Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือเรียนโลกศึกษา ม.5 เทอม 1

หนังสือเรียนโลกศึกษา ม.5 เทอม 1

Published by dlit_sm037, 2020-05-02 02:50:26

Description: หนังสือเรียนรายวิชาโลกศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที ่5 ภาคเรียนที่ 1 สาระเกี่ยวกับ เหตุการณ์ปัจจุบัน

Search

Read the Text Version

บทท่ี 2 ความขัดแยง้ ในศตวรรษที่ 20 35 Chapter 2 Conflict in 20th Century  ปัจจยั ทท่ี ําใหเ้ กิด สงครามโลกครั้งท่ี 1 1. ผลผลิตจากแนวคดิ ชาตนิ ิยม17 การเกิดรฐั ชาติตง้ั แตค่ ริสตศ์ ตวรรษที่ 15 เปน็ ตน้ มา ทําใหเ้ กดิ ระบบการเมอื งแบบรวม อํานาจไว้ทีส่ ่วนกลาง (Centralization) และวิวฒั นาการของระบอบราชาธปิ ไตย ที่รฐั บาลกลางตา่ งแสวงหาความ เปน็ มหาอาํ นาจทงั้ ทางทหาร และเศรษฐกจิ การเกดิ เป็นรฐั ชาติ ทาํ ให้เกิดความ สํานกึ ในความเปน็ ชาตแิ ละ การเสอ่ื มอทิ ธพิ ลของขนุ นางใน สมัยใหมห่ นั มาใหค้ วามสําคญั ตอ่ กษตั รยิ ์ ในฐานะประมุข ผ้มู อี ํานาจเด็ดขาดในการ ปกครองบ้านเมือง การสาํ รวจพบดนิ แดนใหม่ การ ขยายตวั ทางการคา้ ยงั ทําใหร้ ัฐชาติมั่งคั่งและมั่นคง รัฐชาติ หมายถงึ รฐั หรอื ประเทศ ทม่ี ปี ระชาชนมี ความรสู้ ึกผูกพันกนั มีความสามคั คีกันมคี วามภาคภูมใิ จใน วฒั นธรรมของตน มคี วามจงรกั ภกั ดตี ่อประเทศชาตแิ ละกษัตรยิ ์ ของตนภายในอาณาเขตท่ีเปน็ อิสระและเอกราช เช่น ประเทศสเปน โปรตเุ กส อังกฤษ และฝรงั่ เศส การรักชาติเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อเกิดเป็นลัทธิชาตินิยมจะมีความรุนแรงมากกว่า เชื่อว่าชาติตนประเสริฐกว่า ชาติอ่ืน ความสําคญั ของชาตติ อ้ งมากอ่ นความรู้สกึ สว่ นตัว เกดิ คตินิยมในลักษณะที่ผลักดันให้ประชาชนอยากเห็นชาติ ตนเป็นใหญ่กวา่ ชาติอื่น ไม่ว่าทางเศรษฐกิจหรือทหารซ่ึงนําไปสู่การแข่งขันอํานาจกันจนกลายเป็นสงครามขึ้นได้ เช่น การรวมอติ าลี การรวมเยอรมนี หรือสงครามโลกคร้ังที่ 1 และแม้แต่ในประเทศเองความรู้สึกด้านชาตินิยมก็ทําให้เกิด การปฏวิ ตั กิ นั ข้นึ เช่น การปฏวิ ตั ิของฝรง่ั เศส ในปี ค.ศ. 1789 ภาพท่ี 5 : ปา้ ยลัทธิชาตนิ ยิ ม ทมี่ า : http://3.bp.blogspot.com/_K0U8LcRBYuo/TCbT0jjYNRI/AAAAAAAADFA/ MikbxEQjk_A/s1600/nationalism.jpg 17 มหาวทิ ยาลัยครูเซ่ียงไฮ้ , อรุณโรจนสันติ (แปล) , ประวัติศาสตร์โลกยุคใกล้ , กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์สุขภาพใจ ,2542. หน้า 420.

36 บทท่ี 2 ความขัดแย้งในศตวรรษท่ี 20 Chapter 2 Conflict in 20th Century 2. ลัทธจิ กั รวรรดินิยม ลัทธิชาตินิยมมักจะนําไปสู่ลัทธิจักรวรรดินิยม ลัทธิ จักรวรรดินิยม หมายถึง การที่ประเทศที่พัฒนาทาง อุตสาหกรรม และประสบความสําเร็จทางเศษฐกิจ การทหาร และวิทยาศาสตร์ เข้าครอบครองหรือควบคุม ดนิ แดนที่ดอ้ ยพฒั นากว่าทางด้านวตั ถุ โดยไม่จาํ เป็น ต้องด้อยกว่าทางด้านอารยธรรม เช่น จีนและอินเดีย เป็นชาติที่มีอารยธรรมสูง แต่ด้อยการพัฒนา สาเหตุของ การเกิดลัทธิจักรวรรดนิ ิยมในปลายครสิ ต์ ศตวรรษที่ 19 มาจากการปฏวิ ตั ิ อุตสาหกรรม ทําให้ต้องการวตั ถุดิบและ ตลาดเกดิ แข่งขนั ในการลา่ อาณานคิ ม และการ เศรษฐกิจท่ีเนน้ ผล กาํ ไรจากการ อุตสาหกรรมทําให้ นายทนุ นยิ มไปลงทนุ ในดนิ แดนท่ดี ้อยพัฒนา จงึ เกดิ การแขง่ ขนั กันจน นําไปสู่การขยายแสนยานภุ าพ ผลที่สําคญั ของลทั ธจิ กั รวรรดนิ ยิ ม คอื การแขง่ ขันแสวงหาอาณานิคมใน ทวปี เอเชีย อเมรกิ ากลาง และแอฟรกิ า วลาดมี รี ์ เลนินไดย้ ืนยันว่าสาเหตุของสงคราม ภาพที่ 6 : สะทอ้ นการยดึ ครองประเทศใน นนั้ ตงั้ อย่บู นจกั รวรรดินยิ ม เขาได้กล่าวพรรณนาถงึ แนวคดิ อาฟรกิ าของชาติตะวนั ตก ทางเศรษฐศาสตรข์ องคาร์ล มาร์กซ และนกั เศรษฐศาสตร์ ชาวอังกฤษ จอหน์ เอ. ฮอบสัน ซงึ่ ได้ทาํ นายวา่ การแข่งขนั ทมี่ า : http://greatbritaininafrica.wikispaces อยา่ งไม่ส้ินสดุ เพอ่ื การขยายตลาดการค้านัน้ จะนาํ ไปสคู่ วาม .com/file/view/political_cartoon_imperialism ขัดแย้งในระดับโลก โดยเหตุผลดังกล่าวน้ันมีผู้เชื่อถือเป็ นจํานวนมากและได้สนับสนุนการเจรญิ เตบิ โตของลัทธิคอม .jpg/121037059/political_cartoon_ มิวนิสต์ เลนินยังได้กล่าวว่าความสนใจในการเงินของ มหาอาํ นาจลทั ธทิ นุ นยิ ม-จักรวรรดนิ ยิ มจํานวนมากได้ก่อให้ imperialism.jpg เกดิ สงคราม. 18 18 สุขุมาลย์ สิทธิมงคล , ยุโรปศตวรรษที่ 19-20 , กรุงเทพ : สํานักหอสมุดกลาง , ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทวโิ รฒ , 2528. หน้า 86-91.

บทที่ 2 ความขัดแย้งในศตวรรษท่ี 20 37 Chapter 2 Conflict in 20th Century 3. การแบง่ ข้ัวมหาอํานาจ การแบ่งกลุ่มอํานาจนาํ ไปสู่การเมอื งระบบพันธมิตร ในยโุ รป (Politics of European Alliance System) ปัญหานเ้ี ป็นปญั หาสาํ คัญของการเมอื งระหว่างประเทศ ยโุ รปท่ีนําไปสสู่ งครามในเวลาต่อมา เพราะแม้ว่ายโุ รป จะเปน็ ภาวะทปี่ ลอดจากสงคราม แตส่ ง่ิ ที่ดํารงอยู่ก็คอื ความหวาดระแวงและการไม่ไวใ้ จซ่ึงกนั และกนั สง่ิ เหลา่ นไ้ี ดน้ ําไปสู่การทาํ ข้อตกลงลบั และการ รวมกลมุ่ ของรฐั เป็นพันธมติ รโดยท่ขี อ้ ตกลงลบั เป็นหลักประกนั ว่าหากรัฐคู่สญั ญาถกู โจมตจี าก รฐั ศัตรรู ฐั พันธมิตรจะให้ความช่วยเหลอื ทางทหาร แกร่ ัฐที่ถกู โจมตี ระบบพนั ธมติ รของการเมอื งยโุ รป แบ่งออกเป็น 2 ค่ายอย่างชดั เจนทางฝา่ ยหนง่ึ น้ัน เยอรมนั ได้รว่ มกับราชอาณาจักรออสเตรยี -ฮงั การี และอติ าลี โดยมเี ยอรมนั เป็นผู้นาํ ซึง่ ในเวลาต่อมา เรยี กวา่ ระบบพนั ธมิตรสามฝา่ ยหรอื ระบบไตรภาคี หรอื สนธสิ ญั ญาพันธไมตรไี ตรมติ ร (Triple Alliance) ในปี ค.ศ. 1907 เพราะเยอรมันไมพ่ อใจรสุ เซีย เนอ่ื งจากเยอรมันต้องการกดี กนั อทิ ธิพลรสุ เซยี ท่ี ต้องการเปน็ ใหญ่เหนอื ชนเผ่าสลาฟในคาบสมทุ รบอลข่าน ออสเตรยี -ฮังการี ตอ้ งการเป็นใหญ่ในคาบสมุทรบอล ข่าน ทําให้เผชิญหน้ากับรุสเซียที่มีความต้องการเช่นเดียวกัน ทั้งออสเตรีย-ฮังการี ยังได้เยอรมันสนับ สนุนอีก ดว้ ย และอิตาลผี ิดหวังในแควน้ ตนู ิเซีย เพราะฝรัง่ เศสเข้าแทรกแซงและตูนิเซียต้องกลาย เป็นรัฐในอารักขาของ ฝรงั่ เศส ทาํ ใหอ้ ิตาลีตอ้ งหันมาเปน็ มติ รกับเยอรมัน ส่วนอีกฝ่ายน้ัน ฝร่ังเศสซึ่งมีปัญหากับเยอรมันมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสงครามฝร่ังเศส- ปรัสเซีย และการรวมประเทศเยอรมันแล้ว เยอรมันมีนโยบายชัดเจนท่ีจะโดดเดี่ยวฝร่ังเศส เพ่ือไม่ให้ฝรั่งเศส สามารถฟ้นื ตวั ขึ้นมาในทางการเมอื ง-การทหาร จนเปน็ ภัยคกุ คามต่อการเตบิ โตของเยอรมนั ได้ แต่ขณะเดียวกัน เยอรมันก็ไม่ต้องการให้รุสเซียเติบโตจนเป็นภัยคุกคามต่อเยอรมันได้เช่นกัน และเมื่อเยอรมันหันเข้าไปเป็น พนั ธมติ รกับออสเตรีย-ฮงั การี แล้วก็เท่ากับเป็นการผลกั ดนั ใหร้ ุสเซียมาอยู่ค่ายเดียวกับฝร่ังเศส ซ่ึงทั้งฝรั่งเศสและรุสเซียได้ทําความตกลง อย่างลบั ๆ ในการเป็นพันธมติ รร่วมกนั เรยี กว่า ระบบพันธมิตรสองฝ่าย (Dual Alliance) จนเมื่อเยอรมันขยาย อํานาจและบทบาทมากขึ้นท้ังในยุโรปและในดินแดนโพ้นทะเล อังกฤษจึงได้ทําความเข้าใจร่วมกับฝรั่งเศส (Entente) ในอนั ที่จะรบั มือกบั การขยายอาํ นาจของเยอรมัน และความเขา้ ใจรว่ มนี้ยังขยายไปยังรุสเซียด้วย จึง มีผลทาํ ให้กลุ่มนี้เรียกว่าเป็น กลุ่มความเข้าใจร่วมสามฝ่ายหรือสนธิสัญญาฉันไมตรีไตรมิตร (Triple Entente) ในปี ค.ศ. 1907 การเมืองของยุโรปเช่นน้ี แม้ว่าจะยังไม่เกิดสงครามแต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นสันติภาพที่อยู่ภายใต้การ เตรยี มพร้อมและการเผชิญหน้าและย่ิงประกอบกับวิกฤติการณ์ท้ังทางการเมืองและการทหารเกิดขึ้นติดต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในโมร็อกโกในปี 1905 , 1911 วิกฤติการณ์ในคาบสมุทรบอลข่านในปี 1908 , 1912 และ 1913 กย็ ิง่ สง่ ผลให้การเกาะกลุม่ กันระหวา่ งค่ายพนั ธมติ รนน้ั กระชบั แนน่ ยงิ่ ขึน้ 1.9 19 ศิริพร ชนะสิทธ์ิ , อารยธรรมตะวันตก , สงขลา : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาคใต้ , 2531. หน้า 320- 323.

