดล้อมและ ทรัพยากรธรรมชาติของท้องถิ่น ประเทศ และโลก
4. สืบคน้ ขอ้ มูล อธิบาย วิเคราะห์ เกี่ยวกบั สาเหตุของ ปัญหาในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และนาเสนอวิธี ป้ อ ง กัน แ ล ะ แ ก้ไ ข ปั ญ ห า ต ล อ ด จ น อ นุ รั ก ษ์ ทรัพยากรธรรมชาติอยา่ งยง่ั ยนื 5. สืบคน้ ขอ้ มูล วิเคราะห์ อภิปราย อธิบาย และสรุป เก่ียวกบั ลกั ษณะของส่ิงมีชีวิตต่างๆ จาแนกเป็นกลุ่มได้ โดยใชเ้ กณฑท์ ่ีกาหนดข้ึน รวมถึงความหลากหลายของ ส่ิงมีชีวิต และผลกระทบต่อสังคมและส่ิงแวดลอ้ มที่ เกิดจากการใชป้ ระโยชน์ของมนุษย์
เวลาเรียน 80 ช่ัวโมง : 4 ชั่วโมง/สัปดาห์ จานวน 2.0 หน่วยกติ อตั ราส่วนการประเมินระหว่างภาค : ปลายภาค 70 : 30 หน่วยที่ ชื่อหน่วย ผลการเรียนรู้ คะแนน คะแนนสอบ 1 พนั ธุกรรม ระหว่างภาค ปลายภาค ผลการเรียนรู้ท่ี 1 15 5 ผลการเรียนรู้ท่ี 2 15 5 ผลการเรียนรู้ที่ 3 15 5 สิ่งมีชีวติ กบั 7 2 ส่ิงแวดลอ้ ม ผลการเรียนรู้ท่ี 4 15 3 ความหลากหลายทาง ผลการเรียนรู้ท่ี 5 10 8 ชีวภาพ 70 30 รวม
ลักษณะทางพนั ธกุ รรม • ลักษณะทางพนั ธกุ รรม คือ ลักษณะตา่ งๆของส่งิ มีชวี ิตท่ถี กู ควบคุมโดยยนี (Gene) และสามารถถ่ายทอดลักษณะจากรุ่นหนง่ึ ไปยังร่นุ ต่อๆไปได้
ประเภทของลกั ษณะทางพันธุกรรม 1. ลกั ษณะที่มคี วามแปรผันไมต่ ่อเนื่อง (Discontinuous variation) • แยกความแตกต่างกันได้อย่างเดน่ ชดั • ถูกควบคมุ ด้วยยีนนอ้ ยคู่ • เกี่ยวขอ้ งกับทางด้านคณุ ภาพ ไดแ้ ก่ ความสามารถในการหอ่ ลน้ิ การถนัด มอื ซา้ ย มอื ขวา จานวนชน้ั ของหนงั ตา การมีลกั ย้ิม ลักษณะผวิ ปกติ – ผวิ เผอื ก พันธกุ รรมของหมเู่ ลอื ด การมีต่งิ หู – ไม่มีต่งิ หู
2. ลักษณะทม่ี ีความแปรผันตอ่ เน่ือง (Continuous variation) • ไม่สามารถแยกความแตกตา่ งไดอ้ ย่างเดน่ ชดั • ถูกควบคุมด้วยยีนหลายคู่ (Polygenes genes) • เกยี่ วข้องกับทางดา้ นปรมิ าณ ไดแ้ ก่ ในคน – สผี วิ ปกติ ความสูง นา้ หนัก ระดบั สตปิ ญั ญา ในสตั ว์และพืช ไดแ้ ก่ ขนาดของรา่ งกาย ผลผลิต ปรมิ าณการให้เนอื้ นม ไข่
กจิ กรรมท่ี 1.1 ตัวอย่างลักษณะพนั ธกุ รรมในมนุษย์ คาชี้แจง 1. ให้นกั เรยี นสารวจลกั ษณะทางพันธุกรรมตา่ ง ๆ ของเพอื่ นภายในห้อง วา่ มีความเหมือนหรือแตกต่างกนั อยา่ งไร 2. ใหน้ กั เรยี นสารวจลักษณะทางพนั ธุกรรมตา่ ง ๆ ภายในครอบครวั ของ นกั เรียนทปี่ รากฏในตวั นักเรยี นและบุคคลใกลช้ ดิ ในครอบครัว เชน่ พอ่ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย พี่ วา่ มลี ักษณะอย่างไร
