Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แนวทางการดำเนินการป้องกัน “การบูลลี่ในสถานศึกษา”

แนวทางการดำเนินการป้องกัน “การบูลลี่ในสถานศึกษา”

Published by NATHDANAI, 2023-07-03 06:10:48

Description: แนวทางการดำเนินการป้องกัน “การบูลลี่ในสถานศึกษา”

Search

Read the Text Version

สว่นที่3 สรางภมูคิุมกันดวย “กจิกรรม”ลดการกล่นัแกลง

สรา้ งภูมิคมุ้ กนั ด้วย “กจิ กรรม” ลดการกล่ันแกลง้  กจิ กรรม ปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าข่าวสารที่เผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวของการกลั่นแกล้ง รังแก ทำร้ายกัน เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันอย่างมากมาย จากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งทำให้ ส่งผลกระทบทางด้านร่างกาย ด้านสภาพจิตใจ และนำไปสู่สภาวะซึมเศร้า จนถึงขั้นรุนแรงจนฆ่าตัวตาย ก็เป็นได้ โดยนับว่าเป็นภัยร้ายที่อันตรายมากกว่าที่คิด รวมถึงพฤติกรรมก้าวร้าว (Aggressive Behavior) หรอื ความรนุ แรง (Violence) ต่าง ๆ ของเดก็ และเยาวชน ซึ่งความรุนแรงเรมิ่ จากในครอบครวั ความรนุ แรง ในชมุ ชน ความรนุ แรงในสังคม และนำมาส่คู วามรนุ แรงในสถานศึกษา ดงั นนั้ ถึงเวลาของทกุ ภาคสว่ นรวมถึง บุคลากรทุกคนในสถานศกึ ษา ต้องทำความเข้าใจเรื่องการบูลลี่ การกลั่นแกล้ง การล้อเล่น สรา้ งวินยั เชงิ บวก เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ป้องกันและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสมกับสภาวการณ์ ให้คำปรึกษาและ ดแู ลช่วยเหลอื นักเรียนและผู้ที่ประสบปัญหาอย่างเป็นระบบใหท้ นั ทว่ งที “กจิ กรรม” เป็นหนึ่งแนวคิดทจ่ี ะนำมาเช่ือมโยงการปรับเปลี่ยนความคิด ความรู้สกึ และพฤติกรรม เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องการบูลลี่ และการกลั่นแกล้งกันของนักเรียน โดยต้องเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับ ช่วงวัย ความแตกต่างของแต่ละบุคคล รวมทั้งจัดประเภทของกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทางด้านวิชาการ ดา้ นทกั ษะชวี ิต และดา้ นทักษะอาชีพ โดยคำนึงถงึ หลกั เกณฑ์และประโยชน์ของกจิ กรรม  ความหมายของกจิ กรรม กิจกรรมเป็นสิ่งที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ ซึ่งจะสอดแทรกอยู่ใน รปู แบบของความสนกุ สนาน โดยได้มผี ใู้ หค้ วามหมายของกิจกรรมไว้หลายท่าน ดังน้ี จรินทร์ ธานีรัตน์ (อ้างใน วราภรณ์ ภูละคร, 2533 : 12) ได้ให้ความหมายของคำว่า กิจกรรม หมายถึง สภาพการเรียนรู้ใด ๆ ที่ได้กระทำด้วยความเต็มใจทั้งทางสมองและทางกาย เพื่อเป็นการสนอง ความต้องการของผู้กระทำให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมาย เช่น การค้นคว้า การอภิปราย การแก้ปัญหา หรือ การทีเ่ ด็กได้ใช้สว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกายและสมองประกอบกน็ บั เปน็ กจิ กรรมแล้ว โรม วงศ์ประเสริฐ (2545 : 9) กล่าวว่า กิจใด ๆ ที่ผู้ดำเนินการจัดการขึ้นมาอย่างมีจุดมุ่งหมาย โดยมุ่งหวัง เพื่อใช้กระบวนการของกิจกรรมพัฒนาผู้เข้ากิจกรรมต่อไป โดยที่กิจกรรมอาจจะจัดในร่มหรือ กลางแจ้งก็ได้ ขนึ้ อยกู่ บั ความเหมาะสมของแตล่ ะกจิ กรรมท่เี ลือกนำมาใช้ สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ (2544 : 1) ให้ความหมายกิจกรรมว่าการปฏิบัติด้วยตนเอง คือ เป็นชุด ของการปฏิบัติการต่าง ๆ ทมี่ ีการเตรยี มการหรือวางแผนไวเ้ รียบร้อยแล้ว ผู้ปฏบิ ัติบงั เกดิ ผลตามท่ีคาดหวงั ไว้ จากแนวคดิ ดังกล่าวสรุปได้ว่า “กิจกรรม” หมายถึง สภาพการณ์หรือการกระทำทค่ี รจู ดั ข้ึน เพ่ือให้ นักเรียนสามารถเข้าใจบทเรียนได้ง่ายกว่าการสอนแบบธรรมดา ช่วยให้นักเรียนได้รับทั้งความรู้ ความสุข และความสนุกสนาน ซึ่งผู้เรียนต้องกระทำด้วยความเต็มใจ และเป็นสิ่งที่ผู้ดำเนินการต้องจัดเตรียมให้ ผเู้ ขา้ ร่วมลงมือปฏบิ ัติ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ผลตามทตี่ ัง้ วัตถุประสงค์ไว้ 99

 ความสำคัญของกจิ กรรม ดนยั ไชยโยธา (2534 : 7) กลา่ วว่า กจิ กรรมการเรียนรู้ หมายถึง การดำเนินการต่าง ๆ ในโรงเรียน ทั้งโดยครู อาจารย์ และนักเรียน ซึ่งเป็นการสอนให้นักเรียนค้นคว้า อภิปราย การบรรยาย การอบรม การสาธิต การปฏิบัติงาน การจัดนิทรรศการ การศึกษานอกสถานที่ และการทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่ กำหนดไวใ้ นหลกั สูตร  หลักเกณฑใ์ นการเลอื กกจิ กรรม การวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนจะต้องเลือกกิจกรรมที่มีความเหมาะสม เพื่อให้ การเรียนรูเ้ ปน็ ไปอย่างมปี ระสิทธภิ าพ ซงึ่ มผี ใู้ หห้ ลกั เกณฑ์ในการเลอื กกจิ กรรม ไดแ้ ก่ สิริวรรณ ศรีพหล (2540 : 477) กล่าวว่า สำหรับการเลือกกิจกรรมการเรียนรู้ สิ่งที่ผู้สอนควรจะ คำนงึ ถึง มีดังนี้  กิจกรรมนน้ั ๆ กระตนุ้ ความสนใจของผู้เรียนหรือไม่  กิจกรรมนน้ั ๆ กระต้นุ ให้ผู้เรียนรูจ้ กั คดิ หรือไม่  กจิ กรรมนั้น ๆ เปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียนสว่ นใหญ่ไดม้ ีส่วนร่วมดว้ ยหรือไม่  กิจกรรมนั้น ๆ ส่งเสรมิ ประสบการณข์ องผ้เู รยี นให้กว้างขวางข้ึนกวา่ เดิมหรือไม่  กิจกรรมน้ัน ๆ ส่งเสรมิ ความสามารถเชงิ สร้างสรรคข์ องผู้เรียนหรือไม่  กิจกรรมนัน้ ๆ เชอ่ื มหรือสัมพนั ธ์กบั กจิ กรรมอื่นๆ ของโรงเรียนหรอื ไม่  กจิ กรรมนนั้ ๆ ตอบสนองความตอ้ งการของผู้เรียนหรือไม่ วันทนยี ์ จันทรเ์ อ่ียม (2541 : 1) ไดเ้ สนอเพ่มิ เติมว่าแนวทางการเลือกกจิ กรรม มีดงั น้ี 1. เป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการเรียนรู้ และสอดคล้องกับความต้องการ ของสมาชิกและควรพิจารณาถึงผลทเี่ กดิ ขึน้ วา่ จะมปี ระโยชนห์ รือโทษต่อสมาชิกกล่มุ อย่างไร 2. เป็นกิจกรรมเหมาะสมกับระดับความสามารถของสมาชิก สามารถสอดแทรกความสนุกสนาน เพ่ือใหผ้ ้รู ว่ มกิจกรรมเพลดิ เพลนิ ต่อการเรียนรหู้ รือเกิดการเรยี นรูโ้ ดยไมร่ ูต้ วั 3. เป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับสภาพของผู้เข้าร่วมกิจกรรม เช่น เพศ อายุ เหมาะสมกับวุฒิภาวะ และอยู่ในความสนใจของสมาชกิ 4. เป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับสถานทแ่ี ละเวลา 5. เป็นกิจกรรมที่สมาชิกทุกคนมีโอกาสเข้าร่วมทำกิจกรรมและได้แสดงออกโดยทั่วถึง สรุปได้ว่า การเลือกกิจกรรมควรตั้งอยู่บนหลักเกณฑ์ที่มีความเหมาะสมของตัวผูเ้ รียนเนื้อหาวิชาและสภาพแวดล้อมที่ เกีย่ วขอ้ ง 100

 ประเภทของกิจกรรม จนิ ตนา สขุ มาก (ม.ป.ป. : 84-85) กลา่ ววา่ กิจกรรม เปน็ กิจกรรมทใี่ ห้นักเรียนกระทำในเวลาเรียน ตามตารางสอน อาจเป็นในห้องเรียนหรือนอกห้องเรียนก็ได้ ตัวอย่างกิจกรรมที่ให้นักเรียนทำ ในการเรียนการสอนวิชาต่าง ๆ เพ่อื ใหส้ อดคลอ้ งกับหลักสูตร มีหลายชนิด ได้แก่ 1. กิจกรรมที่เกี่ยวกับการพูดและเขียน เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมความสามรถทางสมอง คือ ทำให้ นักเรียนเกิดความรู้ ความคิด ได้แก่ การให้รายงาน การให้อภิปราย การให้เปรียบเทียบ การให้อธิบาย การให้วิจารณ์ การให้บอกความสัมพนั ธ์ การให้เสนอแนะ การประเมินคา่ ฯลฯ 2. กจิ กรรมเก่ียวกบั การคน้ ควา้ หาความรู้และความเข้าใจ เชน่ ในการอ่านหนงั สอื การให้สัมภาษณ์ การให้สังเกต การให้ทดลอง การใหป้ ฏบิ ัติ การใหฟ้ ัง การให้เกบ็ สะสม ฯลฯ 3. กิจกรรมการฝึกทักษะหรือความชำนาญ เช่น การให้ฟัง พูด อ่าน และเขียนในวิชาภาษาไทย การให้คิดโจทย์แบบฝึกหัด การร้องเพลง การเล่นดนตรี การเล่นกรีฑา การฝึกปฏิบัติในวิชาต่าง ๆ ที่มี การปฏิบตั ิ กิจกรรมทำบอ่ นครง้ั และสมำ่ เสมอจึงจะเกิดผลดี 4. กจิ กรรมเกย่ี วกับการสรา้ งประดษิ ฐ์หรือคิดคน้ กจิ กรรมเหล่านี้เมื่อมีนักเรยี นได้ทำแล้วจะส่งเสริม ให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี เกิดความรู้ ความจำ ความเข้าใจ ความชำนาญ ความคิดริเริ่มและ ความซาบซึ้งในความงดงาม การสร้างหรือประดิษฐ์ หมายถึงกิจกรรมที่ทำแล้วได้ผลงานออกมา การทำโครงงาน การใหป้ ระดิษฐผ์ ลงานตา่ ง ๆ การประพันธ์ การเขยี นบทความ การแตง่ เพลง ฯลฯ บญุ เกอ้ื ควรหาเวช (2545 : 94-95) ได้แบ่งประเภทของกิจกรรมเปน็ 3 ประเภท 1. ชุดกิจกรรมประกอบคำบรรยาย เป็นชุดกิจกรรม สำหรับผู้สอนที่ต้องการปูพื้นฐานให้ผู้เรียน ส่วนใหญ่ได้รู้และเข้าใจในเวลาเดียวกัน มุ่งในการขยายเนื้อหาสาระใหช้ ัดเจนขึ้น ชุดกิจกรรมแบบนี้จะช่วย ให้ผูส้ อนลดการพูดให้นอ้ ยลง และเป็นการใชส้ ื่อการสอนท่ีมีพร้อมอยู่ในชุดกจิ กรรมในการเสนอเน้ือหามากข้ึน สง่ิ ทใ่ี ชอ้ าจ ได้แก่ รูปภาพ แผนภมู ิ หรอื กิจกรรมท่กี ำหนดไว้ เป็นต้น 2. ชดุ กจิ กรรมแบบกลมุ่ กจิ กรรม เปน็ ชุดกจิ กรรมสำหรบั ใหผ้ ้เู รียนรว่ มกัน เป็นกลุ่มเลก็ ๆ ประมาณ 5-7 คน โดยใช้สื่อการสอนที่บรรจุไว้ในชุดกิจกรรมแต่ละชุด มุ่งที่จะฝึกทักษะ ในเนื้อหาวิชาที่เรียนและ ผู้เรียนมีโอกาสทำงานร่วมกัน ชุดกิจกรรมชนิดนี้มักจะใช้สอนในการสอนแบบกิจกรรมกลุ่ม เช่น การสอน แบบศนู ยก์ ารเรยี น เปน็ ต้น 3. ชุดกิจกรรมแบบรายบุคคล หรือชุดกิจกรรมตามเอกัตภาพ เป็นชุดกิจกรรม สำหรับเรียนด้วย ตนเองเป็นรายบุคคล คือ ผู้เรียนจะต้องศึกษาหาความรู้ตามความสามารถ และความสนใจของตนเอง อาจเรียนที่โรงเรียน หรือที่บ้าน ส่วนมากมักจะมุ่งให้ผู้เรียนได้ทำความเข้าใจเนื้อหาวิชาที่เรียนเพิ่มเติม ผเู้ รียนสามารถจะประเมินผลการเรยี นด้วยตนเองไดด้ ้วยชดุ กจิ กรรม ชุดกิจกรรมชนิดนอ้ี าจจะขดั ในลักษณะ ของหน่วยการสอนส่วนยอ่ ยหรือโมคลู กไ็ ด้ 101