38 บทท่ี 2 ความขัดแยง้ ในศตวรรษท่ี 20 Chapter 2 Conflict in 20th Century 4. ปญั หาในคาบสมุทรบอลขา่ น ดนิ แดนทง้ั หมดในบอลข่าน ยกเว้นในส่วนกรุงคอนส แตนตเิ ปลิ และดินแดนโดยรอบ ปัญหาเชื้อชาติและการเมืองในคาบสมุทรบอล ข่าน (Multi National Difficulties and Politics สงครามบอลข่านครั้งแรก ยุติลงด้วยการทํา in the Balkan) คาบสมุทรบอลข่านเป็นท่ีอยู่ของ สนธิสัญญาลอนดอนในปี 1913 แต่ต่อมาก็เกิดการ ชนหลายเชื้อชาติ และปญั หาเช้อื ชาติไดข้ ยายตัวมาก วิวาทกันเองในการแบ่งปันดินแดนตามสนธิสัญญา ขึ้น เม่ือประเทศใหญ่ที่อยู่ในอาณาบริเวณใกล้เคียง ลอนดอน ออสเตรีย-ฮังการีไม่ต้องการให้เซอร์เบีย ไดเ้ ขา้ มามีบทบาทในการหนุนหลงั กลุ่มชนต่างๆ เช่น ขยายอิทธิพลโดยมีช่องทางที่จะออกทะเลได้ อิตาลี รุสเซียได้เข้ามาสนับสนุนกลุ่มชนชาติท่ีมีเชื้อสาย สนบั สนนุ ออสเตรียเพ่ือขดั ขวางอิทธิพลของเซอร์เบีย สลาฟ (Slave) เพราะการกระทําดังกล่าวจะเป็น ในแถบทะเลเอเดรียติก ดังน้ันในปี 1913 จึงเกิด หนทางที่ทําให้รุสเซียสามารถขยายอิทธิพลของตน สงครามบอลข่านครั้งท่ี 2 ข้ึน แต่สงครามก็ยุติด้วย ในคาบสมทุ รบอลข่านได้ เซอร์เบีย (Serbia) ซ่ึงเป็น การขยายอํานาจของเซอรเ์ บยี โดยไดด้ ินแดนเพิม่ มาก ประเทศของชนชาติสลาฟได้เป็นหัวหอกและได้มี ขึ้น (มีอาณาเขตเพ่ิมเป็น 2 เท่าจากเดิม) แต่ก็ไม่มี แนวความคิดทีจ่ ะรวมชนชาตสิ ลาฟไวด้ ้วยกัน โดยได้ ทางออกทะเล. จัดตั้ง ขบวนการรวมชนชาติสลาฟ (Pan-Slave Movement) ข้ึนแต่ความต้องการของรุสเซียและ ของเซอร์เบียกถ็ กู ขัดขวางโดยการทอ่ี อสเตรยี -ฮังการี ได้รวมเอาบอสเนียและเฮอร์เซโกวินา (Bosnia and Herzegovina) เข้ามาไว้ในราชอาณาจักรของตน การผนวกดินแดนดังกล่าวได้ทําให้การแบ่งฝ่ายของ มหาอํานาจในยุโรปเป็นไปอย่างชัดเจนมากยิ่งข้ึน เพราะในขณะท่ีออสเตรีย-ฮังการี มีปัญหากับ เซอร์เบียซึ่งได้รับความสนับสนุนจากรุสเซียนั้น ออสเตรยี ในขณะเดยี วกนั ก็ได้รับความสนับสนุนจาก เยอรมัน ส่วนรุสเซียน้ันได้รับความสนับสนุนจาก ฝรั่งเศสและอังกฤษการผนวกดินแดนของออสเตรีย ในครั้งนี้ แม้ว่าจะทําให้เซอร์เบียและรุสเซียไม่พอใจ อ ย่ า ง ม า ก จ น ถึ ง กั บ เ ต รี ย ม ท่ี จ ะ ทํ า ส ง ค ร า ม กั บ ออสเตรีย แต่อังกฤษและฝรั่งเศสไม่เห็นด้วยกับการ สงครามดังกล่าว เพราะเห็นได้ชัดว่าเยอรมันน้ันได้ แสดงออกถึงท่าทีในการสนับสนุนออสเตรียอย่าง ชัดเจน ซึ่งอังกฤษและฝร่ังเศสยังไม่พร้อมท่ีจะทํา สงครามในขณะนนั้ เหตุการณ์ในคาบสมุทรบอลข่านเช่นนี้จึงเป็น เสมือนเชื้อเพลิงอย่างดีท่ีทําให้ความตึงเครียดของ มหาอํานาจทั้งหลายในยุโรปมากข้ึนและต่อมาในปี 1912 และ 1913 ไดม้ ีสงครามเกิดขึน้ ในคาบสมุทรนี้ โดยสงครามได้เกิดข้ึนคร้ังแรกเพ่ือทําลายอิทธิพล ของตุรกีในคาบสมุทรบอลข่าน ซึ่งเรียกว่า สงคราม บอลขา่ นครงั้ ที่ 1 (1912) โดยตุรกถี กู ตดั ทอน

บทท่ี 2 ความขดั แย้งในศตวรรษท่ี 20 39 Chapter 2 Conflict in 20th Century 5. การแขง่ ขนั ทางด้านกาํ ลังและอาวธุ การปกครองของตน อังกฤษยังพิจารณาเห็นว่า การขยายอํานาจทางนาวีของเยอรมันจะนํามาซ่ึง การแข่งขันสะสมอาวุธทางนาวี (Naval การแข่งขนั ในการแสวงหาอาณานิคมกบั องั กฤษใน Arms Race) จากการที่มีการนําเอาเกราะมาใช้ ดนิ แดนโพน้ ทะเลอกี ด้วย กับเรือรบ และขณะเดียวกันก็นําเอาปืนใหญ่มา ติดตั้งบนเรือในลักษณะท่ีเป็นป้อมปืน แทนท่ีจะ พฒั นาการทางด้านนาวีทีส่ ําคัญ ยังได้แก่ เป็นปืนใหญท่ อ่ี ยทู่ ่ีชอ่ งยิงทีก่ ราบเรอื แบบเรือรบใน ความสําเร็จในการสร้างเรือดําน้ําซ่ึงแต่เดิมได้มี ส มั ย โ บ ร า ณ พั ฒ น า ก า ร เ ช่ น นี้ ทํ า ใ ห้ เ กิ ด การนําเอาเรือดําน้ํามาใช้ในสงครามกลางเมืองใน แน วค วา ม คิด ที่จ ะส ร้ าง เรื อร บ ใน ชั้น เ รื อ สหรัฐฯ บ้าง แต่การพัฒนาอย่างจริงจังนั้นเกิดข้ึน ประจัญบาน (Battleship Class) โดยเป็นเรือ ในตอนต้นศตวรรษท่ี 20 การใช้เรือดํานํ้าของ เหล็กที่มีเกราะหุ้ม และติดต้ังปืนขนาดใหญ่โดยมี เยอรมันเป็นความหวังที่จะทําการปิดล้อมทาง ปอ้ มปนื ท่จี ะสามารถหมนุ ยิงไดร้ อบตวั ทะเลต่ออังกฤษ โดยเรอื ดํานํา้ ของเยอรมันหรือเรือ อู (U-boat) สามารถทจ่ี ะทาํ ลายเรอื สินคา้ และเรือ อังกฤษประสบความสําเร็จในการพัฒนา รบอังกฤษได้โดยการใช้อาวุธยิงใต้นํ้าคือ ตอร์ปิโด แนวคิดดังกล่าว โดยในวันท่ี 10 กุมภาพันธ์ ๑๙๑๖ ราชนาวีอังกฤษได้ปล่อยเรือประจัญบาน (Torpedo). ช้ัน เดรดนอทต์ (Dreadnought) ลงน้ํา เรือ ประจัญบานชั้นน้ีมีเกราะเหล็กเป็นเคร่ืองป้องกัน และติดต้ังป้อมปืนใหญ่ซึ่งมีปืนใหญ่ขนาด 12 น้ิว เปน็ อาวธุ ประจําเรอื ความสําเรจ็ เช่นน้ียงั ไดร้ ับการ ปรับปรุงโดยได้สร้างเรือในช้ันรองลงมาเป็นเรือ ลาดตระเวนประจัญบาน (Battle Cruiser) เรือใน ชั้นน้ีมีความคล่องตัวและอํานาจการยิงในระดับ ใกล้เคียงกับเรือประจัญบานชั้นเดรดนอทต์ แต่มี เกราะป้องกันตัวเองนอ้ ยกว่า เยอรมนั ตระหนักถงึ ความสาํ เร็จทางนาวีของ อังกฤษ และได้เริ่มวางแผนท่ีจะเพิ่มอํานาจทาง ทะเลของตน ซึ่งความพยายามของเยอรมันท่ี ต้องการแข่งขนั อํานาจทางทะเลกับอังกฤษนัน้ เร่ิม ข้ึนต้ังแต่ปี ๑๘๙๘ เม่ือนายพลเรือเทอร์พิทซ์ (Tirpitz) ได้รับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ทหารเรอื โดยไดอ้ อกกฎหมายเกี่ยวกับกองทัพเรือ ฉบบั แรกเพือ่ สง่ เสรมิ อาํ นาจทางทะเลของเยอรมัน และยังได้มีการวางแผนสร้างเรือประจัญบานและ เรือลาดตระเวนเปน็ จาํ นวนมากด้วย การขยายตัวทางนาวีของเยอรมันย่อมจะ นํามาซึ่งความไม่พอใจของอังกฤษ เพราะอังกฤษ ในขณะน้ันมีฐานะเป็นผู้ครอบครองทะเลในพ้ืนที่ ส่วนต่างๆ ของโลก และทั้งการขยายอํานาจทาง ทะเลของเยอรมันยงั จะเป็นการคุกคามต่อเส้นทาง คมนาคม และการขนส่งทางทะเลและการค้าของ องั กฤษกบั เมอื งในอาณานคิ มต่างๆ ที่อย่ภู ายใต้