ตารางบนั ทึกกิจกรรม ลกั ษณะทางพันธกุ รรมทสี่ งั เกตได้ เชงิ ผมท่ี หนังตา ลกั ยม้ิ การหอ่ ลน้ิ การมีต่งิ หู กระดก เลขท่ี หน้าผาก นิ้วหัวแมม่ ือ แหลม ไม่ ชั้น สอง มี ไมม่ ี ได้ ไม่ได้ มี ไม่มี ได้ ไมไ่ ด้ แหลม เดยี ว ชน้ั 1 2 3 4 5
ตารางบนั ทกึ กิจกรรม ลักษณะทางพันธกุ รรมท่สี งั เกตได้ สมาชิก เชงิ ผมที่ หนังตา ลกั ย้ิม การหอ่ ลิน้ การมตี ง่ิ หู กระดก ครอบ หน้าผาก นว้ิ หัวแม่มือ ครัว แหลม ไม่ ชั้น สอง มี ไมม่ ี ได้ ไมไ่ ด้ มี ไมม่ ี ได้ ไม่ได้ แหลม เดียว ชน้ั ฉัน พอ่ แม่ พ่ี น้อง
คาถามท้ายกิจกรรม 1. นักเรยี นมลี กั ษณะใดบ้างท่ีเหมือนกบั พอ่ และแม่ 2. นักเรยี นมลี ักษณะอะไรบ้างท่ไี ม่เหมือนพ่อแม่ แตเ่ หมือนกบั ปู่ ยา่ ตา ยาย หรอื บคุ คลใดบุคคลหนึง่ ในครอบครัว 3. นกั เรยี นทราบไดอ้ ย่างไรวา่ ลักษณะใดเป็นลักษณะทางพันธุกรรม 4. นกั เรียนคดิ วา่ ลกั ษณะทางพันธกุ รรมทสี่ ามารถถา่ ยทอดไดใ้ นสัตว์ชนดิ เดียวกันจะเพิ่มขึ้นหรอื ลดลงไดห้ รือไม่ เพราะเหตใุ ด 5. นอกจากลกั ษณะทางพนั ธุกรรมดงั กลา่ ว แล้วยังมีลักษณะใดอกี บ้างท่ี สามารถถา่ ยทอดทางพนั ธุกรรมได้
โครโมโซมกบั การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรรม • โครโมโซม (Chromosome) เป็นที่อยู่ของสารพันธุกรรมหรือ ดีเอ็น เอ (DNA) รวมถึงหน่วยพันธกุ รรมหรือยีน ทาหน้าท่ีควบคุมและถ่ายทอด ข้อมูลลักษณะทางพันธุกรรมต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต เช่น ลักษณะของเส้นผม ลักษณะดวงตา เพศ และผิว • ส่ิงมีชวี ิตชนิดเดียวกันจะมีจานวนโครโมโซมเท่ากันเสมอ ยกเว้น กรณีเกิด การผิดปกตบิ างอยา่ ง เชน่ ผดิ ปกติในขณะการแบง่ เซลล์
โครงสรา้ งของโครโมโซม
• ในร่างกายของมนุษย์ จานวนชุดโครโมโซมภายในนิวเคลียสของแต่ละ เซลล์ จะสามารถจัดกลุ่มเซลล์ในร่างกายออกเป็น 2 กลุ่มใหญๆ่ ไดแ้ ก่ • เซลล์ร่างกาย (somatic cell) พบได้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายจะมี จานวนชดุ โครโมโซม 2 ชุด เขยี นแทนด้วย 2n • เซลล์สืบพันธ์ุ (sex cell) ได้แก่ เซลล์ไข่ และเซลล์อสุจิ ซึ่งจะพบแต่ เฉพาะอวัยวะท่ีสร้างเซลล์สืบพันธุ์เท่าน้ัน จะมีโครโมโซมเพียงคร่ึงหนึ่ง ของเซลลร์ า่ งกาย แทนจานวนนดี้ ้วย n
ตารางแสดงจานวนโครโมโซมในเซลล์ ของสิ่งมชี ีวติ ชนิดตา่ งๆ
• ลกู จะไดร้ บั การถ่ายทอดโครโมโซมชดุ หนึ่งมาจากเซลลไ์ ข่ของแม่ อกี ชดุ หนึ่งไดร้ บั มาจากเซลล์อสจุ ิจากพอ่ โครโมโซมของพอ่ และแมม่ ีลกั ษณะ เหมือนกัน • ในเซลล์ของลูกจงึ มโี ครโมโซมทมี่ ีลกั ษณะเหมอื นกันเปน็ คู่ เรยี กว่า ฮอมอโลกัสโครโมโซม (homologous chromosome)
