และเน่อื งจากสมัยกอ่ นยังไม่มีระบบชลประทาน หรอื ฝนเทยี ม นา้ํ ฝนจึงเป็นส่ิงเดยี วทธ่ี รรมชาตมิ อบให้ช่วยต่อชวี ติ ให้กับพืชผลการเกษตรในนาไร่ ถา้ ปไี หนฝนฟา้ ไม่เปน็ ใจหรือมาลา่ ชา้ กว่าปกติ การเพาะปลกู ก็จะไดผ้ ลไมค่ ่อยดหี รอื ใหผ้ ลไม่เต็มที่เท่าไหร่นักด้วยเหตุนจี้ งึ ทำ�ใหเ้ กษตรกรจึงต้องจัดพิธีแหน่ างแมวขึ้นเพือ่ ขอฝน ๒. ประเพณไี ถอาสา ท่ีอำ�เภอหนองบัว จังหวดั นครสวรรค์ หลังจากผ่านพ้นการทำ�พธิ แี รกนาไปแล้วพร้อมกับเริม่ มีฝนตกลงมาเป็นชว่ งเวลาทเ่ี หมาะตอ่ การไถนา โดยกอ่ นชาวนาจะเร่มิ ไถนาจะมปี ระเพณไี ถอาสาซ่งึ เปน็ ประเพณีเฉพาะถิน่ โดยชายหนมุ่ จะท�ำ ไถจากไม้ประดู่ เรียกว่าไถอาสา เพ่อื นำ�ไปยงั นาของหญงิ สาวคนรกั ส่วนฝา่ ยหญิงสาวกจ็ ะตอ้ งเย็บเสอื้ ใหแ้ ก่ชายหนุ่ม ๑ ตัว ส�ำ หรบั ใช้เปน็ชดุ ไถอาสา จากนัน้ ฝา่ ยชายหนมุ่ จะใสเ่ สือ้ พร้อมนุ่งโจงกระเบนแล้วทำ�การไถนาด้วยไถอาสาของตนเอง เป็นเวลา ๗ วนั สว่ นไถอาสาทีท่ �ำ ขึ้นนจ้ี ะถือเปน็ มรดกสืบต่อกนั ไปยงั ลกู หลานตอ่ ไป ๓. ประเพณีทำ�ขวัญแม่โพสพหรือทำ�ขวัญขา้ ว ชาวนาในจงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา มีการท�ำ ขวัญแม่โพสพ หรือทำ�ขวัญข้าวในชว่ งทข่ี า้ วเร่มิ ต้งั ทอ้ งโดยเลอื กทำ�พิธีในวนัศกุ ร์ เร่มิ ท�ำ พิธปี ระมาณ ๑๕ – ๑๗ นาฬกิ า บรเิ วณท่นี าตรงทเี่ คยปกั ธงเมื่อวนั แรกนา เตรียมเครอื่ งสงั เวย ประกอบดว้ ย ส้ม กลว้ ยน้ําวา้ อยา่ งละ ๑ ผล ตดั เปน็ ชิน้ ๆ อ้อยควนั่ ๑ กระทง ใส่รวมกันในชะลอมเดยี วกนั แลว้ ผกู ห้อยไวท้ ่คี นั ธง นำ�พานใสแ่ ป้งหอมน้ําหอม และหวีมาหวใี บข้าวเพือ่ เป็นการแต่งตวั แม่โพสพ เสรจ็ แล้วกล่าวรับขวัญแม่โพสพเปน็ อันเสรจ็ พธิ ี ๕๑
๔. ประเพณกี วนข้าวทิพย์ ประเพณีกวนข้าวทพิ ย์เป็นพธิ ีทท่ี �ำ กนั ในเดือน ๑๐ ซ่ึงคงจะถือเอาระยะทีข่ า้ วกล้าในทอ้ งนามีรวงขาวเปน็ น้าํ นม ของแต่ละปีและชาวบ้านก็มีความพร้อมเพรียงกันพิธีกวนข้าวทิพย์ได้ยึดถือปฏิบัติเป็นประเพณีสืบต่อกันมาต้ังแต่อดีตจนถึง ปัจจุบันในหมูข่ องชาวพทุ ธทว่ั ไป เพื่อระลึกถงึ สมเด็จพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าและเหตกุ ารณท์ นี่ างสชุ าดาไดก้ วนขา้ วทิพยใ์ นวันข้นึ ๑๔ ค่ํา แลว้ นำ�ไปถวายพระพทุ ธเจ้ากอ่ นท่จี ะตรัสรู้ ๑ วัน โดยถือว่ามีผลานิสงฆ์มาก ดว้ ยเหตุน้ีชาวพุทธจึงพรอ้ มใจกันกวนข้าว ทพิ ย์ เพอื่ ถวายเป็นพทุ ธบชู าเทดิ ทนู พระเกียรตคิ ุณด้วยความกตัญญูกตเวทิตาธรรม ข้าวทิพย์มธปุ ายาสนเี้ ชอ่ื กนั ว่าเมอื่ ท�ำ ครบ ถ้วนตามพธิ ีแลว้ จะเปน็ สริ ิมงคลแดผ่ ู้ท�ำ และผู้บรโิ ภคสมควรจะเซ่นสรวงเทพารักษ์ ผทู้ ี่ไดบ้ ริโภคขา้ วทิพยแ์ ลว้ จะประสบโชคลาภ ต่างๆนานา ปราศจากโรคาพยาธิ ภยั พิบตั ิ ประสบส่งิ ที่เป็นมงคลโดยขา้ วทิพยป์ ระกอบดว้ ย ถ่ัว งา ขา้ วฟา่ ง ข้าวเมา่ ขา้ วสาร เมลด็ กลา่ํ นาํ้ นมโค น้ําออ้ ย น้าํ ผง้ึ มะพร้าวออ่ น ชะเอม ฯลฯ นำ�มากวนใหเ้ ข้ากนั โดยผูก้ วนตอ้ งเป็นสาวพรหมจารยี เ์ ทา่ น้ัน และมีการเลีย้ งพระสงฆด์ ้วย เมอื่ เสรจ็ แลว้ จะแจกจา่ ยข้าวทิพยใ์ ห้กนั ๕. ประเพณีการลงแขกเกยี่ วข้าว เป็นประเพณีไทยท่ีแสดงให้เห็นถึงความมีน้ําใจที่มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันอีกทั้งยังสามารถช่วยสร้างความสมัคร สมานสามัคคีกันในหมู่บ้านได้อีกด้วยนอกจากน้ีทำ�ให้เกิดวัฒนธรรมและการขับร้องเพลงอันเป็นเอกลักษณ์อย่างหน่ึงของผู้ที่ ประกอบอาชพี ท�ำ นาเรยี กกวา่ “เต้นก�ำ ร�ำ เคียว” โดยทเ่ี จา้ ของนาจะบอกเพื่อนบ้านให้รวู้ า่ จะเกีย่ วขา้ วเมือ่ ใด และเมื่อถึงวนั ท่ี กำ�หนดเจ้าของนาก็จะต้องปักธงท่ีที่นาของตนเพ่ือให้เพ่ือนบ้านหรือแขกท่ีรู้จะได้มาช่วยเก่ียวได้ถูกต้องทั้งน้ีเจ้าของนาจะต้องจัด เตรียมอาหาร คาวหวาน สุรา บุหรี่ นาํ้ ดืม่ ไวร้ องรบั ดว้ ย และในการขณะเกี่ยวข้าวกจ็ ะมกี ารละเล่นร้องเพลงเก่ียวขอ้ งระหว่าง หนมุ่ สาวเป็นที่สนกุ สนานและเพลดิ เพลนิ เพื่อคลายความเหนด็ เหนอ่ื ยได้๕๒
๕๓
๖. ประเพณเี ชญิ ขวัญข้าวเขา้ สลู่ าน พิธีเชญิ ขวญั ขา้ วเข้าสู่ลาน เมอ่ื เกยี่ วข้าวขนขาวไปไว้ท่ีลานส�ำ หรบั นวดพอขนขา้ วจนจะหมดแล้ว ก็จดั การทำ�พิธีเชญิ ขวัญ ข้าว หรือขวญั แมโ่ พสพเข้าสู่ลานสูบ่ ้านจัดเครอื่ งกระยาบวช มีขนมตม้ แดง ๑ กระทง ขนมต้มขาว ๑ กระทง ขนมหูชา้ ง ๑ กระทง (ทำ�ดว้ ยแปง้ ขา้ วเหนยี ว ปน้ั เปน็ รปู สามเหลย่ี มเอาไปตม้ ให้สุกแล้วคลกุ ด้วยเกลอื และมะพรา้ ว กลว้ ยนํ้าวา้ ๑ หวี ไขต่ ้ม ๑ ฟอง (ผา่ เปน็ ซกี ) ขา้ วปากหมอ้ ๑ ปั้นหรือใส่กรวยใบตองกไ็ ด้เครอื่ งนุ่งห่มใหมๆ่ ส�ำ รับหน่ึงคอื ผา้ น่งุ ผา้ หม่ จะเป็นด้ายหรอื ไหมก็ไดอ้ ยา่ ง ละผนื วันท�ำ พิธใี ชว้ ันศกุ ร์เวลาเย็นๆ เมือ่ ไปถงึ ทน่ี าใหค้ ลผี่ า้ น่งุ ผ้าห่มปลู งกบั พนื้ ดินคดีเป็นสงั เขปกไ็ ด้แลว้ เอาเครอื่ งสังเวยออกเซ่น เสร็จแล้วเอาซังต้นข้าวผูกเป็นหุ่นรูปคนเล็กๆรูปหน่ึงถือไว้และกล่าวคำ�เชิญแม่โพสพว่าได้ออกมากรำ�ฝนอยู่กลางนาเป็นเวลานาน แลว้ เชิญกลับเขา้ อยูท่ ีร่ ่มทเ่ี ยน็ ในลานในบา้ นเสยี ที แล้วพารูปหนุ่ นนั้ เข้ามาสลู่ านนวดขา้ ว ท้งิ เครอื่ งสงั เวยไว้ทนี่ า และที่ตรงนัน้ ให้ ทง้ิ ข้าวท่ีเก่ียวแลว้ ไว้เปน็ ทานแก่นกาบ้างตามสมควร เมือ่ ขา้ วถึงลานแล้วให้คลี่ผ้านุ่งห่มสำ�รับนัน้ คลุมลงบนกองฟ่อน ขา้ วซ่ึงเก็บเกี่ยวมารวมกองไว้ แล้วเอารปู หุน่ ปักลงท่ีผา้ สมมตุ วิ ่าแต่งตัวนุ่งห่มใหม่ใหแ้ ก่แม่โพสพ และเอาเครอ่ื งสงั เวยอกี ชดุ หน่งึ มี ส่ิงของเดยี วกันกับท่ีน�ำ ออกไปสังเวยที่นาเซน่ และบอกเลา่ ต่างๆ ท่คี ิดเห็นว่าเปน็ มงคลแก่การทำ�มาหากิน ๗. ประเพณที ำ�บุญลาน หลังฤดเู กบ็ เกีย่ วชาวนาจะจัดพธิ ีเฉลิมฉลองข้ึนเป็นประจ�ำ ทุกปี เพอื่ เป็นการเฉลิมฉลองผลผลติ ทไ่ี ดแ้ ละเพ่อื แก้บนและ ขอบคุณเทพารกั ษ์และสงิ่ ศกั ดส์ิ ิทธท์ิ เี่ คยบนบานมากอ่ น ทไ่ี ดค้ ุม้ ครองปกปักรักษาคน สัตว์ และพืชพรรณธญั ญาหารใหไ้ ด้ผลผลติ ดีตลอดฤดกู าลทผ่ี ่านมา และเพ่อื บนบานขอให้ปตี ่อไปไดข้ า้ วอดุ มสมบรู ณเ์ หมอื นเดมิ หากมีการกระทำ�ใดๆ ทเี่ ป็นการล่วงเกนิ ทงั้ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ จะโดยเจตนาหรือไมก่ ็ตาม กข็ ออโหสกิ รรมในโอกาสเดียวกนั นบ้ี างครงั้ จะมกี ารนิมนตพ์ ระสงฆ์ บำ�เพญ็ บญุ หรอื ไม่กไ็ ปรว่ มกันทำ�บญุ ในวดั แล้วอทุ ิศสว่ นบุญส่วนกศุ ลไปใหเ้ ทพเจ้าและส่งิ ศักดิส์ ิทธติ์ า่ งๆ๕๔