40 บทที่ 2 ความขดั แย้งในศตวรรษที่ 20 Chapter 2 Conflict in 20th Century  ผลของสงครามโลกครัง้ ที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 เป็น 4 ปี ของความขัดแย้งท่ีรุนแรง มีการเคล่ือนพล 70 ล้านคน ประมาณ 9 ล้านคน เสียชีวิต และอีกนับล้านท่ีบาดเจ็บ ผู้หญิงหลายล้านคนเป็นม้าย เด็ก ๆต้อง กาํ พร้าพอ่ แม่ ครอบครัวอกี นับไมถ่ ้วยทต่ี ้องแตกสลาย ไรอ้ นาคต สภาพการณ์ในยุ โรปเร่ิมเปลี่ยนไประบอบกษัตริย์ในเยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี และ รัสเซีย ล้ม สลาย สหรัฐอเมริกาเกือบจะกลายเป็นมหาอํานาจของโลก เยอรมันถูกประณาม และรบั ผดิ ชอบค่าปฏิกรรมสงคราม ความอปั ยศครงั้ นนี้ ําไปสคู่ วามขดั แย้งคร้งั ท่ี 2 ทําให้เกดิ การปะทขุ องสงครามโลกครั้งท่ี 2 อีกครัง้ สงครามโลกครัง้ ท่ี 1 นําผลแหง่ ความเสียหายอยา่ งมากมาสู่ประชาคมโลก ซึ่ง ปรีชา ศรีวาชัย กล่าวไว้ใน สงครามโลกคร้ังท่ี 1 – 2 และสงครามเกาหลีว่า “มี วิธีทีจะคํานวณความเสียหายอย่างคร่าว ๆ หลาย ๆ วิธี ตัวอย่างเช่น จํานวน ทหารทง้ั หมดทม่ี เี ทา่ กับพลเมอื งของเยอรมนั ท้ังประเทศ ชวี ิตที่สูญเสียไปมีเท่ากับ พลเมืองเบลเย่ียมทงั้ ประเทศ พลเมืองท่ีบาดเจ็บเทา่ กบั พลเมืองของสเปน ลองคิด ดวู ่าคนเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ท้ังประเทศ ค่าเสียหายของสงครามสามารถแบ่งให้ ชาวยุโรปในครอบครัวละ ๕ คน ได้ครอบครัวล่ะ ๕๐,๐๐๐ บาท ได้ท่ัวยุโรป ความเสยี หายทางเศรษฐกจิ ของสงครามมากกว่าเงินทุนของประเทศใด ๆ ในยุโรป และประมาณคร่ึงหน่ึงของสหรัฐอเมริกา ลองคิดถึงไฟไหม้ทําลายทุกสิ่งทุกอย่าง ตงั้ แต่ ทางเหนือสดุ ของประเทศไทยไปจดทางใตส้ ุดของแหลมมลาย”ู โดยสงครามโลกคร้ังที่ 1 ยุติลงด้วยชัยชนะของฝ่ายประเทศ สัมพันธมิตร (Tripple Entente) และนําไปสู่การประชุมสันติภาพท่ีกรุงปารีส และลงนามใน สนธิสญั ญาสงบศึกในสนธสิ ัญญาต่าง ๆ ซึง่ การประชมุ สันติภาพนั้นได้เร่ิมตน้ ขึ้นใน เดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1919 ในพระราชวังแวร์ซายส์ ประเทศท่ีเข้าร่วมในการ ประชุมครั้งน้ีมีทั้งสิ น้ 32 ประเทศ มีหลาย ๆ ประเทศท่ีเข้าร่วมในสงครามใน ตอนทสี่ งครามใกล้จะยตุ ิลงแลว้ เพ่ือตอ้ งการเพียงทน่ี ่งั ในการประชุมเท่านน้ั และมี ชนชาติหลายกลมุ่ ทปี่ ราถนาจะได้รับเอกราช ก็ส่งผ้แู ทนมาเขา้ ร่วมดว้ ยโดยหวังว่า ข้อตกลงต่าง ๆ ในที่ประชุมน้ีคงจะเป็นไปตาม หลักการ 14 ข้อของอเมริกา ท่ี ประธานาธิบดีวิลสันเสนอเอาไว้ ท่ีให้ทุกชาติมีสิทธิกําหนดตนเอง ส่วนรุสเซียซึ่ง ได้แยกทําสัญญาสันติภาพกับฝ่ายประเทศพันธมิตร (Tripple Alliance) ต้ังแต่ สงครามยังไมย่ ุติ และภายหลังไดเ้ กดิ สงครามกลางเมืองขนึ้ ในประเทศ จึงไม่ได้เข้า ร่วมประชุมด้วย ส่วนประเทศผู้แพ้สงครามไม่มีสิทธิท่ีจะส่งผู้แทนเข้าร่วมการ ประชุม ทั้งนี้เพ่ือหลีกเลี่ยงกรณีท่ีประเทศผู้แพ้สงครามจะยุยงให้ประเทศผู้ชนะ ขัดแย้งกันเอง ดังเช่นท่ี ไทล์เลอรองค์ (Talleyrand) ได้ทําสําเร็จมาแล้วในการ ประชุมทเี่ วยี นนา แต่การกีดกนั ไม่ใหป้ ระเทศฝ่ายแพส้ งครามมีส่วนในการประชุม นัน้ เป็นการเปดิ โอกาสให้เยอรมนั นํามากลา่ วอ้างภายหลงั ว่า เยอรมนั ไม่ได้รับการ ปฏบิ ัติทเี่ ปน็ ธรรม โดยถือวา่ ฝ่ายสัมพันธมิตร (Tripple Entente) ทรยศต่อคํามั่น สญั ญา ไม่ยอมปฏบิ ัติตามขอ้ เสนอ ๑๔ ขอ้ ของวิลสัน

บทท่ี 2 ความขัดแยง้ ในศตวรรษที่ 20 41 Chapter 2 Conflict in 20th Century “ให้นกั เรียนศกึ ษา ผลจากการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยวเิ คราะหส์ ถานการณ์ และ วิพากษ์ ถึง ประเดน็ ดงั ต่อไปน”้ี

42 บทท่ี 2 ความขดั แย้งในศตวรรษท่ี 20 Chapter 2 Conflict in 20th Century ใหน้ กั เรยี นอธิบายประเดน็ สาเหตุ และ ผล “สงครามโลกครั้งท่ี 1” ใหส้ อดคล้องกบั ประเดน็ ดังตอ่ ไปน้ี Human Right Diversity Social Justice Conflict Resolution Interdependence Global Citizenship Sustainable development Values & Perception

บทท่ี 2 ความขดั แย้งในศตวรรษท่ี 20 43 Chapter 2 Conflict in 20th Century หลังการส้ินสุดสงครามโลกคร้ังที่ 1 กลุ่มประเทศ พยายามของสงครามท้ังหมดโดยไม่เลือกว่า ทรัพยากรนน้ั จะเปน็ ของพลเรือนหรือทหาร ได้มี พันธมิตร ซึ่งเป็นฝ่ายชนะสงครามได้ร่วมกันประชุมที่ การคาดการณ์และประมาณกันว่าสงครามมี พระราชวังแวร์ซายส์ในกรุงปารีส ซ่ึงส่งผลออกมาเป็น มูลค่าราว 1 ล้านล้านดอลลา่ รส์ หรฐั ดว้ ยประการ สนธิสัญญาที่เอารัดเอาเปรียบประเทศผู้แพ้สงคราม ทั้งปวง สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงนับว่าเป็น อย่างมหาศาล รวมท้ังเกิดการก่อตั้งองค์การสันนิบาต สงครามขนาดใหญ่ท่ีสุด ใช้เงินทุนมากท่ีสุด และ ชาติขึ้นเพ่ือเป้าหมายหลักท่ีน่าเชิดชูก็คือ ต้องการ น อ ง เ ลื อ ด ที่ สุ ด ใ น ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ป้องกนั ไม่ให้เกิดความขัดแย้งในระดบั ประเทศที่นําไปสู่ มนุษยชาติ ประเมินกันว2า่ 0มีผู้เสียชีวิตระหว่าง 40 การเกดิ สงครามอกี ครงั้ ถึงมากกว่า 70 ล้านคน โดยสงครามโลกครั้งท่ี 2 นับเป็นความขัดแย้ง ทางด้านการเมืองการปกครองและการทหาร ในระดับ โลก ต้ังแต่ ค.ศ. 1939 ถึง 1945 ซ่ึงมีความเก่ียวพันกับ ประเทศส่วนใหญ่ในโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ มหาอํานาจทั้งหมด โดยได้มีการร่วมตัวกันทําสงคราม เป็นพันธมิตรทางทหารสองฝ่ายคู่สงคราม ระหว่างที่ สงครามดาํ เนินไป มีการระดมทหารมากกว่า 100 ล้าน นาย ดว้ ยลักษณะของสงครามเบ็ดเสร็จ ทําให้ประเทศ ผู้ร่วมสงครามหลักได้ทุ่มเทขีดความสามารถทาง เศรษฐกจิ อุตสาหกรรมและวิทยาศาสตรเ์ พือ่ ความ 20 อรพินท์ ปานนาค , รศ. , ประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา 2 , กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคําแหง , 2550. หน้า 498.

44 บทที่ 2 ความขดั แย้งในศตวรรษที่ 20 Chapter 2 Conflict in 20th Century  สภาพการณข์ องอิตาลี และ เยอรมัน ก่อนเกิดสงคราม อิตาลี กอ่ นเกิดสงครามโลกครง้ั ที่ 2 21 นอกจากน้ีผลจากการที่อิตาลีเข้าร่วมสงครามโลกครั้ง ที่ 1 ทําให้อิตาลีต้องสูญเสียเงินไปเป็นจํานวนมากใน หลังจากสงครามโลกครั้งท่ี 1 สิ้นสุดลง อิตาลีเกิด การทําสงครามอย่างต่อเนื่อง ทําให้เม่ือสงครามสงบ สภาวะเศรษฐกิจตกตา่ํ อย่างรนุ แรง แมว้ า่ สภาพการณ์ ลงอติ าลีตกอยู่ในสภาพเกอื บลม้ ละลาย เช่นน้ีจะเป็นสภาพการณ์ปกติที่เกิดข้ึนหลังสงคราม แต่อิตาลีได้รับผลกระทบหนักที่สุด ท้ังน้ีเน่ืองมาจาก นอกจากนี้ ผลอีกประการที่ตามมาจากการท่ี อิตาลีเดิมเองก็มีสภาพเศรษฐกิจที่เปราะบางอยู่แล้ว เศรษฐกิจของอิตาลีตกต่ําลงมาก ก็คือสภาพการ ประกอบกับ อิตาลีมีเทคโนโลยีการผลิตท่ีล้าหลัง ไม่ ว่างงาน มีประชาชนดิตาลีจํานวนมากท่ีตกงานและ ทันสมัยเหมือนประเทศในยุโรปชาติอื่น ๆ และกลุ่ม กลายเป็นภาระของสงั คม เมอื่ นาํ มารวมกับทหารผ่าน ชาวนาท่ีผลิตอาหารเล้ียงพลเมืองในประเทศยังไม่มี ศึกท่ีกลับมาจากสงครามและถูกปลดประจําการก็ไม่ ที่ดินทาํ กินเป็นของตนเอง เนื่องจากที่ดินส่วนใหญ่ตก สามารถหางานทําได้ หรือไม่ก็อยู่ในสภาพคนพิการที่ อยู่ในมือของนายทุนทั้งสิ้น และสาเหตุหลักอีก เป็นภาระให้กับรัฐบาลต้องดูแล จึงนําไปสู่การ ประการก็คือ อิตาลีประสบปัญหาภัยธรรมชาติหลัง เดินขบวนประท้วงรฐั บาลในเวลาต่อมา สงครามโลกคร้ังที 1 ส้ินสุดลง ทําให้การเกษตรกรรม ของอติ าลที ี่เปน็ แหล่งอาหารหลักเล้ียงคนท้ัง 40 ล้าน นอกจากน้สี าเหตุอีกประการทีท่ าํ ให้อติ าลตี ้องตกอยู่ คน ต้องหยดุ ชะงกั และส่งปญั หาตามมาอีกมากมาย ในสภาวะเศรษฐกิจตกตํ่าขนาดนี้เนื่องมาจาก อิตาลี ไม่ได้รับส่วนแบ่งจากสงครามในฐานะประเทศผู้ชนะ ในด้านอุตสาหกรรม อิตาลีเองมีปัญหาเศรษฐกิจ สงครามตามท่ีได้รับการตกลงกันไว้ใน สนธิสัญญา ด้งั เดมิ อยูแ่ ล้ว ทําให้ไม่มีเงินทุนมากพอท่ีจะมาพัฒนา ลอนดอน 1915 ที่อังกฤษรับปากว่าจะให้ดินแดนที่ อุตสาหกรรมให้มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับ อุดมสมบูรณ์มากกว่านี้ แต่เน่ืองจากในการประชุมท่ี ประเทศอุตสาหกรรมในยุโรปชาติอื่น ๆ ประกอบกับ ปารีส ประธานาธิบดีวิลสัน ได้คัดค้านการยกดินแดน การคมนาคมขนส่งในประเทศไม่มีความทันสมัยทําให้ ที่อดุ มสมบรู ณจ์ าํ นวนมากให้กับอิตาลีทําให้อังกฤษซ่ึง การขนส่งสินค้าในอิตาลีทําได้ยากและล้าช้ามาก รู้สึกเสียดายดินแดนเหล่านั้นอยู่แล้ว ประกอบกับ ประกอบอับอิตาลีขาดแคลนถ่ายหินและเช้ือเพลิง ฝรั่งเศสท่ีต้องการดินแดนเหล่านั้นเช่นกัน จึงร่วมมือ ภายในประเทศ และไมมีความม่ันคงทางเศรษฐกิจ กันคัดค้านและสนับสนุนเสียงของอเมริกาให้อิตาลี มากพอที่จะสง่ั ซอื้ จากต่างชาติไดท้ าํ ให้ประชาชนได้รับ ไดร้ บั ดินแดนเทา่ ท่ีจัดสรรให้เท่าน้ัน ซึ่งส่งผลให้อิตาลี ความเดอื นร้อนมาก มีความไม่พอใจอเมริกาและประเทศพันธมิตรอย่าง มาก โดยความผิดหวังเช่นน้ีประชาชนอิตาลีโยน ความผิดลงไปให้ท่ีรัฐบาล เนื่องจากอ่อนแอและไม่ สามารถใช้อํานาจทางการทูตเพ่ือเจรจาเอาดินแดนท่ี อดุ มสมบรู ณ์มาได้ 21 ศฤงคาร พนั ธุพงศ์ , ศ. , ประวัตศิ าสตร์ยโุ รป 2 , กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั รามคาํ แหง , 2540. หน้า 378.

บทท่ี 2 ความขดั แย้งในศตวรรษท่ี 20 45 Chapter 2 Conflict in 20th Century การขน้ึ เปน็ ผนู้ ําอติ าลขี อง มสุ โสลนิ ี ผลจากการที่อิตาลีต้องเจอกับความอัปยศจากการ ผิดสัญญาของชาติมหาอํานาจในข้อตกลงท่ีลอนดอน ทําให้รัฐบาลของอิตาลีได้รับการตําหนิอย่างรุนแรง จนกระท่ังในปี 1919 มีการเลือกต้ังใหม่ ชาวอิตาลี ตอ้ งการผ้นู าํ ทมี่ ีความเข้มแข็งและกล้าได้กล้าเสียมาก พอที่จะเรียกร้องสิ่งท่ีอิตาลีควรจะได้ แต่กลับผิดหวัง อีกคร้ังเม่ือ นายลุยจิ แฟกตา (Luigi Facta) ได้รับ การเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลโดย ไม่สามารถดําเนินการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการ เรยี กร้องกับประเทศมหาอาํ นาจได้ สภาวการณ์เช่นนี้ส่งผลให้เกิดการแตกแยกทางการ เมืองอย่างมาก เนื่องจาก นักการเมืองบางกลุ่ม ต้องการให้เกิดการเรียกร้องสิทธิและ แก้ปัญหา เศรษฐกิจกอ่ นในขณะท่รี ฐั บาลไมส่ ามารถทําได้ ดงั นั้น จึงส่งผลให้มีการแยกตัวออกจากพรรคสังคมนิยม ซึ่ง เป็นพรรครัฐบาลออกมาตั้งเป็น พรรคคอมมิวนิสต์ อิตาลี ขึ้น ในต้นปี 1921 สถานการณ์ความขัดแย้ง ลุกลามบานปลายจนหม่ินเหม่ท่ีจะเกิดสงครามกลาง เมืองมาก ทําให้ในปี 1922 พระเจ้าวิคเตอร์ เอมมานู แอลท่ี 3 ได้แต่งต้ัง เบนิโต มุสโสลินี หัวหน้าพรรค ฟาสซิสต์ให้ดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรี และ ตาํ แหน่งผู้นาํ (Duce) และครองอํานาจยาวนานไปถึง 1943 กลวธิ ใี นการขนึ้ เปน็ ผู้นาํ อิตาลขี อง มุสโสลนิ ี ในปี ค.ศ. 1921 มกี ารเลือกต้งั นายกรัฐมนตรอี ิตาลี ซึ่งพรรคฟาสซิสต์ ทม่ี ุสโสลนิ กี ่อตัง้ ขน้ึ นั้นได้รับการเลือกตง้ั เพียง 35 ทนี่ งั่ ทําให้ มสุ โสลินไี มพ่ อใจมาก และดําเนินการปลุกป่ันกระแสการเมืองโดยการโฆษณาชวนเชื่อ ว่า พรรคคอมมวิ นสิ ตใ์ นอติ าลกี าํ ลังเตรียมการปฏวิ ัติ (พรรครัฐบาล) ส่งผลใหก้ ระแสนิยมในพรรคคอมมิวนิสต์ตกตํ่า ลงอย่างรวดเรว็ และไปหนนุ การปฏิบตั กิ ารหาเสียงของพรรคฟาสซิสตม์ ากข้นึ ในช่วงปี 1922 พรรคฟาสซิสต์มีอํานาจสูงมาก และมุสโสลินีก็พิสูจน์ สถานะท่ีมีอํานาจ จากการที่ประชาชน สนับสนุนด้วยการเดินทัพเข้ากรุงโรมจาก 4 ทิศทาง เพ่ือพิสูจน์ว่า จะมีกาต่อต้านจากประชาชนหรือ นักการเมืองหรือไม่ ผลก็คือ ไม่มีการต่อต้าน เพราะประชาชนเร่ิมสนับสนุนมุสโสลินีมากข้ึนจากการเสพส่ือ โฆษณาประชาสัมพันธ์ของพรรคฟาสซิสต์ จนกระท่ัง อํานาจของมุสโสลินี ที่ม่ันคงมาก ทําให้ ได้รับการแต่งต่ัง จากพระเจ้าวคิ เตอร์ เอมมานแู อล ใหด้ าํ รงตําแหน่งนายกรฐั มนตรใี นปี 1922 ดังท่กี ล่าวไปแล้วข้างตน้

46 บทที่ 2 ความขัดแยง้ ในศตวรรษท่ี 20 Chapter 2 Conflict in 20th Century หลังจากท่ีมุสโสลินีได้ครองอํานาจแล้ว ก็เร่ิมต้นดําเนินการสร้างความม่ันคงใน ตาํ แหนง่ ดว้ ยการออกกฏหมายอเซอรโ์ บ ซง่ึ เปน็ กฎหมายทีใ่ ห้อาํ นาจกับรัฐบาลอย่างมาก โดย การบงั คับใหพ้ รรคการเมืองท่ีได้รบั เสียงข้างมาก ในการเลอื กตั้งไดร้ บั ทน่ี ง่ั ในสภามากถงึ 2 ใน 3 ซง่ึ เปน็ การเปลี่ยนการปกครองของอิตาลอี ยา่ งมาก และเป็นจุดเริ่มต้นระบบการปกครองแบบเผด็จการ ของมุสโสลินี มสุ โสลนิ ีมีอํานาจมั่นคงมากเมอ่ื เขา้ สปู่ ี 1928 รัฐสภาหมด บทบาททางการเมอื งการปกครอง พรรคฟาสซิสตเ์ ป็นพรรค การเมืองเดยี วที่มอี าํ นาจ อติ าลีตกอยใู่ นระบอบการปกครองแบบ เบด็ เสรจ็ (Totalitarianism) ไมม่ กี ารเลือกตงั้ หนังสอื พิมพ์ ไมส่ ามารถตีพิมพ์ข่าวไดอ้ ยา่ งเสรี สหภาพกรรมกรไม่สามารถ เรียกร้องตอ่ รองใด ๆ กับรัฐบาลได้ จนกระท่งั ปี 1933 มสุ โสลินซี งึ่ สามารถควบคมุ การเมือง ของอติ าลีไว้ในมอื ไดแ้ ลว้ กย็ งั สามารถเข้าควบคุมเศรษฐกิจของอิตาลีได้อีก โดยการเข้า ควบคมุ อตุ สาหกรรมในอติ าลี โดยการกําหนดให้ตัวแทนจากโรงงานทั้งหมด มาเข้าร่วม การประชุมกับพรรคฟาสซิสต์เพื่อกําหนดค่าจ้างแรงงาน ราคาสินค้า และชั่วโมงการ ทาํ งานซึง่ ทาํ ให้ สหภาพกรรมกร หมดบทบาทในอิตาลใี นท่ีสดุ นอกจากนี้ ในปี 1929 มุสโสลินีได้เข้าควบคุมระบบการศึกษาในอิตาลีท้ังหมด จาก การทําสญั ญากบั สมเดจ็ พระสนั ตะปาปาไพอัสท่ี 11 โดยยอมรับว่าวาตกิ นั เป็นรฐั เอกราช และ มอบเงินให้ศาสนจกั รชดเชยการสญู เสียอาณาเขตรอบ ๆ วาติกันไปให้กบั อิตาลี คิด เป็นเงนิ 105 ลา้ นดอลล่าร์ ทําให้พระสันตะปาปาไพอัสที 11 พอพระทัยและชักชวนให้ ประชาชนอิตาลีให้หันมาสนับสนุนรัฐบาลฟาสซิสต์ แต่มีเงื่อนไขอีกประการที่พระ สันตะปาปาไม่พอพระทัยคือ มุสโสลินีไม่ยอมให้ศาสนจักรมากําหนดระบบการศึกษา เช่นเดมิ แตม่ สุ โสลินีจะควบคมุ การศึกษาของอิตาลีเองภายใต้คาํ ส่งั จากรฐั บาลฟาสซิสต์ ในด้านนโยบายต่างประเทศรัฐบาลฟาสซิสต์ของมุสโสลินีในระยะแรกดําเนินนโยบาย สันตแิ บบขยายอาํ นาจ เพ่อื ปอ้ งกันการกระทบกระทัง่ กับประเทศมหาอํานาจ จนกระทั่ง อิตาลีมั่นคงขึ้นแล้ว จึงดําเปล่ียนแปลงนโยบาย โดยรัฐบาลฟาสซิสต์ได้ทําการรุกราน และยดึ ครองดนิ แดนต่าง ๆ ครัง้ สําคญั ๆ จาํ นวน 4 ครัง้ คอื 1. การสนบั สนุนการเข้ายึดครองฟิมูเอ ของ กาบรลิ แดนนันซิโอ ในปี 1919 2. วิกฤตการณ์คอร์ฟู ปี 1923 3. การผนวกอัลบาเนีย ปี 1939 4. การรุกรานเอธโิ อเปีย ปี 1937

บทท่ี 2 ความขดั แยง้ ในศตวรรษท่ี 20 47 Chapter 2 Conflict in 20th Century “ใหน้ กั เรียน วเิ คราะห์นโยบายขยายอํานาจของมุสโสลินี ในช่วงปี 1919 – 1937 โดยเลือกมาคน ละ 1 กรณี และวเิ คราะห์ให้สอดคลอ้ งกบั ประเดน็ ดงั ตอ่ ไปน”้ี Human Right Diversity Social Justice Conflict Resolution Interdependence Global Citizenship Sustainable development Values & Perception

48 บทที่ 2 ความขดั แย้งในศตวรรษท่ี 20 Chapter 2 Conflict in 20th Century เยอรมนี กอ่ นเกดิ สงครามโลกครงั้ ท่ี 2 ในช่วงปี ค.ศ. 1934 เยอรมนีเป็นประเทศกึ่งโดด เดี่ยวเน่ืองจากไม่มีพันธมิตรทางการทูตที่ให้ความ สนับสนุนแม้แต่กับอิตาลีเองก็มีความสัมพันธ์ท่ีไม่ได้ เป็นไปในทิศทางที่เป็นมติ ร เน่อื งจาก เยอรมนี ภายใต้ การนําของฮิตเล่อร์ได้พยายามเข้ายึดครองออสเตรีย แต่ไม่สําเร็จเน่ืองจากมุสโสลินีได้เข้าขัดขวาง เพราะ มุสโสลินีเองไม่ต้องการให้เยอรมนีมีเขตแดนติดกับ อิตาลี แต่เนื่องจาก ท้ังสองประเทศมีนโยบายที่ สอดคล้องกัน ทําให้ในเวลาต่อมาทั้งสองประเทศก็ ต้องลงนามเป็นประเทศพันธมิตรกันในท่ีสุด เรียกว่า แกนโรม-เบอรล์ ิน (Rome-Berlin Axis) การข้ึนมามอี าํ นาจของฮติ เลอร์ หลังสงครามโลกครั้งท่ี 1 สิ้นสุดลงเยอรมนีในฐานะ ประเทศผู้แพ้สงคราม ตกอยู่ในสภาวะท่ีอ่อนแอมาก ประกอบกับการสละราชสมบัติของพระเจ้าไกเซอร์ วลิ เลยี มท่ี 2 ทําให้ เยอรมนตี กอยู่ในสภาวะขาดความ ม่ันคงทางจิตใจ ประเทศต้องปกครองโดยรัฐบาล ช่วั คราว (Provisional Government) ภายใต้การนํา ของ พรรคสังคมประชาธิปไตย (Social Democratic Government) แต่ก็เกิดความแตกแยกภายในพรรค จนต้องเกิดพรรคการเมอื งใหมเ่ ป็น 3 พรรค คอื 1. Majority Socialist 2. Independent Socialist 3. Spartacists พรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองทั้ง 3 น้ีต่างก็มี ความคดิ ที่ขดั แย้งกนั อยู่ จนกระทงั่ เกิดเหตุการณ์ การ ก่อกบฏโดยกลุ่มสปาร์ตาซิสท์ ซ่ึงเกิดข้ึนในเดือน มกราคม 1919 ซึ่งก่อการกบฎขึ้นในกรุงเบอร์ลินแต่ ถกู ปราบปรามได้จากการที่กองทัพบกของเยอรมนีได้ เข้าปราบปราม เหตุการณ์น้ีส่งผลให้กองทัพบกของ เยอรมนีกู้ความน่าเชื่อถือคืนมาจากประชาชนได้มาก หลังจากการพ่ายแพ้ในสงครามโลกคร้ังที่ 1