• เซลล์รา่ ยกายของคนเรามโี ครโมโซม 2 ชุดๆ ละ 23 แทง่ รวมเป็น 46 แทง่ หรือ 23 คู่ • โครโมโซมคู่1 ถึงคู่ท่ี 22 เป็นโครโมโซมร่างกายเรียกว่า ออโตโซม ( autosome) โ ค ร โ ม โ ซ ม คู่ ท่ี 2 3 เ ป็ น โ ค ร โ ม โ ซ ม เ พ ศ (sex chromosome) ซึ่งได้แก่โครโมโซม X หรอื โครโมโซม Y
การแบง่ เซลล์ (cell division) • การเจริญเตบิ โต และการสืบพันธุ์ของสิ่งมีชวี ิตมีความเก่ียวข้องกับการแบ่ง เซลล์ หลังจากการแบ่งเซลล์จะทาให้ได้เซลล์ใหม่ที่มีองค์ประกอบทาง พันธุกรรมเหมือนเซลล์เดิม การขาดหายไปหรือเกินมาของโครโมโซมน้ัน อาจทาใหเ้ ซลลน์ ั้นผิดปกตไิ ด้ • การแบ่งเซลล์ของส่ิงมีชวี ิตพวกยูคาริโอตประกอบดว้ ย 2 ข้ันตอน คือ การ แบ่งนิวเคลียส (Karyokinesis) และ การแบ่งไซโทพลาซึม (Cytokinesis) เมอื่ การแบ่งตัวของนวิ เคลยี สสน้ิ สุด ขบวนการแบ่งตวั ของ ไซโทพลาสซมึ จะเกดิ ขึ้นทันที
การแบง่ นิวเคลยี ส (Karyokinesis) สามารถแบง่ ออกได้ 2 แบบ • การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส (mitosis) เป็นการแบ่งนิวเคลียสท่ีทาให้มี จานวนโครโมโซมมีจานวนเทา่ เดิม • การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส (meiosis) ) เป็นการแบง่ นิวเคลียสที่ทาให้มี จานวนโครโมโซมลดลงครึง่ หนึง่ • หลังจากการแบ่งนิวเคลียสท้ัง 2 แบบจะมีการแบ่งไซโทพลาสซึมตามมา เสมอ การแบ่งนวิ เคลยี สจะใช้ระยะเวลานานกว่าการแบ่งไซโทพลาสซึม
การแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส (mitosis) • เป็นการแบ่งเซลลร์ า่ งกาย เพ่อื เพิ่มจานวนเซลล์ในขณะที่มีการเจรญิ เตบิ โต ในร่างกายของคนและสตั ว์ • เซลล์บางชนดิ มกี ารแบง่ ตวั ตลอดเวลาเพ่ือทดแทนเซลล์ทต่ี ายไป • หลังจากการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิสจะทาใหไ้ ด้เซลล์ใหม่ 2 เซลลท์ ่ีมี ลักษณะเหมอื นเซลลเ์ ดมิ ทุกประการ
• การแบง่ เซลลเ์ ป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตอ่ เนื่องกนั กอ่ นทีจ่ ะมีการแบ่ง เซลล์ เซลล์จะมีการเตรยี มตัวให้พรอ้ มก่อน ระยะเวลาทเ่ี ซลลม์ กี ารเตรยี ม ความพร้อมจนถงึ การแบง่ นิวเคลยี สและไซโทพลาสซึม เรยี กวา่ วัฏจกั ร ของเซลล์ (cell cycle)