๘. ประเพณีปดิ ยงุ้ เป็นพธิ ที ม่ี กี ารท�ำ กนั ในจงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา ชาวนาจะทำ�พิธปี ดิ ยุ้งเม่อื นวดข้าวแลว้ เกบ็ เข้ายุ้งฉางเสร็จเรียบร้อยแลว้ โดยจะเหลอื ข้าวเปลือกประมาณ ๑ ขันคาไวท้ ่ลี านนวดข้าวใช้ทำ�พธิ ีซึง่ จะทำ�พธิ ใี นวันศุกร์ โดยให้คนที่เกดิ ปมี ะโรงจะเป็นผหู้ ญงิ หรอื ผชู้ ายกไ็ ด้เปน็ ผ้ทู �ำ พิธีและเป็นผ้สู ังเวยลานนวดข้าว โดยเคร่ืองสังเวยประกอบด้วย ขนมตม้ ขาว ข้าวปากหม้อและไข่ตม้ เอาทพั พีตกั ขา้ วเปลอื กทีเ่ หลือไวใ้ นลานใส่ลงในขนั ขณะทต่ี กั ข้าวเปลือกให้กลา่ ววา่ “ขอใหแ้ มโ่ พสพ จงดลบนั ดาลให้ข้าวมมี ากมาย ตักตวงไม่รูห้ มดส้ิน” เม่อื ตกั ข้าวใสจ่ นเต็มขันแลว้ น�ำ ขนั ขา้ วเปลอื กน้ันไปเทใส่ในยุ้งเกบ็ ขา้ ว โดยถือว่าเป็นข้าวของแมโ่ พสพ ๙. ประเพณีเปิดยุ้ง เป็นพิธีที่มีการทำ�กันในจังหวัดราชบุรีซ่ึงชาวนาในจังหวัดราชบุรีถือเคล็ดว่าข้าวขึ้นยุ้งแล้วจะไปเปิดเอาข้าวออกมาบ่อยๆไม่ไดจ้ ะเปดิ ยุง้ ก็ต่อเมื่อขายข้าว หรอื จำ�เป็นตอ้ งใช้ขา้ วจ�ำ นวนมากๆ เท่านนั้ และเมอื่ จะเปิดยุ้งตอ้ งจุดธูปเทยี นบูชาแมโ่ พสพก่อนดังนน้ั กอ่ นเอาขา้ วใส่ยุง้ จะตอ้ งแบ่งขา้ วเอาไว้ให้เพยี งพอตอ่ การบริโภคตามความตอ้ งการเสียก่อน จะไดไ้ ม่ต้องกังวลวา่ จะมกี ารเปิดย้งุ โดยไม่จำ�เป็น พธิ ีเปดิ ยุ้งทำ�ได้โดยนำ�ขนั ตักบาตรตกั ข้าวเปลอื กในยุง้ ไว้ ๑ ขนั กลา่ วค�ำ เชญิ แม่โพสพว่า “อย่าตระหนกตกใจขอเชิญมิง่ ขวัญอยู่กบั เหย้าเฝา้ กบั นา ตักตวงข้าวให้ได้รอ้ ยเกวียนพันเกวียน” จากนนั้ จึงทำ�การตักตวงขา้ วในยงุ้ ขายต่อไปได้โดยจะไมเ่ ปดิ ยุ้งตวงขา้ วขายในวันศุกร์ ส�ำ หรับขา้ วทต่ี กั ไวข้ ันหนงึ่ นน้ั ให้นำ�เอาไปสีซ้อมเปน็ ข้าวสาร แล้วหงุ ใสบ่ าตรถวายพระสงฆ์ให้หมดส้นิ ไป ๕๕
วฒั นธรรมประเพณีข้าวภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ๑. ประเพณเี ต้าแม่นางข้อง ตามความเชื่อของชาวอีสานว่าความแห้งแล้งในหมู่บ้านเกิดจากมีผีแม่แล้งอาศัยอยู่ในหมูบ้านดังน้ันจึงต้องให้แม่นาง ข้องช่วยไล่แม่แล้งออกไปจากหมู่บ้านแล้วฝนจึงจะตกพิธีเต้าแม่นางข้องเป็นพิธีขอฝนที่เร่ิมต้นด้วยการทำ�เชียงข้องคือการนำ�ข้อง (ภาชนะส�ำ หรับใสส่ ัตว์) มาตกแตง่ ใหม้ รี ูปร่างลักษณะคลา้ ยคนโดยใชข้ ้องทำ�เปน็ ล�ำ ตัว ท�ำ หวั ด้วยกะลา และท�ำ ขา ๒ ขา้ งด้วยไม้ แลว้ ใช้ผา้ แดงผูกปากข้องเปน็ เสอ้ื ผา้ ใชไ้ มย้ าวเสียบขอ้ งจากหวั ถงึ กน้ ขอ้ งให้โผลอ่ อกมาทง้ั ๒ ด้านเพอ่ื ใช้จับหลงั จากน้นั เตรียม เครอื่ งบชู าเทวดา ผู้ท�ำ พิธจี ะอนั เชิญเทวดามาสิงในเชยี งขอ้ งเม่อื เทวดามาสิง เชยี งข้องจะสนั่ หรือกระตกุ แลว้ จะจบั เชียงขอ้ งไป ยังจุดที่มผี ีแมแ่ ล้งอยเู่ พ่ือขบั ไลผ่ แี ม่แล้งออกไปจากหมู่บา้ น นอกจากนย้ี ังสามารถใช้ในการทำ�นายความอดุ มสมบูรณข์ อใหแ้ มน่ าง ข้องส้ันหรอื กระตกุ แตถ่ า้ ขา้ วปลาไม่อุดมสมบูรณข์ อให้แม่นางขอ้ งนง่ิ เฉย ๒. ประเพณเี ต้านางแมว ชาวอีสานมีความเชือ่ วา่ เหตทุ ี่ฝนไม่ตกอาจเนื่องมาจากชาวเมืองหย่อนยานในศีลธรรม ดว้ ยเหตุนชี้ าวเมอื งจึงตอ้ งร่วมแรง ร่วมใจกันทำ�พิธีแห่นางแมวเพ่ืออ้อนวอนขอฝนซึ่งการที่ใช้แมวเป็นตัวประกอบหลักเน่ืองจากมีความเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์ท่ีเกียดฝน เมื่อมีฝนตกคร้ังใดแมวจะรอ้ งทนั ทจี งึ ถือเอาเคล็ดลบั ที่แมวร้องในเวลาฝนตก จะท�ำ ใหฝ้ นไดจ้ ริงๆหลังจากทำ�พธิ ีเต้านางแมวแลว้ พธิ ีนี้เริม่ ต้นจากการนำ�แมวใส่ลงในกะทอหรือเข่งทม่ี ฝี าปิด จากน้นั เตรยี มเคร่อื งสักการบชู าเพื่ออัญเชิญเทวดามาชมุ นมุ กัน และ ต้ังจติ อธิษฐานขอนา้ํ ฝน แลว้ ตั้งขบวนแห่โดยใหผ้ ชู้ าย ๒ คนเปน็ ผหู้ ามนางแมวนำ�หนา้ ขบวน คนในขบวนแหจ่ ะรอ้ งคำ�เซ้ิงแหน่ าง แมวไปพรอ้ มๆกันโดยมแี ม่บทกลา่ วนำ� จากนน้ั จะแหน่ างแมวไปตามบ้านคนและสาดนา้ํ นางแมวให้ร้อง พิธีเต้านางแมวเปน็ การ รว่ มมือร่วมใจของคนในหมบู่ ้านทุกครวั เรอื นโดยมกี ารบรจิ าคข้าวปลาอาหารแกผ่ ู้ร่วมขบวนแหแ่ ละสนกุ สนานร่วมกัน๕๖
๓. ประเพณีเต้าแมน่ างดง้ หรอื แห่แม่นางด้ง เปน็ การเส่ยี งทายวา่ ฝนจะตกหรือไม่ โดยใชก้ ระด้งเป็นอุปกรณห์ ลกั ในพิธีเริม่ พธิ ดี ว้ ยการตอกหลกั ๒ หลกั คนละดา้ นสมมตุ ิใหห้ ลกั หน่งึ เป็นหลักแลง้ และอกี หลักหนงึ่ เป็นหลักฝนแลว้ ทำ�แมน่ างดง้ โดยการนำ�กระจก หวี ป้นั ขา้ วเหนียว ก�ำ ไลมือและแหวนหญิงม่ายใส่ในกระด้ง ๑ คคู่ รอบมดั ตดิ กนั แลว้ มัดตดิ กับไม้คาน ๑ คทู่ ่ีมดั ไขวก้ ันเป็นรปู ตีนกา ให้คน ๒ คนจบั ไมค้ านเตา้ แม่นางด้งไว้ เตรียมเครือ่ งสักการบูชาเพ่ืออนั เชญิ เทวดามาชมุ นมุ และตั้งจิตอธษิ ฐานขอนา้ํ ฝนผทู้ �ำ พธิ จี ะน�ำ ชาวบ้านกลา่ วค�ำเซงิ้ แมน่ างดง้ โดยถ้าหากแม่นางดง้ เคลือ่ นทีไ่ ปตีหลกั ฝนทำ�นายวา่ ฝนจะตก แตถ่ ้านางด้งเคลอ่ื นทไ่ี ปตีหลักแลง้ ท�ำ นายวา่ ฝนจะแล้ง และถ้าแมน่ างด้งเคลื่อนท่ไี ปเป็นร่องคลา้ ยคูนาํ้ เช่ือวา่ ฝนจะตกในเรว็ วัน ๔. ประเพณโี ยนครกโยนสาก เป็นการเส่ยี งทายวา่ ในปีน้นั ๆ ฝนจะตกหรอื ไม่โดยครกและสากตำ�ข้าวเป็นอุปกรณห์ ลกั ในพิธี เริม่ ด้วยการผูกครกและสากตำ�ข้าวด้วยเชอื กอย่างละเสน้ จากน้นั ใชก้ ล่มุ ผชู้ าย และกลมุ่ ผหู้ ญงิ จำ�นวนเทา่ ๆ กนั จับปลายเชอื กคนละด้านเตรยี มเคร่อื งสกั การบชู า เพ่อื ขอฝนโดยตั้งจิตอธษิ ฐานวา่ ถ้าฝา่ ยหญงิ แพฝ้ นจะตกแตถ่ ้าฝา่ ยชายแพ้ฝนจะแล้ง จากนั้นกเ็ รม่ิ ดกึ ครกและสากจนรู้วา่ ฝา่ ยใดเปน็ ฝ่ายแพ้ ๕. ประเพณีแห่ขา้ วพนั กอ้ น บญุ แหข่ ้าวพันกอ้ นคอื การน�ำ เอาข้าวเหนียวนึ่งมาท�ำ เป็นกอ้ นๆ จ�ำ นวนพันกอ้ นไปบูชาพระรตั นตรัยทว่ี ัด บางท้องถนิ่ ถงึฤดูท�ำ นา ถ้าฝนไมต่ กชาวบา้ นจะพรอ้ มกนั ทำ�พิธีแห่ข้าวพนั กอ้ น โดยจัดเครือ่ งสักการะมีเทยี นพันเลม่ ธูปพันดอกดอกไมพ้ ันดอกขา้ วเหนียวนึ่งป้นั เป็นกอ้ นขนาดปลายกอ้ ยจำ�นวนพันกอ้ น เมอ่ื ผจู้ ะร่วมพธิ ีประเพณไี ทยงานบญุ แหข่ า้ วพันก้อนรอมกันพรอ้ มแล้ว ๕๗
กล่าวคำ�ปา่ วร้องเทวดาและค�ำ อ้อนวอนขอฝน เพ่ือให้ฝนตกพร้อมกนั แหไ่ ปรอบๆหมบู่ ้านมีการเล่นสาดน้าํ กนั ไปตลอดทางเสร็จ แลว้ น�ำ ไปบชู าไว้ที่วดั ตามโบสถ์หรือในทีส่ มควรบางทอ้ งถน่ิ จะท�ำ กันในประเพณีไทยวนั ตรษุ สงกรานต์วนั สุดทา้ ยคือในคนื วนั ที่ ๑๕ เมษายน หลงั จากเล่นกนั สนุกสนานท้งั วนั แล้วชาวบา้ นจะน�ำ เอาขา้ วสารมาแช่รวมกนั สว่ นมากจะเปน็ หนุ่มสาวพอค่อนคืน จะรวมกลุ่มกนั นง่ึ และปั้นเป็นก้อนจำ�นวนพันกอ้ นพรอ้ มกับ แตง่ เครื่องบชู าเชน่ ดอกไม้ ธปู เทยี น เปน็ ต้น ท�ำ การคบงันกนั อยา่ ง ครกึ ครน้ื พอใกลส้ วา่ งประมาณตี ๓ - ๔ ของวนั ที่ ๑๖ เมษายน จะรวมกนั แห่ข้าวพันกอ้ นไปรอบๆ หมบู่ า้ นตฆี อ้ งตีกลองหรอื ดนตรี อ่ืนๆ บรรเลงไปด้วยเสร็จแลว้ น�ำ ข้าวพนั ก้อนและดอกไม้ ธปู เทยี น ไปบูชาที่วัดและมกี ารนิมนตพ์ ระเทศนฉ์ ลองขา้ วพันก้อนด้วย นอกจากจะแหไ่ ปบชู าที่วดั ของตนแล้วบางทียงั แห่ไปบูชาท่วี ดั ใกลเ้ คียงก็มดี ว้ ย ๖. ประเพณีการเทศนพ์ ญาคันคากและสวดคาถาปลาค่อ ใหข้ ุดสระมขี นาดพอสมควร เอานํ้ามาใส่เอาจอก แหน มาใส่ เอาปลาและเตา่ มาปล่อยเอาบัวมาปลูกตามขอบสระใหท้ �ำ รูปชา้ ง มา้ ววั ควาย ผ้งึ ตอ่ แตน กบ เขียด อง่ึ อ่าง แล้วจดั เครือ่ งฮอ้ ย หมากฮ้อยจอกหนึง่ เมย่ี งฮอ้ ยจอกหนง่ึ ขา้ วตอกฮอ้ ยจอก หน่งึ (หมายถึงอย่างละ ๑๐๐ อนั รวมเขา้ ใสใ่ นจอก ขนาดใหญ่พอบรรจไุ ด้ เชน่ ข้าวตอกฮอ้ ยหนึง่ จอก หมายความวา่ ขา้ วตอกแตก บา้ นเรารอ้ ยดอก (เม็ด) ใส่ไว้ ๑ จอก เป็นตน้ ) นา้ํ สม้ ป่อยหนงึ่ ขนั ขัน ๕ ขัน ๘ พระสงฆ์ ๕ - ๗ - ๙ รปู ตามแตจ่ ะนมิ นต์แตอ่ ยู่ใน จำ�นวนน้ี ห้ามคู่ ชาวบา้ นโดยเฉพาะคนเฒา่ คนแก่นุง่ ขาวห่มขาว บวชชีพราหมณฟ์ งั พระสวดและเทศน์ พญาคนั คากอยู่ ๓ วนั ๓ คนื ทกุ คนต้งั จติ อธษิ ฐานขอให้ฝนตก ฝนกจ็ ะตกตอ้ งตามฤดกู าล และตกอย่างงาม คือเป็นสมั มาธรัง ปะเวสสันโต ซ่ึงแปลว่า หล่งั ธารนํ้า ฝนลงมางามๆ ไมม่ ฟี ้าผ่านา่ สพรึงกลวั๕๘