บทท่ี 2 ความขัดแยง้ ในศตวรรษท่ี 20 49 Chapter 2 Conflict in 20th Century “ให้นกั เรยี น สบื คน้ ข้อมลู เก่ียวกับการก่อต้งั สาธารณรฐั ไวมาร์ ทาํ เปน็ รายบคุ คล”

50 บทที่ 2 ความขัดแยง้ ในศตวรรษท่ี 20 Chapter 2 Conflict in 20th Century ผลจากการจดั ตง้ั สาธารณรฐั ไวมาร์ และรัฐธรรมนูญไว มาร์ในปี ค.ศ. 1919 แล้วเป็นช่วงที่เยอรมนีตกอยู่ใน สภาวะของการเกิดความวุ่นวายทางการเมืองและ สังคมอย่างมาก มีการก่อกบฎหลายครง้ั เช่น กบฏแคปป์ (Kapp Putsch) โดยเป็นการก่อจลาจลในปี ค.ศ. 1920 นําโดย กลุ่มทหารท่ีไม่พอใจรัฐบาลของ ประธานาธิบดีอีแบร์ ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐไวมาร์ โดยมี เป้าหมายเพอ่ื ให้รฐั บาลลาออก และแต่งต้ัง ดร.แคปป์ มาดํารงตําแหน่งแทน ซึ่งการก่อจลาจลคร้ังน้ีล้มเหลว เพราะ ได้รบั การต่อตา้ นจากกลมุ่ ชาวนา และกรรมกร โดยการงดการให้บรกิ ารสาธารณะทกุ ประเภทกับกลมุ่ ผ้กู อ่ การ ทาํ ให้ต้องยกเลกิ ไปในทีส่ ดุ กบฏมิวนคิ หรือ กบฏโรงเบียร์ (Munich Putsch or Beer Hall Putsch) เป็นการก่อการกบฏภายใต้การนําของ อดอร์ฟ ฮิตเลอร์ ร่วมมือกับ จอมพลดูเลนดอร์ฟ เพื่อโค่นล้ม อํานาจของสาธารณรัฐไวมาร์และจัดต้ังการปกครอง ขึ้นในรัฐบาวาเรีย และค่อย ๆ ขยายออกไปยัง เบอรล์ นิ แต่การกอ่ การลม้ เหลวเพราถกู ปราบปรามได้ ส่งผลให้ฮติ เลอร์ถกู จบั กมุ และขงั คุกอยู่ 5 ปี จนกระท่ังในปี ค.ศ. 1924 กลุ่มฝ่ายขวาชาตินิยม และพรรคคอมมิวนสิ ต์ไดร้ บั เสยี งสนบั สนนุ เพมิ่ มากขน้ึ จนกระทั่งในปี 1925 จอมพลฮินเดนเบิร์ก (Paul Von Hindenburg) ได้รับการเลือกต้ังเป็น ประธานาธิบดีฮินเดนเบิร์ก พยายามดําเนินนโยบาย ป ร ะ นี ป ร ะ น อ ม ด้ ว ย ก า ร แ ต่ ง ต้ั ง บุ ค ค ล ท่ี มี ความสามารถมาเพื่อจัดตั้งรัฐบาลแต่ก็ไม่ประสบ ผลสําเร็จเพราะไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากสภา และ ประชาชนมากพอ ในปี 1926 เยอรมนีได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ องค์กรสันนิบาตชาติ ทําให้เป็นช่วงระยะเวลาที่ เยอรมนีมีความสงบเรียบร้อยและมีความมั่นคง ทางการเมืองระหว่างประเทศในระดับหนึ่งแต่ผลจาก การเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ในปี ค.ศ. 1292 ทําให้เกิด การเปล่ียนแปลงอย่างใหญห่ ลวงตามมาอกี คร้งั

บทท่ี 2 ความขดั แยง้ ในศตวรรษท่ี 20 51 Chapter 2 Conflict in 20th Century วิกฤตการณเ์ ศรษฐกิจตกต่ําในปี 1929 ในปี ค.ศ. 1929 เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ําอย่าง รนุ แรงทัว่ โลก ทําให้ส่งผลกระทบไปท่ัวทุกประเทศใน โลก เยอรมนีก็เป็นอีกหนึ่งประเทศท่ีได้รับผลกระทบ เช่นกัน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ทําให้ เกิด ภาวการณ์ว่างงานของกรรมกรมากถึง 6 ล้านคน นําไปสู่การเดินขบวนประท้วงเพ่ือเรียกร้องตําแหน่ง งาน ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายตามมาในการปกครอง ประเทศ ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมืองและ สังคมของเยอรมนีนั้น ในการเลือกต้ังปี ค.ศ. 1930 และ 1932 พรรคคอมมิวนิสต์และพรรคนาซี เป็น พรรคการเมืองท่ีมีคะแนนเสียงสนับสนุนเพิ่มมากขึ้น และกลายเปน็ พรรคท่ีมีบทบาทสําคญั มากในเยอรมนี เยอรมนี เป็นประเทศท่ีได้รับผลกระทบจากภาวะ เศรษฐกิจตกตํ่าอย่างรุนแรงท่ีสุดในยุโรปเนื่องมาจาก เยอรมนียังมีพันธะผูกพันตามข้อตกลงใน สนธิสัญญา แวร์ซายส์ เมื่อรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ไดท้ ําให้ประชาชนเริ่มหนั มาให้การสนับสนุนต่อพรรค การเมืองท่ีมีแนวนโยบายชาตินิยมอย่างรุนแรง เช่น พรรคนาซี ในขณะท่ีกลุ่มชนช้ันกลางที่ได้รับกระทบ จากภาวะเศรษฐกิจตกตํ่า ก็หวาดเกรงต่อการขยาย อํานาจของพรรคคอมมิวนิสต์ จึงหันมาให้การ สนบั สนุนพรรคนาซีแทน เป็นการเริ่มต้นมีอํานาจทาง การเมืองอย่างม่ันคงของพรรคนาซีภายใต้การนําของ ฮิตเลอร์ในเวลาต่อมา โดยฮิตเลอร์ให้ได้คํามั่นสัญญา กับกลุ่มผไู้ ดร้ บั ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกจิ ตกต่ําทั่ว โลก ว่าจะให้สิ่งตอบแทนแก่ผู้ท่ีลงคะแนนเสียง เลอื กตงั้ พรรคนาซ.ี ความพยายามจัดต้ังรัฐบาลของฮินเดนเบริ ก์ ในระยะแรกช่วงปี ค.ศ. 1929 – 1932 ฮินเดนเบิร์กไม่ต้องการให้ฮิตเลอร์ขึ้นมามีอํานาจ ทางการปกครองมากนัก โดยเฉพาะในฐานะนายกรัฐมนตรี ดังน้ัน ในการเลือกต้ังปี ค.ศ. 1932 แม้ว่าพรรคนาซีจะได้รับเสียงข้างมากในการเลือกตั้งคือ 230 ที่นั่ง แต่ก็ยังไม่มาก พอทจี่ ะจัดตง้ั รฐั บาลได้ (ตอ้ งได้ 2 ใน 3) ดังนั้น ฮินเดนเบิร์ก จึงมอบตําแหน่ง ผู้จัดตั้งรัฐบาล ให้กับ ฟอน ปาเปน (Franz Von Papen) แต่เน่ืองจาก ปาเปนยังไม่มีอํานาจทางการเมือง มากพอทําให้ปาเปนไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ทั้ง ๆ ที่ได้เสนอตําแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ใหก้ บั ฮิตเลอรแ์ ล้วก็ตาม ดังน้ันในการเลือกต้ังคร้ังที่ 2 ในปี 1932 ฮินเดนเบิร์กจึงมอบตําแหน่งผู้จัดตั้งรัฐบาลให้กับ นายพลชไลเซอร์ (Kurt Von Schleicher) แต่ชไลเซอรเ์ องก็ยงั ไมส่ ามารถจัดตง้ั รัฐบาลไดแ้ ละ ยอมลาออกไปในทสี่ ดุ

52 บทที่ 2 ความขดั แยง้ ในศตวรรษที่ 20 Chapter 2 Conflict in 20th Century จากสถานการณ์ดังกล่าวทําให้ ฮินเดนเบิร์กไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยอมมอบตําแหน่ง นายกรัฐมนตรีให้กับ ฮิตเลอร์ และ ฮิตเลอร์ก็ทําสําเร็จโดยการจัดตั้งรัฐบาลได้ในวันท่ี 30 มกราคม ค.ศ. 1933 ท่ามกลางความหวังของผ้สู นับสนุนว่าจะใช้ฮิตเลอร์เป็นเคร่ืองมือในการ กอบโกยผลประโยชน์ ซ่ึงสถานการณ์กลับพลิกผันท้ังหมด โดยหลังจากที่ฮิตเลอร์เป็น นายกรัฐมนตรีแล้วก็จัดการปกครองข้ึนระยะส้ัน ๆ และเม่ือทุกอย่างลงตัวแล้วในเดือน มนี าคม 1933 ฮิตเลอรก์ ็ประกาศยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยพยายามสร้างอุปสรรค ในการหาเสียงเลือกต้ังของพรรคอื่น ๆ เช่น การลอบวางเพลิงรัฐสภา และป้ายความผิดไป ให้กับพรรคคอมมิวนิสต์ พร้อมกับยุยงให้ฮินเดนเบิร์กประกาศภาวะฉุกเฉิน ผลปรากฏว่า ท่ามกลางการประกาศภาวะฉุกเฉินพรรคการเมืองอื่น ๆ ก็ไม่สามารถหาเสียงได้ ในขณะที่ พรรคนาซีในฐานะรัฐบาล ก็ดําเนินการประชาสัมพันธ์ตนเอง พร้อมกับให้ความรุนแรง ปราบปรามพรรคการเมอื งตรงขา้ มเพือ่ ใหน้ าซไี ดร้ บั เสียงข้างมากในสภามากทส่ี ุด ผลปรากฏวา่ การเลือกต้งั พรรคนาซีสามารถ จัดต้ังรัฐบาลได้ และ ฮิตเลอร์ได้บีบให้ รัฐสภาผ่านกฎหมาย Enabling Act ซึ่งเป็น การมอบอาํ นาจเผดจ็ การให้กับ ฮิตเลอร์เป็น เวลา 4 ปี และฮิตเลอร์ก็ใช้อํานาจอย่าง ระมัดระวัง เน่ืองจากหวาดเกรงในอํานาจที่ เหนอื กวา่ ตนของฮนิ เดนเบิร์ก จนกระทั่งเมื่อ ฮินเดนเบิร์กเสียชีวิตไปใน เดือนสิงหาคม 1934 ฮิตเลอร์จึงประกาศแต่งต้ังตนเองเป็น ผู้ นํ า สู ง สุ ด แ ห่ ง อ า ณ า จั ก ร ไ ร ซ์ เ ย อ ร มั น (Fuhrer of The German Reich)

บทท่ี 2 ความขัดแย้งในศตวรรษที่ 20 53 Chapter 2 Conflict in 20th Century “ใหน้ กั เรยี น สืบคน้ และวเิ คราะห์ถึง ปัจจัยที่ทําให้เกิดสงครามโลกคร้ังที่ 2 และ ผลกระทบ พร้อม ท้ังอธบิ ายเช่อื มโยงกับประเด็นดังต่อไปน”ี้ Human Right Diversity Social Justice Conflict Resolution Interdependence Global Citizenship Sustainable development Values & Perception

54 บทที่ 2 ความขัดแยง้ ในศตวรรษท่ี 20 Chapter 2 Conflict in 20th Century “ใหน้ กั เรยี นศกึ ษาภาพตอ่ ไปนี้แล้วอธิบายตามความเขา้ ใจ และ ความรูส้ ึกของนกั เรยี น”       

บทท่ี 3 แนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้ง 55 Chapter 3 Approach to conflict resolution ในการอยู่ ร่วมกันของมนุษย์ ความขัดแย้งระหว่าง องคก์ ารระหว่างประเทศ หมายถึง องค์การที่รัฐตั้งแต่ สองรฐั ข้ึนไปรว่ มกนั กอ่ ตัง้ มกี ารประชมุ รว่ มกันเปน็ ประจํา กันเป็นส่ิงที่ หลีกเล่ียงได้ยากสําหรับสาเหตุของ และมีเจ้าหน้าท่ีทํางานเต็มเวลา นโยบายขององค์การ ความขัดแยง้ มีทงั้ เหตผุ ลทางด้านเศรษฐกจิ การเมือง ระหว่างประเทศจะเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของ ศาสนาและความเช่ือจะเห็นได้ว่า ตลอดเวลาใน รัฐสมาชิก การเข้าเป็นสมาชิกเป็นไปตามความสมัครใจ ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ จะมีความขัดแย้งเกิด ของรัฐ ขึ้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งในระดับท่ี ไม่ รุนแรงนัก ไปจนกระท่ังความขัดแย้งในระดับท่ี องค์การระหว่างประเทศตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ รนุ แรงจนก่อให้เกิดสงคราม ตัวอย่างความขัดแย้งท่ี แน่นอน กล่าวคือ ถ้าวัตถุประสงค์ท่ีจัดตั้งขึ้นมีลักษณะ รุนแรงส่งผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติ เช่น ทั่วไปในการธํารงรักษาสันติภาพและแก้ไขความขัดแย้ง สงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกคร้ังที่ 2 ซึ่ง ระหว่างประเทศ องคก์ ารระหวา่ งประเทศนน้ั จะมลี ักษณะ ก่อให้เกิดความเสียหายทางด้านทรัพย์สินและชีวิต เป็นสากล เช่น องค์การสหประชาชาติ ซ่ึงมีแนวทางใน ของมนุษย์อย่างมหาศาล ขณะเดียวกันมนุษย์ก็ การแกไ้ ขความขดั แย้งต่างๆ เช่น การเจรจาข้อตกลง การ ตระหนักถึงผลเสียของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ทําให้ ไกล่เกลี่ย การไต่สวน การประนีประนอม เป็นต้น ถ้า ต้องคิดหาหนทางที่จะป้องกันและสร้างสันติภาพ วัตถุประสงค์ท่ี จัดตั้งมีลักษณะเฉพาะในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ร่วมกนั จึงเหน็ ความสําคญั ของความร่วมมือระหว่าง เพอื่ รกั ษาผลประโยชน์ของกลุ่มประเทศ องค์การระหว่าง ประเทศความร่วมมือระหว่างประเทศน้ัน นอกจาก ประเทศนั้นจะเป็นองค์การระดับภูมิภาค เช่น องค์การ เป็นหนทางในการสร้างสันติภาพแล้วยังเป็นการ สนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต เป็นต้น องค์การ ประสานผลประโยชน์ร่วมกันทั้งทางด้านการค้า ระหว่างประเทศจึงเป็นภาพสะท้อนความพยายามของรัฐ การทหาร ตลอดจนวัฒนธรรม จึงทําให้ประเทศ ต่างๆ เพ่ือรักษาสันติภาพหรือพยายามยับยั้งการใช้กําลัง ต่างๆ เห็นความสําคัญในการจัดต้ังองค์การระหว่าง ประเทศเพือ่ ประสานผลประโยชน์ในด้านต่างๆ ของ รนุ แรงเขา้ ตัดสินความขัดแย้งระหวา่ งประเทศ. ตน

56 บทที่ 3 แนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้ง Chapter 3 Approach to conflict resolution การประชุมใหญ่แห่งเวียนนา หรือท่ีเรียกกัน ของเยอรมนีรวมทั้งดินแดนต่าง ๆ ของอิตาลี และ ร่วมกันก่อต้ัง กลุ่มอิทธิพล (spheres of influence) ว่า คองเกรสแห่งเวียนนา (The Congress of ซึ่งประกอบด้วย ประเทศฝร่ังเศส ประเทศออสเตรีย Vienna) เป็นลักษณะความพยายามครั้งแรกของ ประเทศรสั เซยี และกลุม่ ประเทศเครือจักรภพอังกฤษ มนุษยชาติที่ต้องการแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยการ ซ่ึงประเทศเหล่านี้ อ้างตัวเป็น กลุ่มผู้มีหน้าที่ตัดสิน เจรจา เนื่องจาก ก่อนหน้าที่จะมีการเริ่มต้นการ ปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นในระดับท้องถ่ินหรือภูมิภาค ประชุมคองเกรสแห่งเวียนนาขึ้นนั้น ยุโรปแก้ไข ยุโรป ส่งผลให้ \"การประชุมใหญ่แห่งเวียนนา\" มี ปัญหาความขัดแย้งด้วยการใช้กําลังทางทหารมา สถานะกลายมาเป็นโครงร่างแบบอย่างของการก่อตั้ง ตลอด การเจรจาจะเกดิ ขน้ึ กต็ ่อเมื่อ สงครามสิ้นสุดลง องค์การสันนิบาตชาติ และ องค์การสหประชาชาติ แล้ว และเป็นการเจรจาเพ่ือแบ่งปันผลประโยชน์ ในเวลา ต่อมา ตามจุดประสงค์ของการแสวงหาความ เทา่ น้ัน สันติสุขจากบรรดาภาคสี มาชิก. โดยการประชุมคองเกรสแห่งเวียนนา เป็น การ ประชุมของคณะราชทูตจากรัฐต่าง ๆ ในทริปยุโรป โดยมีแกนนําในการประชุม ก็คือ รัฐบุรุษออสเตรีย เคลเมนนส์ เวนเซิล ฟอน เมทเทอร์นิช (Klemens Wenzel von Metternich) ทําหน้าทเ่ี ปน็ ประธานใน ที่ประชุม โดยจัดการประชุมกันที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ระหว่างเดือนพฤศจิกายน ปี 1814 จนถงึ เดอื นมิถนุ ายน ปี 1815 การประชุมคองเกรสแห่งเวียนนามีวัตถุประสงค์ เพื่อทําการตกลงกันในปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นจาก ความยุ่งยากในยุโรป โดยเฉพาะ ปัญหาเรื่องดินแดน ที่ปรากฏออกมาเป็นสงครามคร้ังใหญ่ ๆ ได้แก่ สงครามปฏิวัติฝร่ังเศส สงครามขยายอํานาจของ ฝรั่งเศสโดยจักรพรรดินโปเลียน และ สงครามท่ี นําไปสู่การยุบรวมจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทิ์ ซ่ึงเคย ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลสูงท่ีสุดในยุโรปลง โดยมรมี วัตถุประสงค์หลักก็คือ ต้องการให้มีการทําแผนที่ ทางการเมืองของยุโรปใหม่ท้ังหมดหมด เพื่อป้องกัน การลุกลํ้าอาณาเขตซึ่งกันและกัน ส่งผลให้เกิดเป็น การก่อตั้งเขตแดนฝรั่งเศส , ดินแดนวอร์ซอของนโป เลียน , ประเทศเนเธอร์แลนด์ , รัฐต่าง ๆ ท่ีเดิมเป็น สว่ นหนึ่งของสมาพันธรัฐแห่งไรน์ , แคว้นแซกโซนี

บทท่ี 3 แนวทางการแกป้ ัญหาความขดั แยง้ 57 Chapter 3 Approach to conflict resolution “ให้นักเรียน วิเคราะห์ผลกระทบต่อสังคมโลกในด้านต่าง ๆ ท่ีเกิดมาจากการประชุมคองเกรสแห่ง เวยี นนา พร้อมทงั้ วิพากษ์ในกรณที มี่ คี วามนา่ สนใจในความคิดของนกั เรียน”

58 บทท่ี 3 แนวทางการแก้ปญั หาความขัดแย้ง Chapter 3 Approach to conflict resolution องคก์ ารสันนบิ าตชาติ (League of Nations) สนั นบิ าตชาติเป็นองค์การท่ีต้ังข้ึนตามสนธิสัญญาแวร์ ซาย และสนธิสัญญาอื่นๆ ที่ทําขึ้นเมื่อส้ินสุดสงครามโลก ครง้ั ทห่ี นึ่ง และสถาปนาเป็นองค์การระหว่างประเทศเม่ือ วันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1920 (ปี 2463 ตรงกับสมัย รัชกาลที่ 6) โดยผู้ท่ีมีบทบาทสําคัญในการเสนอแนวคิด การก่อตั้งองค์การนี้ มาจากแนวคิดในการหาแนวทาง สร้างสันติภาพของโลกตาม นามกฎบัตร 14 ข้อของ ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน ต่อที่ประชุมใหญ่ จนมีมติ เหน็ ชอบใหก้ ่อต้ัง สันนิบาตชาติก่อต้ังข้ึนตามวัตถุประสงค์หลักของ องค์กรสนั นบิ าตชาตปิ ระกอบด้วย องค์การสันนิบาตชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษา สันติภาพและความม่ันคงระหว่างประเทศ มีหน้าท่ีสําคัญ สมัชชา (General Assembly) เป็นท่ีประชุม สองประการ คอื ใหญ่ประกอบด้วยผู้แทนจากประเทศสมาชิกต่างๆ มสี ิทธิออกเสียงได้ประเทศละ 1 เสียง 1. ดูแลให้มีการปฏิบัติเป็นไปตามสนธิสัญญา ดังกลา่ วข้างต้น คณะมนตรี (Council) ประกอบด้วยสมาชิก ประเภทถาวร คือ อังกฤษ ฝร่ังเศส อิตาลี ญี่ปุ่น 2. ให้โลกมีสันติภาพและความม่ันคงระหว่าง เยอรมณี รสั เซยี สําหรบั สหรัฐอเมริกาไม่ไดเ้ ข้าเป็น สมาชิกเพราะมีนโยบายไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการ ประเทศ ของประเทศยโุ รป สํานักเลขาธิการ (Secretariat) ทําหน้าท่ี ธรุ การท่วั ไป ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (The International court of Justice) ทําหน้าที่ พิจารณากรณีพิพาทระหว่างประเทศสมาชิก มี สํานกั งานตงั้ อยกู่ รุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ อ ง ค์ ก า ร แ ร ง ง า น ร ะ ห ว่ า ง ป ร ะ เ ท ศ (International Labour Organization) มีฐานะ เป็นองค์กรอิสระ แต่ข้ึนตรงต่อองค์การสันนิบาต ชาตโิ ดยตรง

บทท่ี 3 แนวทางการแก้ปญั หาความขดั แยง้ 59 Chapter 3 Approach to conflict resolution สันนิบาตชาติมีเลขาธิการทําหน้าที่บริหารงานขององค์กรเช่นเดียวกับ เลขาธิการสหประชาชาติในปัจจุบันนี้ มีจํานวน 3 คนได้แก่ Sir Eric Drummond ชาวอังกฤษ (ค.ศ. 1920-1933) นาย Joseph Avenol ชาวฝรั่งเศส (ค.ศ.1933-1940) และนาย Sean Lester ชาวไอร์แลนด์ (ค.ศ.1940-1946) ในช่วงแรกของการดําเนินงาน สันนิบาตชาติประสบความสําเร็จท่ี สําคัญหลายด้าน เช่น การระงับข้อพิพาทระหว่างสวีเดน- ฟินแลนด์ เสริมสร้างหลักประกันเสถียรภาพของอัลเบเนีย ช่วยเหลือ ออสเตรียจากความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ จัดแบ่งเขตแดนของ Upper Silesia (แคว้นหน่ึงในโปแลนด์) ป้องกันการเกิดสงครามในคาบสมุทร บอลขา่ นระหวา่ งกรีซ-บัลแกเรยี นอกจากน้ี ยังให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจากสงคราม ขัดขวางการค้า ทาสและการค้าฝิ่น การริเริ่มการสํารวจด้านสุขอนามัย การให้ความ ชว่ ยเหลอื ทางการเงินแกร่ ฐั ทย่ี ากจน การประชมุ สันนบิ าตชาติครัง้ แรกเม่อื ค.ศ. 1920 แต่สันนิบาตชาติมี อายุสั้น เนื่องจากมีอุปสรรคสําคัญท่ีสุดประการหน่ึง คือ สหรัฐอเมริกา ซ่ึงเร่ิมฉายแววความเป็นชาติมหาอํานาจ ไม่ได้ร่วมเป็นสมาชิกของ องคก์ าร ประเทศสมาชิกหลายประเทศเริ่มไมเ่ คารพต่อการปฏิบัติตามข้อ มติของสนั นิบาตชาติ มีการรกุ รานดินแดนต่างๆ อย่างต่อเน่ืองทั้งในยุโรป เอเชีย และแอฟริกา โดยท่ีสันนิบาตชาติไม่สามารถระงับข้อพิพาท ได้ การทญี่ ีป่ ุ่นเข้ายดึ ครองดินแดนแมนจเู รียเม่อื ค.ศ. 1931 และถอนตัว จากการเป็นสมาชิกสันนิบาตชาติในปี ค.ศ. 1933 การไม่สามารถระงับ สงคราม Chaco War ระหว่างโบลิเวีย-ปารากวัย (ค.ศ. 1932-1935) เป็นเหตุการณส์ าํ คญั ทีท่ ําลายเกียรติภูมิขององค์กรอยา่ งย่ิง ต้ังแต่ปี ค.ศ. 1933-1939 มีเหตุการณ์สําคัญต่างๆ เกิดขึ้นอันนําไปสู่ สงครามโลกครั้งที่สอง และการสิ้นสุดของสันนิบาตชาติ เช่น อิตาลีส่ง กําลังโจมตีและยึดครองเอธิโอเปียเพ่ือตอบโต้มาตรการคว่ําบาตรทาง เศรษฐกิจของสันนิบาตชาติ เยอรมันถอนตัวจากการเป็นสมาชิก ส่งกอง กําลังทหารเข้าดินแดนไรน์แลนด์ ถอนตัวจากสนธิสัญญาแวร์ซายส์และ บุกยึดออสเตรีย สงครามกลางเมืองในสเปน ญี่ปุ่นกลับมาทําสงครามกับ จีนอีกคร้ังหน่ึง และการที่สันนิบาตชาติขับรัสเซียออกจากองค์กร เนอ่ื งจากบุกโจมตฟี ินแลนด์ สันนิบาตชาติมีการประชุมสมัยสุดท้ายเม่ือวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1939 (ปี 2482) และหมดสภาพเป็นองค์การระหว่างประเทศลงเมื่อวันที่ 1 สงิ หาคม ค.ศ. 1946 (ปี 2489 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 8) ทรัพย์สินท่ีมีอยู่ ทั้งหมดได้โอนไปให้องคก์ ารสหประชาชาติ

60 บทท่ี 3 แนวทางการแกป้ ญั หาความขัดแย้ง Chapter 3 Approach to conflict resolution จุดออ่ นและความล่มเหลวขององค์การสนั นิบาตชาติ 1) การทสี่ หรฐั อเมรกิ าไม่ไดเ้ ข้าเปน็ สมาชิก เน่ืองมาจากรัฐสภา ของอเมริกาไม่ยอมรับสัตยาบัน (อันเนื่องมาจากจากอิทธิพลของวาทะ มอนโร) ทําให้องค์การสันนบิ าตชาตขิ าดกําลงั สาํ คัญ 2) ไม่มีกองกําลังทหารของตนเอง ซึ่งไม่มีกําลังทหารในการ แกไ้ ขปัญหาความขัดแยง้ ระหว่างประเทศ 3) ประเทศสมาชิกไม่ปฏิบัติตามกติกาของสันนิบาตชาติ เช่น กรณที ่ี ญีป่ ุ่นบกุ แมนจเู รียของจีน 4) การขยายตัวของเผด็จกาท้ังในยุโรปและเอเชีย อาทิเช่น การก่อตัวของนาซีในเยอรมัน การก่อตัวของฟาสซิสต์ในอิตาลี และใน ญ่ีปุ่น และการเผชิญหน้ากันระหว่างประเทศของประเทศที่มีรูปแบบ การปกครองต่างกนั ข้อสงั เกต ในการกอ่ ตง้ั องคก์ ารสันนิบาตชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา ไมไ่ ดเ้ ขา้ เป็นสมาชิกเพราะต้องปฏิบัติตามลัทธิ /วาทะมอนโร (Monroe Doctrine) ซึ่งมีนโยบายไม่ยุ่งเกี่ยวหรือผูกพันทางการเมืองกับประเทศ ทางยโุ รป นับเปน็ ความบกพร่องทสี่ ําคญั ทีส่ ดุ ขององคก์ ารสันนิบาตชาติ องคก์ ารสันนิบาตชาติ 22 22 สนั ชัย สุวังบุตร , ทรรศปณประวัตศิ าสตร์ในยโุ รปยคุ ใหม่ , กรุงเทพฯ : สาํ นักพมิ พม์ ติชน , 2553. หนา้ 47-50.

บทที่ 3 แนวทางการแกป้ ญั หาความขดั แย้ง 61 Chapter 3 Approach to conflict resolution “ให้นักเรียน วิเคราะห์ผลกระทบต่อสังคมโลกในด้านต่าง ๆ ท่ีเกิดมาจากการจัดตั้งองค์การ สันนิบาตชาติ พรอ้ มท้งั วพิ ากษใ์ นกรณที มี่ ีความน่าสนใจในความคดิ ของนกั เรียน”

62 บทที่ 3 แนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้ง Chapter 3 Approach to conflict resolution องคก์ ารสหประชาชาติก่อตั้งข้ึนเม่ือวันท่ี 24 ตุลาคม 2488 (ค.ศ. 1945) ภายหลังสงครามโลกคร้ังท่ีสอง สิ้นสุดลง มีวัตถุประสงค์ที่สําคัญคือ ธํารงไว้ซ่ึง สันติภาพและความม่ันคงระหว่างประเทศ การ ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน การเคารพในหลักความ ยุติธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ การส่งเสริม ความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมของ ประชากรโลก ตลอดจนส่งเสริมความสัมพันธ์อันดี ระหว่างประเทศ องค์การสหประชาชาติมีสํานักงานใหญ่อยู่ที่นคร นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีสมาชิก 189 ประเทศ ประกอบด้วยองค์กรหลัก 6 องค์กร คือ สมัชชา (General Assembly) คณะ มนตรีความม่ันคง (Security Council) คณะมนตรี เศรษฐกิจและสังคม (Economic and Social Council : ECOSOC) คณะมนตรีภาวะทรัสตี (Trusteeship Council) ศาลยุติธรรมระหว่าง ประเทศ (International Court of Justice) และ สํานกั เลขาธิการ (Secretariat) องค์กรตา่ ง ๆ เหล่านี้ มีสํานักงานอยู่ท่ีนครนิวยอร์ก ยกเว้นศาลยุติธรรม ร ะ ห ว่ า ง ป ร ะ เ ท ศ ตั้ ง อ ยู่ ท่ี ก รุ ง เ ฮ ก ป ร ะ เ ท ศ เนเธอรแ์ ลนด์

บทที่ 3 แนวทางการแก้ปญั หาความขดั แยง้ 63 Chapter 3 Approach to conflict resolution บทบาทด้านการสง่ เสรมิ สันติภาพและรักษาความมนั่ คงระหวา่ งประเทศ ในชว่ งทศวรรษท่ี 1980 ซง่ึ เกิดกรณีปัญหากัมพูชา ประเทศไทยได้มีบทบาทนํา อย่างแข็งขนั ร่วมกบั อาเซยี นในการแก้ไขปัญหาในประเทศเพือ่ นบ้านโดยดาํ เนินการ ผ่านเวทีสหประชาชาติ ต่อมาหลังจากสหประชาชาติได้ปรับบทบาทให้สอดคล้อง กับบรรยากาศทางการเมืองระหว่างประเทศหลังจากการยุติของสงคราม เย็น ประเทศไทยได้เพ่ิมบทบาทในด้านการเข้าร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพของ สหประชาชาติท่ีตั้งอยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก เนื่องจากพิจารณาเห็นว่า สหประชาชาติเป็นเสมือนตัวแทนประชาคมโลก ดังน้ันการให้สหประชาชาติดูแล รักษาสันติภาพและความมั่นคงจึงเป็นประโยชน์แก่ประเทศท่ีมีกําลังทางทหาร ขนาดเล็กอย่างไทยมากกว่าทจ่ี ะให้ประเทศใดประเทศหนงึ่ ใช้กาํ ลงั ฝ่ายเดียวเพ่ือยุติ ข้อขัดแย้ง นอกจากน้ี ในฐานะประเทศสมาชิกท่ีดีของสหประชาชาติไทยได้ พยายามให้การสนับสนุนบทบาทของสหประชาชาติเท่าที่สถานภาพและกําลัง ทรพั ยจ์ ะเอ้อื อาํ นวย วตั ถปุ ระสงค์หลัก 4 ประการคอื 1.รกั ษาสันติภาพโลก 2.พัฒนาความสัมพนั ธฉ์ นั ทม์ ติ รในหมปู่ ระเทศ 3.ช่วยเหลอื คนจนใหม้ ชี วี ติ ท่ีดีขน้ึ ขจดั โรคภัยไข้เจ็บและความ ไม่รหู้ นังสอื ในโลก และส่งเสรมิ ให้เกิดความเคารพในสิทธิและเสรีภาพของ กันและกัน 4.เป็นศูนยส์ าํ หรับช่วยเหลือประเทศต่างๆ ให้บรรลุถึงเป้าหมาย ที่วางไว้