วัฏจกั รของเซลล์ ประกอบดว้ ย 2 ระยะ • ระยะอินเตอร์เฟส (Interphase) เปน็ ระยะเตรียมตัวพรอ้ มกอ่ นทจ่ี ะ แบ่งนิวเคลียสและไซโทพลาสซึม แบง่ เป็น 3 ระยะ 1. ระยะ G1 เป็นระยะก่อนการสร้าง DNA ซึ่งเซลล์มีการเจริญเติบโตเต็มที่ ระยะน้ี จะมีการสรา้ งสารบางอยา่ ง เพ่อื ใชส้ รา้ ง DNA ในระยะต่อไป 2. ระยะ S เป็นระยะสร้าง DNA (DNA replication) โดยเซลล์มีการ เจริญเติบโต และมีการสงั เคราะห์ DNA เพิ่มข้นึ มาอีก 1 ชดุ เรยี กวา่ การ จาลองโครโมโซม 3. ระยะ G2 เป็นระยะหลังสร้าง DNA ซึ่งเซลล์มีการเจริญเติบโต และ เตรยี มพร้อม ท่ีจะแบ่งนวิ เคลียสและไซโทพลาสซมึ ต่อไป
• ระยะทีก่ ารแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ (mitotic phase /M phase) เปน็ ระยะท่ีมีการแบ่งนวิ เคลยี ส และตามด้วยแบ่งไซโทพลาสซมึ 1. ระยะโพรเฟส (Prophase) • เห็นนวิ เคลียสได้ชดั เจน นวิ เคลยี สยังมีเย่ือหุ้มนวิ เคลยี สอยู่ นิวคลโี อลัสสลาย ไป • โครมาทินมกี ารหดตวั สั้นลง จงึ เห็นเปน็ แทง่ โครโมโซม • มกี ารสร้างเสน้ ใยสปินเดิล ซ่งึ เปน็ เส้นใยโปรตนี
2. ระยะเมทาเฟส (Metaphase) • เย่ือหมุ้ นิวเคลียสสลายตวั เส้นใยสปินเดิลเข้าไปจับกับโครโมโซมทาให้ โครโมโซมเกดิ การเคลือ่ นที่ โดยจะไปยึดกบั โครโมโซมท่ีไคนีโทคอร์ (kinetochore) • โครโมโซมมกี ารหดตวั สั้นลงและหนาข้ึน • โครโมโซมถูกดึงด้วยเสน้ ใยสปนิ เดิล จึงทาให้มีเรียงตวั อยู่กลางเซลล์ • ระยะนี้เป็นระยะที่เห็นโครโมโซมได้ชัดเจนทีส่ ดุ
3. ระยะแอนาเฟส (Anaphase) • ระยะนีเ้ กิดขึ้นอย่างรวดเรว็ • เกดิ การแยกตัวของโครมาทดิ ของแตล่ ะโครโมโซม แตล่ ะโครมาทิดจะถกู ดึงให้แยกจากกนั ไปอย่คู นละข้ัวเซลล์ • ทาใหโ้ ครโมโซมแยกเปน็ 2 กลมุ่ • โครโมโซมท่ีเกิดข้ึนใหมจ่ งึ ประกอบดว้ ยโครมาทิดเพียง 1 เส้น
4. ระยะเทโลเฟส (Telophase) • โครโมโซมจะหยุดการเคลื่อนท่ี เสน้ ใยสปินเดลิ สลายตัว • มีการสังเคราะห์เยอื่ หุ้มนวิ เคลยี สและนิวคลีโอลัสขนึ้ มาใหม่ • โครโมโซมจะคลายตัวทาให้ยืดออกเป็นเสน้ ใยโครมาทนิ • เมอื่ ใกลส้ ้นิ สดุ ระยะเทโลเฟสจะเกดิ การแบ่งไซโทพลาสซึม ทาใหไ้ ด้เซลล์ ใหม่ 2 เซลล์
• การแบง่ ไซโทพลาสซึมในเซลล์พืช จะมกี ารสรา้ งแผน่ ก้ันเซลล์ (cell plate) คน่ั ตรงกลางระหวา่ งนวิ เคลยี สใหม่ทงั้ สอง เร่ิมสร้างจากบรเิ วณ ตรงกลางแลว้ ขยายไปส่ผู นังเซลลท์ งั้ 2 ด้าน • ตอ่ มามกี ารสร้างเซลลโู ลสสะสมทแ่ี ผน่ กั้นเซลล์เกิดเป็นผนังเซลลใ์ หม่กน้ั เซลลเ์ ดมิ ออกเป็น 2 เซลล์
การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส (meiosis) • เป็นการแบง่ เซลลเ์ พื่อสรา้ งเซลลส์ บื พันธใุ์ นสตั วห์ รือสร้างสปอร์ในพชื • หลงั จากการแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซิสจานวนโครโมโซมจะลดลงครึ่งหนึ่ง • การแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ จะมีการแบง่ นิวเคลยี ส 2 ครั้ง คือ ไมโอซสิ I และ ไมโอซสิ II