ระพนิ ทร์ โพธศ์ิ รี (2549 : 80-84) ไดแ้ บง่ ประเกทของชุดกิจกรรมได้ ดังน้ี 1. ชดุ การเรยี นรดู้ ้วยตนเอง (Self study Package) คอื ชดุ กิจกรรมทส่ี รา้ งขน้ึ โดยมีจุดมุ่งหมายให้ ผู้เรียนนำไปศึกษาด้วยตนเอง โดยไม่มีครูเป็นผู้สอน เช่น บทเรียนสำเร็จรูปชุดการเรียนแบบคอมพิวเตอร์ ชว่ ยสอนหรือชดุ การเรียนผา่ นเครอื ข่ายเวลิ ดไ์ วด์เว็บ 2. ชดุ การเรียนการสอน คือ ชุดกิจกรรมทส่ี รา้ งข้นึ โดยมีครเู ปน็ ผูด้ ำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ บรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ เช่น ชุดฝึกอบรมหรือ ชุดการสอนต่าง ๆ จากประเภทของชุดประเภทของชุดกิจกรรมที่กล่าวมาข้างตันสามารถสรุปได้ว่า ชดุ กิจกรรมมี 3 ลักษณะ คือ ชุดกิจกรรมทีน่ ักเรียนเป็นผดู้ ำเนนิ กิจกรรมการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ชดุ กจิ กรรมท่ี ครเู ปน็ ผู้ดำเนนิ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และชุดกิจกรรมที่ครแู ละนักเรียนทำกิจกรรมการเรยี นรู้รว่ มกัน กิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาทักษะ เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนประเภทเกี่ยวกับการฝึกทักษะ ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะของกจิ กรรมสง่ เสริมและพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทสี่ ร้างข้ึน และ กจิ กรรมนจ้ี ะเกิดประโยชน์สูงสุดเมอื่ ผู้เรียนลงมือปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง กล่าวโดยสรปุ ประเภทของกิจกรรม หมายถงึ กิจกรรมทส่ี ่งเสรมิ การพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน เพ่อื ใหเ้ กิดความรู้ ทกั ษะและกระบวนการ ซึง่ สามารถนำไปประยุกตใ์ ช้ในชีวิตประจำวนั ได้  ประโยชน์ของกิจกรรม 1. ช่วยใหน้ ักเรียนเกดิ ความสนใจ 2. ช่วยปลูกฝังความรบั ผิดชอบ 3. ช่วยส่งเสริมความคดิ ริเรมิ่ สร้างสรรค์ 4. ช่วยปลูกฝงั เจตคตทิ ่ดี ีตอ่ การเรียน 5. ช่วยใหเ้ ข้าใจแจ่มแจง้ ในบทเรียน 6. ชว่ ยใหท้ ำงานร่วมกับเพ่อื นได้ 7. ชว่ ยส่งเสริมทกั ษะต่างๆ 8. ช่วยใหผ้ ูเ้ รียนไดเ้ ปลยี่ นอรยิ าบถ 9. ช่วยใหค้ ดิ คน้ ดว้ ยตนเอง และขยายประสบการณใ์ หก้ ว้างขวางขึ้น 10. ชว่ ยใหร้ ู้จักวิเคราะห์ วจิ ารณ์ และนำไปประยุกต์ใชไ้ ด้ 11. ชว่ ยให้ผ้เู รียนไดแ้ สดงความสามารถ ความถนัดและความสนใจ ดังนั้น ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจะต้องมีเทคนิค และวิธีการที่เหมาะสมในการนำ สิ่งต่าง ๆ มาจัดกิจกรรม รวมทั้งสื่อและวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้นักเรียนเกิดความสุขใจที่จะเรียนรู้ กิจกรรม ควรตอบสนองจุดมุง่ หมายของหลกั สูตรและพัฒนาการสอนนักเรียนทกุ ดา้ น 102

 ข้อควรคำนงึ ในการจัดกจิ กรรม  ตอ้ งตอบสนองความสามารถในการเรยี นรูข้ องผเู้ รียนได้อย่างทวั่ ถงึ  ผู้เรียนตอ้ งมสี ่วนร่วมและสนกุ สนาน  ผูเ้ รยี นตอ้ งคดิ เปน็ ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็น  ต้องตอบสนองพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปญั ญาของผ้เู รยี น  ตัวอยา่ งกจิ กรรม  แบ่งตามระดบั ชั้นของนักเรียน ❖ ระดบั ปฐมวัย กจิ กรรม สัตวเ์ ล้ียงแสนรกั วตั ถุประสงค์ เสรมิ สรา้ งความรกั ความมเี มตตากรณุ าต่อคนและสัตว์ วิธีดำเนินกิจกรรม ขน้ั นำ ผู้สอนให้เด็กรอ้ งเพลงเกี่ยวกบั สตั ว์เลย้ี ง ขนั้ ดำเนนิ การ 1. ผู้สอนสนทนากับเด็กถึงสัตว์เลี้ยงที่บ้านของเด็ก ๆ และให้ผลัดกันเล่าว่าสัตว์เลี้ยงเหล่าน้ัน เป็นอย่างไร แลว้ ใหเ้ ดก็ ๆ ชว่ ยกันสรุปว่า เราควรดูแลใหค้ วามสขุ แก่สัตวเ์ หล่านี้อย่างไรบ้าง การแสดงความรัก ที่เรามีต่อสัตว์เลี้ยงควรทำอย่างไร เช่น อุ้ม กอด ให้อาหาร ไม่รังแกสัตว์ให้เดือดร้อน และรักษาพยาบาล เม่ือสัตว์เจบ็ ปว่ ย 2. ผู้สอนสนทนากบั เดก็ ถึงพฤติกรรมแบบไหนทีเ่ รียกว่าไมร่ ังแกสัตว์ให้เดือดรอ้ น ขั้นสรปุ 1. ผ้สู อนให้นกั เรยี นสะทอ้ นความรูส้ ึกของตนเองตอ่ สตั ว์ 2. ผู้สอนให้นักเรียนเล่าในช่วงประสบการณ์ที่ผ่านมานักเรียนเคยเห็น เคยมีความรู้สึก หรือเคยมี พฤตกิ รรมการเลน่ หรอื รังแกกนั สัตว์ มาอยา่ งไรบา้ ง 103

กิจกรรม “อดทนต่อความโกรธ” วตั ถปุ ระสงค์ เข้าใจความรู้สกึ โกรธของตนเอง อปุ กรณ์ นิทาน “เออ ดี แลว้ กันไป” วิธดี ำเนินกิจกรรม ขั้นนำ ผู้สอนสนทนาซักถามเด็กว่าใครเคยถูกเพือ่ นวา่ หรือด่า หรือพูดให้โกรธบ้าง? เมื่อโกรธแล้วตอบโต้ อยา่ งไร? ขัน้ ดำเนินการ 1.ผู้สอนเลา่ นทิ าน เรื่อง “เออ ดี แล้วกันไป” ซ่ึงมใี จความยอ่ ๆ ดังนี้ “เด็กชายตึ๋งเป็นใบ้ เพราะหูหนวก ใครพูดอะไรก็ไม่ได้ยิน แต่ทำงานเก่ง วาดรูปสวย ส่งรูป ไปประกวดมักได้รับรางวัลเสมอ ต่อมาเด็กชายตึ๋งหัดพูดออกเสียงได้ 5 คำ คือ “เออ ดี แล้วกันไป” เด็กชายตึ๋ง จะพูดแต่คำ 5 คำนี้ทั้งวัน ใครพูดอะไรด้วย เด็กชายตึ๋งก็ตอบว่า “เออ ดี แล้วกันไป” วันหนึ่ง เดก็ อ่ืน ๆ ท่แี พ้ การประกวดวาดรูปพากนั มาด่าวา่ เดก็ ชายต๋ึงว่า ไอ้บา้ บ้าง ไอ้หนวกบา้ ง เดก็ ชายต๋ึงก็ตอบว่า “เออ ดี แล้วกันไป” เด็กบางคนก็ใส่ร้ายว่ากรรมการลำเอียง เห็นตึ๋งเป็นใบ้ก็เลยสงสารให้รางวัลไป ทง้ั ๆ ที่รปู ท่ีตึ๋งวาดไม่สวยเลย ตง๋ึ กต็ อบวา่ “เออ ดี แลว้ กนั ไป” ในทส่ี ุดเด็กใจร้ายคนหนง่ึ ได้เอาน้ำมาเทราด ลงบนรปู ท่ตี ึง๋ วาดคา้ งไว้ ตง๋ึ กย็ ังคงพดู วา่ “เออ ดี แลว้ กนั ไป” ปรากฏว่าสที ่ถี กู นำ้ ละลายไหลลงมา กลายเปน็ ภาพนำ้ ตกสวยงามแปลกตา รูปภาพของต๋งึ รูปนั้นกเ็ ลยชนะการประกวดไดร้ างวัลอีก 2. ผู้สอนให้เด็กช่วยกนั สรุปวา่ เด็กชายตึ๋งเป็นคนอดทนต่อความโกรธ คนที่อดทนต่อความโกรธได้ คอื คนท่ใี จเย็น รจู้ ักสะกดหรืออดกล้ันความโกรธได้ อยากจะดา่ แต่อดใจไว้ไม่ด่าตอบ ตาดูเห็นแล้วก็แล้วไป หูฟังได้ยิน เขาว่าเขาด่าก็ไม่ใส่ใจจำ ปล่อยให้เสียงมันผ่านไปเหมือนเด็กชายตึ๋ง ไม่ได้ยินอะไร ใครจะว่า อย่างไรก็ตอบว่า “เออ ดี แลว้ กนั ไป” แล้วถามเดก็ วา่ ใครจะทำไดอ้ ย่างเด็กชายต๋งึ บา้ ง 3. ผสู้ อนใหเ้ ด็กรอ้ งเพลง “อดทน” 104

วธิ ีดำเนนิ กจิ กรรม เพลง อดทน เน้ือร้องและทำนอง : ศ.อำไพ สจุ รติ กลุ อดทน อดทน อดทน ทุกคนรู้จกั อดกลนั้ อารมณท์ ง้ั หลายคลายพลัน จิตสขุ สนั ตเ์ ม่ือเราอดทน (ท่มี า : http://www.pecerathailand.org/2018/01/664.html....) ขั้นสรปุ 1. ผ้สู อนสรปุ นิทาน “เออ ดี แล้วกันไป” 2. ผู้สอนใหน้ ักเรยี นสะท้อนความรู้สึกของตนเองต่อนิทาน 3. ผู้สอนให้นักเรียนเล่าในช่วงประสบการณ์ที่ผ่านมานักเรียนเคยเห็น เคยมีความรู้สึก หรือเคยมี พฤติกรรมการเล่นหรือรังแกกนั มาอยา่ งไรบา้ ง 4. ผสู้ อนพดู คุยกับนักเรยี นวา่ ในอนาคต ถา้ นักเรยี นพบเห็นหรอื เจอเหตุการณ์การเลน่ หรือรังแกกัน หรอื มคี วามรสู้ ึก อยา่ งน้ี นกั เรยี นจะมแี นวทางปฏบิ ัติอย่างไร 105

❖ ระดับประถมศกึ ษาตอนตน้ กจิ กรรม รจู้ กั และเข้าใจ ไม่รังแกกนั วัตถปุ ระสงค์ เขา้ ใจพฤติกรรมความรุนแรง อุปกรณ์ 1. บัตรภาพพฤติกรรม 10 ภาพ ประกอบด้วย (ทมี่ า : คมู่ อื ปฏิบตั สิ ำหรบั การดำเนนิ การป้องกนั และจดั การการรังแกกันในโรงเรียน, 2561) 2. กระดาษคำตอบ (ทม่ี า : คมู่ ือปฏบิ ตั สิ ำหรับการดำเนินการป้องกันและจดั การการรงั แกกนั ในโรงเรยี น, 2561) 106

วธิ ีดำเนินกจิ กรรม ขัน้ นำ 1. ชีแ้ จงวัตถปุ ระสงค์ของการทำกิจกรรม “รจู้ กั และเข้าใจ ไมร่ งั แกกนั ” 2. ผสู้ อนให้นกั เรยี นชว่ ยกันยกตวั อย่างของพฤติกรรมรงั แกกัน ขั้นดำเนนิ การ 1. ผสู้ อนนำตวั อย่างบัตรภาพให้นักเรยี นดู และตอบคำถามตามประเด็น ดงั ต่อไปน้ี  ภาพนเี้ ป็นพฤติกรรมการเลน่ หรือรงั แกกัน  ใครเป็นผู้รังแกหรือผู้ถูกรังแก พร้อมกับให้เด็กสะท้อนความรู้สึกของการเป็นผู้รังแกหรือ ผู้ถกู รังแก  ภาพนี้เป็นการรังแกประเภทใด  ในช่วงประสบการณ์ที่ผ่านมานักเรียนเคยเห็น เคยมีความรู้สึก หรือเคยมีพฤติกรรม การเล่นหรอื รงั แกกัน มาอย่างไรบ้าง  ในอนาคต ถ้านักเรียนพบเห็นหรือเจอเหตุการณ์การเล่นหรือรังแกกัน หรือมีความรู้สึก อย่างน้ี นักเรยี นจะมแี นวทางปฏิบัตอิ ย่างไร วธิ ีการทำกิจกรรม 1. ผู้สอนแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน และแจกบัตรภาพ พฤติกรรมกลุ่มละ 1 ชุด และตารางใส่คำตอบ 2. ให้แต่ละกลุม่ นำบตั รภาพพฤตกิ รรมไปตดิ ในตารางคำตอบ 3. ผสู้ อนชวนนกั เรยี นพูดคยุ เก่ียวกบั ลกั ษณะพฤตกิ รรมของแตล่ ะภาพ พรอ้ มเฉลยคำตอบ ขน้ั สรปุ 1. ผูส้ อนเลอื กบตั รภาพพฤตกิ รรมมา 2-3 ภาพ และชักชวนพดู คุย ตามประเดน็ ตอ่ ไปน้ี  ภาพนเ้ี ปน็ พฤตกิ รรมการเล่นหรือรงั แกกนั  ใครเป็นผู้รังแกหรือผู้ถูกรังแก พร้อมกับให้เด็กสะท้อนความรู้สึกของการเป็นผู้รังแกหรือ ผู้ถกู รังแก  ภาพนเ้ี ปน็ การรังแกประเภทใด  ในช่วงประสบการณ์ที่ผ่านมานักเรียนเคยเห็น เคยมีความรู้สึก หรือเคยมีพฤติกรรม การเลน่ หรือรงั แกกัน มาอยา่ งไรบา้ ง  ในอนาคต ถ้านักเรียนพบเห็นหรือเจอเหตุการณ์การเล่นหรือรังแกกัน หรือมีความรู้สึก อย่างนี้ นักเรยี นจะมแี นวทางปฏิบตั อิ ยา่ งไร 107