๕๙
๗. ประเพณกี ารบำ�นางธรณี คือ การบนบานศาลกลา่ วแม่พระธรณี เพอ่ื ให้มาช่วยเหลือให้ฝนตก เพ่ือใหม้ าช่วยเหลือใหฝ้ นตกโดยเตรียมเคร่ืองคาว หวานนำ�มาบูชาพระแมธ่ รณที ่วี ัดหรอื บ้านก็ได้ แล้วกรวดนา้ํ ไปถงึ แมพ่ ระธรณีเพือ่ บอกกล่าวให้ทราบ พรอ้ มตงั้ จติ อธิษฐานขอให้ ฝนตกจะได้ท�ำ นาเมอ่ื ฝนตกแลว้ ต้องนำ�เครื่องคาวหวานมาแก้บนดว้ ย ๘. ประเพณบี ญุ บั้งไฟ เป็นประเพณีหนงึ่ ของภาคอีสานของไทยรวมไปถงึ ลาว โดยมีตำ�นานมาจากนิทานพ้ืนบ้านของภาคอสี านเร่อื งพระยาคนั คาก เรอ่ื งผาแดงนางไอ่ ซง่ึ ในนทิ านพน้ื บ้านดงั กล่าวได้กล่าวถึง การทชี่ าวบา้ นไดจ้ ัดงานบญุ บ้งั ไฟข้นึ เพ่ือเปน็ การบูชา พระยาแถน หรือเทพวสั สกาลเทพบตุ ร ซงึ่ ชาวบา้ นมีความเช่ือวา่ พระยาแถนมีหน้าท่คี อยดแู ลใหฝ้ นตกถกู ต้องตามฤดกู าล และมคี วามชืน่ ชอบไฟเป็นอยา่ งมาก หากหมู่บ้านใดไมจ่ ัดทำ�การจัดงานบญุ บ้ังไฟบชู า ฝนกจ็ ะไมต่ กถูกตอ้ งตามฤดูกาล อาจก่อใหเ้ กดิ ภัยพบิ ัติกบั หม่บู า้ นได้ ช่วงเวลาของประเพณีบญุ บ้ังไฟคือเดอื นหกหรอื พฤษภาคมของทกุ ปี บุญบ้ังไฟ นยิ มท�ำ กันในเดือนหก ถอื เปน็ ประเพณี สำ�คญั ที่จะขาดไม่ได้ เพราะตงั้ แต่โบราณจนถึงปัจจุบันชาวอีสานมคี วามเชือ่ ว่าถ้าปใี ดไม่จดั งานบุญบงั้ ไฟ ฟ้าฝนกจ็ ะไม่ตกต้องตาม ฤดูกาล เกดิ ความแหง้ แลง้ ไมม่ นี ํ้าท�ำ นา แต่ถา้ ปีใดจัดงานประเพณบี ุญบ้ังไฟ ฟ้าฝนกจ็ ะตกต้องตามฤดูกาล เกิดความอดุ มสมบูรณ์ ปราศจากโรคภยั งานบญุ บง้ั ไฟจงึ ถือเป็นงานประเพณปี ระจำ�ปีทส่ี �ำ คัญของชาวอสี าน พอใกล้ถงึ วนั งานชาวอีสานไม่วา่ จะอยู่ ทีไ่ หนก็จะกลับบา้ นไปรว่ มงานบุญบั้งไฟซง่ึ เป็นงานทสี่ ร้างความรักความสามคั คีของคนทอ้ งถ่ินเปน็ อย่างดี๖๐
๙. ประเพณบี ุญขา้ วประดบั ดิน การท�ำ บุญขา้ วประดบั ดนิ น้ี เกิดจากความเช่อื ตามนทิ านธรรมบทวา่ ญาติของพระเจ้าพมิ พสิ าร ได้ยกั ยอกเงินวดั ไปเปน็ของตนเอง คร้ันตายไปแลว้ ไดไ้ ปเกิดเป็นเปรตในนรก และเมอื่ พระเจา้ พิมพสิ ารถวายทานแด่พระพทุ ธเจ้าแลว้ มไิ ดอ้ ุทศิ ใหญ้ าติท่ีตาย กลางคืนพวกญาติทตี่ ายมาแสดงตวั เปลง่ เสียงน่ากลวั ใหป้ รากฏใกล้พระราชนิเวศน์ รงุ่ เช้าได้เสด็จไปทูลถามพระพทุ ธเจ้าพระพุทธองคท์ ลู เหตุให้ทราบพระเจา้ พิมพสิ ารจึงถวายทานอีกแลว้ อุทิศส่วนกุศลไปให้ ญาติท่ตี ายไปจงึ ไดร้ บั ส่วนกศุ ล ดังนั้นการทำ�บญุ ขา้ วประดับดิน คอื การท�ำ เพ่ืออทุ ศิ ส่วนกุศลแกญ่ าตผิ ตู้ ายแล้ว ถอื เปน็ ประเพณีทีต่ ้องทำ�เปน็ ประจำ�ทกุ ปี โดยวนั แรม ๑๓คํ่า เดอื น ๙ ชาวบา้ นจะเตรียมขา้ วตม้ ขนม อาหารคาวหวาน หมาก พลู และบหุ รีไ่ ว้ ๔ สว่ น สว่ นหนึง่ เลยี้ งดกู ันภายในครอบครวัส่วนทสี่ องแจกใหญ้ าติพี่น้อง ส่วนที่สามอุทศิ ใหญ้ าตทิ ่ตี ายไปแลว้ และส่วนที่สีน่ �ำ ไปถวายพระสงฆ์ ในสว่ นท่ีสามญาตโิ ยมจะหอ่ข้าวนอ้ ย ซ่งึ มีวิธกี ารหอ่ คอื ใชใ้ บตองห่อขนาดเทา่ ฝ่ามอื ส่วนความยาวนั้นใหย้ าวสดุ ซกี ของใบตอง และในวนั แรม ๑๔ ค่าํ เดือน๙ ชาวบ้านจะไปวดั ต้งั แต่เวลาตี ๔ เพ่อื น�ำ สง่ิ ของท่ีเตรียมไว้จดั ใสก่ ระทง หรือเยบ็ เป็นหอ่ เหมอื นขา้ วสากไปวางอทุ ศิ ส่วนกศุ ลตามทตี่ ่างๆ ซ่ึงการวางแบบนี้ เรียกว่า การวางห่อขา้ วน้อย แต่หากเป็นการนำ�ไปวางในวดั จะเรยี กว่า การยาย (วางเปน็ ระยะๆ )ห่อข้าวน้อย ซง่ึ เวลานำ�ไปวางจะพากนั ไปทำ�อย่างเงยี บๆ ไม่มกี ารตีฆอ้ ง ตีกลองแตอ่ ย่างใด หลังจากวางเสร็จแล้ว ชาวบา้ นจะกลบับ้านเพือ่ เตรียมอาหารท�ำ บุญท่ีวดั อกี ทหี น่งึ ในตอนเช้า เมือ่ พระสงฆฉ์ ันเชา้ เสร็จกจ็ ะเทศน์ฉลองบุญขา้ วประดับดิน ต่อจากนั้นชาวบ้านจะนำ�ปัจจยั ไทยทานถวายแด่พระสงฆ์ เม่ือพระสงฆใ์ หพ้ รเสรจ็ ชาวบ้านท่มี าท�ำ บญุ ก็จะกรวดนาํ้ อุทิศส่วนกศุ ลไปให้ญาติผทู้ ่ลี ่วงลบั ไปแลว้ เปน็ อนั เสร็จพิธี ๖๑
๑๐. ประเพณกี ารเก็บเกย่ี ว การเกี่ยวข้าวใหเ้ ก่ียวขา้ วในแปลงตาแฮกกอ่ น โดยจะเก็บเกย่ี วในวันจนั ทรห์ รอื วันพฤหัสบดตี ้ังแต่เวลาเทีย่ งเป็นตน้ ไป และหันหนา้ ไปทางทิศตะวันออกแลว้ เลอื กเอาขา้ วรวงท่ีสมบรู ณ์ ๕ – ๖ รวง ขน้ึ ไปผกู ไว้ยอดเสาตูบตาแฮก แล้วจงึ จะเกยี่ วข้าว ในแปลงอ่ืนๆ ได้ การเตรยี มท�ำ ลานนวดขา้ วใหพ้ ร้อมกอ่ นการเก่ยี วข้าวให้ทำ�ในวนั พุธหรือวันเสาร์ เวลาเชา้ เร่มิ จากปกั หลักไม้ไผ่ ส�ำ หรบั เปน็ หลกั มัดขา้ วบนลานนวด แลว้ จะน�ำ มดั รวงขา้ วจากทผ่ี ูกไวท้ ่เี สาตบู ตาแฮกมาผูกไว้ทป่ี ลายยอดหลักมดั ขา้ ว พร้อมกบั รอ้ งเชญิ แมโ่ พสพในขณะทผี่ ูกรวงข้าวไปดว้ ย เสรจ็ แล้วจงึ นำ�ฟ่อนข้าวขน้ึ ลานได้ โดยจะแยกกองขา้ วปลกู และกองขา้ วกนิ หรือขาย ไวค้ นละกองกนั หลังจากเตรยี มลานนวดเสรจ็ กจ็ ะทำ�การเกีย่ วขา้ วได้ โดยกอ่ นเกย่ี วขา้ วตอ้ องน�ำ ดอกไม้สขี าว ๕ คใู่ ส่ขันมา บอกกลา่ วตาแฮก เพอ่ื ขออนญุ าตเกีย่ วข้าวและขอความคุ้มครองอยา่ ให้ศตั รูขา้ วท้งั หลายมาท�ำ ลายขา้ ว ๑๑. ประเพณพี ิธีไหว้ลาน หลงั จากนำ�ข้าวข้ึนลานนวดข้าวเสร็จแล้ว กอ่ นจะนวดข้าวในกอง ให้นวดข้าว ๕ – ๖ รวงทผ่ี ูกไวป้ ลายยอดหลกั มดั ขา้ ว บนลานนวดก่อน แลว้ จงึ นวดข้าวปลูกเพอื่ เก็บเมลด็ ไวเ้ ปน็ ขา้ วพันธ์ใุ นปีต่อไป ฟางท่ีไดน้ �ำ มาหอ่ ไข่ตม้ ๑ ฟอง หมาก ๑ ค�ำ บุหร่ี ๑ มวน กลว้ ยนาํ้ ว้า ๑ ผล แล้วน�ำ ไปผูกบนปลายยอดหลกั มดั ข้าวบนลานนวดอกั คร้ัง เป็นการไหว้ลานเพ่อื ความเป็นสริ ิมงคล ๑๒. ประเพณีปลงลอมขา้ ว หลงั จากขนข้าวมาท่ลี านนวดและทำ�ลอมข้าว (กองข้าว) เสรจ็ เรียบร้อยแล้วกอ่ นทีจ่ ะมีการนวดขา้ ว ชาวอสี านจะทำ�พธิ ี ปลงลอมขา้ ว เพื่อเป็นการขอโทษแม่โพสพท่ตี ้องท�ำ ร่นุ แรงกบั ขา้ วด้วยการนวดเคาะขา้ ว และให้มีโพสพออกจากลานนวดขา้ ว เพราะเกรงว่าจะไดร้ บั การกระทบกระเทอื นจากการนวดข้าว พธิ ีปลงลอมขา้ วมกั จะท�ำ ในวันศุกรห์ รือวันเสารโ์ ดยพอ่ บ้านจะเปน็ ผู้๖๒