• ระยะอินเตอรเ์ ฟส (Interphase) เปน็ ระยะเตรียมตวั พรอ้ มกอ่ นท่จี ะแบ่งนวิ เคลยี ส และไซโทพลาสซึม เชน่ เดียวกับการแบง่ เซลล์แบบไมโทซิส • ระยะไมโอซิส I (Meiosis I) มกี ารเปลยี่ นแปลงของนวิ เคลียสและไซโทพลาสซึม ประกอบดว้ ยระยะต่างๆ ดังน้ี 1. ระยะโพรเฟส I (Prophase I) • มีการเปล่ียนแปลงคลา้ ยการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส โครมาทนิ มกี ารหดตัวส้นั ลง • เย่อื หุ้มนิวเคลียสและนิวคลีโอลัสเร่ิมสลายตัว • โครโมโซมทเี่ ป็นฮอมอโลกัสกันจะเรียงตวั อยูเ่ ปน็ คู่ แต่ละคู่ของฮอมอโลกสั โครโมโซม มี 4 โครมาทดิ • เกิดการไขวก้ ันของโครมาทิด เรียกว่า ครอสซิงโอเวอร์ ( crossing over) ที่ ตาแหนง่ ไคแอสมา (chiasma)
2. ระยะเมทาเฟส I (Metaphase I) • เสน้ ใยสปินเดิลท่ียดึ เกาะกบั ฮอมอโลกสั โครโมโซมจะดึงโครโมโซมใหม้ า เรียงตัวเปน็ คู่ๆ อยบู่ ริเวณกลางเซลล์ • โดยมีเซนโทรโซมอยู่ด้านตรงขา้ มของเซลล์เช่ือมตอ่ กันด้วยเสนใยสปนิ เดลิ
3. ระยะแอนาเฟส I (Anaphase I) • มีการแยกฮอโมโลกสั โครโมโซมออกจากกัน แอยู่คนละด้านของขั้วเซลล์ • แต่ละโครโมโซมประกอบดว้ ย 2 โครมาทดิ
4. ระยะเทโลเฟส I (Telophase I) • โครโมโซมมีการสร้างเย่ือหุ้มนวิ เคลียสขนึ้ มาลอ้ มรอบ • ได้นิวเคลียสใหม่ 2 นิวเคลยี ส และมกี ารสร้างนิวคลโี อลัสข้ึนมาใหม่ • แตล่ ะโครโมโซมประกอบด้วย 2 โครมาทิด • จานวนโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่ง หรือเทา่ กบั n ถา้ เซลลเ์ รมิ่ ต้นเปน็ 2n
• ระยะไมโอซสิ II (Meiosis II) เกิดขนึ้ ตอ่ เน่ืองจากระยะไมโอซิส I โดยไม่ มีการจาลองโครโมโซม การแบ่งนวิ เคลียสใหม่ประกอบดว้ ย 1. ระยะโพรเฟส II (Prophase II) โครมาทดิ จะหดสนั้ มากขน้ึ ไมม่ กี าร เกดิ ไซแนปซิส, ไคแอสมา, ครอสซงิ โอเวอร์ 2. ระยะเมทาเฟส II (Metaphase II) โครมาทิดมาเรียงตวั อยใู่ นแนว กึ่งกลางเซลล์ 3. ระยะแอนาเฟส II (Anaphase II) มกี ารแยกโครมาทิดออกจากกนั ทาให้จานวนชุดโครโมโซมเพิ่มจาก n เป็น 2 n ชัว่ ขณะ 4. ระยะเทโลเฟส II (Telophase II) มกี ารแบ่งไซโทพลาสซึม จนได้เซลล์ ใหม่ 4 เซลล์ ซ่งึ แตล่ ะเซลล์ มีโครโมโซม เปน็ n
• 4 เซลลท์ ี่เกิดข้ึนจะมียีนเหมือนกนั อย่างละ 2 เซลล์ ถา้ ไม่เกดิ ครอสซิงโอ เวอร์ หรอื อาจจะมียนี ตา่ งกนั ทง้ั 4 เซลล์ ถา้ เกิดครอสซงิ โอเวอร์