❖ ระดับชัน้ ประถมศกึ ษาตอนปลาย กจิ กรรม คนละบทบาท วตั ถปุ ระสงค์ เข้าใจพฤตกิ รรมความรนุ แรง อปุ กรณ์ 1. บตั รสถานการณก์ ารรังแก เหตกุ ารณท์ ่ี 1 เหตกุ ารณ์ท่ี 2 นักเรียนชายรุ่นพี่ชั้น ป.5 จำนวน 5 คน กลุ่มนักเรียนหญิงชั้น ป.5 ให้เพื่อนนักเรียนชายร่วมชั้น ไปหลอกนักเรียนชาย ป.4 จับกลุ่มกันยืนแซวนักเรียนในชั้นเรียน ที่ดูสุภาพเรยี บร้อยและมักถูกล้อเลยี น คนหนึ่ง มารุมทำร้ายในห้องน้ำชายที่อยู่หลังโรงเรียน อยเู่ ปน็ ประจำวา่ เปน็ เพศท่สี าม และหลังจากนั้นเด็กชายชั้น ป.4 คนนี้มักถูกรีดไถเงินอยู่ เป็นประจำ เหตุการณ์ที่ 3 เหตุการณ์ที่ 4 นักเรียนหญิงชั้น ป.4 ซึ่งเป็นเด็กที่เรียนช้า นักเรียนชายชั้น ป.6 นำ มักสอบได้ลำดับท้ายของห้อง ถกู กลมุ่ เพอ่ื นปฏเิ สธไม่ให้ มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเพื่อนหญิงร่วมช้ัน เข้ากลมุ่ ทำกจิ กรรมร่วมกนั ในหลายวิชา ขณะทำกิจกรรมแต่นั่งไม่เรียบร้อย จนเห็นกางเกงชั้นใน แล้วนำภาพนั้น เหตกุ ารณ์ท่ี 5 ไปโพสต์ในสังคมออนไลน์พร้อม กลุ่มนักเรียนชั้น ป.5 จับกลุ่มกันเล่นกิจกรรม ขอ้ ความลอ้ เลียน “โอน้อยออก” โดยมีกฎว่าผู้แพ้จะถูกลงโทษ โดยการลุม คดั มะกอก จากเพื่อนที่ชนะบตั รสถานการณ์การเลน่ ปกติ (หมายเหตุ : ทุกคนในกลุ่มต้องมีส่วนร่วมในการแสดง บทบาทสมมติ ) 108

วธิ ีดำเนนิ กิจกรรม ขั้นนำ 1. ชี้แจงวตั ถุประสงคข์ องการทำกจิ กรรม “คนละบทบาท” ขั้นดำเนินการ 1. ผูส้ อนแบ่งกลุ่ม 5-6 คน และใหต้ วั แทนแตล่ ะกล่มุ จบั ฉลากบตั รสถานการณ์ 2. ให้แต่ละกลุ่มวางแผนในการแสดงบทบาทสมมติที่ได้ 5 นาที พร้อมกับวิเคราะห์สถานการณ์ ตามประเดน็ ดังตอ่ ไปนี้  ภาพนี้เป็นพฤตกิ รรมการเล่นหรือรังแกกัน  ใครเป็นผู้รงั แกหรือผู้ถูกรงั แก  ภาพน้ีเป็นการรงั แกประเภทใด 3. แต่ละกล่มุ แสดงบทบาทสมมติ กลมุ่ ละ 5-10 นาที หลังจากน้นั ใหต้ อบคำถามตามประเด็นใน ข้อ 2 4. ผู้สอนใหน้ ักเรียนสะทอ้ นความร้สู ึกของบทบาทท่ตี นเองได้รบั  ผู้รงั แก  ผู้ถกู รังแก  ผู้พบเห็นเหตุการณ์ 5. ในช่วงประสบการณ์ที่ผา่ นมานักเรียนเคยเห็น เคยมีความรสู้ ึก หรอื เคยมพี ฤติกรรมการเล่นหรือ รงั แกกัน มาอยา่ งไรบ้าง 6. ในอนาคต ถ้านักเรียนพบเห็นหรือเจอเหตุการณ์การเล่นหรือรังแกกัน หรือมีความรู้สึกอย่างนี้ นกั เรยี นจะมีแนวทางปฏิบัตอิ ยา่ งไร ขัน้ สรุป 1. ผสู้ อนสรุปเก่ียวกับความแตกตา่ งของการรังแกและการเล่นกนั 2. ผู้สอนใหน้ กั เรียนสะทอ้ นความรูส้ กึ ของบทบาทท่ตี นเองได้รับ  ผ้รู ังแก  ผูถ้ กู รงั แก  ผพู้ บเห็นเหตกุ ารณ์ 3. ในช่วงประสบการณท์ ี่ผา่ นมานักเรียนเคยเห็น เคยมีความร้สู ึก หรือเคยมีพฤติกรรมการเล่นหรือ รังแกกนั มาอย่างไรบ้าง 4. ในอนาคต ถ้านักเรียนพบเห็นหรือเจอเหตุการณ์การเล่นหรือรังแกกัน หรือมีความรู้สึกอย่างน้ี นักเรยี นจะมแี นวทางปฏิบัติอยา่ งไร 109

❖ ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาตอนตน้ กิจกรรม หนา้ ตา่ งแหง่ โอกาส วัตถุประสงค์ เพื่อให้นักเรียนได้สำรวจความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับการรังแกกัน และตระหนักรู้ว่า มมุ มองและการตัดสนิ ใจของตนเองนัน้ มผี ลตอ่ การแก้ปัญหาและชว่ ยเหลือเพื่อน เมอื่ เกดิ สถานการณ์รังแกกัน อุปกรณ์ ใบเหตกุ ารณ์ตัวอย่าง วิธกี ารดำเนนิ กิจกรรม นักเรียนไดส้ ำรวจความเข้าใจของตนเองในเร่ืองการรงั แกกัน และร่วมรับฟงั ความคดิ เห็นของเพื่อน นำไปสู่การตระหนักรู้ว่าแต่ละบุคคลมีมุมมองความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับสถานการณ์การรังแกกัน อย่างไร และการตัดสินว่าสถานการณ์นั้นเป็นการรงั แกกันหรือไม่ ย่อมมีผลต่อการแก้ปัญหาตนเองและการ ชว่ ยเหลือเพ่อื น ทั้งในดา้ นบวกและดา้ นลบ เหตุการณต์ ัวอย่าง เหตุการณท์ ี่ 1 ทุกคร้งั ทีส่ ้มเดินผ่านแตงโม ส้มจะจเ้ี อวแตงโมทุกคร้ัง เหตกุ ารณท์ ี่ 2 นทั บอกเพ่ือนๆในห้องวา่ พ่อแม่ของแจนเลกิ กนั แลว้ เหตกุ ารณ์ท่ี 3 แนนแอบถ่ายรปู น้ำตอนหลบั และเอาไปโพสต์ใน Facebook เหตุการณท์ ่ี 4 ฟา้ กบั รุ้งไมย่ อมให้น้ำฝนเล่นดว้ ย เหตกุ ารณท์ ่ี 5 ตาลไมค่ ยุ กบั แบมมาเป็นอาทิตย์แล้ว 110

เหตกุ ารณท์ ี่ 6 ฟลคุ๊ บอกไผ่วา่ ให้ใชย้ าดับกล่ินกายบ้างนะ เหตุการณ์ที่ 7 เพ่ือนในหอ้ งชอบเรียกเกศรินทรว์ ่า “กนิ เสลด” แต่เธอไม่สนใจ เหตกุ ารณท์ ่ี 8 รนุ่ พี่ไมย่ อมให้คนอน่ื ใชส้ นามฟุตบอล แมใ้ นช่วงที่ตนไม่ได้ใชส้ นาม ร่นุ พ่ีก็จะเอาลูกฟตุ บอลติดตวั ไปดว้ ย เหตุการณท์ ี่ 9 จอร์ชเลย้ี งไก่อยู่ท่ีบ้าน เพ่อื น ๆ จงึ เรียกจอร์ชวา่ จ้อย เหตกุ ารณท์ ี่ 10 มะมว่ งยมื เงินโจห้ ลายครั้งและไม่เคยคนื เลย หมายเหตุ : จำนวนสถานการณ์ที่นำไปใช้ทำกิจกรรมสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับเวลา ที่กำหนดไว้ในการทำกจิ กรรมได้ 1. จัดทีน่ ั่งสำหรับนกั เรยี นทัง้ หมดเป็นวงกลม 2. วทิ ยากรกล่าวทักทายสมาชกิ และชี้แจงแนวทางการทำกิจกรรม ดังน้ี “ขอให้นักเรียนทุกคนฟังข้อความที่เป็นสถานการณ์ตัวอย่างทีละข้อความ จากน้ัน ขอให้นักเรียนตัดสินใจโดยไม่ต้องปรึกษากันว่าสถานการณ์นั้นเป็นการรังแก หรือไม่รังแกกัน” เม่ือวิทยากรอ่านสถานการณ์ตวั อยา่ งจบในแตล่ ะข้อ ใหต้ ามดว้ ยคำสัง่ ต่อไปน้ที กุ ขอ้ “ขอให้นักเรียนยกมือขึ้น หากคิดว่าข้อความที่อ่านเป็นการรังแกกัน” จากน้ั น ขออาสาสมัครนักเรียนประมาณ 2 – 3 คน อธิบายเหตุผลว่า “เพราะอะไรถึงคิดว่าเป็นการรังแก กัน” จากน้ันวทิ ยากรสรุปประเด็นสำคญั ทีน่ ักเรียนใหเ้ หตุผลอกี ครง้ั 111

“ขอใหค้ ณุ ครูยกมือข้ึน หากเห็นว่าข้อความที่อา่ นไม่เปน็ การรังแกกัน” จากนนั้ ขออาสาสมัครนักเรียนประมาณ 2 – 3 คน อธิบายเหตุผลว่า “เพราะอะไรถึงคิดว่าไม่เป็นการ รังแกกัน” จากนั้นวิทยากรสรปุ ประเด็นสำคัญที่นักเรียนให้เหตุผลอีกครั้ง วิทยากรกล่าวสรปุ โดยเนน้ ให้ นักเรยี นเหน็ วา่ ในแต่ละสถานการณบ์ างคนอาจคดิ ว่าเปน็ แคก่ ารเลน่ กนั แต่บางท่านก็คิดวา่ เปน็ การรังแก กัน 3. วิทยากรกล่าวสรุปกิจกรรม โดยชี้ให้เห็นว่านักเรียนแต่ละคนมีความคิดเห็นแตกต่างกันใน เรื่องการรังแกกนั และความเข้าใจท่ีแตกต่างกนั นี้ มีผลต่อมุมมองความคิดเหน็ ต่อสถานการณ์หนึง่ มีทั้ง ท่เี ห็นเหมือนกัน และเหน็ ต่างกนั ซึ่งขึ้นอยู่กับการเรียนรู้และประสบการณ์ของแต่บคุ คลที่ได้สัมผัสมาจน นำไปสู่การตัดสินในทีส่ ดุ ซึ่งการตัดสินว่าพฤติกรรมนัน้ เป็นการรังแกหรือไม่ รวมไปถึงตัดสนิ ว่าถกู หรอื ผิดนั้น มีผลต่อรูปแบบการแก้ไขปัญหา ทั้งด้านบวกและด้านลบ ดังนั้นหากเกิดสถานการณ์รังแกกัน ขึ้นมา สิ่งสำคัญที่ควรทำคือเพิ่มมุมมองการรับรู้ของปัญหาที่เกิดขึ้น โดยการหาที่มาและผลกระทบที่ เกิดขึ้นก่อนทจ่ี ะตดั สนิ เพื่อนำไปสูก่ ารแกป้ ัญหาอยา่ งมีประสิทธิภาพ 112

❖ ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย กจิ กรรม ปรอทความรุนแรง วตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื ใหน้ กั เรียนเข้าใจความหมายของการรงั แกกัน และตระหนักว่าทศั นคตแิ ละความเข้าใจท่ี แตกตา่ ง มผี ลกับการใหร้ ะดบั ความรนุ แรงตอ่ เหตกุ ารณ์การรงั แกกนั ทแี่ ตกต่างออกไป วิธีการดำเนนิ กิจกรรม กิจกรรมนำ 1. วิทยากรกล่าวทักทายนักเรียน และชี้แจงดังนี้ “ขอให้ทุกคนเดินซ้อนกันเป็นวงกลม ให้ใช้ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายสัมผัสกัน เพื่อการทักทายอีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่พูดกัน และไม่บอกล่วงหน้า เช่น เอามอื ตกี นั เอาไหล่ชนกัน” 2. วิทยากรสุ่มถามนักเรยี นประมาณ 3 – 4 คน ดงั นี้  “รสู้ กึ อยา่ งไรทีม่ ีคนมาสมั ผสั ”  “ชอบไหมหากอีกฝา่ ยสมั ผัสรุนแรง”  “โกรธไหมหากอกี ฝ่ายสมั ผสั รุนแรง” หากสมาชกิ บอกวา่ โกรธ ใหถ้ ามตอ่ ว่า “เพราะอะไรถึงโกรธ” แต่หากสมาชิกบอกว่า ไมโ่ กรธถามต่อว่า “เพราะอะไรถึงไม่โกรธ” 3. วิทยากรกล่าวสรุปคำตอบและความคิดเห็นของนักเรียน และเชื่อมโยงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ของพฤติกรรมการใชค้ วามรนุ แรงกบั ผลลพั ธท์ ต่ี ามมา ดังน้ี “เมือ่ มีการกระทบกระท่ังกัน ไมว่ า่ จะทำดว้ ยเจตนาหรือไม่ อาจสง่ ผลตอ่ ความรู้สกึ ของ ผถู้ ูกกระทำ ซ่งึ จะรู้สึกอย่างไรก็ข้ึนอยู่กบั มุมมอง การรบั ร้จู ากประสบการณเ์ ดิมของตนเอง” อปุ กรณ์  กระดาษ A4  ปากกา / ดินสอ ปากกาเมจิก  ฟลิปชาร์ท 113