๖๓
ประกอบพธิ ี โดยเตรียมเครือ่ งบูชาใสพ่ านแล้วน�ำ ฟอ่ นขา้ ว ๗ ฟอ่ นเขา้ ทำ�พธิ ีโดยวางขา้ งพานบูชา ข้างละ ๓ ฟ่อน ส่วนอกี ฟ่อนเอา ไม้เคาะข้าวรดั เอาไว้ ๑๓. ประเพณบี ญุ คณู ลาน จดุ มุง่ หมายของการท�ำ ประเพณบี ญุ คูณลานก็เพ่อื เป็นสิริมงคลแกข่ า้ วในลานของตน และเพ่ือเป็นการขออานิสงส์ตา่ งๆ การสูตรขวัญข้าวจะกระทำ�ท่ีลานนาหรือท่ีลานบ้านก็ตามแต่จะสะดวกหลังสู่ขวัญข้าวเสร็จก็จะเป็นการขนข้าวขึ้นยุ้งก่อนขนขึ้น ยุง้ เจ้าของจะตอ้ งไปเก็บเอาใบคูณและใบยอเสยี บไวท้ ีเ่ สายุ้งข้าวทกุ เสา ซึง่ ถอื เปน็ เคลด็ วา่ ขอให้ค้าํ คูณยอๆ ยง่ิ ๆ ข้ึนไป และเชิญ ขวัญขา้ วและแม่โพสพข้ึนไปยังเลา้ ด้วย การท�ำ บุญคณู ลานของชาวบ้านจะไมพ่ รอ้ มกนั ข้นึ อยูก่ บั การเกบ็ เกี่ยวข้าววา่ จะเสร็จเมื่อไร วนั ที่จะขนข้าวขนึ้ เลา้ (ฉางข้าว) จะเปน็ วนั ทำ�บุญคณู ลานและท�ำ ท่ีนาน่ันเลย แต่กอ่ นที่จะทำ�การนวดขา้ วนนั้ ให้ท�ำ พธิ ยี า้ ยแมธ่ รณี ออกจากลานเสยี ก่อน และบอกกล่าวแม่โพสพมี เมื่อพรอ้ มแล้วกบ็ รรจลุ งในก่องข้าว (หรอื กระต๊บิ ข้าว) ยกเว้นนํ้าและเขาควาย ซ่งึ เรยี กว่า “ขวัญข้าว” เพือ่ เตรียมเชิญแมธ่ รณีออกจากลานและบอกกล่าวแม่โพสพ นำ�กองข้าว เขาควาย ไม้นวดข้าว ๑ คู่ ไม้สน ๑ อนั คนั หลาว ๑ อนั มดั ขา้ ว ๑ มดั ขดั ตาแหลว ๑ อัน (ตาแหลว เป็นอปุ กรณใ์ ช้เพื่อป้องกันไมใ่ หค้ าถากมุ้ ข้าวใหญข่ อง ลานอ่ืนดดู ไป) น�ำ ไปวางไว้ทห่ี น้าลอมขา้ ว (กองขา้ ว) เสรจ็ แลว้ เจา้ ของนาก็ต้งั อธิษฐานแลว้ ก็ดึงเอามดั ขา้ วท่ฐี านลอม (กองขา้ ว) ออกมานวดกอ่ นแล้วเอาฟอ่ นฟางขา้ วทีน่ วดแล้วห่อหุ้มกองขา้ วมดั ให้ตดิ กันเอาไม้คันหลาวเสยี บฟาง เอาตาแหลวผูกติดมัดข้าวท่ี เกีย่ วมาจากนาตาแฮกเขา้ ไปดว้ ย แล้วนำ�ไปปักไวท้ ี่ลอมขา้ วเป็นอันวา่ เสร็จพธิ ี เม่ือนวดเสร็จกท็ �ำ กองข้าวใหเ้ ปน็ กองสูงสวยงาม เพ่ือจะประกอบพิธบี ายศรีสูตรขวญั ให้แกข่ า้ ว โดยเอาต้นกลว้ ย ตน้ อ้อย และตาแหลวไปปักไว้ข้างกองข้าวทงั้ ๔ มุม นำ�ตาแหลว และขวัญข้าวไปวางไว้ยอดกองข้าวพันด้วยด้ายสายสิญจน์รอบกองข้าวแล้วโยงมายังพระพุทธรูปถึงวันงานก็บอกกล่าวญาติพ่ีน้อง ใหม้ าร่วมทำ�บญุ นมิ นต์พระสงฆ์มาเจริญพระพทุ ธมนต์๖๔
๑๔. ประเพณีสขู่ วัญข้าว ชาวอีสานบางแห่งเมื่อขนข้าวเข้าเล้าข้าวหรือยุ้งฉางข้าวเสร็จแล้วก็จะทำ�พิธีสู่ขวัญเล้าข้าวโดยเตรียมพานบายศรีที่ประกอบด้วย ดอกไม้ ธูป เทียน เมย่ี ง หมากพลูและอาหารคาวหวานตา่ งๆ แล้วใหห้ มอสู่ขวญั ท�ำ พธิ สี ขู่ วัญ เพือ่ เชญิ แม่โพสพให้มาสงิ อยใู่ นขา้ ว เป็นสิรมิ งคลแก่ข้าว คลา้ ยกับการทำ�พธิ สี ู่ขวัญทว่ั ไป ๑๕. ประเพณีบญุ ขา้ วจ่ี บญุ ขา้ วจี่ เปน็ งานบญุ ประเพณขี องชาวอีสานทกี่ ระทำ�กันในเดือนสาม จนเรยี กว่า บุญเดอื นสาม บญุ ข้าวจ่เี ปน็ บญุประเพณีสำ�คญั ทม่ี ีก�ำ หนดอย่ใู นฮีตสิบสอง ดังรจู้ ักกันทว่ั ไปวา่ เดอื นสามคลอ้ ยจว่ั หวั ป้ันขา้ วจ่ี เดอื นส่ีคล้อยจัวนอ้ ยเทศนม์ ะที(มัทรี) บญุ ขา้ วจนี่ ยิ มทำ�กนั ในราวกลางเดอื นหรอื ปลายเดือนสาม คอื ภายหลังการทำ�บุญวันมาฆบชู า (เดอื นสาม ขนึ้ ๑๔ คํา่ )แล้ว ส่วนใหญ่จะกำ�หนดวนั แรม ๑๓ ค่าํ และ ๑๔ คา่ํ เดือนสาม บญุ ขา้ วจีเ่ ปน็ กจิ กรรมรว่ มของชุมชนหลายหมบู่ า้ นนั่นคอื ชาวอีสานบางหมบู่ า้ นเรียกงานบุญนีว้ า่ บญุ คมุ้ จะท�ำ กันเปน็ คุ้มๆ หรือ บางหมบู่ า้ นกจ็ ะทำ�กันที่วดั ประจำ�หมูบ่ ้าน ล้วนแลว้แต่เปน็ บุญขา้ วจี่ หรือบุญเดือนสามน่ันเอง ชาวบ้านท่เี ปน็ เจ้าภาพกจ็ ะบอกบุญไปยงั หมูบ่ ้านใกล้เคียงใหม้ าร่วมกันทำ�บุญ ๖๕
๖๖
๖๗
วัฒนธรรมประเพณขี า้ วภาคใต้ วฒั นธรรมประเพณีข้าวของภาคใต้ เป็นการสบื ทอดต่อๆกันมาหลายช่วั อายุคนซงึ่ ประเพณีของแตล่ ะภาคแตล่ ะถิน่ กแ็ ตก ตา่ งกันออกไปตามสภาพความเชือ่ ตอ่ ๆกนั มาสภาพภมู ปิ ระเทศ สภาพภูมิอากาศ ในที่นจี้ ะกลา่ วถงึ ประเพณแี ละพธิ ขี องภาคใตท้ ่ี เกีย่ วกบั ข้าวและการทำ�นา ซง่ึ บางครัง้ ประเพณีตา่ งๆ อาจจะคล้ายคลึงกนั ภาคอน่ื ๆ ดังนี้ ๑. ประเพณที ำ�ขวญั คอก การทำ�ขวัญคอกเป็นประเพณีท่ีสำ�คัญของชาวนาภาคใต้ก่อนลงมือไถนาเพราะถือว่าควายเป็นแรงงานสำ�คัญส่วนหน่ึง เมื่อเสร็จจากฤดทู �ำ นาในแต่ละปีชาวนาจะปล่อยควายไปอยูต่ ามทงุ่ พอถึงฤดทู ำ�นากจ็ ะท�ำ คอก และพธิ กี รรมเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ เจา้ ของและววั ควาย เคร่อื งท�ำ ขวัญคอก ประกอบดว้ ยอาหารคาวหวานมีขนมต้มขาว ต้มแดง ไก่ ๑ ตัว เหลา้ ๑ ขวด การท�ำ พิธจี ะ เอ่ยชอื่ พระภูมิเจ้าทท่ี ค่ี อกว่า ธรรมเณร และ นางครู า ซึ่งเป็นผใู้ หก้ ำ�เนดิ ควายเสรจ็ แล้วจงึ น�ำ ควายเขา้ คอกได้ พธิ ีท�ำ ขวัญคอกนิยม ทำ�ใหว้ ันอังคารและวนั พธุ และจะน�ำ ควายไปไถในวันท�ำ พธิ ีนด้ี ้วยเป็นการประเดมิ ๒. ประเพณีแรกปกั ดำ� การแรกปกั ด�ำ ข้าวจะมกี ารบนเจา้ ทใี่ ห้คอยปกป้องดแู ลต้นขา้ วในนาไมใ่ หศ้ ตั รขู ้าวมาทำ�ลายตน้ ขา้ ว ถ้าเริ่มปกั ดำ�ในเดอื น ไหนก็ใช้ต้นกลา้ เทา่ กับเลขของเดือนนั้น และเชิญแมโ่ พสพมาคุ้มครองตน้ ข้าวดว้ ย เสร็จแล้วจึงวางสายสิญจนร์ อบบริเวณตน้ ข้าว๖๘
๖๙
๓. ประเพณีแรกนาขวัญ การทำ�นาของชาวภาคใต้ในแต่ละปีจะเลือกวันและฤกษ์ท่ีดีหลังจากพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเสร็จสิ้นไปแล้วแต่ ชาวนาจะไมเ่ ลือกทำ�ในวันพุธเพราะถอื ว่าเป็นวันเนา่ เปื่อยต้นข้าวมกั จะเนา่ เสยี หาย การท�ำ พิธีแรกนาชาวนาจะน�ำ เอาหมากพลู ธูปเทยี นไปอาราธนาเจา้ ท่บี อกกลา่ วกอ่ นเริ่มท�ำ นา ขอใหก้ ารท�ำ นามคี วามสะดวกปลอดภยั จากอบุ ตั เิ หตุในการทำ�นาเสรจ็ แลว้ ก็ จดั การไถโดยไถเวียนขวา ๓ รอบ เปน็ เสรจ็ พิธี ๔. ประเพณีสวดนา หลงั จากท�ำ นาเสรจ็ หมดแลว้ ชาวนาจะทำ�พิธี สวดนา เพ่อื ขอให้ขา้ วและน้าํ ในนาอุดมสมบรู ณ์ การท�ำ พธิ จี ะเลอื กสถาน ทๆ่ี สะดวกในบริเวณพื้นที่นา หรอื ศาลาพักริมนา สว่ นวนั ก็จะเลือกวนั ฤกษ์ดี กอ่ นทจี่ ะทำ�กต็ ้องนิมนตพ์ ระมา ๔ รูป และเตรียม อาหารหวานคาวเพอ่ื ถวายพระ น้าํ มนต์ ใบไมม้ งคล เช่น ใบเงนิ ใบทอง ใบฉียงพร้า เทียน ๑ เล่ม หมากพลใู บไม้ใชเ้ พอื่ ประพรม น้าํ มนต์ หมอ้ นํ้ามนตจ์ ะน�ำ ไปแขวนไวร้ อบศาลาประกอบพิธี พระสงฆโ์ ยงสายสญิ จน์จากสถานทป่ี ระกอบพิธีไปส่นู าขา้ ว ที่ใกล้ พร้อมจดุ ธปู เทยี นบูชาพระรตั นตรยั อาราธนาศีล อาราธนาพระปรติ ร พระสงฆใ์ หศ้ ลี และสวดเจรญิ พระพุทธมนต์ เมอ่ื เสร็จพิธี สงฆแ์ ลว้ ผู้ทำ�พิธจี ะไหว้พระภูมเิ จ้าท่ี พร้อมเครอื่ งเซน่ สังเวย เพ่อื ขอให้ข้าวในนาเจรญิ เตบิ โตดี นา้ํ ท่าบริบรู ณ์ และถวายอาหาร เพลพระสงฆ์ เสร็จแล้วรบั ประทานอาหารร่วมกนั และน�ำ น้าํ มนตท์ เี่ ตรียมไว้แยกประพรมในนาทกุ แปลงจนหมดแปลงสุดท้ายก็ นำ�ใบไมท้ ี่ใช้พรมน้าํ มนต์ปกั ไวใ้ นแปลงนาเป็นอนั เสร็จพิธี๗๐
๕. ประเพณีทำ�ขวัญข้าวเมือ่ ขา้ วต้ังทอ้ ง เสถียร โกเศศ เขียนไว้ในชวี ติ ชาวนาว่าทางอ�ำ เภอไชยา จงั หวดั สุราษฎร์ธานี เมอ่ื ขา้ วเร่ิมตง้ั ท้อง เรียกวา่ คดข้าว จะมวี ธิ ีท�ำ ขวญั ขา้ วท่ีมีเครอ่ื งสงั เวย คอื ขนมต้มแดง ต้มขาว ขนมถ่ัว ขนมงา แปง้ หอม น้ํามนั หอม นำ�เครอ่ื งสังเวยไปในนา ให้เลือกดวู า่ขา้ วตรงไหนที่ตังทอ้ งงามมาก ก็เลอื กเอาบริเวณนัน้ เป็นที่ตัง้ ขนมสังเวย แลว้ จดุ ธปู เทยี น กล่าวค�ำ เชิญขวัญแม่โพสพ แลว้ เอาแป้งหอมทาตามใบข้าวเปน็ ท�ำ นองเจมิ ทาราว ๓ - ๗ กอ สว่ นขนมสงั เวยวางไว้ในที่อันควร เสรจ็ แลว้ นำ�ขนมกลับสว่ นแป้งและนา้ํ มนัเอาเก็บไว้ในยุง้ ๖. ประเพณีรวมข้าวหรอื ผูกข้าว การทำ�ขวญั ข้าวเป็นการทำ�เม่อื ขวญั ในนาเร่ิมสุก เครอื่ งใชข้ องทำ�ขวัญประกอบด้วย กิง่ ไม้หว้า ๑ ก่ิง หวายนา้ํ ๑ ทางหวายขม ๑ ทาง นา้ํ ข้าว ๑ ต้น คลา้ ๑ ตน้ ใบฝกั ขา้ ว ๑ ใบ ชะพูดพระ ๑ ตน้ มงั เล ๑ ตน้ และวา่ นยายเภา แลว้ รวบต้นข้าวประมาณ ๕ - ๗ กอ มัดด้วยด้ายแดง ด้ายขาว ให้ตดิ กับหลกั แล้วน�ำ เครือ่ งท�ำ พธิ ีกรรมบนหลัก เช่น ต้มขาว ต้มแดง ข้าวเหนยี งขา้ วปากหมอ้ ข้าวเจ้า ไขไ่ ก่ อย่างละ ๑ ปลาสลิด ปลาหมอ ปลากระด่ี ปลาสลาด ปลาโอ เทยี น ๑ เล่ม ธูป ๓ ดอก หมาก ๑ค�ำ ดอกไม้ ๓ ดอก ใสใ่ นชามเบญจรงค์ เม่อื เสร็จพิธแี ลว้ จงึ เร่มิ เกบ็ เกีย่ วในบางพ้ืนที่อาจจะมคี วามแตกต่างกนั บา้ ง เช่นเม่ือข้าวเร่ิมสกุ ชาวนาจะนำ�ไม้ต่างๆ ทเ่ี ปน็ มงคล เช่น ไม้ชมุ เหด็ ชมพู่ ไมห้ ว้า และไม้อ่ืนๆ ผกู รวมกบั ใบพรมคดปักลงในนาตรงที่ขา้ วแตกกอออกรวงสวยงามทส่ี ดุ โดยรวบรวมตน้ ขา้ ว ๕ - ๖ กอ ผูกดว้ ยย่านลิเภาด้ายขาว ด้ายแดง ผู้ทำ�พิธีจะกวกั มือเรยี กแมโ่ พสพทง้ั๔ ทิศ มีการสวดมนต์และเชญิ แม่โพสพแลว้ ปังหรงั ไว้ คือการผูกขวญั แมโ่ พสพไมใ่ ห้ไปไหนเพ่อื ให้คมุ้ ครองขา้ ว และเจ้าของนาให้ปลอดภัย ข้าวสว่ นที่ผกู มดั ไวน้ เ้ี ป็นขวัญขา้ วเกบ็ ไว้บชู าและใช้ท�ำ พันธ์ตุ ่อไป ๗๑
๗๒
๗. ประเพณีทำ�ขวญั ข้าว การท�ำ ขวัญขา้ วจะท�ำ กอ่ นน�ำ ขา้ วขึ้นยงุ้ ส่วนใหญ่มกั จะเปน็ เดอื น ๖ ข้างข้นึ นยิ มใช้วันคี่ เชน่ ๑๓ ๑๕ ค่ํา ข้างแรมใชว้ ันคู่ เช่น ๑๔ ค่าํ แต่โดยส่วนใหญ่จะนยิ มท�ำ กนั ในวันพระคืนวันเพญ็ แตไ่ ม่เลือกวันพระท่ีถกู กระ คือ วันทต่ี ำ�ราฤกษย์ ามระบวุ ่าถา้ปักด�ำ หรอื เกบ็ เก่ยี วในวันนน้ั จะถูกผีกินหมด แตบ่ างต�ำ ราให้ท�ำ พิธีตอนพลบคาํ่ ชาวบ้านเรยี กวา่ นกชุมรัง ในวนั องั คาร พฤหัสบดีและวันเสาร์ เวน้ วันอาทิตย์ จนั ทร์ พธุ ศุกร์ วันพระและวันทักษณิ คอื วนั ขน้ึ หรือแรมที่เลขวนั กบั เดอื นตรงกัน เช่น เดอื น ๗ ขึน้ ๗ค่าํ สว่ นเคร่อื งบูชาในพธิ ีประกอบด้วย อาหารคาวหวาน เช่น ขนมขาว ขนมแดง ขนมโค ขา้ วเหนียว ข้าวเจา้ กลว้ ย ออ้ ย งา ปลาสด กุง้ บายศรี หมากพลู ๓ คำ� เทียน ๑ เล่ม แหวนถว้ ยใส่ข้าวขวัญหมอ (ผ้ทู ำ�พธิ ี) บางคนอาจจะเพ่ิมเขาววั ท่ใี ช้ทำ�นาจนตายลกูเดือย ดอกไมธ้ ปู เทียน โดยผ้ทู �ำ พธิ ีจะน�ำ เครอื่ งบชู าวางบนยงุ้ ข้าวโยงสายสิญจน์รอบบายศรี และเคร่อื งบชู า พนมมือสวดบูชาพระรตั นตรัย ชุมนุมเทวดาและแหล่ทำ�ขวญั เรื่องขา้ ว ความเป็นมาของขา้ ว แมโ่ พสพ เชิญขวญั ขา้ วเสร็จแลว้ สวดขยนั โต อวยพรแม่โพสพ กลา่ วคาถาปดิ ประตหู นา้ ต่าง เพื่อให้อยูป่ ระจ�ำ ยุง้ ฉางเป็นอันเสร็จพิธี สว่ นถ้วยและข้าวขวัญเก็บไว้บนกองขา้ วตลอดปีห้ามเคล่ือนยา้ ยตอ้ งใหห้ ลังวนั เสรจ็ พิธแี ล้วไมน่ อ้ ยกวา่ ๓ วัน บางพื้นที่ในภาคใต้ก็นยิ มนัดรวมกันที่วัดเรียกว่าท�ำ ขวัญข้าวใหม่โดยให้มีขา้ วเลยี งกองท่ีวดั ขึ้น เรียกว่า กองข้าวเลยี งโดยชาวบ้านนำ�ข้าวเลยี งท่ีเกบ็ ไดน้ �ำ ขา้ วเลยี งมาบริจาคใหว้ ดั แลว้ ทางวดั ก็จดัรวบรวมแล้วก�ำ หนดวันท�ำ ขวัญขา้ วใหม่ และเมอ่ื ถึงวันท�ำ พธิ ชี าวบ้านจะนำ�ขา้ วเลยี งมาท่ีวดั อีกคนละเลียงแลว้ เขยี นชอื่ กำ�กับไว้ผู้จดั จะรวบรวมขา้ วเลยี งที่ชาวบ้านนำ�มาใหมร่ วมไวด้ ้วยกนั แล้วทำ�พิธีเหมือนพธิ ที �ำ ขวญั ขา้ วทกุ ประการ แล้วแต่ละครัวเรือนจะนำ�ข้าวเลียงของตนกลับบา้ นเก็บไว้บนยุ้งฉางเพอ่ื เปน็ สสิ รมงคลตอ่ ไป ประเพณกี ารทำ�ขวญั ข้าวน้ชี าวนาแทบทกุ ครัวเรอื นเชื่อวา่ทำ�แล้วเปน็ สสิ รมงคล ไม่ประสบกับปญั หาต่างๆ ในเรอื่ งผลผลติ ข้าวมขี า้ วบริโภคตลอดปีเพราะแมโ่ พสพประทานความสมบูรณ์ของขา้ วให้ ๗๓
๘. ประเพณีตกั ข้าว พิธีข้าวน้ันทำ�เมื่อได้นำ�ข้าวเปลือกไปเก็บในยุ้งฉางเรียบร้อยแล้วการที่จะนำ�ออกมาจากยุ้งฉางก็ต้องทำ�พิธีอีกคร้ังเรียกว่า พธิ ตี กั ข้าว ตอ้ งเลอื กวนั ดเี ป็นวันท�ำ พิธี โดยใชก้ ระแชงข้าวเลก็ ๆ เรยี กกระแซงขวญั ตกั ข้าว ตกั ข้าวออกจากฉางในเวลาเดยี วกนั และชาวนายงั มีความเช่อื กันวา่ ไมต่ ักขา้ วตรงกบั วันพระวนั เขา้ พรรษา วันสารท วันศุกร์ หรือวนั ข้ึน หรือแรม ๘ คํา่ ๑๕ คา่ํ เพราะ ถอื วา่ เป็นวันท่ีแมโ่ พสพท�ำ สมาธิสมาทานศลี ถา้ ใครนำ�ข้าวออกจะทำ�ให้ประสบภยั พบิ ัตไิ ด้และเวลาน�ำ ข้าวออกขายกข็ อขมาแม่ โพสพทุกครงั้ และตอ้ งสังเวยดว้ ยข้าวสุกและปลาทผ่ี หู้ ญงิ เปน็ คนปรงุ และขา้ วในยุ้งฉางจะตอ้ งเหลือตดิ ก้นยุ้งฉางไวเ้ สมอ เรยี กว่า ข้าวขวญั เจา้ ที่ เม่ือน�ำ ขา้ วใหมข่ า้ วย้งุ ก็ให้นำ�ขา้ วเกา่ ไวก้ ลาง และต้งั ขา้ วขวัญซงึ่ มีข้าวแรกสกุ ทน่ี �ำ มาจากการทำ�ขวัญข้าว ในนา ๓ รวง มาวางไว้ด้วย และมีการเซน่ ไหวด้ ว้ ยขา้ วสกุ ปลาป้งิ หมทู ้ังตวั เป็นการสงั เวยผีและเทวดา บางครง้ั อาจจะมหี นิ ก้อน เลก็ ๑ กอ้ น จานใสข่ ้าวสุก ๑ ใบ จอกใสน่ ํ้า ๑ ใบ และเหลก็ ๑ อนั ๙. ประเพณลี าซงั - โตะ๊ ชุมพุก (ปยู อมอื แน) นิยมท�ำ กันในเดอื น ๕ หรอื ๖ ของทกุ ปี ตามความเชอื่ ของชาวบา้ น คำ�วา่ ลาซัง หมายความวา่ การอำ�ลาซังขา้ ว ซง่ึ จะท�ำ เม่ือเสร็จฤดูการเก็บเก่ียวข้าวของชาวบ้านและจะเลือกวันท่ีเป็นวันมงคลที่เหมาะกับการจัดพิธีเป็นพิธีกรรมที่ทำ�ขึ้นเพื่อสร้างขวัญ และก�ำ ลังใจใหช้ าวนาสนุกสนานหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการท�ำ นามาทงั้ ปี และเปน็ การเสริมสรา้ งขวญั ก�ำ ลงั ใจที่จะไถหวา่ นในปี ต่อไปเมือ่ เสรจ็ สิ้นจากการเกบ็ เกยี่ วในรอบปี ในกรณีท่รี ว่ มกนั หลายหมูบ่ า้ น ผู้นำ�หมูบ่ ้านจะหารอื ก�ำ หนดวนั ท�ำ พิธี เมื่อใกลถ้ ึงวนั ท�ำ พธิ ีชาวบา้ นก็จะน�ำ เอาฟางจากทีน่ าของตนมาคนละกำ�มือน�ำ มามดั รวมกันเป็นหุน่ (โตะ๊ ชุมพุก) จงึ เป็นที่มาของค�ำ ว่า โตะ๊ ชมุ พุก หนุ่ ผู้ชายคือเจ้าบา่ ว ห่นุ ผหู้ ญงิ คือเจ้าสาว ชายชอ่ื ชุมพกุ หญิงชอ่ื สุนทรี พอถึงวนั ก�ำ หนดนัดหมายทกุ คนในหมูบ่ ้านจะแตง่ กายด้วยชุดทสี่ วยงามเหมือนการแหข่ นั หมากไปแต่งงาน มีผู้ถอื ขันหมาก ชุดกลองยาว คนร�ำ น�ำ ขบวนแหแ่ ละผรู้ ว่ มขบวนต้ังแต่๗๔