สารพนั ธกุ รรม • ภ า ย ใ น นิ ว เ ค ลี ย ส ข อ ง เ ซ ล ล์ มี ส า ร พันธุกรรม เรียกว่า ดีเอ็นเอ (DNA) และโปรตีนหลายชนิดประกอบกันเป็น โ ค ร ง ส ร้ า ง ที่ มี ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น ส า ย ย า ว เรยี กว่า โครมาทิน • ขณะท่มี ีการแบง่ เซลล์โครมาทนิ จะขดตัว จนเปน็ ท่อนสัน้ ลง เรยี กว่า โครโมโซม • แต่ละโครโมโซม ประกอบดว้ ย 2 โครมาทิด และยดึ ตดิ กันท่ีตาแหนง่ เซนโทเมยี ร์
โครงสรา้ งของดีเอน็ เอ ดเี อน็ เอ (DNA,deoxyribonucleic acids) เป็น สารชีวโมเลกุล(กรดนิวคลีอิก) ประกอบด้วยหน่วย ย่อยท่ีเรียกว่า นิวคลีโอไทด์ แต่ละนิวคลีโอไทด์ ประกอบดว้ ย • นา้ ตาลดอี อกซไี รโบส มี C 5 อะตอม • ไนโตรจีนัสเบส มี 4 ชนิด ได้แก่ อะดีนีน (A) ไทมนี (T) ไซโตซนี (C) กวานนี (G) • หมู่ฟอสเฟต DNA ประกอบด้วยสายพอลินิวคลีโอไทด์ 2 สาย บิดพนั เป็นเกลียวเวียนขวา
ยีนและการควบคุมลักษณะพนั ธุกรรม • ยีน คอื ดเี อ็นเอท่ีประกอบด้วยหนว่ ยย่อยท่ีเรยี กวา่ นวิ คลีโอไทด์ ท่ีเรยี งต่อ กันเป็นสายยาว โดยนิวคลโี อไทดท์ ่ีเรยี งตอ่ กนั 3 ชนดิ ทาหน้าที่เป็นรหัส พนั ธุกรรม (codon) ทาหนา้ ที่ กาหนดชนิดของกรดอะมโิ น • รหสั พนั ธุกรรม คือ ลาดบั ของเบสบน DNA ซึ่งถ่ายทอดไปยัง RNA ในการ สงั เคราะห์โปรตีน เบสใน DNA มเี พียง 4 ตวั ส่วนกรดอะมโิ นมีอย่าง น้อย 20 ชนิด ดงั นัน้ รหสั หน่งึ ๆ จะต้องประกอบดว้ ยเบสอย่างน้อย 3 ตวั ประกอบกนั • ยีนแต่ละยีนทคี่ วบคมุ โครงสรา้ งของโปรตีนและชนิดจะแตกต่างกันท่ีจานวน และลาดับการเรยี งตวั ของรหัสพันธุกรรม
• กรดอะมิโนบางชนิดมีรหัสมากกว่า 1 รหัส เรียกว่า degenerate codon • รหัสหยุด เรยี กว่า nonsense codon หรือ stop codon ได้แก่ UAA UAG UGA • รหัสพนั ธกุ รรมตัวแรกท่ีพบ คือ UUU เป็นรหัสพันธกุ รรมของกรดอะมิโน ฟนิ ลิ อะลานนี (Phe) • รหัสเริ่มต้นการสังเคราะห์โปรตีน คือ AUG เป็น codon ที่กาหนดกรด อะมโิ นเมไทโอนีน (Met) • รหัสพันธุกรรมน้ีมีการแปลเหมือนกันในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด (universal code)
• เอนไซม์หรือโปรตนี แต่ละชนดิ จะแตกตา่ งกันท่ีจานวนและลาดับการเรยี ง ตัวของรหสั พันธกุ รรม • ยนี ควบคมุ ลักษณะพันธกุ รรมโดยลาดับของรหสั พันธกุ รรมในดเี อ็นเอเป็น ตวั กาหนดชนิดและลาดับในการเรียงตัวของกรดอะมโิ นในโปรตนี หรอื เอนไซม์
กจิ กรรมท่ี 1.2 การเลยี นแบบกลไกการควบคมุ ลักษณะ พันธกุ รรม แมว ลาย เทา ขาว ของ นาย แดง สวย 12345678
Search