แนวคดิ สำคัญของกิจกรรม นักเรียนมีความเข้าใจความหมายของคำว่า “การรังแกกัน” และตระหนักว่าความเข้าใจเกี่ยวกับ สถานการณ์การรังแกกัน ทัศนคติ และประสบการณ์เดิมของแต่ละบุคคลนั้นมีผลต่อการให้ระดับ ความรุนแรงของสถานการณ์รังแกกนั กจิ กรรมหลกั 1. วิทยากร ให้นักเรียนจับกลมุ่ กลุ่มละ 6 – 7 คน 2. วิทยากรให้คำชี้แจง “อยากให้นักเรียนย้อนกลับไปช่วงวัยเด็ก ชั้นเรียนไหนก็ได้ เคยมี ประสบการณ์ถูกรังแก หรือมีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์การรังแกกันแบบใดบ้าง ให้เขียนถึงสถานการณ์น้ัน แบบส้นั ๆ ใสก่ ระดาษ โดยองคป์ ระกอบของขอ้ ความทีเ่ ขยี น คือ มีผู้กระทำพฤติกรรม และผู้ถูกกระทำ” 3. วิทยากรให้แตล่ ะกลุ่มแบง่ ปันเรอื่ งราวของตนเองภายในกลมุ่ ทุกคน ประมาณ 10 นาที 4. วิทยากรให้แต่ละกลุ่มคัดเลือกสถานการณ์ที่น่าสนใจ 1 สถานการณ์ และเล่าให้กลุ่มอื่นฟัง จากน้ันวทิ ยากรอธบิ ายคำจำกดั ความของการรงั แก โดยสรุปดงั น้ี “การรังแกกัน (bullying) ประกอบด้วย 3 องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่  มงุ่ ร้าย ต้ังใจทำร้ายจติ ใจหรอื ร่างกาย เช่น ตง้ั ใจ ทำร้ายผอู้ ่ืน  พฤติกรรมที่เกดิ ขน้ึ ซ้ำ ๆ  มักมพี ื้นฐานมาจากการมีอำนาจเหนือกว่า เชน่ ร่างกายแขง็ แรงกวา่ หรือสถานะทางสังคม เหนอื กวา่ ” 5. วิทยากรเขียนสถานการณ์ที่แต่ละกลุ่มเลือกบนฟลิปชาร์ท และชี้แจงสมาชิก ดังนี้ “ขอให้ นักเรียนปรึกษากันภายในกลุ่ม และส่งตัวแทนออกมาระบายสีความรุนแรงในปรอทความรุนแรงของ เหตุการณ์นั้นตามความรู้สึกว่าอยู่ในระดับเท่าไร จาก 0 – 5 โดย 0 คือรู้สึกว่าไม่มีความรุนแรงเลย และ 5 คือ รู้สึกว่ามีความรุนแรงมากที่สุด ขอให้ทำจนครบทุกสถานการณ์” (วิทยากรวาดปรอทความรุนแรงตาม จำนวนกลุ่มท่มี ีทงั้ หมดในแต่ละสถานการณ์) 114

(ท่ีมา : คมู่ ือปฏบิ ัตสิ ำหรบั การดำเนนิ การปอ้ งกันและจดั การการรงั แกกนั ในโรงเรียน, 2561) 6. เมื่อทุกกลุ่มให้คะแนนความรุนแรงทุกสถานการณ์แล้ว วิทยากรกล่าว สรุปสั้น ๆ ดังนี้ “ในสถานการณ์การรังแกเดียวกัน นักเรียนแต่ละคนอาจจะมีความรู้สึก หรือความคิดเห็นต่อสถานการณ์ แตกตา่ งกันได”้ 7. วทิ ยากรสุ่มถามนักเรียนประมาณ 2 – 3 คน ในประเดน็ ดังน้ี  “นักเรียนคิดวา่ คนท่ีให้คะแนนความรุนแรงในระดับต่ำ เชน่ 0 – 1 เขาจะแสดงออก หรือ ปฏิบตั ติ ่อเหตุการณ์การรังกันต่างจากผใู้ หค้ ะแนนความรุนแรงในระดับท่สี งู เช่น 4 – 5 อย่างไร”  “นักเรียนคิดวา่ ความรุนแรงของการรังแกกันระดบั ใดท่ีท่านคิดว่าควรจะเขา้ ไปช่วยเหลือ จาก 0 – 5” 8. วิทยากรกลา่ วสรปุ กิจกรรม 115

 แบ่งตามรายด้าน ❖ ด้านวชิ าการ กิจกรรมท่ี 1 ประชันแตง่ โคลงส่ีสภุ าพ หวั ข้อ “ไมก่ ลนั่ แกลง้ กัน” จดุ ประสงค์ 1. นักเรียนได้ฝกึ แตง่ โคลงสส่ี ุภาพอย่างถกู ต้องตามฉันทลักษณ์ ในวชิ าภาษาไทย 2. นักเรียนได้สะท้อนปัญหาและแนวทางการแก้ไขเรื่องการกลั่นแกล้งรังแกกันในโรงเรียน ในขอบเขตเนื้อหา 4 ด้าน ดังนี้ การกลั่นแกล้งทางกาย การกลั่นแกล้งทางวาจา การกลั่นแกล้งทางสังคม การกล่นั แกลง้ ทางออนไลน์ วธิ ีการดำเนนิ กจิ กรรม 1. ใหน้ กั เรยี นแตง่ โคลงส่สี ภุ าพคนเดียว/นักเรยี นช่วยทำงานเป็นกลมุ่ 2. เมือ่ ผลงานเสรจ็ เรียบรอ้ ย ใหน้ ักเรยี นมานำเสนอหนา้ ช้ันเรียนปกติ หรือชัน้ เรียนออนไลน์ 3. นกั เรียนสามารถร่วมโหวตลงคะแนนใหเ้ พื่อนเลือกโคลงทต่ี นเองชื่นชอบ พรอ้ มใหเ้ หตผุ ลประกอบ 4. นำแสดงผลงาน โดยจัดนิทรรศการ หรือเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้ชื่นชมผลงานบนโลกออนไลน์ เช่น บนเฟสบคุ๊ เปน็ ตน้ ตวั อย่าง แผนผงั โคลงสีส่ ภุ าพ 116

ตวั อย่าง คำประพันธ์โคลงสี่สุภาพ ๏ เสยี งลอื เสยี งเลา่ อ้าง อันใด พเี่ อย เสยี งยอ่ มยอยศใคร ทั่วหลา้ สองเขือพีห่ ลับใหล ลมื ตน่ื ฤๅพี่ สองพ่ีคิดเองอา้ อย่าได้ถามเผือ (ลลิ ติ พระลอ) ตวั อยา่ งโคลงสี่สภุ าพ ด้านการกลน่ั แกล้งทางกาย ๏ บดิ หยิกหยอกข่วนหนา้ ทกุ วัน พีเ่ อย ทำบ่อยเจ็บใจกนั ยอ่ มบ้า โดนตบไม่ขำขนั ตาสวา่ ง เลยพ่ี ชอบขว่ นคนอน่ื ให้ ข่วนก้นตัวเอง ตวั อยา่ งโคลงสส่ี ภุ าพ ด้านการกล่ันแกลง้ ทางวาจา ๏ เจอกันชอบกลั่นแกล้ง ทุกวัน พ่เี อย แซวบอ่ ยให้อายกัน ท่วั หอ้ ง ชอบอำว่าให้ฉนั มุขเกา่ นะพี่ ชอบส่ง Line Add ให้ อยา่ ได้ แกงกนั 117

กจิ กรรมที่ 2 Anti-bully questions จุดประสงค์ 1. นักเรยี นไดฝ้ กึ การอา่ นประโยคภาษาอังกฤษ 2. นกั เรยี นได้สะท้อนปญั หาและแนวทางการแก้ไขเรื่องการกล่ันแกล้งรังแกกัน วิธีการดำเนินกิจกรรม เล่นตั้งประโยคคำถามภาษาองั กฤษ จากสถานการณท์ ีก่ ำหนดให้ ใบงานกจิ กรรมที่ 2 Anti-bully questions ชื่อ................................................................................................................ ช้นั ............... เลขท่ี.......... (ทม่ี า: https://edgames.cfapp.org/en-question) 118

❖ ด้านทักษะอาชพี กิจกรรมที่ 1 จบั เข่าคยุ ขา่ ว กับนกั ข่าว จุดประสงค์ 1. นกั เรยี นไดฝ้ กึ การติดตามสืบคน้ ข่าวสารในประเด็นการกลัน่ แกลง้ รังแกกันในโรงเรยี น ท่ีเป็นข่าว ในสังคมไทยในปัจจุบันในโลกอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนรับรู้สถานการณ์ รเู้ ท่าทันเพ่ือป้องกันไม่ให้ตนเอง ตกเป็นเหย่ือถูกกล่ันแกลง้ และไมเ่ ปน็ ผทู้ ี่กลั่นแกลง้ คนอนื่ 2. นักเรียนได้มีโอกาสคิด และแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นข่าวที่ตนเองเลือก เพื่อฝึกทักษะให้ เป็นผู้คดิ เปน็ และนำเสนอเป็น 3. นักเรยี นไดฝ้ ึกทักษะการสืบคน้ ขอ้ มลู และไดฝ้ กึ ทกั ษะการสรุปย่อใจความสำคญั วธิ กี ารดำเนินกิจกรรม ใหน้ ักเรยี นวิเคราะหข์ า่ วการกล่นั แกล้งรังแกกันท่สี ง่ ผลก่อเหตกุ ารณ์รนุ แรงทีน่ กั เรียนสนใจอยากจะ นำมาเสนอใหค้ รแู ละเพอ่ื นฟงั ในชน้ั เรียน โดยจะแบ่งเปน็ กลุ่ม หรอื ทำงานคนเดยี วก็ได้ 119

ตัวอย่าง ข่าวนักเรยี น ม.1 ขโมยปนื พอ่ ยงิ เพื่อนในหอ้ งเรยี นที่ชอบล้อเลียนวา่ เขาเปน็ ตุด๊ จนเสยี ชวี ิต (ท่มี า: https://www.thairath.co.th/news/society/1729051) จากนั้นนักเรียนหาสาเหตุแรงจูงใจและวิธีป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เกิดซ้ำได้อีก โดยเขียนใส่ กระดาษและตอบคำถาม เสร็จแล้วครูจะเรียกสุ่มตัวแทนเพื่ออภิปรายร่วมกันกับครู และเรียงกลุ่มข่าว ทต่ี ่างกัน จากนั้นช่วยแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม 120

ใบงานกจิ กรรมที่ 1 จบั เขา่ คยุ ข่าว กับนักข่าว ช่ือ................................................................................................................ ชั้น............... เลขท่ี.......... 1. ระบหุ วั ขอ้ ข่าว และเหตใุ ดจงึ สนใจประเด็นน้ี (5 คะแนน) ........................................................................................................................................................ ................. ............................................................................................................................................................... .......... ........................................................................................................................ ................................................. ........................................................................................................................................................ ................. ................................................................................................................................................................. ........ 2. สรปุ และเล่าเรื่องโดยยอ่ ของเหตุการณ์ในขา่ วใหส้ ้นั กระชบั ได้ใจความ ไมเ่ กนิ 5 บรรทดั (5 คะแนน) ........................................................................................................................................................ ................. ................................................................................................................. ........................................................ ........................................................................................................................................................ ................. .......................................................................................................................................................... ............... ................................................................................................................... ...................................................... 3. นกั เรียนคดิ ว่าอะไรเป็นสาเหตใุ ห้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว (5 คะแนน) ........................................................................................................................................................ ................. ........................................................................................................................................................ ................. ................................................................................................................. ........................................................ 4. นกั เรียนคดิ ว่ามีวิธปี ้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณด์ ังกลา่ วอย่างไร (5 คะแนน) 1) ........................................................................................................................................................... 2) ........................................................................................................................................................... 3) ........................................................................................................................................................... 4) ........................................................................................................................................................... 5) ........................................................................................................................................ ................... รวมคะแนน คะแนนการทำงานสบื ค้นและการวเิ คราะห์ คะแนนเตม็ 20 คะแนน ได้.............. คะแนน คะแนนในการนำเสนอ คะแนนเต็ม ..................คะแนน ได้ .................. คะแนน 121

กจิ กรรมที่ 2 นักสบื ไซเบอร์ จุดประสงค์ 1. นักเรยี นไดร้ ้เู ทา่ ทันรปู แบบการกล่ันแกล้งรงั แก หรือระรานทางไซเบอร์ 2. นักเรียนได้ฝึกทำงานคนเดียว และทำงานเป็นทีม ที่จำเป็นสำหรับนักเรียนที่สนใจและชื่นชอบ อาชพี นักสืบ วธิ กี ารดำเนินกิจกรรม ใหน้ ักเรยี นสวมบทบาทการเปน็ นกั สบื ไซเบอร์ โดยทนี่ ักสืบแต่ละคนจะไดร้ บั ภารกจิ คอื ตอ้ งทำการ ค้นหารูปแบบการกลั่นแกล้งรังแก หรือระรานทางไซเบอร์ แล้วนำข้อมูลที่ได้มานำเสนอแลกเปลี่ยนกันกับ เพื่อนนกั สบื คนอ่นื จากนัน้ ใหท้ กุ คนช่วยกันประมวลผลขอ้ มูลท่ไี ปสืบมาได้ สรุปจดั เรียงประเดน็ ให้ชดั เจน หลังกิจกรรมครูสรุปความรู้เรื่อง รูปแบบของการกลุ่นแกล้งกันทางไซเบอร์ (Cyber Bullying) ให้นักเรียนฟัง 122