64 บทที่ 3 แนวทางการแกป้ ัญหาความขัดแยง้ Chapter 3 Approach to conflict resolution องค์การสหประชาชาติมีหน่วยงานหลักอยู่ 6 แห่ง (Organization Chart of the United Nation System) 1.สมชั ชา (General Assembly) เป็นหนว่ ยงานกลางของสหประชาชาติ มหี นา้ ท่ี จัดประชุม โดยประชุมปกติปีละคร้ัง เริ่มเดือนกันยายน เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน แต่ การประชมุ ฉกุ เฉนิ อาจมีขน้ึ ได้ทุกเมอื่ ในเรอ่ื งของวันวิสาขบูชาทีไ่ ด้รับให้เปน็ วันสาํ คญั ของ โลก ก็มีมตมิ าจากการประชุมนี้ โดยประเทศศรีลงั กาเป็นผเู้ สนอ 2.คณะรฐั มนตรคี วามมน่ั คง (Security Council) ถกู กําหนดใหเ้ ปน็ ผดู้ แู ลในเรื่อง สนั ตภิ าพของโลก เหมอื นเป็นตํารวจโลกน้นั เอง ประกอบดว้ ยสมาชิก 15 ประเทศ โดยมี 5 ประเทศเป็นสมาชิกถาวร ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน ฝรั่งเศส สหพันธ์รัสเซีย สหราช อาณาจักร 3.คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจและสังคม (Economic and Social Council - ECOSOC)มหี นา้ ท่เี กย่ี วขอ้ งกับปัญหา เศรษฐกจิ การคา้ การขนส่ง การขยายอุตสาหกรรม และปญั หาการพฒั นาและสังคม รวมทั้งเรอ่ื ง ประชากร เด็ก ที่อยู่อาศัย สิทธิสตรี การแบ่ง ผวิ ยาเสพตดิ อาชญากรรม สวสั ดิการสังคม เยาวชน ส่ิงแวดล้อมมนุษย์ และอาหาร โดย มีหน่วย งานชํานาญพิเศษ ทําหน้าที่ศึกษาปัญหา ทําข้อเสนอแนะและให้ความช่วยเหลือ เชน่ ILO องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization), FAO องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations), UNESCO องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และ วัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Science and Culture Organization), WTO องคก์ ารการค้าโลก (World Trade Organization) เป็นต้น 4.คณะมนตรีภาวะทรัสตี (Trusteeship Council) ทําหน้าที่ช่วยดูแลดินแดนท่ี ยังไม่เป็นประเทศ โดยจะตรวจตราความก้าวหน้าทางสังคม ของประชาชนท่ีอาศัยอยู่ใน ดินแดนเหล่าน้ี ภายหลังการดําเนินงาน เกือบ 50 ปี คณะมนตรีฯ ได้หยุดการปฏิบัติงาน อยา่ งเป็นทางการแล้ว 5.ศาลยุตธิ รรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) หรอื รจู้ ักกนั นาม “ศาลโลก” นัน่ เอง ทําหนา้ ท่ีตัดสนิ ข้อพิพาทระหว่างประเทศเท่านั้น ตั้งอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ มผี ้พู ิพากษา 15 คน ซ่งึ เลอื กโดย สมชั ชาและคณะมนตรคี วามมั่นคง ผพู้ พิ ากษา 2 คน จะมาจากประเทศเดยี วกันไม่ได้ 6.สํานักเลขาธิการ (Secretariat) เลขาธิการคนปัจจุบันคือนายบัน คีมูน จาก ประเทศเกาหลี เลขาธิการทําหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินปัญหาขัดแย้ง ระหว่างประเทศ สมาชิก บางครัง้ อาจเป็นผลจากการไกลเ่ กลีย่ หรือตําแหน่งหน้าท่ี ในการแก้ไขปัญหา โดย มติ อ้ งนําเรือ่ งเข้าสู่คณะมนตรีความมน่ั คงหรอื สมชั ชาแต่อย่างใด

บทท่ี 3 แนวทางการแกป้ ญั หาความขัดแยง้ 65 Chapter 3 Approach to conflict resolution “ให้นักเรียน วิเคราะห์ผลกระทบต่อสังคมโลกในด้านต่าง ๆ ท่ีเกิดมาจากการจัดตั้งองค์การ สหประชาชาติ พร้อมทั้งวิพากษ์ในกรณที มี่ ีความน่าสนใจในความคิดของนกั เรียน”

66 แนะนาํ หนังสือ Book’s Recommends โกวิทย์ วงศส์ ุรวฒั น์ , การเมืองการปกครองสหรฐั อเมรกิ า แนวพินจิ ทางประวตั ิศาสตร์ , กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์โอ เดยี นสโตร์ , ๒๕๔๘. สมร นิติทัณฑ์ประภาส , สหรัฐอเมริกาในโลกปัจจุบัน ค.ศ. ๑๙๔๕ – ๑๙๘๐ เล่ม ๑ , กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์โอ เดียนสโตร์ , ๒๕๓๑. _______________ . สหรัฐอเมริกาในโลกปัจจุบัน ค.ศ. ๑๙๔๕ – ๑๙๘๐ เล่ม ๒ , กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์โอ เดยี นสโตร์ , ๒๕๓๑. แอลแลน เนวินส์ และ เอนร่ี สตีล คอมเมเจอร์ , ประวัติศาสตร์สังเขปของสหรัฐอเมริกา ตอนท่ี ๓ , กรุงเทพฯ : สํานกั พิมพแ์ พรพ่ ทิ ยา , ๒๕๑๘. ชวน เพชรแกว้ และ ปรีชา นุ่นสขุ , กําแพงเมือง : มรดกทางวฒั นธรรมของชาวนครศรีธรรมราช , สงขลา : มงคล การพิมพ์ , ๒๕๒๐. ประเวศ วะสี , ความสําเร็จในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม : สถานการณ์สิ่งแวดล้อมไทย , กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์ อมรนิ ทรพ์ รน้ิ ติ้ง , ๒๕๓๗. ศูนยย์ ุโรปศกึ ษาแหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . (2550). สหภาพยโุ รปโฉมใหม่และ 27 ประเทศสมาชิก. สํานักพิมพ์ พีเพรส : กรุงเทพฯ. วิมลวรรณ ภทั รโภดม. (2543). สหภาพยโุ รป. ศูนย์ยุโรปศึกษาแหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั : กรงุ เทพฯ _______________ . (2544). ยโุ รปหลงั สงครามโลกครั้งท่ี 2. ศกั ดโิ สภาการพิมพ์ : กรงุ เทพฯ. _______________ . (2542). วรรณนิพนธ์ : รวมบทความว่าด้วยยุโรปสมัยใหม่. คณะอักษรศาสตร์ , จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : กรุงเทพฯ. โกวทิ วงศ์สรุ วฒั น.์ ประวตั ิศาสตร์อเมรกิ า. กรงุ เทพฯ : สํานกั พมิ พแ์ พร่พทิ ยา , 2518. ทิพยอ์ ุบล ดาบสวุ รรณ. ประวตั ศิ าสตรอ์ เมริกา 1. กรงุ เทพฯ : สํานักพิมพ์มหาวิทยาลยั รามคําแหง, 2520. ธนู แกว้ โอภาส. อเมริกา : อเมริกาเหนอื ลาตินอเมรกิ า. กรงุ เทพฯ : สาํ นกั พมิ พ์ชาตเิ ศรษฐกจิ , 2536. เพญ็ ศรี ภูมิถาวร. ประวัตศิ าสตรย์ โุ รป 2. กรงุ เทพฯ : สาํ นักพิมพ์มหาวิทยาลยั รามคาํ แหง , 2531. มยุรี เจริญ. ประวัติศาสตรย์ ุโรป 1. กรงุ เทพฯ : สํานักพมิ พ์มหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง , 2545. ศฤงคาร พันธุพงศ์. ประวัติศาสตร์สเปนยุคใหม่. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์ชวนพิมพ์ , มหาวิทยาลัยรามคําแหง , 2537. จันทรฉ์ าย ภัคอธคิ ม , ประวัติศาสตรก์ ารทตู สหภาพโซเวียต , กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาํ แหง , ๒๕๒๙. ดวงเดือน พศิ าลบตุ ร , สหภาพโซเวยี ต , กรงุ เทพฯ : บรรณกจิ , ๒๕๒๓. ธนู แกว้ โอภาศ , ยุโรป ๒ , กรงุ เทพฯ : สํานกั พมิ พช์ าติเศรษฐกจิ , ๒๕๓๕. นันทา โชติกะพุกณะ , ประวัติศาสตร์รุสเซีย , กรุงเทพฯ : ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร , ๒๕๒๓. ผุสดี จนั ทวิมล , ประวัตศิ าสตรส์ หภาพโซเวยี ตรุสเซยี , กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั รามคําแหง , ๒๕๓๐. สัญชัย สุวังบุตร , รวมบทความวรรณกรรมและประวัติศาสตร์โซเวียต , นครปฐม : ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะ อกั ษรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร , ๒๕๔๑. สัญชัย สุวังบุตร และ อนันต์ชัย เลาหะพันธุ , ทรรปณะประวัติศาสตร์ยุโรปในคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๙ , กรุงเทพฯ : สาํ นักพมิ พศ์ ักดิโสภา , ๒๕๕๑. สปุ ราณี มขุ วชิ ิต , ประวตั ศิ าสตรร์ ุสเซียยุคโบราณจนถงึ ปี ค.ศ. ๑๙๑๗ , กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร์ , ๒๕๓๖. ศิรพิ ร ชนะสทิ ธิ์ , ประวตั ศิ าสตร์รสุ เซีย , สงขลา : มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาคใต้ , ๒๕๓๗. วไล ณ ป้อมเพชร และ น. ชญานตุ ย์ , สหภาพโซเวยี ต อดีตและปจั จุบัน , กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ , ๒๕๑๖.

แนะนําหนงั สอื 67 Book’s Recommends อธั ยา โกมลกาญจน , ประวัตศิ าสตร์รุสเซีย , กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง , ๒๕๑๖. อนันต์ชัย เลาหะพันธุ และ สัญชัย สุวังบุตร , รัสเซียสมัยซาร์และสังคมนิยม , กรุงเทพฯ : โครงการตําราและ หนังสือ คณะอักษรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร , ๒๕๔๘. สมร นิติทัณฑ์ประภาส , สหรัฐอเมริกาในโลกปัจจุบัน ค.ศ. ๑๙๔๕ – ๑๙๘๐ เล่ม ๑ , กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์โอ เดียนสโตร์ , ๒๕๓๑. _______________ . สหรัฐอเมริกาในโลกปัจจุบัน ค.ศ. ๑๙๔๕ – ๑๙๘๐ เล่ม ๒ , กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์โอ เดยี นสโตร์ , ๒๕๓๑. แอลแลน เนวินส์ และ เอนร่ี สตีล คอมเมเจอร์ , ประวัติศาสตร์สังเขปของสหรัฐอเมริกา ตอนท่ี ๓ , กรุงเทพฯ : สาํ นักพมิ พ์แพรพ่ ทิ ยา , ๒๕๑๘. เนวินส์, แอลแลน, ไพฑูรย์ พงศะบุตร, วิลาสวงศ์ นพรัตน์, คอมเมเจอร์, เฮนร่ี สตีล. ประวัติศาสตร์สังเขปของ สหรฐั อเมรกิ า. กรงุ เทพฯ : สาํ นกั พมิ พก์ า้ วหน้า, 2513 แฟรงคลนิ เอสเวอร์ จเู นียร,์ ณรงค์ เกตทุ ัต แปล. ประวตั ิศาสตร์อเมริกา ฉบับย่อ. กรุงเทพฯ : สมาคมสังคมศาสตร์ แหง่ ประเทศไทย, 2512 เพญ็ ศรี ภูมิถาวร. ประวตั ศิ าสตร์ยุโรป 2. กรงุ เทพฯ : สาํ นักพมิ พ์มหาวทิ ยาลัยรามคาํ แหง, 2531 มาลินี ประเสริฐธรรม. สหรัฐอเมริกาก่อนสงครามโลก ครั้งท่ี 1. กรุงเทพฯ : ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะ สงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2538 มยรุ ี เจรญิ . ประวัตศิ าสตร์ยโุ รป 1. กรงุ เทพฯ : สํานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลัยรามคาํ แหง, 2545 มหาวิทยาลัยครเู ซ่ียงไฮ,้ อรุณ โรจนสนั ติ แปล. ประวัตศิ าสตรโ์ ลกยุคใกล.้ กรุงเทพฯ : สาํ นักพิมพ์สุขภาพใจ, 2542 ศฤคาร พนั ธุพงศ.์ ประวตั ศิ าสตร์สเปนยคุ ใหม.่ กรงุ เทพฯ : สํานักพมิ พ์ชวนพิมพ,์ มหาวทิ ยาลัยรามคําแหง, 2537 สารานุกรมประวตั ิศาสตรโ์ ลก. กรงุ เทพฯ : สาํ นกั พิมพไ์ ทมส,์ 2545 สิริ เปรมจิตต์. ประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ยุคโบราณ ถึง ยุคปัจจุบัน. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์แพร่พิทยา, 2516 อรพนิ ท์ พงษภ์ กั ด.ี ประวตั ิศาสตร์อเมริกา 1. กรงุ เทพฯ : สาํ นักพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั รามคําแหง, 2520 ธนู แกว้ โอภาส , ยโุ รป ๒, กรุงเทพฯ : สํานักพมิ พช์ าตเิ ศรษฐกิจ , ๒๕๓๖. วิทยากร เชียงกูร , ปรชั ญาการเมือง เศรษฐกิจ สังคม , กรงุ เทพฯ : สาํ นักพมิ พส์ ายธาร , ๒๕๔๘. สปุ ราณี มุขวิชิต , ประวตั ิศาสตร์ยุโรป เวยี นนา ค.ศ. ๑๘๑๕ – เบอรล์ นิ ๒ นคร , กรุงเทพฯ : สาํ นักพิมพ์โอเดียนส โตร์ , ๒๕๔๒.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook