การเมอื งการปกครองเปรยี บเทยี บ 47 5 กวา้ งกวา่ ในสมยั สาธารณรฐั ที่ 4 ตอ่ มาในปี ค.ศ.1962 ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้ประชาชนผู้มีคุณสมบัติ เลอื กต้ังเปน็ ผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง ซง่ึ ทาํ ใหฐ้ านอาํ นาจของประธานาธิบดีเปน็ อสิ ระจากรัฐสภา ประการที่สอง ในรัฐธรรมนูญ 1946 ประธานาธิบดีมีอํานาจเสนอตัวนายกรัฐมนตรีเท่าน้ัน แต่การ แต่งตั้งจะเกิดข้ึนเมื่อสมาชิกรัฐสภาเห็นชอบด้วยเสียก่อน แต่ในรัฐธรรมนูญ 1958 ประธานาธิบดีแต่งตั้ง นายกรัฐมนตรีโดยตรง นอกจากนน้ั ประธานาธิบดจี ะมบี ทบาทท่ีเดน่ ชดั ในเร่ืองการต่างประเทศและมีอาํ นาจประกาศ สภาวะฉุกเฉิน อาํ นาจที่จะขอประชามติทวั่ ประเทศในเรอ่ื งทสี่ าํ คญั ของชาติ เร่ืองเก่ียวกบั ประชาคมยโุ รป สนธิสัญญา ระหวา่ งประเทศ และการแกไ้ ขรัฐธรรมนญู ประการท่ีสาม ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติในรัฐธรรมนูญ 1946 ยังเป็น ความสัมพันธ์ที่คล้ายกบั รฐั ธรรมนูญอังกฤษ กล่าวคอื รัฐสภาจะเป็นผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีและตัวรัฐมนตรีก็มาจาก สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรหรอื วฒุ ิสภา แตไ่ ด้ฉบับ 1958 ไดแ้ บ่งแยกฝ่ายบรหิ ารออกจากฝ่ายนิติบญั ญตั คิ ลา้ ยกับของ สหรฐั ซ่ึงก็คือ ผู้ที่เป็นรัฐมนตรีต้องลาออกจากสมาชิกภาพของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา ในฉบับปี 1946 ให้ อาํ นาจสภาผูแ้ ทนราษฎรเทา่ น้ันที่จะอภปิ รายไมไ่ ว้วางใจได้ แตใ่ นฉบบั 1958 ได้ให้อาํ นาจทั้งสองสภาท่ีจะอภิปราย ไม่วางใจ ท้ังนี้ทั้งสองฉบับกําหนดไว้เหมือนกันว่าก่อนลงคะแนนเสียงต้องใช้เวลา 24 ชั่วโมง หลังจากยุติการ อภปิ รายไปแลว้ เพ่อื ใหส้ มาชิกไดม้ ีโอกาสทบทวนความรู้สกึ ตา่ งๆ ในรัฐธรรมนูญฉบับ 1946 ได้ให้อํานาจแก่นายกรัฐมนตรีท่ีจะเสนอให้ประธานาธิบดียุบสภาได้ แต่จะ กระทาํ ไม่ไดใ้ นชว่ ง 18 เดอื นแรก ยกเว้นแตส่ ภาผู้แทนฯ ไดเ้ สนอญตั ติอภปิ รายไมไ่ วว้ างใจ 2 คร้ัง ในช่วง 18 เดือน นี้ แตใ่ นรัฐธรรมนูญฉบบั ใหม่ ได้ลดช่วงเวลา 18 เดอื น เหลอื เพยี ง 1 ปี ประการทีส่ ี่ ได้มีการแก้ไขจากแต่เดิมท่ีมีสภาเดียว คือ สภาผู้แทน ให้มีสองสภา แต่ก็ยังกําหนดให้ วฒุ ิสภามีอาํ นาจนอ้ ยลงใหเ้ ปน็ เพยี งกลนั่ กรองงานเทา่ นั้น โดยสรุป รัฐธรรมนูญท้ังสองฉบับของฝร่งั เศสแตกต่างกนั ในแงก่ ารมอบอาํ นาจให้แกป่ ระธานาธบิ ดีซึ่งมีมาก ขน้ึ ในปัจจุบัน เช่น อาํ นาจในการยุบสภา อาํ นาจการแตง่ ต้ังนายกรัฐมนตรี อํานาจในการประกาศสภาวะฉุกเฉิน และ อํานาจในการควบคมุ นโยบายการต่างประเทศและการปอ้ งกนั ประเทศ ประกอบกับฐานอํานาจของสาธารณรัฐที่ 5 มีบทบาทในฐานะผนู้ ําของประเทศเดน่ ชดั มากขึ้น ความแตกต่างที่สําคัญอีกอย่าง ก็คือ การแบ่งแยกอํานาจบริหารกับอํานาจนิติบัญญัติ ทําให้รัฐบาลเป็น อิสระจากแรงกดดนั ของรฐั สภามากขน้ึ วฒุ สิ ภาก็มคี วามเป็นอิสระจากสภาผู้แทนฯ มากขึ้น (ซึ่งแต่เดิม สภาผู้แทนฯ สามารถเลือกสมาชิกวุฒสิ ภา 1 ใน 6 ของจํานวนทั้งหมด) เพราะมีฐานอํานาจจากการเลือกต้ังจากภูมิภาค จังหวัด และเทศบาล การกําหนดรัฐธรรมนูญที่เน้นอํานาจบริหารมากข้ึน และวุฒิสภาก็ถ่วงดุลกับสภาผู้แทนราษฎรเช่นนี้เป็น ผลงานของนายพลเดอ โกล และพรรคการเมืองฝ่ายขวา และฝ่ายกลางซึ่งมีส่วนสําคัญท่ีทําให้การเมืองฝร่ังเศสมี เสถียรภาพมากขนึ้ กว่าคร้งั ใดๆ ในประวตั ศิ าสตร์ฝรง่ั เศส ในสาธารณรฐั ท่ี 4 ใช้ระบบการเลือกตง้ั แบบอตั ราส่วน ทาํ ใหเ้ กิดพรรคการเมอื งมากมาย แต่ในสาธารณรัฐ ท่ี 5 ใช้ระบบแบ่งเขต เขตละ 1 คน ใหม้ กี ารลงคะแนนเสียงได้ 2 ครั้ง ระบบน้ีทําให้จํานวนพรรคน้อยลง และยังทํา ให้ระบบการเมืองของฝรั่งเศสพัฒนาข้ึนไปมากกว่าภายหลังสงคราม จํานวนพรรคการเมืองลดลงจากเดิมในปี ค.ศ. 1956 ซึ่งมีพรรคการเมือง 16 พรรค ไดล้ ดลงเหลือ 5 พรรค ใน ค.ศ.1967 จากแต่เดมิ ที่พรรคมงุ่ หาอิทธิพลให้แก่ พรรคตนเอง โดยไมส่ ามารถจะจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ในระบบใหมพ่ รรคเร่ิมรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ข้ึน และมุ่งจะจัดต้ัง รัฐบาล
48 สถาบันการเมอื ง บทท่ี ๖ สถาบนั การเมือง สถาบนั มีความหมายตามตัวศัพท์ว่า ก่อต้ัง อธิบายได้ว่า มนุษย์เป็นผู้ก่อต้ังระเบียบประเพณีต่างๆ ข้ึนมา จากผลแห่งการปฏิบตั ใิ นสงั คมซ่งึ สมาชกิ สว่ นใหญข่ องสังคมยอมรับนับถือและปฏบิ ัติ สถาบันทางการเมือง (Political Institution) นับเป็นสถาบนั ทีเ่ กย่ี วข้องกบั การปกครองโดยตรงซง่ึ มมี ากมาย ในทีน่ จี้ ะขอกล่าวถึงสถาบันรัฐธรรมนูญ และสถาบนั กฎหมายเท่านั้น รัฐธรรมนญู (Constitution) รัฐธรรมนูญ คือ กฎหมายสูงสุดของรัฐ เป็นกฎหมายแม่บทของกฎหมายท้ังหลายในรัฐ กฎหมายใดท่ี ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญต้องถือเป็นโมฆะ กฎหมายท้ังหมดในรัฐจําเป็นต้องเป็นไปตามแนวทางของกฎหมาย รฐั ธรรมนูญ กฎหมายรฐั ธรรมนูญโดยท่ัวไปบัญญัติว่าด้วย รูปของรัฐ การแย่งแยกอํานาจอธิปไตย สิทธิและหน้าท่ีของ ประชาชน รปู ของรัฐบาลระเบยี บแบบแผนของการปกครอง ฯลฯ วัตถุประสงค์ของความจําเป็นท่ีต้องมีรัฐธรรมนูญ กค็ ือ การปกครองรฐั ต้องเป็นไปโดยกฎหมายมใิ ชโ่ ดยผมู้ อี ํานาจ รัฐธรรมนูญของแต่ละรฐั ยอ่ มมีลกั ษณะผดิ แผกแตกต่างกนั ไป ซึง่ พอจะจาํ แนกไดเ้ ป็น 4 ประเภทใหญๆ่ คอื 1. รฐั ธรรมนญู ลายลกั ษณอ์ ักษร (Written Constitution) 2. รัฐธรรมนญู จารีตประเพณี (Unwritten Constitution) 3. รัฐธรรมนูญเด่ียว และรัฐธรรมนูญรัฐรวม (Unitary Constitution and Federal Constitution) 4. รัฐธรรมนูญสาธารณรัฐ และรัฐธรรมนูญกษัตริย์ (Republican Constitution and Monarchical Constitution) 1. รฐั ธรรมนูญลายลกั ษณ์อกั ษร (Written Constitution) คือ กฎหมายสูงสุดของรัฐซึ่งได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรรวมไว้ในฉบับเดียว โดยท่ัวไปแล้วเน้ือหาใน รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรมักจะขึ้นต้นด้วยด้วย วัตถุประสงค์ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเก่ียวกับการอยู่ดีกินดีของ ประชาชน ความยุติธรรม ความสงบ ความเจรญิ กา้ วหน้าของรัฐ เปน็ ต้น เมื่อหมดวัตถุประสงค์ของการมีรัฐธรรมนูญ แลว้ ในข้ันตอ่ มาก็มักแบง่ อาํ นาจอธปิ ไตย ซึ่งโดยทว่ั ไปก็แบ่งออกเป็น 3 สาขา คือ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และอาํ นาจตุลาการ ในส่วนน้ีก็มักจะมีบทบัญญัติโดยละเอียดว่า จะให้ใครมาใช้อํานาจเหล่าน้ีโดยวิธีใด และพร้อม ทง้ั บญั ญัตริ ูปของรัฐบาลดว้ ยวา่ จะเปน็ ไปในระบบใด แบบใด รัฐธรรมนูญจะมีหลักการท่ีจะแก้ไขบทปัญญัติบางประการของกฎหมายรัฐธรรมนูญให้เหมาะสมต่อกาล สมัย วิธกี ารนีก้ ไ็ ดบ้ ญั ญตั ิไวใ้ นรฐั ธรรมนูญด้วย สาํ หรับสิทธขิ องประชาชนน้ัน สว่ นใหญแ่ ล้วก็จะมีการรับประกันไว้ใน รฐั ธรรมนญู ด้วย ในการทม่ี รี ฐั ธรรมนญู ลายลกั ษณ์อักษรเปน็ บรรทดั ฐานเช่นน้ีแลว้ ศาลสงู สุดของรัฐจึงมีหน้าที่ที่จะวินิจฉัยช้ี ขาดไปได้ว่ากฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัตินั้นขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ เม่ือมีผู้นํามาฟ้องต่อศาลสูงสุดหรือศาล ฎีกา ถ้าศาลฎีกาตัดสินว่ากฎหมายใดขัดกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายน้ันก็ถือว่าเป็นโมฆะ ในกรณีของไทยกําหนดให้มี ศาลรฐั ธรรมนูญทาํ หนา้ ทน่ี ้ี 2. รฐั ธรรมนูญจารตี ประเพณี (Unwritten Constitution) หรือจะเรยี กอกี อยา่ งหนึ่งวา่ รฐั ธรรมนญู ทไี่ มเ่ ป็นลายลกั ษณ์อักษรก็ไม่ผิดนัก ประเทศสหราชอาณาจักรนั้น ถือได้วา่ เป็นประเทศเดียวทีม่ ีรฐั ธรรมนูญจารีตประเพณเี ป็นลกั ษณะเดน่
สถาบนั การเมือง 49 รฐั ธรรมนญู จารีตประเพณนี ้นั อาศัยขนบธรรมเนยี มประเพณีและวิธีการท่ีปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน รวมกันเข้าเป็นบทบัญญัติที่มีอํานาจเป็นกฎหมายสูงสุด กําหนดเป็นรูปของการปกครองรัฐ แต่ประเทศสหราช อาณาจักรก็มีกฎหมายธรรมดา ซึ่งออกเป็นลายลักษณ์อักษรโดยรัฐสภาหลายฉบับ ซึ่งล้วนแต่มีลักษณะกําหนด รูปการปกครองประเทศทั้งสิ้น เช่น Habeus Corpus Act (1679), Bill of Rights (1689), Act of Settlement (1701), Great Reform Act (1832), The Representation of the Peoples’ Act (1949) เป็นต้น ฉะน้ัน จึงขอย้ําว่ารัฐธรรมนูญจารีตประเพณีนั้นแตกต่างกับรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรตรงท่ีว่า รฐั ธรรมนญู จารตี ประเพณนี น้ั ไม่ได้เป็นกฎหมายสงู สุดไวใ้ นฉบับเดียวกนั และการแก้ไขเปล่ยี นแปลงน้ันโดยท่ัวไปง่าย กวา่ รัฐธรรมนญู ประเภทลายลกั ษณอ์ ักษร เพราะฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมายแก้ไขให้เหมาะสมตามกาลเวลาได้โดย ไมต่ อ้ งผา่ นการอออกเสียงประชามตดิ ังเช่นรัฐธรรมนูญประเภทลายลักษณอ์ ักษรสว่ นใหญก่ ําหนดไว้ 3. รัฐธรรมนญู เด่ยี ว และรฐั ธรรมนญู รัฐรวม (Unitary Constitution and Federal Constitution) รฐั เด่ียว คือ ประเทศไทย ประเทฝร่งั เศส ญป่ี ุ่น อนิ โดนีเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น รัฐเดี่ยวมีลักษณะเป็นรัฐที่มี ระบบรฐั บาลเด่ียว กล่าวคือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการน้ันอยู่ท่ีรัฐบาลกลาง โดยแบ่งแยกอํานาจ สาขาออกไปตามส่วนภูมิภาค พอสรุปได้ว่ารฐั เดี่ยวนัน้ อํานาจมาจากสว่ นกลางกระจายออกสสู่ ่วนภมู ิภาค สว่ น รฐั รวม คือ รฐั ที่มีระบบรฐั บาลซ้อนกนั สองระบบ กล่าวคอื มี ฝ่ายบรหิ าร ฝา่ ยนิติบญั ญตั ิ และฝ่ายตุลา การของรฐั บาลกลางและรัฐส่วนท้องถ่ินตั้งแต่ 2 ชุดขน้ึ ไป เป็นอสิ ระไมข่ น้ึ ต่อกนั รฐั บาลกลางมอี ํานาจ 2 แบบ คอื 1) รัฐบาลกลางมีอํานาจเท่าที่รัฐบาลท้องถ่ินกําหนดให้เท่าน้ัน จะปรากฏในรูปของสหพันธรัฐ (Federation) เช่น สหรัฐอเมริกา ท่ีมลรัฐต่างๆ รวมตัวกันสร้างรัฐบาลกลางร่วมกันข้ึนมา หรือ ในลักษณะของสหภาพ ยโุ รป 2) รัฐบาลท้องถ่ินมีอํานาจเท่าที่รัฐบาลกลางได้กําหนดให้เท่าน้ัน เช่น อังกฤษและสก๊อตแลนด์ ใน สมยั นายกรฐั มนตรี Tony Blair ได้จัดให้มีประชามติ (Referendum) ผลปรากฏว่าสก๊อตแลนด์ ได้แยกตัวออกเป็นเขตปกครองตนเอง มีรัฐสภาปกครองตนเอง เท่าที่รัฐบาลกลางให้อํานาจไว้ เป็นการแก้ปัญหาความรุนแรงระหว่างดินแดนต่างๆ ท่ีพยายามแยกตัวออกมาได้โดยการ ประนีประนอม และไม่มีการถ่วงความเจริญของกันและกันซึ่งในการปกครองรูปแบบน้ีเป็นการ ปกครองแบบแบง่ อาํ นาจกันระหว่างท้องถิ่นต่างๆ ของรัฐ ให้มีอํานาจออกกฎหมายบังคับในเขต ปกครองของตนได้ ไม่กา้ วก่ายซ่ึงกนั และกัน ส่วนรัฐธรรมนูญของรัฐมักมีซ้อนกัน 2 รัฐธรรมนูญ กลา่ วคอื รฐั ธรรมนญู ของสหรฐั ฉบับหน่ึง กับรัฐธรรมนูญของมลรัฐอีกมลรัฐละ 1 ฉบับ ซึ่งทั้งรัฐ และมลรัฐมีอํานาจออกกฎหมายบังคับในเขตการปกครองของตน แต่จะก้าวก่ายอํานาจซ่ึงกัน และกนั ไมไ่ ด้ ขอ้ สงั เกตก็คอื รฐั ธรรมนูญของของสหรัฐหรือรัฐธรรมนูญของชาติน้ันเป็นกฎหมาย สูงสุดของรฐั ถา้ รัฐธรรมนูญชองมลรัฐชดั แยง้ กบั รัฐธรรมนญู ของสหรฐั น้ี รฐั ธรรมนญู ของมลรฐั จะ ถือเป็นโมฆะ แต่ถ้าอํานาจอันใดมิได้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐ รัฐธรรมนูญของมลรัฐก็มี สิทธิที่ใชอ้ ํานาจน้ันๆ ได้ 4. รัฐธรรมนูญสาธารณรัฐ และรัฐธรรมนูญกษัตริย์ (Republican Constitution and Monarchical Constitution) หลักของการแบ่งรฐั ธรรมนูญสองประเภทน้ถี อื เอาประมุขของรัฐเป็นหลัก รัฐธรรมนูญของรัฐใดท่ีบัญญัติว่า ประมุขของรัฐเป็นประธานาธิบดี รัฐธรรมนูญฉบับน้ีมีสภาพเป็นรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐ แต่ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับใด บัญญตั ิใหม้ ีประมุขของรฐั เปน็ กษัตรยิ ์หรือเป็นราชนิ ี รฐั ธรรมนญู ฉบับนั้นกเ็ ป็นรัฐธรรมนูญกษตั รยิ ์ สําหรับประธานาธิบดใี นรัฐธรรมนญู สาธารณรฐั มอี ยู่ 3 ประเภท คือ 1) ประธานาธบิ ดผี ูท้ ําหนา้ ท่ีเป็นประมุขของรฐั เท่านน้ั กลา่ วคือ ประธานาธิบดีไม่มอี าํ นาจทางการ บรหิ ารแตอ่ ย่างใด เพยี งแตท่ าํ หน้าที่พธิ ีการ เชน่ เปน็ ประธานการเปดิ งาน เปิดถนน เปิดสะพาน
50 สถาบันการเมือง พูดปราศรัย เป็นตําแหน่งท่ีมีเกียรติ แต่อํานาจบริหารตกเป็นของนายกรัฐมนตรีและ คณะรฐั มนตรี เชน่ ประธานาธบิ ดขี องอินเดีย สวติ เซอรแ์ ลนด์ เยอรมนี ฯลฯ 2) ประธานาธิบดีผู้ทําหน้าที่เป็นประมุขของรัฐและเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของรัฐด้วย ท้ังสอง ตําแหน่ง หรืออีก นัยหน่ึงประธานาธิบดีคนเดียว ทําหน้าท่ีเป็นท้ังประมุขของรัฐและ นายกรัฐมนตรีในเวลาเดยี วกัน เชน่ ประธานาธิบดีของสหรฐั อเมริกา เปน็ ประมขุ ของรัฐและเปน็ หวั หน้าฝ่ายบรหิ ารด้วย 3) ประธานาธิบดีผู้ทําหน้าท่ีเป็นประมุขของรัฐและยังเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารอย่างไม่เป็น ทางการ ในกรณขี องประเทศฝรั่งเศส ประธานาธิบดสี ามารถใช้อํานาจบรหิ ารบางสว่ นโดยไมต่ ้อง ให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบแทน เช่น สามารถยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ ส่วนตําแหน่ง นายกรัฐมนตรีน้ันประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งต้ังและปลดออกได้ตามความเห็นของประธานาธิบดี เอง ซ่ึงนายกรฐั มนตรีเป็นผ้ใู ช้อาํ นาจบริหารอยา่ งแทจ้ ริง รัฐธรรมนูญท่ีบัญญัติให้มีระบอบการปกครองแบบมีกษัตริย์เป็นประมุขของรัฐก็แบ่งกษัตริย์ออกเป็น 2 ประเภท คอื 1) กษัตริย์ทีอ่ ยูใ่ ตร้ ัฐธรรมนูญ อนั ได้แก่ รัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ รัฐธรรมนูญของมาเลเซีย สวีเดน ญปี่ ุน่ เปน็ อาทิ กษตั ริยท์ รงเป็นแต่เพียงประมุขของรฐั เท่านัน้ มหี น้าทีเ่ ชน่ เดียวกับประธานาธิบดี ผ้ทู าํ หนา้ ท่ีเป็นประมขุ ของรฐั เทา่ น้ัน ไมไ่ ดท้ รงทําการบริหารประเทศ กษัตรยิ ์ คอื สญั ลักษณ์แห่ง ความสามัคคี (Symbol of Unity) แห่งรัฐ ฉะน้ัน กษัตริย์ไม่ต้องรับผิดชอบในการบริหาร อาํ นาจทางการบริหารจึงตกอยกู่ บั นายกรฐั มนตรีและคณะรฐั มนตรี 2) กษัตริย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) กษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายหรือ กษัตริย์คือกฎหมาย การปกครองระบอบนี้ยังมีอยู่เช่นประเทศโมร็อคโค ซาอุดิอาระเบีย จอร์แดน เป็นต้น ถึงแม้ว่าประเทศเหล่านี้จะมีรัฐธรรมนูญกษัตริย์และมีนายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารประเทศ แต่ผู้มีอํานาจจริงๆ แล้ว ก็คือ กษัตริย์ นน่ั เอง ความเปน็ มาของรฐั ธรรมนูญ จากประวัตศิ าสตร์ เราจะเหน็ ไดว้ า่ รัฐตา่ งๆ ในโลกน้ี ได้รฐั ธรรมนูญมาโดยวธิ ีการ 4 วธิ ี ดังน้ี 1. โดยการเปลีย่ นแปลงอย่างค่อยเป็นคอ่ ยไป (Gradual Evolution) 2. โดยการปฏวิ ตั ิ (Revolution) หรอื รฐั ประหาร (Coup d’Etat) 3. โดยการยกร่าง (Deliberate Creation) 4. โดยกษัตริยพ์ ระราชทานให้ (Grant) 1. โดยการเปล่ยี นแปลงอยา่ งคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป (Gradual Evolution) สําหรับการเปล่ียนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปของรัฐธรรมนูญน้ัน ตัวอย่างที่ดีที่สุด คือ รัฐธรรมนูญของ อังกฤษ ซึ่งเป็นผลจากการเปล่ียนแปลงทีละเล็กทีละน้อย โดยเร่ิมจากการปกครองระบอบกษัตริย์ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตอ่ มา อาํ นาจถกู เปลย่ี นมอื จากกษัตริย์ไปยังกลุ่มผู้แทนของประชาชนทีละเล็กทีละน้อย โดย เริม่ จากบทบญั ญตั ิ แมกนา คาร์ตา (Magna Carta) ซ่ึงบรรดาเจ้าขุนมูลนายของอังกฤษร่วมกันทําเป็นทํานองบังคับ พระเจ้าจอห์น ให้น้อมรับสิทธ์ิบางอย่างของขุนนางและเอกชนในปี ค.ศ.1215 ซ่ึงชาวอังกฤษถือว่าเป็นจุดเร่ิมต้น แห่งรัฐธรรมนญู ของตน นอกจากน้ียังมีช่วงเวลาสําคัญของประวัติศาสตร์อังกฤษตอนหน่ึง ก็คือ พระเจ้าจอร์จท่ี 1 (George I) ซึ่ง ขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ.1714 เป็นชาวเยอรมัน จากแคว้น Hannover (พระเจ้าจอร์จที่ 1 เป็นต้นราชวงศ์ Windsor ที่ยังปกครองประเทศอังกฤษในปัจจบุ ัน) เนอื่ งจากพระเจา้ จอร์จท่ี 1 เปน็ ชาวเยอรมัน และไม่สามารถตรัส
สถาบันการเมอื ง 51 ภาษาอังกฤษได้ รวมท้ังพระองค์ไม่สนพระทัยกิจการบ้านเมืองของอังกฤษเท่าไรเลย ทําให้อํานาจในการปกครอง ต่างๆ ก็เริม่ เปล่ยี นมอื ไปสู่คณะรฐั มนตรี การที่ปฏิบตั ิเช่นน้ีสบื มาเป็นเวลานาน ทําให้อาํ นาจทางการปกครองทแ่ี ทจ้ ริง ตกมาอยู่กับผู้แทนของประชาชนในท่ีสุด และอํานาจนี้ก็ได้รับการรับรองว่าเป็นอํานาจท่ีชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็น ส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญแบบจารีตประเพณีของอังกฤษน่ันเอง การศึกษาประวัติศาสตร์ทําให้สามารถสังเกต รฐั ธรรมนูญแบบน้ไี ดช้ ดั เจนข้นึ 2. โดยการปฏิวตั ิ (Revolution) หรอื รฐั ประหาร (Coup d’Etat) การปฏิวัติ (Revolution) คือ การเปล่ียนแปลงอย่างขนานใหญ่ อย่างรวดเร็วแทบจะเรียกได้ว่าจากหน้า มือเป็นหลังมอื การปฏวิ ตั ิเป็นการล้มลา้ งรัฐบาลโดยการใช้กาํ ลังรนุ แรงและประชาชนเปน็ ผทู้ ําการปฏวิ ตั เิ ปน็ สว่ นรวม เช่น การปฏิวัติคร้ังใหญ่ของประเทศฝร่ังเศส ใน ค.ศ.1781 และการปฏิวัติในประเทศรัสเซีย ค.ศ.1817 เป็น ตวั อย่างของการเปล่ียนแปลงระบอบการเมอื งจากระบบกษัตริย์ไปสู่ระบอบอื่นในทันทีทันใด และมีการนองเลือดใน การปฏวิ ัตทิ ัง้ สองน้ี ส่วนการรัฐประหาร (Coup d’Etat) คือ การยึดอํานาจของกลุ่มบุคคล เช่น คณะทหาร เป็นต้น การ กระทํารัฐประหารนั้นเป็นการลม้ ลา้ งรัฐบาลซง่ึ เพง่ เลง็ ถึงตัวบคุ คลในคณะรฐั บาลเทา่ นน้ั เชน่ การเป การปฏวิ ัติอาจเกิดขึ้นเม่ือประชาชนมีความไม่พอใจรัฐบาลท่ีปกครองอยู่อย่างรุนแรง และไม่สามารถท่ีจะ เปลี่ยนแปลงรัฐบาลคณะนั้นได้โดยวิธีการท่ีชอบด้วยกฎหมายตามระบอบการปกครองที่มีอยู่ เม่ือประชาชนถูกบีบ บงั คับหนกั เขา้ และเห็นว่าระบอบการปกครองควรจะตอ้ งเปลี่ยนแปลงไปสู่การปกครองระบอบใหม่จึงเกิดการปฏิวัติ ขน้ึ เมื่อมกี ารปฏวิ ัตกิ อ็ าจจะเกิดสงครามกลางเมอื งหรือเกิดการจลาจลขึ้นจนกว่าจะมีรัฐบาลที่ม่ันคงทําการปกครอง ประเทศ บางครง้ั ผทู้ ีม่ ีอาํ นาจอยรู่ ะหวา่ งปฏวิ ัติ ได้จัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญออกมาใช้บังคับ ซ่ึงส่วนใหญ่มักจะเป็น การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของรัฐจากอยา่ งหนึ่งมาเปน็ อกี อย่างหนึง่ 3. โดยการยกร่าง (Deliberate Creation) รฐั ธรรมนญู ท่มี ีกาํ เนดิ มาจากการยกร่างนี้ส่วนมากมกั เกดิ ขน้ึ หลังจากท่ไี ด้มรี ฐั ใหมเ่ กิดขน้ึ หลงั จากที่รัฐใดรฐั หนึง่ ได้รับเอกราชหลุดพน้ จากสภาพการเป็นอาณานิคมของรัฐอีกรัฐหน่ึง เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาได้เป็นประเทศ เอกราชหลุดพ้นจากการปกครองของจักรวรรดิบริติช ในปี ค.ศ.1676 ซ่ึงต่อมาในปี 1687 ก็ได้มีการประการใช้ รฐั ธรรมนูญของประเทศสหรฐั อเมริกาข้ึน ในทํานองเดียวกันกับประเทศอินเดีย พม่า มาเลเซีย และบรรดาประเทศ ในทวีปแอฟรกิ าท้ังหลาย นอกจากนี้ บรรดารฐั ทเี่ กดิ ข้นึ ใหม่ในทวีปยโุ รปภายหลังสงครามโลกคร้ังที่ 1 อันสืบเนอื่ งมาจากสนธิสัญญา ระหว่างประเทศ เช่น ประเทศยูโกสลาเวีย โปแลนด์ ฟินแลนด์ เป็นอาทิ ก็ได้ยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นหลังจากที่ได้รับ การรับรองว่าเป็นประเทศเอกราชจากบรรดาประเทศต่างๆ แลว้ 4. โดยกษตั ริย์พระราชทานให้ (Grant) รัฐส่วนใหญ่ในทวีปเอเชียและยุโรปตามประวัติศาสตร์ มักจะมีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย กษัตริย์มีอํานาจอย่างไม่มีขอบเขตเป็นเจ้าชีวิต เป็นเจ้าของทุกส่ิงทุกอย่างในรัฐ ต่อมา กษัตริย์อาจมีความคิดว่าควรจะมีกําหนดอํานาจของพระองค์และวิธีการใช้อํานาจอันให้เป็นท่ีแน่นอน อาจจะเป็น เพราะกษัตริย์เห็นว่ามีวิธีการอื่นอันจะนํามาซ่ึงความเจริญของรัฐ กษัตริย์บางพระองค์ทรงกําหนดพระราชอํานาจ เนื่องจากถูกบงั คับ หรือทาํ เพือ่ เป็นการตอ่ รองกับขุนนางและประชาชน รัฐธรรมนูญซึ่งถือกําเนิดมาจากการท่ีกษัตริย์พระราชทานให้ มีลักษณะที่กษัตริย์ทรงยินยอมจะใช้อํานาจ ตามวิธีที่กําหนดไว้หรือผ่านองค์กรท่ีกําหนดไว้ รัฐธรรมนูญน้ีอาจถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตามความประสงค์ของ กษัตริย์ แต่ในบางกรณีกษัตริย์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญในบางระบอบไม่ได้นอกจากจะได้รับความยินยอม จากประชาชน
52 สถาบนั การเมอื ง ลักษณะท่ีดีของรัฐธรรมนญู รัฐธรรมนูญที่ดี คือ รัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับสภาพอันแท้จริงของรัฐ กล่าวคือ เพื่อผลประโยชน์ต่อ ประชาชนเป็นส่วนรวม ชีวิตความเป็นอยู่ประจําวันของเอกชนแต่ละบุคคล รัฐธรรมนูญท่ีดีมีลักษณะสําคัญ 5 ประการ ดังนคี้ อื 1. รัฐธรรมนูญท่ีดีควรมีข้อความท่ีชัดเจนแน่นอน เพ่ือจะให้เข้าใจได้ง่าย ไม่ใช้คําท่ีกํากวม ซ่ึงล่อแหลมต่อ การตีความผิดๆ จะต้องใช้ถ้อยคําท่ีเลือกสรรมาแล้วว่ามีความหมายท่ีแน่นอนที่สุด คําหรือข้อความท่ีมีความหมาย สองแงส่ องมุมหรือกํากวม ซ่ึงอาจทําให้เข้าใจไปไดห้ ลายกรณไี ม่ควรนํามาใชใ้ นกฎหมายรัฐธรรมนญู 2. รฐั ธรรมนูญทด่ี คี วรจะมีการบัญญัติสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้อย่างชัดเจนแน่นอน รวมทั้งการ คมุ้ ครองสทิ ธิและเสรีภาพของประชาชนอีกด้วย เพื่อที่จะเป็นหลักประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ป้องกันมิ ให้รฐั หรอื เอกชนมากดขบ่ี ังคับได้ ซ่ึงถ้ารัฐออกกฎหมายใดท่ลี ิดรอนสทิ ธเิ สรภี าพของประชาชนแล้ว กฎหมายนั้นก็ขัด กับรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของชาติ และจะต้องถือว่ากฎหมายนั้นเป็นโมฆะไป ดังเช่น สิทธิเสรีภาพของ ประชาชนซึ่งกําหนดไวใ้ นรัฐธรรมนูญเร่อื งสทิ ธิในทรพั ยส์ มบัตขิ องตน เสรภี าพในการพดู การเขียน เปน็ ตน้ ถอื ว่าเป็น กฎหมายสงู สุดซงึ่ จะลม้ ลา้ งไม่ได้ 3. รัฐธรรมนูญที่ดีต้องครอบคลุมบทบัญญัติเกี่ยวกับการปกครองของรัฐไว้อย่างครบถ้วน กล่าวคือ รัฐธรรมนูญควรจะมีบทบัญญัติถึงการใช้อํานาจอธิปไตย การแบ่งอํานาจอธิปไตย ความสัมพันธ์ขององค์การที่ใช้ อํานาจอธปิ ไตยและสถาบนั ทางการเมอื งของรฐั การกาํ หนดวิธีการเปลี่ยนแปลงรฐั บาลตามวิถที างของรฐั ธรรมนญู 4. รัฐธรรมนูญที่ดีไม่ควรยาวเกินไป เพราะรัฐธรรมนูญท่ีดีควรจะมีบทบัญญัติหลักการจัดรูปการปกครอง ของรัฐท่สี าํ คญั และจาํ เปน็ เทา่ นั้น รฐั ธรรมนญู ทีม่ ีบทบญั ญตั ยิ ืดยาวและมีรายละเอียดมากเกินไปจะทําให้การตีความ ยงุ่ เหยิงมากข้นึ และจะไมไ่ ดร้ ับความเคารพเทา่ ทค่ี วร เพราะบทบญั ญตั ซิ ่งึ ละเอียดฟมุ่ เฟือยเกนิ ไปอาจไมเ่ หมาะสมกับ สถานการณจ์ ะทําใหเ้ กดิ มีการแกไ้ ขบอ่ ยจนเกินไป สาํ หรับรายละเอียดปลีกย่อยของการปกครองประเทศนน้ั ควรเปน็ หนา้ ทข่ี ององค์กรฝ่ายนติ บิ ัญญตั ิจะออกกฎหมายธรรมดาออกมา มิใช่เรอื่ งทีค่ วรบญั ญัตไิ วใ้ นรัฐธรรมนญู บทบญั ญัติรัฐธรรมนูญนั้น ข้อใหญ่ใจความควรจะเป็นการจัดรูปรัฐบาล การบัญญัติสภา วิธีการก่อตั้งและ อํานาจหน้าท่ีขององค์กรต่างๆ ของรัฐบาล ตลอดจนวิธีการที่องค์การเหล่านี้จะใช้อํานาจหน้าท่ีกําหนดไว้ใน บทบญั ญัติ เปน็ สิ่งท่จี ะละเลยไมไ่ ด้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญทั้งนี้รัฐธรรมนูญจะต้องไม่ส้ันจนเกินไปจนไม่มีบทบัญญัติ เหล่านอี้ ยู่ 5. รฐั ธรรมนญู ท่ีดีควรมีกาํ หนดวธิ ีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามกฎหมายขึ้นไว้ เพราะรัฐธรรมนูญท่ีดี ต้องมคี วามยดื หย่นุ เหมาะสมกบั กาลสมัย การทม่ี วี ิธีการแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญตามกฎหมายน้ันก็เพ่ือป้องกันการ ล้มล้างหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยการใช้กําลังอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เม่ือไม่มีทางออกก็อาจเกิดการปฏิวัติหรือ รัฐประหารขึน้ เพ่ือทีจ่ ะแก้ไขรัฐธรรมนญู สาํ หรับหลักการในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น ต้องไม่ง่ายจนเกินไปเพราะจะทําให้รัฐธรรมนูญไม่ได้ รับความเคารพจากประชาชนเท่าท่ีควร และแก้ไขเพ่ิมเติมควรเป็นการถาวรพอสมควรไม่ใช่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติม ชั่วคราว สรุปแลว้ รฐั ธรรมนูญเป็นกฎหมายสงู สดุ ของรัฐ แตร่ ฐั ธรรมนูญก็เปน็ กฎหมายธรรมดาทั่วไปในแง่ที่ว่า ถ้าไม่ มีผ้ใู ดปฏบิ ตั ิตามโดยเฉพาะอย่างยง่ิ ผู้ทร่ี กั ษากฎหมายละเมิดกฎหมายเสยี เอง รฐั ธรรมนญู ก็มีค่าเพียงแค่เศษกระดาษ ธรรมดาเท่านน้ั
สถาบนั การเมือง 53 การแกไ้ ขเพ่มิ เติมรัฐธรรมนูญ การแก้ไขเพม่ิ เตมิ รัฐธรรมนูญของรฐั ตา่ งๆ ตามประวัติศาสตร์ท่ีผ่านมาก็พอจะแบ่งออกได้เป็น 5 ประการ ด้วยกัน คอื 1. การแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญโดยฝ่ายนิติบัญญัติ กล่าวคือ ถือเอาเสียงข้างมากในฝ่ายนิติบัญญัติในการ แก้ไขเพิ่มเตมิ รัฐธรรมนูญ ประเทศสหราชอาณาจักร เป็นตัวอย่างของการแก้ไขโดยวิธีการง่ายๆ เช่นนี้ แต่เราจะต้อง ระลกึ ไวเ้ สมอวา่ รฐั ธรรมนูญของอาณาจักรเปน็ รฐั ธรรมนญู จารีตประเพณี ซง่ึ เกดิ จากการรวบรวมกฎหมายฉบบั ตา่ งๆ เข้าเปน็ รัฐธรรมนูญ มไิ ด้เป็นกฎหมาย รฐั ธรรมนญู ฉบบั เดยี วเชน่ เดียวกนั กบั รัฐธรรมนญู แบบลายลกั ษณ์อกั ษร รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ.2540 (หมวด 12) ไดม้ ีการบัญญตั ิใหม้ ีการแก้ไขเพิม่ เตมิ โดยวิธีนี้ 2. การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยฝ่ายนิติบัญญัติแบบลงคะแนนเสียงพิเศษ โดยมีวิธีการพิเศษ คือ ต้องการคะแนนเสียงมากกว่าการแก้ไขเพ่ิมเติมหรือยกร่างกฎหมายธรรมดา กล่าวคือ ไม่ใช่เพียงแต่เสียงข้างมาก 50+1% เท่านั้น แต่ต้องเป็นคะแนนเสียงที่มากกว่าน้ัน เช่น 2/3 หรือ 3/4 ของสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นต้น ประเทศฝรง่ั เศส ญปี่ ุ่น นอร์เวย์ ใช้วิธกี ารน้ีในการแก้ไขเพมิ่ เติมรฐั ธรรมนูญของประเทศ 3. การแกไ้ ขเพ่มิ เติมรัฐธรรมนูญโดยฝ่ายนิติบัญญัติแบบให้มีการลงประชามติ เม่ือฝ่ายนิติบัญญัติได้แก้ไข รัฐธรรมนญู แล้วจะต้องนํามาใหป้ ระชาชนลงคะแนนเสียงรับรอง เป็นการแสดงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับหลักการ เช่น รัฐธรรมนญู ของฝรงั่ เศส ปี ค.ศ.1958 และรฐั ธรรมนูญไทยปี พ.ศ.2492 และ 2501 4. การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยให้ประชาชนท่ัวไป ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง เป็นผู้มีสิทธิออกเสียง ประชามติ (Referendum) หรือประชาชนมีสิทธิท่ีจะเสนอข้อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้เองด้วย (Initiative) วิธีน้ี อยูใ่ นประเทศสวิตเซอรแ์ ลนด์ นกั รัฐศาสตร์หลายท่านกล่าวกันว่า วิธีน้ีเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะประชาชนต่างหาก ไม่ใช่รัฐบาลควรจะมีอํานาจในการร่างรัฐธรรมนูญ แต่วิธีการน้ีจะใช้ได้ผลดีก็ต่อเมื่อประชาชนรัฐน้ันมีการศึกษาดี และมีความรบั ผิดชอบในสทิ ธิและหน้าที่ของตนเปน็ อย่างดี 5. การแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญโดยการจัดต้ังองค์การพิเศษ ซ่ึงได้รับเลือกตั้งโดยประชาชนให้มีหน้าท่ี โดยเฉพาะในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ องค์การพิเศษน้ีเรียกว่า สภาร่างรัฐธรรมนูญ (Constitutional Convention) เมอ่ื แกไ้ ขเพิ่มเตมิ เรียบรอ้ ยแลว้ กน็ าํ มาเสนอให้ประชาชนลงคะแนนเสียงกันอีกทีหน่ึง วิธีการนี้ใช้กัน มากในสหรฐั ระดบั มลรัฐ ดงั เชน่ การแกไ้ ขเพิม่ เตมิ รฐั ธรรมนูญของมลรฐั อลิ ลนิ อยส์ (Illinois) เม่ือปี ค.ศ.1970 เป็น ต้น ไทยได้นําเอารูปแบบสภาร่างรัฐธรรมนูญนี้มาใช้ในการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ท้ังฉบับ (รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ.2540) โดยมีผู้แทนจากจังหวัดต่างๆ สถาบันอดุ มศึกษา ผ้เู ชยี่ วชาญด้านกฎหมาย รฐั ศาสตร์ และผมู้ ปี ระสบการณ์ดา้ นการเมือง มกี ารลงมตริ ับรองจากทป่ี ระชุมรัฐสภากลนั่ กรองจนได้สมาชกิ สภาร่างรฐั ธรรมนญู 99 คน ใช้เวลาร่างรัฐธรรมนูญ 233 วัน แล้วเสนอรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้รัฐสภาพิจารณารับรอง แล้วทูลเกล้าฯ ถวายใหล้ งพระปรมาภิไธย กฎหมายและความเปน็ มาของกฎหมาย ในองค์การทุกองค์การจําเป็นจะต้องมีระเบียบกฎเกณฑ์ของตนเองเพ่ือใช้ปกครองสมาชิกขององค์การ จดุ มุ่งหมายของการมีระเบยี บขอ้ บงั คับกเ็ พ่อื ความเปน็ ระเบียบเรยี บร้อย ความสงบและความยุติธรรมท้ังกิจการส่วน บุคคลและกิจการสาธารณะ รัฐก็คือองค์การหนึ่ง จึงจําเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับต่างๆ เพ่ือความสงบและความ เป็นระเบยี บเรียบรอ้ ยภายในรัฐเชน่ กัน กฎเกณฑ์ข้อบังคับเหล่าน้ีคือ กฎหมาย นอกจากจะมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษา ความสงบและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของรัฐแล้ว ยังมีจุดมุ่งหมายที่จะรักษาสิทธิและเสรีภาพตลอดจน
54 สถาบนั การเมอื ง ผลประโยชนข์ องประชาชน อีกท้ังรฐั บาลกต็ อ้ งยึดกฎหมายเป็นหลัก การปกครองจะอยู่ในกรอบระเบียบหลักเกณฑ์ ของกฎหมายเป็นแนวทางไปสปู่ ระโยชนส์ ุขสว่ นรวมของรัฐ ดังนั้นเราพอจะได้ความคิดเก่ียวกับความเป็นมาของกฎหมาย กล่าวคือเกิดจาก “กฎหมายเป็นสิ่งจําเป็น ของรัฐ เพื่อก่อให้ความเปน็ ระเบียบเรียบร้อย ความสงบสขุ ตลอดจนความก้าวหน้าให้แกร่ ฐั ” กฎหมายไดถ้ ูกบญั ญัตขิ นึ้ มาจากความตอ้ งการท่ีจะรักษาความสงบเรียบร้อยในรัฐ และเพื่อท่ีประชาชนจะ ได้รู้สทิ ธิและหน้าท่ีอนั มขี อบเขตแนน่ อนเพื่อทส่ี ะดวกตอ่ การปฏบิ ตั ติ ัวในสงั คมของรัฐ ประเภทของกฎหมาย โดยท่วั ไปแลว้ กฎหมายแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คือ 1. กฎหมายสารบญั ญตั ิ (Substantive Law) คอื กฎหมายทบี่ ญั ญตั ขิ นึ้ เพื่อกาํ หนดและรับรองสทิ ธิ ตลอดจน ประโยชน์ของประชาชน อาทิ กฎหมายที่ดิน กฎหมายอาญา กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่กําหนดว่าการ ทาํ เชน่ ใดเปน็ การละเมดิ กฎหมาย มีโทษใดบา้ ง ฯลฯ 2. กฎหมายวิธีสบัญญัติ (Procedual Law) คือ กฎหมายท่ีแสดงถึงวิธีการพิจารณาความในศาล กําหนด วธิ กี ารคุ้มกันสิทธิและผลประโยชน์ของประชาชน บุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิหรือผลประโยชน์ที่รับรองโดยกฎหมายสารบัญญัติ เม่ือนําเร่ืองขึ้นฟ้องร้องต่อศาล แลว้ นั้น เรียกวา่ โจทก์ (Plaintif) และผ้ทู ่ีถกู กลา่ วหาว่าเปน็ ผู้ลว่ งละเมิดสิทธินัน้ เรียกว่า จําเลย (Defendant) จะนํา กฎหมายวิธีสบัญญัติมาใช้พิจารณาคดี กฎหมายวิธีสบัญญัติจะเป็นกฎหมายท่ีทําให้กฎหมายสารบัญญัติมีผลบังคับ ใช้ได้ เช่น กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติของกฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง กฎหมายลกั ษณะพยาน เปน็ ตน้ นอกจากน้ี เรายังสามารถแบ่งกฎหมายตามขอบเขตที่ใช้บังคับและตามความมุ่งหมายที่จะควบคุมบังคับ ระหว่างเอกชนตอ่ เอกชน ระหวา่ งเอกชนตอ่ รัฐ หรือระหว่างรัฐกบั รฐั ได้ โดยอาจจะแบ่งกฎหมายออกเปน็ 2 ประเภท ใหญ่ๆ คอื 1. กฎหมายภายในประเทศ (National Law) 2. กฎหมายระหวา่ งประเทศ (International Law) 1. กฎหมายภายในประเทศ (National Law) คือ กฎหมายที่ใช้บังคับภายในรัฐ ต่อบุคคลทุกคนไม่ว่าจะเป็น ประชาชนของรัฐนั้นๆ หรือคนต่างด้าวก็ตาม หากบุคคลน้ันๆ ได้อาศัยอยู่ในรัฐแล้วก็ย่อมอยู่ภายใต้กฎหมายใน ประเทศทั้งส้ิน กฎหมายภายในประเทศเกิดจากอาํ นาจอธปิ ไตยของรัฐน้นั ๆ ให้อํานาจรฐั สามารถบัญญัติกฎหมายข้ึน ใช้บังคับในประเทศได้ เป็นการแสดงออกอาํ นาจอธิปไตยภายในรัฐ โดยทั่วไปแลว้ กฎหมายภายในประเทศก็แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท 1.1 กฎหมายเอกชน (Private Law) 1.2 กฎหมายมหาชน (Public Law) โดยใจความกว้างๆ แลว้ การกระทําผิดทีก่ ระทบกระเทือนตอ่ รฐั ตอ่ ประชาชนโดยส่วนรวมถือว่าอยู่ในข่าย ของกฎหมายมหาชน สว่ นการกระทาํ ผิดใดๆ ระหว่างเอกชนธรรมดาโดยไมก่ ระทบกระเทอื นต่อรฐั หรอื ประชาชนเป็น สว่ นรวมแลว้ ความผิดนน้ั กจ็ ะได้รบั การพจิ ารณาโดยกฎหมายเอกชน อธบิ ายได้ดังน้ี 1.1 กฎหมายเอกชน (Private Law) บางทีเรียกว่า กฎหมายแพ่ง (Civil Law) อันเป็นกฎหมายท่ี บญั ญัตคิ วามสมั พันธ์ระหว่างบุคคลกบั บคุ คล บุคคลกบั นิติบุคคล (นติ ิบุคคล คือ บุคคลตามกฎหมาย ไม่ใช่ บุคคลจริง ตัวอย่างเช่น ธนาคาร ห้างร้าน เป็นต้น) หรือระหว่างเอกชนกับเอกชน และได้กําหนดวิธีการ ต่างๆ เพอื่ ให้เอกชนกบั บุคคลสามรถรักษาและป้องกันสิทธิของตนมิให้ถูกละเมิดหรือไปละเมิดผู้อื่นได้ ใน กฎหมายเอกชนน้ีรัฐมีหนา้ ทเี่ ป็นผู้ตัดสนิ โดยศาลยตุ ธิ รรม
สถาบนั การเมอื ง 55 กฎหมายเอกชนที่สาํ คัญ ไดแ้ ก่ กฎหมายท่ีเกี่ยวกับทรัพย์สินท่ีดิน สัญญาต่างๆ เช่น สัญญากู้ยืม ทะเบียนสมรส ทรัพย์ มรดก นิติกรรม พินัยกรรม บริษัทจํากัด ห้างหุ้นส่วนจํากัด ฯลฯ ซ่ึงรวมอยู่ใน ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งถ้ามีการละเมิดละเมิด สิทธเิ สรภี าพในเร่ืองดังกล่าวน้ีแล้ว จะไม่ส่งผลกระทบไปถึงบุคคลส่วนใหญ่ บทลงโทษในกฎหมายแพ่งจึง เปน็ เพยี งชดใชค้ า่ เสยี หายให้แก่กันเทา่ น้ัน 1.2 กฎหมายมหาชน (Public Law) กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายซ่ึงรัฐเป็นคู่กรณีด้วย เป็น กฎหมายทมี่ ีขอบเขตกวา้ ง บญั ญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน กฎหมายมหาชนแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.2.1 กฎหมายรัฐธรรมนูญ (Constitutional Law) กฎหมายภายในประเทศอื่นใดขัดแย้ง กับกฎหมายรัฐธรรมนญู ต้องถอื วา่ กฎหมายนน้ั เป็นโมฆะ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่สูงสุด กําหนดรูปของรัฐ วิธีการปกครอง โครงร่างและกระบวนการปกครองอย่างกว้างๆ กฎหมาย รฐั ธรรมนูญน้สี ่วนมากได้กําหนดสิทธิข้ันพ้ืนฐานขอปงระชาชนไว้โดยชัดเจนพอสมควร โดยที่รัฐ ก้าวกา่ ยไมไ่ ด้ ปัญหาของการตีความของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในบางรัฐก็เป็นหน้าท่ีของสภานิติ บญั ญตั ิ บางรัฐกเ็ ป็นหนา้ ท่ีของศาลฎกี า เช่น สหรฐั อเมริกา สว่ นไทยเป็นศาลรัฐธรรมนญู เปน็ ต้น 1.2.2 กฎหมายปกครอง (Administrative Law) คือ กฎหมายท่ีมีบัญญัติอย่างละเอียดถึง การกําหนดองค์การของรัฐ เจ้าหน้าที่ผู้มีอํานาจในการปฏิบัติการต่างๆ ตามกฎหมายวิธีการท่ี รัฐบาลจะใช้อาํ นาจทกี่ าํ หนดไวใ้ นกฎหมายรัฐธรรมนญู ตลอดจนกําหนดถึงความสมั พนั ธร์ ะหว่าง องค์การและเจ้าหน้าที่ของรัฐต่อประชาชน อาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า กฎหมายปกครองเป็น กฎหมายที่ขยายความให้ละเอียดจากกฎหมายรฐั ธรรมนญู 1.2.3 กฎหมายอาญาและกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (Criminal Law and Procedure) ในการรักษาความสงบของรัฐ รัฐจําต้องถือความผิดบางอย่างที่เกี่ยวข้อง กระทบกระเทือนต่อประชาชนหรือสังคมส่วนรวม และบ่อนทําลายความม่ันคงของรัฐ เป็นการ ทําผิดต่อรัฐโดยตรง รัฐตอ้ งทาํ หนา้ ทีอ่ ัยการฟ้องรอ้ งใหศ้ าลตัดสนิ ลงโทษตามกฎหมายอาญา การประกอบอาชญากรรม เช่น การฆ่าคนตาย การปล้นสะดม เป็นต้น ถือเป็นการ กระทําท่ีกระทบกระเทือนต่อประชาชนท่ัวไปและรัฐด้วย ฉะนั้นถึงแม้ว่าเข้าทุกข์อาจจะไม่ ตอ้ งการเอาเรอื่ งเอาราว แตร่ ัฐจําเป็นต้องทาํ การดาํ เนินคดีและเปน็ เจา้ ทุกขเ์ สยี เอง การพิจารณาว่าความผิดเช่นใดเป็นความผิดทางอาญา ความผิดเช่นใดเป็นความผิด ทางแพ่งก็แตกต่างกันในแต่ละรัฐ เช่น คดีจ่ายเช็คไม่มีเงินนั้น สําหรับประเทศไทยถือเป็น ความผิดทางอาญา แตใ่ นสหรัฐอเมริกาเป็นความผดิ ทางแพ่ง กฎหมายอาญาน้ี ได้กําหนดโทษของการกระทําผิดละเมิดกฎหมายเป็นลําดับแน่นอน ลดหลั่นลงไป เรียงลําดับได้ดังน้ี 1. ประหารชีวิต 2. จําคุก 3. กักขัง 4. ปรับ 5. ริบ ทรัพย์สิน ลงโทษตามระดับความหนักเบาของความผิดท่ีกระทํา เช่น โทษลักขโมยก็ย่อมเบา กวา่ โทษฆา่ คนตาย ตลอดจนการกําหนดองค์ประกอบของความผิด เชน่ เปน็ ผทู้ ี่สั่งให้กระทาํ หรือ ผทู้ ่ีไม่ใหก้ ระทาํ หรือกระทําผดิ เองโดยเจตนาหรอื ประมาท ไปจนกระทั่งการลดหย่อนผ่อนโทษให้ ในบางกรณี เพื่อให้การใช้กฎหมายอาญาน้ีเป็นไปตามระเบียบแบบแผน ก็ได้มีกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญากําหนดวิธีการที่องค์การรัฐจะนําตัวผู้กระทําผิดมาฟ้องร้องต่อศาล การ กําหนดเจา้ หน้าทใ่ี ชอ้ าํ นาจ วธิ ใี ช้ ตลอดจนหลกั ประกันตอ่ ประชาชนทถี่ ูกละเมิดสิทธิเสรภี าพทาง อาญา
56 สถาบนั การเมือง 2. กฎหมายระหว่างประเทศ (International Law) คือ ระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ ระหว่างรัฐกับรัฐ ท่ีมาของกฎหมายระหว่างประเทศน้ีส่วนใหญ่ มาจากสนธิสัญญาระหว่างประเทศและ ขนบธรรมเนียมประเพณที ี่เคยปฏิบัติกนั มาในการติดตอ่ ระหว่างกนั เมื่อพิจารณาดูแล้วกฎหมายระหว่างประเทศน้ัน อาจเป็นเพียงข้อตกลงสัญญากันระหว่างรัฐมากกว่า กฎหมายจรงิ ๆ เพราะไม่มีองค์กรที่เหนือกว่ารฐั เปน็ ผอู้ อกกฎหมายหรือใชอ้ ํานาจบงั คบั ลงโทษ เมื่อมีผลู้ ะเมดิ ขอ้ ตกลง กไ็ มม่ ีองค์กรใดทจี่ ะมีอาํ นาจลงโทษผ้ลู ะเมิดได้ เหมือนอย่างกฎหมายภายในประเทศ รัฐคู่กรณีอาจจะใช้วิธีไม่คบค้า สมาคมทางการคา้ และทางการทตู กับรฐั ที่ละเมดิ กฎหมายระหว่างประเทศ ในกรณีท่ีรุนแรงสงครามก็เป็นเครื่องมือที่ จะรักษาหรือละเมดิ กฎหมายระหว่างประเทศได้ แต่ถ้าจะพิจารณาดูในแง่ท่ีว่ากฎหมายเป็นส่ิงจําเป็นต่อองค์กรเพื่อก่อให้เกิดความเป็นระเบียบและความ สงบสุข ตลอดจนความก้าวหน้าให้แก่องค์กรแล้ว ในแง่นี้กฎหมายระหว่างประเทศก็เป็นกฎหมายประเภทหน่ึง เพราะกฎหมายระหว่างประเทศมีการตกลงกันในเร่ืองการส่งผู้ร้ายข้ามแดน การประกาศสงคราม การทําสัญญา สันติภาพ การกําหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ในท้องทะเลหลวง ฯลฯ กฎเกณฑ์เหล่าน้ีช่วยนํามาซ่ึงความเป็นระเบียบ เรียบร้อยต่อรัฐต่างๆ พอสมควร การท่ีรัฐต่างๆ เคารพกฎหมายระหว่างประเทศก็อาจจะเพราะเกรงกลัวสงคราม หรอื กลวั ว่าจะสญู เสยี ผลประโยชนข์ องตน ตลอดจนทั้งการไดร้ บั ความนบั หน้าถอื ตาและความเชื่อถอื มากกวา่ บุคคลท่ี ชอบเล่นอะไรนอกกติกา ท่มี าของกฎหมาย แหลง่ ที่มาของกฎหมายมีอยู่มากมายหลายทาง และมกี ารวิวัฒนาการหรือเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด เพราะ เม่ือมีสังคมหรือกลุ่มชนก็ย่อมต้องมีกฎหมาย ดังนั้น เราพอจะแบ่งที่มาของกฎหมายได้โดยลักษณะท่ัวไป 9 แหล่ง ดว้ ยกนั คือ 1. ขนบธรรมเนยี มประเพณี (Custom) 2. การออกกฎหมายของสภานิติบัญญัติ (Legislation) 3. คาํ สัง่ และกฤษฎีกาทีอ่ อกโดยฝา่ ยบรหิ าร (Executive Decree) 4. คําพพิ ากษาของศาล (Judicial Decisions) 5. บทความทางวชิ าการกฎหมาย (Commentaries) 6. รฐั ธรรมนูญ (Constitution) 7. สนธสิ ญั ญาตา่ งๆ (Treaties) 8. ประมวลกฎหมาย (Codification) 9. ประชามติ (Referendum) 1. ขนบธรรมเนียมประเพณี (Custom) เป็นที่มาที่สําคัญท่ีสุดแหล่งหนึ่งของกฎหมาย ซ่ึงต้นตอมาจากนิสัย ของสงั คม หรอื นิสัยทางสงั คม (Social Habit) อันเปน็ ท่ีมาของบรรดากฎหมายพนื้ ฐานของรัฐหนึ่งๆ ขนบธรรมเนียม ประเพณีมกั จะไดร้ บั อิทธพิ ลจากทางศาสนาด้วยเปน็ อันมาก การววิ ฒั นาการเรม่ิ แรกของรัฐสมัยใหม่นั้น ส่วนใหญ่ก็มีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ปกครองประเทศ และมักมี หลักปฏิบัติว่าขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถ่ินบางประการ จะนํามาใช้เหมือนหลักแห่งกฎหมายในประเทศ จนกระทงั่ ไดน้ ําเอาขนบธรรมเนียมประเพณบี างอย่างมาใช้บงั คับเป็นกฎหมายด้วย 2. การออกกฎหมายของสภานิติบัญญัติ (Legislation) ในรัฐปัจจุบันส่วนใหญ่ สภานิติบัญญัติเป็น แหล่งกําเนิดกฎหมายแห่งแรกท่ีสุดและประเทศประชาธิปไตยส่วนใหญ่ถือว่าการออกกฎหมายซ่ึงนํามาบังคับใน ประเทศนั้น ก็เพื่อความสมบูรณ์พูนสุขของประชาชาติ ซึ่งได้เลือกผู้แทนของตนเพ่ือพิจารณายกร่างกฎหมายอันจะ เปน็ ประโยชนต์ อ่ ประชาชนส่วนมากนั่นเอง
สถาบันการเมอื ง 57 3. คําส่ังและกฤษฎีกาท่ีออกโดยฝ่ายบริหาร (Executive Decree) คือ กฎหมายที่ฝ่าบริหารเป็นผู้ออกมา บังคบั ใช้ รัฐทกุ รฐั ในปจั จุบนั เหน็ ขอ้ เทจ็ จริงว่ารฐั บาลมหี น้าทมี่ ากและกว้างขวาง สภานิติบัญญัติไม่อาจออกกฎหมาย ได้อย่างเพียงพอเต็มท่ี จึงได้มอบหมายอํานาจการออกกฎหมายบางประการให้กับคณะบริหาร เพ่ือท่ีจะสามารถ แก้ไขปัญหาไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และสอดคลอ้ งกับสถานการณฉ์ ุกเฉนิ หรอื คบั ขนั ของรัฐ แต่ข้อที่จะต้องสังเกต ก็คือ คําสั่ง ของฝ่ายบริหารจะเป็นกฎหมายได้น้ันก็ต่อเมื่อฝ่ายบริหารได้รับมอบอํานาจในเร่ืองนั้นๆ จากฝ่ายนิติบัญญัติอย่าง ชัดเจน ระบขุ อบเขตเอาไว้ หากมิไดร้ บั มอบก็ถอื วา่ คําส่ังของฝ่ายบรหิ ารนัน้ ไมไ่ ด้เปน็ ผลทางกฎหมาย ในกรณีที่เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหารขึ้นและสภานิติบัญญัติถูกยุบไป คําสั่งของคณะปฏิวัติหรือคณะ รฐั ประหารก็อนุโลมใชเ้ ป็นกฎหมายไดเ้ ช่นกัน 4. คําพิพากษาของศาล (Judicial Decisions) ตามปกติโดยทั่วไปแล้วมนุษย์เรามักจะมีนิสัยทําตามส่ิงท่ี กระทาํ มาก่อนแล้ว (Creature of Habit) กลา่ วคือ ผ้พู ิพากษาเคยตดั สนิ คดีเชน่ น้มี ากอ่ น เมือ่ มีคดที คี่ ล้ายคลงึ เกิดขนึ้ ผพู้ ิพากษากย็ ดึ ถอื เอาคาํ ตัดสนิ ท่ีแลว้ มาเปน็ หลกั (Judges make laws) ประเทศอังกฤษเป็นตัวอย่างที่ดีที่ใช้หลักคํา พิพากษาของศาลเป็นกฎหมายและยงั คงใช้อยูต่ ราบจนทกุ วันนี้ ในปัจจุบันประเทศต่างๆ มีรัฐธรรมนูญซึ่งเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ผู้พิพากษาก็มีอิทธิพลในการสร้าง เปลย่ี นแปลงกฎหมาย หรอื ขยายความ ตีความกฎหมายออกไปอีก เพราะกฎหมายรฐั ธรรมนญู ซ่ึงเป็นกฎหมายสูงสุด ของรฐั เม่อื ถูกตีความจากผู้พพิ ากษากเ็ ปรยี บเสมือนกบั การออกกฎหมายใหมน่ นั่ เอง 5. บทความทางวิชาการกฎหมาย (Commentaries) ความเห็นของนักวิชาการ ตลอดทั้งการวิพากษ์ วิจารณ์ และการวิเคราะห์ในเร่ืองของกฎหมาย ซึ่งเน้นถึงความยุติธรรม ความสะดวก ความเหมาะสม หรือรวม เรียกวา่ ทาํ อยา่ งไรจึงจะเป็นกฎหมายที่ดไี ด้น้ัน นกั นิติศาสตรท์ ม่ี ชี ่ือเสียงของไทย เช่น นายปรดี ี พนมยงค์ ก็เป็นผู้ท่ีมี อิทธพิ ลต่อแนวความคดิ ของสภานติ ิบญั ญัตแิ ละคณะตุลาการหรือฝ่ายบรหิ ารในการนําเอาความคิดเหลา่ นม้ี าปรบั ปรงุ กฎหมายเดิมให้ดยี งิ่ ขึ้น 6. รัฐธรรมนูญ (Constitution) เป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐ เป็นแม่บทของกฎหมายท้ังหลาย เพราะไม่ว่า กฎหมายใดๆ ในรัฐนั้น ถ้าขัดแย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญแล้ว กฎหมายนั้นถือเป็นโมฆะ รัฐธรรมนูญได้กําหนด วัตถุประสงค์และกระบวนการออกกฎหมายไว้อย่างชัดเจน ฉะน้ันการยกร่างกฎหมายใดๆ ต้องถือเอาแนวทาง รัฐธรรมนญู เปน็ หลัก 7. สนธิสญั ญาตา่ งๆ (Treaties) คอื ขอ้ ตกลงระหว่างรฐั ต้งั แต่ 2 รฐั ข้นึ ไป ซง่ึ ได้ตกลงที่จะมกี ารรับผิดชอบใน ความสัมพันธ์ต่อกัน เมื่อมีสนธิสัญญาต่อกันแล้ว แต่ละรัฐซ่ึงเป็นคู่ตกลงในสัญญาก็อาจจะต้องออกกฎหมายต่างๆ ภายในประเทศ เพ่ือให้อดคล้องกับสนธิสัญญานั้นๆ ที่ได้กําหนดขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปได้ตามสนธิสัญญา นน้ั ๆ นอกจากน้ีสนธสิ ญั ญาต่างๆ เหล่านี้ก็ยงั เปน็ แหลง่ ท่ีมาอนั สําคญั ท่ีสดุ ของกฎหมายระหวา่ งประเทศอีกด้วย 8. ประมวลกฎหมาย (Codification) คอื การรวบรวมกฎหมายต่างๆ มาจัดเป็นหมวดหมู่ กฎหมายคราสาม ดวงของไทยกอ็ าจถอื เป็นประมวลกฎหมายได้ สําหรบั การจดั ประมวลกฎหมายหลายประเภท หลายชนดิ มาปรบั ปรุง แก้ไขตามาตรฐานที่ต้ังไว้น้ัน ประมวลกฎหมายท่ีมีชื่อเสียงเป็นหลักของประมวลกฎหมายท่ัวไป คือ Napoleonic Code หรือประมวลกฎหมายนโปเลียนแห่งปี ค.ศ.1804 ซึ่งได้อาศัยกฎหมายโรมันนั่นเอง ประมวลกฎหมาย ปจั จบุ นั ของไทยกไ็ ด้รบั อิทธิพลจาก Napoleonic Code มากทเี ดยี ง 9. ประชามติ (Referendum) คือ กฎหมายที่ประชาชนร่วมกันเสนอร่างกฎหมาย (Initiative) และมีสิทธิ ออกเสยี งประชามติ (Referendum) วิธนี ใี้ นประเทศฝรั่งเศส สหรฐั อเมรกิ า สวติ เซอรแ์ ลนด์ ยงั ใช้กันอยเู่ สมอ
58 สถาบนั การเมือง ไทยไดพ้ ยายามริเรม่ิ ให้ประชาชนมีส่วนในข้อนมี้ ากยงิ่ ข้นึ ในรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ.2540 กฎหมายกับการรักษากฎหมาย (Law and Enforcement) กฎหมายในรัฐจะดี จะยุติธรรม มีเหตุผล หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคลซึ่งเป็นปัญหา ของค่านิยม (Value Judgement) หรือปัญหาของการตีความ (Problem of Interpretation) เพราะฉะนั้นเราจึง ควรจะพจิ ารณากฎหมายในอกี แงห่ น่ึง การรักษากฎหมาย ประเด็นการบังคับใช้กฎหมายจริงจึงสําคัญเท่าๆ กับการที่รัฐต้องมีกฎหมายท่ีดี เพราะหากมีกฎหมายที่ดี แล้วไม่มีการบังคับใช้จริง ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ทําให้เกิดรัฐที่ดี ขณะเดียวกันหากมีการบังคับใช้กฎหมายจริงแต่ กฎหมายไม่มเี หตผุ ล ก็ไมก่ ่อให้เกดิ รัฐท่ดี เี ช่นกัน การที่กฎหมายจะบังคับใช้ได้จริงยังขึ้นอยู่กับประชาชนในรัฐนั้นๆ ด้วย เราพอจะแยกประเภทของการ ละเมิดกฎหมายออกเป็น 2 ประการ คอื 1. ละเมิดเพราะไม่รู้ 2. ละเมิดเพ่ือผลประโยชน์ 1. ละเมดิ เพราะไม่รู้ ขอ้ นีต้ ามหลักกฎหมายแล้วฟงั ไม่ข้นึ เพราะคนทกุ คนจะอา้ งวา่ ไมร่ ้กู ฎหมายไม่ได้ แตต่ าม หลักความจริงแล้วมีอยู่มาก ในข้อนี้เองที่การศึกษาจะต้องเน้นถึงหน้าท่ีของประชาชนที่จะเป็นต้องรู้กฎหมายตาม สมควร 2. ละเมดิ เพ่อื ผลประโยชน์ การละเมดิ กฎหมายประเภทนสี้ ามารถชีช้ ดั ได้ถึงการได้รับการอบรมของพลเมือง น้ันๆ อาจจะบ่งถึงความมักง่าย เอาความสะดวกของตนเป็นใหญ่ การมุ่งหวังที่จะกอบโกยผลประโยชน์เป็นจํานวน มากให้ตัวเอง โดยไม่คํานึงถึงส่วนรวมหรือกฎหมายท้ังสิ้น การละเมิดกฎหมายประเภทน้ีเป็นปัญหาในการรักษา กฎหมาย เนอ่ื งจากผลู้ ะเมดิ มักจะใหส้ ินบนแก่ผรู้ ักษากฎหมายรว่ มกนั ทาํ ทจุ ริต ยังมีตวั อย่างอกี มากมาย ซงึ่ ถา้ ประชาชนไมก่ ระตือรือร้นเพื่อแก้ไขปัญหา อันเป็นผลประโยชน์โดยตรงกับตัวเองแล้ว กฎหมายก็ไม่มีความหมาย ฉะน้ัน การอบรมส่ังสอนประชาชนเพ่ือให้ความเคารพกฎหมาย รู้กฎหมาย ให้ใช้เป็น รู้ สทิ ธติ นเอง จึงเป็นสว่ นประกอบท่ีสาํ คญั มากท่สี ุดสาํ หรับประเทศประชาธิปไตยทัง้ หลาย
ประชาธิปไตยกับการเมืองไทย 59 บทที่ ๗ ประชาธปิ ไตยกับการเมืองไทย เหตุการณห์ ลังการเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ประเทศต่างจากประเทศอ่ืนๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ ไม่ได้ตกเป็นอาณานิคมของประเทศ จกั รวรรดนิ ยิ มตะวันตก เพียงแตต่ อ้ งเสียดนิ แดนบางสว่ น เช่น มณฑลบูรพา (เขมรส่วนใน คือ พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้แก่ฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2449 และเสียไทรบุรี ปะลิศ กลันตัน ตรังกานู แก่อังกฤษในปี พ.ศ.2452) เพ่อื แลกอํานาจศาลคืนมาจากฝรงั่ เศสและองั กฤษ และต่อมาในปี พ.ศ.2475 ได้มกี ารเปล่ยี นแปลงการปกครองจาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธริ าชยเ์ ป็นระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยไดม้ กี ารปกครองภายใตร้ ะบอบเผดจ็ การทหารอย่างต่อเนื่องกันเปน็ เวลาหลายปี นับตั้งแต่จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ผู้ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยจากระบอบ สมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยทีม่ พี ระมหากษตั รยิ ์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ในปี พ.ศ.2475 จอม พลแปลก พบิ ูลสงคราม ได้นาํ ประเทศไทยเขา้ รว่ มกบั ฝา่ ยอักษะ คือ ญี่ปุ่น เยอรมนี และอิตาลี ในสงครามโลกคร้ังท่ี 2 และเป็นผู้ใช้อํานาจทางการเมืองอย่างเด็ดขาดระหว่างปี พ.ศ.2481 – 2500 (แต่ระหว่างปี พ.ศ.2488 – 2491 ไทยอยภู่ ายใต้การปกครองของรฐั บาลพลเรอื น) ในปี พ.ศ.2500 จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ ทําการปฏิวัตยิ ึดอํานาจจาก จอมพลแปลก พิบลู สงคราม และขึ้น ดํารงตําแหนง่ นายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ.2502 ได้ใช้อาํ นาจเดด็ ขาดจนถึงแก่อสัญกรรมในปี พ.ศ.2506 และจอมพล ถนอม กิตติขจร ได้ขึ้นสืบต่ออํานาจและได้ยุบรัฐสภาแล้วประกาศกฎอัยการศึก โดยบริหารประเทศภายใต้ คณะกรรมาธิการบริหารแห่งชาติ ในเดือนธันวาคม พ.ศ.2515 จอมพลถนอม กิตติขจร ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ปกครองราชอาณาจักรท่ีทําให้ตนมีอํานาจเด็ดขาด และได้แต่งต้ังสมาชิกธรรมนูญแห่งชาติที่เป็นตํารวจและทหาร จํานวน 200 คน จากจํานวนท้ังส้ิน 299 คน ธรรมนูญการปกครองฉบับนี้หลังจาก จอมพลถนอม กิตติขจร หมด อํานาจในปี พ.ศ.2516 แลว้ รัฐบาลใหม่ทีม่ นี ายสญั ญา ธรรมศกั ดิ์ เปน็ นายกรัฐมนตรไี ดใ้ ช้ต่อมาอกี 1 ปี ในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 รัฐบาลทหารของจอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุ เสถยี ร ได้ถกู พลงั ประชาชน นิสติ และนกั ศกึ ษาปลดออกจากอํานาจเผด็จการทหาร (ซึ่งได้บริหารประเทศมาต้ังแต่ปี พ.ศ.2506) หลังจากเกิดเหตุการณ์วันอาทิตย์นองเลือด (Bloody Sunday) แล้วรัฐบาลพลเรือนของนายสัญญา ธรรมศกั ดิ์ ไดป้ กครองประเทศตอ่ มา ในวนั ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ไดเ้ กดิ การจลาจลร้ายแรงซง่ึ มีผลให้รัฐบาลท่ีมีจากการเลือกต้ัง ซ่ึงมี ม.ร.ว. เสนยี ์ ปราโมช เปน็ นายกรัฐมนตรีต้องล้มไป (การจลาจลดังกล่าวเป็นผลทําให้คนไทยบางกลุ่มแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ทําการรบราฆ่าฟันจนลม้ ตายเรอื่ ยมาถึงปี พ.ศ.2525 จึงได้ยุติการสู้รบต่อกัน) และนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้เข้า มาดาํ รงตําแหน่งนายกรัฐมนตรเี พียง 1 ปี ก็เกิดการปฏิวัติขึ้นอีกครั้ง ในคร้ังนี้ พลเอกเกรียงศักด์ิ ชมะนันท์ ได้ดํารง ตําแหน่งนายกรัฐมนตรี และในปี พ.ศ.2522 พลเอกเกรียงศักดิ์ ได้ประกาศยุบสภาแล้วจัดให้มีการเลือกต้ังใหม่ใน วันท่ี 22 เมษายน พ.ศ.2522 ซึ่งปรากฏผลต่อมาว่าได้รัฐบาลใหม่ท่ีมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผู้บัญชาการทหาร สงู สดุ เปน็ ผ้ไู ด้รบั การเสนอช่อื ใหด้ าํ รงตําแหน่งนายกรฐั มนตรี พลเอกเปรม ติสณู ลานนท์ ไดถ้ ูกกล่มุ ทหารหนุ่มท่ีมีชื่อ ว่า “ยงั เตริ ์ก” ทําการรฐั ประหารล้มรัฐบาลถึง 2 คร้ัง คือ คร้ังแรกในวันที่ 1- 4 เมษายน พ.ศ.2524 และครั้งท่ี 2 ในวนั ท่ี 9 กันยายน พ.ศ.2528 นําโดย พลเอกเสรมิ ณ นคร แต่ไม่สําเร็จท้ังสองครั้ง พลเอกเปรม ติสูณลานนท์ ได้ ดาํ รงตําแหนง่ นายกรฐั มนตรี บริหารประเทศถึง 8 ปี 5 เดอื น และไดข้ อลาออกจากตาํ แหน่งในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2531 เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้งทั่วไป จึงได้พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยใน ขณะนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีจัดต้ังรัฐบาลผสมบริหารประเทศต่อไปนานถึง 2 ปี 7 เดือน ส่วนพลเอกเปรม ติสูณลา นนท์ กไ็ ดร้ ับพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ให้ดํารงตําแหน่งรัฐบุรุษและประธานองคมนตรีในปัจจุบัน (สืบแทนนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ซง่ึ มีสขุ ภาพไมด่ ี และไดถ้ งึ แกอ่ สญั กรรมในปี พ.ศ.2544 อายุ 95 ป)ี
60 ประชาธปิ ไตยกับการเมอื งไทย ต่อมาในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2534 ได้เกิดการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบเรียบร้อย แห่งชาติ (รสช.) นําโดยพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ได้โค่นล้มรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และแต่งต้ัง นายกรัฐมนตรีคนท่ี 18 คือ นายอานันท์ ปันยารชุน ต่อมาได้มีการเลือกตั้งท่ัวไป ในวันท่ี 22 มีนาคม พ.ศ.2535 ปรากฏวา่ นายณรงค์ วงศว์ รรณ หันหน้าพรรคสามัคคีธรรมไดค้ ะแนนสงู สดุ พร้อมท่จี ะจดั ตั้งงรัฐบาลได้ แต่นายณรงค์ วงศ์วรรณ ถูกกล่าวหาว่าไปพัวพันกับการค้ายาเสพติด จึงทําให้ พอเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งไม่ได้มาจากการ เลอื กตัง้ แต่อย่ใู นกลุ่มคณะรฐั ประหาร รสช. ได้เข้ามาเปน็ นายกรัฐมนตรีคนที่ 19 แต่อยู่ในตําแหนง่ ไดเ้ พยี ง 2 เดือน ก็เกิดการเดินขบวนประท้วงขับไล่ พลเอกสุจินดา คราประยูร เหตุการณ์ลุกลามเป็นการจลาจลนองเลือดในเดือน พฤษภาคม พ.ศ.2535 ทาํ ให้นายอานันท์ ปันยารชนุ ตอ้ งกลบั มาเป็นนายกรัฐมนตรคี นที่ 20 ตอ่ มาได้มกี ารเลอื กต้งั ใหม่ในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ.2535 ปรากฏว่า นายชวน หลักภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นดํารงตําแหน่ง นายกรัฐมนตรีร่วมกบั คณะรัฐบาลทีม่ าจากหลายพรรค แต่นายชวน ต้องทําการยุบสภาจากกรณีอื้อฉาว สปก.4-01 และจากการท่ีพลตรีจําลอง ศรีเมือง ลาออกจากการร่วมรัฐบาล ต่อมามีการเลือกตั้งท่ัวไปขึ้นใหม่ในวันท่ี 2 กรกฎาคม พ.ศ.2538 และเป็นปีทีร่ ัฐธรรมนญู กาํ หนดให้บุคคลทมี่ ีอายุ 18 ปบี รบิ ูรณ์ มีสิทธิล์ งคะแนนเสยี งเลือกต้ัง เปน็ คร้งั แรก ปรากฏว่า นายบรรหาร ศิลปอาชา หนั หน้าพรรคชาตไิ ทย ได้ดาํ รงตําแหน่งนายกรฐั มนตรีคนท่ี 21 ของ ไทย บริหารประเทศได้เพียง 1 ปี กต็ ้องยบุ สภาหลงั จากถกู พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายค้านในขณะนั้นกล่าวโจมตี เรือ่ งเชอ้ื ชาตขิ องทา่ นอยา่ งรุนแรง และถูกกดดันจากพรรคร่วมรัฐบาล ทาํ ให้มีการเลือกต้ังทั่วไปขึ้นใหม่ ในครั้งนี้ พล เอกชวลติ ยงใจยุทธ หันหนา้ พรรคความหวังใหม่ ไดค้ ะแนนเสียงเลือกตัง้ เขา้ มามากกว่าพรรคอนื่ จงึ จดั ต้ังรัฐบาลผสม ขน้ึ โดยพลเอกชวลติ ยงใจยุทธ ดาํ รงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียง 9 เดือน จึงได้ขอลาออกจากตําแหน่ง (เน่ืองจาก ถูกประท้วงขับไล่รายวันจากการทุ่มค่าเงินบาทกับดอลลาร์สหรัฐฯ ประจวบกับเศรษฐกิจฟองสบู่ท่ีเกิดขึ้นมาต้ังแต่ รฐั บาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ได้แตกสลายลง ทําให้พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ต้องประกาศให้ค่าเงินบาทลอยตัว (Managed Float) ข้ึนในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2540 รัฐบาลไทยต้องไปขอความช่วยเหลือและกู้เงินจากกองทุน การเงินระหว่างประเทศ (IMF) มากู้เศรษฐกิจท่ีระบบกรเงินการธนาคารของชาติท่ีพังพินาศ) พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนําของหัวหน้าพรรค คือ นายชวน หลีกภัย ได้ชิงชัยกับพรรคร่วมรัฐบาลเก่าและได้ชัยชนะจากการแปร พักตร์ของ 12 ส.ส. จากพรรคประชากรไทยที่มาเข้าร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ดําเนินการจัดต้ังรัฐบาลผสม เป็น นายกรฐั มนตรคี นที่ 23 ในวนั ท่ี 9 พฤศจกิ ายน พ.ศ.2540 นับว่าเป็นสมยั ที่ 2 ของนายกรฐั มนตรนี ายชวน หลกี ภยั ในเดอื นมนี าคม พ.ศ.2543 ไทยได้จัดให้มีการเลือกต้ังวุฒิสภาเป็นครั้งแรก มีกําหนดวาระ 6 ปี ซ่ึงแต่ก่อนวุฒิสภา มาจากการแต่งตั้ง รัฐบาลของนายชวน หลีกภัยได้บริหารต่อไปอีกเกือบ 3 ปี จึงได้ยุบรัฐสภา จัดให้มีการเลือกตั้ง ทวั่ ไปในวนั ที่ 6 มกราคม พ.ศ.2544 ปรากฏว่า พ.ต.ท. ดร.ทกั ษิณ ชนิ วัตร ไดเ้ ข้ามาดาํ รงตําแหนง่ นายกรฐั มนตรีคน ปัจจุบนั ในสมัยรฐั บาลของนายกรัฐมนตรี นายชวน หลกี ภยั ไทยได้เป็นประเทศเจ้าภาพจัดกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งท่ี 13 ในเดอื นธนั วาคม พ.ศ.2541 ทกี่ รงุ เทพฯ รฐั บาลได้เฉลิมฉลองถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลย เดช มีพระชนมายุครบ 72 พรรษา ในเดือนธันวาคม พ.ศ.2542 และเป็นเจ้าภาพจัดประชุม UNTAD (องค์การ สหประชาชาติว่าด้วยการค้าและพัฒนา ขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิต์ิในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2543 แต่ รัฐบาลปัจจบุ นั ตอ้ งมาเผชิญกบั การขึน้ ราคานา้ํ มนั ของกลุ่ม OPEC อย่างขนานใหญ่ สง่ ผลให้เศรษฐกจิ ไทยทค่ี าดว่าจะ เติบโตถึง 4.5% ต้องถดถอยลงมา โดยเขยิบขึ้นไปไม่ถึงการประเมินของสํานักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สภาพัฒน)์ ไดต้ ามสิติปี พ.ศ.2533 ไทยมปี ระชากร 60 ล้านคน โดยประชากรร้อยละ 30.4 อาศัยอยู่ใน จังหวัดภาคกลาง ร้อยละ 35.2 อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 12.5 อยู่ในจังหวัดภาคใต้ ร้อยละ 21.9 อยใู่ นจงั หวัดภาคเหนือ รฐั บาลพยายามทาํ ให้ชอ่ งว่างระหว่างคนรวยในตวั เมอื งใหญแ่ ละคนจนตามชนบทแคบเข้ามา ให้ได้ แต่ก็ไม่ประสบความสําเร็จ ประกอบกับมีการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างมากมายในหน่วยงานของรัฐบาลและมี หน้ีท่ีไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในหลายๆ ธนาคารของรัฐและเอกชนภายใต้นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชิน วัตร ซึ่งเป็นรัฐบาลปัจจุบันก็ได้พยายามแก้ไข ซึ้งนับว่าเป็นปัญหาหนักหน่วงท่ีรัฐบาลจะต้องดําเนินการแก้ไขอย่าง จริงจงั เพอ่ื ให้เศรษฐกจิ กระเต้อื งขึน้ มาให้จงได้
ประชาธปิ ไตยกบั การเมืองไทย 61 กลไกของรฐั ตามรฐั ธรรมนูญฉบบั ใหม่ ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซ่ึงประกาศใช้เม่ือวันท่ี 10 ตุลาคม พ.ศ.2540 มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับ “การปฏริ ูป” อยหู่ ลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิรูปการเมืองซ่ึงเป็นหัวใจสําคัญของการจัดทํารัฐธรรมนูญ ฉบบั น้ี เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า เพื่อให้บรรลุถึงการปฏิรูปทางการเมืองดังกล่าวข้างต้น รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้ กอ่ ให้เกิดผลกระทบอยา่ งใหญห่ ลวงตอ่ กลไกของรฐั ซง่ึ ในกรณีนอ้ี าจแยกพจิ ารณาได้เปน็ สีก่ รณดี ้วยกัน คอื กลไกของ รัฐในทางนติ บิ ัญญัติ กลไกของรัฐทางบรหิ าร กลไกของรฐั ในทางตลุ าการ และองค์กรอ่นื ๆ ตามรัฐธรรมนูญ 1. กลไกของรฐั ในทางนติ บิ ัญญัติ กลไกของรัฐในทางนิติบัญญัติได้รับการเปล่ียนแปลงจากรัฐธรรมนูญอยู่ 2 ประการใหญ่ๆ คือ การปฏิรูป ระบบผูแ้ ทนและการปฏริ ูปกระบวนการนติ ิบัญญัติ 1.1 การปฏริ ปู ระบบผแู้ ทน รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ยังคนยืนอยู่บนหลักการของการปกครองแบบรัฐสภา ที่ฝ่ายสภาและฝ่าย บริหารมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด กล่าวโดยเฉพาะฝ่ายสภานั้น แม้จะมีการอภิปรายถกเถียงกันเป็นอย่าง มากในหมู่ สสร. ว่าควรจะเป็นแบบสภาเดียวหรือสองสภา แต่ในท้ายท่ีสุดสภาร่างรัฐธรรมนูญก็ยังเล็งเห็นถึง ความสําคญั ของการมวี ฒุ ิสภาในฐานะทเ่ี ปน็ องค์กรกลัน่ กรองกฎหมายและองคก์ รตรวจสอบ ก่อนท่ีจะกล่าวถึงองค์ประกอบ ที่มา และอํานาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ควรจะได้ กล่าวถึงพรรคการเมืองในฐานะท่ีเป็นองค์กรภาคมหาชนองค์กรหนึ่งท่ีจะมีผลต่อการปฏิรูประบบผู้แทนอย่าง แทจ้ รงิ 1.1.1 การปฏิรูปพรรคการเมอื ง มกี ารเปลยี่ นแปลงปรับปรุงอยู่หลายประเด็น ท้งั ในเร่อื งการจัดตั้ง การทําให้พรรคการเมือง เป็นประชาธิปไตย การเสริมสร้างระบบพรรคการเมือง การให้เงินอุดหนุนแก่พรรคการเมือง และ ควบคมุ ตรวจสอบพรรคการเมอื งได้แก่ 1) การให้จัดตงั้ พรรคการเมอื งไดง้ า่ ยโดยบคุ คลอายุ 20 ปีบริบูรณ์ เพียง 15 คนขึ้น ไป และยกเลิกการจดทะเบียนพรรคการเมือง แต่เปล่ียนเป็นการจดแจ้งการจัดตั้งพรรค การเมืองแทน (มาตรา 328 อนุ 1) อย่างไรก็ตาม ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่นาย ทะเบยี นรบั จดแจง้ การจดั ตง้ั พรรคการเมอื ง พรรคการเมืองตอ้ งดําเนินการให้มสี มาชิกต้ังแต่ 5,000 คนข้ึนไป ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยสมาชิซ่ึงมีท่ีอยู่ในแต่ละภาคตามบัญชี รายชอื่ ภาคและจังหวัดทีน่ ายทะเบียนประกาศกําหนดและมีสาขาพรรคการเมืองอย่างน้อย ภาคละ 1 สาขา (มาตรา 29 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541) 2) การจัดองค์กรภายใน การดําเนินกิจการและข้อบังคับของพรรคการเมืองต้อง สอดคล้องกับหลักการพ้ืนฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข (มาตรา 47 วรรค 2) 3) การเปดิ โอกาสให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคการเมืองจํานวน ไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของจํานวนสมาชิกท่ีเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรรมการบริหาร ของพรรคการเมอื งจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจํานวนกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือสมาชิกพรรคการเมืองจํานวนไม่น้อยกว่า 50 คน (พระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 28) ซ่ึงเห็นว่ามติหรือข้อบังคับใน เรื่องใดของพรรคการเมอื งทต่ี นเปน็ สมาชกิ อย่นู ้นั จะขัดตอ่ สถานะและการปฏิบตั หิ นา้ ทขี่ อง
62 ประชาธิปไตยกับการเมอื งไทย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือขัดแย้งกับหลักการพ้ืนฐานแห่งการ ปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีสิทธิร้องขอให้ศาล รฐั ธรรมนูญวินิจฉัยว่ามติหรือข้อบังคับดังกล่าวเป็นอันยกเลิกไปหรือไม่ (มาตรา 47 วรรค 3 และ 4 4) การบังคับให้ผู้สมัคร ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมืองและหาก ส.ส. พรรคใดขาด สมาชิกภาพพรรคเม่ือใดก็ต้องขาดจาก ส.ส. ไปด้วยเช่นกัน เหตุผลก็เพ่ือรักษาเสถียรภาพ และสง่ เสริมประสทิ ธภิ าพของระบบผแู้ ทนไว้ (มาตรา 117 อนุ 8) 5) การให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องเป็นสมาชิกพรรค การเมืองที่ลงสมัครไม่น้อยกว่า 90 วัน (มาตรา 107 อนุ 4) ซ่ึงจะมีผลทําให้อนาคตจะมี การย้ายพรรคได้ยากขึ้นหรอื แทบเป็นไปไมไ่ ด้ 6) การใหม้ กี ารสนบั สนนุ ทางการเงินหรือประโยชน์อยา่ งอ่ืนแก่พรรคการเมืองโดยรัฐ (มาตรา 328 อนุ 5) โดยในการจัดสรรเงินสนับสนุนจะต้องจัดสรรเป็นรายปี และให้ คํานึงถึงจํานวนสมาชิกซ่ึงดํารงตําแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมือง จํานวนคะแนนเสียงจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่พรรคการเมืองได้รับในการ เลอื กตัง้ ทั่วไปครั้งหลังสุด จาํ นวนสมาชิกของพรรคการเมืองและจํานวนสาขาพรรคการเมอื ง ตามลําดับ (มาตรา 58 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541) 7) การสนับสนนุ การจดั ต้งั และพฒั นาสาขาพรรคโดยรัฐ (มาตรา 328 อนุ 4) 8) การจํากัดวงเงินค่าใช้จ่ายของพรรคการเมืองในการเลือกต้ังและการควบคุมการ รบั บริจาคเงินของพรรคการเมอื ง (มาตรา 328 อนุ 5) 9) การตรวจสอบสถานะทางการเงินของพรรคการเมือง รวมทั้งการตรวจสอบและ การเปดิ เผยที่มาของรายไดแ้ ละการใชจ้ า่ ยของพรรคการเมอื ง (มาตรา 328 อนุ 6) 10) การจัดทําบัญชีแสดงรายรับและรายจ่ายของพรรคการเมือง และบัญชีแสดง ทรพั ยส์ ินและหน้ีสนิ ของพรรคการเมอื ง ซงึ่ ตอ้ งแสดงโดยเปิดเผยซ่ึงท่ีมาของรายได้และการ ใช้จ่ายประจําปีของพรรคการเมืองในทุกรอบปีปฏิทิน เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการการ เลอื กตง้ั เพ่อื ตรวจสอบและประกาศใหส้ าธารณชนทราบ (มาตรา 328 อนุ 7) 1.1.2 การปฏริ ูปสภาผูแ้ ทนราษฎร มีการเปลย่ี นแปลงหลายประเดน็ ท้งั ในเรอื่ งองค์ประกอบ ท่มี า อํานาจหนา้ ท่ี ได้แก่ 1) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจํานวนทั้งส้ิน 500 คน แยกเป็น2 ประเภท คือ ประเภททม่ี าจากการเลอื กต้ังแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จาํ นวน 400 คน และประเภทที่มาจาก การเลอื กตั้งแบบบัญชีรายชอ่ื จาํ นวน 100 คน (มาตรา 98) 2) ระบบการเลอื กตั้งมกี ารเปล่ียนแปลงใหมจ่ ากระบบที่ ส.ส. มาจากการเลือกต้งั เขต ละ 1 ถึง 3 คน มาเปน็ ระบบการเลอื กตัง้ แบบผสมระหวา่ งเขตละ 1 คน และระบบบญั ชซี งึ่ พรรคการเมอื งเสนอ ซ่ึงได้แบบมาจากประเทศญี่ปุ่นและเยอรมัน (มาตรา 99 และมาตรา 102) การมี ส.ส. เขตละ 1 คน นอกจากจะทาํ ให้เกิดความเสมอภาคในหมู่ผู้มีสิทธิออก เสยี งเลือกต้ังแล้ว ยงั เปน็ การทําให้คนดีมีความสามารถ สามารถต่อสู้กับผู้ท่ีใช้เงินได้เพราะ เขตเลือกตงั้ ไม่ใหม่นกั การมี ส.ส. จากบัญชีรายช่ือก็เป็นอีกมาตรการหน่ึงที่ทําให้คนดีมีความสามารถ และไม่ตอ้ งการใช้เงนิ ในการเลือกตั้ง สามารถเขา้ ทํางานในสภาผู้แทนราษฎรได้
ประชาธิปไตยกบั การเมอื งไทย 63 3) กําหนดให้การเลือกตั้งเป็นหน้าท่ี หากผู้ใดไม่ไปเลือกต้ังโดยไม่มีเหตุอันควร จะ เสียสิทธิหรือผลประโยชน์ตามท่ีกฎหมายบัญญัติ (มาตรา 68) ขณะเดียวกัน รัฐจะต้อง อํานวยความสะดวกให้ผู้มีสิทธิท่ีอยู่นอกภูมิลําเนาด้วย วิธีการนี้มีขึ้นเพ่ือทําให้การซ้ือสิทธิ ขายเสียงเป็นไปได้ยากเพราะผ้ซู ้อื เสียงจะต้องซ้ือเสียงเป็นจํานวนมากและไม่แน่ว่าจะได้รับ การเลือกตั้ง นอกจากน้ียังกําหนดให้รัฐสนับสนุนการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน เรอ่ื งต่อไปน้ี (1) จัดท่ีปิดประกาศและท่ีติดแผ่นป้ายเก่ียวกับการเลือกต้ังใน สาธารณสถานซง่ึ เป็นของรัฐ (2) พิมพ์และจัดส่งเอกสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งไปให้ผู้มีสิทธิออกเสียง เลือกตัง้ (3) จัดหาสถานทห่ี าเสยี งเลือกตง้ั ให้แก่ผ้สู มคั รรับเลือกตงั้ (4) จัดสรรเวลาออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ให้แก่ พรรคการเมอื ง 4) กําหนดให้มีคณะกรรมการการเลือกตั้งที่เป็นอิสระ และเป็นกลาง เป็นผู้จัดการ เลือกต้ังแทนกระทรวงมหาดไทยและนักการเมือง (มาตรา 136-148) 5) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีอํานาจหน้าท่ีสําคัญ คือ การตรากฎหมาย (มาตรา 172-174) ซึง่ แยกเป็นกฎหมายธรรมดาและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนญู (มาตรา 172) การอนุมัติงบประมาณ (มาตรา 179-180) และยกเลิกงบ ส.ส. (มาตรา 180 วรรค 6) ท้ังนี้เพราะสภาผู้แทนราษฎรหรือกรรมาธิการจะแปรญัตติหรือกระทําการใดๆ ที่มีผลให้ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร สมาชกิ วุฒิสภาหรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่ายจะกระทําไม่ได้ และการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ไดแ้ ก่ การตงั้ กระทธู้ รรมดา (มาตรา 183) และการตัง้ กระทู้สด (มาตรา 184) ยกเลิกการ ให้เปิดอภปิ รายคณะรฐั มนตรีทัง้ คณะ แต่ให้มกี ารเสนอญตั ตขิ อเปิดอภปิ รายทว่ั ไปเพ่ือลงมติ ไมไ่ ว้วางใจนายกรัฐมนตรีแทน (มาตรา 185) การเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายท่ัวไปเพ่ือลง มตไิ ม่ไว้วางใจรฐั มนตรเี ป็นรายบุคคล (มาตรา 186) การตัง้ กรรมาธิการสามัญและวิสามัญ เพื่อกระทํากิจการพิจารณาสอบสวน หรือศึกษาเร่ืองใดๆ อันอยู่ในอํานาจหน้าที่ของสภา ผแู้ ทนราษฎร (มาตรา 189) และในกรณที ี่รา่ งพระราชบญั ญตั ใิ ดมีสาระสําคัญเกี่ยวกับเด็ก สตรี และคนชรา หรือผู้พิการหรือทุพพลภาพ สภาผู้แทนราษฎรจะต้องตั้ง คณะกรรมาธิการวิสามัญข้ึนประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนเก่ียวกับบุคคลประเภทนั้น มีจาํ นวนไมน่ อ้ ยกว่า 1 ใน 3 ของจํานวนกรรมาธิการท้ังหมด (มาตรา 190) สภาผูแ้ ทนราษฎร อายุของสภาผู้แทนราษฎร สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร สมาชิกภาพของสมาชกิ 4 ปี นับแต่วันเลอื กตง้ั จํานวน 500 คน สภาผ้แู ทนราษฎรเริ่มแต่ (มาตรา 98) วันเลอื กต้ัง (มาตรา 117) (มาตรา 114) มาจากการเลือกตงั้ แบบ มาจากการเลอื กต้ังแบบ บัญชรี ายชอ่ื จาํ นวน 100 คน แบ่งเขต เขตละ 1 คน จํานวน 400 คน (มาตรา (มาตรา 99) 102)
64 ประชาธิปไตยกบั การเมืองไทย การเลือกตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร แบบแบง่ เขตเลอื กตัง้ 400 คน (มาตรา 102) การคํานวณเกณฑ์ จํานวน จํานวน จังหวดั ใดมกี าร จังหวัดใดมีการ จํานวนราษฎรตอ่ สมาชิกสภาผ้แู ทน สมาชกิ สภาผูแ้ ทน เลอื กตั้ง แบ่งเขตเลอื กต้ัง สมาชกิ หนงึ่ คน โดย ราษฎรแตล่ ะจังหวัด ราษฎรแตล่ ะจังหวัด สมาชิกสภาผู้แทน มากกวา่ หนงึ่ เขต คํานวณจากจํานวน มาจากเกณฑ์จาํ นวน รวมกนั ไมค่ รบ 400 ราษฎรไม่เกิน 1 คน ต้องแบ่งพื้นท่ขี อง ราษฎรทง้ั ประเทศ ราษฎรต่อสมาชิก คน จงั หวดั ใดมเี ศษ ใหถ้ ือเขตจงั หวัดเปน็ เขตเลือก ต้งั แต่ ตามหลักฐานการ หน่ึงคนมาเฉลยี่ เหลือจากการคํานวณ เขตเลือกต้งั จงั หวัด ละเขตให้ ทะเบยี นราษฎรท่ี จาํ นวนราษฎรใน มากทสี่ ดุ ใหจ้ งั หวดั ใดมีการเลือกตั้ง ติดตอ่ กนั และตอ้ ง ประกาศปสี ุดทา้ ย จงั หวดั นัน้ จังหวดั ใด น้ันมี สมาชิกสภาผู้แทน ใหจ้ ํานวนราษฎร กอ่ นปีท่มี ีการ มรี าษฎรไม่ ถึงเกณฑ์ สมาชกิ สภาผแู้ ทน ราษฎรเกิน 1 คน ให้ ในแตล่ ะเขต เลอื กตง้ั เฉลย่ี ด้วย ใหม้ สี มาชิกสภา ราษฎรเพม่ิ อกี 1 คน แบง่ เขตจงั หวัด ใกลเ้ คียงกัน จาํ นวนสมาชิกสภา ผูแ้ ทนราษฎรได้หน่ึง โดยใหเ้ พ่มิ ออกเป็นเขตเลือกต้งั (มาตรา 103) ผู้แทนราษฎร 400 คน จงั หวัดใดมี สมาชิกสภาผู้แทน มจี ํานวนเทา่ จาํ นวน คน ราษฎรเกนิ เกณฑ์ใหม้ ี ราษฎรตามวธิ ีการน้ี สมาชิก สภา (มาตรา 102) สมาชิกเพ่ิมอีกหนึ่ง แกจ่ ังหวัดทมี่ ีเศษ ผูแ้ ทนราษฎรโดยให้ คนทกุ จํานวนราษฎร เหลอื ในลาํ ดับ แตล่ ะเขตเลือกตัง้ มี ที่ถึงเกณฑ์ รองลงมาจนครบ จํานวน (มาตรา 102) 400 คน สมาชกิ สภาผู้แทน (มาตรา 102) ราษฎร 1 คน (มาตรา 103) การเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรแบบบญั ชรี ายช่ือ (มาตรา 99) พรรคการเมืองจดั ทําขน้ึ พรรคละ 1 บัญชี ไมเ่ กนิ บญั ชีละ 100 คน ยน่ื บัญชีรายช่ือผสู้ มคั รรับเลอื กตง้ั ตอ่ คณะกรรมการการเลอื กตั้ง ผ้มู ีสิทธเิ ลอื กต้งั ออกเสยี งลงคะแนนเลอื กบัญชรี ายช่อื ผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั ท่ีพรรคการเมืองจดั ทาํ ขนึ้ เพียงบญั ชีเดียว (มาตรา 104) บญั ชรี ายชอ่ื พรรคการเมอื งใดไดค้ ะแนนเสยี งนอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 5 ของคะแนนเสียงรวมท้ังประเทศใหถ้ ือว่าบัญชีน้นั ไมไ่ ด้รับการเลือกตั้ง
ประชาธิปไตยกับการเมืองไทย 65 สภาผ้แู ทนราษฎร ประเดน็ สําคัญ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2534 พทุ ธศกั ราช 2540 - มีจาํ นวน 500 คน จํานวน ส.ส. จํานวน ส.ส. ขึ้นอยู่กับสัดส่วนประชากร - มาจากการเลอื กตัง้ แบบแบ่งเขตเลอื กตงั้ 150,000 คน ตอ่ ส.ส. 1 คน - 400 คน มาจากการเลือกต้ังแบบบัญชีรายช่ือ 100 คน คณุ สมบัติและ - มีสญั ชาตไิ ทยโดยการเกิด หากบิดาเป็น - มสี ญั ชาติไทยโดยการเกดิ ลักษณะต้องห้าม ค น ต่ า ง ด้ า ว ต้ อ งมี คุ ณ ส ม บั ติ ต า ม - ของ - กฎหมายเลอื กตง้ั ด้วย วุฒิการศึกษาปริญญาตรีขึ้นไปหรือ ผู้สมัครรับเลอื กต้งั - - เทียบเท่า ไมจ่ าํ กัดวฒุ ิการศึกษา ไม่หา้ มบคุ คลหหู นวกและเปน็ ใบ้ หา้ มบคุ คลหูหนวกและเป็นใบ้ - ได้สัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ - ได้สัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ คณุ สมบตั ขิ อง มาแลว้ ไม่นอ้ ยกว่า 10 ปี มาแล้วไมน่ อ้ ยกวา่ 5 ปี ผู้มีสิทธเิ ลอื กต้งั - ไม่กําหนดเวลาการมีช่ืออยู่ในทะเบียน - ต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขต บา้ นในเขตเลือกตง้ั เลือกต้งั ไม่น้อยกว่า 90 วัน - พรรคการเมืองที่ได้รบั เลือกต้ังแบบบัญชี - คะแนนของผู้สมัครท่ีสอบตกไม่มี รายชื่อไม่ถึง 5% จํานวนคะแนนเสียง การเลอื กต้ัง ความหมาย รวมท้ังประเทศถอื วา่ ไมม่ ผี ู้ใดในบญั ชนี นั้ - ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องลงคะแนนในเขต ได้รบั เลือกตัง้ เลอื กตัง้ เทา่ นน้ั - ผู้มีสิทธิเลือกต้ังนอกเขตเลือกต้ังมีสิทธิ ลงคะแนนเลือกตั้ง การนบั คะแนน บัญญัติไว้ในกฎหมายเลือกตั้งว่าต้องกระทํา ต้องนับคะแนนรวมกันทุกหน่วยเลือกตั้งและ และประกาศผล ณ ที่เลอื กต้ังนั้น ประกาศ ณ สถานที่แห่งเดียวในเขตเลือกต้ัง นนั้ - ส.ส. เป็นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี - ส.ส. ท่ีไปเป็นนายกรัฐมนตรีหรือ ไดใ้ นขณะเดยี ว กันได้ 1 คน การส้ินสุดสมาชิก - - รัฐมนตรตี อ้ งพ้นจากการเป็น ส.ส. ภาพ สภาผู้แทนราษฎรหรือคณะตุลาการ รฐั ธรรมนูญมีมติให้พ้นจากสมาชกิ ภาพ วุ ฒิ ส ภ า มี ม ติ ใ ห้ ถ อ ด ถ อ น อ อ ก จ า ก ตําแหนง่ หรอื ศาลรฐั ธรรมนูญวนิ ิจฉยั ให้ - ขาดประชุมตลอดสมยั ประชุม พ้นจากสมาชกิ ภาพ - หากตําแหน่งที่ว่างเป็น ส.ส. ในบัญชี รายชอื่ พรรคใด ให้ผ้มู ีช่อื ในบัญชีรายช่ือ ตาํ แหน่ง ส.ส. ว่าง เลือกต้งั แทนตาํ แหนง่ ทวี่ ่าง ของพรรคนัน้ ในลาํ ดับถดั ไปเลอ่ื นข้ึนมา ลง เป็นแทน - หากตาํ แหนง่ ที่ว่างเป็น ส.ส. มาจากเขต การเลือกตั้ง ให้มีการเลือกตั้งแทน ตําแหน่งทว่ี ่าง
66 ประชาธิปไตยกบั การเมอื งไทย 1.1.3 การปฏิรปู วุฒสิ ภา มีการแก้ไขเปล่ียนแปลงหลายประการทั้งในเรอ่ื งองคป์ ระกอบ ท่มี าและอํานาจหน้าท่ี 1) สมาชิกวฒุ สิ ภามีจาํ นวนท้งั สิน้ 200 คน (มาตรา 121) 1) สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกต้ังโดยตรงของประชาชน (มาตรา 121) ซ่ึงเป็น การเปล่ียนแปลงท่ีมาของวุฒิสภา การเลือกต้ังวุฒิสภาใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง (มาตรา 122) แต่ไม่ว่าจังหวดั นัน้ จะมีสมาชกิ วฒุ ิสภากคี่ น ประชาชนแตล่ ะคนจะลงคะแนน เสียงได้เพยี ง 1 คะแนน เท่าน้ัน (มาตรา 123) ผสู้ มคั รวฒุ สิ ภาจะหาเสียงไม่ได้ ซ่ึงจะทําให้ คนดมี ีความสามารถและเปน็ ทีร่ ู้จักอย่างกว้างขวางในจังหวัดนั้นๆ เข้ามาเป็นสมาชกิ วุฒสิ ภา ได้ ระบบนี้ยังป้องกันไม่ให้สมาชิกวุฒิสภามีลักษณะกระจุกตัวอยู่แต่ในเฉพาะ กรุงเทพมหานคร 2) วุฒิสภานอกจากตะมีอํานาจในการยับย้ังร่างกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎร ซ่ึง เป็นอํานาจแตเ่ ดิมแลว้ (มาตรา 175) วุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งน้ีจะมีอํานาจในฐานะท่ี เปน็ องคก์ รตรวจสอบดว้ ย บทบาทในฐานะทเ่ี ป็นองคก์ รตรวจสอบน้นั แสดงออกใน 2 ลักษณะ ประการแรก คือ เป็นผู้มีอํานาจในการแต่งตั้งสมาชิกขององค์กรต่างๆ ตาม รัฐธรรมนูญ ได้แก่ การต้ังผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา จํานวนไม่เกิน 3 คน (มาตรา 196) การตั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจํานวน 11 คน (มาตรา 199) การตั้ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจํานวน 15 คน (มาตรา 255) การเลือกผู้ทรงคุณวุฒิจํานวน 2 คน ไปเป็นกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (มาตรา 274 อนุ 3) การให้ความเห็นชอบใน การแต่งต้ังผู้ทรงคุณวุฒิเป็นตุลาการศาลปกครอง (มาตรา 279 อนุ 3) การเลือก คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ แห่งชาตจิ ํานวน 9 คน (มาตรา 297) ประการท่ีสอง คือ การมีอํานาจในการถอดถอนบุคคลต่างๆ ออกจากตําแหน่ง ได้แก่ การมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ให้คณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพน้ จากตําแหนง่ (มาตรา 299) การถอดถอนผู้ดาํ รงตาํ แหนง่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการตรวจสอบเงินแผ่นดิน ผู้ พพิ ากษาหรอื ตุลาการ พนกั งานอัยการหรือผ้ดู ํารงตาํ แหน่งระดับสูง ตามกฎหมายประกอบ รัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตออกจากตําแหน่ง ในกรณีท่ีบุคคล นั้นมีพฤติการณ์รํ่ารวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทําผิดต่อตําแหน่ง หนา้ ที่ราชการ ส่อว่ากระทําผิดต่อตําแหน่งหน้าท่ีในการยุติธรรม หรือส่อว่าจงใจใช้อํานาจ หน้าทขี่ ดั ตอ่ บทบญั ญตั แิ หง่ รัฐธรรมนญู หรือกฎหมาย
ประชาธปิ ไตยกบั การเมอื งไทย 67 วุฒิสภา ทม่ี า คุณสมบัติ ลกั ษณะต้องห้าม วาระการดํารงตําแหน่ง มาจากการ 1. มีสัญชาติไทยโดยการ 1. ไม่เป็นสมาชิกหรือผู้ดํารงตําแหน่งอ่ืนของพรรค มกี ําหนดคราวละ 6 ปี เลือกตั้งโดยตรง เกิด การเมอื ง นับแต่วนั เลือกต้ัง ของประชาชน จาํ นวน 200 คน 2. มีอายุไม่ตํ่ากว่า 40 ปี 2. ไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือเคยเป็น บริบูรณ์ในวนั เลอื กตงั้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และพ้นจากการเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วยังไม่เกิน 1 ปี 3. สําเร็จการศึกษาไม่ตํ่า นบั ถงึ วนั สมคั รรบั เลอื กตงั้ ก ว่า ป ริญ ญ า ต รีห รื อ เทยี บเท่า 3. ไม่เป็นหรือ เคยเป็นสมาชิก วุฒิสภ าตา ม บทบญั ญัติแห่งรฐั ธรรมนญู นี้ ในอายขุ องวุฒิสภา 4. มีลักษณะอย่างใดอย่าง คราวกอ่ นการสมคั รรบั เลือกต้ัง หนึ่งตามมาตรา 107 (5) 4. ไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับ เลือกตงั้ ตามมาตรา 109 (1-14) 5. จะเป็นรัฐมนตรหี รือข้าราชการการเมอื งอนื่ มไิ ด้ 6. การกระทําต้องห้ามตามมาตรา 110 และ มาตรา 111 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ นํามาใชบ้ งั คบั กบั สมาชิกวุฒิสภา โดยอนโุ ลม วุฒิสภา ประเด็นสําคัญ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2534 พทุ ธศกั ราช 2540 จาํ นวนและ ทมี่ าของ ส.ว. - มีจํานวน 2/3 ของจํานวน ส.ส. - มจี ํานวน 200 คน - มาจากการแตง่ ตงั้ - มาจากการเลือกตง้ั โดยตรง - มีอายุต้งั แต่ 40 ปขี ้ึนไป คุณสมบตั แิ ละ - มอี ายุต้งั แต่ 35 ปีขน้ึ ไป - วุฒิการศึกษาปริญญาตรีขึ้นไปหรือ ลักษณะ ต้องห้าม - ของ - ไม่จาํ กัดวฒุ กิ ารศึกษา เทยี บเท่า ผ้ทู ่ีจะเป็น ส.ว. - ห้ามบคุ คลหูหนวกและเป็นใบ้ - ไม่หา้ มบคุ คลหหู นวกและเปน็ ใบ้ - ห้ามข้าราชการประจํา พนักงาน ไม่ห้ามข้าราชการประจํา พนักงาน รัฐวสิ าหกิจ รฐั วิสาหกจิ - ได้สัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ - ได้สัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ มาแลว้ ไมน่ อ้ ยกวา่ 5 ปี คณุ สมบัตขิ อง มาแล้วไม่นอ้ ยกว่า 10 ปี - ต้องมีช่ืออยู่ในทะเบียนบ้านในเขต ผ้มู สี ิทธิเลือกตั้ง - ไม่กําหนดเวลาการมีช่ืออยู่ในทะเบียน เลือกต้งั ไม่นอ้ ยกว่า 90 วัน บ้านในเขตเลอื กตัง้ 6 ปี ว า ร ะ ก า ร ดํ า ร ง ตําแหนง่ 4 ปี
68 ประชาธปิ ไตยกบั การเมอื งไทย ประเด็นสาํ คญั รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2534 พทุ ธศักราช 2540 การดํารงตําแหน่ง ประธานและรอง การเลอื กทกุ 2 ปี อยู่จนส้นิ อายุสภา ประธาน - กลนั่ กรองกฎหมาย อาํ นาจหน้าท่ี กล่นั กรองกฎหมาย - ให้ความเห็นชอบในการแต่งต้ังและ ถอดถอนผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กร ตามที่รัฐธรรมนญู บัญญัติ เช่น ป.ป.ช. , ศาลรฐั ธรรมนูญ - เม่ือไปเป็นรัฐมนตรี หรือข้าราชการ ก า ร สิ้ น สุ ด ส ม า ชิ ก - ส.ว. เป็นรฐั มนตรไี ดใ้ นขณะเดียวกัน - เมืองอ่นื ภาพ - - วุฒิสภาหรอื คณะตุลาการรฐั ธรรมนูญมี วุฒิ สภ ามี มติ ถอ ด ถอ น หรื อศ า ล - มติใหพ้ น้ จากสมาชกิ ภาพ รัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากสมาชิก ภาพ ขาดประชุมตลอดสมัยประชมุ ขาดประชมุ เกนิ 1 ส่วน 4 ของจํานวน วนั ประชุม ตําแหน่ง ส.ว. ว่าง พระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ังบุคคลเป็น เลือกต้งั ข้นึ แทนตาํ แหนง่ ทวี่ า่ ง ลง สมาชิกแทน กระบวนการในการถอดถอนออกจากตาํ แหน่ง สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ประชาชน 50,000 คน 1/4 ของท้ังหมดรอ้ งขอตอ่ รอ้ งขอตอ่ ประธานวฒุ ิสภา ป.ป.ช. ไต่สวน ไมม่ มี ูล มมี ลู ข้อกล่าวหาตกไป วฒุ ิสภาลงมติ อยั การสูงสดุ ผถู้ กู ถอดถอน ศาลฎกี าแผนก พน้ จากตาํ แหน่ง อาญาลงโทษ
ประชาธปิ ไตยกับการเมืองไทย 69 1.2 การปฏิรปู กระบวนการนติ บิ ญั ญตั ิ การปรับปรงุ กระบวนการนติ ิบัญญัติให้มปี ระสิทธภิ าพมากขึน้ ด้วยการ กําหนดให้สมัยประชุมมี 2 สมัย คือ สมัยประชุมทั่วไป และสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ (มาตรา 159 วรรค 2) ซ่ึงจะทาํ ให้สภาผูแ้ ทนราษฎรสามารถตรากฎหมายได้มากขนึ้ ขยายระยะเวลาสมัยประชุมเปน็ สมัยละ 120 วนั (มาตรา 160) กําหนดให้กฎหมายที่สําคัญมีกระบวนการนิติบัญญัติที่แตกต่างไปโดยระบุว่า ร่างกฎหมายที่ คณะรัฐมนตรีระบุไว้ในนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาว่าจําเป็นต่อการบริหารราชการแผ่นดิน หรือร่างกฎหมาย ประกอบรัฐธรรมนูญใด หากสภาผแู้ ทนราษฎรมีมตไิ มใ่ หค้ วามเหน็ ชอบและคะแนนเสียงที่ไมใ่ หค้ วามเหน็ ชอบไม่ ถงึ กงึ่ หนงึ่ ของจํานวนสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรท้งั หมดเท่าที่มีอยู่ คณะรัฐมนตรีอาจขอให้รัฐสภาประชุมร่วมกัน เพอื่ มมี ตอิ ีกครั้งหนงึ่ หากรฐั สภามีมติใหค้ วามเหน็ ชอบก็จะมีการต้ังบุคคลซ่ึงเป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกของแต่ละ สภามีจํานวนเทา่ กัน ตามท่ีคณะรัฐมนตรีเสนอประกอบกันเป็นคณะกรรมาธิการร่วมพิจารณาเสร็จแล้วก็ส่งให้ รฐั สภามีมติต่อไป (มาตรา 173) กําหนดใหก้ ฎหมายทค่ี ้างอยู่ในสภา สามารถถูกหยิบยกขึน้ มาพจิ ารณาใหมไ่ ดโ้ ดยไมต่ อ้ งกลับไปเริ่มต้น ใหม่ ในกรณที อี่ ายขุ องสภาผู้แทนราษฎรสน้ิ สดุ ลงหรอื มกี ารยุบสภา (มาตรา 178) 2. กลไกของรัฐในทางบรหิ าร กลไกของรัฐในทางบริหารมีการเปล่ียนแปลงใน 2 แนวทางด้วยกัน แนวทางแรก คือ การเปล่ียนแปลงท่ี เกี่ยวขอ้ งกับฝ่ายบริหารโดยตรง แนวทางท่ี 2 คอื การเปล่ยี นแปลงท่ีเกย่ี วขอ้ งกับระบบราชการ ซ่งึ เป็นกลไกของฝา่ ย บรหิ าร 1.1 การปฏิรปู ฝา่ ยบรหิ าร รัฐธรรมนญู ฉบับปัจจุบันได้ทําการปฏิรปู ฝ่ายบริหาร หรือรัฐบาลในหลายกรณดี ้วยกนั ประการแรก คือ การลดจํานวนคณะรัฐมนตรีให้เหลือเพียง 36 คน จากเดิมที่มีอยู่เกือบ 50 คน สาเหตสุ ําคัญท่ีมกี ารลดจํานวนรฐั มนตรใี หเ้ หลือน้อยลงดังกล่าว ก็เนื่องมาจากการคํานึงถึงประสิทธิภาพในการ บริหารราชการแผ่นดินของรฐั บาล เพราะอาจจะกล่าวไดว้ ่า ในอดีตทผ่ี ่านมาจนถงึ ปัจจบุ ันนั้น คณะรัฐมนตรีของ ประเทศไทยมีขนาดใหญ่ เพราะไม่ได้ประกอบด้วยรัฐมนตรีเท่านั้น แต่ยังมีรัฐมนตรีช่วยว่าอีกเป็นจํานวนมาก นอกจากน้ีประเพณีการแบ่งสรรอํานาจของรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการก็มีลักษณะที่แบ่งแยกกันเด็ดขาด รัฐมนตรีไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายหน่วยงานท่ีอยู่ในความดูแลของรัฐมนตรีช่วยว่าการ ความเป็นเอกภาพของ หน่วยงานจึงไม่เกิดข้ึน การกําหนดจํานวนคณะรัฐมนตรีมากเช่นนี้เป็นผลสืบเน่ืองมาจากการปูนบําเหน็จทาง การเมอื งดว้ ย โดยไม่คาํ นงึ ถึงความจาํ เปน็ ในการบริหารราชการแผ่นดินแต่อย่างใด จํานวนรัฐมนตรีมิได้มีความ สอดคล้องกับกระทรวง ทบวง กรม ท่ีมีอยู่ การลดจํานวนรัฐมนตรีลงจะทําให้การปูนบําเหน็จรางวัลเป็นไปได้ ยากขึ้น การบริหารงานจะมีความเป็นเอกภาพ และคณะรัฐมนตรีจะสามารถเป็นศูนย์รวมของการตัดสินใจ ปัญหาของประเทศอยา่ งแท้จริง ประการท่ีสอง คือ การปรับปรุงให้มีการให้ความเห็นชอบผู้ดํารงตําแหน่งนารัฐมนตรีในสภา ผู้แทนราษฎร โดยกําหนดกลไกไว้ในมาตรา 202 ว่าจะต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจาํ นวนสมาชกิ ท้งั หมดเทา่ ที่มอี ยู่ของสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร และมติของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งต้องกระทด โดยเปิดเผยจะต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกเท่าท่ีมีอยู่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กลไกตามาตราน้ีมีขึน้ เพอ่ื ใหก้ ารสรรหานายกรัฐมนตรีเป็นอย่างโปร่งใส และเปน็ ท่ียอมรบั ของทุกฝา่ ย หลีกเล่ียง การดาํ เนนิ การของหวั หนา้ พรรคการเมอื งหรือเลขาธกิ ารพรรคการเมืองท่ีมักจะอาศัยการตกลงภายในกับพรรค การเมืองอน่ื เพ่อื ให้บุคคลใดบคุ คลหน่ึงขน้ึ เปน็ นายกรฐั มนตรี ประการที่สาม นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภาใน ขณะเดียวกนั ไม่ได้ ประเดน็ น้เี ป็นท่ีมีความขัดแยง้ กันเปน็ อยา่ งสูงในสภาร่างรัฐธรรมนูญ เจตนารมณ์ของมาตรา