ใบความรู้กิจกรรมท่ี 2 เร่ือง รปู แบบของการกล่ันแกล้งกันทางไซเบอร์ (Cyber Bullying) รูปแบบของการกลั่นแกล้งกันทางไซเบอร์ (Cyber Bullying) เป็นการตั้งใจทำร้ายบุคคลหรือ กลุ่มบุคคล ซึ่งกระทำผา่ นทางโลกไซเบอร์ สอื่ สังคมออนไลน์ คอมพวิ เตอร์ หรอื โทรศัพท์ ดงั น้ี  คำพูด จิตใจ โพสตด์ า่ ว่า ดูหม่ินผู้อื่น โพสตข์ ้อความเหยยี ดทำให้เสยี ใจ หรือบงั คบั ให้ ทำส่ิงตา่ ง ๆ โดยข่มขู่  ทำให้อบั อาย โพสต์ข้อความ ภาพ หรอื วดี โี อ ทำให้เกดิ ความอับอาย  สงั คม กีดกันคนออกจากกลุ่มสอื่ สงั คมออนไลน์ ใหร้ ้ายเพ่ือนให้ผอู้ ่ืนเกลียดชงั  เพศ ส่งข้อความ รปู ภาพ หรือวีดโี อเก่ียวกบั เร่ืองทางเพศ โดยทผ่ี อู้ ่นื ไมต่ อ้ งการ  ทรพั ย์สนิ ลอ่ ลวงใหเ้ สยี ทรัพย์ ตวั อย่างของการกลั่นแกล้งบนโลกไซเบอร์ 1. ส่งขอ้ ความข่มขหู่ รือหยาบคายทางอเี มล หรือสง่ SMS หรือในกลอ่ งข้อความ 2. ใช้อุบายใหผ้ อู้ ่ืนเปดิ เผยข้อมลู สว่ นตวั หรอื ความลบั ทีน่ ่าอาย แลว้ นำไปเผยแพร่ ต่อในสงั คมออนไลน์ 3. สรา้ งเวบ็ ไซต์หรือเพจตอ่ ต้าน หรอื ล้อเลียนเพื่อนที่ช้ันเรียน 4. สรา้ งแฟนเพจเพอื่ เปรียบเทียบวา่ ใครสวยทีส่ ุด และหน้าตาแยท่ ี่สดุ ในโรงเรยี น 5. โพสต์ข้อความหรือรูปภาพเพื่อกลนั่ แกล้งผา่ นส่ือออนไลนใ์ น Facebook, YouTube, Twitter และ Line (ท่ีมา: คมู่ อื ผบู้ รโิ ภคเทา่ ทนั สอ่ื โครงการพัฒนากลไกเครอื ข่ายผ้บู รโิ ภคเฝ้าระวังและเท่าทนั สือ่ จงั หวัดสงขลา ในยุคหลอมรวม สนับสนุนโดย กองทนุ พฒั นาสอ่ื ปลอดภยั และสรา้ งสรรค์, 2564) 123

ใบงานกิจกรรมที่ 2 นกั สบื ไซเบอร์ ชือ่ ................................................................................................................ ชั้น............... เลขท.่ี ......... 1. ให้นักสบื คน้ หารปู แบบการกลน่ั แกลง้ รงั แก หรือระรานทางไซเบอร์ ใหไ้ ด้มากท่สี ุด และเขยี นข้อมลู ลงใน กระดาษน้ี ........................................................................................................................................................ ................. ................................................................................................................. ........................................................ ........................................................................................................................................................ ................. .......................................................................................................................................................... ............... ................................................................................................................... ...................................................... ........................................................................................................................................................ ................. ............................................................................................................................................................ ............. ..................................................................................................................... .................................................... ........................................................................................................................................................ ................. .............................................................................................................................................................. ........... ....................................................................................................................... .................................................. ........................................................................................................................................................ ................. ........................................................................................................................................................ ................. ......................................................................................................................................................................... 2. ใหน้ ักสบื ค้นนำข้อมูลท่ีไดม้ าแลกเปลยี่ นกบั เพื่อน แลว้ ช่วยกันสรุปใหไ้ ด้ข้อมูลท่ีครบถว้ นมากทส่ี ุด ......................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................ ................. ........................................................................................................................................................ ................. ......................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................ ................. ........................................................................................................................................................ ................. ......................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................ ................. ........................................................................................................................................................ ................. 124

❖ ด้านทกั ษะชวี ิต แนวคิดการพฒั นาทกั ษะชีวิต มนุษย์เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศ ดังนั้น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์หรือ พฒั นา “คน” ตอ้ งทำอยา่ งต่อเนื่องตลอดชีวิตตง้ั แต่อยู่ในครรภ์มารดาสวู่ ัยเด็ก วยั รนุ่ วัยทำงาน และวัยชรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่นเป็นวัยที่จะต้องมีการปลูกฝังการส ร้างคุณค่าให้กับตนเองและ คณุ ค่าความเปน็ มนุษย์ ในขณะเดยี วกันกจ็ ะไดร้ ับการพฒั นาทักษะชีวติ เพ่ือ เป็นภูมคิ ุ้มกันความเสี่ยงในการ ดำเนินชีวิตทง้ั ปัจจุบันและอนาคต หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กำหนดให้ ทักษะชีวิตเป็นสมรรถนะสำคัญที่ผู้เรียนทุกคนพึงได้รับการพัฒนาทั้งทางด้านความรู้ ความรู้สึกนึกคิด ให้รู้จักสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล รู้จักจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ปรับตัว ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม รู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผล กระทบต่อตนเองและผู้อื่น ป้องกันตนเองในภาวะคบั ขัน และจัดการกับชีวิตอย่างมปี ระสิทธิภาพสอดคล้อง กับวฒั นธรรมและสังคม ดังนั้น เพื่อให้ครูและผู้ที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมค่าย มีแนวทางในการเสริมสร้างทักษะชีวิต ให้แก่นักเรียนที่สอดคล้องกับหลักสูตร สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงได้กำหนด แนวทางการเสริมสร้างทักษะชีวิต สำหรับผู้เรียนในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อเป็นแนวปฏิบัติในการ พัฒนาผู้เรียนให้เกิดการตระหนักรู้ และเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น การคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจและ การแก้ปญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ การจดั การกับอารมณแ์ ละความเครยี ด และการสรา้ งสัมพันธภาพท่ีดีกับผู้อ่ืน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของทักษะชีวิต ที่ช่วยให้เด็กและเยาวชนมีพื้นฐานด้านอุปนิสัยที่ดีสามารถอยู่ร่วมกับ ผ้อู ่ืนได้อย่างมีความสุข ความหมายของทักษะชวี ิต ทักษะชวี ิตเป็นความสามารถของบุคคลในการจัดการกับ ปัญหาต่าง ๆ รอบตัวในสภาพสังคมปัจจุบัน และเตรียมพร้อมสำหรับการปรับตัวในอนาคต องค์ประกอบ ของทักษะชีวติ สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้ืนฐานได้กำหนดองค์ประกอบ ทกั ษะชีวิตสำคัญที่จะ เป็นภูมิคุ้มกันให้กับเด็กและเยาวชนในสภาพสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงและเตรียมความพร้อมสำหรับการ ปรบั ตัวของผเู้ รียนในอนาคตไว้ 4 องค์ประกอบ ดงั น้ี 1. การตระหนกั รู้และเหน็ คณุ คา่ ในตนเองและผู้อ่ืน การตระหนักร้แู ละเห็นคณุ ค่าในตนเองและผู้อ่ืน หมายถึง การรู้ ความถนัด ความสามารถ จุดเด่น จุดด้อยของตนเอง เข้าใจความแตกต่างของแต่ละบุคคล รู้จักตนเอง ยอมรับ เห็นคุณค่าและภาคภูมิใจในตนเองและผู้อื่น มีเป้าหมายในชีวิตและมีความรับผิดชอบ ต่อสงั คม 2. การคิดวิเคราะห์ตัดสินใจ และแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ การคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจ และ แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ หมายถึง การแยกแยะข้อมูลข่าวสาร ปัญหาและสถานการณ์รอบตัว วิพากษ์วิจารณ์ และประเมนิ สถานการณ์รอบตวั ดว้ ยหลักเหตุผลและข้อมลู ที่ถูกต้อง รบั รู้ปัญหา สาเหตุของ ปญั หา หาทางเลือกและตดั สินใจในการแกป้ ญั หาในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างสร้างสรรค์ 125

3. การจัดการกับอารมณ์และความเครียด การจัดการกับอารมณ์และความเครียด หมายถึง ความเข้าใจ และรู้เท่าทันภาวะอารมณ์ของบุคคล รู้สาเหตุของความเครียด รู้วิธีการควบคุมอารมณ์ และ ความเครยี ด รวู้ ิธผี อ่ นคลาย หลีกเล่ียงและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทก่ี ่อให้เกิดอารมณ์ไม่พึงประสงค์ไปในทางทด่ี ี 4. การสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผูอ้ ื่น การสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผูอ้ ื่น หมายถึง การเข้าใจมุมมอง อารมณ์ ความรู้สึกของผู้อื่น ใช้ภาษาพูดและภาษากาย เพื่อสื่อสารความรู้สึกนึกคิดของตนเอง รับรู้ความรู้สึกนึกคิดและความต้องการของผู้อื่น วางตัวได้ถูกต้อง เหมาะสมในสถานการณ์ต่าง ๆ ใช้การ สอ่ื สารท่สี รา้ งสัมพันธภาพท่ีดี สรา้ งความร่วมมือ และทำงานรว่ มกบั ผ้อู ่นื ไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ (ทมี่ า : การพัฒนาทกั ษะชวี ิตในระบบการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน, 2551) 126

(ทีม่ า : การพฒั นาทกั ษะชวี ติ ในระบบการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน, 2551) 127

(ทีม่ า : การพฒั นาทกั ษะชวี ติ ในระบบการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน, 2551) 128

(ที่มา : การพัฒนาทกั ษะชวี ติ ในระบบการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน, 2551) การเสรมิ สรา้ งทักษะชีวติ ระดบั ประถมศกึ ษา – มธั ยมศกึ ษา ทกั ษะชีวิตเปน็ ความสามารถท่เี กดิ ในตวั ผู้เรยี นไดด้ ว้ ยวธิ ีการสำคญั 2 วธิ ี คือ 1. เกิดเองตามธรรมชาติเป็นการเรียนรู้ที่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และการมีแบบอย่างที่ดี แต่ การเรยี นร้ตู ามธรรมชาติ จะไม่มที ิศทางและเวลาที่แน่นอน บางคร้งั กวา่ จะเรียนรู้ก็อาจสายเกินไป 2. การสร้างและพัฒนาโดยกระบวนการเรียนการสอน เป็นการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน ในกลุ่มผ่านกิจกรรมรูปแบบต่าง ๆ ได้ลงมือปฏิบัติ ได้ร่วมคิดอภิปราย แสดงความคิดเห็น ได้แลกเปลี่ยน ความคิดและประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ได้สะท้อนความรู้สึกนึกคิด มุมมอง เชื่อมโยง สู่วิถีชีวิตของตนเอง เพือ่ สรา้ งองค์ความรูใ้ หมแ่ ละปรับใชก้ ับชวี ติ 129

การเสรมิ สรา้ งทกั ษะชีวิตเพอ่ื เปน็ ภมู คิ มุ้ กนั ปญั หาสงั คมในเดก็ และเยาวชน กลยุทธ์การเสริมสร้างทักษะชีวิต การเสริมสร้างทักษะชีวิตให้เกิดขึ้นกับเด็กในสถานศึกษา อยู่บนพืน้ ฐานของแนวความคิด 3 ประการ คอื ส่งเสรมิ ปอ้ งกนั แก้ไขหรือรักษาและฟ้ืนฟู ส่งเสริม หมายถึง การเสริมสร้างทักษะชีวิตให้เกิดกับนักเรียนกลุ่มปกติ หรือมีพฤติกรรมปกติ (Normal Behavior) เพื่อเปน็ ภมู ิค้มุ กันปัญหาท่ีจะเกิดขึ้น ในการดำเนนิ ชวี ติ ของเด็ก ป้องกัน หมายถึง ช่วยเหลือเด็กที่มีพฤติกรรมเสี่ยง (Risk Behavior) เช่น เด็กที่เริ่มมีพฤติกรรม ท่เี ป็นแนวโน้มเข้าส่เู ด็กที่มปี ัญหาทางพฤตกิ รรม ใหม้ ีทักษะชีวิตและปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรมเปน็ เดก็ ปกติ แก้ไขหรือรักษาและฟื้นฟู หมายถึง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของนักเรียนที่เป็นปัญหาแลว้ หรือ ป่วยแลว้ โดยการชว่ ยเหลอื บำบดั และรกั ษา การเสรมิ สรา้ งทกั ษะชีวิต อาจแบ่งออกเปน็ 2 กล่มุ ประเภท คือ ทักษะชีวิตทั่วไป ซึ่งเป็นความสามารถพื้นฐานของเด็กที่จะเผชญิ กับปัญหาปกติในชีวิตประจำวนั เชน่ ความขดั แยง้ ทะเลาะกนั การตดั สินใจเลือก ทำสงิ่ ต่าง ๆ เปน็ ตน้ ความสามารถนี้กระทรวงศึกษาธิการ เรียกว่า “รู้คิด รู้ทำ และ แก้ปัญหาได้” และเป็นองค์ประกอบของทักษะชีวิตทีเ่ รียกว่า ความคิดสร้างสรรค์ (Creative) และความคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) ความสามารถทั้ง 2 ประเภทนี้ เกิดจากการสอน ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม และการใช้คำถามสะท้อนความคิด ของนักเรียนในการสอนตามปกติในชั้นเรียน ซึ่งการสอนแบบนี้ช่วยให้เด็ก ได้ฝึกคิดวิเคราะห์ และ คดิ สร้างสรรค์ ทักษะชีวิตเฉพาะ คือ ความสามารถที่จำเป็นในการเผชิญ ปัญหาเฉพาะ เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาเอดส์ และเพศสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ ก็ต้องมีทักษะชีวิต เช่น ความตระหนักรู้ในตน ก็คือ ตระหนักในความแตกต่าง ระหว่างชายหญิงในเรื่องเพศ ความภูมิใจในตนเอง เช่น ตระหนักในคุณค่า และ ศกั ด์ิศรีของชายหญงิ ทกั ษะในการปฏิเสธการชวนไปมีพฤติกรรมเสยี่ ง เปน็ ตน้ กิจกรรมการเสริมสร้างทักษะชีวิต กิจกรรมที่เสริมสร้างทักษะชีวิตเป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้ ผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนเป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเรียนรู้ ซึ่งลักษณะของกิจกรรมที่ผู้เรียนเป็น สำคัญ และมีประสทิ ธภิ าพในการเสริมสร้างทักษะชวี ิต ผ้เู รียนมลี ักษณะ ดงั นี้ 1. กิจกรรมที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมค้นพบความรู้หรือสร้างความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียน เกิดทกั ษะชวี ิตในด้านการคิดวิเคราะห์ตดั สินใจ และแกป้ ญั หาอยา่ งสร้างสรรค์ เชน่ กจิ กรรมการเรียนรู้ที่ให้ โอกาสผู้เรียน แสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ข่าวสาร เหตุการณ์ สถานการณ์ หรือประสบการณ์ของ ผู้เรียน และกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผูเ้ รียนได้สบื ค้นหรือศึกษา ค้นคว้า คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้จากส่ือ ต่าง ๆ และแหล่งเรียนรู้ทั้งภายใน และภายนอกสถานศึกษา ได้สะท้อนตนเอง เชื่อมโยงกับชีวิตและการ ดำเนินชวี ติ ในอนาคต 130