เด็กเล็กจนถึงผู้เฒ่าผู้แก่แต่ในขันหมากแทนท่ีจะเป็นพลูก็เป็นรวงข้าวที่จะนำ�ไปทำ�พิธีทำ�ขวัญข้าวเก็บไว้ในยุ้งฉางเมื่อถึงสถานที่นัดหมายก็จะนำ�หุ่นโต๊ะชุมพุกท้ังหมดมาหาคู่ว่าหุ่นผู้ชายหมู่บ้านใดจะได้คู่แต่งงานกับหุ่นเจ้าสาวของหมู่บ้านใดโดยการหยิบฉลากจากประธานจัดงาน เมอ่ื ได้คแู่ ล้วเร่ิมแต่งงานเหมือนพธิ แี ตง่ งานของคนโดยทัว่ ไป โดยจะมพี ระมาสวดอวยพร มีหมอขวญัมาทำ�พิธีแต่งงานกัน หลังจากได้คู่แลว้ ชาวบา้ นในหมู่บ้านเจา้ ของหนุ่ ก็ได้เป็นญาตเิ ก่ียงดองกัน ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความสามคั คีให้เกดิ ขึ้นอกี ทางหนงึ่ หากกระทำ�กนั เฉพาะภายในหม่บู า้ นกเ็ หมือนกนั ต่างกันแคเ่ พียงแต่จะมหี ุน่ ผู้ชาย (เจา้ บา่ ว) และหนุ่ ผหู้ ญงิ(เจ้าสาว) เพยี ง ๑ คเู่ ท่านน้ั เหตุที่นำ�หุ่นฟางมาแต่งงานกันเพราะเชื่อว่าต้นข้าวเม็ดข้าวมีบุญคุณเล้ียงเรามาและเป็นการอำ�ลาต้นข้าวก่อนท่ีตอข้าวจะถูกไถกลบสำ�หรับการหว่านทำ�นาในฤดูกาลเพาะปลูกใหม่และการจัดการแต่งงานของโต๊ะชุมพุกชาวบ้านมีความเช่ือว่าจะทำ�ให้ มลี กู เกดิ มาเป็นเมด็ ข้าวจำ�นวนมากภายในปตี อ่ ไป ปจั จบุ นั ลาซงั โต๊ะชุมพุก ฃยงั มใี หเ้ ห็นท่ตี ำ�บลควน อำ�เภอปะนาแระจงั หวดั ปัตตานี นบั ว่าเปน็ ประเพณีปฏบิ ัตทิ ี่มคี ุณคา่ ทางวัฒนธรรม ได้เหน็ การท�ำ งานรว่ มกันของคนในท้องถน่ิ ที่เปีย่ มไปดว้ ยความสมคั รสมานสามัคคี ทำ�ใหเ้ กดิ การรวมกลุม่ ของชมุ ชนภายในต�ำ บล และที่ส�ำ คญั ที่สุด คอื ความเป็นยอดแห่งความกตัญญูกตเวทีที่มพี ระแม่โพสพ ซ่งึ เปน็ เทพแห่งข้าว ความหมายของค�ำ ว่า โต๊ะชุมพุก ดังนี้ โตะ๊ คอื คำ�พูดพน้ื บ้านท่ีเขาเรียก ผ้เู ฒา่ ผู้แก่ ชมุ คอื การทนี่ ำ�เอาไม้ไผ่ – ซังขา้ ว – เชือก – กระดาษ มาผกู รวมกนั พุก คือ เมอ่ื เสรจ็ พธิ ที กุ อยา่ งแล้วกเ็ อารูปห่นุ ไปโยนท้งิ ทสี่ ดุ กผ็ ุพงั ไป พธิ ีลาซงั จดั ขนึ้ ในบางจงั หวัด แถบชายแดนภาคใต้ เพื่อเซ่นหรอื แกบ้ นสังเวยสิง่ ศักดิ์สิทธ์ทิ ีไ่ ดบ้ นไว้ หรือบางพนื้ ทีอ่ าจจัดขึน้ เดือน ๖ มีการเลยี้ งขนมจีน กินพ้องข้าว หรอื กนิ ทอ้ งข้าว ๗๕
ผลติ ภัณฑ์จากขา้ ว ผลิตภณั ฑแ์ ปรรปู ข้าวทีส่ ำ�คญั ในปจั จุบนั มหี ลายรปู แบบดังนี้ ผลติ ภณั ฑข์ ้าวกง่ึ ส�ำ เรจ็ รูป เชน่ โจก๊ กง่ึ ส�ำ เร็จรูปหรอื อาหาร จานเดยี วประเภทข้าวแช่แขง็ ในรปู แบบตา่ งๆ เช่น ข้าวผดั โดยในปัจจบุ นั ผลิตภณั ฑ์เหลา่ นีไ้ ด้รบั ความนิยมมาก โดยเฉพาะใน ตลาดท่พี ัฒนาแลว้ เช่น ญ่ปี นุ่ สหภาพยุโรป และสหรฐั อเมรกิ า นอกจากนยี้ งั มีการพัฒนาผลิตภัณฑใ์ หม่ คือ ขา้ วกระปอ๋ ง ซง่ึ มีจุด เดน่ ท่ีสามารถเปิดรับประทานไดท้ ันที อกี ทั้งสามารถเกบ็ รกั ษาไดน้ านถึง ๒ ปี นับเป็นนวตั กรรมใหมท่ เ่ี ป็นกรณีตัวอย่างของการ พัฒนาธรุ กิจอุตสาหกรรม ขนาดยอ่ มทปี่ ระสบความส�ำ เร็จและได้รบั การยอมรับจากประเทศตา่ งๆ ตลาดส่งออกขา้ วกระปอ๋ งที่ สำ�คญั ได้แก่ ยโุ รป และ ตะวันออกกลาง ทั้งนี้ขา้ วบรรจกุ ระป๋องยังได้รบั ความสนใจจากองค์การสหประชาชาต ิ ผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวและอาหารเช้าในปัจจุบันการแปรรูปข้าวเป็นขนมขบเคี้ยวกำ�ลังได้รับความนิยมอย่างมากทั้ง ตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในกล่มุ ผบู้ รโิ ภควัยเดก็ และวัยรุ่น อยา่ งไรกต็ ามการแข่งขนั ในอตุ สาหกรรม น้ีค่อนข้างรุนแรงเพราะมีผู้ผลิตมากนอกจากน้ียังมีการแปรรูปข้าวเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเช้าแม้ว่าจะยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก ทัง้ น้ีสว่ นหนึง่ เพราะผู้ผลิตผลิตภัณฑอ์ าหารเช้ามกั เปน็ ธรุ กิจข้ามชาตทิ ีม่ ีความช�ำ นาญในการผลติ จากวัตถดุ บิ อืน่ อาทิ ข้าวโพด ข้าวสาลี มนั ฝรัง่ ผลิตภัณฑ์จากกระบวนการหมักผลติ ภณั ฑท์ ไี่ ด้จาก การหมักข้าวสาร ไดแ้ ก่ ขา้ วหมาก ขนมจนี และผลติ ภัณฑ์๗๖
ประเภทสรุ า ในบรรดาอุตสาหกรรมดังกล่าวมีเพียงขนมจีนทีม่ กี ารผลิตในเชิงอตุ สาหกรรม ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเลก็ ต้งั อยู่ในแหล่งชุมชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศนอกจากน้ีผลิตภัณฑ์จากกระบวนการหมักข้าวสารยังสามารถนำ�ไปใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตเบียร์ แต่ยงั มีขอ้ จำ�กัดทางดา้ น คณุ ภาพ เม่อื เทียบกับการใชข้ ้าวบาร์เลยเ์ ป็นวตั ถดุ ิบ เส้นก๋วยเตี๋ยวและเส้นหม่ีผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนอกจากจะใช้บริโภคภายในประเทศแล้วยังสามารถส่งออกไปขายยังต่างประเทศไดด้ ว้ ยตลาดสง่ ออกส�ำ คญั คือ มาเลเซยี ญีป่ นุ่ ปัจจบุ นั มีการปรับปรงุ รูปแบบผลิตภณั ฑใ์ หอ้ ย่ใู นรูปก่งึ ส�ำ เร็จรปู มากข้ึนทง้ั ในรูปกว๋ ยเตี๋ยว เสน้ หม่ี และก๋วยจ๊บั อกี ท้ังมีการพฒั นาโดยเพ่ิมส่วนประกอบและสารอาหารทมี่ ีคุณคา่ ทางโภชนาการ เช่น เนอ้ืสัตว์ และผกั ขนมหวานและขนมไทย ผลติ ภณั ฑข์ นมหวานทไ่ี ดจ้ ากการแปรรูปข้าว ในปจั จุบันยังมชี ่องทางขายทจี่ ำ�กดั เนื่องจากสว่ นใหญเ่ ป็นการผลิตเพ่ือบรโิ ภคภายในครัวเรือน และขายในท้องถ่ิน เพราะขนมไทยมกั เกบ็ รกั ษาไม่ได้นานอกี ทั้งผ้บู ริโภคหนั ไปบรโิ ภคขนมขบเคย้ี ว ในตลาดทีม่ ีให้เลือกซื้อหลายชนิดและสะดวก นอกจากนก้ี ารผลิตขนมหวานยงั มขี ัน้ ตอนยุ่งยาก ไมม่ สี ตู รการผลติ ทแ่ี นน่ อนและมีมูลค่าเพิ่มนอ้ ย ต้องอาศยั การผลติ ในระดับอตุ สาหกรรมเพ่ือลดต้นทุนตอ่ หนว่ ยลง อยา่ งไรก็ตามในปจั จบุ นั ได้เรม่ิ มกี ารพฒั นาขนมไทยในรปู แบบของผลติ ภณั ฑแ์ ชแ่ ขง็ พร้อมบรโิ ภคบา้ งแลว้ แม้ว่าจะยงั ไมเ่ ปน็ ทแ่ี พร่หลายนกั ผลติ ภณั ฑน์ าํ้ มันรำ�ข้าว รำ�ข้าวสามารถใชเ้ ป็นวตั ถุดบิ ในการผลิตน้ํามันร�ำ ซงึ่ เปน็ นา้ํ มนั ที่มคี ุณภาพค่อนขา้ งดี แต่ปัจจุบันต้องประสบกบั การแขง่ ขนั กับน้าํ มนั พืชท่ใี ช้วัตถุดิบชนิดอนื่ เชน่ นา้ํ มนั ถวั่ เหลอื ง นาํ้ มันปาล์ม และน้ํามนั ข้าวโพด นอกจากนัน้แล้วผลพลอยไดจ้ ากขา้ วเราสามารถน�ำ มาใชเ้ ปน็ ส่วนประกอบอาหาร (Food ingredients) ท�ำ ให้ไดผ้ ลิตภัณฑห์ ลายชนดิ ทเี่ ปน็ประโยชนต์ ่อสุขภาพ เชน่ สารทดแทนไขมันผลิตจากการน�ำ ขา้ วมายอ่ ยดว้ ย เอนไซม์แอลฟา – แอมเิ ลส จนเปน็ มอลโทเดกซท์ รินซึ่งมีค่าสมมูล-เดกซโ์ ทรส (dextrose – equivalent) น้อยกว่า ๓ แลว้ ท�ำ ให้แหง้ บดเป็นผงละเอยี ดมคี วามมันวาว ท�ำ ให้เปน็ เจลท่ีมีเนื้อสัมผสั คลา้ ยไขมัน จงึ ใชเ้ ปน็ สารทดแทนไขมันในผลิตภัณฑไ์ อศกรมี นา้ํ สลดั ขนมอบ และครมี เนยแข็งท่ีใช้ทาบสิ กติ เปน็ ต้น ๗๗
สตาร์ชและโปรตนี การสกัดสตารช์ จากแปง้ ขา้ วโดยยังมีโปรตนี คงอยู่กับสตาร์ชประมาณ ๓% กม็ ีผลใหส้ ตารช์ มคี ณุ สมบัติ ของความคงตัวจากการแช่เยอื กแข็งได้ดโี ดยมคี วามคงตัว ๕ รอบของการ คืนรปู จากเยือกแขง็ และถ้าเปน็ สตารช์ สกัดจากแปง้ ขา้ วเหนยี วจะคงตัวไดด้ ีกวา่ โดยสามารถคนื รปู จากเยอื กแข็งได้ถึง ๑๐ รอบ ท้ังนยี้ ังพบวา่ สตาร์ชทม่ี ีโปรตีนรว่ มด้วยน้ยี ังคงตัวดี ในสภาวะของความเป็นกรดอีกด้วย สตารช์ ขา้ วเจ้าจงึ ใชไ้ ด้ดใี นผลิตภณั ฑ์เคร่อื งด่มื พดุ ดง้ิ และสตารช์ ข้าวเหนียวใช้ในไอศกรีม ขนมหวานแชเ่ ยอื กแข็งและอาหารสำ�เร็จรูป และเนื่องจากเมด็ สตารช์ มขี นาดเล็กมาก (๒ – ๙ ไมครอน) ใกล้เคยี งกับขนาดของ หยดไขมันที่ผา่ นการโฮโมจไิ นซ์ (homogenized fat globules) ท�ำ ใหม้ คี ุณสมบัติของเนื้อสมั ผัสคล้ายไขมัน จงึ ใชเ้ ป็นสว่ น ประกอบอาหารทดแทนไขมันได้ เชน่ ผลติ ภณั ฑข์ นมอบ เม่อื นำ�สตารช์ ข้าวผา่ นกระบวนการท�ำ แห้งแบบพ่นฝอย (spray - dried) จะเกาะรวมตวั กนั เปน็ กอ้ นกลม เนื่องจากมโี ปรตนี รว่ มอยดู่ ้วย มโี ครงสรา้ งเปน็ รูพรนุ ทำ�ให้ใช้เปน็ สารเกบ็ กล่ินรสในส่วนประกอบ อาหาร หรือเกบ็ สารตวั ยารักษาโรคหรือยาฆ่าแมลงโดยสามารถควบคุมอัตราการปลดปลอ่ ยฤทธิ์ยาได้ดี แป้งขา้ ว สตาร์ชข้าว และ สตาร์ชขา้ วดัดแปร ใชเ้ ป็นสว่ นประกอบอาหารทอด เช่น โดนทั และไก่ชุบแป้งทอด จะช่วยลดการอมนํา้ มันของอาหารทอดไดเ้ ปน็ อยา่ งดีถึง ๗๐% ของการอมนํา้ มนั เชน่ โดนทั ท่ที �ำ จากแป้งสาลีล้วนจะมีไขมันถงึ ๒๔ – ๒๖ กรัม ตอ่ ๑๐๐ กรัมสว่ นทีบ่ ริโภคได้ สำ�หรบั แป้งชุบทอดไกท่ ม่ี แี ปง้ ข้าว และแปง้ ข้าวดดั แปรสตาร์ชในส่วนผสมจะลดการอมน้าํ มันจากปกตไิ ด้ถงึ ๖๐% ร�ำ ขา้ วสกัดปราศจากไขมัน นาํ้ มันรำ�และสารสกัด จากนาํ้ มันร�ำ ข้าวในรำ�ข้าวมีนาํ้ มัน (ไขมนั ) อยู่ประมาณ ๒๐% ซง่ึ องคป์ ระกอบ ของกรดไขมนั ที่มีประโยชนต์ ่อร่างกาย ประเภทกรดไขมันไม่อ่มิ ตัว และกรดไขมันทีจ่ ำ�เป็นอย่มู าก เช่น กรดโอลอิ กิ ๔๒.๕% ลโิ น เลอิก ๓๙.๑% และปาลม์ ติ ิก ๑๕% สว่ นกรดไขมนั ทีม่ นี ้อย เช่น กรดสเทียริก ๑.๙% ลโิ นเลนกิ ๑.๑% ไมรสี ตกิ ๐.๒% และบเี ฮ นิก ๐.๒๐% ๗๘
ออริซานอล คอื สารประกอบเอสเทอรข์ องกรดเฟอรวิ ลกิ มใี นน้ํามนั รำ�ข้าวประมาณ ๑.๕% มปี ระโยชน์ในการลดระดับคอเลสเทอรอล รวมทง้ั ทอโคไทรอีนอลและทอโคเฟอรอล ซึง่ มคี ุณสมบตั เิ ป็นสารยบั ย้งั การเกดิ ออกซิไดส์ มีผลตอ่ การลดระดับคอเลสเทอรอลในเลือด ก่อนนำ�ร�ำ ข้าวมาใชเ้ ป็นส่วนประกอบอาหาร ตอ้ งผ่านกระบวนการยับยัง้ ปฏกิ ิริยาเอนไซม์ลเิ พสหรอื สกดัไขมนั ออกจากร�ำ ขา้ ว เพื่อเปน็ แหลง่ โปรตีนเส้นใยอาหารและกลุ่มวิตามินบี (โดยธรรมชาติ) ได้เป็นร�ำ สกดั ปราศจากไขมนั ท่มี ีประโยชนใ์ นการน�ำ ไปใชเ้ ป็นสว่ นประกอบอาหาร เพือ่ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในล�ำ ไสใ้ หญ่ สว่ นออริซานอล (ory-zanols) ในนํา้ มนั รำ�มคี ณุ สมบัตเิ ป็นสารยังยัง้ การออกซิไดส์ (antioxidant) และสารอืน่ ๆ ในนา้ํ มันร�ำ ทมี่ ีประโยชนต์ ่อสขุ ภาพในดา้ นต่างๆ เช่น ปอ้ งกนั การอดุ ตันของเส้นเลอื ดช่วยลดการดูดซึม วิตามินที่ละลายในไขมันและแรบ่ างชนิด ส�ำ หรบั ปจั จัยทีส่ �ำ คญั ในการเลือกใชข้ ้าวในส่วนผสมของอาหาร คือ ๑. ลักษณะเน้อื สัมผสั ของอาหาร ๒. ความนยิ มของผู้บรโิ ภค ๓. ราคา ๔. มโี ซเดียมนอ้ ย ๕. มีไขมันต่ํา ๖. ไมม่ ีคอเลสเทอรอล ๗. เก็บรักษาไดน้ าน ๘. ไมม่ สี ารท่ที �ำ ใหเ้ กดิ อาการแพ้ ๙. สามารถใช้ประโยชน์คล้ายสารอีมลั ซไิ ฟเออร์ ๑๐. ชว่ ยปรับปรุงเนือ้ สมั ผัสอาหารใหด้ ขี ้ึน ๗๙
ซง่ึ หน่วยงาน USA Rice Foundation ได้ท�ำ การส�ำ รวจความคดิ เห็นของบรษิ ทั ตา่ งๆ ที่เก่ียวขอ้ งกับอุตสาหกรรมอาหาร ถึงการใช้ประโยชน์จากขา้ ว ปรากฏว่า 96% ใหค้ วามเห็นวา่ ขา้ วเหมาะสมในการท�ำ ผลติ ภัณฑอ์ าหารทใ่ี หค้ ุณคา่ ทางโภชนาการ 54% เห็นว่าเหมาะสมในการพฒั นาผลติ ภณั ฑ์อาหารชนดิ ใหมเ่ พ่อื ให้มีพลังงานต่ําและเสริมสร้างสขุ ภาพไดด้ ี 95% คิดวา่ ขา้ วจะ ปรบั ปรุงผลิตภณั ฑ์อาหารชนิดเดิมที่มอี ยแู่ ล้วให้ดีข้นึ โดยเน้นเรื่องพลังงานตํ่าและเสริมสร้างสขุ ภาพมากขึน้ เพือ่ ให้เกิดประโยชน์ ต่อผู้บริโภคด้านโภชนาการมากกว่าเดิมได้เป็นอย่างดีนับตั้งแต่อดีตสู่ปัจจุบันพัฒนาของข้าวไทยเพ่ือให้สามารถตอบโจทย์ ความต้องการของชีวติ ยงั คงเกดิ ขึ้นอย่างสม่ําเสมอ จากภมู ิปญั ญาพื้นบา้ นทส่ี ่ังสมมาเป็นเวลาอันยาวนานกา้ วลํ้าไปสกู่ ารนำ�เอา เทคโนโลยีนวัตกรรมมาใชพ้ ฒั นาในกระบวนการผลิตแบบครบวงจร โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในมติ ขิ องการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพ่อื ให้ผู้ บรโิ ภคยคุ ใหม่ ส่งผลใหข้ า้ วไทยในวันนไี้ ม่ได้ถูกจ�ำ กดั อยแู่ คเ่ พยี งเมนูจานหลกั บนโตะ๊ อาหารอกี ต่อไป เป็นที่ทราบกนั ดีว่าขา้ วจา้ ว และขา้ วเหนยี วของไทยสามารถนำ�ไปแปรรูปเป็นแป้ง (Rice Flour) ที่นำ�ไปรังสรรคเ์ ป็นเมนูคาวหวานต่างๆ อนั เปน็ ทนี่ ิยม ท้ังยังนำ�ไปท�ำ เป็นผลติ ภัณฑใ์ นรูปแบบของอาหารเส้นและขนมขบเคีย้ วต่างๆ ตลอดจนมีการพฒั นาไปอกี ขัน้ เป็นแป้งจากข้าวจ้าว เพ่ือใชท้ ดแทนแปง้ สาลี ส�ำ หรับเบเกอร่แี ละเมนอู าหารนานาชนิด๘๐
ของว่างและขนมขบเคี้ยว ผลติ ภัณฑป์ ระเภทพร้อมรับประทาน (Ready to eat) ชนิดต่างๆ ในกระบวนการผลติ อาจเตรียมเปน็ ลกั ษณะของวตั ถุดิบ สุก แหง้ เป็นแผ่นเล็กๆ (flake) หรอื เป็นกอ้ นโต (dough) แลว้ จึงท�ำ ให้พองหรอื ควั่ ผลิตภณั ฑ์เหลา่ น้อี าจมกี ารนำ�ธญั พืชอน่ื มาผสม และมีการเติมสารปรุงรส วติ ามนิ แรธ่ าตแุ ละโปรตนี เพือ่ เสรมิ โภชนาการ ๘๑
เสน้ ก๋วยเต๋ียว ไดแ้ ก่ เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เสน้ หม่ี ก๋วยจั้บ ขนมจนี และแผ่นแปง้ ซ่งึ มีลกั ษณะแตกต่างกนั ไปนยิ มนำ�ไปประกอบอาหาร ประเภทตม้ หรอื ผัด๘๒
แป้งเบเกอร่ีจากขา้ วไรซเ์ บอร์ร่ี นวตั กรรมใหม่ของแปง้ เบเกอรี่ ซึ่งใช้แปง้ จากขา้ วทดแทนข้าวสาลเี ปน็ ทางเลอื กใหมส่ �ำ หรบั ผูแ้ พส้ ารกลเู ตนในข้าวสาลีโดยใชข้ ้าวไรซเ์ บอร์รเี่ ป็นวัตถุดิบหลกั ท�ำ ใหไ้ ด้เนอื้ แปง้ สมี ว่ งโดดเด่นเปน็ เอกลักษณแ์ ละมคี ณุ ค่าทางโภชนาการสูง โดยมกี ารเติมแป้งขา้ วโพดเปน็ ส่วนประกอบเพอื่ ปรับเนอื้ สัมผสั ไมใ่ ห้แขง็ กระด้าง ๘๓
นํา้ มันรำ�ข้าว ร�ำ ขา้ ว คอื ส่วนของเยอ่ื หุม้ เมล็ดขา้ วและจมกู ข้าว ซึง่ ถอื ว่าเป็นสว่ นทม่ี สี ารอาหารมากทสี่ ดุ ในเมล็ด แต่ส่วนนี้จะถกู ขดั ออกในกระบวนการขัดสขี ้าวกลอ้ งเปน็ ขา้ วขัดขาว ดงั น้ันจึงมนี วตั กรรมในการนำ�รำ�ข้าวดบิ มาสกัดเปน็ น้ํามนั ร�ำ ขา้ ว ซึง่ มที ัง้ แบบ ขวดและแบบแคปซูล จุดเด่นของน้ํามนั ร�ำ ข้าวท่เี หนือกวา่ นํ้ามันพืชชนดิ อืน่ คอื อุดมไปด้วยวติ ามินอแี ละแกมมาออไรซานอล ซงึ่ เป็นสารธรรมชาติทมี่ ฤี ทธต์ิ า้ นอนุมลู อิสระ และชว่ ยลดคอเลสเตอรอล๘๔
เนยขาวและครีมเทียมปราศจากไขมนั ทรานส์ ไขมันทรานส์คือไขมันทข่ี ้ึนช่ือว่าอันตรายทส่ี ุด ซ่ึงเปน็ สาเหตุสำ�คัญของโรคหวั ใจ โรคเบาหวาน และมะเรง็ ซ่งึ ปจั จบุ นั ถกูใช้ในผลติ ภณั ฑ์ เช่น เนยขาว (ส่วนประกอบหลักของเบเกอร่ีหลายชนิด) และครมี เทียม ดงั น้นั เนยขาวและครีมเทยี มที่ปราศจากไขมันทรานส์ที่ได้จากนํ้ามันรำ�ข้าวจึงเป็นคำ�ตอบนอกจากจะไม่มีส่วนประกอบของไขมันทรานส์แล้วยังมีสารอาหารท่ีมีคุณประโยชน์อยา่ งวิตามินซี หรือแกมมาโอไรซานอล รวมถึงกรดไขมนั อ่มิ ตวั ๘๕
กะทจิ ากธัญพืช จากนาํ้ มนั ร�ำ ขา้ วซงึ่ น�ำ มาผสมกบั น้ํามนั เมลด็ ดอกทานตะวนั และโปรตนี จากถัว่ เหลอื ง ได้มาเป็นผลติ ภณั ฑช์ นดิ ใหม่ทใ่ี ช้ แทนกะทิจากมะพรา้ ว โดยยังคงรสชาติและเน้ือสัมผัสทใ่ี กลเ้ คียงกะทิแบบด้งั เดมิ เอาไว้ เพื่อเป็น “กะททิ างเลอื ก” สำ�หรบั ผู้ปว่ ย โรคหวั ใจหรือคอเลสเตอรอลสูง ท่ีไมส่ ามารถบรโิ ภคกะทิท่ัวไปได้ ข้อดีของกะทธิ ญั พืชนี้ คือ ไมม่ ีคอเลสเตอรอลและมีไขมนั อ่ิมตัว นอ้ ยกวา่ กะทิจากมะพร้าวถงึ 3 เทา่ อีกท้งั มีสารต้านอนุมลู อิสระท่ไี ดจ้ ากรำ�ข้าว๘๖
เม็ดสครับจากปลายข้าวหัก เม็ดสครับส�ำ หรบั ขัดผวิ หนา้ โดยท�ำ จากข้าว 2 ชนิด คือ ข้าวหอมมะลแิ ละขา้ วไรซเ์ บอรร์ ที ่ปี ลกู ดว้ ยวธิ ธี รรมชาติจึงมั่นใจได้ว่าครีมสครับทไ่ี ดป้ ลอดภยั จากสารเคมี ๘๗
ครมี เคลือบเงาอเนกประสงค์ ในกระบวนการคอื ‘กากนํ้ามนั ร�ำ ข้าว’ซึ่งนวัตกรรมลา่ สดุ สามารถนำ�มาแปรรปู ให้เปน็ ครีมเคลือบเงาอเนกประสงคไ์ ด้ ซึ่งช่วยทดแทนการใช้ไขสังเคราะห์ท่ีเป็นผลผลิตจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีทำ�ให้ได้ครีมเคลือบเงาท่ีปราศจากกล่ินเหม็น ปราศจากสารเคมี อกี ทง้ั ยังมสี ารแกมมาออไรซานอลจากน้ํามันร�ำ ขา้ ว ซึ่งชว่ ยลดการเส่ือมสภาพของอุปกรณภ์ ายในรถยนต์ เช่น เบาะหนงั ชิน้ สว่ นบรเิ วณหน้าปัดรถ และยังสามารถป้องกันรังสียวู ไี ด้ดว้ ย๘๘
ชุดเครอื่ งใชบ้ นโตะ๊ อาหาร (ผลิตภณั ฑจ์ ากแกลบ) ผลติ ภัณฑจ์ ากวัสดธุ รรมชาติอย่าง “แกลบ” ในชดุ จาน ชาม ชอ้ นและของใชบ้ นโตะ๊ อาหารตอบโจทย์ กลมุ่ คนท่ีใสใ่ จส่ิงแวดล้อมและรกั สุขภาพ วนั น.ี้ ..ข้าวไทยได้ผสานเข้ากับนวตั กรรมขัน้ สูงและงานวจิ ัยพฒั นา จนนำ�มาซึ่งผลิตภณั ฑ์ต่างๆที่มขี ้าวไทยมาเปน็ ส่วนประกอบส�ำ คญั ซ่ึงอย่ใู นรปู ของแป้งบริสทุ ธ์ิ (Starch) แป้งดดั แปลง (Modified starch) และสารสกดั จากข้าวที่มากดว้ ยคุณคา่ และคุณประโยชน์ท่ีใชเ้ ปน็ วตั ถุดบิ ในอุตสาหกรรมเกีย่ วเนื่องไดไ้ ม่ร้จู บ ไมว่ ่าจะเป็นผลติ ภณั ฑอ์ าหารเพ่ือสขุ ภาพเครอื่ งอุปโภคบรโิ ภค เคร่ืองสำ�อางค์ เวชภณั ฑ์และวสั ดทุ างการแพทย์หรือแม้แต่วสั ดกุ ่อสรา้ ง ฯลฯ จนอาจกล่าวได้ว่า “ขา้ ว...อยู่รอบตวั เรา” ๘๙
แปง้ ฝุน่ จากข้าว แป้งฝ่นุ ทั่วไปมีส่วนผสมของสารทลั คัมซงึ่ เป็นแรห่ นิ และเปน็ สารกอ่ มะเรง็ สามารถสะสมในปอดจนเกดิ อันตรายแป้ง ฝุ่นจากขา้ วจ้าวนำ�มาผา่ นกระบวนการดดั แปรทางเคมแี ละฟสิ ิกส์ จนกระทั่งไดเ้ ปน็ ‘แป้งไฮโดรโฟบิก’ทีม่ ีคณุ สมบัติดูดความชื้น และความมนั ไดด้ ี โดยสามารถดดู ซบั ความมันได้สูงกวา่ แปง้ ท่วั ไปถึง ๓ เทา่ จึงเป็นผลติ ภัณฑ์ทางเลอื กทีป่ ลอดภยั และยังเป็น ผลติ ภัณฑท์ ่ีเปน็ มิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผใู้ ช้ เนอ่ื งจากยอ่ ยสลายไดต้ ามธรรมชาติไมม่ ีส่วนผสมของสารทัลคัมไม่สะสมในปอด หรอื ใตร้ ่มผา้ ไมก่ อ่ ให้เกิดอาการแพ้ ไมร่ ะคายเคอื งตอ่ ผิวบอบบางของทารก๙๐
๙๑
บรรณานุกรม กรมการวชิ าการเกษตร. (๒๕๔๕). ขา้ วกับคนไทย. กรงุ เทพฯ : สถาบันวิจัยข้าว กรมการวชิ าการเกษตร. (๒๕๔๕). ววิ ัฒนาการการผลิตข้าวไทย. กรุงเทพฯ : สถาบนั วิจยั ขา้ ว งาม สัตยส์ งวน. (๒๕๔๕). วฒั นธรรมขา้ วในสงั คมไทย การคงอยู่และการเปลย่ี นแปลง. กรุงเทพฯ : เทก็ ซ์ แอนด์ เจอรน์ ลั พับลเิ คช่นั กรมการข้าวกระทรวงเกษตรและสหกรณ.์ (๒๕๕๗). ๖๐ พนั ธ์ขุ า้ วพืน้ เมืองรอ้ ยเรยี งน้อมถวายพระพรชยั มงคล. (มปพ) บรบิ ูรณ์ สมฤทธิ์ . (๒๕๔๐) . ความรเู้ บอื้ งตน้ เก่ียวกับการจัดการการผลติ ข้าว .กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยสุโขทัย ธรรมธิราช บ้านจอมยุทธ. “การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน”. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงได้ จาก: http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-1/rice/๐2.html [สืบค้นเมอ่ื ๖ พฤศจิกาย๒๕๕๙]. สมาคมผ้สู ่งออกขา้ ว. “ประโยชน์ของสื่อเสมอื นจริง”. [ออนไลน์].เข้าถึงไดจ้ าก http://www.riceexporters. or.th. [สบื ค้นเม่อื ๒ ธนั วาคม ๒๕๕๙] ส�ำ นกั งานพัฒนาการวจิ ยั การเกษตร. “พันธข์ุ ้าว”. [ออนไลน์].เขา้ ถึงได้จาก http://www.arda.or.th/kasetinfo/ rice/rice-cultivate_species.html . [สืบคน้ เมอ่ื ๒๐ พฤษจิกายน ๒๕๕๙] สำ�นกั วิจัยและพัฒนาข้าว. “เมลด็ พันธ์ุ และการผลติ เมลค็ พนั ธ์ข้าว”. [ออนไลน]์ .เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.brrd. in.th/rkb2/seed/index.php.htm. [สบื คน้ เมอื่ ๘ ธนั วาคม ๒๕๕๙]๙๒
ส�ำ นักงานเศรษฐกจิ การเกษตร. (๒๕๔๒). ข้อมูลดา้ นการผลิตและการตลาดสนิ คา้ เกษตรท่ี สำ�นกั งานเศรษฐกิจ การเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. (มปพ) สรุ ชยั มจั ฉาชีพ. (๒๕๓๕). พชื เศรษฐกจิ ในประเทศไทย. กรงุ เทพฯ : แพรพ่ ิทยา เอ่ียม ทองด.ี (๒๕๓๘). ขา้ ววฒั นธรรมและการเปล่ียนแปลง. กรุงเทพฯ : มตชิ น ๙๓
คณะผจู้ ดั ทำ� ทีป่ รึกษา คณะกรรมการ โครงการอนรุ กั ษพ์ ันธ์พุ ชื อันเนื่องมาพระราชด�ำ ริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี (อพ.สธ.) ศูนย์วจิ ัยข้าวปทุมธานี กรมการขา้ ว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธัญบรุ ี ผจู้ ัดทำ� ดร. ทศพร แสงสวา่ ง รองคณบดฝี ่ายพฒั นานกั ศกึ ษา ภาควิชาเทคโนโลยแี ละสอื่ สารการศึกษา คณะครศุ าสตรอ์ ุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี นางสาวกนกวรรณ บุญเพง็ นางสาวชลากร จยุ้ เตย นกั ศกึ ษาสาขาเทคโนโลยแี ละสอ่ื สารการศึกษา นางสาวศศิธร โพธ์ิรกั ษา ภาควิชาเทคโนโลยแี ละสอ่ื สารการศกึ ษา นางสาวดารารัตน์ คำ�มี คณะครุศาสตรอ์ ุตสาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี นายอภริ กั ษ์ ทองใบ ขอขอบคณุ ทนุ สนบั สนนุ โครงการอนรุ ักษ์พนั ธ์ุพชื อนั เน่อื งมาพระราชดำ�ริ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.)๙๔
Search