70 ประชาธิปไตยกบั การเมอื งไทย 204 คอื การห้ามฝา่ ยบรหิ ารดํารงตําแหน่งในฝ่ายนิติบัญญตั ิในขณะเดียวกัน ซ่ึงเป็นเรื่องท่ีแตกต่างจาก “ห้าม ส.ส. เปน็ รฐั มนตร”ี เพราะในกรณหี ลงั นน้ั ทําให้ไขว้เขวได้ว่า ผู้ร่างรัฐธรรมนูญประสงค์ที่จะให้ “คนนอก” ท่ีไม่ ไดม้ าจากการเลือกตั้งมาเป็นรัฐมนตรี ซึ่งความจริงหาเป็นเช่นน้ันไม่ เพราะแม้จะมีเจตนามิให้ฝ่ายบริหารดํารง ตาํ แหน่งในฝา่ ยนติ ิบญั ญัตใิ นขณะเดยี วกนั แต่ผ้รู า่ งรัฐธรรมนญู ก็ประสงค์ที่จะให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมา จากการเลือกตั้ง หรือเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั่นเอง ดังจะเห็นได้มาตรา 204 วรรค 2 ที่บัญญัติว่า “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้รับการแต่งต้ังเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี ให้พ้นจากตําแหน่ง สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรในวนั ถดั จากวันทคี่ รบ 30 วนั นับแตว่ ันทีม่ พี ระบรมราชโองการแต่งตง้ั ” การท่ีรัฐธรรมนูญไม่ประสงค์ให้ฝ่ายบริหารเป็นฝ่ายนิติบัญญัติในขณะเดียวกัน มีเหตุผลที่สําคัญ 3 ประการ คือ 1) บทบาทของฝ่ายบริหารและบทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นบทบาทท่ีขัดแย้งกันโดย ส้ินเชิง ผ่ายบริหารมีหน้าท่ีในการบริหารราชการแผ่นดิน ในขณะท่ีฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ในการ ควบคมุ การบริหารราชการแผ่นดนิ ดงั น้นั ในกรณีท่นี ายกรฐั มนตรแี ละรฐั มนตรเี ป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรในขณะเดยี วกัน ก็เป็นไปไม่ได้เลยท่ีบุคคลดังกล่าวจะทําหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติในฐานะที่เป็นผู้ ควบคมุ การบริหารราชการแผ่นดนิ
ประชาธปิ ไตยกบั การเมืองไทย คณะรฐั ม องคป์ ระกอบ คณุ สมบัตแิ ละลกั ษณะต้องห้าม นายกรัฐมนตรี 1. มสี ญั ชาตไิ ทยโดยการเกดิ หนึ่งค น แล ะ 2. มีอายไุ ม่ตํา่ กว่า 35 ปีบริบูรณ์ รัฐมนตรีอ่ืนอีก 3. สําเร็จการศึกษาไม่ตาํ่ กวา่ ปรญิ ญาตรีหรอื เทียบเทา่ ไมเ่ กนิ 35 คน 4. ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 109 (1-7) (12-14) 5. ไมเ่ คยได้รบั ตอ้ งคาํ พพิ ากษาให้จาํ คกุ ตง้ั แต่ 2 ปีข้นึ ไป โดยก่อนไดร้ ับ การแตง่ ตัง้ เวน้ แตใ่ นความผดิ อันกระทําโดยประมาท 6. ไมเ่ ป็นสมาชิกวฒุ สิ ภา หรอื เคยเปน็ สมาชิกภาพสิ้นสุดลงมาแล้วยังไม่ เกิน 1 ปี นับถึงวันท่ีได้รับแต่งต้ังเป็นรัฐมนตรีเว้นแต่สมาชิกภาพ สนิ้ สดุ ลงตามาตรา ม.133 (1) 7. รัฐมนตรีจะเป็นข้าราชการซ่ึงมีตําแหน่งเงินเดือนประจํานอกจาก ข้าราชการการเมอื งมไิ ด้ 8. รัฐมนตรีจะดํารงตําแหน่งหรือกระทําการใดก็ตามท่ีบัญญัติไว้ใน ม. 110 มไิ ด้ 9. รัฐมนตรจี ะต้องไมเ่ ป็นหุน้ ส่วนหรอื ผถู้ ือหนุ้ ในหา้ งหนุ้ สว่ นหรอื ไมค่ งไว้ ซ่งึ วามเป็นห้นุ ส่วนหรือผถู้ ือหนุ้ ในหา้ งหุ้นสว่ นหรอื บริษัทต่อไป 10. นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะเป็น ส.ส.หรือ ส.ว. ในขณะเดียวกัน มิได้ 11. นายกรัฐในตรีต้องแต่งตั้งจาก ส.ส. หรือผู้เคยเป็น ส.ส. แต่พ้นจาก สมาชิกภาพตาม ม.117 (7) ในอายุของสภาผู้แทนราษฎรชุด เดยี วกัน
71 มนตรี การออกเสียงประชามติ การสิน้ สุดความเป็นรฐั มนตรี โดยประชน ถ้าหากคณะรัฐมนตรีเห็น ท้ังคณะ เฉพาะตัว ว่ากิจการในเรื่องใดอาจ กระทบถึงประโยชน์ได้ 1. ความเปน็ รฐั มนตรขี อง 1. ตาย เ สี ย ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ห รื อ นายกรฐั มนตรีสน้ิ สุดลง 2. ลาออก ประชาชนจะขอปรึกษา ตาม ม.216 3. ขาดคุณสมบตั ิ หรอื มี ความเห็นของประชาชน ว่ า จ ะ เ ห็ น ช อ บ ห รื อ ไ ม่ 2. อายสุ ภาผแู้ ทนราษฎร ลกั ษณะต้องห้ามตาม ม. เ ห็ น ช อ บ ใ น เ รื่ อ ง น้ั น ๆ สนิ้ สดุ ลงหรอื มกี ารยุบ 306 ออกเสียงประชามติ ซ่ึง สภาผู้แทนราษฎร 4. ตอ้ งคาํ พิพากษาให้จําคุก การออกเสียงประชามติ 5. สภาผู้แทนราษฎรมีมติ จะมีผลเป็นเพียงการให้ 3. คณะรัฐมนตรลี าออก ไมไ่ วว้ างใจตาม ม.185 คํ า ป รึ ก ษ า แ ก่ ค ณ ะ หรือ ม.186 รัฐ ม น ต รี เ ท่ า นั้ น ค ณ ะ 6. กระทําการอันตอ้ งห้าม รัฐมนตรีจะนําไปปฏิบัติ ตาม ม.208 หรอื ม. 209 หรือไมก่ ไ็ ด้ 7. มีพระบรมราชโองการ ตาม ม.217 8. วุฒสิ ภามมี ตติ าม ม. 307 ให้ถอดถอนออก จากตาํ แหนง่
ประชาธิปไตยกับการเมืองไทย 73 2) เปน็ ท่ที ราบกันดีว่าฝ่ายนิติบัญญัติในประเทศไทยตรากฎหมายได้น้อยมากในแต่ละปี แม้ จะมสี าเหตหุ ลายประการกต็ าม แตเ่ หตผุ ลหนึง่ กค็ อื ฝ่ายนติ ิบัญญัติในประเทศไทยไม่ได้ให้ความสนใจ ต่อการตรากฎหมายเท่าท่ีควร ผู้ดํารงตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมักให้ความสนใจกับการตรา กฎหมายคอ่ นข้างน้อย แตเ่ นน้ หนกั ความสนใจของตนเองไปท่ีการเป็นฝ่ายบริหารมากกว่า การห้ามมิ ใหฝ้ ่ายบริหารดาํ รงตาํ แหน่งเป็นฝ่ายนติ บิ ญั ญัติในขณะเดยี วกัน จงึ เท่ากับทําใหท้ ง้ั ฝ่ายบริหารและฝ่าย นิติบัญญัติสามารถทุ่มเทการทํางานของตนได้อย่างเต็มท่ี สอดคล้องกับหลักการ “แยกงานกันทํา” เพอ่ื ให้เกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ ตอ่ ประเทศชาติเป็นส่วนรวม 3) การให้ฝ่ายนิติบัญญัติดํารงตําแหน่งเป็นฝ่ายบริหารได้ ยังเป็นช่องทางให้มีการแสวงหา ประโยชน์จากการเป็นรัฐมนตรี เพราะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลายต่างก็มุ่งหวังว่าตนเองจะ สามารถรวบรวมคะแนนเสียงได้จํานวนหนึ่ง เพ่ือไปดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีตามโควต้า การห้ามมิให้ ฝ่ายนติ บิ ัญญัติดาํ รงตาํ แหน่งฝา่ ยบรหิ ารในขณะเดยี วกันจะทาํ ใหส้ มาชกิ สภาผู้แทนราษฎรตระหนักว่า เม่ือใดกแ็ ล้วแตท่ ไี่ ปดาํ รงตําแหนง่ รฐั มนตรีจะตอ้ งพน้ จากการเปน็ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร และหากมี การเปลี่ยนแปลงคณะรฐั มนตรกี ็จะกลับมาเปน็ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้จนกว่าจะมีการเลือกต้ัง ใหม่ 1.2 การปฏิรปู ระบบราชการ 1.2.1 การปฏริ ูปราชการสว่ นกลางและภมู ิภาค 1) รัฐธรรมนูญมาตรา 230 ได้เปิดช่องให้มีการจัดตั้ง รวม โอน หรือยุบกระทรวง ทบวง กรม ได้ โดยการตราพระราชกฤษฎีกาแทนท่ีจะเป็นการตราพระราชบัญญัติ นั่นก็ หมายความว่ารัฐบาลจะมีความคล่องตัวในการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม มากขึ้น กระทรวง ทบวง กรมใดที่รัฐบาลเห็นว่าไม่มีความจําเป็นต้องดํารงอยู่ต่อไปไม่ว่าจะเป็น เพราะความจําเป็นของสถานการณ์ที่หมดไป ไม่ว่าจะเป็นเพราะรัฐบาลโอนอํานาจหน้าที่ ดงั กลา่ วไปใหห้ นว่ ยงานอืน่ ท่มี ใิ ช่ กระทรวง ทบวง กรม ควรจะไปอยรู่ วมกบั กระทรวง ทบวง กรมอืน่ รัฐบาลก็สามารถดาํ เนินการได้เชน่ เดียวกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่รัฐบาล ประสงค์จะตงั้ หนว่ ยงานใหม่ เชน่ กระทรวงจราจร กระทรวงสิ่งแวดล้อม กระทรวงสตรีเด็ก และเยาวชน อันเป็นนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภา รัฐบาลก็สามารถดําเนินการได้ อยา่ งทันทว่ งทสี อดคลอ้ งกบั สถานการณแ์ ละความเปลย่ี นแปลงตา่ งๆ ทเ่ี กดิ ข้นึ 2) รฐั ธรรมนูญยงั บญั ญัติถึงเรือ่ งอืน่ ๆ อกี หลายเรอื่ งอันมีผลต่อการปฏิรูประบบราชการ สว่ นกลาง และส่วนภูมภิ าค เช่น มาตรา 40 บัญญัติให้มีการจัดตั้ง “องค์กรของรัฐท่ีมีความเป็นอิสระ” ทําหน้าท่ี จัดสรรคลืน่ ความถ่ีทใ่ี ช้ในการส่งวทิ ยุกระจายเสยี ง วิทยุโทรทัศน์ และวิทยุโทรคมนาคม อัน จะมีผลทําให้ต้องหันกลับมาทบทวน “องค์กรนิติบุคคลมหาชน” ในประเทศไทยเสียใหม่ จากแต่เดมิ ทีม่ ีสว่ นราชการ ไม่ว่าจะเป็นราชการส่วนกลาง ราชการสว่ นภูมภิ าค หรือราชการ สว่ นทอ้ งถนิ่ และรัฐวสิ าหกจิ เท่านน้ั มาตรา 46 บัญญัติถึง “ชุมชนท้องถ่ินดังเดิม” ท่ีมีสิทธิในการอนุรักษ์ หรือฟ้ืนฟู จารีตประเพณี ภูมปิ ญั ญาท้องถน่ิ ศิลปะ หรือวัฒนธรรมอันดขี องทั้งถ่ิน และของชาติ และมี ส่วนรวมในการจัดการ การบํารุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ และ สงิ่ แวดลอ้ มอย่างสมดุล และยั่งยืนอํานาจหน้าท่ีดังกล่าว เดิมเป็นของรัฐหรือหน่วยงานของ รฐั เมอ่ื มาตรา 46 บัญญัติไว้เช่นน้ีหน่วยราชการต่างๆ ก็จะต้องปรับทัศนคติในการทํางาน เพื่อให้ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมมีส่วนร่วมมากข้ึน หน่วยราชการต่างๆ ก็จะต้องปรับทัศนคติใน การทํางานเพ่อื ให้ชุมชนท้องถิน่ ดงั้ เดิมมีส่วนร่วมมากขึ้น หน่วยราชการต่างๆ จะต้องเรียนรู้ การทาํ งานรว่ มกบั เอกชน และปรับวิธกี ารทํางานเสยี ใหม่ จากระบบ “ช้ีนิ้วสั่งการ” ผู้อ่ืนมา เป็นระบบ “ทํางานรว่ มกัน” กับคนอน่ื
74 ประชาธิปไตยกบั การเมอื งไทย มาตรา 58 รับรองสทิ ธขิ องประชาชนในการเขา้ ถึง และรบั ทราบขอ้ มูล หรอื ขา่ วสาร ของทางราชการ อันเป็นการกลับหลักเกณฑ์เดิมท่ีถือว่าข้อมูลข่าวสารของทางราชการน้ัน “การปิดลับเป็นหลัก การเปิดเผยเป็นข้อยกเว้น” มาสู่หลักเกณฑ์ “การเปิดเผยเป็นหลัก การปิดลับเป็นข้อยกเว้น” การรับรองสิทธิดังกล่าวข้างต้นเรียกร้องให้หน่วยราชการต้อง ปรับตัวในเรื่องระบบข่าวสารท้ังหมด ซึ่งมีรายละเอียดจะอยู่ในพระราชบัญญัติข้อมูล ข่าวสารของทางราชการ พ.ศ.2540 มาตรา 59 บัญญัติรับรองการมีส่วนรวมของประชาชนในกระบวนการประชา พิจารณ์ ซึ่งจะทําให้การดําเนินการโครงการหรือกิจกรรมใดของหน่วยราชการท่ีอาจมี ผลกระทบต่อสุขภาพ ส่ิงแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียอื่นใดของ ประชาชน หรือชุมชนท้องถิ่น จะต้องให้ประชาชนมีสิทธิได้รับข้อมูล คําชีแจ้ง และเหตุผล และมสี ิทธใิ นการแสดงความคดิ เหน็ ในเรื่องดงั กลา่ วได้ มาตรา 60 บัญญัติรับรองการมีส่วนรวมของประชาชนในการดําเนินการออกคําสั่ง ของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซ่ึงปัจจุบันมีพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการปกครอง พ.ศ.2539 บัญญตั ถิ งึ เรอื่ งน้ีไว้โดยตรง ฯลฯ 1.2.2 การปฏริ ูปราชการสว่ นท้องถ่นิ รัฐธรรมนูญฉบบั ปจั จบุ นั ได้ทําการปฏิรูปราชการส่วนทอ้ งถิน่ 6 ประเดน็ ดว้ ยเชน่ กนั 1) โครงสรา้ ง มาตรา 258 บญั ญตั ิให้ - ท้องถ่ินท้ังหลายต้องมีองค์กร 2 องค์กร ได้แก่ สภาท้องถิ่น และฝ่าย บริหารท้องถิ่นซ่งึ มผี ลกระทบต่อสุขาภบิ าลท่ีเดิมมีองค์กรพียงองค์กรเดียว คอื คณะกรรมการสุขาภิบาล - สมาชิกสภาทอ้ งถิ่นตอ้ งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงเท่านั้น ซ่ึงมีผลกระทบ ต่อสุขาภิบาล องค์การบริหารสว่ นตําบล และเมืองพัทยา - ฝ่ายบริหารท้องถ่ินต้องมาจากการเลือกตั้งหรือความเห็นชอบของสภา ท้องถนิ่ ซงึ่ มผี ลกระทบตอ่ สขุ าภบิ าล และองค์การบรหิ ารสว่ นตําบล - วาระการดํารงตําแหน่งของสมาชิกสภาท้องถิ่น และฝ่ายบริหารท้องถ่ิน ถอื 4 ปี ซึง่ มีผลกระทบตอ่ เทศบาล 2) อํานาจหน้าท่ี มาตรา 284 บัญญัติให้มีการกําหนดอํานาจและหน้าท่ีในการ จัดระบบการบรกิ ารสาธารณะระหวา่ งรัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ และระหว่างองค์กร ปกครองสว่ นทอ้ งถิ่นด้วยกันเอง โดยจะตอ้ งคํานงึ ถึงการกระจายอํานาจเพ่ิมขึ้นให้แก่ท้องถ่ิน เป็นสําคัญนอกจากนี้ มาตรา 289 และ 290 ยังบัญญัติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมี หน้าทีบ่ ํารุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น การจัดการศึกษาอบรม และการฝึกอาชีพตามความเหมาะสมและความต้องการภายใน ทอ้ งถ่ินนน้ั สง่ เสรมิ และรักษาคุณภาพส่ิงแวดลอ้ ม 3) รายได้ มาตรา 284 บญั ญัตใิ หม้ กี ารจัดสรรสัดส่วนภาษี และอากรระหว่างรัฐกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยคํานึงถึงภาระหน้าท่ีของรัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และระหวา่ งองคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่นิ ด้วยกันเองเป็นสําคญั 4) การบริหารงานบุคคล มาตรา 288 บญั ญัติให้มอี งค์กรบริหารงานบุคคลท้องถ่ินท่ี มอี ยกู่ ระจดั กระจายเขาเปน็ องคก์ รเดียว เรียกวา่ คณะกรรมการพนกั งานส่วนท้องถ่ิน (ก.ถ.) ซึ่งเท่ากับเป็นการยกเลิก ก.ก ก.ท. ก.จ. และ ก.สภ. นอกจากน้ียังกําหนดโครงสร้างของ ก.ถ. ว่าจะต้องประกอบด้วย ผู้แทนของหน่วยราชการทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ผ้แู ทนขององค์กรปกครอง ส่วนทอ้ งถ่ิน และผู้ทรงคณุ วุฒจิ าํ นวนเท่าๆ กัน
ประชาธิปไตยกบั การเมอื งไทย 75 5) การให้ประชาชนมสี ่วนรวมในการปกครองทอ้ งถน่ิ มากข้ึน ไดแ้ ก่ การให้ประชาชน ถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถ่ินได้ (มาตรา 286) และการให้ประชาชน สามารถเสนอรา่ งกฎหมายทอ้ งถิน่ ได้ (มาตรา 287) 6) การกาํ กบั ดูแล มาตรา 283 วรรค 2 บัญญตั ิเงื่อนท่ีรัฐจะไปกํากับดูแลท้องถิ่นให้ เข้มงวดมากข้ึน การกํากับดูแลของรัฐจะตอ้ งมเี งือ่ นไขดงั ตอ่ ไปนี้ - ตอ้ งทําเท่าท่จี ําเปน็ - เพ่ือการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนในท้องถ่ิน หรือประโยชน์ของ ประเทศเป็นสว่ นรวม - จะกระทบถงึ สาระสําคัญแห่งหลักการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของ ประชาชนในท้องถน่ิ ไม่ได้ - จะกํากบั ดแู ลนอกเหนอื จากทีก่ ฎหมายบัญญตั ิไว้มิได้ การปกครองสว่ นท้องถิ่น ที่มาของสมาชกิ สภาท้องถน่ิ สิทธิและอาํ นาจหนา้ ท่ี การควบคุมสภาทอ้ งถน่ิ การออกข้อบญั ญัติ คณะผ้บู รหิ ารท้องถ่ินหรอื ผู้บรหิ ารทอ้ งถนิ่ ขององคก์ ร ทอ้ งถ่ินโดยประชาชน หรือผูบ้ รหิ ารท้องถ่นิ โดย ปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ ประชาชน สมาชกิ สภาทอ้ งถิน่ คณะผบู้ ริหารท้องถน่ิ 1. สิ ท ธิ ที่ จ ะ จั ด ก า ร ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งใน ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกต้ัง หรือผบู้ รหิ ารท้องถ่นิ ศึกษาอบรมและการ อ ง ค์ ก ร ป ก ค ร อ ง ส่ ว น ในองค์กรปกครองส่วน 1. ต้องมาจากการ ฝกึ อาชพี และเข้าไปมี ท้องถ่ินใดมีจํานวนไม่น้อย ท้องถ่ินใดมีจํานวนไม่ เลือกตั้งโดยตรง 1. ใ ห้ ม า จ า ก ก า ร ส่ ว น ร่ ว ม ใ น ก า ร จั ด กว่า 3/4 ของจํานวนผู้มี น้ อ ย ก ว่ า 1/2 ข อ ง ของประชาชน เลือกตั้งโดยตรงของ การศึกษาอบรมของ สิ ท ธิ เ ลื อ ก ต้ั ง ท่ี ม า ล ง จํานวนผู้มีสิทธิเลือกต้ัง ป ร ะ ช า ช น ห รื อ ม า รัฐ คะแนนเสียงเห็นว่าสมาชิก ใ น อ ง ค์ ก ร ป ก ค ร อ ง 2. มีวาระการกํารง จากความเห็นชอบ สภาท้องถิ่นหรือผู้บริหาร ท้องถิน่ น้นั มีสทิ ธเิ ข้าชื่อ ตาํ แหน่ง คราวละ ของสภาทอ้ งถน่ิ 2. หน้าท่ีบํารุงรัก ษ า ท้ อ ง ถิ่ น ผู้ ใ ด ข อ ง อ ง ค์ ก ร ร้องขอต่อประธานสภา 4 ปี ศลิ ปะ จารีตประเพณี ปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ นัน้ ไม่ ท้อ งถ่ิน เพ่ือให้สภ า 2. มี ว า ร ะ ก า ร ดํ า ร ง ภูมิปัญ ญ าท้องถ่ิน สมควรดํารงตําแหน่งต่อไป ท้ อ ง ถิ่ น พิ จ า ร ณ า อ อ ก ตําแหน่ง คราวละ 4 หรือวัฒนธรรมอันดี ให้สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือ ข้อบัญญัติให้ท้องถ่ินได้ ปี ของทอ้ งถน่ิ ผู้บริหารท้องถ่ินผู้น้ันพ้น คําร้องขอต้องจัดทําเป็น จ า ก ตํ า แ ห น่ ง ก า ร ล ง ร่างข้อ บัญญัติท้องถ่ิน 3. ต้ อ ง ไ ม่ เ ป็ น ข้ า 3. มีอํานาจห้าท่ีตาม คะแนนเสียง ต้องผู้มีสิทธิ เสนอมาดว้ ย ราชการซ่งึ มีตําแหน่ง กฎหมายบัญญัติ ใน เลือกตั้งมาลงคะแนนไม่ หรือเงินเดือนประจํา ก า ร ส่ ง เ ส ริ ม แ ล ะ น้อยกว่า 1/2 ของจํานวน พนักงานหรือลูกจ้าง รั ก ษ า คุ ณ ภ า พ ผ้มู ีสทิ ธเิ ลือกตัง้ ท้งั หมด ของหน่วย งานของ ส่งิ แวดลอ้ ม รัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ข อ งร า ช ก า รส่ ว น ทอ้ งถ่ิน
76 ประชาธปิ ไตยกบั การเมอื งไทย 2. กลไกของรัฐในทางตุลาการ 2.1 การปฏิรูปโครงสรา้ งศาล เดิมทีน้ันอาจจะกล่าวได้ว่า ประเทศไทยมีศาลเพียงศาลเดียว คือ ศาลยุติธรรมที่ทําหน้าที่พิจารณา พิพากษาอรรคดี แมจ้ ะมศี าลทหารแต่ก็เป็นศาลทีม่ อี ํานาจหนา้ ท่ีอย่างจาํ กัด นอกจากน้ี ตลุ าการรฐั ธรรมนญู ก็ยัง มใิ ช่ศาลอย่างแท้จริง รฐั ธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้จัดตั้งศาลใหม่ข้ึนอีก 2 ประเภท ได้แก่ ศาลรัฐธรรมนูญ และ ศาลปกครอง คู่ขนานไปกับศาลยตุ ิธรรม 2.1.1 ศาลรฐั ธรรมนูญ 1) องค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญ ตามาตรา 255 มี 15 คน มาจากผู้พิพากษา ศาลฎีกา 5 คน ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ 5 คน และผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ 3 คน อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ยังไม่มีศาลปกครอง ศาล รฐั ธรรมนญู จะประกอบดว้ ยตุลาการ 13 คน 2) อํานาจหน้าทขี่ องศาลรัฐธรรมนูญ คอื (1) มาตรา 47 วนิ จิ ฉัยวา่ มติหรือขอ้ บงั คบั ของพรรคขัดรฐั ธรรมนูญ (2) มาตรา 63 วินิจฉัยกรณีบุคคลหรือพรรคการเมืองล้มล้างระบอบ ประชาธปิ ไตย อาจสั่งยุบพรรคได้ (3) มาตรา 96 พิจารณาคําร้องจากประธานสภาฯ ว่าสมาชิกผู้ใดขาด สมาชิกภาพ (4) มาตรา 118 (8) พิจารณาคําร้องอุทธรณ์จาก ส.ส. ท่ีถูกพรรคมีมติให้ พ้นจากสมาชิกพรรค (5) มาตรา142 พิจารณาคําร้องจากประธานรัฐสภา ว่ากรรมการการ เลือกตง้ั ขาดคณุ สมบัติ (6) มาตรา 177วินิจฉัยกรณีเสนอร่างกฎหมายท่ีมีหลักการเดียวกันเข้ามา ในรฐั สภาระหว่างการยบั ยงั้ (7) มาตรา 180 วรรค 6-7 ส.ส. และ ส.ว. จํานวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 เสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า ส.ส. ส.ว. และกรรมาธิการมีส่วนโดยอ้อม ในการใช้ งบประมาณรายจ่ายหรือไม่ (8) มาตรา 198 พิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย ตามท่ี ผตู้ รวจการแผ่นดนิ ของรัฐสภาเสนอ (9) มาตรา 219 วินจิ ฉยั วา่ พระราชกําหนดขดั รัฐธรรมนญู หรือไม่ (10)มาตรา 262 วินิจฉัยว่าร่างกฎหมายท่ีผ่านสภาแล้ว แต่ก่อนลงพระ ปรมาภิไธยผิดรฐั ธรรมนูญหรือไม่ ตามท่ีสมาชกิ รฐั สภาหรอื นายกรฐั มนตรีเสนอ (11)มาตรา 263 วินิจฉัยว่าร่างข้อบังคับการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร วฒุ สิ ภา และรฐั สภา ขดั รัฐธรรมนญู หรอื ไม่ (12)มาตรา 264 วินจิ ฉัยวา่ กฎหมายใดขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ตามที่ศาล ส่งความเหน็ มา เมือ่ ศาลเหน็ เอง หรือคู่ความยกมาโตแ้ ยง้ (13)มาตรา 266 วินจิ ฉัยความเห็นทอี่ งค์กรหรือประธานรัฐสภาส่งมากรณที ่ี มีปัญหาเกี่ยวกบั อํานาจหน้าทข่ี ององค์กรต่างๆ ตามรฐั ธรรมนูญ (14)มาตรา 315 พิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของระเบียบของ คณะกรรมการการเลอื กต้ังทกี่ ําหนดข้ึนใช้ก่อนมีกฎหมายการเลอื กต้ัง ส.ส. โดยมา ใชบ้ งั คบั กับการเลอื กต้ัง ส.ว.
ประชาธปิ ไตยกับการเมืองไทย 77 (15)มาตรา 319 พิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของระเบียบที่ คณะกรรมการการเลือก ต้ังกําหนดข้ึนใช้ก่อนมีกฎหมายคณะกรรมการการ เลอื กตง้ั (16)มาตรา 321 พิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของระเบียบ ป.ป.ป. อันจาํ เป็นต่อการปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ีของ ป.ป.ช. กอ่ นมกี ฎหมาย ป.ป.ช ศาล ศาลรฐั ธรรมนญู ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร ศาลฎีกาแผนก ศาลฎกี า ศาลปกครองสงู สุด คดีอาญาของ ศาลอทุ ธรณ์ นกั การเมอื ง ศาลปกครองชั้น ศาลชน้ั ต้น อุทธรณ์ ศาลปกครองช้ันตน้ ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลแรงงาน ศาลภาษี อื่นๆ 2.1.2 ศาลปกครอง รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมิใช่รัฐธรรมนูญฉบับแรกท่ีบัญญัติให้มีศาลปกครอง เพราะ รฐั ธรรมนูญ พ.ศ.2517 และรฐั ธรรมนูญ พ.ศ.2534 ก็มีบทบัญญัติในเร่ืองศาลปกครองเช่นเดียวกัน แตร่ ฐั ธรรมนูญฉบับปจั จุบันเปน็ รฐั ธรรมนูญทีบ่ ญั ญตั ิเร่อื งศาลปกครองในระบบ “ศาลค”ู่ ซึ่งเปน็ ระบบ ที่แยกคดปี กครองออกจากคดแี พง่ และคดีอาญาทั่วไป คดปี กครองมีศาลปกครองทาํ หนา้ ท่วี นิ ิจฉัย คดี แพง่ และคดอี าญามศี าลยตุ ิธรรมทาํ หนา้ ท่ีชข้ี าด ศาลปกครองและศาลยุติธรรมต่างก็มีศาล 3 ชั้นเคียง ค่ขู นานกนั ไป รัฐธรรมนญู มาตรา 276 บัญญัติให้ศาลปกครองมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นคดีข้อ พิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกํากับดูแลของรัฐบาลกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการ หนว่ ยงานของรฐั รัฐวิสาหกจิ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐท่ีอยู่ในบังคับบัญชาหรือ ในกํากับดูแลของรัฐบาลดว้ ยกนั ซงึ่ เป็นขอ้ พพิ าทอนั เนื่องมาจากการกระทําหรือการละเว้นการกระทํา ท่ีหน่วยราชการ หนว่ ยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถ่ิน หรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐนั้นต้อง
78 ประชาธปิ ไตยกบั การเมอื งไทย ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือเนื่องจากการกระทําหรือการละเว้นการกระทําที่หน่วยราชการของรัฐ รัฐวสิ าหกิจ หรอื ราชการส่วนท้องถน่ิ หรือเจา้ หนา้ ท่ขี องรฐั นนั้ ตอ้ งรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตาม กฎหมาย 2.2 การปฏิรูปกระบวนการทํางานของศาล 2.2.1 การนั่งพจิ ารณาคดี มาตรา 236 ของรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า “การน่ังพิจารณาคดีของศาลจะต้องมีผู้พิพากษา หรือตุลาการครบองค์คณะ และผู้พิพากษาหรือตุลาการซึ่งมิได้น่ังพิจารณาคดีใด จะทําคําพิพากษา หรือคาํ วินิจฉัยนัน้ มไิ ด้ เวน้ แตม่ ีเหตุสดุ วสิ ยั หรือมีเหตจุ ําเปน็ อน่ื อันมิอาจก้าวลว่ งได”้ 2.2.2 เพ่มิ ความอิสระในการพิจารณาพพิ ากษาอรรถคดี มาตรา 249 วรรค 2 บัญญัติว่า “การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของผู้พิพากษาและตุลา การไมอ่ ยภู่ ายใต้การบงั คับบญั ชาตามลําดับขั้น นอกจากน”้ี มาตรา 249 วรรค 5 ยังบญั ญัติว่า “การ โยกยา้ ยผู้พิพากษาและตลุ าการ โดยมไิ ด้รับความยินยอมจากผูพ้ ิพากษาและตลุ าการน้ันจะกระทาํ มิได้ เว้นแต่เป็นการโยกย้ายตามวาระท่ีกฎหมายบัญญัติ เป็นการเล่ือนตําแหน่งให้สูงข้ึน เป็นกรณีที่อยู่ใน ระหว่างถกู ดําเนินการทางวนิ ยั หรอื ตกเปน็ จําเลยในคดีอาญา 2.2.3 การจ่าย การเรียกคนื และการโอนสาํ นวนคดี มาตรา 249 วรรค 3 และ วรรค 4 บัญญัติให้ การจ่ายสํานวนคดีต้องเป็นไปตาม หลักเกณฑ์ท่ีกฎหมายบัญญัติและการเรียนคืนสํานวนคดีจะกระทํามิได้ เว้นแต่เป็นกรณีท่ีจะ กระทบกระเทือนตอ่ ความยตุ ธิ รรมในการพิจารณาพพิ ากษาอรรถคดี 2.2.4 การให้ผพู้ ิพากษาท่ีครบเกษยี ณอายุราชการสามารถดาํ รงตาํ แหน่งผู้พพิ ากษาอาวุโสได้ เปน็ ทที่ ราบกันดีว่าในปัจจุบันระบบศาลยตุ ธิ รรมของเรานั้น เป็นระบบทมี่ ีการเลื่อนตําแหน่ง ไปตามอายุราชการโดยระบบอาวุโส ศาลชั้นต้นจึงแทบไม่มีผู้พิพากษาอาวุโสท่ีมีประสบการณ์น่ัง พิจารณาพิพากษาคดีเลย อันกระทบต่อคุณภาพของคําพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นอย่างมาก รัฐธรรมนูญมาตรา 334 (2) ได้บัญญัติให้มีการตรากฎหมายกําหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้พิพากษาศาล ยุติธรรมซ่ึงจะมีอายคุ รบ 60 ปี บรบิ รู ณ์ในปีงบประมาณใด ไปดํารงตําแหนง่ ผู้พิพากษาอาวุโส เพ่ือนั่ง พิจารณาพิพากษาคดีในศาลช้ันต้น ต้ังแต่วันถัดจากวันส้ินปีงบประมาณท่ีมีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ จนถึง วันส้ินปีงบประมาณท่ีผู้พิพากษาผู้น้ันอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และหากผู้พิพากษาอาวุโสใดผ่านการ ประเมินตามท่ีกฎหมายบัญญัติยังมีสมรรถภาพในการปฏิบัติหน้าที่ ก็ให้ดํารงตําแหน่งต่อไปจนถึงวัน สิ้นปงี บประมาณที่ผู้พิพากษาผูน้ น้ั มอี ายคุ รบ 70 ปีบรบิ ูรณ์ 2.2.5 การสร้างกลไกในการชข้ี าดข้อขัดแย้งระหวา่ งศาลต่างๆ เดมิ เร่อื งน้เี ป็นอํานาจหน้าทข่ี องตลุ าการรัฐธรรมนูญ อยา่ งไรกต็ าม รฐั ธรรมนญู ฉบบั ปัจจุบัน ได้เปล่ียน แปลงหลักการดังกล่าว โดยบัญญัติให้เป็นอํานาจหน้าท่ีของคณะกรรมการชุดหน่ึง มาตรา 248 บัญญัติว่า “ในกรณีท่ีมีปัญหาเกี่ยวกับอํานาจหน้าที่ระหว่างศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาล ทหาร หรือศาลอื่น ให้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดโดยคณะกรรมการคณะหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยประธาน ศาลฎีกาเป็นประธาน ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลอ่ืน และผู้ทรงคุณวุฒิอ่ืนอีกไม่เกิน 4 คน ตามท่กี ฎหมายบญั ญัตไิ วเ้ ปน็ กรรมการ
ประชาธปิ ไตยกับการเมอื งไทย 79 3. องคก์ รอน่ื ๆ ตามรฐั ธรรมนูญ แนวความคดิ ทีถ่ อื ว่าอํานาจอธิปไตยแบง่ เปน็ 3 ประเภท คือ อาํ นาจนติ ิบัญญัติ อํานาจบริหาร และอํานาจ ตุลาการน้นั กลา่ วได้วา่ เป็นแนวความคดิ ท่ไี มไ่ ดร้ บั การยอมรับในปัจจุบัน ท้ังนี้เพราะมีอํานาจอธิปไตยเพียงหน่ึงเดียว แต่แยกใช้โดยองค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น และในปัจจุบันรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติถึงองค์กรนิติบัญญัติ องค์กรบริหาร และองคก์ รตลุ าการเทา่ นั้น องคก์ รหลายองคก์ รไดร้ บั การจดั ตงั้ ขน้ึ ตามรัฐธรรมนญู และมีอาํ นาจหน้าที่ แตกตา่ งกนั เปน็ อย่างมาก จนนา่ จะจดั องคก์ รเหลา่ นอี้ อกมาอีกกลุม่ ตา่ งหาก ตามรฐั ธรรมนูญฉบับปจั จุบันมีองคก์ รท่ไี ดร้ บั จัดต้ังข้ึนใหม่อยู่ 6 องค์กรดว้ ยกนั 3.1 สภาทปี่ รกึ ษาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ สภาทป่ี รึกษาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาตมิ ีหน้าทท่ี ี่สําคญั 2 ประการ (มาตรา 89) คือ (1) ให้คําปรึกษา และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในปัญหาต่างๆ ท่ีเก่ียวกับเศรษฐกิจและ สงั คม (2) ให้ความเห็นตอ่ แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ หรือแผ่นอืน่ ตามทก่ี ฎหมายกําหนด 3.2 คณะกรรมการการเลือกตงั้ คณะกรรมการการเลือกต้ังประกอบด้วยประธานกรรมการคนหน่ึงและกรรมการอีก 4 คน ซ่ึง พระมหากษัตรยิ ์ทรงแต่งตง้ั ตามคาํ แนะนําของวุฒิสภา จากผู้ซึง่ มีความเป็นกลางทางการเมอื งและมคี วามซื่อสัตย์ สจุ ริตเป็นทปี่ ระจักษ์ (มาตรา 136) คณะกรรมการการเลอื กต้งั มีอํานาจหนา้ ท่ีดงั ต่อไปนี้ (1) ออกประกาศกําหนดการท้ังหลายอันจําเป็นแก่การปฏิบัติตามกฎหมายตามมาครา 144 วรรค 2 (2) มตี ําสัง่ ให้ขา้ ราชการ พนักงาน หรอื ลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าท่ีอื่นของรัฐ ปฏิบัติการทั้งหลายอันจําเป็นตาม กฎหมาย ตามมาตรา 144 วรรค 2 (3) สืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัยช้ีขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่เกิดข้ึนตาม กฎหมาย ตามมาตรา 144 วรรค 2 (4) สั่งใหม้ กี ารเลือกต้งั ใหม่หรอื อกเสียงประชามติในหน่วยเลอื กตัง้ ใดหน่วยเลอื กต้งั หน่งึ หรอื ทุก หน่วยเลือกตั้ง เม่ือมีหลักฐานอันควรเช่ือได้ว่าการเลือกต้ังหรือการออกเยงประชามติใน หนว่ ยเลือกตงั้ นน้ั ๆ มิได้เปน็ ไปโดยสุจรติ และเท่ยี งธรรม (5) ประกาศผลการเลอื กตั้งและการออกเสยี งประชามติ (6) ดําเนนิ การอ่ืน ตามที่กฎหมายบัญญัติ ในการปฏิบัติหน้าท่ี คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอํานาจเรียกเอกสารหรือหลักฐานท่ีเกี่ยวข้องจาก บุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคํา ตลอดจนให้ศาล พนักงานอัยการ พนักงานสอบสวน หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถ่ิน ดําเนินการเพ่ือประโยชน์แห่งการปฏิบัติหน้าที่การ สืบสวน สอบสวน หรือวนิ ิจฉยั ชข้ี าด คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอํานาจแต่งต้ังบุคคล คณะบุคคล หรือผู้แทนองค์กรเอกชน เพื่อปฏิบัติ หนา้ ท่ตี ามทมี่ อบหมาย (มาตรา 145) 3.3 ผตู้ รวจการแผ่นดนิ ของรัฐสภา ผูต้ รวจการแผน่ ดนิ ของรัฐสภามจี ํานวนไมเ่ กนิ 3 คน ซง่ึ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคาํ แนะนําของ วุฒิสภา มีอํานาจหน้าที่พิจารณา และสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคําร้องเรียนและจัดทํารายงานพร้อมท้ัง ความเห็นและข้อเสนอแนะตอ่ รัฐสภา
80 ประชาธิปไตยกบั การเมอื งไทย 3.4 คณะกรรมการสทิ ธมิ นษุ ยชน คณะกรรมการชุดนี้ประกอบด้วยประธานกรรมการคนหน่ึง และกรรมการอ่ืนอีก 10 คน ซ่ึง พระมหากษัตริย์ทรงแตง่ ตง้ั ตามคาํ แนะนาํ ของวุฒิสภา โดยคณะกรรมการมีอํานาจหน้าที่อย่างกว้างขวางทั้งการ ตรวจสอบและรายงานการละเมดิ สิทธิมนษุ ยชน การเสนอแนะนโยบาย และการปรับปรุงกฎหมาย การส่งเสริม การศกึ ษาและการวิจัย การส่งเสริมความร่วมมือและประสานงานระหว่างองค์กรต่างๆ จัดทํารายงานประจําปี เพ่อื เสนอต่อรัฐสภา 3.5 คณะกรรมการตรวจเงินแผน่ ดิน คณะกรรมการชุดนี้ประกอบด้วยประธานกรรมการคนหนึ่ง และกรรมการอ่ืนอีก 9 คน ซ่ึง พระมหากษตั ริยท์ รงแตง่ ตง้ั ตามคาํ แนะนาํ ของวุฒสิ ภา มอี ํานาจหน้าทใ่ี นการตรวจสอบบัญชขี องหนว่ ยงานตา่ งๆ 3.6 คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการชุดนี้ประกอบด้วยประธานคณะกรรมการคนหนึ่ง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอื่นอีก 8 คน ซ่ึงพระมหากษตั รยิ ์ทรงแต่งตั้งตามคําแนะนําของวุฒิสภาโดยมีอาํ นาจหน้าทท่ี ่ีสําคญั 4 ประการ คอื (1) ไตส่ วนขอ้ เทจ็ จริงและสรุปสํานวน พร้อมทั้งความเหน็ เสนอตอ่ วฒุ ิสภาวา่ ผดู้ ํารงตําแหน่งทาง การเมือง และบุคคลอื่นที่มาตรา 303 บัญญัติไว้มีพฤติการณ์รํ่ารวยผิดปกติ ส่อไปในทาง ทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทําผิดต่อตําแหน่งหน้าท่ีราชการ ส่อว่ากระผิดต่อตําแหน่งหน้าท่ี ในการยุติธรรม หรือส่อว่าจงใจใช้อํานาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือ กฎหมาย เพือ่ ให้วฒุ สิ ภาถอดถอนออกจากตําแหน่ง (2) ไต่สวนข้อเท็จจริง และสรุปสํานวนพร้อมท้ังทําความเห็นส่งไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดาํ รงตาํ แหนง่ ทางการเมอื ง ในกรณที ่ีผดู้ าํ รงตําแหน่งทางการเมืองถกู กลา่ วหาว่าร่ํารวย ผดิ ปกติ กระทําความผิดต่อตําแหนง่ หนา้ ทร่ี าชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทํา ความผิดต่อตําแหนง่ หนา้ ที่ หรือทุจรติ ต่อหน้าทต่ี ามกฎหมายอ่นื (3) ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าท่ีของรัฐร่ํารวยผิดปกติ กระทําความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการ ยุติธรรม เพ่ือดําเนินการต่อไป ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจรติ (4) ตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริง รวมทั้งความเปล่ียนแปลงทรัพย์สิน และหนี้สิน ของผู้ดาํ รงตาํ แหนง่ ตา่ งๆ ตามบัญชแี ละเอกสารประกอบทไี่ ดย้ ืน่ ไว้
ประชาธิปไตยกับการเมืองไทย 81 หลักการเขียนเรียงความ 1. ลกั ษณะของย่อหนา้ ท่ีดี 1.1 มีเอกภาพ มีใจความสําคัญเพียงหนึ่งเดียวเท่าน้ัน กําหนดจุดมุ่งหมายเป็นประโยคใจความสําคัญ เนือ้ หาสาระของข้อความท่นี ํามาเขยี นขยายน้นั ต้องมีใจความเป็นเร่อื งเดียวกันกบั ประโยคใจความสาํ คัญ 1.2 มคี วามสมบรู ณ์ ส่วนต่างๆ ประสานเขา้ หากนั ไมม่ ีสว่ นใดขาดตกบกพรอ่ ง ต้องเขยี นอยา่ งมจี ดุ มุ่งหมาย มเี น้อื หาสาระ มีรายละเอยี ด สว่ นขยายท่ีชัดเจนไม่ออกนอกเรอ่ื งได้เน้อื ความบริบูรณ์ 1.3 มีสัมพันธภาพ ข้อความหรือประโยคแต่ละประโยคท่ีเรียงต่อกันน้ันมีความเกี่ยวเน่ืองติดต่อเป็นเรื่อง เดียวกัน จัดลําดับความคิดให้เป็นประโยคต่อเน่ืองกันด้วยเน้ือหา โดยอาจจัดลําดับความคิดตามเวลา (เหตุการณ์ กอ่ นหลัง) ตามพ้ืนที่ (ใกล้ไปหาไกล/ขา้ งบนไปหาข้างล่าง/ซ้ายไปขวา/เหนือไปหาใต)้ จากคําถามไปสูค่ ําตอบ (คําถาม ไว้เป็นประโยคแรกแล้วจัดหาประโยคขยายตามลําดับเพ่ือให้ได้คําตอบเป็นผลลัพธ์ตอนท้ายของย่อหน้า) จาก รายละเอยี ดไปสู่ขอ้ สรุป (หรือจากขอ้ สรุปไปส่รู ายละเอียด) และจากเหตุไปส่ผู ล 1.4 มีสารัตถภาพ ย้ําเน้นใจความสําคัญเพ่ือให้ผู้อ่านทราบเจตนาโดยอาจวางตําแหน่งประโยคใจความ สําคัญในตอนต้นหรือตอนท้ายของย่อหน้า การยํ้าเน้นด้วยคําวลีหรือประโยคซํ้าๆ กันบ่อยๆ ภายในย่อหน้า (ทําให้ ผู้อ่านเขา้ ใจถงึ จุดมุ่งหมายหรอื ความคิดสาํ คัญท่ผี เู้ ขยี นต้องการสอื่ สารถงึ ผอู้ า่ น) รวมถงึ การย้ําเนน้ อยา่ งมีสดั ส่วน 1.5 ใช้คําเช่ือมได้อย่างเหมาะสม (คําสันธานหรือวลี) ทําให้ข้อความสละสลวย ไม่ใช้ซ้ําซาก ใช้ภาษา ถูกต้องตามแบบแผน ใช้ภาษาระดับเดียวกัน ไม่ใช้สํานวนภาษาต่างประเทศ อ่านแล้วไม่ติดขัดเหมือนได้อ่าน เรียงความส้ันๆ หน่งึ เรื่อง 2. การเขียนประโยคใจความสําคญั เปน็ ย่อหน้า 2.1 ใหค้ ําจาํ กดั ความ อธบิ ายคาํ หรือวลใี ห้ผู้อ่านเขา้ ใจ 2.2 ให้รายละเอยี ด เพื่อใหไ้ ด้ย่อหน้าทีเ่ นื้อหาสาระมคี วามสมบูรณ์ 2.3 ยกตัวอยา่ ง ทําใหเ้ ขา้ ใจความคิดสําคัญหรือประโยคใจความสําคัญไดช้ ดั เจนแจ่มแจง้ 2.4 เปรยี บเทียบ การเปรียบเทียบส่ิงใดส่ิงหนึ่งกับอีกส่ิงหน่ึง หรืออาจจะเป็นในลักษณะอุปมาโวหารหรือ ยกเป็นอทุ าหรณ์ 2.5 แสดงเหตแุ ละผล เหมาะสาํ หรบั งานเขียนทีต่ ้องการวเิ คราะห์วจิ ารณ์หรอื แสดงความคดิ เห็น 3. การเขยี นคาํ นาํ เนอ้ื เรื่อง และสรุป 3.1 คํานาํ เปน็ ส่วนแรกของงานเขยี นทจี่ ะสรา้ งความนา่ สนใจ ดึงดูดและท้าทายให้ผู้อ่านอยากรู้อยากอ่าน ข้อเทจ็ จรงิ และข้อคดิ เหน็ ตา่ งๆ ที่ผเู้ ขยี นรวบรวมมาเสนอในเนอื้ เรอื่ ง เพราะคํานําท่ีดีจะทําให้ผู้อ่านทราบได้ตั้งแต่ต้น ว่ากําลังจะได้อ่านเก่ียวกับอะไร ต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษในการเขียนคํานําให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้อ่าน สอดคล้องกบั จุดประสงค์ในการเขยี นและการเสนอเนอ้ื เรอื่ ง ประกอบกับการใช้ศิลปะการเขียนเฉพาะตน 3.2 เน้ือเรื่อง เป็นส่วนที่ยาวที่สุดของงานเขียน เน่ืองจากเป็นส่วนที่รวบความคิดและข้อมูลทั้งหมดท่ี ผู้เขียนค้นคว้ารวบรวมมาเสนออย่างมีระเบียบ มีระบบ และเป็นข้ันตอน ทําให้ผู้อ่านรับรู้และเข้าใจสาระสําคัญ ท้ังหมดไดอ้ ย่างแจม่ แจ้ง กอปรไปดว้ ยเหตผุ ลและขอ้ เทจ็ จริงทเี่ ช่อื มโยงกันตลอด 3.2.1 รวบรวมข้อมูล ความคิด ประสบการณ์ ข้อเท็จจรงิ 3.2.2 วางโครงเรอ่ื งให้สอดคลอ้ งกับประเดน็ ท่จี ะนําเสนอ 3.2.3 นําหัวขอ้ ตา่ งๆ มาเขยี นขยายความให้เป็นยอ่ หนา้ ทด่ี ี 3.2.4 มีประเด็นมากพอให้ผอู้ า่ นสนใจ 3.2.5 ตอ้ งใชท้ ่วงทาํ นองการเขียนใหส้ อดคลอ้ งกบั ลักษณะเนือ้ หา ตรงตามวัยความสนใจของผู้อ่าน 3.3 การสรุป เป็นการบอกใหผ้ อู้ า่ นทราบวา่ ข้อมูลท้ังหมดท่ีเสนอมาได้จบลงแล้ว (ในย่อหน้าท่ีผ่านมา) จะ เป็นช่วยยํ้าใหผ้ ู้อ่านทราบว่างานเขยี นท่ไี ดอ้ ่านมีจุดมุ่งหมายอย่างไร ได้ข้อคิดหรือแนวทางอะไรเพิ่มเติมจากการอ่าน ครั้งน้ีบ้างท่ีสําคัญคือการสรุปจะต้องมีความสอดคล้องกับเนื้อเร่ืองตรงตามจุดประสงค์ของผู้เขียนจึงจะทําให้ผู้อ่าน เกิดความประทับใจ
82 ประชาธิปไตยกบั การเมอื งไทย กลวิธี: แสดงความเห็นของผู้เขียน (เห็นด้วย ขัดแย้ง เสนอแนะ ชักชวน ฯลฯ) / สดุดีเกียรติคุณ คุณประโยชน์ / คําถามทชี่ วนให้ผูอ้ ่านคดิ หาคําตอบหรือตอบคําถามท่ตี ัง้ ไวใ้ นคํานาํ / กล่าวถึงข้อดี ข้อบกพร่อง หรือ เสนอแนะให้เห็นประโยชน์ / ให้กําลังใจแก่ผู้อ่าน / สาระสําคัญท่ีต้องการให้ผู้อ่านทราบ / บทกลอน คําคมสุภาษิต ข้อความ หรอื คําพูดของบุคคลสําคัญ ตดั ตอนและสรุปจาก: ราตรี ธันวารชร, “การเขยี นยอ่ หนา้ ” และ เจียรนัย ศิริสวัสด,ิ์ “การเขียนคาํ นํา เนือ้ เรื่อง และสรปุ ” ใน คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, การใช้ภาษาไทย 1. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: สํานกั พมิ พ์มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2543. หน้า 80-92 และ 105-112 วธิ กี ารตอบข้อสอบอตั นัย 1. ขอ้ สอบท่ีม่งุ ให้อธบิ ายวตั ถปุ ระสงค์ มงุ่ ให้อธิบายวธิ กี ารหรอื อธิบายความร้ใู นเร่ืองตา่ งๆ ลักษณะคําถาม ให้คําจํากัดความ / ให้รายละเอียดที่เป็นข้อเท็จจริง / ให้เปรียบเทียบ : “คืออะไร” / “มี ความหมายว่าอย่างไร” / “จงอธบิ าย” / “จงเปรียบเทยี บ” - ข้ันตอนการตอบ 1) พจิ ารณาลกั ษณะของคาํ ถามว่ามงุ่ ให้ตอบในประเด็นใด 2) รวบรวมความรู้ทีเ่ ปน็ ข้อมลู สําคญั ซ่งึ อาจไดจ้ ากการอา่ น การฟงั การสงั เกต และการศกึ ษาค้นควา้ 3) จดั ระเบยี บความรู้ความคิดใหเ้ ปน็ หมวดหมู่แล้วเรียบเรยี งความคิดนน้ั ตามลําดบั 4) อาจมตี วั อย่าง เหตุผล หลกั ฐานอ้างองิ หรอื การเปรียบเทยี บตามความจาํ เป็น 5) ตอ้ งเรียบเรียงถ้อยคําให้เข้าใจง่าย นา่ สนใจ น่าอ่าน และลําดบั ความคดิ ใหต้ อ่ เนอ่ื งกัน อยา่ ให้วกวน - แนวการตอบ 1) การให้คําจาํ กัดความ อธิบายใหส้ ั้นรัดกมุ และชดั เจน 2) การยกตัวอยา่ ง ช่วยใหก้ ารอธบิ ายชดั เจนและเขา้ ใจง่ายขึ้น 3) การเปรียบเทียบ ลักษณะที่เหมือนกันหรือลักษณะที่แตกต่างกัน บางคร้ังอาจต้องบอกข้อดีข้อเสียของ สิ่งท่ีนํามาเปรียบกันเพื่อให้คําตอบกระจ่างชัด ในบางกรณีสิ่งที่อธิบายน้ันมีลักษณะเข้าใจยาก ผู้ตอบอาจต้อง เปรียบเทยี บกบั สงิ่ ทเ่ี ขา้ ใจได้งา่ ย 4) การแสดงเหตุผล แสดงว่าอะไรเป็นสาเหตุ อะไรเป็นผล อาจตอบอธิบายจากผลไปสู่สาเหตุหรือจาก สาเหตุไปสผู่ ลกไ็ ด้ 5) การอธิบายตามลาํ ดบั ขั้น ถามเกีย่ วกับกรรมวิธีหรือกระบวนการทีม่ ขี ั้นตอน 2. ขอ้ สอบทมี่ งุ่ ใหแ้ สดงความคิดเหน็ วตั ถุประสงค์ ตอ้ งการใหผ้ ู้ตอบใชเ้ หตผุ ลและหลกั ฐานอ้างองิ ประกอบ เพอื่ ให้การแสดงความคิดเห็นของตน น่าเช่ือถือหรอื นา่ นาํ ไปปฏิบตั ิได้ ลกั ษณะคําถาม “เห็นด้วยหรือไม”่ / “จงแสดงความคดิ เห็น” / “ทําไม” - องค์ประกอบของข้อสอบ 1) เรอื่ ง อา่ นคําถามใหเ้ ข้าใจ และพยายามจับประเด็นว่า ต้องเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใด แต่ ถ้าลักษณะข้อสอบเป็นการตัดตอนข้อความหรือหยิบยกเรื่องราวมาประกอบคําถาม เพ่ือให้อ่านและแสดงความ คิดเห็น ผู้ตอบต้องจับใจความสําคัญและตีความเพื่อจับประเด็นสําคัญจากเร่ืองให้ครบถ้วนก่อนแล้วจึงตอบคําถาม หรอื เสนอความคดิ เหน็ ของตน 2) ข้อมูลหรือความรู้ที่จําเป็น ต้องมีความรู้ความเข้าในในเร่ืองท่ีตนเสนออย่างแจ่มแจ้ง และสามารถ เลือกใช้ข้อมูลไดอ้ ย่างเหมาะสม อาจจะเปน็ ไดท้ ้งั ข้อเท็จจรงิ ท่ไี ดร้ บั การพิสูจน์แลว้ และข้อคิดเห็นของผู้อื่นซึ่งผู้ตอบใช้ อ้างองิ สง่ิ สาํ คัญก็คือควรเลือกแหลง่ ขอ้ มลู ที่นา่ เชื่อได้ เพราะขอ้ มลู ทีจ่ ะนาํ มาใชต้ ้องถกู ต้องและชดั เจน 3) เหตผุ ล ม่งุ ใหเ้ กิดความคลอ้ ยตามและยอมรับ เหตุผลท่ีอ้างอิงอาจได้จากข้อเท็จจริงที่ศึกษามาหรือเป็น ประสบการณ์ก็ได้ ควรจะมีน้ําหนักน่าเช่ือถือ ไม่ควรปล่อยให้อารมณ์หรืออคติครอบงํา เพราะจะทําให้ข้อเขียนขาด ความเท่ียงตรงได้
ประชาธปิ ไตยกับการเมืองไทย 83 4) หลกั ฐาน มี 2 ประเภท ได้แก่ หลักฐานทางตรง (ได้จากประสบการณ์ของผู้เขียนเองจึงเป็นหลักฐานที่ นา่ เช่อื ถอื ท่ีสุด) และหลกั ฐานทางอ้อม (ไดจ้ ากเอกสารหรอื คําบอกเล่าของผูอ้ ืน่ ซ่งึ ต้องอาศัยการตคี วามประกอบแต่ก็ เปน็ ทนี่ ิยมกันมาก) อาจปรากฏในรปู ตา่ งๆ เช่น ข้อเท็จจริง สถิติ ตวั เลย ตวั อยา่ งเหตุการณ์ - ขน้ั ตอนการตอบ 1) สังเกตคําถามและพยายามจบั ประเดน็ สําคญั จากคาํ ถามวา่ ขอ้ สอบม่งุ ให้แสดงความคดิ เห็นเก่ียวกบั เร่ือง ใดในแงม่ ุมใดบ้าง 2) ผู้ตอบต้องบอกได้ว่าตนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องหรือข้อความท่ีได้อ่านอย่างไร ต้องการสนับสนุน (ควรช้ีใหเ้ ห็นคุณประโยชนห์ รอื ผลดี) หรือโต้แย้ง (ต้องชี้ข้อบกพร่องหรือผลเสีย) ก็เขียนให้ชัดเจน หากในข้อความที่ อ่านมีการเสนอความคิดเห็นมาก่อน ผู้ตอบต้องพยายามสนับสนุนหรือหักล้างความเห็นเหล่านั้นด้วยเหตุผลและ หลักฐานให้ความถ้วนทกุ ประเด็น กรณีท่ีข้อความนน้ั มีประเด็นที่น่าสนใจหลายประเด็น ผู้ตอบอาจจะเห็นคล้อยตาม ความคิดเห็นบางประเดน็ และขัดแย้งบางประเด็นก็ได้ ควรเขียนเสนอให้ชัดเจนว่าเห็นด้วยกับประเด็นใดและไม่เห็น ดว้ ยกับประเด็นใดพร้อมท้ังชีแ้ จง้ เหตผุ ลด้วย 3) เสนอความคิดเหน็ ใหมๆ่ ของผูต้ อบเอง เขียนได้อยา่ งอสิ ระ แตถ่ า้ เป็นการกําหนดข้อความหรือเร่ืองราว มาแล้ว ส่ิงที่ผตู้ อบพึงระวงั ก็คอื อยา่ เสนอความคิดเห็นซ้ําซ้อนกับความคิดที่มีปรากฏอยู่แล้วในคําถามโดยไม่ได้เสนอ ความคิดเห็นใหม่ๆ ที่เป็นของตนเพิ่มเติม ไม่เพียงแต่ต้องใช้เหตุผลและหลักฐานอ้างอิงเพ่ือเสริมให้ความคิดเห็นน้ัน นา่ เชือ่ ถอื เท่าน้นั แต่ตอ้ งจัดลําดับความคิด เพราะการรจู้ ดั จัดวางขอ้ มลู อ้างองิ เหตุผลและหลักฐานอย่างเป็นระบบจะ ช่วยใหผ้ ูอ้ า่ นเขา้ ใจและเกดิ ความเห็นคลอ้ ยตามไดง้ า่ ย 4) สรปุ ประเดน็ เกีย่ วกับความคิดเหน็ ทส่ี ําคญั ซึ่งต้องการเสนอไว้ตอนท้ายเรื่อง เพ่ือให้คําตอบสมบูรณ์และ ยังเป็นการยาํ้ ให้ผู้อ่านไดน้ าํ ขอ้ คดิ ไปพจิ ารณาใคร่ครวญตอ่ ไป 5) ผ้ตู อบสามารถเลือกตอบได้ 2 ลักษณะ คือ ลักษณะแรกเป็นการเขียนความเรียง (คํานํา ส่วนเน้ือเรื่อง และสว่ นสรปุ ) ใชใ้ นกรณีท่ีเป็นการเขียนเสนอความคิดเห็นท่ีมีหลายประเด็นต้องอ้างอิงเหตุผลหลายประการเพ่ือให้ ผู้อ่านเกดิ ความเห็นคล้อยตาม อกี ลกั ษณะหนึง่ คือ การเขียนแสดงความคิดเห็นโดยตรง มงุ่ ตอบตําถามให้ตรงประเด็น “เห็นด้วย” หรือ “ไมเ่ หน็ ดว้ ย” ต้องแสดงความเห็นให้ชัดเจนโดยไม่จําเป็นต้องมีอารัมภบท แต่ควรสรุปในตอนท้าย อกี ครง้ั เพ่อื ย้าํ ประเด็นสาํ คญั 3. ข้อสอบทม่ี งุ่ ใหอ้ ภปิ ราย วัตถุประสงค์ ผู้ตอบต้องแยกแยะประเด็นของเร่ืองท่ีจะเขียนอภิปรายได้ชัดเจน และวิเคราะห์ได้ครบถ้วน ทุกประเดน็ ตอ้ งชีใ้ ห้เห็นขอ้ ดีขอ้ เสยี สาเหตแุ ละแนวทางในการแก้ไขปัญหา ตลอดจนข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์ ลักษณะคําถาม “จงอภปิ ราย” - องค์ประกอบของขอ้ สอบ 1) เรอื่ ง มี 2 ลักษณะ คือ ก. เร่ืองที่เป็นข้อมลู ทว่ั ๆ ไป เพือ่ ใหผ้ ูต้ อบได้เสนอทัศนะและข้อมลู เกย่ี วกับเรื่องดงั กล่าวหลายๆ ด้านพร้อม เหตปุ ระกอบ ขณะเดียวกันการไดอ้ ่านนานาทัศนะยอ่ มทําใหผ้ ้อู ่านมคี วามรู้และมีทัศนะทีก่ ว้างขวางยิง่ ขน้ึ ข. เรื่องท่ีเป็นปัญหาในสังคม ซ่ึงผู้ตอบต้องการให้ผู้อ่านเปลี่ยนทัศนะหรือเปล่ียนนโยบายใหม่ มักเป็น ปัญหาส่วนรวมที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือแก้ไข ทั้งยังมุ่งพิจารณาปัญหาเรื่องน้ันๆ ทุกด้านเพื่อหาข้อสรุป และแนวทาง ปฏิบตั ทิ ี่กอ่ ใหเ้ กดิ ผลดี 2) ขอ้ มูล หรอื ความรู้ทไี่ ดจ้ ากหลกั ฐานหรอื เหตุการณ์ทเี่ กิดขน้ึ ซ่ึงเก่ียวกับเร่ืองทอี่ ภปิ ราย 3) ความคิดเห็นของผู้ตอบ ควรเสนอความคิดเห็นที่แปลกใหม่นอกเหนือจากข้อมูลท่ีได้จากความคิดเห็น ของผอู้ น่ื 4) ข้อเสนอแนะ เสนอแนวทางในการปฏบิ ตั ิ หรอื วธิ ีแกไ้ ขปญั หาที่น่าสนใจและสามารถนําไปปฏิบตั ไิ ด้ 5) เหตุผล ช่วยเพ่ิมนํ้าหนักทําให้คําตอบน่าสนใจย่ิงขึ้น เหตุผลท่ีใช้ในการเขียนอภิปรายจะมีทั้งเหตุผล ประกอบความคดิ เห็นและเหตุผลประกอบข้อเสนอแนะ 6) หลักฐานอา้ งอิง ใชส้ นับสนนุ การเสนอเหตุผลเก่ียวกับเรอื่ งท่ีอภปิ รายใหห้ นกั แน่นยง่ิ ข้นึ
84 ประชาธิปไตยกับการเมืองไทย - ขน้ั ตอนการตอบ 1) อารมั ภบท นาํ เขา้ สู่เรอ่ื ง เนอื้ หาสว่ นน้จี ะเกีย่ วกับความรู้ท่ัวไป ความสําคญั หรือความเป็นมาของเรื่องท่ี จะเขียนอภิปรายในกรณที เ่ี ปน็ การเขยี นอภิปรายปัญหาส่วนรวมผ้ตู อบอาจจะกลา่ วถึงผลกระทบจากปัญหานนั้ 2) เนอื้ เรือ่ ง ในการนําเสนอผู้ตอบจาํ เปน็ ตอ้ งแยกแยะประเด็นตา่ งๆ อยา่ งชัดเจน ถ้าเปน็ การเขยี นอภิปราย ปญั หาส่วนรวม ควรเสนอสาเหตุของปัญหา วิธีแก้ไข รวมท้ังข้อเสนอแนะต่างๆ ให้ครบถ้วน ควรพิจารณาปัญหาทุก ด้านอย่างรอบคอบ การเขยี นอภิปรายแตล่ ะประเดน็ ต้องละเอียดมีเหตุผลมีหลักฐานอ้างอิงเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจปัญหา และรู้จักวิธีแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง ส่วนการใช้ข้อมูลประกอบอาจเขียนอ้างอิงโดยการให้รายละเอียด การ ยกตัวอยา่ ง หรอื การเปรยี บเทียบเพ่ือให้เกดิ ความคิดเห็นคลอ้ ยตามได้ง่าย 3) ข้อเสนอแนะในช่วงท้ายของเนื้อเรื่อง อาจจะเป็นข้อคิดหรือแนวทางแก้ไขปัญหาอันเป็นประโยชน์ เพิ่มเตมิ ในการเขียนอภิปรายมักมีประเด็นท่ีต้องกล่าวถึงมากมาย ดังนั้นผู้ตอบจึงควรจัดลําดับข้อความให้เหมาะสม ตามหลกั การใชเ้ หตุผลและจัดเปน็ ประเดน็ ใหญ่ประเดน็ ย่อยใหช้ ัดเจน ประเดน็ ใดมีความสาํ คญั ควรกล่าวถึงก่อน สว่ น ประเดน็ ท่ีสาํ คัญรองลงมาก็กล่าวถงึ ในลําดบั ถดั ไป ส่วนการเขยี นอภปิ รายเกี่ยวกับปญั หาส่วนรวม มีวิธีจัดลําดับประเด็นที่น่าสนใจ 2 วิธี คือ วิธีแรก กล่าวถึง สาเหตุของปัญหาท้ังหมด ต่อจากน้ันจึงเสนอวิธีแก้ไขปัญหานั้นทุกปัญหา ส่วนวิธีที่สองเป็นการเสนอสาเหตุของ ปัญหากับวิธแี ก้ไขปัญหาเป็นข้อๆ ไปจนกระท่ังพิจารณาปัญหาได้ครบทุกข้อ การรู้จักลําดับประเด็นจะช่วยให้ผู้อ่าน ไม่สบั สนและสามารถอา่ นขอ้ เขยี นไดเ้ ขา้ ใจย่งิ ขน้ึ 4) บทสรุป ควรย้ําประเด็นสําคญั ที่ตอ้ งการเสนอหรือช้ใี ห้เห็นวา่ ถา้ สามารถปฏิบตั ติ ามแนวทางทเ่ี สนอแนะ ได้ยอ่ มก่อให้เกิดผลดี 5) สิ่งสุดท้ายท่ีผู้ตอบควรคํานึงก็คือ การจัดสัดส่วนของเน้ือหาให้เหมาะสม ส่วนท่ีเป็นเนื้อเรื่องค้องมี มากกวา่ ส่วนทีเ่ ป็นคาํ นาํ และบทสรปุ 4. ขอ้ เสนอแนะในการตอบขอ้ สอบอตั นัย 1) ก่อนตอบข้อสอบทุกคร้ัง จะต้องอ่านคําถามแล้วตีความคําถามนั้นให้กระจ่างว่า ถามเรื่องอะไร มีกี่ ประเดน็ ลักษณะคําถามมงุ่ ใหอ้ ธบิ าย แสดงความคิดเห็น หรืออภิปราย 2) ระดมความรู้ ความคดิ เหตผุ ล เพ่ือตอบให้ตรงคําถาม 3) วางโครงเรอ่ื ง เพอื่ จดั ระเบยี บเน้ือเรอื่ งเป็นขัน้ ตอนและเพือ่ ใหค้ รอบคลุมทกุ ประเดน็ ของคาํ ถาม 4) เรียบเรียงและจดั ลาํ ดบั ความคิดในแต่ละย่อหน้าใหเ้ หมาะสม 5) ควรนาํ เหตผุ ล ตวั อยา่ ง หลกั ฐาน ข้อเทจ็ จรงิ หรือประสบการณ์ความรู้ที่ได้ศึกษาค้นคว้ามาประมวลกัน เข้าเพือ่ ให้คาํ ตอบนนั้ มีความสมบูรณ์มากทสี่ ุด 6) การใช้ภาษา ในการตอบข้อสอบต้องใช้ภาษาแบบแผนหรือกึ่งแบบแผน ไม่ควรใช้ภาษาปาก อักษรย่อ หรือตัดคํา และต้องใชค้ ําทส่ี ื่อความหมายตรง สัน้ กระชบั แต่ได้ใจความ นอกจากนใ้ี นการตอบข้อสอบประเภทแสดง ความคิดเหน็ และอภิปรายควรใชภ้ าษาโนม้ น้าวใจผูอ้ ่านให้คลา้ ยความคดิ ของผ้ตู อบดว้ ย 7) ควรเขียนทวนคําถามเสียก่อนแล้วจึงตอบ ยกเว้นการตอบข้อสอบที่มุ่งให้อภิปรายเป็นความเรียงควร เขียนดว้ ยหมกึ สเี ข้ม ใช้ลายมอื ที่อา่ นง่าย ไม่ควรมีรอยขูด ลบ ขดี ฆา่ ถา้ จําเปน็ กท็ ําอยา่ งเรียบรอ้ ย 9) ต้องคํานงึ ถงึ เวลาซ่งึ มีจาํ กัด ควรแบง่ เวลาใหถ้ ูกจะได้ตอบครบทกุ ขอ้ 10) ควรตรวจทาน ถึงแม้จะวางแผนการเขียนตอบอย่างรอบคอบแล้วก็ตาม แต่การตรวจทานจะช่วยให้ เพมิ่ เติมข้อความหรอื แกไ้ ขข้อบกพร่องทั้งด้านเนอ้ื หาและการใชภ้ าษาซึ่งรวมทัง้ เรอื่ งตัวสะกดด้วย ตัดตอนและสรุปจาก: นวลทิพย์ เพิ่มเกษร และ ม.ล.คํายวง วราสิทธิชัย, “การตอบข้อสอบอัตนัย” ใน คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, การใช้ภาษาไทย 1. พิมพ์คร้ังท่ี 4. กรงุ เทพฯ: สํานักพมิ พม์ หาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร,์ 2543. หนา้ 116-129
ประชาธิปไตยกบั การเมอื งไทย 85 ตัวอยา่ งขอ้ สอบอัตนัย และเรียงความ 1. ขอ้ สอบอัตนัย นักเรยี นทกุ คนจะต้องตอบขอ้ สอบดว้ ยการฝนวงกลมลงในกระดาษคําตอบ โดยขอ้ สอบจะมที งั้ หมด 60 ขอ้ แต่ละข้อจะมี 5 ตัวเลือก มีเวลา 1 ชั่วโมง ตัวอย่างข้อสอบในปี 2547 1. พรรคไทยรักไทยมธี ุรกจิ ภาคใดสนบั สนนุ มากทีส่ ดุ ตอบ การส่อื สารโทรคมนาคม 2. ระยะเวลาของการเลือกตั้งประธานาธบิ ดีสหรัฐ ตอบ 4 ปตี ่อครงั้ 3. จอร์จ ดบั เบิลยู บชุ (George W. Bush) อยู่พรรค ตอบ รพี ับลกี ัน (Republican) 4. ประเทศไทยมีท้ังหมดกี่กระทรวง ตอบ 20 กระทรวง 5. ใครดาํ รงตําแหน่งประธานคณะกรรมการสทิ ธิมนษุ ยชน ตอบ ศ.เสน่ห์ จามริก 6. เลขาธิการสหประชาชาตชิ าวเอเชียคนแรก และคนเดยี ว คอื ตอบ อูถัน่ (U Thant) 7. ผู้นาํ คนใดลงจากตาํ แหน่งหลังจากการประชุม APEC ท่กี รงุ เทพฯ ตอบ มหาเธร์ (Mahathir) 8. APEC ท่ีกรุงเทพฯ เปน็ คร้ังที่เท่าไหร่ ตอบ ครั้งท่ี 11 9. ประเทศใดเป็นพนั ธมติ รนอกกลมุ่ นาโต้ประเทศลา่ สดุ ตอบ ประเทศไทย 10. ผนู้ ําในภมู ภิ าคเอเชียคนใดท่กี ล้าโตแ้ ยง้ สหรัฐ ตอบ มหาเธร์ (Mahathir) 11. สงครามใดถือเป็นสงครามฆ่าลา้ งเผา่ พันธ์ใุ นทศวรรษ 1990 ตอบ โคโซโว (Kosovo) 12. ประเทศใดเพง่ิ ขอกลับเข้าเปน็ สมาชิกยเู นสโก้ใหม่ ตอบ จีน 13. ประเทศใดทไ่ี ม่ใช่สมาชกิ ถาวรคณะมนตรีความมนั่ คงแห่งสหประชาชาติ ตอบ ญปี่ ุน่ 14. อาเซยี น + 3 สามประเทศที่มาเพิม่ เติมนอกจากอาเซียน คอื ประเทศใดบ้าง ตอบ จนี เกาหลใี ต้ ญป่ี นุ่ 15. ผู้นํามาเลเซียหลงั จากที่มหาเธรล์ งจากตาํ แหน่ง คอื ใคร ตอบ บาดาวี (Badawi) 16. ใครเปน็ จะเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคในปี 2004 ตอบ ชิลี 17. ศาลไทยมกี ี่ระบบ ตอบ 4 ระบบ 18. จํานวนสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรมจี าํ นวนเทา่ ใด ตอบ 500 คน 19. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดํารงตาํ แหน่งทางการเมอื งอยู่ในศาลใด ตอบ ศาลยตุ ิธรรม
86 ประชาธปิ ไตยกับการเมืองไทย 20. ชอ่ื ใหมข่ อง 14 ตุลา คือ ตอบ 14 ตุลาวนั ประชาธปิ ไตย 21. ประเทศไทยมกี ารเลือกตง้ั ครงั้ แรกเมื่อปใี ด ตอบ ปี 2516 22. ประเทศไทยเริ่มมกี ารประชมุ สภาเสนาบดีสมา่ํ เสมอเมือ่ ใด ตอบ รัชกาลท่ี 5 23. การปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ ของไทยในปจั จุบันมีกีแ่ บบ ตอบ 5 แบบ 24. รฐั ธรรมนูญฉบับแรกของไทยประกาศใชใ้ นวนั ท่เี ทา่ ไร ตอบ 27 มถิ นุ ายน 2475 25. พธิ ฮี ญั จป์ ระกอบที่เมืองใด ตอบ เมกกะ (Mecca) 26. กลมุ่ อกั ษะแหง่ ความชั่วร้ายของสหรัฐประกอบใดชาตใิ ดบ้าง ตอบ อิหรา่ นและ เกาหลีเหนอื 27. มหาเธร์เป็นนายกรฐั มนตรีของประเทศใด ตอบ มาเลเชีย 28. ใครเป็นนายกรัฐมนตรที ่ไี ม่ไดม้ าจากการเลอื กต้งั ตอบ ธานนิ ท์ กรัยวเิ ชียร สญั ญา ธรรมศกั ดิ์ และอานันท์ ปันยารชนุ 29. ผ้อู าํ นวยการ WTO คือใคร ตอบ ดร.ศภุ ชัย พานชิ ภกั ด์ิ 30. องค์การเจรจาการค้าระหว่างประเทศอยู่สังกัดกระทรวงใด ตอบ กระทรวงพาณชิ ย์ 31. “ธรรมาภิบาล” ภาษาอังกฤษ คอื ตอบ Good Governance 32. ประเทศท่รี ่วมกับสหรฐั ฯ รบกับอิรักคือประเทศใด ตอบ องั กฤษ 33. ใคร คือ ผ้กู อ่ ต้งั องคก์ รสันนบิ าตชาติ ตอบ วดู โรว์ วลิ สนั (Woodrow Wilson) 34. ฉนั ทามติวอชงิ ตนั (Washington Consensus) เก่ยี วข้องกับเรอ่ื งใด ตอบ เศรษฐกิจ [มหี ลกั การ 4 ขอ้ คือ Liberalization, Privatization, Deregulation, Regulatory] 35. ประเทศใดเปน็ สมาชกิ ของ WTO ลาํ ดับท่ี 147 ตอบ จนี 36. ประเทศไทยใชร้ ะบบการปกครองแบบใด ตอบ รฐั สภา 37. ประเทศใดปกครองแบบเผด็จการสังคมนยิ ม ตอบ ควิ บา จีน และเกาหลี 38. ใคร คอื ผู้รเิ รมิ่ แนวคดิ ลทั ธิคอมมวิ นิสต์ ตอบ คาร์ล มารก์ (Karl Marx) 39. “เออ้ื อาทร” เรยี กอีกอยา่ งวา่ ตอบ ประชาสงเคราะห์ 40. สมาชกิ วุฒสิ ภา (ส.ว.) ไม่มอี าํ นาจ และหนา้ ท่ะไร ตอบ อภปิ รายไมไ่ วว้ างใจสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (ส.ส.) 41. รัฐธรรมนูญฉบบั ท่ี 16 แตกต่างจากฉบับอน่ื ยังไง
ประชาธปิ ไตยกบั การเมืองไทย 87 ตอบ เปน็ รัฐธรรมนญู ฉบบั แรกท่ีเป็นรฐั ธรรมนูญฉบับประชาชน 42. ศาลรัฐธรรมนูญมหี นา้ ทอี่ ะไร ตอบ เปน็ องค์กรอิสระทําหน้าท่ตี ีความรัฐธรรมนญู เมือ่ เกิดปญั หาขอ้ ขดั แย้งระหวา่ งองคก์ ร 43. ตาํ แหนง่ ข้าราชการประจาํ ขอ้ ใดเป็นตาํ แหนง่ สงู สุด ตอบ ปลัดกระทรวง 44. องค์ประกอบของรฐั ตามทีเ่ รียนมา 3 อย่าง คือ ตอบ ประชาชน ดินแดน รัฐบาล [บางตาํ รา: อย่างท่ี 4 คือ อาํ นาจอธปิ ไตย] 45. วนั ใด คือ วันคล้ายวนั สถาปนาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตอบ วันท1ี่ 4 มถิ ุนายน ตวั อย่างขอ้ สอบในปี 2548 1. ปฏญิ ญาพุกามมีประเทศใดเข้ารว่ มบ้าง ตอบ ไทย กมั พชู า พม่า ลาว 2. CITES เกี่ยวกบั เรอ่ื งอะไร ตอบ พนั ธุพ์ ืช และสัตว์ปา่ หายาก 3. NATO มีสมาชกิ กี่ประเทศ ตอบ 26 ประเทศ 4. ใคร คอื นายกรฐั มนตรมี าเลเซยี คนปจั จบุ ัน ตอบ บาดาวี (Badawi) 5. การปรับคณะรัฐมนตรีครงั้ ล่าสดุ เปน็ ครั้งท่ีเท่าไหร่ ตอบ ครง้ั ท่ี 10 [ณ เวลาทที่ ําข้อสอบ] 6. สมาชิกอาเซยี น (ASEAN) มที ้งั หมดกป่ี ระเทศ ตอบ 10 ประเทศ 7. BIMST-EC มสี มาชิกใหม่ 2 ประเทศลา่ สุด คอื ประเทศใด ตอบ เนปาล ภูฏาน 8. สว่ นประกอบของรัฐมอี ะไรบา้ ง ตอบ ดนิ แดน ประชากร รัฐบาล อาํ นาจอธปิ ไตย 9. รฐั เดี่ยวจะมีลกั ษณะใด ตอบ รวมศนู ย์การปกครอง และมรี ฐั บาลเพยี งรัฐบาลเดยี ว คือ รฐั บาลกลางมอี าํ นาจสงู สดุ 10. ขอ้ ใดไม่ใชจ่ ดุ ประสงค์ของพรรคการเมือง ตอบ [ตอ้ งดตู ัวเลอื กประกอบ] 11. WTO ที่ประชุมกนั รอบล่าสดุ เรียกว่ารอบอะไร ตอบ รอบโดฮา [เดือนพฤศจิกายน ปี 2001] 12. สนธิสญั ญามาสทริกช์ (Maastricht Treaty) ก่อใหเ้ กดิ องคก์ ารใด ตอบ สหภาพยโุ รป 13. อาเซียน + 3 สามประเทศท่มี าเพิม่ เติมนอกจากอาเซียน คือประเทศใดบ้าง ตอบ จีน เกาหลีใต้ ญป่ี ่นุ 14. WTO ถือกําเนิด ณ ทใี่ ด ตอบ โมรอคโค [ในเดือนเมษายนปี 1994] 15. ประเทศใดไมใ่ ช่สมาชิก APEC ตอบ อุรกุ วยั [ต้องดูตัวเลือกประกอบ] 16. ประเทศใดที่ไมไ่ ด้กู้ IMF ตอบ [ตอ้ งดูตัวเลอื กประกอบ]
88 ประชาธปิ ไตยกบั การเมืองไทย 17. NAFTA (North America Free Trade Agreement) ประกอบดว้ ยประเทศใดบ้าง ตอบ สหรัฐอเมริกา แคนาดา เมก็ ซิโก 18. การปกครองทอ้ งถนิ่ ครัง้ แรกของไทย คอื ตอบ สุขาภบิ าล 19. การประชุมเสนาบดีอย่างสมํ่าเสมอเริ่มขึ้นเมื่อใด ตอบ รัชกาลท่ี 5 20. One-Stop Service คอื อะไร ตอบ เป็นแนวคิดทีน่ าํ มาจากภาคเอกชน ซ่ึงในเชงิ บรหิ ารรัฐกจิ เรียกว่า“การจัดการสาธารณะสมยั ใหม”่ 21. อมาตยธิปไตย คอื อะไร ตอบ การปกครองโดยมรี ะบบขา้ ราชการเปน็ ผู้กําหนดนโยบายในการบรหิ ารประเทศ 22. ใคร คือ บุคคลสําคัญของมหาวิทยาลยั ธรรมศาสตรต์ ้งั แต่อดตี จนถึงปจั จุบนั ตอบ [ต้องดูตวั เลอื กประกอบ] 23. “ทกั ษณิ านวุ ตั ร” นกั วิจารณ์คนใดเป็นผูเ้ รมิ่ ใชอ้ ยา่ งเปน็ ทางการ ตอบ ธรี ยทุ ธ บุญมี 24. ประเทศไทยเสนอใครเข้าชงิ ตาํ แหน่งเลขาธกิ ารสหประชาชาติ (UN) ตอบ ดร.สรุ เกียรติ์ เสถยี รไทย 25. การเลอื กตั้งประธานาธิบดขี องสหรฐั ฯ เปน็ แบบใด ตอบ Electoral Vote 26. ประชาสังคม (Civil Society) คืออะไร ตอบ ลักษณะสังคมท่ภี าคประชาชนเขา้ มามสี ่วนร่วมในทางการเมอื งอย่างกว้างขวาง 27. ข้อใดไม่ใช่องค์กรอสิ ระตามรัฐธรรมนูญ ตอบ [ตอ้ งดูตัวเลือกประกอบ] 28. สภาที่ประชาชนทวั่ ไป 99 คน ทม่ี หี นา้ ทีใ่ ห้คําแนะนําตอ่ รัฐบาลคอื ตอบ สภาทีป่ รึกษาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ 29. ขอ้ ใดถอื เป็นสทิ ธิใหมต่ ามรฐั ธรรมนูญฉบับปจั จบุ ัน ตอบ ประชาชน 50,000 คนสามารถเข้าช่อื ถอดถอนข้าราชการระดับสงู หรือผ้ดู ํารงตาํ แหนง่ ทางการเมอื ง 30. ประเทศใดปกครองแบบกึง่ รัฐสภากง่ึ ประธานาธบิ ดี ตอบ ฝรงั่ เศส 31. การทจุ ริตใดทป่ี ระชาชนเรยี กรอ้ งใหต้ รวจสอบแต่ได้ระงบั การดําเนินงานไปแล้ว ตอบ ทจุ ริตคลองด่าน 32. กรุงเทพฯ โพลชว่ งเดือนตุลาคม คอื เรอื่ งใด ตอบ การเมอื ง การเลอื กตงั้ 33. กรงุ เทพฯ โพลสาํ รวจพบว่า วัยรนุ่ ชอบพดู คยุ เรื่องใด ตอบ กนิ เทีย่ ว ชอ็ ปป้ิง 34. อาเซียน (ASEAN) กอ่ ตัง้ ขนึ้ เมอื่ ใด และมสี มาชิกกอ่ ต้ังกีป่ ระเทศ ตอบ ก่อต้ังปี 1967 มสี มาชิกก่อตงั้ 5 ประเทศ คอื (อนิ โดนเี ซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สงิ คโปร์ และไทย) 35. ปัจจุบันสหภาพยุโรป (EU) มสี มาชกิ กี่ประเทศ ตอบ 25 ประเทศ 36. วนั ที่ 1 เมษายน ของทกุ ปี เปน็ วนั อะไร ตอบ April’s fool day หรอื All fool’s day แปลภาษาไทยวา่ “วันเมษาคนโง”่ 37. ฉนั ทามตวิ อชงิ ตัน (Washington Consensus) ไมเ่ กี่ยวกบั อะไร ตอบ [ตอ้ งดูตวั เลือกประกอบ] 38. วกิ ฤตเศรษฐกจิ ปี 2540 ไม่ได้เกยี่ วกบั อะไร
ประชาธิปไตยกบั การเมอื งไทย 89 ตอบ [ต้องดตู ัวเลอื กประกอบ] 39. อะไรทไี่ มม่ ใี นพระราชบญั ญตั ิการจดั ระเบยี บการปกครองราชการ ตอบ ตาํ บล หมบู่ ้าน 40. สมาชกิ วุฒสิ ภา (ส.ว.) ในประเทศไทยไมม่ หี นา้ ท่ีใด ตอบ อภปิ รายไมไ่ วว้ างใจ 41. ศาลไทยมีกีร่ ะบบ ตอบ 4 ระบบ คือ ศาลยตุ ธิ รรม ศาลปกครอง ศาลทหาร ศาลรฐั ธรรมนูญ 42. ศาลฎกี าของผดู้ ํารงตาํ แหน่งทางการเมืองอยสู่ ังกัดศาลใด ตอบ ศาลยุตธิ รรม 43. ฝา่ ยบรหิ ารและฝา่ ยนิตบิ ญั ญัติคานอาํ นาจกันตามรฐั ธรรมนูญไทยได้ ยกเวน้ ขอ้ ใด ตอบ รัฐมนตรตี อ้ งไม่ดํารงตําแหน่งสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร [ต้องดูตัวเลอื กประกอบ] 44. พจนานกุ รมท่บี ญั ญตั ศิ ัพทใ์ หมๆ่ ของวยั รุ่น เป็นของสาํ นกั พมิ พใ์ ด ตอบ มติชน 45. ประเทศใดไมใ่ ชส่ มาชิก OPEC ตอบ บรูไน [ตอ้ งดตู วั เลอื กประกอบ] 46. ข้อใดไมใ่ ช่ทบวงชาํ นาญพเิ ศษของสหประชาชาติ (UN) ตอบ [ตอ้ งดตู วั เลอื กประกอบ] 47. รากศพั ทข์ องคําว่า “ประชาธิปไตย” คอื อะไร ตอบ มาจากคํา 3 คาํ คอื Demos (ปวงชน) + Kratein (ปกครอง) หรอื Kratos (อาํ นาจ) 48. ประเทศไทยและจนี เรมิ่ ความสัมพันธ์ยคุ สมัยใหม่ตอนไหน ตอบ ตง้ั แต่ 1 กรกฎาคม 2518 โดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เดนิ ทางไปเยอื นสาธารณรฐั ประชาชนจนี 49. เหตุการณ์ 9/11 เกิดขึน้ ในปใี ด ตอบ ปี 2001 50. แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาตฉิ บับปจั จุบันเปน็ ฉบบั ทเี่ ทา่ ใด ตอบ ฉบับที่ 9 (2545-2549) 56. จงั หวดั ใดบา้ งของไทยใช้กฎหมายอิสลาม ตอบ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสตลู 2. ข้อสอบเรยี งความ นกั เรยี นทุกคนจะต้องเขียนตอบด้วยปากกา โดยจะมกี ระดาษขนาดเอ 4 ให้จาํ นวน 2 แผ่น มีเวลา 1 ชัว่ โมง ตวั อยา่ งขอ้ สอบในปี 2547 - สาขาการเมอื งการปกครอง 1. รัฐธรรมนญู ฉบบั ปัจจุบนั เป็นฉบับที่เท่าไหร?่ ประกาศใชเ้ ม่อื ปีใด? และมที ้งั หมดก่มี าตรา? 2. นักเรยี นคิดว่าเหตุการณ์ความรนุ แรงทเี่ กิดขึ้น ณ อ.จะนะ ขดั ตอ่ รัฐธรรมนูญหรอื ไม?่ เพราะเหตใุ ด? - สาขาการระหว่างประเทศ ท่านคิดว่าสหรัฐอเมริกาจะทําการบุกอิรักหรือไม่ ถ้าบุกแล้วผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร และท่านคิดว่า สหรัฐอเมริกามเี หตุผลอะไรในการทาํ สงคราม จงแสดงความคิดเห็น - สาขาบริหารรฐั กจิ ท่านมคี วามคิดเห็นอย่างไรตอ่ โครงการเอ้ืออาทรของรัฐบาลชดุ ปจั จุบัน ตวั อย่างข้อสอบในปี 2548 - สาขาการเมอื งการปกครอง 1. รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบนั เป็นฉบับทเ่ี ทา่ ไหร?่ ประกาศใชเ้ ม่ือปีใด? และมีท้งั หมดกม่ี าตรา?
90 ประชาธปิ ไตยกบั การเมอื งไทย 2. การทมี่ ีพรรคไทยรกั ไทยสามารถครองเสียงข้างมากในสภามากกวา่ 400 เสียง มีสําคัญหรือไม่อย่างไร? และส่งผลกระทบต่อการเมืองไทยอยา่ งไร? - สาขาการระหวา่ งประเทศ การท่สี หรัฐฯ บุกอิรักถือเป็นการรุกล้ําอธปิ ไตยอิรักหรือไม่ และอํานาจอธิปไตยหมายถงึ อะไร? - สาขาบริหารรฐั กิจ จงเขียนเร่อื ง “ความประทบั ใจในการบรกิ ารของภาครัฐ” แนวขอ้ สอบ รฐั ศาสตร์ มธ. ปี 2549 1. นายกรัฐมนตรีคนใด ดาํ รงตําแหน่งยาวนานทีส่ ุด และ สน้ั ทส่ี ุดในประวตั ศิ าสตร์การเมืองไทย ตามลาํ ดับ - จอมพล ป. พิบลู สงคราม และ นายทวี บุณยเกตุ 2. ผวู้ ่าราชการกรงุ เทพมหานครคนแรก ท่ีมาจากการเลือกตั้งแรกคอื - นาย ธรรมนญู เทยี นเงนิ 3. ประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของไทย คือ - เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี 4. ขอ้ ตกลงเชงเก้น ไม่เกีย่ วกับประเทศใด - องั กฤษ 5. Eu มีก่ีประเทศ - 25 ประเทศ 6. ASEM มี่กี่ประเทศ - 25 ประเทศ 7. CIS ประเทศใดเป็นสมาชิก - รสั เซีย 8. ขอ้ ใดไม่เป็นองคก์ ารความรว่ มมอื ทางทหาร - ASEAN 9. ใครเปน็ ประธานาธบิ ดีของ อฟั กานิสถาน - คามดิ กรั ซัย 10. ใครเป็นผู้น าปาเลสไตนท์ เี่ พงิ่ เสยี ชวี ติ ไป - ยสั เซอร์ อาราฟดั 11. Plaza Accord 1985 ก่อให้ เกดิ ผลอย่างไร - เพมิ่ ค่าเงนิ เยนญป่ี นุ่ 12. คารล์ มารค์ กะ ฟรดี ริช เองเกล มคี วามหวังว่าส่งิ ใดจะหมดไป - ระบบทนุ นิยมเสรี 13. การปกครองประชาธปิ ไตยสมัยใหมใ่ นญ่ีปนุ่ เร่ิมจากเหตุการณ์ใด - หลังสงครามโลกครั ง้ ทีส่ อง 14. ใครไมเ่ คยไดร้ ับรางวัลแมกไซไซ - นายชวน หลีกภัย 15. สงครามเย็นเร่มิ จากเหตกุ ารณใ์ ด - หลงั สงครามโลกครงั้ ท่ี 2 16. องค์กรใดมีอํานาจตรวจสอบการเข้ามาใชอ้ ํานาจรฐั - คณะกรรมการการเลอื กตั้ง 17. ในสงครามเย็น โลกแบง่ เปน็ กข่ี ั้ว - 2 ขวั้
ประชาธิปไตยกับการเมืองไทย 91 18. โลกยคุ ปจั จุบนั เรียกวา่ โลกยุคใด - โลกยคุ หลังสงครามเยน็ 19. สว. มาจาก - การเลอื กต้ังโดยตรงของประชาชน มจี าํ นวน 200 คน 20. คณะรฐั มนตรมี ที ้ังหมดกี่คน - 36 คน 21. ASEAN + 3 มปี ระเทศใดบา้ ง - จีน + เกาหลีใต้ + ญปี่ นุ่ 22. APEC ประกอบดว้ ยกลุ่มประเทศใดบ้าง - เอเชยี ตะวันออก + อเมริกา + อาเซียน + แปซิฟคิ 23. ใครไม่เคยเปน็ นายกรัฐมนตรี - จอมพลประภาส จารุเสถยี ร 24. ขอ้ ใดไมใ่ ช่องค์กรอสิ ระ ตามรัฐธรรมนูญ - คณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการฟอกเงนิ 25. ปจั จบุ นั ประชากรมแี นวโน้มอย่างไร - ผูส้ ูงอายุมแี น้วโนม้ เพมิ่ ขึน้ 26. ทาํ ไม ถงึ มีแนวโน้มอยา่ งนน้ั - วทิ ยาศาสตร์ และ การแพทย์เจริญขน้ึ 27. การเซ็นสญั ญาสงบศกึ ปี 1815 ที่เวียนนา เนือ่ งจากเหตกุ ารณ์ใด - สงครามนโปเลยี น 28. ใครเคยเป็น รฐั มนตรีวา่ การกระทรวงการคลัง - บรรหาร ศลิ ปอาชา 29. Non – alignment country หมายถงึ อะไร - กลมุ่ ประเทศผู้ไมฝ่ ักใฝ่ ฝ่ ายใด 30. นายกรฐั มนตรคี นใด ไมเ่ คยเป็นรัฐมนตรีมากอ่ น - มรว. เสนยี ์ ปราโมช 31. ประชมุ สดุ ยอด EAS เดือนธันวาคม 2548 จะจัดท่เี มอื งใด - กวั ลาลัมเปอร์ มาเลเซยี 32. เลขาธกิ ารองคก์ ารสหประชาชาติ คนแรกทีเ่ ป็นชาวเอเชยี - อู ถั่น 33. ใครเป็นผู้ควบคมุ หัวเมืองตะวนั ออก สมัยอยุธยา - เสนาบดกี รมคลงั 34. ขอ้ ใดไมใ่ ชอ่ งคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่น - องคก์ ารสง่ เสริมการปกครองส่วนท้องถ่นิ 35. ACD ย่อมาจากอะไร - ASIA Cooperation Dialogue 36. อเมรกิ าโจมตอี ริ กั เม่ือใด - มีนาคม 2546 37. ขอ้ ใดอธิบายประชาธปิ ไตยได้ดีท่ีสุด - เป็นระบอบการปกครองของรฐั ชาติสมัยใหม่ 38. ข้อใดกลา่ วถูกต้องเกยี่ วกับผวู้ ่าราชการกรุงเทพมหานคร - มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน วาระการดาํ รงตําแหน่ง 4 ปี
92 ประชาธิปไตยกับการเมอื งไทย 39. วนั เสียงปนื แตก หมายถึงวันใด - วนั ทพี่ รรคคอมมิวนสิ ตแ์ หง่ ประเทศไทยเปดิ ฉากโจมตีรัฐบาล 40. ติมอร์ ตะวนั ออก นับถอื ศาสนาใด - ศาสนาคริสต์ นกิ ายโรมนั คาทอลิก 41. สํานักงบประมาณ สังกดั หนว่ ยงานใด - สาํ นักนายกรฐั มนตรี 42. ชาติใดทีเ่ ขา้ มาตดิ ต่อกับอยธุ ยาชาติแรก - โปรตุเกส 43. ข้อใดเป็นจดุ เรมิ่ ต้นของรัฐธรรมนญู ฉบบั 2540 - รัฐธรรมนญู ฉบบั แกไ้ ขเพ่มิ เตมิ ฉบบั ที่ 6 พ.ศ. 2539 44. NAFTA มีประเทศใดบา้ ง - อเมรกิ า แคนาดา เมก๊ ซิโก 45. ขอ้ ใดเป็นหลกั ขององค์การ WTO - แกไ้ ขปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ 44. NAFTA มปี ระเทศใดบ้าง - อเมริกา แคนาดา เม๊กซโิ ก แนวข้อสอบ รัฐศาสตร์ มธ. ปี 2551 1. แกนนํา นปก ทีน่ ําด้านแรงงานคือใคร 2. นายกท่ตี ้องลี้ภัยไปตา่ งประเทศ เหมอื นนายกทักษณิ คือใคร 3. E-government ย่อมาจากอะไร 4. ข้อนใ้ี ห้เรียงลาํ ดบั กอ่ น- หลัง นายกรฐั มนตรี นอ้ งๆ กจ็ าํ ๆ มาวา่ ใครดํารงตาํ เเหนง่ กอ่ นใคร อะไรอยา่ งน้ี 5. รธน.ทเี่ ร่มิ มปี ระชามตคิ ร้ังแรก 6. รธน.ทม่ี ตี ุลาการรัฐธรรมนูญครงั้ แรก 7. เมืองหลวงใหม่ บตุ รา จายาอยู่ในประเทศอะไร 8. ชื่อผนู้ ํามาเลคนแรก 9. ผนู้ าํ จติ วญิ ญาณของอหิ ร่านคือใคร 10. มหาลยั ท่อี ามาดิเนจาดไปกลา่ วคอื มหาลยั อะไร 11. สุรยทุ ธ์ไมเ่ คยดํารงตาํ เเหน่งอะไร (ตอนนัน้ มนั อินเทรนอ่ะน่ะ ขา่ วนี้ออกเเนวประวตั บิ ุคคลอ่ะ) 12. หลักพน้ื ฐานแห่งรัฐไมม่ ีเรื่องใด 13. รัฐประหารขอ้ ใดถูกต้อง (อนั นก้ี ็อา่ นมานดิ นงึ ว่ามีคร้งั ไหนบ้าง อา่ นที่สาํ คญั ๆ อยา่ ง รสช. 19 กนั ยา 14. องคก์ รใดทไ่ี ทย ไมไ่ ดเ้ ป็นสมาชิก (จาํ ช้อยกนั ไม่คอ่ ยไดเ้ ลย -*- ตัดเหลอื GMT กะ GMS อะ่ ) 15. อาเซยี น + 3มีประเทศอะไรบา้ ง 16. ความร่วมมือแมน่ าํ้ โขงมีกี่ประเทศ อะไรบ้าง 17. อาเซยี นครง้ั ต่อไป (ปจั จุบัน) ใครเป็นเลขาธกิ าร เเละ จะจัดข้ึนที่ประเทศอะไร 18. อาเซยี นครบรอบกปี่ ี ในวันที่เท่าไหร่ 19. องคก์ รทีม่ คี นไทยท างานระดับสูงขณะน้ี (ขณะนน้ั มีเเค่ ศุภชยั ท่ี UNCTAD มีสุรนิ ทรห์ ลอก เเต่ตอนน้ีไม่หลอก เล้ว เพราะดํารงตําเเหนง่ เเลว้ ) 20. รัฐมนตรที ่แี กท่ ่ีสุด ในรฐั บาลขิงแก่ 21. ชาติใดไม่ใชช่ าตอิ าหรับ (นอ้ งดูประเทศเเถวตะวนั ออกกลาง ประเทศไรท่ไี ม่ใชอ่ าหรบั อะ่ ) 22. ขอ้ ใดไมอ่ ยใู่ นองค์กรณ์อสิ ระ รธน (ฉบับปัจจุบัน มีอยเู่ เต่ 4 องคก์ รอะ่ ) 23. ข้อใดไม่ไดอ้ ยูใ่ นคณะกรรมการสรรหา
ประชาธปิ ไตยกับการเมอื งไทย 93 24. เหตกุ ารณ์ความไมส่ งบในพมา่ เคยเกดิ ครง้ั แรกเมอ่ื ไหร่ 25. ประเทศใดไมไ่ ดก้ อ่ ตงั้ ASEAN 26. ประเทศใด ทํา FTA กบั ไทย โดยตรงบา้ ง 27. ประเทศใดปกครองโดยสุลตา่ น แนวขอ้ สอบ รัฐศาสตร์ มธ. ปี 2552 1 ประเทศใดได้รบั เอกราชในปี 2002 ที่ผา่ นมา : ก. โคโซโว ข.ตมิ อร์ตะวันออก ค.มอนเตเนโกร 2 มูฮมั หมดั กดั ดาฟยี ์ เป็นผ้นู าํ ของประเทศใด 3 การปฏิวตั ิอิสลาม เกดิ ในประเทศใด 4 ชนชาติในประเทศใดไม่ใชอ่ าหรบั : ก. ซเี รยี ข. ซาอุฯ ค.อิหรา่ น ง.คูเวต จ.อิรกั 5 เมโสโปเตเมยี คือ...... : ข้อนสี้ บั สนอยสู่ องตัวเลอื ก ระหวา่ ง 1 ดนิ แดนพระจันทรเ์ สยี้ วสมบูรณ์ 2 บรเิ วณลมุ่ นา้ํ ไทกรสิ -ยูเฟรตสิ 6 Merit System หมายถงึ อะไร 7 ข้อใดไมใ่ ชท่ ฤษฎีของ Max Webber : ตัวเลือกส่ีข้อจะกล่าวถึงทฤษฎีการบริหารแบบองค์การราชการBureaucracy ยกเว้นข้อที่บอกว่า” ความสัมพนั ธข์ องคนในองคก์ รเปน็ แบบกนั เอง ไมเ่ ป็นทางการ” 8 ข้อใดไม่ใชท่ ศพิธราชธรรม 9 การปกครองท้องถนิ่ แบบใดมีมากทีส่ ดุ : ก. เทศบาลเมอื ง ข. เทศบาลต าบล ค.เทศบาลนคร ง.อบต. จ.อบจ. 10 กรมอตุ นุ ยิ มวทิ ยาสงั กดั กระทรวงใด : ขอ้ นม้ี องหากระทรวงICTอยา่ งเดียวเลย 11 กระทรวงใดเป็นกระทรวงทต่ี ง้ั ขนึ้ ใหมต่ ามพระราชบญั ญตั ปิ รับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 : ท่ีถูกในบรรดาตัวเลอื กคือกระทรวงทรพั ยากรฯ 12 ประธานาธบิ ดีสหรัฐที่มีรูปสลกั อยบู่ นผารัชมอรแ์ ละมีผลงานในความพยายามแกป้ ญั หาความยากจน : ตวั เลอื กเทา่ ทจี่ ําไดค้ ือ จอร์จ วอชงิ ตัน , อบั ราฮมั ลนิ คอน , โทมสั เจฟเฟอร์สัน 13 รธน.ฉบบั ใดทีร่ ะบใุ ห้มีตลุ าการรฐั ธรรมนญู เปน็ ครง้ั แรก 14 รธน.ฉบับใดทีร่ ะบุให้ผู ส้ มัครสส.ตอ้ งจบการศึกษาขน้ั ปริญญาตรี เป็นครงั้ แรก 15 ตุลาการรัฐธรรมนญู ตดั สนิ ยบุ พรรคด้วยอาํ นาจใด : ก. อํานาจรฐั ธรรมนญู ข. อํานาจคณะปฏวิ ตั ิ ค. อํานาจบรหิ าร ง. อาํ นาจนิติบัญญัติ 16 . ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 แบ่งข้าราชการพลเรือนออกเป็นกี่ประเภท อะไรบา้ ง : 4 กลมุ่ กลมุ่ บริหาร กลมุ่ อาํ นวยการ กลมุ่ วชิ าการ และกลมุ่ ทวั่ ไป 17 วันที่ 14 มถิ นุ ายน 2552 คณะรัฐศาสตร์ มธก. มีอายุครบรอบกป่ี ี 18 วนั ท่ี 27 มิถนุ ายน 2552 มธก. มอี ายุครบรอบกป่ี ี 19 การเรยี นการสอนวชิ ารัฐศาสตรใ์ นระดับปริญญาโทเปน็ ครง้ั แรกเกดิ ขน้ึ เมอื่ ใด : ก. เมือ่ มีการกอ่ ตง้ั คณะรฐั ศาสตรท์ ี่จฬุ า ข.เมื่อมีการก่อตั้งคณะรัฐศาสตร์ท่ีมธ. ค.เม่ือมีการต้ัง NIDA ง. กอ่ นสงครามโลกครง้ั ที่สอง 20 ข้อใดแสดงถึงความเข้มแข็งของพรรคการเมอื ง ก. ได้รับเงินสนับสนุนจํานวนมหาศาลจากแหลง่ ทนุ ใหญแ่ หลง่ หนึง่ ข. มสี ว่ นรว่ มอยา่ งทว่ั ถึงในการดําเนนิ กจิ กรรมทางการเมืองโดยภาคประชาชน
94 ประชาธปิ ไตยกับการเมอื งไทย 21 หนา้ ทสี่ ําคญั ของพรรคการเมอื งคอื อะไร ก. ให้ความรู ท้ างการเมอื งกบั ประชาชน ข. นาํ โครงการและงบประมาณลงพน้ื ทขี่ องตน ค. หาบคุ คลเพือ่ ดํารงตําแหนง่ ทางการเมอื ง 22 สาเหตุการโจมตีอิรักนําโดยสหรฐั อเมรกิ า ในปี 2003 ก. ซดั ดมั ฮสุ เซนวางแผนลอบสงั หาร G.W. Bush กอ่ นการลงสมัครรบั เลอื กตงั้ เปน็ ปธน.สมยั ตอ่ ไป ข. หน่วยสืบราชการลับสหรัฐฯพบว่าอิรักมีอาวุธร้ายแรงในครอบครอง ตัวเลือกอื่นจําไม่ได้ค่ะ แต่แปลก พอๆกบั ขอ้ หนงึ่ 23 ความเปน็ จริงเกย่ี วกบั การตอ่ ตา้ นการกอ่ การรา้ ยในปจั จุบันคือ ก .สามารถปราบปรามได้อยา่ งสน้ิ เชงิ เลว้ ข. การปราบปรามการกอ่ การร้ายมกี ารละเมดิ สทิ ธมิ นุษยชนและกฎหมายในหลายประเทศ 24 ประธานWTO คอื ใคร 25 ESCAP ยอ่ มาจากอะไร 26 ภาษาทีใ่ ชใ้ นUN 5 ภาษาคอื อะไรบา้ ง 27 ธนั วาคม2551 ไทยเป็นเจา้ ภาพการประชุมใด ก . การประชุมสุดยอดอาเซยี น ข. การประชุม ASEAN + 3 ค. การประชุมเอเชยี ตะวนั ออก ง. ถกู ทกุ ขอ้ จ. ผิดทกุ ขอ้ 28 พน้ื ท่ีทับซอ้ นแควน้ แคชเมียรม์ ีพนื้ ทตี่ ดิ ตอ่ กบั รฐั ใดบ้าง : อินเดยี ปากฯี จนี 29 การมสี ว่ นรว่ มทางการเมืองท่ไี มอ่ ย่ใู นสถานการณ์ปกตคิ อื ข้อใด ก. การเลือกตง้ั ข.การลงประชามติ ค.การกอ่ ตง้ั พรรค ง.การประทว้ ง 30 นายกรฐั มนตรีทไ่ี มเ่ คยเปน็ รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงศกึ ษาธิการ ตวั เลือกทจี่ าํ ได้ - นายอานันท์ ปันยารชนุ - ทกั ษณิ ชินวตั ร - สมชาย วงศ์สวสั ด์ิ 31 นายกรฐั มนตรีท่ีไมเ่ คยเปน็ รัฐมนตรวี า่ การกระทรวงกลาโหม ตวั เลือกทจ่ี ําได้ - นายอานันท์ ปนั ยารชนุ - ทักษณิ ชนิ วัตร - สมชาย วงศส์ วสั ด์ิ - ชวน หลกี ภยั - สมคั ร สุนทรเวช 32 EPA เกยี่ วขอ้ งกบั การอนรุ กั ษ์สงิ่ แวดลอ้ มด้านใด 33 สนธสิ ัญญาเกยี วโตเกย่ี วขอ้ งกบั อะไร : สงิ่ แวดล้อม 34 ข้อใดไม่ใชห่ น้าทีข่ องสว. :เสนอรา่ งพรบ.
ประชาธปิ ไตยกับการเมอื งไทย 95 35 มาตรฐานสนิ คา้ และบริการลา่ สดุ ซง่ึ ประเทศไทยกําลงั จะใชเ่ ป็นประเทศแรกของโลกคอื อะไร : ISO หรอื มอก. 36 สว่ นใดของรัฐธรรมนญู ทีป่ ระกาศเจตนารมณใ์ นการรา่ ง ก. สารจากประธานสภารา่ งรัฐธรรมนญู ข. คําปรารภ ค. บททวั่ ไป ง. บทเฉพาะกาล 37 แผนพฒั นาศก.และสงั คมฉบับปจั จบุ ันเป็นฉบับที่เทา่ ไร ใช้ตง้ั แตป่ ี ใดถงึ ปี ใด : ฉบับท1ี่ 0 ปี 2550 – 2554 38 ลักษณะวิกฤติเศรษฐกจิ : เงินเฟอ้ อตั ราวา่ งงานสูง 39 สถาบนั แรกทม่ี ีบทบาทกาํ หนดลักษณะขรก.พลเรือนคือ ก. ครอบครวั ข. เพื่อน ค.สถาบนั การศึกษา ง.ทท่ี ํางาน 40 ตลาดสง่ ออกทใี่ หญท่ ่ีสดุ ของไทยสามอันดบั แรกคือ.. : สหรัฐอเมรกิ า ญป่ี ุ่ น จนี
Search