2. กิจกรรมที่ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ได้ลงมือกระทำกิจกรรม ลักษณะต่าง ๆ ได้ประยุกต์ใช้ ความรู้ เชน่ กจิ กรรมทัศนศึกษา กิจกรรมคา่ ย กจิ กรรมวันสำคัญ กิจกรรมชมรม/ชุมนุม กจิ กรรมโครงงาน/ โครงการ กิจกรรม จิตอาสา เปน็ ต้น กิจกรรมเหล่านเี้ ป็นกจิ กรรมท่ีจะทำใหเ้ กิดการพัฒนาทกั ษะชวี ิต ดงั นี้ 2.1 ได้เสริมสร้างสัมพันธภาพและใช้ทักษะการสื่อสาร ได้ฝึก การจัดการกับอารมณ์และ ความเครยี ดของตนเอง 2.2 ได้รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ทำให้เข้าใจผู้อื่นนำไปสู่ การยอมรับความคิดเห็น ของผอู้ ืน่ รู้จักไตรต่ รอง ทำความเขา้ ใจและตรวจสอบ ตนเอง ทำใหเ้ ข้าใจตนเองและเหน็ ใจผู้อนื่ 2.3 ได้รับการยอมรับจากกลุ่ม ได้แสดงออกด้านความคิด การพูด และการทำงาน มีความสำเร็จทำให้ได้รับคำชม เกิดเป็นความภูมิใจ และ เห็นคุณค่าตนเอง นำไปสู่ความรับผิดชอบทั้งต่อ ตนเองและสงั คม 3. กิจกรรมที่กำหนดให้มีการอภิปรายแสดงความรู้สึกนึกคิด และ การประยุกต์ความคิดอย่าง มีประสิทธิภาพ หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แต่ละครั้งด้วยประเด็นคำถามสะท้อน เชื่อมโยง ปรับใช้ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญ ที่จะพัฒนาและเสริมสร้างทักษะชีวิตให้กับตัวผู้เรียน ได้ตระหนักรู้ และเห็นคุณค่า ในตนเองและผู้อื่น รู้จักการจัดการกับอารมณ์และความเครียดอย่างเหมาะสม รู้จักสร้าง สัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น รู้จักคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจและแก้ปัญหา อย่างสร้างสรรค์ โดยวิธีการสะท้อน (Reflect) ความรู้สึกและความคิดที่ได้รับจาก การปฏิบัติกิจกรรม เชื่อมโยง (Connect) กับประสบการณ์ ในชีวิตที่ผ่านมา หรือ ที่ตนเองได้เรียนรู้มาแล้ว โดยครูหรือผู้จัดกิจกรรมเป็นผู้ตั้งประเด็นคำถามหลังจาก เสร็จสิ้นกระบวนการเรียนการสอนเนื้อหาสาระในหลักสูตรแล้ว เพื่อให้ผู้เรียน เปิดเผยตัวเอง ผ่านการ สะท้อนความรู้สึกหรือมุมมอง (R : Reflect) ได้คิด เชื่อมโยงความรู้ใหม่กับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน (C : Connect) และ ได้ประยุกต์ความรู้นั้น (A : Apply) ไปใช้ในชีวิตจริงของผู้เรียน เรียกคำถาม ดังกล่าว โดยย่อวา่ คำถาม R - C – A 131

 เทคนคิ การใช้คำถาม R - C – A คำถาม R - C - A เป็นคำถามที่สะท้อนประสบการณ์ของผู้เรียน มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อ ดึงประสบการณ์ของผู้เรียนที่เกี่ยวกับทักษะชีวิตของ บุคคลนั้นออกมา การทำกิจกรรมแล้วมีการต้ังคำถาม R - C - A ร่วมด้วยจะทำให้ เด็กเข้าถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้มากขึ้น แล้วสามารถนำไปเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ หรือ สิ่งต่าง ๆ ทผี่ ่านมา รวมถงึ การนำประสบการณ์ตา่ ง ๆ เหล่านี้ไปปรบั ใช้ในอนาคต ตัวอย่างแนวคำถาม R - C - A เพื่อสอบถามผู้เรียนหลังจากเสร็จส้ินกระบวนการจัดกิจกรรมการ เรยี นรู้รายคร้งั แลว้ 1. คำถามเพื่อผลการสะท้อน (R : Reflect) ถามถึงสิ่งที่สังเกตเห็น มองเห็น หรือถามความรู้สึก ท่ีเกิดข้นึ จากการร่วมกิจกรรม เชน่  นักเรียนมีความรู้สึกอย่างไร หรือมองเห็นอะไรในพฤติกรรมของ บุคคล หรือในการทำ กิจกรรมรว่ มกนั  นักเรยี นมคี วามร้สู ึกอย่างไรกับการขัดแย้งหรือการมีความเห็น ไม่ตรงกนั ของนักเรียนในกลมุ่  หลังจากเกิดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำกิจกรรมครั้งนี้ นักเรียนคิดว่า ทุกคน ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งมีความรสู้ ึกอย่างไร  นักเรียนเคยสังเกตตนเองหรือไม่ว่า ใช้วิธีการใดจัดการกับความ ขัดแย้งในระหว่าง การทำกจิ กรรมรว่ มกัน หรือในกลุ่มทำอยา่ งไรความขดั แย้ง ในกล่มุ เพอื่ นจึงยุตลิ งได้ 2. คำถามเพื่อการเชื่อมโยง (C : Connect) ถามเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์ หรือความรทู้ ่เี คยมมี าก่อนกบั ประสบการณ์ หรอื ความคดิ ท่ีไดจ้ ากการเรียนรใู้ หม่ เช่น  ในช่วงที่ผา่ นมานักเรยี นเคยเห็น เคยมีความร้สู กึ หรือเคยปฏบิ ตั ิ มาอยา่ งไรบา้ ง  สิ่งที่สังเกตหรือพบเห็นสอดคล้อง เหมือนหรือคล้ายคลึงกับสิ่งที่นักเรียนเคยปฏิบัติมา อยา่ งไรบ้าง  นักเรยี นเคยมคี วามขัดแย้งกบั เพ่อื นระหว่างทำกจิ กรรมท่ีผา่ นมา หรอื ไม่ เกิดจากสาเหตุใด  นักเรยี นเคยจัดการ หรอื สยบความขัดแยง้ ไม่ใหล้ ุกลามบานปลาย ไดอ้ ย่างไรบา้ ง 3. คำถามเพ่อื การปรับใช้ (A : Apply) ถามถึงปจั จบุ นั และ การเผชิญเหตุการณใ์ นอนาคต เช่น  ในอนาคต ถ้านักเรียนพบเห็นหรือเจอเหตุการณ์ หรือมีความรู้สึกอย่างนี้ นักเรียนจะมี แนวทางปฏบิ ตั ิอย่างไร  ในการทำงานกลุ่มครั้งต่อไป หากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างนี้อีก นักเรียนจะทำอย่างไร หรือคลคี่ ลายสถานการณอ์ ย่างไร  นักเรียนตั้งใจจะทำอะไร ปฏิบัติอย่างไร หรือเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง เพื่อการมีชีวิต ท่ดี ีในอนาคต หรือเพื่อการเรยี นทด่ี ขี ึ้น หรือเพ่อื การทำงานให้สำเร็จ 132

การที่ผู้เรียนได้มีโอกาสสนทนา หรืออภิปรายเพื่อตอบคำถาม มีความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะ ชีวิตอย่างมาก เพราะการสนทนาสอบถามและตอบคำถามแบบเชื่อมโยง จะทำให้ผู้เรียนมองเห็น ความเชื่อมต่อกันระหว่างการเรียนรู้ และพฤติกรรมการเรียนรู้กับประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน ผู้เรียน จะมองเห็นความเป็นจริงในชีวิตของตน และถูกท้ายทายให้คิดหาทางออก ให้โอกาสได้สร้างแนวความคิด หรือมุมมองใหม่ ๆ ได้ร่วมแบ่งปันความคิดเห็น ความกังวลในใจ และประสบการณ์ของตนเองร่วมกัน อย่างต่อเนื่อง อย่างมีวิจารณญาณ นำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และยังเป็นการส่งเสริมความคิดขั้นสูง และ พฒั นาทักษะการฟัง การพูดของผู้เรยี นอีกด้วย ทง้ั น้ี ครหู รอื ผสู้ อนจะต้องใช้ เทคนิคการตั้งคำถามให้ผู้เรียน สะท้อน - เชื่อมโยง - ปรับใช้ (R - C - A) ในเรื่อง ที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต และการพัฒนาทักษะชีวิต ของผู้เรยี นในด้านบวก หลังจากส้ินสุดการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ตามเนื้อหาสาระ วัตถปุ ระสงค์ และ ตัวช้ีวัด ในรายวิชาที่หลักสูตรกำหนดในแต่ละกิจกรรม หรือแต่ละรายชั่วโมงเรียนเสมอการเสริมสร้างทักษะชีวิต ใหก้ ับผู้เรียน ในช่วงวัยการศกึ ษาขั้นพื้นฐานเปน็ การสร้างคนให้มีประสิทธภิ าพ ทัง้ ดา้ นความสามารถภายใน และความสามารถภายนอก ซ่งึ ความสามารถภายในเปน็ ความสามารถทีจ่ ะจดั การกับปญั หาต่าง ๆ ที่เกิดข้ึน ภายในตนเองและระหว่างตนเองกับผู้อื่น เช่น การตัดสินใจ การแก้ปัญหา การจัดการกับความขัดแย้ง การจัดการกับความรู้สึกของตนเอง การควบคุมตนเอง การสร้างสัมพันธภาพ การปรับตัว การช่วยเหลือ ผูอ้ ื่น และการรับผิดชอบตัวเอง 133

(ทม่ี า: วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแกน, 2556) 134

 การใชค้ ำถาม R-C-A เทคนิคการใช้คำถาม Reflect - Connect - Apply ในตอนท้ายของกระบวนการจัดการเรียนรู้ ครูจะต้องตั้งคำถามเพื่อสนทนาให้ผู้เรียนได้ วิเคราะห์ สะท้อน เชื่อมโยงและประยุกต์ใช้ ให้เกิดการพัฒนา คณุ ลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ของทักษะชีวติ อย่างต่อเน่ืองและพัฒนาองค์ความรู้ โดยเริม่ จากการถามความรู้สึก หรือสะท้อนมุมมอง (Reflect) แล้วคิดเชื่อมโยง (Connect) และจบด้วยคำถามให้อภิปรายเพ่ือ การประยุกต์ใช้ (Apply) ด้วยการสรา้ งองค์ความรู้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับใชใ้ นสถานการณ์ใหม่ที่อาจต้อง เผชิญในชวี ิตประจำวนั และอนาคต (ทีม่ า : วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน, 2556) 135

(ทมี่ า : วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแกน, 2556) การใช้คำถาม R-C-A เพ่อื การสนทนา อภปิ รายมคี วามสำคัญต่อการพฒั นาทักษะชีวิตเป็นอยา่ งมาก เพราะจะทำให้ผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้ และพฤติกรรมการเรียนรู้กับ ประสบการณ์ให้ชีวิตประจำวัน ทำให้ผู้เรียนได้เกิดแนวความคิดองค์ความรู้ใหม่ ๆ ได้ร่วมแบ่งปัน ความคิดเห็นและประสบการณ์ร่วมกันเพื่อนร่วมชั้นอย่างต่อเนื่อง เป็นการคิดอย่างมีวิจารณญาณ นำไปสู่ ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และยังเป็นการส่งเสริมการคิดขั้นสูง ครูหรือผู้สอนจะต้องใช้เทคนิคการตั้งคำถาม ให้ผู้เรียนสะท้อน – เชื่อมโยง - ปรับใช้ (R-C-A) ในการพัฒนาทักษะการดำเนินชวี ิตในด้านบวก หลังสิ้นสดุ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามเนื้อหา สาระ วัตถุประสงค์และตวั ชี้วัดในรายวิชาที่หลักสูตรกำหนดในแตล่ ะ กจิ กรรมหรือแตล่ ะรายช่วั โมงเรยี นสม่ำเสมอ จงึ จะทำให้เกิดผลสัมฤทธ์ิท่แี ทจ้ ริงในตัวผูเ้ รียน 136

กจิ กรรมที่ 1 ปัญหามที างแก้ วัตถุประสงค์ การแกไ้ ขปัญหาเป็นทักษะทสี่ ำคญั สง่ ผลต่อการใช้ชีวิต โดยเฉพาะเดก็ ๆ จำเปน็ ต้องมีความสามารถ การแก้ไขปัญหาที่ดี พ่อแม่ส่วนใหญจ่ ะแก้ไขปัญหาให้ลูก บางครั้งเมื่อเผชิญปัญหาโดยไม่มีพ่อแม่ก็จะแก้ไมเ่ ป็น หรือใช้วิธีที่ไม่เหมาะสม เพือ่ ให้เด็กหาสาเหตแุ ละวิธีแกป้ ัญหาได้หลายวิธี อุปกรณ์  กระดาษฟลปิ ชารท์  ปากกาเคมี วิธีการดำเนินกิจกรรมตามเทคนิคการใช้คำถาม R-C-A 1. ครแู บง่ กลมุ่ เด็ก 5 – 7 คน แลว้ ให้เด็กหาปญั หาท่ีเกดิ ข้ึนในชีวติ ประจำวนั 2. ครูใหเ้ ดก็ เขยี นปัญหาท่ไี ด้บนกระดาษฟลิปชาร์ทของกลุม่ ตนเองให้เหน็ เดน่ ชดั 3. ครูชวนใหเ้ ด็กแต่ละกลุม่ คดิ หาสาเหตทุ ี่ทำใหเ้ กดิ ปญั หาในปญั หาของกลุ่มตัวเอง 4. ครใู ห้เด็กสรปุ สาเหตขุ องปญั หาและเขยี นบนกระดาษฟลิปชารท์ ของกล่มุ ตนเอง 5. คณุ ครูให้นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ชว่ ยกนั คดิ แก้ไขปญั หาจากสาเหตุท้งั หมดที่ได้ 6. คุณครใู ห้นักเรียนสรปุ วิธแี กป้ ัญหาท้งั หมดและเขียนบนกระดาษฟลิปชารท์ ของกลมุ่ ตนเอง 7. คุณครูให้นักเรียนเลือกวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับตนเอง และถามนักเรียนว่า เพราะอะไร จงึ เลือกวิธีแก้ปัญหานี้ 8. คณุ ครสู รปุ ให้นกั เรียน ปัญหาทุกปัญหามสี าเหตุหลายอยา่ ง แต่ละสาเหตุกม็ ีหลายวธิ แี ก้ เลอื กวิธี ??แก้ปญั หาให้เหมาะสมกบั ตนเอง 137

กิจกรรมท่ี 2 ชื่ออารมณข์ องฉนั วตั ถุประสงค์ การรบั รูแ้ ละเรยี นร้อู ารมณ์ รวมถึงเขา้ ใจวา่ อารมณต์ า่ งๆท่เี กิดข้นึ นั้น มีหลายรูปแบบและหลายท่ีมา จะทำใหน้ กั เรียนมีการแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะสม รวมทงั้ การจัดการอารมณ์ที่ไมพ่ ึงประสงค์ได้อย่างดี ไม่ส่งผลกระทบต่อผูอ้ น่ื อปุ กรณ์  กระดาษฟลปิ ชารท์ และปากกาเคมี  รปู ภาพประกอบ (ทีม่ า : คมู่ ือปฏบิ ตั สิ ำหรบั การดำเนนิ การปอ้ งกนั และจดั การการรงั แกกนั ในโรงเรยี น, 2561) 138

วิธดี ำเนินกิจกรรมตามเทคนิคการใช้คำถาม R-C-A 1. คุณครถู ามนกั เรียนว่า รจู้ กั อารมณไ์ หม อารมณ์ มีอะไรบ้าง 2. คณุ ครูให้นักเรยี นเขยี นอารมณใ์ นกระดานดำหรือฟลิปชารท์ 3. คณุ ครชู ีใ้ หน้ กั เรยี นเหน็ ว่า อารมณ์มีหลายอย่าง 4. คุณครอู อกมาขดี เส้นใต้อารมณ์ท่ีทำให้มีความสุข และวงกลมอารมณท์ ท่ี ำให้มคี วามทกุ ข์ 5. คุณครใู หน้ ักเรยี นดภู าพความโกรธ (ภาพที่1) 6. คณุ ครูถามนกั เรียนวา่ รูไ้ ด้อย่างไรวา่ โกรธ 7. คณุ ครูแบ่งกลมุ่ นกั เรยี น 4-5 คน แลว้ ใหน้ กั เรียนช่วยกนั ตอบคำถาม ดงั นี้  ความโกรธดีหรือไม่ดี  ความโกรธมีผลเสียอะไรบา้ ง  จะควบคมุ ความโกรธได้อย่างไร  เราจะไม่ทำใหเ้ พ่ือนโกรธไดอ้ ยา่ งไร โดยใหเ้ ขียนลงกระดาษฟลิปชาร์ท 8. คุณครูให้นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ นำเสนอหนา้ ชนั้ 9. สรปุ การจัดการความโกรธใหน้ ักเรียนอกี ครัง้ มนุษย์มีความแตกต่างกันทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา มีความสามารถแตกต่างกันเนื่องจาก แตล่ ะบุคคลเกิดมาด้วยครอบครวั ที่ตา่ งกัน สภาพแวดลอ้ มการเล้ยี งดูท่ีแตกต่างกนั จึงทำให้กระบวนการคิด การตดั สนิ ใจ การดำเนนิ ชวี ิตไมเ่ หมือนกนั รวมถึงความละเอียดอ่อนของความรสู้ กึ และอารมณท์ ่ีแตกต่างกัน ด้วย ดังนั้น การอยู่ร่วมกันในสังคมให้มีความสุข จึงต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ต้องมีการสื่อสารทำความ เข้าใจให้ตรงกันมากที่สุด จะช่วยให้ปัญหาที่เกิดขึ้นน้อยลง กิจกรรมข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง ที่มี การสอดแทรกความรู้ ความคิด และการแสดงออกโดยผ่านกิจกรรมเพื่อใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ความเสี่ยง เพื่อลดการบูลล่ี การกลั่นแกล้ง การรังแกกัน ผู้นำกิจกรรมไปใช้ ควรต้องปรับให้เหมาะสมกับ ชว่ งวัย ตัวบคุ คล ภาวะของปญั หา รวมทง้ั ทกั ษะดา้ นต่างๆ ตามสภาพบริบทหรือเหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ขึน้ 139

ส่วนที่4 CaseStudyBullyท่ีhealใจ

Case study bully ท่ี heal ใจ บทนำ พฤติกรรมการถูกกลั่นแกล้ง (Bullying) คือ การกลั่นแกล้งที่แสดงออกทางร่างกาย คำพูด สังคม หรือ ทางไซเบอร์ ซึ่งมักเกิดขึ้นในสังคมที่มีช่องว่างระหว่างผู้ที่มีพละกำลัง หรืออำนาจมากกว่า แสดงออก แก่ผู้ที่อ่อนแอกว่า และมีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ปัจจุบันพบการบูลลี่ในโรงเรียนจำนวนมาก ซึ่งนำไปสู่ปัญหา สภาพทางจิตใจที่ร้ายแรงได้ในอนาคต การบูลลี่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย แต่จะพบได้มากที่สุดและ รุนแรงที่สุดในช่วงที่เด็กเปลี่ยนผ่านจากชั้นประถมศึกษาไปสู่ชั้นมัธยมศึกษา และมีแนวโน้มลดลงในช่วง มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย (สถาบันสขุ ภาพจิตเดก็ และวัยรุ่นราชนครินทร์ (2561 : 3)) ในแต่ละช่วงวัย จะมีการบูลลี่ที่แตกต่างกันไป ดังนั้นพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครูในโรงเรียนจึงเป็น บุคคลสำคัญ ในการป้องกันและสร้างเกราะป้องกันตัวให้เด็ก ๆ และหากเกิดการบูลลี่ขึ้นแล้ว พ่อแม่ ผปู้ กครอง หรือครูในโรงเรยี น จะต้องหาวิธีแก้ไขไดอ้ ยา่ งทนั ท่วงที เพอ่ื มิใหเ้ ดก็ ตกเปน็ เหยือ่ ของการถกู บลู ลี่ ในส่วนนี้ จะยกตัวอย่าง Case study bully ในแต่ละช่วงวัย ตลอดจนบทบาทของพ่อแม่ ผูป้ กครอง หรอื ครใู นโรงเรียน ในการป้องกัน แก้ไข และแง่คิดท่ไี ด้จาก Case study bully ดังน้ี Bully วยั กระเตาะ (ปฐมวยั ) ปัญหา : การเล้ยี งลกู แบบตามใจ ของผู้ปกครองของไมเคิล (Besag, Valerie E. 1993 : 170 - 172) ไมเคิลเป็นเด็กชายอายุ 6 ขวบ ที่พบว่าไม่สามารถไปโรงเรยี นได้ เมื่อแต่งตัวพร้อมที่จะไปโรงเรยี น เขาจะกระทืบเท้าแล้วร้องและซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง ในที่สุดเขาก็ยอมรับว่า เขากลัวการไปโรงเรียน ไมเคิล บอกว่า ชวี ิตในโรงเรียนจะมเี ดก็ ผชู้ ายท่ีอายมุ ากกวา่ รวมถึงนกั เรียนในชนั้ เรยี นยืนล้อมไมเคลิ และหัวเราะเยาะ จากการศกึ ษาขอ้ มลู พบว่า แมเ้ ขาจะไม่มเี พอื่ นในโรงเรียน แตก่ ารกล่ันแกล้งก็ไมเ่ ปน็ ไปตามที่ไมเคิล กล่าวไว้ เด็กคนอื่น ๆ พูดหยาบคายเกี่ยวกับเขา เขาถูกผลักออกไปให้พ้นทางและไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมเกม อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักคือ ไมเคิลอยู่อย่างโดดเดี่ยว และพ่อแม่ของไมเคิลซึ่งเข้มงวดมาก วิตกกังวลและ ห่วงใยไมเคิล เม่ือเขากลับจากโรงเรียนพ่อและแม่จะบ่นวา่ เกยี่ วกับเด็กคนอืน่ ๆ ในไมช่ า้ กพ็ บวา่ ไมเคิลถกู ล้อเลยี นเรือ่ งนำ้ หนกั เกนิ อย่างมาก นอกจากนี้ แม่ของเขาเพงิ่ สญู เสียลูกไป เมื่อไม่นานมานี้เขาเสียใจมาก จึงหันมาดูแลไมเคิลเหมือนเด็กหัดเดิน ทำทุกอย่างเพื่อเขา ไมเคิลไม่ได้รับ อนุญาตให้ออกไปเล่น นอกจากนี้ ไมเคิลยังรู้สึกอึดอัดเพราะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ไม่เหมาะสมกับ วัยและ สภาพอากาศ แมแ้ ต่ในฤดรู อ้ น ไมเคิลกย็ ังสวมเส้อื โคท้ ถงุ มอื และสวมหมวก ไมเคิลมีปัญหาไม่สามารถแต่งตัวเองได้ เดินลงบันไดโดยไม่จับราวจับบนั ไดไม่ได้ ขี่จักรยาน ปีนหรือ กระโดดไมไ่ ด้ เดก็ คนอนื่ ๆ ไม่ยอมให้เขาเข้าร่วมเลน่ เกมและหัวเราะเยาะความซุ่มซา่ มและความข้ีอายของเขา 141

ครอบครัวไมเคิลซื้อสุนัขพันธุ์อัลเซเชี่ยนมาเพื่อเฝ้าบ้าน เพราะบ้านถูกบุกรุกและทำลายบ่อยคร้ัง แตไ่ มเคลิ กลัวสนุ ัขมาก ดงั นน้ั ปญั หาของเขาจึงยง่ิ ทวีคูณ การป้องกันและแกไ้ ขพฤตกิ รรมการถูกกลั่นแกลง้ (Bullying) บทบาทของพ่อแม่ ผู้ปกครอง บทบาทของครู 1. ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการรับประทานอาหารของ 1. ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับอายุ ไมเคิลและเห็นว่าควรซื้ออะไรและเตรียมอาหาร และสภาพอากาศ และมีการอธิบายให้พ่อแม่ของ ง่าย ๆ เพ่ือช่วยการลดนำ้ หนักของไมเคลิ ไมเคิลทราบว่าสิ่งนี้ทำให้ไมเคิลเป็นที่จับตามองใน หมเู่ พอื่ นของเขา 2. ให้อิสระและสนับสนุนไมเคิลในการแสดงออก อย่างอิสระมากขึ้น โดยแสดงจุดมุ่งหมายว่าจะทำ 2. ใหค้ วามช่วยเหลือและให้กำลงั ใจในการลองเล่น สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร แทนที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ เครื่องเล่นต่าง ๆ ในโรงเรียน ได้แก่ ชิงช้า วงเวียน ไมเคิลเหมือนเคย เพราะสิ่งนี้ทำให้ไมเคิลมั่นใจใน สไลเดอร์ จักรยาน และลดความไวของเครื่องเล่น ความสามารถของตวั เองอย่างค่อยเป็นคอ่ ยไป ต่าง ๆ อย่างระมัดระวังเพื่อทำให้เขากลัวน้อยลง เพ่อื สร้างความัน่ ใจในการเล่นเคร่ืองเลน่ ต่าง ๆ 3. พยายามทำให้เป้าหมายหลักของเขาคือการช่วย ไมเคิล โดยพาไมเคิลออกไปนอกบ้านมากขึ้นและ 3. ให้กำลังใจผู้ปกครองและเสนอความคิดเห็น ปล่อยใหเ้ ขาออกไปเลน่ ขา้ งนอก ในเชงิ บวกเกีย่ วกับพัฒนาการของไมเคลิ 4. ควรใจเย็นและตั้งสติ ไม่ควรใช้วิธีรุนแรง ตำหนิ 4. ชักชวนเพื่อนในชั้นเรียนของไมเคิลให้เล่นกับ หรือต่อว่าให้ลูกอับอายต่อหน้าคนอื่น เพราะ ไมเคิล และถ้าไมเคิลอยู่ในการเล่นของเพื่อน ๆ อาจทำให้เกิดบาดแผลใหม่ในใจลูกได้ ควรหาทาง เด็ก ๆ เหลา่ น้นั กไ็ ด้รับคำชมเชย พูดคุยกับลูก ปรึกษาคุณครู หรือนักจิตวิทยาเด็ก เพือ่ ชว่ ยกันหาทางแกไ้ ขอยา่ งเหมาะสมตอ่ ไป 5. อยู่ในสนามเด็กเล่นร่วมกบั ไมเคิลและเพือ่ นของเขา เพอ่ื ใหไ้ มเคิลได้รับการยอมรบั จากความเคยชนิ 6. หาเพื่อนให้ เพราะการมีเพื่อนจะทำให้เด็ก ๆ มี ความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น รู้สึกว่ามีใครสักคนอยู่ เคียงข้าง หากเกิดการถูกกลั่นแกล้ง มีโอกาสท่ี เพ่ือนจะชว่ ยตอบโต้ หรือพากันหลกี เล่ยี ง ก็จะช่วย ให้สถานการณ์เหล่านั้นไม่บานปลาย จนนำไปสู่ การทำร้ายร่างกายท่รี นุ แรง 142

ข้อเสนอแนะ 1. อว้ น (ไม่) ได้แตข่ อให้แข็งแรง 2. ตอ้ ง (ใจ) กลา้ แทนทจ่ี ะกลัว (ใจ) ตวั เอง 3. มั่นใจใสอ่ ะไรก็สวยหล่อ....การแตง่ ตวั อย่างไรใหเ้ หมาะสมวัย 4. กำลงั ใจเปน็ พลังในการกา้ วเดนิ ตอ่ ไป...การฝึกฝนทำใหเ้ กิดทกั ษะ 5. อดีตทำใหก้ ลวั จะซำ้ รอยเดิม ประสบการณ์ใหม่ ๆ ทำให้ชวี ติ ไดเ้ รยี นรูเ้ พิ่ม 6. สังคมรอบตวั เรา เราสามารถเลอื กได้วา่ ชอบแบบไหน ไม่ชอบแบบไหน 7. เด็กทุกคนก็เปรียบเสมือนผ้าขาวที่รอคอยให้พ่อแม่ ผู้ใหญ่ และคนรอบข้างคอย แตง่ เติมสีสนั เพ่อื ชน้ี ำเส้นทางชีวิตดี ๆ ให้กับเขา ดังนนั้ การมีพื้นฐานครอบครัวอบอุ่น มีความรัก เอาใจใส่ลูกน้อยของตนเองจึงถือเปน็ เรื่องที่ทุกคนตอ้ งให้ความสำคัญ เพราะอย่าลืมว่าครอบครวั คอื สถาบันแรกในการชว่ ยสร้างสงั คมให้แข็งแรง ยง่ั ยนื ไม่เพม่ิ ภาระตอ่ ผู้อืน่ 8. ยิ่งเราอายุเพิ่มมากขึ้นเราตอ้ งอยู่กับสงั คมให้ได้และต้องยอมรบั กบั สิง่ ตา่ ง ๆ ที่จะต้อง เกิดข้นึ มา วัยเด็กเปน็ วยั ที่สำคัญมาก ตอนเด็กปลูกฝงั ให้เขาเป็นแบบไหนโตข้ึนมาเขากจ็ ะเปน็ แบบน้ัน 143

Bully วยั ละออ่ น(ประถมศึกษา) ปัญหา : ปัญหาครอบครัวสู่พฤตกิ รรมการรังแกกาเร็ธ (Besag, Valerie E. 1993 : 169 - 170) กาเร็ธอายุ 10 ปี เป็นเด็กตัวเล็กมาก รูปร่างไม่สมส่วน เขามักทำลายงานของตัวเองและ ของเด็กคนอื่น ๆ และเขาจะพยายามหยุดคนอื่น ๆ ไม่ให้ทำงาน ลักษณะที่น่ากังวลที่สุดในพฤติกรรมของ เขาคือ เมื่ออารมณ์เสียเขามักจะนำมดี ทำครัวทีข่ โมยมาจากบ้านไปโรงเรียน เด็กคนอื่น ๆ ดเู หมือนจะกลัวเขา แต่เขาไม่ได้ขู่ใคร เขาใช้มันเพื่อทำร้ายตัวเองด้วยการขูดแขนหรือกรีดมือของเขา นอกจากนี้เขายังจงใจฉีก และตัดเสื้อผ้าของเขาและตัดเสื้อผ้าของเพื่อนร่วมชั้นของเขาด้วย ภาพรวมของกาเร็ธ คือเป็นเด็กชายที่มี อารมณร์ ุนแรงและอารมณแ์ ปรปรวน ซึง่ ทำให้ทงั้ บุคลากรในโรงเรียนและนักเรียนหวาดกลัว กาเร็ธมีพื้นฐานครอบครัวที่ยากลำบาก แม่ของเขาถูกเลี้ยงดูมาในสถานสงเคราะห์เด็ก และมักจะ ต่อต้านความช่วยเหลือ พ่อของกาเร็ธเป็นคนชอบใช้ความรุนแรง กาเร็ธเป็นลูกคนโตในบรรดาลูกสี่คน ทกุ คนหวั เราะเยาะเพราะแมข่ องเขายังเด็ก ครอบครัวน้ีอย่ใู นฐานะทางการเงินที่ย่ำแย่อย่างมาก แม่ของกาเร็ธ ตั้งท้องอีกครั้งถึงแมจ้ ะไดร้ ับการตรวจจากหมออนามัยเปน็ ประจำ ทำให้ครอบครวั นี้ อยู่กันค่อนข้างวุ่นวาย แต่พ่อแม่ก็ดูแลและสนับสนุนเด็กๆ ทุกคน จากการประเมินสถานการณ์ในโรงเรียน ของกาเร็ธ เขาจะเปน็ เดก็ กา้ วรา้ วเมือ่ ถกู กลัน่ แกลง้ เทา่ นั้น เขาเปน็ แพะรบั บาปของกลุ่มมาหลายปี ทง้ั ตัวเล็ก และอ่อนแอ ไม่สามารถปอ้ งกันตวั เองได้ เขาวติ กกงั วลอยา่ งมากเกีย่ วกบั การกล่นั แกล้งในสนามเด็กเล่นและ ทอ้ งถนน เขามักจะฝันร้าย และโดยทั่วไปมีพฤติกรรมประหม่า มมี ดี ไวเ้ พ่ือป้องกันตัว แม้วา่ จะไม่ได้ใช้มดี ก็ตาม 144

การป้องกันและแก้ไขพฤติกรรมการถูกกล่นั แกลง้ (Bullying) บทบาทของพ่อแม่ ผ้ปู กครอง บทบาทของครู 1. ให้คำปรึกษาหารือเกี่ยวกับประเด็นการรังแก 1. สง่ เสรมิ ศักยภาพทีม่ ีในตวั เด็ก โดยการนำผลงาน ของลกู โดยการทำข้อตกลงว่าจะไม่มีการกล่ันแกล้ง ของเด็กคนนั้น มาแสดงให้เพื่อนร่วมชั้นได้เห็นถึง ใด ๆ อกี ไมว่ า่ จะเปน็ ทางวาจาและทางรา่ งกาย ความสามารถและเกิดการยอมรับ จนทำให้เด็ก คนนั้นเกดิ ความภาคภูมิใจในตนเอง 2. ขอการสนับสนุนเพื่อหยุดการถูกกลั่นแกล้งจาก โรงเรียน 2. ให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคลเพื่อเพิ่มความมั่นใจ ใหแ้ ก่ผ้ถู กู รังแก 3. ควรเป็นคนทีเ่ ปิดใจรับฟังปัญหาของลูก ให้อภัย และใหโ้ อกาส ไมต่ ดั สินลูก เพ่ือใหล้ กู เกดิ ความไว้ใจ 3. ให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษในการทำงานของเขา และสบายใจที่จะบอกเล่าเรื่องราวทุกเรื่องที่เจอให้ฟัง ความสำเร็จที่ตามมาทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดีขึ้น เมื่อเกิดปัญหาคุณพ่อคุณแม่จะได้ช่วยคิดหาทาง และให้ความช่วยเหลือเป็นรายบุคคลตามที่เขา แกไ้ ขไดท้ นั ตอ้ งการ 4. ปรับทัศนคติที่มีต่อการเป็นเด็กไม่สู้คนของลูก ให้กลายเป็นความภูมิใจที่ลูกสามารถควบคุมสติ อารมณ์ของตัวเองได้ แต่ในขณะเดียวกันคุณพ่อคุณแม่ อาจต้องสอนให้ลูกรู้วิธีการป้องกันตัวและตอบโต้ อย่างสันติวิธี เพื่อไม่ให้ลูกกลายเป็นเหยื่อหรือโดน เพอ่ื นรังแกซ้ำ ๆ ได้ 145

ขอ้ เสนอแนะ 1. การแสดงออกทางพฤติกรรมที่ถูกกดดันจากครอบครัว ครอบครัวไม่มีความพร้อม ในการเลี้ยงดูบุตรและครอบครัวมีปัญหาต่าง ๆ ซึ่งเด็กไม่สามารถเขา้ ใจในส่วนนี้ได้ ปัญหาต่าง ๆ กเ็ ลยเกิดขึ้นกบั ตัวเด็กท้งั หมด 2. ต้องหาเวลาวา่ งหรอื งานอดิเรกต่าง ๆ ให้เด็กคนน้ีได้ทำ มนั จะทำให้เขาไม่ฟุ้งซ่านและ อยูก่ ับตวั เองได้ดที ี่สดุ 3. เป็นเคสที่คนรอบข้างต้องเข้าใจและยอมรับในตัวเด็กให้ได้ทุกคน เพราะจะทำให้เด็ก เกดิ ความเชือ่ ม่นั และกล้าท่ีจะพูดเรือ่ งราวต่าง ๆ ให้ฟงั ได้ 4. ความรกั ความอบอุ่นของครอบครวั 5. การทำร้ายตนเองเปน็ ทางเลอื กทีจ่ ะทำให้เขามีตวั ตนในสายตา 6. อารมณ์ ความแปรปรวน คือสาเหตหุ นง่ึ ของปัญหาทำร้ายตนเอง 7. อาวธุ ทีม่ ี (มดี ) ทำใหเ้ ขาอนุ่ ใจ ไมห่ วาดกลวั แตอ่ ันตราย 146

Bully วยั ใสใส (มธั ยมศกึ ษา) ปญั หา : การปรบั ตวั เมือ่ ย้ายโรงเรยี นของมารค์ (Besag, Valerie E. 1993 : 176 - 177) มาร์คอายุ 14 ปี เพิ่งเข้ามาเรียนในโรงเรียนแห่งใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในสถานที่เดิม พ่อแม่ของเขารู้ว่า เขามีปัญหาในการคบเพื่อนใหม่และเฝ้าระวังว่าเขาจะถูกรังแก มาร์คยังแสดงพฤติกรรมเป็นเด็กไม่สมกับวัยของเขา และนอกจากนี้เขายังเป็นเด็กที่ดูเงอะงะ มาร์คมีปัญหาเรื่องการทำงานร่วมกับคนอื่นและแสดงท่าทาง การเดินที่ไม่สุภาพ เขาไม่สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดี เช่นเดียวกับเด็กที่เงอะงะหลาย ๆ คน เมื่อโดน เพอ่ื นพดู ยั่วยุเขาไมส่ ามารถออกเสียงคำพูดไดช้ ัดเจนจะพดู แบบลุกลี้ลุกลนและลนิ้ พันกนั และอกี สาเหตหุ น่ึง คอื มารค์ ได้เหน็ ความกา้ วร้าวของคนในครอบครวั หลายครั้งจนเป็นคนข้ีกลัว วิตกกงั วล และขาดความมน่ั ใจ หลังจากเรียนที่โรงเรียนใหม่ได้ไม่กี่เดือน เขาก็กลายเป็นที่รู้จักในนาม Mark the Martian เนอ่ื งจากนิสัยของเขา เขาเดินยักไหลส่ ร้างความไมพ่ อใจให้กบั เพ่ือน ๆ จนเพือ่ นรว่ มช้นั ของเขาและคนอื่น ๆ มกั จะเตะต่อยและสะดุดขาใหเ้ ขาล้มทุกครง้ั เม่ือโอกาส เขาเครียดจากการถกู เพ่ือนรังแกจึงได้แสดงปฏิกิริยา โต้ตอบจนกลายเป็นความกา้ วร้าวและมารค์ ก็ยงั คงถูกเพ่ือนรงั แกต่อไป พฤติกรรมสะสมของมารค์ นั้นร้ายแรงมาก มารค์ ไม่มีความม่ันใจทีจ่ ะเข้าพบครูพี่เลี้ยง และเนอ่ื งจาก ครูพ่ีเลย้ี งเห็นพฤตกิ รรมก้าวรา้ วของมารค์ ท่โี ตต้ อบเพื่อนทันที พวกเขาจึงมที ศั นคติทางลบกบั มาร์คมาโดยตลอด การกลัน่ แกล้งเกดิ ขึ้นกบั มาร์คอีกคร้ัง คอื วันหน่ึงมาร์คเดินเล่นรอบ ๆ เมอื งโดยไม่เข้าโรงเรยี น และ ในวันนั้นเองผู้ปกครองของเพื่อนมาร์คโทรศัพท์ไปหาพ่อแม่ของมาร์คและครูที่โรงเรียน เพื่อบอกว่า ลูกชายของเธอกำลังเป็นทุกข์ที่ถูกมาร์ครังแกที่โรงเรียนจนไม่อยากไปโรงเรียน มาร์ครู้สึกไม่สบายใจ กับเหตุการณท์ เ่ี กดิ ขึน้ แต่ไม่มีครูคนใดทราบสาเหตุท่ีแท้จรงิ ทเ่ี กิดขน้ึ เลย 147


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook