Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการสอน ชุดวิชาการพัฒนาความเป้นครูวิชาชีพ

เอกสารประกอบการสอน ชุดวิชาการพัฒนาความเป้นครูวิชาชีพ

Published by nattaponpechtong, 2021-08-05 06:07:40

Description: เอกสารประกอบการสอน ชุดวิชาการพัฒนาความเป้นครูวิชาชีพ

Search

Read the Text Version

ฝึกทกั ษะการคิดอยา่ งเป็นระบบและฝึกการประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ที่เรียนมาในการแกป้ ัญหา 5) เมื่อครูประเมินสถานการณ์การเรียนรู้ของผูเ้ รียนไดแ้ ลว้ หากพบว่ามีบาง ประเด็นท่ีผูเ้ รียนเขา้ ใจผิดหรือไม่ชัดเจน ครูก็จะสามารถช่วยเหลือไดเ้ ดี๋ยวน้นั ทนั ที ในกรณีน้ีก็ เท่ากบั เป็นการประเมนิ เพอ่ื ใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั แก่ผเู้ รียน (Formative evaluation) ไปในตวั 2.4 ทักษะการคดิ สร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ หรือ Creative Thinking เป็ นหน่ึงในทกั ษะสาํ คญั ของครูที่ ไดร้ ับการกาํ หนดให้เป็ นทกั ษะที่จาํ เป็ นจะตอ้ งนาํ ไปใช้ในกระบวนการพฒั นาผูเ้ รียนในช่วง ศตวรรษท่ี 21 อกี ท้งั ความคิดสร้างสรรคย์ งั ไดถ้ ูกกาํ หนดใหเ้ ป็ น 1ใน 5 ทกั ษะสาํ คญั ท่ีลูกจา้ งหรือ พนักงานในสถานประกอบการต่าง ๆ จาํ เป็ นจะตอ้ งใชใ้ นการทาํ งาน และความคิดสร้างสรรค์ก็ ไดร้ ับการพิจารณาว่าเป็ นทกั ษะท่ีทา้ ทายในช่วงเวลาท่ีตอ้ งเผชิญกบั ปัญหาในการประกอบอาชีพ ทุก ๆ สาขา โดยเฉพาะในสถานศกึ ษาที่เป็นองคก์ รท่ีใชค้ วามรู้เป็นฐาน ผนู้ าํ ตอ้ งมีหนา้ ที่สาํ คญั ในการส่งเสริมคุณภาพของการคิด (Quality of thinking) ของทุกคนที่รวมกนั เป็ นชุมชนของ โรงเรียน ลดเลิกการบริหารแบบควบคุมส่งั การใหน้ ้อยลง แต่หันมาสร้างโอกาสแห่งการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความสามารถของครู และบุคลากรให้คนเหล่าน้ีกลายเป็ นผูน้ ําท่ี สามารถคาดการณ์ล่วงหนา้ และนาํ การเปล่ียนแปลงท่ีจะเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งมีผลงานที่สร้างสรรค์ เครือข่ายครูนอ้ ย (2557)ไดก้ ล่าวถึงการพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ ผนู้ าํ ทางวิชาการ ควรฝึกฝนไดด้ งั น้ี 1) การระดมสมอง (Brainstorming) เป็ นเทคนิคเพื่อรวบรวมทางเลือกและการ แกป้ ัญหา โดยใหโ้ อกาสในการคิดอยา่ งอิสระท่ีสุดและไม่มกี ารวพิ ากษว์ ิจารณ์ใดๆระหว่างการคิด เพราะการวิพากษว์ จิ ารณ์จะเป็นการขดั ขวางความคิดสร้างสรรค์ 2) การปลกู ฝังความกลา้ ที่จะทาํ ส่ิงสร้างสรรค์ เป็นเทคนิคท่ีใชก้ ารต้งั คาํ ถามง่าย ๆ เพ่อื ใหใ้ หค้ ิดโดยจดั ใหอ้ ยใู่ นสภาพแวดลอ้ มที่เป็นที่ยอมรับของผูอ้ ื่น เม่ือฝึ กฝนมากเขา้ ก็จะช่วยใน การพฒั นาความคิดสร้างสรรคใ์ หม้ มี ากข้ึน 3) การสร้างความคิดใหม่ เป็ นอีกเทคนิคหน่ึงโดยใชก้ ารแจกแจงวิธีการในการ แกป้ ัญหาใดปัญหาหน่ึงมาใหไ้ ด้ 10 วธิ ีการ จากน้ันก็แบ่ง 10 วิธีการที่ไดอ้ อกเป็ นวิธีการย่อย ๆ ลง ไปอีก เพ่ือใหไ้ ดท้ างเลือกหรือคาํ ตอบที่ดีท่ีสุด 4) การตรวจสอบความคิด เป็นเทคนิคที่ใชก้ ารคน้ หาความคิดหรือแนวทางที่ใชใ้ น การแกป้ ัญหาต่าง ๆ โดยการตรวจสอบความคิดของผทู้ ่ีเคยทาํ ไวแ้ ลว้ การพฒั นาความเปน็ ครูวิชาชหพี นา้ || 229895

2.5 ทกั ษะการประเมนิ ตนเอง การประเมนิ ตนเองไดเ้ ขา้ มามีบทบาทต่อการพฒั นาตนเองและองค์กรทุกภาคส่วน การประเมนิ ตนเองน้นั นอกจากจะช่วยใหบ้ ุคคลรับทราบขอ้ ดีและขอ้ บกพร่องของตนเองแลว้ ยงั จะ นาํ ไปสู่การพฒั นาตนเองอยา่ งถกู ตอ้ งตรงประเด็นกบั สภาพปัญหาท่ีเกิดข้ึน ทาํ ให้ผลการปฏิบตั ิงาน เป็นไปตามเป้าหมายท่ีวางไว้ และยงั นาํ ไปสู่การพฒั นาขององคก์ รอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ การประเมนิ ตนเองไดม้ สี ่วนเก่ียวขอ้ งกนั กบั การพฒั นาคุณภาพและการประกนั คุณภาพมากข้ึน โดยมกั นาํ ไปใช้ ในรูปแบบหลอมรวมการประเมินตนเองเขา้ กบั แผนการปฏิบตั ิงานขององค์กรน้ัน ๆ และยึดถือ ปฏบิ ตั ิอยา่ งต่อเน่ือง อวยพร เรืองตระกูล และสุนทรพจน์ ดาํ รงค์พานิช( 2557)ไดศ้ ึกษาเอกสารและ ผลการวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั การประเมินตนเอง สามารถสรุปประโยชน์ของการประเมินตนเองได้ 7 ประการ ดงั น้ี 1) ช่วยให้ผูป้ ระเมินตนเองเกิดความพยายามในการทาํ งาน เกิดการสะทอ้ น ความคิดของตนเองสู่ตนเอง เกิดการยกยอ่ งนบั ถือตนเอง และมคี วามเชื่อมนั่ ในตนเอง 2) ทาํ ใหผ้ ปู้ ระเมินตนเองทราบขอ้ เด่น ขอ้ บกพร่อง ความชอบ และขอบเขตการ พฒั นาตนเองในแต่ละบุคคล การประเมินตนเองเป็ นวิธีที่ดีสุดสาํ หรับการให้ผูป้ ระเมินตนเอง รับทราบถงึ ความกา้ วหนา้ ของตน เกิดความภาคภูมิใจในตนเองและรู้ว่าจะสามารถดาํ เนินการเพ่ือ พฒั นางานอยา่ งไรในอนาคต 3) ทาํ ใหผ้ ปู้ ระเมินตนเองเกิดแรงจูงใจในการเพิม่ ขีดความสามารถการพฒั นาของ บุคคล เนื่องจากขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากการประเมินตนเองเป็ นขอ้ มูลที่มีความหมายสาํ หรับบุคคลน้นั เม่ือ บุคคลรับทราบถงึ ขอ้ เด่น ขอ้ บกพร่องในการทาํ งาน และไดห้ าวิธีการพฒั นางานตนเอง ทาํ ใหเ้ กิด การพฒั นางานที่เป็ นสิ่งท่ีท้าทายความสามารถ และเกิดการขยายขอบเขตความสามารถของผู้ ประเมนิ ตามไปดว้ ย 4) การประเมินตนเองทาํ ใหบ้ ุคคลเกิดความพึงพอใจต่องานท่ีทาํ ผลจากการวิจยั หลายเรื่ องพบว่า การประเมินตนเองช่วยให้ผูป้ ระเมินเกิดความเคารพนับถือตนเอง รับรู้ถึง ความสามารถของตนเอง ปฏบิ ตั ิงานม่งุ สู่ความสาํ เร็จ และลดภาวะความเครียดในการทาํ งาน ซ่ึงช่วย ใหเ้ กิดผลโดยตรงต่อความพึงพอใจในการทาํ งานและการใชช้ ีวติ ในท่ีสุด 5) การประเมินตนเองช่วยใหผ้ ปู้ ระเมินเกิดการพฒั นาตนเองอยตู่ ลอดเวลา เกิด ทกั ษะและนิสัยในการคน้ หาขอ้ บกพร่องของการทาํ งานท่ีรับผดิ ชอบอยู่ พยายามหาวิธีการแกไ้ ข อยา่ งต่อเนื่อง นาํ ไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวติ 6) การประเมินตนเองช่วยพฒั นามาตรฐานวชิ าชีพท่ีมคี ุณภาพ การประเมินตนเอง 2ห8น6า้ || 3ก0า0รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

มผี ลโดยตรงต่อคุณภาพการทาํ กิจกรรมของบุคคล ลดความผดิ พลาดและปัญหาในการทาํ งาน ช่วย ใหง้ านมคี ุณภาพ จึงเป็นกลไกสาํ คญั ที่หลายองคก์ รนาํ ไปใชป้ ระกนั คุณภาพการทาํ งานของบุคลากร ในองคก์ ร รวมท้งั องคก์ รผลติ บุคลากรวิชาชีพต่าง ๆ พยายามปลูกฝังการประเมินตนเองให้เป็ นคุณ ลกั ษณ์สาํ คญั เบ้ืองตน้ นอกจากน้ี ยงั ถือเป็นความรับผดิ ชอบที่ตรวจสอบได้ ในการพิจารณาผลการ ดาํ เนินงานท่ีมีความเป็นรูปธรรมสูงและตรงไปตรงมาอกี ดว้ ย 7) การประเมินตนเองช่วยสร้างความใกลช้ ิด ร่วมแรงร่วมใจภายในกลุ่มหรือ ภายในองค์กร การประเมินตนเองช่วยทาํ ให้ปัญหาดา้ นการปฏิสัมพนั ธ์และปัญหาการทาํ งานที่ เก่ียวขอ้ งกบั ผอู้ ่นื คล่ีคลาย เช่น การประเมินตนเองในบริบททางการศึกษาระหว่างครูและนกั เรียน กระบวนการน้ีจะช่วยใหค้ รูและนักเรียนเป็ นหุ้นส่วนหรือผูร้ ่วมมือกนั (partner) ในการพฒั นา กระบวนการเรียนรู้และต่างฝ่ ายต่างให้โอกาสในการพฒั นางานตามเป้าหมายของครูและนักเรียน อยา่ งราบรื่น ผบู้ ริหารสถานศึกษาจาํ เป็นตอ้ งมีความเป็นผนู้ าํ ทางวิชาการซ่ึงเป็นคุณสมบตั ิสาํ คญั ในการบริหารงานสถานศึกษา เน่ืองจากสถานศึกษาเป็ นองค์การที่มีลกั ษณะแตกต่างจากองค์การ โดยทว่ั ไป เพราะองคก์ ารโดยทวั่ ไปน้นั จะมีจุดมงุ่ หมายและพนั ธกิจที่ไม่ซบั ซอ้ นเท่ากบั องคก์ ารทาง การศึกษา เน่ืองจากองคก์ ารทางการศึกษาน้ันนอกจากจะมีจุดมุ่งหมายและพนั ธกิจเหมือนองค์กร ทว่ั ไปแลว้ องค์การทางการศึกษาหรือสถานศึกษาน้ันยงั มีเป้าหมายในการจัดการศึกษาอีก ซ่ึง ผบู้ ริหารสถานศกึ ษาจะตอ้ งคาํ นึงถงึ จุดมุ่งหมายท้งั 2ประการน้ี เพ่ือนาํ ใหอ้ งคก์ ารบรรลุท้งั เป้าหมาย ของการบริหารองค์การ และบรรลุเป้าหมายของการจัดการศึกษา คือ การบรรลุถึงคุณภาพของ ผเู้ รียนอนั เป็ นเป้าหมายสูงสุดของการจดั การศึกษา ดงั น้นั ผูบ้ ริหารสถานศึกษาจึงควรวิเคราะห์ ความเป็ นผนู้ าํ ทางวิชาการของตนเองว่ามีอยู่อย่างไรบา้ ง มีจุดดี จุดดอ้ ยอย่างไร และควรพฒั นา อยา่ งไร 2.6 ทกั ษะการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร สถานศึกษาซ่ึงมีอาํ นาจหน้าท่ีและมีวตั ถุประสงค์ในการจดั การศึกษา เพื่อความ เจริญงอกงามของผเู้ รียน ตอ้ งใชเ้ ทคโนโลยเี พื่อการศึกษาในการบริหารงานวิชาการ ไดแ้ ก่ การใช้ เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ เพ่ือการประมวลขอ้ มูลอนั เป็ นสาระทางวิชาการใหเ้ ป็ นสารสนเทศ เพื่อ จดั เกบ็ อยา่ งเป็นระบบ ปราวีณยา สุวรรณณัฐโชติ (2549) ไดใ้ หค้ วามเห็นไวว้ ่า การบริหารและการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารในสถานศึกษา สถานศึกษาควรดาํ เนินการดงั น้ี คือ มีการ วางแผนอย่างรอบคอบ โดยไดร้ ับความร่วมมือจากภายในสถานศึกษาและภายนอกสถานศึกษา โดยเฉพาะจากชุมชนที่สถานศกึ ษาต้งั อยู่ ใหม้ กี ารฝึกอบรมครูผูส้ อนอย่างต่อเน่ือง มีการสนับสนุน การพัฒนาความเป็นครวู ชิ าชหพี นา้||230817

ทางดา้ นเทคนิคแก่ครู จดั หางบประมาณสนบั สนุนในระยะยาวท่ีครอบคลุมความตอ้ งการจาํ เป็ น มี การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารบูรณาการร่วมไปกบั หลกั สูตรและการสอน และมีการ ประเมนิ ผลการดาํ เนินงานและผลลพั ธอ์ ยา่ งต่อเน่ือง การใชเ้ ทคโนโลยขี องผบู้ ริหารการศกึ ษาระดบั ตา่ ง ๆ เพอ่ื ใชใ้ นงานการศกึ ษาที่ตอ้ ง รับผดิ ชอบสาํ เร็จลลุ ว่ งดว้ ยดี เทคโนโลยจี ึงมีประโยชน์ต่อผูบ้ ริหารดงั น้ี (ครรชิต มาลยั วงศ,์ 2557) 1) ช่วยในการจดั เก็บขอ้ มูลเก่ียวกบั การศึกษาเอาไวเ้ ป็ นหมวดหมู่ในฐานขอ้ มูล ของหน่วยงาน โดยเฉพาะขอ้ มูลบางอย่างอาจจดั เก็บเขา้ สู่ระบบคอมพิวเตอร์ไดโ้ ดยอตั โนมตั ิ เม่ือ จดั เก็บไวใ้ นฐานขอ้ มลู แลว้ กส็ ามารถคน้ คืนขอ้ มูลต่าง ๆ มาใชไ้ ดอ้ ยา่ งรวดเร็วและครบถว้ น 2) ช่วยในการประมวลผลขอ้ มูลท่ีจดั เก็บไวเ้ พ่ือใหเ้ ป็ นสารสนเทศรูปแบบต่าง ๆ เช่น จดั ทาํ เป็ นรายงาน ตาราง กราฟ และแผนภาพต่าง ๆ ไดแ้ บบอตั โนมตั ิ ทาํ ใหผ้ ูบ้ ริหารไดร้ ับ ทราบรายงานและเขา้ ใจสถานการณ์ท่ีเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว 3) ช่วยในการประเมินหรืองานประกนั คุณภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าการปฏิบตั ิงานจะ ไดผ้ ลที่บรรลุวตั ถปุ ระสงคแ์ ละเป้าหมายจริง 4) ช่วยในการส่งขอ้ มูลและรายงานท่ีประมวลผลไดแ้ ลว้ ไปให้ผูร้ ับท่ีอาจจะอยู่ ห่างไกลจากหน่วยงาน ทาํ ใหผ้ รู้ ับไดร้ ับขอ้ มลู และรายงานอยา่ งรวดเร็ว โดยเฉพาะส่วนที่เป็ นขอ้ มูล น้นั หากผรู้ ับตอ้ งการนาํ ไปใชป้ ระมวลผลต่อก็สามารถทาํ ไดท้ นั ที ไม่ตอ้ งบนั ทึกขอ้ มูลใหม่อีกคร้ัง 5) ช่วยในการนาํ เสนอรายงานหรือขอ้ เสนอต่าง ๆ ต่อผูบ้ งั คบั บญั ชาหรือผมู้ ีส่วน ไดส้ ่วนเสียในระหวา่ งการประชุมสมั มนา 6) ช่วยในการจดั เกบ็ ความรู้และประสบการณ์ที่ไดร้ ับระหว่างการปฏิบตั ิงานและ การดูงาน เพื่อสร้างเป็ นฐานความรู้สาํ หรับนํามาให้ผูบ้ ริหารระดบั ล่างไดศ้ ึกษาและนาํ ไปใช้ ประกอบการปฏบิ ตั ิงาน เช่น ความรู้จากการเปิ ดสาขาวิชาหรือหลกั สูตรใหม่ว่ากาํ หนดแนวทางไว้ อยา่ งไร การดาํ เนินงานไดผ้ ลอยา่ งไร มีปัญหาอุปสรรคและแนวทางแกไ้ ขปัญหาอย่างไร ผลของ การแกป้ ัญหาเป็นอยา่ งไร 7) ช่วยใหผ้ บู้ ริหารสามารถทดสอบการตดั สินใจของตนไดโ้ ดยอาศยั โปรแกรม สนบั สนุนการตดั สินใจ จากน้นั ก็อาจเลือกดาํ เนินงานโดยใชแ้ นวทางที่เห็นวา่ ดีที่สุดได้ 8) ช่วยในงานบริหารโดยตรงของผูบ้ ริหาร เช่น การบริหารงานโครงการ การ บนั ทึกตารางนัดหมาย การบนั ทึกขอ้ มูลส่วนตัว การจดั ทาํ เอกสารที่ยงั ไม่ตอ้ งการเปิ ดเผย การ คาํ นวณหรือการประมวลผลบางอยา่ ง วิโรจน์ สารรัตนะ (2557 : 1) ไดก้ ล่าวถึงว่าในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงทาง เทคโนโลยที าํ ใหเ้ กิดแนวคิดใหม่ทางการศึกษามากมาย นักเรียนต่างให้ความสนใจกบั เทคโนโลยี 2ห8น8า้ ||3ก0า2รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

ดิจิทลั มากกวา่ คนใกลช้ ิด การเกิดข้ึนของเทคโนโลยมี ผี ลท้งั ทางบวกและทางลบต่อนกั เรียน ท่ีใหผ้ ล ในทางลบที่พึงใส่ใจ เช่น ขาดความเอาใจใส่ ช่วงความสนใจส้ัน ใจลอย หมกมุ่น ขาดปฏิสัมพนั ธ์ ทางสงั คม เก็บตวั ซึมเศร้า และอื่น ๆ ผลในทางบวกก็มีเช่นกนั ผูบ้ ริหารสถานศึกษาและครูตอ้ ง ยอมรับว่าการสอนในโลกปัจจุบนั จะตอ้ งแตกต่างไปจากศตวรรษท่ีผ่านมา ดงั น้นั ครูในศตวรรษที่ 21 ควรมที กั ษะดิจิทลั (digital skills) ดงั น้ี 1) ทกั ษะการใชโ้ ปรแกรม “digital voice editor” เช่น บนั ทึกข้อความใน IC recorder ลงฮาร์ดดิสก์ของคอมพิวเตอร์ หรือการบนั ทึกไฟลเ์ สียงจากคอมพิวเตอร์ลง IC recorder เล่นและตดั ต่อขอ้ ความลงคอมพิวเตอร์ หรือการส่งขอ้ ความท่ีเป็ นอีเมลเ์ สียงโดยใชซ้ อฟตแ์ วร์ MAPI อีเมล 2) ทกั ษะการจดั เกบ็ URL / รายชื่อเวบ็ ที่สนใจไวเ้ ป็นหมวดหมแู่ ละแลกเปล่ียนกบั ผเู้ รียน 3) ทกั ษะการใช้ “blog” และ “wiki” เพ่อื สร้างระบบออนไลน์สาํ หรับนกั เรียน 4) ทักษะการจับภาพจากสิ่งแวดลอ้ มหรือทาํ สําเนาภาพจากเอกสารให้อยู่ใน รูปแบบของอิเล็กทรอนิกส์ เช่น รูปถ่าย เอกสารที่เขียนดว้ ยมือ หรือเอกสารพิมพ์ เป็ นต้น เพ่ือ นาํ มาใชใ้ นหอ้ งเรียน 5) ทกั ษะการสร้างเน้ือหาวดิ ีโอกระตุน้ ความสนใจของนกั เรียน 6) ทกั ษะเกี่ยวกบั “infographics” คือ การเอาขอ้ มูลท่ีเขา้ ใจยากหรือขอ้ มูลจาํ นวน มากมานาํ เสนอในรูปแบบต่าง ๆ อยา่ งสร้างสรรค์ 7) ทกั ษะการใชเ้ ครือข่ายสงั คมออนไลนเ์ พือ่ การส่ือสารและพฒั นาวิชาชีพ 8) ทกั ษะการสร้างรูปแบบการฝึ กอบรมหรือการเรียนรู้ที่ผูส้ อนและผูเ้ รียนไม่ จาํ เป็นตอ้ งพบกนั ตามเวลาในตารางที่กาํ หนดไว้แต่สามารถติดต่อกนั ไดต้ ลอดเวลา โดยใชเ้ คร่ืองมือ ส่ือสารต่าง ๆ ซ่ึงเป็นการเรียนรู้ท่ีไม่มขี อ้ จาํ กดั ในเรื่องของเวลาและสถานท่ี ผูเ้ รียนสามารถเรียนที่ ไหนเวลาใดกไ็ ด้ 9) ทกั ษะในการสร้างและเผยแพร่แฟ้มสะสมงาน (portfolio) ในระบบออนไลน์ ผา่ นทางอินเทอร์เน็ต สาํ หรับบุคคลและองคก์ รต่าง ๆ ที่ตอ้ งการสะสมผลงาน เพื่อเก็บไวเ้ ป็ นขอ้ มูล สาํ หรับการนาํ เสนอ ตรวจสอบการเรียนรู้หรือการทาํ งานว่าประสบผลสาํ เร็จระดบั ใด ดงั น้ัน ผูบ้ ริหารสถานศึกษาและครูในฐานะของผูน้ าํ ต้องมีวิสัยทศั น์ มีทศั นะ กวา้ งไกล มีความสามารถที่จะทาํ ใหผ้ ูร้ ่วมงาน ผูเ้ รียนยอมรับความคิดในการใชเ้ ทคโนโลยแี ละ นวตั กรรมเพ่ือการศึกษาในการบริหารงานวิชาการ และยินดีร่วมปฏิบตั ิงาน และทาํ กิจกรรมเพื่อ พฒั นาตนเองใหม้ ีประสิทธิภาพ การพฒั นาความเป็นครูวิชาชหพี นา้| |230839

แนวทางการพฒั นาครูสู่การเป็ นผ้นู ําทางวชิ าการ การปฏิรูปเพื่อพฒั นาคุณภาพครูยุคใหม่น้นั ไดม้ ีขอ้ เสนอแนะในเชิงยุทธศาสตร์ของการ ปฏิรูปครูและบุคลากรทางการศึกษาหลากหลายแนวทาง ตามขอ้ เสนอของคณะกรรมการสภา การศึกษา กระทรวงศึกษาธิการท่ีไดเ้ สนอแนะไว้ ท้งั น้ีเพื่อสร้างให้ครูยคุ ใหม่มีบทบาทในการ เสริมสร้างใหผ้ เู้ รียนเกิดการ เรียนรู้ เป็ นวิชาชีพที่มีคุณค่า มีระบบ กระบวนการผลิตและพฒั นาครู คณาจารยแ์ ละบุคลากรทางการศึกษาที่มีคุณภาพมาตรฐานเหมาะสมกับการเป็ นวิชาชีพช้ันสูง สามารถดึงดูดคนเก่ง คนดี มีใจรักในวิชาชีพครูมาเป็นครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศกึ ษาอยา่ ง เพียงพอตามเกณฑ์ และสามารถจดั การเรียนการสอนไดอ้ ยา่ งมีคุณภาพ มาตรฐาน และในขณะ ขณะเดียวกนั สามารถพฒั นาตนเองและแสวงหาความรู้อยา่ งต่อเน่ือง ซ่ึงเป็ นคุณสมบตั ิสาํ คญั ของ บุคคลแห่งการเรียนรู้และผนู้ าํ ทางวชิ าการ สมรรถนะหรือทกั ษะผูน้ าํ ทางวิชาการอาจถูกกาํ หนด ดว้ ยยทุ ธศาสตร์การพฒั นาผปู้ ระกอบวิชาชีพทางการศึกษา โดยยดึ ระบบการพฒั นาอยา่ งต่อเน่ือง ซ่ึง ผบู้ ริหารสถานศกึ ษาสามารถจะเลือกใชย้ ทุ ธวิธีหรือแนวดาํ เนินการให้บรรลุผลสาํ เร็จที่เหมาะสม ตามแนวคิดกระบวนทศั น์ใหม่ ตามรายงานการวิจยั จากผูเ้ ช่ียวชาญทางการศึกษา เพื่อการพฒั นา ทกั ษะครู ตามพ้นื ฐานสภาพทว่ั ไปของสถานศกึ ษา ตามความพร้อมและความตอ้ งการจาํ เป็นของครู ดงั น้ี 1. การประเมนิ สมรรถนะครู สาํ นกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน (2553 : 1) กล่าวว่า การพฒั นาทกั ษะ วิชาชีพของครูภายใตส้ งั คมแห่งยุคโลกาภิวตั น์น้นั ไดม้ ีการศึกษาวิจยั จากหน่วยงานที่เก่ียวขอ้ งกบั วิชาชีพครูในหลายหน่วยงาน จากบทสรุปการวจิ ยั จากสาํ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน ที่ไดพ้ ฒั นาสมรรถนะและตวั บ่งช้ีของครูไทย โดยแบ่งออกเป็นสมรรถนะหลกั ( Core Competency ) ประกอบด้วย 5 สมรรถนะ และสมรรถนะประจาํ สายงาน ( Functional Competency ) ประกอบดว้ ย 6 สมรรถนะ ดงั น้ี สมรรถนะหลกั ( Core Competency ) ไดแ้ ก่ 1) การมงุ่ ผลสมั ฤทธ์ิในการปฏบิ ตั ิงาน 2) การบริการที่ดี 3) การพฒั นาตนเอง 4) การทางานเป็นทีม 5) จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพครู หนา้ | 304 290 | การพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

และสมรรถนะประจาํ สายงาน ( Functional Competency ) ประกอบดว้ ย 6 สมรรถนะ คือ 1) การบริหารหลกั สูตรและการจดั การเรียนรู้ 2) การพฒั นาผเู้ รียน 3) การบริหารจดั การช้นั เรียน 4) การวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และการวจิ ยั เพือ่ พฒั นาผเู้ รียน 5) ภาวะผนู้ าํ ครู 6) การสร้างความสมั พนั ธแ์ ละความร่วมมอื กบั ชุมชน นาํ มาสร้างเป็นแบบประเมนิ สมรรถนะครู สาํ หรับครูผสู้ อนใหค้ รูผสู้ อนทาํ การประเมิน สมรรถนะในการปฏิบตั ิงานตามสภาพจริง ท่ีสาํ นักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พฒั นาข้ึนโดยใชก้ รอบแนวคิดสมรรถนะครูท่ีไดจ้ ากการประชุมเชิงปฏิบตั ิการกาํ หนดกรอบการ พฒั นาสมรรถนะขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ศึกษาวิเคราะห์เอกสาร และผลงานวิจยั ต่าง ๆ ที่เก่ียวขอ้ ง เพือ่ จะไดท้ ราบขอ้ มลู เกี่ยวกบั สมรรถนะของครูผสู้ อน และนาํ ผลการประเมินไป ใชใ้ นการกาํ หนดกรอบการพฒั นาสมรรถนะครูใหม้ ีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อการ พฒั นาผเู้ รียน สถานศกึ ษา และวชิ าชีพ ผใู้ ชแ้ บบประเมินสมรรถนะครูดงั น้ี 1) ครูผสู้ อนประเมินตนเอง 2) เพ่ือนครูผสู้ อนในสถานศึกษาเดียวกนั ประเมินครูผสู้ อน 3) ผบู้ ริหารสถานศกึ ษาประเมนิ ครูผสู้ อน หลงั จากครูผสู้ อนทราบผลแลว้ ตอ้ งรายงานผลการประเมนิ ใหผ้ บู้ ริหารหรือหน่วยงานท่ี เกี่ยวขอ้ งนาํ ไปเป็นแนวทางในการพฒั นาสมรรถนะครูต่อไป สรุปไดว้ า่ การประเมินสมรรถนะครูเป็นปัจจยั สาํ คญั ของการนาํ ไปกาํ หนดเป็ นกลยทุ ธ์ การดาํ เนินงานเพ่ือเสริมสร้างศกั ยภาพวิชาชีพครูที่สอดคลอ้ งและเหมาะสมกบั บริบท และการ เปล่ียนแปลงทางสงั คมในปัจจุบนั เป็นไปตามเป้าหมายในการพฒั นาครูยุคใหม่ภายใตย้ ุทธศาสตร์ การปฏิรูปการศกึ ษาในทศวรรษที่สองท่ีไดก้ าํ หนดไวเ้ ป็นวาระสาํ คญั ในวงการศกึ ษาไทย ดงั น้นั ครูในฐานะผนู้ าํ ทางวิชาการจึงตอ้ งเตรียมความพร้อมและฝึกฝนทกั ษะความเป็ น ผนู้ าํ ทางวชิ าการในสมรรถนะหลกั และสมรรถนะประจาํ สายงานตามเกณฑก์ าํ หนดของสาํ นักงาน คณะกรรมการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน 2. การสร้างวนิ ยั 5 ประการ ในองค์กรแห่งการเรียนรู้ พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แกไ้ ขเพิม่ เติม (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 9 กาํ หนดใหก้ ารจดั ระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจดั การศกึ ษา ใหย้ ึดหลกั การกระจาย การพฒั นาความเปน็ ครูวชิ าชหีพนา้| |230951

อาํ นาจไปสู่เขตพ้ืนท่ีการศึกษา สถานศึกษา และองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน ให้ระดมทรัพยากร จากแหลง่ ต่าง ๆ มาใชใ้ นการจดั การศึกษา และให้บุคคล ครอบครัว ชุมชน องคก์ รชุมชน องคก์ ร ปกครองส่วนทอ้ งถิน่ เอกชน องคก์ รเอกชน องคก์ รวชิ าชีพ สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการ และ สถาบันสังคมอื่น ๆ มีส่วนร่วมในการจดั การศึกษา จึงเป็ นผลให้สถานศึกษาทุกแห่งตอ้ งดูแล รับผดิ ชอบการบริหารจดั การสถานศึกษาดว้ ยตนเองมากข้ึน มอี าํ นาจในการตดั สินใจเกี่ยวกบั การใช้ ทรัพยากรและแกป้ ัญหาในการบริหารจดั การไดเ้ ต็มตามศกั ยภาพ สถานศึกษาตอ้ งแสดงความรับผดิ ชอบในผลของการปฏิบตั ิงานต่อสาธารณชนในเขต พ้ืนท่ีบริ การของสถานศึกษา ผูบ้ ริ หารสถานศึกษาในฐานะผูน้ ําทางวิชาการต้องมีความรู้ ความสามารถ และมคี วามมงุ่ มนั่ ท่ีจะพฒั นาสถานศกึ ษาดว้ ยการพฒั นาท้งั ระบบ ใหเ้ ป็นองคก์ รเรียน รู้อยู่ตลอดเวลา ใช้ระบบบริหารสถานศึกษาแบบยดึ ผูเ้ รียนเป็ นสาํ คญั และกระจายอาํ นาจให้ ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจดั การสถานศึกษา โดยการพฒั นาสถานศึกษาให้เป็ น องคก์ รเรียนรู้ ดว้ ยวิธีการพฒั นาครูในสถานศึกษาให้มีลกั ษณะ 5 ประการ คือ เป็ นการพฒั นา สถานศกึ ษาใหม้ ีการเจริญเติบโตอยา่ งยงั่ ยนื ครูมคี วามสนุกสนาน มีความสุข อยากมาทาํ งาน องคก์ ร เรียนรู้เป็นรูปแบบการบริหารที่เนน้ การพฒั นาสภาวะผูน้ าํ ในองคก์ ร (leadership) ควบคู่ไปกบั การ เรียนรู้ร่วมกนั (team learning) ซ่ึงจะเป็นผลใหเ้ กิดการถา่ ยทอดแลกเปล่ยี นองคค์ วามรู้ (knowledge) ประสบการณ์ (experience) และทกั ษะ (skill) ระหว่างกนั และกนั เพ่อื นาํ มาใชใ้ นการปฏิบตั ิงานให้ ไดผ้ ลดีเลิศเหนือองค์กรอื่น และมีระดบั พฒั นาความสามารถขององคก์ รท่ีเป็ นไปอย่างรวดเร็ว (วรี วุธ มาฆะศริ านนท,์ 2549) วรวรรณ วาณิชยเ์ จริญชยั (2557 : 1) กล่าวว่า องค์การเอ้ือการเรียนรู้เป็ นองค์กรที่ ส่งเสริมการเรียนรู้ของสมาชิกทุก ๆ คน ใหม้ ีการเรียนรู้อยา่ งต่อเน่ือง โดยท่ีสมาชิกแต่ละคนมีอิสระ ในการเรียนรู้ สามารถเรียนรู้ท้งั จากภายในและภายนอกหน่วยงาน มกี ารกระตุน้ ใหเ้ กิดความร่วมมือ และเรี ยนรู้ร่ วมกนั ทําให้เกิดการสร้างความรู้ใหม่ที่หลากหลาย และนํามาสู่การปรับปรุ ง เปลย่ี นแปลงองคก์ รใหม้ คี วามกา้ วหนา้ ต่อไป ซ่ึงลกั ษณะองคก์ ารเอ้ือการเรียนรู้ตามแนวคิด Senge เช่ือว่านวตั กรรมในพฤติกรรมคน คือ “วนิ ยั ” (Discipline) ซ่ึงไมใ่ ช่การบงั คบั ใหท้ าํ ตามคาํ สัง่ หรือ วิธีการทาํ โทษ แต่เป็นสิ่งใหม่ท่ีจะพฒั นาหาแนวทาง เพื่อใหไ้ ดม้ าซ่ึงทกั ษะหรือความสามารถที่จะ นาํ ไปสู่การเป็นองคก์ ารเอ้ือการเรียนรู้ ซ่ึงประกอบไปดว้ ยวนิ ยั 5 ประการ ดงั น้ี (Senge, 1990) 1) Personal Mastery ศกั ยภาพของบุคคลเป็นส่วนสาํ คญั ในการพฒั นาองคก์ ร บุคคลจึง ตอ้ งบงั คบั หรือฝึกตวั เองใหเ้ ป็นคนท่ีเรียนรู้ตลอดเวลา มคี วามชาํ นาญเป็นพเิ ศษในทุกแง่มมุ ของชีวิต ท้งั ดา้ นส่วนตวั และวชิ าชีพ โดยอาศยั ความเป็นนกั พฒั นาตนเอง ท่ีจะมงุ่ มนั่ สร้างสรรคใ์ หเ้ กิดความรู้ ความเชี่ยวชาญในการทาํ งานตลอดจนสามารถสร้างสรรคผ์ ลงาน และแกไ้ ขปัญหาต่างๆที่เกิดข้ึนได้ 2ห9น2า้ ||3ก0า6รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

อยา่ งต่อเน่ือง 2) Mental Models เป็นความคิดความเขา้ ใจท่ีบุคคลมีต่อหน่วยงานและต่อองคก์ ร ซ่ึงเป็ น ส่ิงสําคญั ท่ีมีอิทธิพลอยา่ งยิ่งต่อพฤติกรรมของบุคคล ทาํ ให้เกิดความกระจ่างชัดกับแบบแผน ความคิด ความเช่ือที่ดี มผี ลต่อการตดั สินใจและการกระทาํ ของตนเพ่ือพฒั นาความคิด ความเชื่อให้ สอดคลอ้ งกบั ความเปล่ียนไปของโลก ไมย่ ดึ ติดกบั ความเช่ือเก่า ๆ ท่ีลา้ สมยั 3) Building Shared Vision เป็นการสร้างทศั นะของความร่วมมอื กนั ของสมาชิกในองค์กร เพื่อพฒั นาภาพในอนาคต และความตอ้ งการท่ีจะมุ่งไปสู่ความปรารถนาร่วมกนั ของสมาชิกท้ัง องคก์ ร ภายใตจ้ ุดมุง่ หมายเดียวกนั ของคนท้งั องคก์ ร 4) Team Learning เป็ นการเรียนรู้ร่วมกนั ของสมาชิกในองคก์ รโดยแต่ละคนเรียนรู้ดว้ ย ตนเอง แต่ละคนเรี ยนรู้ซ่ึงกันและกนั และแต่ละคนเรี ยนรู้ด้วยกัน พัฒนาความฉลาดรอบรู้ ความสามารถของทีมให้เกิดข้ึน มีการถ่ายทอดความรู้ซ่ึงกันและกัน โดยการส่ือสารข้อมูล แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ซ่ึงกันและกนั อย่างต่อเน่ืองสม่าํ เสมอ จนเกิดเป็ น ความคิดร่วมกนั ของกลมุ่ 5) Systems Thinking เป็ นวิธีการคิด การอธิบาย และการทาํ ความเขา้ ใจในปรากฎการณ์ ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนดว้ ยการเชื่อมโยงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็ นระบบ โดยอาศยั องค์ความรู้ท่ีเป็ นสห วทิ ยาการ นาํ มาบูรณาการข้ึนเป็นองคค์ วามรู้ใหม่ สรุปไดว้ ่า การสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา เป็ นหน้าที่หลกั ของผูบ้ ริหาร สถานศึกษา ในฐานะผนู้ าํ ทางวิชาการตอ้ งมีความรู้ ความสามารถ และมีความมุ่งมน่ั ท่ีจะพฒั นา สถานศกึ ษาดว้ ยการพฒั นาท้งั ระบบ ไดแ้ ก่ ครู ผเู้ รียน และบุคลากรให้เกิดวินัย 5 ประการ ซ่ึงเป็ น แนวทางพฒั นาครูเพ่ือให้ไดม้ าซ่ึงทกั ษะหรือความสามารถที่จะนําไปสู่การเป็ นองค์การเอ้ือการ เรียนรู้แบบไม่ถูกบงั คบั ฝึ กให้ครูเกิดทกั ษะ การทาํ งานเป็ นทีม การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การใช้ เทคโนโลยสี ารสนเทศเช่ือมกนั ระหว่างผบู้ ริหาร ครู และบุคลากรภายในโรงเรียน การพฒั นาครูโดย การสร้างวนิ ยั ในสถานศกึ ษาเป็นการพฒั นาทกั ษะผนู้ าํ ทางวชิ าการอยา่ งรอบดา้ น ถือเป็ นการพฒั นา ภาวะผนู้ าํ ทางการวิชาการที่แทจ้ ริง 3. การสร้างเครือข่ายแลกเปลย่ี นเรียนรู้ ชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพ ( Professional Learning Community: PLC) ซ่ึงมีที่มาจาก ทฤษฎีพหุปัญญาของ Gardner ที่ไดก้ ล่าวถึงประเด็นสาํ คญั เก่ียวกบั การเรียนรู้ว่า “How students learn in a holistic & natural way” (Gardner, 1983) ซ่ึงหมายความว่า นกั เรียนเรียนรู้ในวิถที างที่เป็น องคร์ วมและธรรมชาติอยา่ งไร นอกจากน้ีแลว้ สติปัญญาของนักเรียนถูกเปิ ดไวเ้ พ่ือการเรียนรู้และ การพฒั นาความเปน็ ครูวชิ าชหีพนา้||230973

ครูตอ้ งพฒั นาโอกาสท่ีหลากหลายเพอ่ื ใหน้ กั เรียนไดส้ ืบเสาะและคิด การรวมตวั รวมใจ รวมพลงั ร่วมมือกนั ของครู ผบู้ ริหาร และนักการศึกษาในโรงเรียน เพื่อพฒั นาการเรียนรู้ของผเู้ รียนเป็ น สาํ คญั เซอจิโอแวน (1994 : 1) กล่าววา่ PLC เป็นสถานท่ีสาํ หรับ “ปฏสิ มั พนั ธ”์ ลด “ความโดด เดี่ยว” ของมวลสมาชิกวิชาชีพครูของโรงเรียนในการทาํ งาน เพอื่ ปรับปรุงผลการเรียนของนกั เรียน หรืองานวิชาการโรงเรียน ดาลิง่ แฮมมอ่ น และแบรนฟอร์ด (2005 : 1) ไดพ้ ยายามพฒั นามาตรฐานระดบั ชาติของ ครูที่สะทอ้ นผลถึงส่ิงที่ครูตอ้ งการในการสอนนกั เรียนท่ีมีความหลากหลาย งานวิจยั ของพวกเขามี จุดเน้นท่ี “the better we know our students, the quicker we can intervene in their learning” น่ันคือ ถา้ ครูยิ่งรู้จกั นักเรียนของตนเองดีเท่าไร ก็ยิ่งสามารถช่วยนกั เรียนในการเรียนรู้ได้เร็วข้ึนเท่าน้ัน นอกจากน้ีแลว้ ในงานวจิ ยั ยงั เนน้ ว่า นกั เรียนที่ครูตอ้ งรู้จกั มคี วามตอ้ งการครูท่ีมคี วามคิดสร้างสรรค์ และมีนวตั กรรม วิจารณ์ พานิช (2556 : 1) อธิบายว่า ชุมชนแห่งการเรียนรู้ หรือ PLC (Professional Learning Community) เป็นการรวมตวั กนั ของครูในโรงเรียนหรือเขตพ้ืนที่การศึกษาเพือ่ แลกเปลย่ี น เรียนรู้วิธีการจดั การเรียนรู้ให้ศิษยไ์ ดท้ ักษะเพื่อการดาํ รงชีวิตในศตวรรษท่ี 21 โดยที่ผูบ้ ริหาร โรงเรียน คณะกรรมการโรงเรียน ผบู้ ริหารเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษา และผบู้ ริหารการศกึ ษาระดบั ประเทศ เขา้ ร่วมจดั ระบบสนบั สนุนใหเ้ กิดการแลกเปลยี่ นเรียนรู้ต่อเนื่อง มีการพฒั นาวิธีการเรียนรู้ของศิษย์ 3.1 อยา่ งต่อเน่ือง องค์ประกอบของ PLC PLC มาจากทฤษฎีท่ีกล่าวถงึ นกั การศกึ ษาท่ีชอบคิด ท่ีมีความตอ้ งการแลกเปลี่ยน ความเชื่อทว่ั ไปเกี่ยวกบั การสอนและการเรียนรู้ดว้ ยกนั ท่ีไม่ใช่แค่การพฒั นาวิชาชีพเท่าน้ัน แต่ยงั ตอ้ งการใหน้ กั เรียนประสบผลสาํ เร็จ สรุป องคป์ ระกอบของ PLC ดงั น้ี 1) วสิ ยั ทศั น์ ความเชื่อ และค่านิยม (Vision, Beliefs & Values) 2) ความเป็นผนู้ าํ (Leadership) 3) การช้ีนาํ (Leading) 4) สิ่งแวดลอ้ มเชิงบวก (Positive Environment) 5) การปฏบิ ตั ิส่วนบุคคล (Personal Practice 3.2 กลยทุ ธ์ในการจดั การและใช้ PLCs อย่างยง่ั ยืน 1) เร่ิมตน้ ดว้ ยข้นั ตอนง่าย ๆ (Take a baby steps) โดยเริ่มตน้ จากการกาํ หนด เป้าหมาย อภิปราย สะทอ้ นผล แลกเปล่ียนกบั คนอื่น ๆ เพื่อกาํ หนดว่าจะดาํ เนินการอยา่ งไร โดย 2ห9น4า้ ||3ก0า8รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

พจิ ารณาและสะทอ้ นผลในประเด็นต่อไปน้ี 1.1) หลกั การอะไรที่จะสร้างแรงจูงใจในการปฏบิ ตั ิ 1.2) เราจะเริ่มตน้ ความรู้ใหม่อยา่ งไร 1.3) การออกแบบอะไรท่ีพวกเราควรใชใ้ นการตรวจสอบหลกั ฐานของการ เรียนรู้ที่สาํ คญั 2) การวางแผนดว้ ยความร่วมมือ (Plan Cooperatively) ส ม า ชิ ก ข อ ง ก ลุ่ ม กาํ หนดสารสนเทศที่ตอ้ งใชใ้ นการดาํ เนินการ 3) การกาํ หนดความคาดหวงั ในระดบั สูง (Set high expectations) และวิเคราะห์ การสอนสืบเสาะหาวธิ ีการท่ีจะทาํ ใหป้ ระสบผลสาํ เร็จสูงสุด 3.1) ทดสอบข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกบั การสอนหลงั จากได้มีการจัดเตรียม ตน้ แบบที่เป็นการวางแผนระยะยาว (Long-term) 3.2) จดั ใหม้ ชี ่วงเวลาของการช้ีแนะ โดยเนน้ การนาํ ไปใชใ้ นช้นั เรียน 3.3) ใหเ้ วลาสาํ หรับครูท่ีมีความยุ่งยากในการสังเกตการณ์ปฏิบตั ิในช้นั เรียน ของครูที่สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้อยา่ งประสบผลสาํ เร็จ 4) เร่ิมตน้ จากจุดเลก็ ๆ (Start small) เริ่มตน้ จากการใชก้ ลุ่มเล็ก ๆ ก่อน แลว้ ค่อย ปรับขยาย 5) ศึกษาและใชข้ อ้ มูล (Study and use the data) ตรวจสอบผลการนาํ ไปใชแ้ ละการ สะทอ้ นผลเพื่อนาํ มากาํ หนดวา่ แผนไหนควรใชต้ ่อไป/แผนไหนควรปรับปรุงหรือยกเลกิ 6) วางแผนเพื่อความสําเร็จ (Plan for success) เรียนรู้จากอดีต ปรับปรุงหรือ ปฏิเสธในส่ิงท่ีไม่สาํ เร็จ และทาํ ต่อไป ความสาํ เร็จในอนาคตหรือความลม้ เหลวข้ึนอยกู่ บั เจตคติและ พฤติกรรมของครู 7) นาํ สู่สาธารณะ (Go public) แผนไหนท่ีสาํ เร็จก็จะมีการเชิญชวนใหค้ นอื่นเขา้ มามสี ่วนร่วม ยกยอ่ งและแลกเปลีย่ นความสาํ เร็จ 8) ฝึกฝนร่างกายและหล่อเล้ยี งสมอง (Exercise the body & nourish the brain) จดั กิจกรรมท่ีได้มีการเคลื่อนไหวและเตรียมครูที่ทาํ งานสําเร็จของแต่ละกลุ่มโดยมีการจดั อาหาร เครื่องด่ืมที่มีประโยชน์ 3.3 ประเภทของ PLC แบ่งออกเป็ น 6 ประเภท ดงั น้ี 1) พนั ธมิตรครู (Teacher partnership) เนน้ การปรับปรุงยุทธศาสตร์การสอนที่ เฉพาะเจาะจง การพัฒนาความเปน็ ครวู ชิ าชหพี นา้| |230995

2) ทีมตามระดบั ช้นั เรียน (Grade-level teams) เนน้ การร่วมมือในการวางแผนและ การสอน 3) ทีมตามสาระการเรียนรู้ (Content-area teams) เนน้ การปรับปรุงหลกั สูตร 4) ทีมระหว่างหลกั สูตร (Vertical teams) เนน้ การจดั เตรียมความคาดหวงั และ ประสบการณ์ของนกั เรียน 5) ทีมท้งั โรงเรียน (Whole school) เนน้ นวตั กรรมการสอนและการเรียนรู้ 6) ทีมระหว่างเขตพ้นื ที่ (Cross district) เนน้ ประเด็นของการปฏิบตั ิและความเท่า เทียมกนั 3.4 การจดั ต้งั PLC (ศกั ด์ิชยั ภู่เจริญ,2557:1) มผี ลดตี ่อครูผู้สอน ดงั น้ี 1) ลดความรู้สึกโดดเดี่ยวงานสอนของครู 2) เพม่ิ ความรู้สึกผกู พนั ต่อพนั ธกิจและเป้าหมายของโรงเรียนมากข้ึน 3) เพิ่มความกระตือรือร้นท่ีจะปฏิบตั ิให้บรรลุพนั ธกิจอย่างแข็งขนั จนเกิด ความรู้สึกวา่ ตอ้ งการร่วมกนั เรียนรู้ 4) รับผิดชอบต่อพฒั นาการโดยรวมของนักเรียน ถือเป็ น “พลงั การเรียนรู้” ซ่ึง ส่งผลใหก้ ารปฏิบตั ิการสอนในช้นั เรียนใหม้ ีผลดียง่ิ ข้ึน 5) การคน้ พบความรู้และความเช่ือที่เกี่ยวกบั วิธีการสอนและตวั ผเู้ รียนซ่ึงท่ีเกิดจาก การคอยสงั เกตอยา่ งสนใจ 6) ความเขา้ ใจในดา้ นเน้ือหาสาระที่ตอ้ งจดั การเรียนรู้ไดแ้ ตกฉานยง่ิ ข้ึน 7) ตระหนกั ถงึ บทบาทและพฤติกรรมการสอนท่ีจะช่วยใหน้ ักเรียนเกิดการเรียนรู้ ไดด้ ีท่ีสุด 8) การรับทราบขอ้ มลู สารสนเทศต่าง ๆ ท่ีจาํ เป็นต่อวชิ าชีพไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวางและ รวดเร็วข้ึน ส่งผลดีต่อการปรับปรุงพฒั นางานวิชาชีพไดต้ ลอด เวลา เป็ นผลให้เกิดแรงบนั ดาลใจท่ี จะพฒั นาและอทุ ิศตนทางวิชาชีพเพอ่ื ศิษย์ 9) เป็นท้งั คุณค่าและขวญั กาํ ลงั ใจต่อการปฏบิ ตั ิงานใหด้ ียงิ่ ข้ึน 10) มีความกา้ วหน้าในการปรับเปลี่ยนวิธีการจดั การเรียนรู้ ให้สอดคลอ้ งกับ ลกั ษณะผเู้ รียนไดอ้ ยา่ งเด่นชดั และรวดเร็ว 11) มีความผกู พนั ท่ีจะสร้างการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ให้ปรากฏอย่างเด่นชดั และ ยงั่ ยนื สาํ นกั งานส่งเสริมสงั คมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน ( 2557 : 1) ยกตวั อยา่ ง การนาํ เครือข่ายแลกเปล่ียนเรียนรู้มาใชใ้ นประเทศไทยปัจจุบนั เช่น 2ห9น6า้ ||3ก1า0รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

1) ชุมชนการเรียนรู้ครูสอนดี จงั หวดั ลาํ ปาง ชุมชนการเรียนรู้ครูสอนดี จงั หวดั ลาํ ปาง : PBL ไม่ใช่เป็ นเพียงกระบวนการ เรียนรู้อกี ต่อไป แต่จะกลายเป็นวถิ ีชีวติ ของครูและศิษยด์ ว้ ย ครูเปล่ียนจากการสอนบอกความรู้ มา เป็นการสร้างแรงบนั ดาลใจใหเ้ ดก็ สร้างความสนุกในการเรียน เนน้ ออกแบบโครงงาน หรือสภาพ การทาํ งานเสมอื นจริง ใหเ้ ด็กแบ่งกลุ่มกนั ลงมือทาํ เพื่อเรียนรู้จากการปฏิบตั ิ ครูชวนศิษยร์ ่วมกนั ทบทวนส่ิงที่ทาํ ว่าไดเ้ รียนรู้อะไร หรือฝึ กทกั ษะอะไร เชื่อมโยงสิ่งท่ีรู้ดว้ ยการทาํ กบั ทฤษฎีที่มีคน สร้างไว้ เขา้ ถึงซ่ึงความรู้จริงมิใช่แค่ท่องจาํ ตาํ รา ผลการขบั เคล่ือนงานของจงั หวดั ลาํ ปาง โดย ผศ. ดร.ดวงจนั ทร์ เดี่ยววไิ ล ดงั น้ี 1.1) เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความรู้ปฏิบตั ิร่วมกนั และเช่ือมโยงกนั เป็ น เครือข่ายครูสอนดีจงั หวดั ลาํ ปาง 1.2) เกิดทีมแกนนาํ เครือข่าย 11 คน ที่มีศกั ยภาพ สามารถจัดกระบวนการ แลกเปลยี่ นเรียนรู้ ใหค้ รูสอนดีในลาํ ปางได้ 1.3) ไดบ้ นั ทึกบทเรียนแนวการปฏบิ ตั ิดี ๆ ของครูสอนดี 1.4) ไดช้ ุดความรู้ประสบการณ์สร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในพ้ืนท่ีของ แกนนาํ จงั หวดั ลาํ ปาง และมกี ารเผยแพร่กนั ใน Cyber space คือ PLC Lampang google group 1.5) ครูสอนดี จงั หวดั ลาํ ปาง เกิดการต่ืนตวั 1.6) จากการใชส้ ถานท่ีมหาวิทยาลยั ราชภฏั ลาํ ปางบ่อยคร้ัง จึงสร้างความสนใจ ใหก้ บั บุคลากรในมหาวิทยาลยั ขอเขา้ สงั เกตการณ์ ไต่ถาม และมกี ารเช่ือมโยงกบั วง KM 1.7) ไดห้ ลกั สูตรพฒั นาครูสู่การเป็นวิทยากรกระบวนการ 2) ชุมชนการเรียนรู้ครูสอนดี จงั หวดั กาญจนบุรี ชุมชนการเรียนรู้ครูสอนดี จงั หวดั กาญจนบุรี พฒั นาเครือข่ายแลกเปลีย่ นเรียนรู้ ระดบั จงั หวดั ใหเ้ ขม้ แข็ง ยงั่ ยนื ครอบคลมุ เตม็ พ้นื ที่จงั หวดั กาญจนบุรี มีรูปแบบการดาํ เนินงานและ ไดผ้ ลลพั ธท์ ี่ประสบความสาํ เร็จสูงสุดในดา้ นการสร้างเครือข่ายแลกเปล่ียนเรียนรู้ โดยมีวงเสวนา หลากหลาย ครอบคลุมท้งั จังหวดั เช่น โรงเรียนในสงั กดั สพฐ โรงเรียนสังกดั องคก์ รปกครอง ทอ้ งถิ่น โรงเรียนสงั กดั สาํ นกั งานคณะกรรมการอาชีวศึกษา โรงเรียนสงั กดั กองกาํ กบั การตรวจ ตระเวนชายแดนท่ี 13 และโรงเรียนสงั กดั การศึกษานอกโรงเรียน โดยผลลพั ธ์ที่ผูจ้ ดั การพ้ืนท่ี คุณ สถาปนา ธรรมโมรา สามารถผลกั ดนั ดงั น้ี 1.1) ทีมครูแกนนาํ กลบั ไปจัดวงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ย่อย ๆ ข้ึนเอง และบาง โรงเรียนสามารถทาํ ให้นักเรียน ครู และคนในชุมชนเขา้ ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ดว้ ย ซ่ึงท่ีเป็ นผล เด่นชัดคือ น.ส. ภทั รนนท์ เพิ่มพูล ผูอ้ าํ นวยการโรงเรียนบ้านเขานางสางหัว นํากระบวนการ การพัฒนาความเปน็ ครูวิชาชหีพนา้| |231917

แลกเปลี่ยนเรียนรู้ท่ีไดไ้ ปใชใ้ นโรงเรียน และ สามารถทาํ ใหม้ ีครูจิตอาสานาํ ขบวนการสอนแบบ PBL ไปใชก้ บั นกั เรียน และไดข้ ยายไปสู่การทาํ กิจกรรมกบั ชุมชน 1.2) ผอู้ าํ นวยการ.พ้ืนท่ีการศึกษา เขต 3 และ 4ให้การสนับสนุนงบประมาณ และจดั ทาํ นโยบายการจดั วงแลกเปล่ียนเรียนรู้ต่อเน่ืองในจงั หวดั นอกจากน้ี ทางเขตยงั ไดเ้ ห็น ความสาํ คญั ของการพฒั นาการเรียนแบบ Project-based Learning (PBL) จึงจดั ใหม้ ที ีมทาํ งานพฒั นา เร่ืองน้ีข้ึน 1.3) ในเขตพ้นื ที่การศกึ ษา 3 เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกนั ของครูในระบบ การศกึ ษาของกระทรวงฯ และครูจากองคก์ รพฒั นาเอกชน, ครู ตชด., กศน. 1.4) ครูผสู้ อนหลายท่านไดน้ าํ การเรียนแบบ PBL และกระบวนการ PLC ที่ได้ จากการแลกเปล่ยี นเรียนรู้ไปใชใ้ นการเรียนการสอนของตวั เอง 1.5) มีการก่อต้ังชมรมเครื อข่ายครู สอนดีจังหวดั กาญจนบุรี ข้ึนโดยการ สนบั สนุนของอบจ. 1.6) เกิดเครือข่ายที่จะนาํ ไปสู่การจดั ต้งั เป็นสภาการศกึ ษาจงั หวดั กาญจนบุรีใน อนาคต สรุปว่า การการสร้างเครือข่ายแลกเปล่ียนเรียนรู้ PLC เป็ นการมุ่งเน้นที่การ ปฏบิ ตั ิการสอนและม่งุ ผลสมั ฤทธ์ิของนกั เรียน ครูสามารถนาํ แนวทางจากการแลกเปล่ียนเรียนรู้ใน เครือข่ายไปใช้จดั การเรียนการสอนเพื่อพฒั นาผูเ้ รียนใหเ้ กิดองคค์ วามรู้ใหม่ดว้ ยตนเองไดร้ ู้แนว ปฏิบตั ิที่ดีของครูในเครือข่าย ทาํ ใหค้ รูไดฝึกฝน พฒั นาบทบาทตนเองใหเ้ หมาะสมกบั ผเู้ รียนยคุ ใหม่ ครูไดพ้ ฒั นาทกั ษะผนู้ าํ ทางวิชาการ ไดแ้ ก่ ทกั ษะการทาํ งานเป็ นทีม ทกั ษะการคิดออกแบบจดั การ ความรู้ ทกั ษะม่งุ ผลสมั ฤทธ์ิของนกั เรียน ทกั ษะการพฒั นาหลกั สูตร 4. การส่งเสริมให้ครูทาํ วจิ ยั ในช้ันเรียน พิมพนั ธ์ เดชะคุปต์ (2544 : 1) อธิบายว่า การวิจยั ในช้นั เรียนครูสามารถนาํ PDCA ซ่ึง เป็นวงจรพฒั นาคุณภาพงาน เป็นวงจรพฒั นาพ้ืนฐาน หลกั ของการพฒั นาคุณภาพท้งั ระบบ (Total Qaulity Management : TQM) ผทู้ ี่คิดคน้ กระบวนการหรือวงจรพฒั นาคุณภาพ PDCA คือ shewhart นกั วทิ ยาศาสตร์ชาวอเมริกนั แต่ Deming ไดน้ าํ ไปเผยแพร่ท่ีประเทศญี่ป่ ุนจนประสบผลสาํ เร็จ จน ผลกั ดนั ใหญ้ ี่ป่ ุนเป็นประเทศมหาอาํ นาจของโลก คนทวั่ ไปจึงรู้จกั วงจร PDCA จากการเผยแพร่ของ Deming จึงเรียกว่า \"วงจร Deming\" วงจร PDCA ประกอบดว้ ยข้นั ตอนดงั ต่อไปน้ี 2ห9น8า้ ||3ก1า2รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

1) วางแผน (Plan-P) คือ การทาํ งานใด ๆ ตอ้ งมีข้นั การวางแผน เพราะทาํ ใหม้ ี ความมนั่ ใจว่าทาํ งานไดส้ าํ เร็จ เช่น วางแผนการสอน วางแผนวิจยั หวั ขอ้ ที่ใชใ้ นการวางแผนคือ วางแผนในหวั ขอ้ ต่อไปน้ี 1) ทาํ ทาํ ไม 2) ทาํ อะไร 3) ใครทาํ ทาํ กบั กล่มุ เป้าหมายใด 4) ทาํ เวลาใด 5) ทาํ ที่ไหน 6) ทาํ อยา่ งไร 7) ใชง้ บประมาณเท่าไร การวางแผนวิจยั ในช้นั เรียนเป็ นการวางแผนตาม คาํ ถามต่อไปน้ี why, what และ how 2) การปฏิบตั ิ (Do - D) เป็นข้นั ของการลงมือปฏิบตั ิตามแผนท่ีวางไว้ การปฏิบตั ิ วิจยั ในช้นั เรียนตามแผนวจิ ยั คือการลงมือเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเพอ่ื ตอบปัญหาการวิจยั ท่ีต้งั ไวใ้ นแผน 3) ตรวจสอบ (Check - C) เป็นข้นั ของการประเมินการทาํ งานวา่ เป็นไปตามแผนที่ วางไวห้ รือไม่ มเี รื่องอะไรปฏิบตั ิไดต้ ามแผน มเี รื่องอะไรไม่สามารถปฏบิ ตั ิไดต้ ามแผน หรือปฏิบตั ิ แลว้ ไมไ่ ดผ้ ล การตรวจสอบน้ีจะไดส้ ิ่งที่สาํ เร็จตามแผน และสิ่งที่เป็นขอ้ บกพร่องที่ตอ้ งแกไ้ ข 4) การปรับปรุงแกไ้ ข (Action - A) เป็นข้นั ของการนาํ ขอ้ บกพร่องมาวางแผนเพ่ือ การปฏบิ ตั ิการแกไ้ ขขอ้ บกพร่องแลว้ ลงมือแกไ้ ข ซ่ึงในข้นั น้ีอาจพบว่าประสบความสาํ เร็จหรืออาจ พบว่ามีขอ้ บกพร่องอีก ผวู้ ิจยั หรือผูท้ าํ งานก็ตอ้ งตรวจสอบเน้ือหาเพ่ือแกไ้ ข แลว้ นําไปแกไ้ ขอีก ต่อไป งานของการวิจยั ในช้นั เรียนจึงเป็นการทาํ ไปเร่ือย ๆ ไม่มกี ารหยุด การทาํ วิจยั ไปเร่ือย ๆ เป็ น การพฒั นาใหด้ ีข้ึนเรื่อย ๆ เป็นการพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื การศึกษานอกโรงเรียนอาํ เภอบ้านแพว้ (2555 : 1) กล่าวว่า การวิจยั ในช้นั เรียน คือ กระบวนการแสวงหาความรู้อนั เป็ นความจริงท่ีเชื่อถือไดใ้ นเน้ือหาเกี่ยวกบั การพฒั นาการจดั การ เรียนการสอน เพอ่ื การพฒั นาการเรียนรู้ของผเู้ รียนในบริบทของช้นั เรียน ผูบ้ ริหารสถานศึกษา ถือ ว่ามีบทบาทสาํ คญั ยงิ่ ในการส่งเสริมการทาํ วจิ ยั ในช้นั เรียน โดยตอ้ งกระตุน้ ให้ครูไดใ้ ชง้ านวิจยั เป็ น ขอ้ มลู ในการพฒั นาผเู้ รียน นอกจากน้ี ผูบ้ ริหารจะมีบทบาทในการส่งเสริมการทาํ วิจยั ในช้นั เรียน ดงั น้ี 1) ผบู้ ริหารตอ้ งกาํ หนดเป็นคุณลกั ษณะของครูในแต่ละภาคเรียนว่าจะตอ้ งมีวิจยั ในช้นั เรียน ซ่ึงควรเป็นเร่ืองที่เป็นการแกป้ ัญหาการเรียนการสอน 2) ผบู้ ริหารควรจดั ใหม้ กี ารอบรมใหม้ คี วามรู้ความเขา้ ใจในเร่ืองการของการทาํ วิจยั ใน ช้นั เรียนใหก้ บั ครูผสู้ อน 3) ผบู้ ริหารควรมกี ารสร้างกาํ ลงั ใจกบั ครูผสู้ อนว่า ถา้ ครูผสู้ อนคนใดพบปัญหาการเรียน การสอนอยา่ หนี อยา่ ทอ้ แต่ตอ้ งหาวธิ ีแกป้ ัญหาใหผ้ า่ นพน้ ไปไดไ้ ด้ โดยใชก้ ระบวนการวิจยั ในช้นั เรียน การพฒั นาความเปน็ ครูวชิ าชหพี นา้| |231939

4) ผบู้ ริหารสถานศึกษามบี ทบาทในการกระตุน้ ใหค้ รูไดห้ าแนวทางการวิจยั ในช้นั เรียนเป็นส่วนหน่ึงของการพฒั นาการเรียนการสอน โดยจดั ใหม้ ีการประกวด การดาํ เนินการนิเทศ การยกยอ่ งชมเชย การมอบเกียรติบตั ร เป็นตน้ 5) ผบู้ ริหารสถานศึกษาควรใหข้ วญั กาํ ลงั ใจ เช่น การมอบเกียรติบตั ร โลร่ างวลั 6) ผบู้ ริหารสถานศกึ ษาควรส่งเสริมใหค้ รูผสู้ อนไดป้ รับปรุงการเรียนการสอนโดย ใชง้ านวิจยั ในช้นั เรียนท่ีแต่ละคนไดศ้ ึกษามาใชเ้ ป็ นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนการสอนดว้ ย โดยให้ครูไดเ้ ผยแพร่ใหเ้ พื่อนครูทราบเพ่ือนาํ เอาผลงานวิจยั น้ัน ๆ เป็ นแนวทางในการแก้ไข พฒั นาการเรียนการสอนใหด้ ียง่ิ ข้ึน 7) ผบู้ ริหารสถานศึกษาควรนาํ ผลงานวิจยั ของครูมาเผยแพร่ใหค้ รูทุกคนไดท้ ราบ และนาํ ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการสอนของตนเอง ท่ีสาํ คญั ผูบ้ ริหารตอ้ งใหก้ าํ ลงั ใจแก่ครูว่างานวิจยั ใน ช้นั เรียนไมใ่ ช่เรื่องยาก กาญจนา วธั นสุนทร(2557:1)ไดก้ ล่าวว่า การวิจยั ในช้นั เรียนถือเป็นแนวทางหน่ึงในการ พฒั นาความเป็นผนู้ าํ ของครูได้ ในกระบวนการทาํ การวิจยั ครูจะเกิดทกั ษะต่าง ๆ ที่สาํ คญั ระหว่าง ปฏิบตั ิงานวิจยั ในช้นั เรียนโดยทกั ษะแรกที่ครูพึงไดค้ ือ ทกั ษะการคิด วิเคราะห์ คน้ ควา้ หาความรู้ ทฤษฎีต่าง ๆ เพ่ือนาํ มาใชเ้ ป็นวรรณกรรมในการอภิปราย สรุปขอ้ เท็จจริง และคน้ พบความรู้ไดด้ ว้ ย ตนเอง การวจิ ยั ในช้นั เรียนช่วยพฒั นาทกั ษะผนู้ าํ ทางวิชาการครูดงั น้ี 1) พฒั นาทกั ษะการคิดท่ีเป็นระบบ การวจิ ยั ในช้นั เรียนเป็นการศึกษาอยา่ งเป็นระบบ อธิบายถึงปรากฏการณ์ทุกอย่างใน กระบวนการเรียนการสอนของครูเพ่อื ทาํ ความเขา้ ใจ เพ่ือการพฒั นา และเพื่อการปรับปรุงการเรียน การสอนให้มีคุณภาพมากข้ึน ในหลักการแล้วการวิจัยในช้ันเรี ยนต้องเป็ นส่วนหน่ึงของ กระบวนการท่ีก่อให้เกิดส่ิงที่ห้องเรียนตอ้ งการใหเ้ กิด คือความเปล่ียนแปลงที่พึงปรารถนาในตวั เด็กเช่นเดียวกบั วตั ถปุ ระสงคข์ องช้นั เรียนทวั่ ๆ ไป และเป็นการเสาะแสวงหาความจริงท่ีดาํ เนินงาน ในเชิงสะสมของครู ภายในบริบทของการเรียนการสอนในช้ันเรียนของตน โดยไดผ้ ลท่ีเป็ น ประโยชน์ท้งั ต่อครูและนกั เรียน โดยการร่วมมือกนั ในการเรียนการสอนท่ีเกิดข้ึนทุกชว่ั โมงที่มีการ เรียนการสอน 2) พฒั นาทกั ษะการคน้ ควา้ สืบคน้ ขอ้ มูล แสวงหาความรู้ การวิจยั ในช้นั เรียนไม่ใช่เพียงการศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนจากการตอบ แบบสอบถามหลงั จากสิ้นภาคการศึกษาหรือส้ินปี การศึกษา และไม่ใช่การดาํ เนินงานตามระเบียบ วธิ ีวิจยั ท่ีปฏิบตั ิกนั ในการศึกษาระดบั ปริญญาโทหรือเอก แต่เป็ นการใชท้ กั ษะของครูผูส้ อนอยา่ ง เป็ นระบบ ในการศึกษาหาขอ้ เท็จจริงในสภาพแวดลอ้ มของการเรียนการสอน เพื่อจะบนั ทึกเป็ น 3ห0น0า้ ||3ก1า4รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

หลกั ฐานว่า นกั เรียนไดเ้ รียนรู้อะไรและอยา่ งไร เม่อื เทียบกบั วตั ถุประสงค์ท่ีกาํ หนดไวใ้ นการเรียน วิชาน้นั ๆ ผทู้ าํ การวิจยั ในช้นั เรียนจึงเป็นผคู้ วบคุมวิธีการท่ีจะใชโ้ ดยมีความสนใจอยทู่ ี่การกอ่ ใหเ้ กิด ความรู้ท่ีก่อนจะจบการเรียนการสอนแต่ละภาคการศึกษา 3) พฒั นาทกั ษะการปฏิบตั ิงาน ทาํ งานเป็นทีม การแลกเปลย่ี นเรียนรู้ประสบการณ์ การวิจยั ในช้นั เรียนจะช่วยให้ครูและนกั เรียนเรียนรู้ร่วมกนั และเรียนรู้ซ่ึงกนั และกนั นาํ มาสู่การคน้ พบว่าอะไรเป็นสิ่งที่แต่ละฝ่ ายตอ้ งการ โดยไมต่ อ้ งอาศยั การเดาผดิ เดาถกู หรือ การเดาใจกนั การตอบไม่ถูกใจครูก็จะไม่มีอีกต่อไป แนวคิดในการวิจยั ของครูต้องมีสาเหตุอนั เน่ืองมาจากความประสงคใ์ นการท่ีจะปรับปรุง พฒั นาการปฏิบตั ิงานของตนในปัญหาเฉพาะอยา่ ง กบั กลุ่มนักเรียนเฉพาะกลุ่ม เป็ นการเปลี่ยนการใช้ความรู้และประสบการณ์จากแหล่งความรู้ ภายนอก มาใชแ้ หลง่ ประสบการณ์ภายในหอ้ งเรียนเพอื่ การปรับปรุงหอ้ งเรียนในดา้ นการเรียนการ สอนและใชอ้ งคค์ วามรู้ในพ้นื ฐานประสบการณ์ของตนเอง สรุ ปได้ว่า การวิจัยในช้ันเรี ยน เป็ นกระบวนการในการแก้ปัญหาหรื อพัฒนา กระบวนการจดั การเรียนรู้ในช้นั เรียนที่ครูรับผดิ ชอบอย่างเป็ นระบบ เพ่ือสืบคน้ ให้ไดส้ าเหตุของ ปัญหา แลว้ หาวิธีแกไ้ ขหรือพฒั นาท่ีเช่ือถือได้ เช่น การสังเกต จดบนั ทึก และวิเคราะห์หรือ สังเคราะห์เพ่ือนําไปสู่การแกป้ ัญหาหรือพฒั นากระบวนการจดั การเรียนการสอนของครู และ พฒั นาการเรียนรู้ของผเู้ รียนใหม้ ีคุณภาพตามเป้าหมายท่ีกาํ หนดไว้ เพือ่ ส่งเสริมผเู้ รียนให้ไดร้ ับการ พฒั นาตามธรรมชาติและเต็มตามศกั ยภาพ ดังน้ัน ดว้ ยบทบาทของครูในภาระหน้าที่ของการ ออกแบบการเรียนการสอน การจดั บรรยากาศ สภาพแวดลอ้ ม ส่ือการเรียน และการอาํ นวยความ สะดวกใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ จึงทาํ ใหค้ รูตอ้ งเปลีย่ นบทบาทจากผสู้ อนมาเป็นผวู้ ิจยั เพอ่ื พฒั นาการ จดั การเรียนการสอน และการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ของผเู้ รียนเพื่อพฒั นาและแกป้ ัญหาต่าง ๆ ท่ี เกิดข้ึนจากการจดั การเรียนการสอน การวจิ ยั ในช้นั เรียน จึงเป็นปัจจยั ท่ีมคี วามจาํ เป็นอยา่ งยงิ่ ต่อการ พฒั นาการจดั การศกึ ษาและวชิ าชีพครู 5. การเสริมสร้างให้ครูประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยแี ละสร้างนวตั กรรมการศึกษา วสนั ต์ อติศพั ท์ (2547 : 1) เสนอแนวทางการจดั การศึกษาที่เหมาะสมสาํ หรับนักศึกษา ครูที่จะมที กั ษะการบูรณาการเทคโนโลยใี นการประกอบวิชาชีพ ท่ีแบ่งออกไดเ้ ป็น 4 ระดบั คือ 1) ข้นั เทคโนโลยีพ้ืนฐานท่ีเนน้ การสร้างทกั ษะเป็ นรายบุคคลและใหม้ ีประสบการณ์ ตรงในการใชเ้ ทคโนโลยเี พ่อื การศกึ ษา 2) ข้นั สร้างความเชี่ยวชาญในวิชาเน้ือหา ในข้นั น้ีการเรียนการสอนจะเนน้ เทคนิค เฉพาะในการบูรณาการเทคโนโลยจี ากข้นั แรกในเน้ือหาวชิ าการที่สอน การพฒั นาความเปน็ ครูวิชาชหพี นา้| |331051

3) ข้นั กา้ วหนา้ ที่จะส่งเสริมใหม้ ที กั ษะที่สูงข้ึนในการนาํ เทคโนโลยไี ปใชใ้ นการสอนจริง 4) ข้ันการสนับสนุนและให้บริการทางเทคโนโลยีหลงั จากสาํ เร็จการศึกษาและ ประกอบวชิ าชีพในสถานศกึ ษา สุจินต์ ภิญญานิล (2552) ไดก้ ล่าวถึงการใชเ้ ทคโนโลยเี พ่ือการบริหารงานวิชาการใน สถานศกึ ษา ควรกาํ หนดเป็นแผนยทุ ธศาสตร์การพฒั นา ICT เพื่อใหผ้ บู้ ริหารสถานศึกษาสนับสนุน และดาํ เนินงานอย่างต่อเน่ือง ให้ครูผูส้ อนตอ้ งไดร้ ับการพฒั นาดว้ ยการฝึ กอบรมความรู้ในการ ประยกุ ตใ์ ช้ ICT ในการสอน และเป็นเครื่องมอื ในการเรียนรู้แก่ผเู้ รียนเพิ่มข้ึน เป็นการมุ่งเนน้ ท่ีการ เรียนรู้ดว้ ยเทคโนโลยี ประโยชนข์ องเทคโนโลยตี ่อการพฒั นาครูมีดงั น้ี 1) เทคโนโลยีเป็ นแหล่งในการสร้างความคิดรวบยอด วางระบบ สาํ รวจปัญหาและ ทกั ษะพ้นื ฐาน 2) เทคโนโลยชี ่วยใหเ้ กิดการทาํ งานเป็ นกลุ่มและการสร้างความร่วมมือในการสืบคน้ นาํ ไปสู่การเรียนรู้ในรูปแบบท่ีหลากหลายของนกั เรียนและความตอ้ งการพิเศษต่าง ๆ 3) เทคโนโลยี อาํ นวยความสะดวกในการทาํ งานของผเู้ รียนรายบุคคล ปรับการสอน ตามความต้องการเป็ นรายบุคคล เปล่ียนบทบาทใหม่ แนะแนวทางมากกว่าการบอก ลดการ บรรยายเพม่ิ กิจกรรมท่ีผเู้ รียนเป็นสาํ คญั ในช้นั เรียน 4) เทคโนโลยีช่วยงานประจาํ วนั ของครู ได้แก่ การเตรียมแผนการสอน การ ปฏิบตั ิงานระเบียนนกั เรียน การติดต่อสื่อสารกบั ผปู้ กครอง ผบู้ ริหาร และนกั เรียน 5) เทคโนโลยีช่วยพัฒนาสมรรถนะครู ได้แก่ การใช้ในการฝึ กอบรมและ สนบั สนุน เช่น การใชร้ ะบบดาวเทียม วดี ิทศั น์ เคเบิล คอมพิวเตอร์ ครูตน้ แบบ 6) เทคโนโลยชี ่วยในการพฒั นาหลกั สูตรทั่วไปและระดับสูง เช่น การใชร้ ะบบ การศึกษาทางไกลผา่ นเทคโนโลยี 7) เทคโนโลยชี ่วยพฒั นาระบบการศึกษาอ่ืน ๆ ที่เหมาะสม เช่น การติดต่อกบั ครูหรือ ผเู้ ช่ียวชาญโดยการออนไลน์ เฉลิมชยั วรรณสาร (2556 : 14) ศึกษาแนวทางการพฒั นาครูโดยใชก้ ระบวนการจดั การ ความรู้ในโรงเรียนประถมศึกษาสังกดั สาํ นักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 พบวา่ ผบู้ ริหารโรงเรียนควรใหก้ ารสนบั สนุน และส่งเสริมการแลกเปลีย่ นความรู้ การใชเ้ ทคโนโลยี ในการจดั การเรียนการสอนให้ครูมีการนาํ การจดั การความรู้ไปพฒั นากระบวนการเรียนรู้ ในการ ปฏิบตั ิงาน กระจ่าง หลกั คาํ (2556 : 2) ศกึ ษาสภาพปัญหาและแนวทางพฒั นาการบริหารหลกั สูตร สถานศึกษาตามแนวทางหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 ของโรงเรียนตน้ แบบ 3ห0น2า้ ||3ก1า6รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

และโรงเรียนพร้อมใช้ ในสงั กดั สาํ นกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 36 พบว่า ตอ้ งส่งเสริม ใหค้ รูไดร้ ับการพฒั นาดว้ ยวธิ ีการที่หลากหลายและดาํ เนินการอยา่ งต่อเนื่อง เช่น การประชุมสมั มนา การอบรมเชิงปฏิบตั ิการการศึกษาดูงาน การติดตามขอ้ มูลข่าวสารผา่ นส่ือเทคโนโลยีต่าง ๆ และ สนับสนุนงบประมาณ ทรัพยากรให้เพียงพอเหมาะสม นอกจากน้ี ยงั ต้องมีการส่งเสริมการ ดาํ เนินงานแบบสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วมในระดับต่าง ๆ ท้งั ในสถานศึกษาและนอก สถานศกึ ษาอยา่ งจริงจงั ตลอดจนส่งเสริมบรรยากาศท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้ท้งั การจดั การแหล่งเรียนรู้ และการแลกเปลย่ี นเรียนรู้ร่วมกนั วุทธิศกั ด์ิ โภชนุกูล (2557)ไดก้ ล่าวถึงการกา้ วเขา้ สู่ยคุ สงั คมสารสนเทศไดส้ ร้างความ เปล่ียนแปลงในวิถชี ีวติ ความเป็ นอยู่ วฒั นธรรม รวมท้งั เทคโนโลยสี ารสนเทศไดเ้ ขา้ มามีบทบาท อย่างสูงในสงั คมยุคใหม่ เพื่อเตรียมคนรุ่นใหม่ที่จะต้องรู้เท่าทนั เทคโนโลยแี ละนาํ เทคโนโลยี เหลา่ น้นั ไปใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งเต็มที่ จึงจาํ เป็นตอ้ งสร้างเยาวชนของชาติเพื่อเขา้ สู่สงั คมยคุ ใหม่โดย การจดั สภาพแวดลอ้ มใหม่ทางการศึกษาท้ังในดา้ นเน้ือหา ส่ือ และกระบวนการจดั การเรียนรู้ ดงั น้กั ารบูรณาการนวตั กรรมเทคโนโลยใี นการจดั การเรียนการสอนจึงเป็ นปัจจยั ที่สาํ คญั ประการ หน่ึงในการปฏริ ูปการศึกษาเพอื่ ตอบสนองต่อพระราชบญั ญตั ิการศึกษา พ.ศ. 2542 ท่ีมีการบญั ญตั ิ ไวใ้ นหมวด 9 ว่าดว้ ยเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา โดยมีเป้าหมายเพ่ือส่งเสริมการใชน้ วตั กรรม เทคโนโลยีในการเรียนการสอนอยา่ งกวา้ งขวาง ซ่ึงมุ่งเน้นให้เกิด “การสอนด้วยเทคโนโลยี” มากกวา่ “การสอนเก่ียวกบั เทคโนโลย”ี สรุปจะเห็นไดว้ า่ การส่งเสริมใหค้ รูนาํ เทคโนโลยมี าใชใ้ นการจดั การเรียนการสอนเป็ น สิ่งจาํ เป็นในสงั คมแห่งการเรียนรู้ของครู และในกระบวนการผลติ ครู ผบู้ ริหารสถานศึกษาจึงมีส่วน สนับสนุนดา้ นการฝึ กอบรมให้ครูผสู้ อนมีทักษะการประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยีท้งั ภายในและนอก สถานศึกษา และสอดคลอ้ งกบั ผูเ้ รียนปัจจุบนั ถือเป็ นแนวทางในการพฒั นาทกั ษะความเป็ นผูน้ ํา ดา้ นเทคโนโลยีของครูดา้ นหน่ึงของสังคมฐานความรู้ในประเทศไทย ครูมีการนาํ เทคโนโลยีมา สร้างเป็ นนวตั กรรมใหม่ เช่นการทาํ อีบุ๊ก (e-book) เพ่ือส่ือสารความรู้ทางการศึกษาผ่านระบบ การศกึ ษาทางไกลและนวตั กรรมใหมท่ างเทคโนโลยตี ่าง ๆ เกิดทกั ษะการคน้ ควา้ แลกเปล่ียนเรียนรู้ ทางด้านการศึกษา เอ้ืออาํ นวยความสะดวกในการเรียนรู้แก่ผูเ้ รียน และครูสามารถศึกษาเพื่อทาํ ผลงานทางวิชาการเผยแพร่ประชาสมั พนั ธค์ วามรู้และนวตั กรรมที่ตนเองสร้างข้ึนบนโลกออนไลน์ ที่เขา้ ถึงไดง้ ่าย เป็ นการส่งเสริมทกั ษะการเรียนรู้ คิด ประดิษฐง์ านวิชาการที่สร้างสรรคข์ องครู รวมท้งั การพฒั นาหลกั สูตร และจดั การเรียนการสอนท่ีเน้นผูเ้ รียนเป็ นสาํ คัญ ครูท่ีมีความรู้และ เชี่ยวชาญดา้ นการประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยจี ะเกิดทกั ษะผูน้ าํ ดา้ นการใชเ้ ทคโนโลยีสู่ผูเ้ รียนอย่างมี ประสิทธิภาพ การพัฒนาความเป็นครวู ิชาชหพี นา้| |331073

6. การจดั โครงการยกย่องเชิดชูเกยี รตคิ รู ปฐมพงศ์ ศุภเลิศ (2549 : 1)ไดก้ ล่าวถึง คุรุสภาไดพ้ ยายามอยา่ งต่อเน่ืองต้งั แต่เริ่มแรก ของการต้งั คุรุสภามา ในการยกยอ่ งเกียรติคุณวิชาชีพครูประกอบกบั นับต้งั แต่ไดม้ ีพระราชบญั ญตั ิ สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 คุรุสภามีความประสงคจ์ ะพฒั นา ยกย่อง ส่งเสริมผู้ ประกอบวิชาชีพใหม้ ศี กั ยภาพในการประกอบวิชาชีพ และมคี วามภาคภูมใิ จในวิชาชีพ เพ่อื ยกระดบั มาตรฐานวิชาชีพและพัฒนาวิชาชีพทางการศึกษาให้เป็ นท่ียอมรับในระดับชาติและระดับ สากล กิจกรรมการยกยอ่ งเชิดชูเกียรติผูป้ ระกอบวิชาชีพทางการศึกษาของคุรุสภาปัจจุบนั มีดงั น้ี 6.1 การจดั งานวนั ครู เพ่อื เป็นการยกยอ่ งวชิ าชีพทางการศึกษาใหส้ งั คมเห็นความสาํ คญั ของวชิ าชีพครู ที่ ทาํ คุณประโยชน์ให้แก่เยาวชนและประเทศชาติ และระลึกถึงพระคุณครูผูอ้ บรมส่งเสริมถ่ายทอด ความรู้แก่เยาวชนใหเ้ ป็นพลเมอื งดีของชาติ วนั ครูไดจ้ ดั ใหม้ ีข้ึนเป็นคร้ังแรกใน พ.ศ. 2500 หลงั จาก พระราชบญั ญตั ิครู พ.ศ. 2488 ประกาศใช้ 12 ปี สถานท่ีจดั งานวนั ครูคร้ังแรกของจงั หวดั พระนคร และธนบุรี คือ กรีฑาสถานแห่งชาติ คณะกรรมการคุรุสภาในคราวประชุม เม่ือวนั ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ไดม้ ีมติรับขอ้ เสนอของคณะอนุกรรมการและใหก้ ระทรวงศึกษาธิการนาํ เสนอรัฐบาล เพ่อื กาํ หนดใหว้ นั ที่ 16 มกราคม เป็นวนั ครู ซ่ึงคณะรัฐมนตรีไดม้ ีมติเมื่อวนั ท่ี 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 ใหว้ นั ท่ี 16 มกราคมของทุกปี เป็นวนั ครู ท้งั น้ีคุรุสภาจะเป็นแกนนาํ ในการจดั งานวนั ครูพร้อม กนั ทว่ั ประเทศท้งั ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยส่วนกลางจดั ณ หอประชุมคุรุสภา ส่วนภูมิภาคมี สาํ นกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาเป็นแกนนาํ ในการจดั งานวนั ครู 6.2 การประกาศเกยี รตคิ ณุ ผ้ปู ระกอบวชิ าชีพทางการศึกษารับเคร่ืองหมายเชิดชูเกยี รติ “คุรุสดุดี” มีวตั ถุประสงค์เพ่ือยกย่องผูป้ ระกอบวิชาชีพทางการศึกษาท่ีปฏิบัติตนตาม จรรยาบรรณของวิชาชีพ จนสามารถเป็ นแบบอยา่ งและเป็ นที่เคารพยกย่องอย่างสูงของศิษยแ์ ละ บุคคลทว่ั ไป สมเป็ นปูชนียบุคคลและมีความเสียสละ อุทิศตนเพื่อประโยชน์แก่วิชาชีพตลอด ระยะเวลาปฏิบตั ิงาน ไดร้ ับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ “คุรุสดุดี” ในวนั ท่ี 5 ตุลาคมของทุกปี ซ่ึง สาํ นักงานเลขาธิการคุรุสภาจะมอบใหเ้ ขตพ้ืนที่การศึกษาหรือหน่วยงานที่ไม่ไดส้ ังกดั เขตพ้ืนท่ี การศึกษาดาํ เนินการคดั เลือกผสู้ มควรไดร้ ับเคร่ืองหมายเชิดชูเกียรติ “คุรุสดุดี” เสนอสาํ นักงาน เลขาธิการคุรุสภา เพือ่ เสนอคณะกรรมการคุรุสภาอนุมตั ิ หนา้ | 318 304 | การพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

6.3 การประกาศเกยี รตคิ ณุ ครูภาษาไทยดีเด่น เพื่อเป็นการยกยอ่ งครูภาษาไทยดีเด่นซ่ึงเป็นครูผปู้ ฏิบตั ิการสอนครบ 8 กลุ่มสาระ ในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ท้งั ของรัฐและเอกชนท่ีมีความสามารถสูงในการประกอบอาชีพและ ปฏบิ ตั ิงานดีมผี ลงานดีเด่นและสามารถจดั การเรียนการสอนภาษาไทยอย่างมีประสิทธิภาพ คุรุสภา จึงดาํ เนินการประกาศเกียรติคุณโดยการมอบเข็มพระนามาภิไธยย่อ สธ. ซ่ึงไดร้ ับพระบรมราชา- นุญาตจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมโล่เกียรติคุณ ในวนั ที่ 14 พฤศจิกายน ของทุกปี 6.4 การคดั สรรผลงานการวจิ ยั ในช้ันเรียน สาํ นกั งานเลขาธิการคุรุสภาเร่ิมดาํ เนินการคดั สรรผลงานการวิจยั ในช้นั เรียนต้งั แต่ พ.ศ. 2547 มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่อื พฒั นาความรู้ ทกั ษะ และประสบการณ์ ในการทาํ วิจยั ในช้นั เรียนแก่ ครู เป็นเวทีแลกเปล่ียนเรียนรู้ในการสร้างและเผยแพร่ผลงานวิจยั ท่ีมีคุณภาพและเสริมสร้างขวญั กาํ ลงั ใจแก่ครูใหม้ นั่ ใจ และสามารถพฒั นางานวจิ ยั นอกจากน้ี ยงั เป็นการส่งเสริมใหเ้ กิดการพฒั นา เครือข่ายครูนกั วิจยั โดยสาํ นักงานจะจดั เวทีใหผ้ ูไ้ ดร้ ับการคดั เลือกนาํ เสนอผลงานในการประชุม วิชาการเป็นประจาํ ทุกปี ปัจจุบนั น้ีมโี ครงการการเชิดชูเกียรติครูมากมายนอกเหนือจากคุรุสภาจดั ข้นั ที่ครู ไทยรู้จกั ดีคือ โครงการครูสอนดี ซ่ึงคณะรัฐมนตรีสมยั น้นั มีมติเม่ือวนั ที่ 11 มกราคม 2554 ให้ ความเห็นชอบจดั ต้งั สาํ นักงานส่งเสริมสงั คมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน ข้ึนพร้อมอนุมตั ิ งบประมาณใหด้ าํ เนินงานตามโครงการสังคมไทยร่วมกนั คืนครูดีให้ศิษย์ เชิดชู ยกยอ่ งครูสอนดี เพ่ือร่วมกันเชิดชูและมอบรางวลั ให้แก่ครูสอนดีเพื่อเป็ นตน้ แบบให้แก่ครูท้งั ประเทศและเป็ น กาํ ลงั ใจให้ผทู้ ี่กาํ ลงั ทาํ หน้าที่ครู ท้งั ครูในเคร่ืองแบบและครูนอกเครื่องแบบ ภายใตแ้ นวคิด สอน เป็น เห็นผล คนยกยอ่ ง 6.5 ครูสอนดี คุณสมบตั ิของครูสอนดี 3 ประการ 1) ไม่เป็นผปู้ ระกอบอาชีพครูสอนพิเศษเป็นอาชีพหลกั 2) เป็นผปู้ ฏบิ ตั ิหนา้ ท่ีอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ดงั น้ี 2.1) เป็ นครู ครูอตั ราจา้ ง หรือลูกจา้ งชว่ั คราว ซ่ึงปฏิบตั ิงานสอนในระดบั ประถมศึกษา มธั ยมศึกษา หรือระดบั ประโยควิชาชีพในสถานศึกษาของรัฐ เอกชน หรือองค์กร ปกครองส่วนทอ้ งถิ่น 2.2) เป็ นผูท้ ่ีทาํ หน้าที่ส่งเสริ มสนับสนุนการสอนในสถานศึกษา และ ปฏิบตั ิงานสอนในแต่ละระดบั การศกึ ษายกเวน้ ผบู้ ริหารสถานศึกษา การพฒั นาความเป็นครูวชิ าชหพี นา้ || 33109 5

2.3) เป็นครูสอนเดก็ ดอ้ ยโอกาส 2.4) เป็นครูท่ีสอนในรูปแบบการศึกษาทางเลือก 3) เป็ นผูจ้ ัดกระบวนการเรี ยนรู้ได้ดี มีผลการสอนที่ทาํ ให้ลูกศิษยป์ ระสบ ความสาํ เร็จ ความกา้ วหนา้ ทางการศกึ ษา หนา้ ท่ีการงาน การดาํ เนินชีวติ และเป็นแบบอย่างที่ดี เป็ น ที่ยกยอ่ ง ของลูกศษิ ย์ เพ่อื นครูและชุมชน 4) การสรรหาครูสอนดี ผูท้ าํ หน้าที่สรรหามี 2 ชุด ชุดที่ 1 สถานศึกษาของรัฐ เอกชน หรือองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน เป็ นผูส้ รรหา ชุดท่ี 2 องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่น เทศบาล/องคก์ ารบริหารส่วนตาํ บลเป็นผสู้ รรหา 5) การสรรหาโดยสถานศึกษา ประกอบดว้ ยภาคี 4 ฝ่ าย ผูบ้ ริหารสถานศึกษา ครู นกั เรียนและผปู้ กครอง กรรมการระดบั ทอ้ งถิ่น ประกอบดว้ ยนายกเทศมนตรีหรือองคก์ ารบริหาร ส่วนตาํ บลเป็ นผูส้ รรหา เป็ นประธาน ผแู้ ทนเด็กและเยาวชน ผูแ้ ทนองค์กรสาธารณประโยชน์ ผทู้ รงคุณวุฒิดา้ นการศึกษา ศาสนา วฒั นธรรม ฯลฯ ซ่ึงอยนู่ อกราชการ แต่งต้งั โดยผูว้ ่าราชการ จงั หวดั หรือนายอาํ เภอ สรุป การจัดโครงการยกย่องเชิดชูเกียรติครูเป็ นแนวทางหน่ึงซ่ึงช่วยให้ครูเกิดแรง บนั ดาลใจในการฝึกฝนทกั ษะผนู้ าํ ทางวิชาการในวิชาชีพของตน และมีความภาคภูมิใจในวิชาชีพ เพอ่ื ยกระดบั มาตรฐานวิชาชีพและพฒั นาวิชาชีพทางการศึกษาให้เป็ นท่ียอมรับในระดบั ชาติและ ระดบั สากล และในแต่ละโครงการมีเกณฑค์ ดั เลอื กครูใหม้ ีความเหมาะสมกบั รางวลั ที่ไดร้ ับ ท้งั ใน ดา้ นการปฏบิ ตั ิงาน การปฏิบตั ิตนตามจรรยาบรรณแห่งวชิ าชีพ ดงั น้นั แนวทางในการพฒั นาครูท่ีแต่ ละภาคส่วนมีส่วนร่วมกนั จดั ทาํ ข้ึนลว้ นมีส่วนพฒั นาทกั ษะผนู้ าํ ทางวชิ าการของครูท้งั สิ้นโดยเฉพาะ ผนู้ าํ ทางดา้ นคุณธรรมจริยธรรมคูความรู้รอบ สรุปท้ายบท ภาวะผนู้ าํ หรือความเป็นผนู้ าํ ท่ีมปี ระสิทธิภาพ มีความสาํ คญั ต่อความสาํ เร็จขององค์กรใน การดาํ เนินงานตามที่กาํ หนดไว้ ภาวะผูน้ าํ ทางวิชาการ เป็ นกระบวนการต่าง ๆ ที่ผูน้ าํ ใชก้ ลยทุ ธ์ ทางการบริหารวิชาการ โนม้ น้าว จูงใจ หรือช้ีนาํ ให้ครู บุคลากรในสถานศึกษา และผูเ้ กี่ยวขอ้ ง ทางการศกึ ษาเขา้ ใจ ตระหนกั ในจุดมุ่งหมายของการจดั การศึกษา จนนาํ ไปสู่การบรรลเุ ป้าหมายของ กล่มุ อยา่ งมปี ระสิทธิผล ภาวะผนู้ าํ ครู หมายถึง คุณลกั ษณะและพฤติกรรมของครูท่ีแสดงถึงความ เก่ียวข้องสัมพนั ธ์ส่วนบุคคล และการแลกเปล่ียนเรียนรู้ซ่ึงกนั และกันท้งั ภายในและภายนอก หอ้ งเรียน โดยปราศจากการใชอ้ ทิ ธิพลของผูบ้ ริหารสถานศึกษา ก่อให้เกิดพลงั แห่งการเรียนรู้เพ่ือ พฒั นาการจดั การเรียนรู้ใหม้ ีคุณภาพ ไดแ้ ก่ วุฒิภาวะความเป็ นผูใ้ หญ่ท่ีเหมาะสมกบั ความเป็ นครู 3ห0น6า้ || 3ก2า0รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

การสนทนาอยา่ งสร้างสรรค์ การเป็นบุคคลแห่งการเปลี่ยนแปลง การปฏิบตั ิงานอยา่ งไตร่ตรอง การ มงุ่ พฒั นาผลสมั ฤทธ์ิผเู้ รียน ทกั ษะผนู้ าํ ทางวชิ าการในศตวรรษที่ 21 ไดแ้ ก่ ทกั ษะการวางแผน การ สร้างทีมงาน การต้งั คาํ ถาม การคิดสร้างสรรค์ ทกั ษะการประเมนิ ตนเอง และการใชเ้ ทคโนโลยีและ การสื่อสาร แนวทางการพฒั นาครูสู่การเป็ นผูน้ าํ ทางวิชาการ เช่น การประเมินสมรรถนะครูการ สร้าง วินยั 5 ประการในองคก์ รแห่งการเรียนรู้ การสร้างเครือข่ายแลกเปลย่ี นเรียนรู้ การส่งเสริมให้ ครูทาํ วจิ ยั ในช้นั เรียน การเสริมสร้างใหค้ รูประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยใี นและสร้างนวตั กรรมการศึกษา และการจดั โครงการยกยอ่ งเชิดชูเกียรติครู คาํ ถามทบทวน 1. ความหมายของผนู้ าํ ภาวะผนู้ าํ ผนู้ าํ ทางวิชาการ และภาวะผนู้ าํ ทางวชิ าการเป็นอยา่ งไร 2. ภาวะผนู้ าํ เชิงยทุ ธศาสตร์มีลกั ษณะอยา่ งไร 3. คุณลกั ษณะของผนู้ าํ ทางวิชาการเป็นอยา่ งไร 4. ผนู้ าํ การสร้างทีมงานในสถานศึกษามีลกั ษณะภาวะผนู้ าํ อยา่ งไร 5. ภาวะผนู้ าํ ครูมีองคป์ ระกอบใดบา้ ง 6. ทกั ษะผนู้ าํ ในศตวรรษท่ี 21 ตามความเขา้ ใจของนกั ศึกษาควรมลี กั ษณะอยา่ งไร 7. ทกั ษะดา้ นเทคโนโลยแี ละการส่ือสารมคี วามสาํ คญั อยา่ งไรต่อผนู้ าํ ทางวชิ าการ 8. หากนกั ศกึ ษาเป็นครูท่ีมบี ทบาทเป็นผนู้ าํ วิชาการ นกั ศึกษาตอ้ งพฒั นาภาวะผนู้ าํ อยา่ งไร 9. ผบู้ ริหารสถานศึกษามบี ทบาทภาวะผนู้ าํ อยา่ งไรในสถานศึกษา 10.การสร้างเครือข่ายแลกเปลีย่ นเรียนรู้ช่วยใหค้ รูพฒั นาการเรียนการสอนอยา่ งไร การพฒั นาความเป็นครูวิชาชหพี นา้|| 332017

เอกสารอ้างอิง กระจ่าง หลกั คาํ . (2556). การบริหารหลกั สูตรสถานศึกษา ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน พื้นฐาน พ.ศ. 2551 ของโรงเรียนต้นแบบและโรงเรียนพร้อมใช้ ในสังกัดสํานักงานเขต พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36. เอกสารการประชุมวิชาการและการนําเสนอ ผลงานวิจยั ระดบั ชาติ การบริหารการศึกษาสัมพนั ธแ์ ห่งประเทศไทย คร้ังท่ี 35 “การบริหาร การศกึ ษา ในศตวรรษท่ี 21”19–20 เมษายน 2556 จดั โดยภาควิชาการบริหารการศึกษา คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ร่วมกบั สมาคมพฒั นาวิชาชีพการบริหาร การศกึ ษาแห่งประเทศไทย กญั ญา วีรยวรรธน. (2557). เทคนิคการต้ังคาํ ถาม [ออนไลน์]. สืบคน้ จาก : http://www1.nsdv.go. th/innovation/questioning.htm. [30 สิงหาคม 2557] กลั ยภรณ์ ดารากร ณ อยธุ ยา. (2554). ความสัมพนั ธ์ระหว่างรูปแบบภาวะผู้นํา วฒั นธรรมองค์การ กบั ความคดิ สร้างสรรค์ของบุคคล ศึกษาธนาคารพาณชิ ย์ในเขตจงั หวดั นครปฐม. ปริญญา บริหารธุรกิจมหาบณั ฑิต มหาวิทยาลยั ศิลปากร. กาญจนา วธั นสุนทร. (2557). การวจิ ยั ในช้ันเรียนและคณุ ภาพการเรียนการสอน[ออนไลน์]. สืบคน้ จาก : http://www.mp.kus.ku.ac.th/Research_Project/Article/quality_learn.pdf. [15 เมษายน 2557] การศกึ ษานอกโรงเรียนอาํ เภอบา้ นแพว้ . (2557). บทบาทของผ้บู ริหารการศึกษาในการส่งเสริมการ ทําวิจยั ในช้ันเรียน [ออนไลน์]. สืบคน้ จาก : https://www.gotoknow.org/posts/511313.[3 ตุลาคม 2557] กริช นุ่มวดั (2546). พฤตกิ รรมความเป็ นผู้นําทางวิชาการของครูใหญ่โรงเรียนเอกชนที่ส่งผลต่อ การปฏิบัติงานของครูตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครูของคุรุสภา พ.ศ. 2537. ปริญญา นิพนธม์ หาบณั ฑิต มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร. ครรชิต มาลยั วงศ.์ (2557). เทคโนโลยกี ารบริหารการศึกษา. สาระไอทีเพ่ือชีวาภิวัฒน์ [ออนไลน์]. สืบคน้ จาก : http://www.drkanchit.com/general_articles/articles/general_24.html. [15 เมษายน2557]. เครือข่ายครูนอ้ ย. (2557). ความคดิ สร้างสรรค์กับการเรียนรู้ [ออนไลน์]. สืบคน้ จาก : https://sites. google.com/site/krunoinetwork/khwam-khid-srangsrrkh-kab-kar-reiyn-ru. [3 สิงหาคม 2557] 3ห0น8า้ ||3ก2า2รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

จกั รพงศ์ ถาบุตร. (2547). ความสัมพนั ธ์ระหว่างบทบาทผู้นําทางวชิ าการของผู้บริหารสถานศึกษา กบั การปรับพฤตกิ รรมครูตามเกณฑ์มาตรฐานวชิ าชีพครูในสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน สังกดั สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาสกลนคร เขต 3. วิทยานิพนธ์ปริ ญญามหาบัณฑิต. มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช. จิรวฒั น์ กิติพิเชฐสรรค์. (2556). เอกสารประกอบการสอนวชิ า 1065212 ผู้นําทางวชิ าการและการ พัฒนาหลกั สูตร พิมพค์ ร้ังที่ 1. สาํ นกั พฒั นาตาํ ราและหนังสือทางวิชาการ มหาวิทยาลยั กรุงเทพธนบุรี จิรินทร์ แสกระโทก. (2551). การศึกษาคุณลกั ษณะความเป็ นมืออาชีพของผ้บู ริหารสถานศึกษาของ โรงเรียนในโครงการหน่ึงอาํ เภอหนึ่งโรงเรียนในฝัน ในกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ มหาบณั ฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . เฉลิมชัย วรรณสาร. (2556). การพัฒนาครูโดยใช้ กระบวนการจัดการความรู้ในโรงเรียน ประถมศึกษาสังกดั สํานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1. เอกสารการ ประชุมวิชาการและการนาํ เสนอผลงานวิจยั ระดบั ชาติ การบริหารการศึกษาสัมพนั ธแ์ ห่ง ประเทศไทย คร้ังท่ี 35 “ การบริหารการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ” 19–20 เมษายน 2556 จดั โดยภาควิชาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ร่วมกบั สมาคมพฒั นาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย ณฏั ฐพนั ธ์ เขจรนนั ทน์ และคณะ. (2545). การสร้างทีมงานที่มปี ระสิทธิภาพ. กรุงเทพฯ : เอก็ ซเปอร์ เน็ท. ถาวร เสง้ เอียด. (2550). ปัจจัยที่มอี ิทธิพลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนประถมศึกษา ในจงั หวัด ชายแดนภาคใต้ สังกดั สํานกั งานคณะกรรมการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน. ปริญญานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบณั ฑิต. กรุงเทพฯ : บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ. เทียมจนั ทร์ พานิชผลินไชย. (2557). กลยุทธ์การวางแผนพฒั นาคุณภาพผ้เู รียน.[ออนไลน์]. สืบคน้ จาก : http://office.nu.ac.th/edu_teach/ASS/Download/n.pdf. [23 ตุลาคม 2557] นภา หลิมรัตน์. (2557). เทคนิคการต้งั คาํ ถาม.โต๊ะข่าวแพทยศึกษา[ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://kmmed.kku.ac.th/journal/study/journal_study_001.pdf.[23 ตุลาคม 2557]. นภาดาว เกตุสุวรรณ. (2555). ความสัมพนั ธ์ระหว่างภาวะผู้นําทางวชิ าการของผ้บู ริหารสถานศึกษา พอเพยี งกบั การขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งในสังกดั สํานกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษา มธั ยมศึกษา เขต 4 .วิทยานิพนธม์ หาบณั ฑิต. มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั ญบุรี การพฒั นาความเป็นครูวิชาชหพี นา้| |332039

บังอร จงสมจิตต์. (2551). คุณลักษณะผู้นําของผู้บริหารที่สัมพันธ์กับการจัดการความรู้ของ สถานศึกษาในเขตพื้นทก่ี ารศึกษาสุพรรณบุรีเขต 2. ปริญญานิ พ น ธ์ ม ห า บั ณ ฑิ ต มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร. บุหงา วชิระศักด์ิมงคล. (2557). ภาวะผู้นําทางวิชาการ[ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://office.nu.ac.th /edu_teach/ASS/Download/vchk pdf. [3 ตุลาคม 2557] ประยทุ ธ ปยตุ โต. (2540). ภาวะผนู้ าํ . กรุงเทพฯ : ธรรมสภา. ปฐมพงศ์ ศุภเลิศ. (2557). การยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา[ออนไลน์]. สืบคน้ จาก : https://www.gotoknow.org/posts/57930. [3 ตุลาคม 2557] ปราวีณยา สุวรรณณัฐโชติ.(2549). “การบริหารและการใช้ ICT เพ่ือการเรียนรู้ในโรงเรียน: ประสบการณ์จาก Best Practices ของไทย”.ใน อลิศรา ชูชาติ, อมรา รอดดารา และสร้อย สน สกลรัตน์ (บรรณาธิการ), นวตั กรรมการจดั การเรียนรู้ตามแนวปฏิรูปการศกึ ษา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . พชั ราณี ฟักทองพรรณ. (2553). แนวโน้มคณุ ลกั ษณะผู้นําท่ีพึงประสงค์ของผู้บริหารโรงเรียนสตรี เอกชน. วทิ ยานิพนธค์ รุศาสตรดุษฎีบณั ฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . พิมพฐ์ ดา วจั นวงศ์. (2555). ศึกษากลยุทธ์การพัฒนาคุณลักษณะผู้นําแบบไทยของผู้บริหาร สถานศึกษาข้นั พืน้ ฐาน. วทิ ยานิพนธค์ รุศาสตรดุษฎีบณั ฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . พิมพนั ธ์ เดชะคุปต.์ (2544). วิจยั ในช้นั เรียน : ทกั ษะวิชาครูยุคปฏิรูปการศึกษา (ตอนท่ี 1). สาน ปฏิรูป 4 (41). สิงหาคม. สถาบนั พฒั นาคุณภาพวชิ าการ. ภทั รจิตติ บุรีเพยี . (2555). ภาวะผู้นาํ ครู :Teacher Leadership [ออนไลน]์ . สืบคน้ จาก : http://kajub kajib.blogspot.com/2012/04/teacher-leadership.html. [3 ตุลาคม 2557] ภทั รวดี อุ่นวงษ์. (2555). คุณลักษณะผู้นําทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน สังกัด สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 1. ปริญญานิพนธม์ หาบณั ฑิต มหาวิทยาลยั ศรีปทุม. รังสรรค์ ประเสริฐศรี. (2544). ภาวะผนู้ าํ . กรุงเทพฯ : ธนธชั การพมิ พ.์ วสนั ต์ อติศพั ท์. (2547). “WebQuest: การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็ นศูนย์กลางบน World Wide Web,”. วิทยบริการ. มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์.4(2). วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: มูลนิธีสดศรี- สฤษด์ ิวงศ.์ 3ห1น0า้ ||3ก2า4รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

วิจารณ์ พานิช. (2557). ทักษะการเรี ยนรู้แห่งศตวรรษท่ี 2 [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://www.vcharkarn.com/varticle/60454. [3 ตุลาคม 2557] วโิ รจน์ สารรัตนะ. (2557). ทกั ษะดิจติ อลสําหรับครูศตวรรษที่ 21 [ออนไลน]์ .สืบคน้ จาก:http : //wirot.edublogs.org/2013/03/11/111/. [3 ตุลาคม 2557] วรี วุธ มาฆะศริ านนท.์ (2549). องค์การเรียนรู้ สู่องค์การอจั ฉริยะ. พิมพค์ ร้ังที่ 5. กรุงเทพฯ : เอ็กซ- เปอร์เน็ท. วทุ ธิศกั ด์ิ โภชนุกลู . (2557). ภาวะผู้นาํ และนวตั กรรมทางการศึกษา[ออนไลน]์ . สืบคน้ จาก : http://www.pochanukul.com/.[3 ตุลาคม 2557]. วรวรรณ วาณิ ชย์เจริ ญชัย. (2557). การจัดการความรู้[ออนไลน์]. สืบค้นจาก:http : //www.ns.mahidol.ac.th/english/km/article004.htm. [14 กนั ยายน2557] ศกั ด์ิชยั ภู่เจริญ. (2557). ภาวะผู้นํา บริหารการศึกษาProfessional Learning Community (PLC).ครูอินเตอร์.คอม [ออนไลน์] สืบคน้ จาก : http://www.kruinter.com/show.php ?id _quiz =3311& p=1. [3 ตุลาคม 2557] สาํ นกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน. (2553). คู่มือการประเมินสมรรถนะครู สํานักงาน คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2553. กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ. สาํ นกั งานส่งเสริมสงั คมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน. (2556). เวทีปฏิรูปสู่การศึกษาเพ่ือคน ท้งั มวล คร้ังท่ี 17 : ชุมชนแห่งการเรียนรู้ของครู ท่เี ปลยี่ นห้องสอนเป็ นห้องเรียนรู้แก่เด็ก. [ออนไลน]์ . สืบคน้ จาก : http://www.qlf.or.th/Home/Contents/638.[3 ตุลาคม 2557]. สาํ นักนโยบายและแผนการอุดมศึกษา. (2557). กรอบแนวทางการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ สอง (พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๖๑) [ออนไลน]์ . สืบคน้ จาก : http://www.tw-tutor.com/downloads /Education%20%20(2552-2561).pdf. [3 ตุลาคม 2557] สุจินต์ ภิญญานิล. (2552). เทคโนโลยีกับการพัฒนาครู[ออนไลน์]. สืบค้นจาก:http : //www.sahavicha.com/?name=article&file=readarticle&id=94. [3 ตุลาคม 2557] สุเทพ พงศศ์ รีวฒั น์. (2549ก). ภาวะผู้นําแบบสร้างสรรค์ The Formative Leadership [ออนไลน์]. สืบคน้ จาก : http://suthep.ricr.ac.th. [30 สิงหาคม 2557]. สุเทพ พงศศ์ รีวฒั น์. (2549). คุณลกั ษณะภาวะผูน้ าเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา (ออนไลน์). สืบคน้ จาก : http://suthep.ricr.ac.th [30 สิงหาคม 2552] สุพชาต ชุ่มชื่น. (2554). ความคดิ เหน็ ของครูเกย่ี วกบั ภาวะผู้นําทางวชิ าการของผ้บู ริหารสถานศึกษา โรงเรียนนวมนิ ทราชินูทิศสวนกุหลาบวทิ ยาลัย ปทุมธานี. การศึกษาแบบอิสระ ปริญญา มหาบณั ฑิตมหาวิทยาลยั ธุรกิจบณั ฑิต. การพฒั นาความเปน็ ครวู ิชาชพี หน| า้ 3| 13215

สุเมธ งามกนก. (2551). การสร้างทีมงาน(Team Building). วารสารศึกษาศาสตร์ 19 (1). เดือนตุลาคม 2550-มกราคม สุภทั ทา ปิ ณฑะแพทย.์ (2557). ภาวะผู้นําของนักบริหารการศึกษามือ อาชีพ[ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://www.supatta.haysamy.com/leader_pro.html. [3 ตุลาคม 2557]. สุรีรัตน์ พฒั นเธียร. (2552). ตวั แบบความสามารถทางภาวะผู้นําครูในสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน. วิทยานิพนธ์ กศ.ม มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. กรุงเทพฯ เสริมศกั ด์ิ วศิ าลาภรณ์. (2540). ทฤษฎแี ละแนวปฏิบตั ใิ นการบริหารการศึกษา. พิมพค์ ร้ังท่ี 3. นนทบุรี: มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช. อาภารัตน์ ราชพัฒน์. (2554). การพัฒนาตัวบ่งชี้ภาวะผู้นําของครูในสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน วทิ ยานิพนธด์ ุษฎีบณั ฑิตมหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น อวยพร เรืองตระกูล และสุนทรพจน์ ดาํ รงค์พานิช. (2557). การประเมินตนเอง (Self-evaluation) [ออนไลน์]. สืบคน้ จาก : http://ednet.kku.ac.th/~edad/OLD/research_article/selfEvaluati on.doc. [15เมษายน2557] Bransford, J., Darling-Hammond, L., & LePage, P. (2005). Introduction. In J.Bransford & L. Darling-Hammond (eds.), Preparing teachers for a changing world. San Francisco: Jossey- Bass Block, P. (1993). Stewardship; Choosing Service over Self-Interest. San Francisco: Berrett-Koehler. Caldwell, B. (2000). A Blueprint of Successful Leadership in an Era of Globalisation in Learning. Paper Presented in a Regional Seminar of Leaders in Rajabhat Institutes, Rajabhat Institute Chombung, 10 November 2000. Ratchaburi : Rajabhat Institute Darling-Hammond, L., Pacheco, A., Michelli, N., & LePage, P. (2005). Implementing curriculum renewal in teacher education: Managing organizational and policy change. In J. Bransford & L. Darling-Hammond (eds.), Preparing teachers for a changing world. San Francisco: Jossey-Bass. Fiedler, F and Garcia, J. (1987). New Approaches to Effective Leadership: Cognitive Resources and Organizational Performance. New York: Wiley. Greenleaf, R. (1995). Reflections on Leadership. New York: John Wiley & Sons. Katzenmeyer, M., and Moller, G. (2001). Awakening the sleeping giant : Helping teachers develop as leaders 2 nd ed. Thousand Oaks, CA: Corwin Press. 3ห1น2า้ ||3ก26ารพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

Lambert, L. (2003). Shifting Conceptions of Leadership: Toward a Redefinition on leadership for the Twenty-First Century. In B. Davies and J. West-Burnham (eds.), Handbook of Educational Leadership and Management. London: Longman. Chapter 1. Lambert, V. A., Lambert, C. E. & Ito, M. (2004). Workplace stressors,ways of coping and demographic characteristics as predictors of physical and mental health of Japanese hospital nurses. International Journal of Nursing Studies 41(4), 85 - 97. Muijs, D. and Harris, A. (2003). “Teacher Leadership- improvement through empowerment? An overview of the literature”, Educational Management and Administration 31 (4):. 437-448. Nethercote, R. (1998). Leadership in Australian University. Colleges and Halls of Residence: A Model for the Future. Unpublished Doctor of Education Thesis, The University of Melbourne, Parkville. Stogdill, R.M. (1974). Handbook of Leadership: a Survey of the Literature. New York: Free press. Senge, P.M. 1990. The Fifth Discipline: The Art and Practice of the Learning Organization . New York: Currency Doubleday. Sergiovanni, T. (1994). Building community in schools.San Francisco, CA: Jossey Bass Suranna, K. J., & Moss, D. M. (2002). Exploring teacher leadership in the context of teacher preparation. Paper presented at the annual meeting of the Educational Research Association, New Orleans. LA. (ERIC Document Reproduction Service No. ED465751) Telfotd, H. (1996). Transforming Schools through Collaborative Leadership. London: Falmer Press. York-Barr, J., and Duke. (2004). What Do We Know About Teacher Leadership? Findings From Two Decades of Scholarship. Review of Educational Research. การพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี ห|นา้3|13237



แผนบริหารการสอนประจําบทที่ 8 หัวข้อเนื้อหาประจาํ บท บทท่ี 8 คุณธรรมจริยธรรมของครู 1. ความหมาย และความสาํ คญั ของคุณธรรม 2. คุณธรรมของครู 3. การปลกู ฝังคุณธรรมสาํ หรับครู 4. แนวคิดทฤษฎีจริยธรรม 5. จริยธรรมของครู 6. แนวทางเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม สาํ หรับครูในศตวรรษที่ 21 วตั ถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรม การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนบทท่ี 8 มีวตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมที่ตอ้ งการใหผ้ ูเ้ รียน ปฏบิ ตั ิไดด้ งั ต่อไปน้ี 1. อธิบาย ความหมาย และความสาํ คญั ของคุณธรรมได้ 2. อธิบายหลกั คุณธรรม และบอกคุณธรรมของครูได้ 3. อธิบายข้นั ตอนการปลูกฝังคุณธรรมสาํ หรับครูได้ 4. วิเคราะห์ปัญหาท่ีเกี่ยวกบั คุณธรรมของครูได้ 5. อธิบายแนวคิดทฤษฎจี ริยธรรมได้ 6. อธิบายหลกั ปฏิบตั ิตามจริยธรรมของครูได้ 7. อธิบายวิธีการ และแนวทางการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมสาํ หรับครูในศตวรรษที่ 21 ได้ วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจาํ บท บทท่ี 8 มวี ธิ ีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีใชด้ งั ต่อไปน้ี 1. วิธีสอน ผสู้ อนใชว้ ธิ ีสอนแบบบรรยาย กิจกรรมจิตตปัญญาศึกษา และวิธีการสอนแบบ ถาม – ตอบ 2. กิจกรรมการสอน สามารถจาํ แนกไดด้ งั น้ี 2.1 กิจกรรมก่อนเรียน ผเู้ รียนศึกษาบทเรียนบทท่ี 8 การพฒั นาความเป็นครวู ิชาชีพ | 315

2.2 กิจกรรมในหอ้ งเรียน มีดงั ต่อไปน้ี 2.2.1 ผูส้ อนปฐมนิเทศรายวิชา โดยการอธิบายแผนการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนกิจกรรมต่างๆตามแผนบริหารการสอนประจาํ บท 2.2.2 ผสู้ อนบรรยายเน้ือหาบทท่ี 8 และมีกิจกรรมพร้อมยกตวั อย่างประกอบ ถาม – ตอบ จากบทเรียน 2.2.3 ผสู้ อนจัดกิจกรรมจิตตปัญญาศึกษาเพ่ือเสริมสร้างความเป็ นครูไทยดา้ น คุณธรรมจริยธรรม (ความรับผดิ ชอบต่อตนเองและสงั คม ความซื่อสตั ย์ ความมีวินยั ) และจิตสาํ นึก ความเป็ นครู 2.2.4 ผสู้ อนให้ผูเ้ รียนดูภาพยนตร์เร่ือง “ครูบ้านนอก”แลว้ วิเคราะห์คุณธรรม จริยธรรมของครู 2.3 กิจกรรมหลงั เรียน ผเู้ รียนทบทวนเน้ือหาท่ีไดเ้ รียนในบทท่ี 8 โดยใชค้ าํ ถามจาก คาํ ถามทบทวนทา้ ยบท ตลอดจนการศึกษาบทต่อไปล่วงหนา้ หน่ึงสปั ดาห์ 2.4 ใหผ้ เู้ รียนสืบคน้ ขอ้ มลู จากแหลง่ เรียนรู้ต่างๆเช่น หอ้ งสมุดหรือสื่ออิเลก็ ทรอนิกส์ ต่าง ๆ ส่ือการเรียนการสอนประจาํ บท ส่ือท่ีใชส้ าํ หรับการเรียนการสอนเรื่อง คุณธรรม จริยธรรมของครู มดี งั ต่อไปน้ี 1. แผนบริหารการสอนประจาํ บท 2. พาวเวอร์พอยทป์ ระจาํ บท 3. เอกสารประกอบการสอน 4. หนงั สือ ตาํ รา และเอกสารท่ีเก่ียวขอ้ ง 5. สื่ออิเลก็ ทรอนิกส์ การวดั ผลและการประเมินผลประจาํ บท 1. สงั เกตการณ์ตอบคาํ ถามทบทวนเพื่อนาํ เขา้ สู่เน้ือหาในบทเรียน 2. สงั เกตจากการต้งั คาํ ถาม และการตอบคาํ ถามของผูเ้ รียน หรือการทาํ แบบฝึ กหดั ในช้นั เรียน 3. วดั เจตคติจากพฤติกรรมการเรียน การเขา้ ร่วมกิจกรรมการเรียน การสอน และความ กระตือรือร้นในการทาํ กิจกรรม 4. ความเขา้ ใจและความถูกตอ้ งในการทาํ แบบฝึกหดั 3ห1น6า้ || 3ก3า0รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

บทท่ี 8 คุณธรรม จริยธรรมของครู ในสงั คมโลกที่อุดมไปดว้ ยการแข่งขนั ทาํ ใหบ้ างคร้ังผคู้ นเกิดความเห็นแก่ตวั เห็นแก่ได้ เห็นแก่ประโยชนส์ ่วนตน จนขาดความยบั ย้งั ชงั่ ใจ กระทาํ ในส่ิงท่ีผดิ ไม่คาํ นึงถงึ คุณธรรมจริยธรรม นาํ ไปสู่หายนะของประเทศชาติ การศึกษา การอบรมและปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมจึงมีบทบาท สาํ คญั ในการพฒั นาเยาวชนซ่ึงเป็นอนาคตของชาติใหเ้ ป็นคนดี มคี วามสมบูรณ์พร้อม ช่วยให้สังคม ประเทศชาติสงบร่มเยน็ ครูจึงตอ้ งเป็ นตน้ แบบบุคคลคุณธรรมที่มีหนา้ ที่สอน ช้ีนาํ ในสิ่งที่ถูกตอ้ ง อบรมปลูกฝัง และขดั เกลาจิตใจ ใหเ้ ยาวชนสามารถพฒั นาดา้ นคุณธรรมจริยธรรมไดด้ ว้ ยตนเอง จากการติดตามข่าวสารปัจจุบนั พบว่า ภาพพจน์ของครูในสายตาของผูค้ นในสงั คม มองครูว่าเป็ น บุคคลขาดจิตสาํ นึกดา้ นคุณธรรมจริยธรรมเพราะครูบางคนประพฤติตนไม่เหมาะสม เช่น ครูดื่ม เหลา้ ครูติดการพนนั ครูประพฤติผดิ วนิ ยั ครูสอนไม่เต็มท่ี ไมส่ นใจการเรียนการสอน กลายเป็ นคน ท่ีอ่อนดอ้ ยในเรื่องคุณธรรมจริยธรรม ซ่ึงถือเป็ นคุณลกั ษณะสําคญั ของความเป็ นครู การปฏิรูป การศึกษารอบ2จึงวางกรอบแนวทางปฏิรูปครูยคุ ใหม่ วา่ ครูตอ้ งพฒั นาตนใหเ้ ป็นบุคคลท่ีดีพร้อมท้งั ความรู้และคุณธรรม ความประพฤติดีควบคู่ไปดว้ ย ความหมาย และความสําคญั ของคุณธรรม 1. ความหมายของคณุ ธรรม (morality) พอร์ทเตอ ( 1980 : 233) กล่าวว่า คุณธรรมเป็ นปัจจยั ในการดาํ เนินชีวิตของบุคคลใน สงั คม การดาํ รงชีวิตอยู่ในสังคมไม่เพียงแต่ใหม้ ีชีวิตอยู่ไปวนั ๆ เท่าน้นั ตอ้ งมีการประเมินและ เลือกสรรวิถีชีวิตของแต่ละคนที่สงั คมเห็นว่าดีหรือควรจะดี ปัจจยั ในการเลือกน้นั เก่ียวขอ้ งกับ ระบบคุณธรรมของบุคคลในสงั คม ซ่ึงคุณธรรมของแต่ละบุคคลในสงั คมหน่ึงอาจไม่จาํ เป็ นตอ้ ง เหมอื นกบั บุคคลในอีกสงั คมหน่ึง สตมั พ์ (1997 : 3) ไดใ้ ห้ความหมายของคุณธรรมในเชิงปรัชญาว่า คุณธรรมเป็ นการ ประพฤติปฏิบตั ิเกี่ยวขอ้ งกบั ส่ิงท่ีเรียกว่าถูกหรือผดิ ดีหรือเลว พึงประสงคห์ รือไม่พึงประสงค์ มี คุณค่าหรือไร้คุณค่า กูด๊ (2014 :1) คุณธรรม คือ คุณภาพท่ีบุคคลไดก้ ระทาํ ตามความคิดและมาตรฐานของ สงั คมซ่ึงเกี่ยวขอ้ งกบั ความประพฤติและศีลธรรม และพระเทพวิสุทธิเมธี ไดอ้ ธิบายความหมายของ การพัฒนาความเปน็ ครวู ชิ าชีพ | 317

คุณธรรมโดยแยกอธิบายความหมายเป็น 2 คาํ คือคาํ วา่ “คุณ” หมายถึง ค่าที่มีอยใู่ นแต่ละส่ิงซ่ึงเป็ น ท่ีต้งั แห่งความยดึ ถอื ซ่ึงเป็นไปไดท้ ้งั ทางดีและทางร้าย พุทธทาสภิกขุ (2529 : 89-90) อธิบายคาํ ว่า “ธรรม” มีความหมายคือ ธรรมชาติ เรามี หนา้ ท่ีตอ้ งเก่ียวขอ้ ง ตอ้ งเรียนรู้ ตอ้ งปฏิบตั ิ และตอ้ งมีหนา้ ที่ตอ้ งปฏบิ ตั ิ คุณธรรมมาจากคาํ วา่ “คุณ” และ “ธรรม” มารวมกนั เป็ นคุณธรรม จึงมีความหมายถึง ธรรมที่เป็นคุณสมบตั ิฝ่ ายดี เป็นที่ต้งั หรือเป็นประโยชน์แก่สนั ติสุข คุณธรรมเป็ นส่วนที่ตอ้ งอบรม หรือทาํ ใหเ้ กิดข้ึน พระธรรมปิ ฏก (ป.อ. ปยตุ โต, 2538 : 34) และพระมหาอดิศร ถิระสีโล (2540 : 56-57) ไดใ้ หค้ วามหมายของคุณธรรมวา่ ธรรมที่เป็ นคุณความดีงาม ถูกตอ้ ง ซ่ึงเกิดจากความเขา้ ใจคุณค่า อนั แทจ้ ริงดว้ ยปัญญา คุณธรรมเป็นคุณสมบตั ิทางกาย วาจา และใจ ที่เป็ นคุณตรงกนั ขา้ มกบั ท่ีเป็ น โทษ ปลูกฝังอยใู่ นอุปนิสัยอนั ดีงาม อยู่ในจิตสาํ นึก อยู่ในความรู้สึกผิดชอบชว่ั ดีอนั เป็ นเครื่อง เหน่ียวร้ัง ควบคุมพฤติกรรมท่ีแสดงออกสนองความปรารถนา รัตนวดี โชติกพนิช (2550 : 1) ให้ความหมาย คุณธรรม คือ อุปนิสยั อนั ดีงามที่อยใู่ น จิตใจของคน อยใู่ นความรู้สึกผดิ ชอบชว่ั ดี ซ่ึงเป็นส่ิงท่ีจะควบคุมพฤติกรรมท่ีแสดงออกสนองความ ปรารถนาคุณธรรมแบ่งออกเป็น 2 ลกั ษณะ คือ 1) คุณธรรมแบบทาส (Slave Virtue) เป็นลกั ษณะคุณธรรมที่ยดึ ถอื และปฏิบตั ิตาม แบบอยา่ งของผทู้ ี่ทรงไวด้ ว้ ยคุณงามความดี เช่น ถือแบบอยา่ งท่ีดีจากผใู้ หญ่ ผบู้ งั คบั บญั ชา เป็นตน้ 2) คุณธรรมแบบนาย (Master Virtue) เป็ นลกั ษณะคุณธรรมท่ียึดถือและปฏิบตั ิ ตาม มโนธรรมของตนเองท่ีเห็นว่าถูกตอ้ งดีงาม เช่น การใหค้ วามยุติธรรมแก่ลูกนอ้ ง หรือ บุคคล รอบขา้ ง เป็นตน้ ประภาศรี สีหอาํ ไพ (2550 : 110) คุณธรรม หมายถงึ หลกั ธรรมจริยาท่ีสร้างความรู้สึก ชอบชว่ั ดีในทางศลี ธรรม มคี ุณงามความดีภายในจิตใจอยู่ในข้นั สมบูรณ์จนเต็มเป่ี ยมดว้ ยความสุข การเป็นผมู้ ีคุณธรรม คือ การปฏบิ ตั ิตนอยใู่ นกรอบอนั ดีงาม ยนต์ ชุ่มจิต, (2550 : 157) คุณธรรมมี 3 ประการ คือ 1) เป็ นคุณสมบตั ิที่เป็ นความดี ความถกู ตอ้ งซ่ึงมอี ยภู่ ายในจิตใจของบุคคล ช่วยทาํ ใหพ้ ร้อมที่จะกระทาํ พฤติกรรมต่าง ๆ อนั เป็ น ประโยชน์ต่อตนเองหรือผอู้ ื่น 2) เป็นหลกั ท่ีมนุษยถ์ ือเป็ นแนวทางท่ีถูกตอ้ งในการดาํ เนินชีวิต 3) เป็ นหลกั แห่งความประพฤติปฏิบัติและความรู้ความคิดท่ีดีงามและเป็ นธรรมชาติของความดี ลกั ษณะของความดี หรือสภาพของความดีที่มอี ยใู่ นตวั บุคคลใดบุคคลหน่ึง สาํ นกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน (2553 :1) คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณ งามความดี ความประพฤติที่ดี การทาํ ใหเ้ กิดคุณงามความดี อุปนิสัยอนั ดีงามซ่ึงเป็ นคุณสมบตั ิท่ีอยู่ 3ห1น8า้ ||3ก3า2รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

ภายในจิตใจของบุคคล ไดแ้ ก่ ความเมตตากรุณา ความซ่ือสัตยส์ ุจริต ความเสียสละ ความเอ้ือเฟ้ื อ ความกตญั �ู ความพากเพยี ร ความเห็นอกเห็นใจ ความละอายต่อความชว่ั และความม่งุ มนั่ กลา้ หาญ ที่จะกระทาํ ความดีท้งั กายและใจเพือ่ ใหเ้ กิดความสุขแก่ตนเองและผรู้ ่วมงาน ราชบัณฑิตสถาน (2554 : 187) กล่าวถึง “คุณธรรม” ในพจนานุ กรมฉบับ ราชบณั ฑิตยสถาน พทุ ธศกั ราช 2542 ไดใ้ หค้ วามหมายวา่ “สภาพคุณงามความดี” จากความหมายของคุณธรรมตามทศั นะของบุคคลต่างๆ สรุปไดว้ ่า คุณธรรม หมายถึง หลกั ธรรมจริยาท่ีสร้างความรู้สึกชอบชว่ั ดีภายในจิตใจท่ีเต็มเปี่ ยมดว้ ยความสุขทาํ ให้ประพฤติ ปฏบิ ตั ิตนอยใู่ นกรอบอนั ดีงาม 2. ความสําคญั ของคุณธรรมสําหรับผ้ปู ระกอบวชิ าชีพครู คุณธรรมและจริยธรรมเป็นสิ่งสาํ คญั ของบุคคลในสงั คม กลา่ วคือ ในสงั คมใดมีบุคคลที่ มจี ิตใจที่เปี่ ยมดว้ ยคุณความดียอ่ มกระทาํ แต่พฤติกรรมที่ดีมปี ระโยชน์ ฉะน้ันคุณธรรมจริยธรรมจึง เป็นสิ่งที่มคี วามสาํ คญั ต่อสงั คมเป็นอย่างยิ่ง คุณธรรมเป็ นสิ่งที่ถูกตอ้ งดีงามที่อยูภ่ ายในจิตใจ ส่วน การแสดงออกของความดีงามเป็ นพฤติกรรมที่ออกมาทางกายหรือทางวาจา น้ันเป็ นเร่ืองของ จริยธรรม ดว้ ยเหตุท่ีคุณธรรมและจริยธรรมเป็นของคู่กนั ในฐานะที่ครูเป็นผมู้ หี นา้ ที่อบรมสง่ั สอนเยาวชนใหเ้ ป็นคนดี มคี ุณภาพ ครูจาํ เป็ นตอ้ งมี คุณธรรมและจริยธรรมเป็นอยา่ งยงิ่ เพราะคุณธรรมจะช่วยใหค้ รูเป็นผมู้ คี วามประพฤติที่ดีงาม มกี าร วางตวั ดีและเหมาะสมกบั กาลเทศะ เป็นที่เคารพ และเป็นน่าเชื่อถอื ของศิษย์ ผปู้ ระกอบวชิ าชีพครูจึง จดั ว่าเป็ นบุคคลท่ีตอ้ งมีคุณธรรมนําชีวิต โดยความสาํ คญั ของคุณธรรมจริยธรรมต่อผูป้ ระกอบ วชิ าชีพครูน้นั พระมหาอดิศร ถิรสีโล (2540 : 60-61) ไดจ้ าํ แนกความสาํ คญั ของคุณธรรม จริยธรรม สาํ หรับครูไว้ 4 ดา้ น ดงั น้ี 1) ดา้ นตวั ครู คุณธรรมจริยธรรมมคี วามสาํ คญั สาํ หรับตวั ครูเองสรุปไดด้ งั น้ี 1.1) ช่วยทาํ ใหค้ รูเจริญกา้ วหนา้ และมคี วามมนั่ คงในงานอาชีพครู 1.2) ไดร้ ับการยกยอ่ งสรรเสริญจากบุคคลทวั่ ไป เป็นท่ีเคารพรักใคร่ของศิษย์ 1.3) มีชีวิตอยใู่ นสงั คมอยา่ งมีความสุข ไร้ภยนั ตรายใดๆ เพราะแวดลอ้ มดว้ ยความ รักความนบั ถอื จากศษิ ยแ์ ละประชาชนทวั่ ไป 1.4) ครอบครัวมีความอบอ่นุ มนั่ คง ฐานะทางเศรษฐกิจไมฝ่ ืดเคือง 2) ดา้ นสถาบนั วิชาชีพครู คุณธรรมจริยธรรมมคี วามสาํ คญั สรุปไดด้ งั น้ี 2.1) ทาํ ใหช้ ื่อเสียงของคณะครูเป็นท่ีศรัทธาเลอ่ื มใสของปวงชน การพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชหีพนา้| |333139

2.2) งานวชิ าชีพครูมคี วามเจริญกา้ วหน้า เพราะทาํ งานเต็มกาํ ลงั ความสามารถ มี ความคิดริเร่ิมสร้างสรรคส์ ิ่งที่เป็นประโยชน์ใหมๆ่ อยเู่ สมอ 2.3) สถานศึกษาได้รับการพฒั นาอย่างเต็มท่ี เพราะได้รับความร่ วมมือ ช่วยเหลอื จากประชาชนอยา่ งเตม็ กาํ ลงั 3) ดา้ นสงั คมและชุมชน คุณธรรมจริยธรรมมีความสาํ คญั สรุปไดด้ งั น้ี 3.1) สมาชิกของสงั คมเป็นคนดีมีคุณธรรมสูง รู้จกั สิทธิและหนา้ ที่อยา่ งถูกตอ้ ง 3.2) สงั คมมีสนั ติสุข เพราะสมาชิกของสงั คมไดร้ ับการสง่ั สอนจากผมู้ คี ุณธรรม 3.3) สังคมไดร้ ับการพฒั นาให้เจริญกา้ วหน้า เพราะสมาชิกทุกคนมีคุณธรรมจึงต่าง กระทาํ หนา้ ท่ีของคนอยา่ งเต็มความสามารถ 4) ดา้ นความมน่ั คงของชาติ คุณธรรมจริยธรรมมคี วามสาํ คญั สรุปไดด้ งั น้ี 4.1) สถาบนั ศาสน์ กษตั ริย์ มีความมน่ั คง เพราะประชาชนมีความรักความเขา้ ใจและ เห็นความสาํ คญั อยา่ งแทจ้ ริง 4.2) ขนบธรรมเนียมประเพณีและวฒั นธรรมของชาติมีความมน่ั คงถาวร เพราะครู อาจารยไ์ ดอ้ บรมสง่ั สอนศษิ ยใ์ หม้ คี วามรู้ความเขา้ ใจและปฏิบตั ิไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม ศุภานนั สิทธิเลิศ (2549 : 250) ไดส้ รุปคุณธรรมไว้ ดงั น้ี 1) คุณธรรมช่วยหลอ่ หลอมใหเ้ ป็นคนที่มคี วามพอดี ไมข่ าดไม่เกินความพอดีน้ีก็คือการ เดินทางสายกลาง ความพอประมาณอยู่ระหว่างการโออ้ วดกับการถ่อมตน ความมธั ยสั ถเ์ ป็ น คุณธรรมที่อยรู่ ะหวา่ งความตระหนี่กบั ความฟ่ มุ เฟื อย ความกลา้ หาญเป็นคุณธรรมท่ีอยกู่ ลางระหวา่ ง ความข้ีขลาดกบั ความบา้ บ่ิน 2) คุณธรรมช่วยใหเ้ ป็นคนท่ีรู้จกั ใชเ้ หตุผลและใชป้ ัญญา คนท่ีมีคุณธรรมจะตอ้ งทาํ ทุก อย่างด้วยเหตุผล ปฏิบัติดีปฏิบตั ิชอบ ปัญญาเป็ นคุณธรรมของวิญญาณส่วนที่เป็ นเหตุผล และ ปัญญาเป็นเครื่องนาํ ทางใหท้ าํ ในสิ่งท่ีถกู ตอ้ ง 3) คุณธรรมช่วยให้เป็ นคนกลา้ หาญ ความกลา้ หาญเป็ นคุณธรรมท่ีสาํ คญั มากในการ ดาํ รงชีวติ ส่วนบุคคล เป็นคุณธรรมของวญิ ญาณในส่วนท่ีมอี ารมณ์ คนท่ีมีคุณธรรมจะกลา้ ทาํ ในสิ่ง ที่ควรทาํ และไมก่ ลา้ ทาํ ในสิ่งท่ีไม่สมควร ความกลา้ จะช่วยใหม้ นุษยย์ นื หยดั ท่ีจะทาํ ในส่ิงที่ถูกตอ้ งดี งามไมว่ ่าจะมอี ปุ สรรคเพียงใด 4) คุณธรรมช่วยใหเ้ ป็นคนมีความยตุ ิธรรม ความยตุ ิธรรมเป็ นคุณธรรมส่วนบุคคลท่ีมา จากลกั ษณะภายในจิตใจ ประกอบดว้ ยเหตุผล อารมณ์และความปรารถนาหรือความตอ้ งการ ผกา สัตยธรรม( 2550 : 32-33) กล่าวว่า คุณธรรมจริยธรรมต่อผูป้ ระกอบอาชีพครูมี ความสาํ คญั ระหว่างคุณธรรมของครูเป็นสิ่งที่จาํ เป็นและสาํ คญั แก่ครูและผเู้ ก่ียวขอ้ งดงั น้ี 3ห2น0า้ ||3ก3า4รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

1) คุณธรรมของครู ทาํ ให้ครูเป็ นผูเ้ ป็ นคนดี เพราะมีคุณสมบตั ิที่ดีจากการปฏิบตั ิ ตามคุณธรรมต่าง ๆ เหล่าน้นั ผทู้ ่ีมคี ุณธรรมประจาํ ใจยอ่ มเป็นที่เคารพบูชาของผอู้ ่นื 2) ผเู้ ป็นครูสามารถนาํ เอาคุณธรรมต่าง ๆ ที่ประพฤติปฏิบตั ิอยู่ไปอบรมส่งั สอน และเป็นตวั อยา่ งที่ดีแก่ศิษย์ 3) คุณธรรมของครู ทาํ ใหเ้ กิดศรัทธาเล่ือมใสจากใจของผเู้ กี่ยวขอ้ ง ก่อใหเ้ กิดความ มนั่ คงวิชาในอาชีพครู 4) เป็ นที่แน่ใจว่าประชาชนของชาติจะเป็ นคนดีไดต้ ามที่ครูไดใ้ หก้ ารอบรม ส่ัง สอน แนะแนวและแนะนาํ ใหป้ ฏิบตั ิคุณธรรมตามความเหมาะสม 5) คุณธรรมของครูมีผลต่อสภาพความเป็ นอยู่ของบุคคลในสงั คม จากการเป็ น พลเมืองดีมีคุณธรรม ก็จะเป็ นผลให้สังคมมีความสงบสุข เพราะทุกคนมีกิจกรรมควบคู่ไปกับ ความรู้ ทาํ ใหไ้ ม่เบียดเบียน ฆา่ ฟันกนั 6) ในสงั คมที่มีคนดีมคี ุณธรรมควบคู่กบั ความรู้ การพฒั นาประเทศชาติก็จะเจริญ และก้าวหน้าข้ึนกว่าเดิม ไม่มีปัญหาการกอบโกย คอยหาแต่ประโยชน์ส่วนตวั แต่จะเห็นแก่ ส่วนรวมเป็นส่วนใหญ่ และทาํ ประโยชนใ์ หแ้ ก่ประเทศชาติอยา่ งแทจ้ ริง 7) ทาํ ใหค้ รูสามารถประกอบอาชีพไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ เพราะนาํ เอาคุณธรรม ทางดา้ นการสอนมาใช้ ทาํ ใหก้ ารเรียนการสอนพฒั นาข้ึนกว่าครูท่ีไม่มีคุณธรรมทางดา้ นการสอน เพราะไมร่ ู้วา่ จะสอนใหด้ ีใหเ้ กิดความเขา้ ใจไดอ้ ยา่ งไร สอนอย่างใดทาํ ใหเ้ กิดปัญญาแก่ศิษย์ ทาํ ให้ เกิดการพฒั นาในตวั เด็ก 8) การสอนใหเ้ กิดคุณธรรมในตวั นักเรียน ย่อมก่อให้เกิดความมนั่ คงในสถาบนั ต่าง ๆ ของชาติ และทาํ ใหช้ าติมนั่ คง 9) การถ่ายทอดวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติ จะเกิดข้ึนได้ เพราะ ครูมคี ุณธรรมในการอบรมสงั่ สอนใหศ้ ิษยไ์ ดร้ ับความรู้เก่ียวกบั ความสาํ คญั ของวฒั นธรรมของชาติ เพอื่ ใหเ้ กิดการสืบทอดทางวฒั นธรรม คุณธรรมเป็นคุณงามความดีของบุคคลทุกอาชีพทุกคนที่ไดก้ ระทาํ ดว้ ยสาํ นึกในจิตใจ โดยมเี ป้าหมายวา่ เป็นการทาํ ความดีหรือเป็นพฤติกรรมท่ีดีเป็นท่ียอมรับของสงั คม เช่น ความมีน้าํ ใจ ความเสียสละ ความเกรงใจ ความยตุ ิธรรม ความพอประมาณ ความมเี หตุผล ความรักที่มีต่อกนั ของ เพอ่ื นมนุษย์ ความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ ความเป็นกลั ยาณมิตร หรือการมีมารยาทที่งดงาม โดย คุณธรรมก่อใหเ้ กิดจริยธรรมท่ีเหมาะสม และคุณธรรมควรเป็ นสิ่งที่ปลูกฝังสร้างสมใหเ้ กิดข้ึนและ ดาํ รงไวใ้ หม้ อี ยใู่ นตวั บุคคล ซ่ึงมคี วามสาํ คญั และมคี ุณประโยชนต์ ่อบุคคลทุกคนทุกอาชีพ การพัฒนาความเปน็ ครูวิชาชหีพนา้| |333251

คุณธรรมมคี วามสาํ คญั ต่อครู คือ ครูท่ีมคี ุณธรรมในตนเองจะเป็ นหลกั ประกนั คุณภาพ ของครูใหเ้ ป็นท่ียอมรับ เชื่อถอื ศรัทธาจากลูกศษิ ย์ ผปู้ กครองและบุคคลในชุมชนในสงั คม คุณธรรมของครู เน่ืองดว้ ยการเปล่ียนแปลงภายใตก้ ระแสโลกาภิวตั น์ ส่งผลใหส้ งั คมไทยมีความเป็ นวตั ถุ นิยม ใหค้ วามสาํ คญั กบั ศีลธรรมและวฒั นธรรมท่ีดีงามลดลง การเปลี่ยนแปลงค่านิยมที่ดีงามเส่ือม ถอยและประเพณีด้งั เดิมถูกบิดเบือน ท้งั การดาํ รงชีวิตประจาํ วนั การใชช้ ีวิตและความสัมพนั ธ์กบั ผอู้ ่นื มุ่งหารายไดเ้ พ่ือสนองความตอ้ งการบริโภค การช่วยเหลือเก้ือกูลกนั ลดลง ความมีน้าํ ใจไมตรี น้อยลง แก่งแย่ง เอารัดเอาเปรียบกนั ขาดความสามคั คี ไม่เคารพสิทธิผอู้ ื่น และขาดการยึดถือ ประโยชนส์ ่วนรวม ลว้ นมาจากสาเหตุหลกั คือการขาดคณุ ธรรมท้งั สิ้น การเตรียมการสร้างภูมคิ ุม้ กนั ให้ประเทศอย่างยงั่ ยืน คือการพฒั นาครูใหม้ ีคุณภาพท้งั ความรู้และคุณธรรม เมื่อครูมีคุณธรรม ผเู้ รียนกก็ ลายเป็นคนมคี ุณธรรมไปดว้ ย ครูยคุ ใหม่ตอ้ งฝึกฝนและพฒั นาตนใหเ้ ป็นผมู้ ีคุณธรรมและ ความรู้ตามแนวคิดต่าง ๆ ดงั น้ี 1. คณุ ธรรมของครูตามพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัว เรื องวิทย์ ล่ิมปนาท (2539 : 65-66) ได้ศึกษาพระราชกรณี ยกิจต่าง ๆของ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ทรงแสดงใหเ้ ห็นถึงความเป็นครูที่มลี กั ษณะพิเศษ ดว้ ยทรงมีพระราช หฤทยั อนั เปี่ ยมลน้ ไปดว้ ยทศพธิ ราชธรรมและธรรมะที่มีส่วนช่วยส่งเสริมความเป็ นครู จากรายงาน การศึกษาคน้ ควา้ ความเป็ นครูสถิตในหฤทยั ราษฏร์ ไดร้ ายงานผลการศึกษาวิจยั ท่ีแสดงใหเ้ ห็นถึง ทศพิธราชธรรมของพระองค์ เพ่ือเป็นแบบอยา่ งแก่ประชาชนชาวไทย สรุปไดด้ งั น้ี 1.1 ทาน พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงบาํ เพญ็ ธรรมขอ้ น้ีอยา่ งสม่าํ เสมอ ดงั จะเห็น ไดจ้ ากการที่พระราชทานส่ิงของโดยตรงดว้ ยพระองคเ์ อง ในเวลาที่ราษฎรประสบกบั ภยั ธรรมชาติ ต่าง ๆ หรือทรงส่งเสริมงามพฒั นาท้งั ดา้ นการพฒั นาที่ดิน การชลประทาน การเกษตร การแพทย์ อนั เป็นการส่งเสริมใหร้ าษฎรไดม้ โี อกาสอยดู่ ีกินดี 1.2 ศีล ทรงศกึ ษาเก่ียวกบั ศีลธรรมและพทุ ธศาสนาอยู่เสมอ รวมถึงการอบรมสั่งสอน ราษฎรของพระองคเ์ สมอ ๆ ไม่ว่าจะเป็ นการพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่บณั ฑิตเน่ืองใน โอกาสสาํ เร็จการศกึ ษาจากมหาวทิ ยาลยั พระองค์ทรงเน้นว่าการดาํ เนินชีวิตหรือทาํ การงานต่าง ๆ น้นั จะตอ้ งยดึ หลกั ศลี ธรรมประกอบหลกั วิชาการดว้ ย 1.3 บริจาคะ หรือการเสียสละ เป็ นธรรมที่พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวทรงปฏิบตั ิ อยา่ งสม่าํ เสมอท่ีสุด ท้งั น้ีเพราะพระองคท์ รงเสียสละความสุขส่วนพระองค์เพ่ือท่ีจะบาํ เพ็ญพระ 3ห2น2า้ || 3ก3า6รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

ราช-กรณียกิจท้งั ปวง โดยมิไดท้ รงยอ่ ทอ้ ต่อความเหน่ือยยากตรากตรําใด ๆ ท้งั สิ้น แมจ้ ะเป็ นพ้ืนท่ี เส่ียงอนั ตรายก็ตาม 1.4 อาชชวะ หมายถงึ ความตรง ความซื่อสตั ย์ และความจริงใจในการทาํ งาน ธรรม ขอ้ น้ี พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ทรงมีความซื่อตรงและความจริงใจในการทาํ งาน ทรงวาง พระองคเ์ ป็นกลาง ทรงร่วมทุกขร์ ่วมสุขกบั ราษฎรทุกหมู่เหล่า โดยมิเลือกเช้ือชาติ ศาสนา ภาษา ดงั น้นั พระองคจ์ ึงไม่เคยท่ีจะแสดงใหเ้ ห็นถงึ พระอคติลาํ เอยี งใด ๆ ใหป้ รากฏ 1.5 มทั ทวะ หมายถึง ความเป็ นผูอ้ ่อนโยน มีสัมมาคารวะต่อผูใ้ หญ่ แสดงความ ออ่ นโยนต่อผมู้ ีฐานะเสมอกนั และต่าํ กว่า จะพบเห็นพระองคท์ รงบาํ เพญ็ ธรรมขอ้ น้ีเสมอ เช่น ภาพท่ี ทรงประคบั ประคองพระภิกษุท่ีสูงอายุ หรือในขณะท่ีเสด็จพระราชดาํ เนินทรงเยย่ี มราษฎรก็จะไม่ ถือพระองคท์ รงมีพระราชอธั ยาศยั อ่อนโยนสง่าและสงบ ทรงวางพระองคอ์ ยา่ งสม่าํ เสมอตลอดมา จึงเป็นที่เคารพรักใคร่ของราษฎรทุกหมเู่ หล่า รวมถงึ ชาวต่างประเทศดว้ ย 1.6 ตบะ หมายถึง ความมีวิริยะหรือความเพยี ร พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงแสดง พระองคใ์ หเ้ ห็นถึงธรรมขอ้ น้ี จะเห็นไดจ้ ากการที่ทรงมีความเพยี รในการปฏบิ ตั ิพระราชกรณียกจิ ท้งั ทางโลกและทางธรรม ในทางโลกพระองคท์ รงมีความเพยี รในการทรงงานต่าง ๆ ดว้ ยมุ่งหวงั ที่จะ ใหร้ าษฎรไดอ้ ยดู่ ีกินดี ในทางธรรมพระองคท์ รงมีวริ ิยะในการปฏบิ ตั ิธรรมไม่ว่าจะเป็นการนงั่ สมาธิ ทรงถอื อโุ บสถศลี อยา่ งเคร่งครัด 1.7 อกั โกธะ หมายถงึ ความไม่โกรธ ธรรมขอ้ น้ีพระองคท์ รงแสดงให้เห็นอย่างดีใน การเสดจ็ พระราชดาํ เนินไปเยอื นต่างประเทศเมอ่ื พ.ศ. 2505 ณ ประเทศออสเตรีย ทรงถูกทา้ ทายจาก นกั ศึกษากลุ่มหน่ึงที่เป็ นพวกหัวรุนแรง ไดถ้ ือป้ายมีข้อความใหร้ ้ายประเทศไทย พระองค์กลบั ไม่ไดแ้ สดงท่าทีว่ามีอารมณ์โกรธ แต่กลบั ใหค้ วามเมตตาและกล่าวคาํ ช้ีแจงให้บุคคลเหล่าน้ันได้ เขา้ ใจถึงประเทศไทยใหด้ ีข้ึน เป็นการยากท่ีจะมผี ใู้ ดควบคุมอารมณ์ไดเ้ ช่นพระองคใ์ นสถานการณ์ เช่นน้นั 1.8 อวหิ ิงสา หมายถงึ ความไมเ่ บียดเบียน เป็นธรรมท่ีจะช่วยใหค้ นอยรู่ ่วมกนั ไดอ้ ย่าง มีความสุข คุณธรรมท่ีสอดคลอ้ งในเร่ืองการไม่เบียดเบียนของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงมี พระราชดาํ รัสถึงบ่อยคร้ังมาก ท้งั น้ีเพราะธรรมดังกล่าวจะช่วยให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างมี ความสุข 1.9 ขนั ติหรือความอดทน ไมว่ า่ จะเป็นการอดทนทางกาย จิตใจ ธรรมขอ้ น้ีคงเป็นส่ิงที่ เห็นไดไ้ มย่ ากนกั ท้งั น้ีเพราะพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ท่ีพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงบาํ เพญ็ น้นั ลว้ นแต่ตอ้ งใชค้ วามอดทนท้งั ทางกาย วาจา และใจท้งั สิ้น ซ่ึงหมายถึงพระองคท์ รงเป็ นผูใ้ ห้เพียง อยา่ งเดียว การพัฒนาความเป็นครวู ิชาชหพี นา้ || 333273

1.10 อวิโรธนะ หมายถึง การโอนอ่อนผ่อนปรน การประสมประสานให้เกิดความ สามคั คี พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวทรงแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในธรรมขอ้ น้ีอยา่ งดี ในเวลาบา้ นเมืองเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมอื ง 2. คุณธรรมของครูที่จาํ เป็ นสําหรับสังคมไทย 2.1 คุณธรรม 4 ประการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมพิ ลอดุลยเดชมหาราช สาํ นักงานคณะกรรมการขา้ ราชการพลเรือน (2551 : 1) กล่าวถึง คุณธรรม 4 ประการ เป็นคุณธรรมท่ีพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั รัชกาลปัจจุบนั ทรงนาํ เอาคาํ แปลของพระศา สนธรรมคาํ สง่ั สอนทางพระพุทธศาสนา ท่ีเรียกวา่ ฆราวาสธรรม มารวมเป็นพระบรมราโชวาท เพื่อ เป็นหลกั ใหป้ ระชาชนคนไทยทุกคนไดศ้ ึกษา และนาํ ไปปฏิบตั ิปลกู ฝังใหเ้ จริญงอกงามในจิตใจ จะ ช่วยใหป้ ระเทศชาติเกิดความสงบสุข ร่มเยน็ ประกอบดว้ ย คุณธรรมประการที่ 1 คือ การรักษาความสัจความจริงใจต่อตัวเองที่ประพฤติ ปฏิบตั แิ ต่สิ่งท่เี ป็ นประโยชน์และเป็ นคุณธรรม ความสจั คือ สจั จะ ความจริงใจ เป็นคนพดู จริงทาํ จริงอยา่ งไรกป็ ฏบิ ตั ิอยา่ งน้นั เป็ น ปกตินิสยั เป็นที่ยอมรับของสงั คม ซ่ึงตรงขา้ มกบั คนไม่มีสจั จะความจริงใจ เป็ นคนใจคอโลเล พูด ไมจ่ ริง ทาํ ไมจ่ ริง เป็นคนปากกบั ใจไม่ตรงกนั ดงั คาํ พงั เพยที่วา่ เมื่อไม่ทาํ ดงั ปากว่า และจะเอาหน้า ไปไวท้ ี่ไหน คนท่ีไมม่ สี จั จะอยใู่ นจิตใจเป็นบุคคลท่ีไร้ค่า เป็นบุคคลท่ีสงั คมไม่ปรารถนา คณุ ธรรมประการที่ 2 คือ การรู้จกั ข่มใจตนเอง ให้ประพฤตแิ ละปฏิบัตอิ ยู่ในความ สัจความดีน้นั คุณธรรมขอ้ น้ีแยกไดเ้ ป็น 2 ประการ คือ 1) รู้จกั ข่มใจตนเอง ใหป้ ระพฤติและปฏิบตั ิอยูใ่ นความสจั ความดีน้นั การข่มใจ หมายถึงการรู้จกั บงั คบั ตนเอง ไม่ใหโ้ ลภอยากไดใ้ นทางทุจริตผิดศีลธรรม ไม่ให้โกรธเคืองคิด อาฆาตพยาบาทจองเวร ไมห่ ลงงมงาย คนท่ีมคี วามข่มใจจะเป็ นคนเก็บอารมณ์เก่ง ไม่แสดงอาการ ผดิ ปกติออกนอกหนา้ ตามคาํ พงั เพยท่ี ว่า เกบ็ น้าํ ใจขุ่นไวข้ า้ งในนาํ น้าํ ใสไวข้ า้ งนอก 2) การฝึกใจ หมายถงึ การรู้จดั ฝึกฝนตนเองรู้จกั ฝึ กตวั ฝึ กใจปรับปรุงแกไ้ ขตวั เอง ใหเ้ หมาะสมกบั ภาวะและสถานะของตน อีกประการหน่ึงคือการหยุดใจ เป็ นการรู้จกั ยบั ย้งั ใจไม่ ถลาํ ลงไปสู่ความชวั่ ความผดิ ความเสียหาย คุณธรรมประการที่ 3 คือ การอดทน อดกล้นั และอดออม ท่ีจะไม่ประพฤติล่วง ความทุจริต ไม่ว่าจะดว้ ยเหตุประการใด เป็นคุณธรรมที่สามารถแยกไดเ้ ป็น 6 อยา่ ง ไดแ้ ก่ 1) การอดทนที่จะไม่ประพฤติลว่ งความสจั ไมว่ า่ จะเป็นดว้ ยเหตุประการใด 2) การอดทนท่ีจะไม่ประพฤติลว่ งความสจั สุจริต ไมว่ ่าจะเป็นดว้ ยเหตุประการใด 3ห2น4า้ ||3ก3า8รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

3) การอดกล้นั ที่จะไมป่ ระพฤติลว่ งความสจั ไมว่ ่าจะเป็นเหตุประการใด 4) การอดกล้นั ท่ีจะไมป่ ระพฤติลว่ งความสุจริต ไม่ว่าจะเป็นดว้ ยเหตุประการใด 5) การอดออมท่ีจะไม่ประพฤติล่วงความสจั ไม่ว่าจะเป็นดว้ ยเหตุประการใด 6) การอดออมท่ีจะไม่ประพฤติล่วงความสุจริต ไม่วา่ จะเป็นดว้ ยเหตุประการใด การอดทน อดกล้นั อดออม ก็เพื่อใหพ้ น้ จากสภาพท่ีเลว และให้ไดม้ าซ่ึงสภาพท่ีดี ไม่ว่าจะเป็นดว้ ยเหตุประการใด ๑.การอดทน ท่ีจะไมป่ ระพฤติลว่ งความสจั สุจริต ไม่ว่าจะเป็ นดว้ ย เหตุประการใด ๒. การอดกล้นั ท่ีจะไม่ประพฤติล่วงความสจั ไม่ว่าจะเป็ นเหตุประการใด ๓. กา รอดกล้นั ท่ีจะไม่ประพฤติลว่ งความสุจริต ไม่ว่าจะเป็นดว้ ยเหตุประการใด ๔. การอดออม ท่ีจะไม่ ประพฤติลว่ งความสจั ไมว่ า่ จะเป็ นดว้ ยเหตุประการใด ๕. การอดออม ที่จะไม่ประพฤติล่วงความ สุจริต ไม่ว่าจะเป็ นดว้ ยเหตุประการใด๖.การอดทน อดกล้นั อดออม ก็เพ่ือให้พน้ จากสภาพที่เลว และใหไ้ ดม้ าซ่ึงสภาพท่ีดี คุณธรรมประการที่ 4 การรู้จกั ละความชั่ว ความทุจริต และรู้จกั สละประโยชน์ส่วน น้อยของตน เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง คุณธรรมขอ้ น้ีเป็นการสอนใหล้ ะวาง 2 อยา่ ง คือ 1) ละวางความชวั่ 2) ละวางความทุจริตและสละประโยชนส์ ่วนนอ้ ยของตน เพ่อื ประโยชนส์ ่วนใหญ่ ของบา้ นเมือง การละวาง หมายถึง การละทิ้ง ไม่ใส่ใจอารมณ์ที่มารบกวนใหเ้ รากระทาํ ชวั่ ให้เรา กระทาํ ทุจริตซ่ึงทาํ ให้เสียความจริงใจ สละวตั ถุและสละอารมณ์ การเสียสละวตั ถุหรือส่ิงของ ธรรมดา เราอยใู่ นสังคมตอ้ งรู้จกั การเสียสละในคราวท่ีควรจะเสียสละ ตอ้ งรู้จกั แบ่งปันแก่คนที่ สมควรจะใหก้ ารแบ่งปัน เป็นการแสดงความมีน้าํ ใจ การเสียสละอารมณ์เป็นการปลดเปล้อื งอารมณ์ ในสิ่งท่ีไมน่ ่าปรารถนาอนั จะทาํ ใหบ้ ุคคลอนื่ เกิดความขดั ใจ ไม่พอใจ เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของ บา้ นเมือง คือถา้ หากเราเสียสละแลว้ ไม่ว่าวตั ถุก็ดี อารมณ์ก็ดี สิ่งเหล่าน้ีจะก่อให้เกิดความสุขสงบ ของบุคคล สงั คม ก็ยอ่ มท่ีจะทาํ ใหบ้ า้ นเมอื งเกิดความสงบสุข ร่มเยน็ ดว้ ยแลว้ เราก็ควรท่ีจะปฏบิ ตั ิ คุณธรรม 4 ประการที่ครูทุกคนควรจะศึกษาและนอ้ มนาํ มาปฏิบตั ิ มีอย4ู่ ประการ ประการแรกคือ การรักษาความสจั ความจริงใจต่อตวั เองท่ีจะประพฤติปฏบิ ตั ิแต่สิ่งท่ีเป็นประโยชน์ และเป็นธรรม ประการที่สองคือ การรู้จกั ข่มใจตนเอง ฝึ กใจตนเอง ให้ประพฤติปฏิบตั ิอยู่ในความ สจั ความดีน้นั ประการท่ีสามคือ การอดทน อดกล้นั และอดออมที่จะไม่ประพฤติล่วงความสจั สุจริต ไม่ว่าด้วยเหตุประการใด ประการที่ส่ีคือ การรู้จักละวางความช่วั ความทุจริ ต และรู้จักสละ ประโยชน์ส่วนนอ้ ยของตน เพือ่ ประโยชนส์ ่วนใหญ่ของบา้ นเมอื ง คุณธรรม4ประการน้ี ถา้ ครูแต่ละ การพัฒนาความเปน็ ครวู ชิ าชหีพนา้| |333295

คนพยายามปลูกฝังและบาํ รุงให้เจริญงอกงามข้ึนโดยทว่ั กนั แลว้ จะช่วยใหป้ ระเทศชาติบงั เกิด ความสุข ความร่มเยน็ และมีโอกาสที่จะปรับปรุงพฒั นาใหม้ นั่ คงกา้ วหนา้ ต่อไปไดด้ งั ประสงค์ 2.2 คุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการสําหรับครู กระทรวงศึกษาธิการ(กระทรวงศึกษาธิการ, 2550) ประกาศนโยบายเร่งรัดการ ปฏิรูปการศึกษา โดยยึดคุณธรรมนําความรู้ สร้างความตระหนักสาํ นึกในคุณค่าปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง ความสมานฉันท์ สันติวิธี วิถีประชาธิปไตย พฒั นาคนโดยใชค้ ุณธรรมเป็ น พ้ืนฐานของกระบวนการเรียนรู้ที่เช่ือมโยงความร่วมมือของสถาบนั ครอบครัว ชุมชน สถาบัน ศาสนา และสถาบนั การศึกษา โดยมีจุดเนน้ เพ่ือพฒั นาเยาวชนใหเ้ ป็ นคนดี มีความรู้และอยู่ดีมีสุข เพอ่ื ใหก้ ารขบั เคลอื่ นดงั กลา่ วมคี วามชดั เจนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และสามารถนาํ ไปสู่การปฏิบตั ิ ไดอ้ ยา่ งเป็นธรรม ครูควรมี 8 คุณธรรมพ้ืนฐาน ประกอบดว้ ยขยนั ประหยดั ซื่อสตั ย์ มีวินัย สุภาพ สะอาด สามคั คี มนี ้าํ ใจ โดยมีรายละเอยี ดดงั น้ี 1) ขยนั คือ ความต้งั ใจเพียรพยายาม ทาํ หน้าท่ี การงานอยา่ งต่อเน่ือง สม่าํ เสมอ อดทน ความขยนั ตอ้ งปฏิบตั ิควบคู่กบั การใชส้ ติปัญญาแกป้ ัญหาจนเกิดผลสาํ เร็จ ผทู้ ี่มคี วามขยนั คือ ผทู้ ี่ต้งั ใจทาํ อยา่ งจริงจงั ต่อเน่ืองในเรื่องที่ถูกท่ีควรเป็นคนสูง้ านมีความพยายามไมท่ อ้ ถอย กลา้ เผชิญ อุปสรรค รักงานที่ทาํ ต้งั ใจทาํ อยา่ งจริงจงั 2) ประหยดั คือ การรู้จักเก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สินสิ่งของแต่พอควร พอประมาณใหเ้ กิดประโยชนค์ ุม้ ค่า ไมฟ่ ่ มุ เฟื อย ฟุ้งเฟ้อ ผทู้ ี่มีความประหยดั คือ ผทู้ ี่ดาํ เนินชีวิตความ เป็ นอยู่ที่เรียบง่าย รู้จกั ฐานะการเงินของตน คิดก่อนใช้ คิดก่อนซ้ือ เก็บออม ถนอมใชท้ รัพยส์ ิน ส่ิงของอยา่ งคุม้ ค่า รู้จกั ทาํ บญั ชีรายรับ-รายจ่าย รายออมของตนเองอยเู่ สมอ 3) ซื่อสตั ย์ คือ ประพฤติตรงไม่เอนเอยี งไม่มีเล่ห์เหล่ียม มีความจริงใจ ปลอดจาก ความรู้สึกลาํ เอียง หรืออคติ ผทู้ ่ีมีความซื่อสตั ยค์ ือ ผูท้ ่ีมีความประพฤติตรงท้งั ต่อหนา้ ท่ี ต่อวิชาชีพ ตรงต่อเวลา ไม่ใชเ้ ล่ห์กล คดโกง ท้งั ทางตรงและทางออ้ ม รับรู้หน้าท่ีของตนเองและปฏิบตั ิอย่าง เต็มท่ีถกู ตอ้ ง 4) มีวินยั คือ การยดึ มน่ั ในระเบียบแบบแผนขอ้ บงั คบั และขอ้ ปฏิบตั ิ ซ่ึงมีท้งั วินยั ในตนเองและวินัยต่อสงั คม ผูม้ ีวินยั คือ ผูท้ ี่ปฏิบตั ิตนในขอบเขต กฎ ระเบียบ ของสถานศึกษา สถาบนั /องคก์ ร/สงั คมและประเทศ โดยท่ีตนเองยนิ ดีปฏบิ ตั ิตามอยา่ งเต็มใจและต้งั ใจ 5) สุภาพ คือ เรียบร้อย อ่อนโยน ละมุนละม่อมมีกิริยามารยาทที่ดีงาม มีสมั มา คารวะ ผทู้ ี่มีความสุภาพคือ ผทู้ ี่อ่อนน้อมถ่อมตนตามสถานภาพ และกาลเทศะ ไม่กา้ วร้าว รุนแรง วางอาํ นาจข่มขู่ผอู้ ื่นท้งั โดยวาจาและท่าทาง แต่ในเวลาเดียวกนั ยงั คงมีความมนั่ ใจในตนเอง เป็ นผูท้ ่ี มีมารยาท วางตนเหมาะสมตามวฒั นธรรมไทย 3ห2น6า้ ||3ก4า0รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

6) สะอาด คือ ปราศจากความมวั หมองท้งั กาย ใจ และสภาพแวดลอ้ ม ความผ่อง ใสเป็ นที่เจริญตา ทาํ ให้เกิดความสบายใจแก่ผูพ้ บเห็น ผูท้ ่ีมีความสะอาดคือ ผูร้ ักษาร่างกาย ท่ีอยู่ อาศยั ส่ิงแวดลอ้ มถกู ตอ้ งตามสุขลกั ษณะ ฝึกฝนจิตใจมิใหข้ ุ่นมวั จึงมคี วามแจ่มใสอยเู่ สมอ 7) สามคั คี คือ ความพร้อมเพียงกนั ความกลมเกลียวกนั ความปรองดองกนั ร่วม ใจกนั ปฏิบตั ิงานใหบ้ รรลผุ ลตามท่ีตอ้ งการ เกิดงานการอยา่ งสร้างสรรค์ ปราศจากการทะเลาะวิวาท ไม่เอารัดเอาเปรียบกนั เป็นการยอมรับความมเี หตุผล ยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความหลากหลายในเร่ืองเช้ือชาติ ความกลมเกลียวกันในลกั ษณะเช่นน้ีเรียกอีกอย่างว่า ความ สมานฉนั ท์ ผทู้ ่ีมคี วามสามคั คีคือ ผทู้ ่ีเปิ ดใจกวา้ ง รับฟังความคิดเห็นของผอู้ ื่น รู้บทบาทของตน ท้งั ในฐานะผนู้ าํ และผตู้ ามที่ดี มีความม่งุ มน่ั ต่อการรวมพลงั ช่วยเหลือ เก้ือกูลกนั เพ่ือใหก้ ารงานสาํ เร็จ ลุล่วง แกป้ ัญหาและขจดั ความขดั แยง้ ได้ เป็ นผูม้ ีเหตุผล ยอมรับความแตกต่างหลากหลายทาง วฒั นธรรม ความคิด ความเชื่อ พร้อมท่ีจะปรับตวั เพอ่ื อยรู่ ่วมกนั อยา่ งสนั ติ 8) มนี ้าํ ใจ คือ ความจริงใจท่ีไม่เห็นแก่เพียงตวั เองหรือเร่ืองของตวั เอง แต่เห็นอก เห็นใจเห็นคุณค่าในเพื่อนมนุษย์ มีความเอ้ืออาทร เอาใจใส่ ใหค้ วามสนใจในความตอ้ งการ ความ จาํ เป็ น ความทุกขส์ ุขของผอู้ ื่น และพร้อมที่จะใหค้ วามช่วยเหลือเก้ือกูลกนั และกนั ผูท้ ี่มีน้าํ ใจคือ ผใู้ ห้และผูอ้ าสาช่วยเหลือสังคม รู้จกั แบ่งปัน เสียสละความสุขส่วนตนเพ่ือทาํ ประโยชน์แก่ผอู้ ่ืน เขา้ ใจ เห็นใจผทู้ ี่มีความเดือดร้อน อาสาช่วยเหลอื สงั คมดว้ ยแรงกาย สติปัญญา ลงมอื ปฏิบตั ิการเพื่อ บรรเทาปัญหา หรือร่วมสร้างสรรคส์ ่ิงดีงามใหเ้ กิดข้ึนในชุมชน จาก นโ ยบ าย เร่ งรั ดก าร ปฏิ รู ป กา รศึ กษ า 8 คุ ณธรร มพ้ื นฐ าน ข้า งต้น สถาบนั การศึกษาจึงควรเร่งรัดนาํ ไปปลูกฝังคุณธรรม พฒั นาใหก้ บั เยาวชนของชาติ เพอื่ ใหเ้ ป็นคนดี มีความรู้ และอยดู่ ีมีสุข กา้ วสู่สงั คมคุณธรรมนาํ ความรู้ โดยขอความร่วมมือจากสถาบนั ครอบครัว ชุมชน สถาบนั ศาสนา และสถาบนั การศึกษาอื่น ๆ เพื่อใหก้ ารดาํ เนินการประสบความสาํ เร็จ สามารถนาํ ไปสู่การปฏิบตั ิยทุ ธศาสตร์ท่ีสาํ คญั ท่ีจะนาํ ไปสู่ความสาํ เร็จน้ัน ทุกฝ่ ายจะตอ้ งมีความ ต้งั ใจและลงมอื ปฏบิ ตั ิอยา่ งจริงจงั ผใู้ หญ่ควรเป็นตวั อยา่ งที่ดีแก่เยาวชน พอ่ แม่ตอ้ งดูแลเอาใจใส่ลูก อยา่ งใกลช้ ิด ครูตอ้ งมีจิตสาํ นึกและวิญญาณของความเป็ นครูเพิ่มข้ึน ภาครัฐและเอกชน องคก์ าร ศาสนา และสื่อมวลชน ตอ้ งตื่นตวั กระตือรือร้น และผนึกกาํ ลงั เพื่อการพฒั นาไปสู่ความกา้ วหนา้ อยา่ งมนั่ คงอย่างน้อยที่สุดทุกคนควรทาํ งานให้เต็มกาํ ลงั เต็มความสามารถ และเต็มเวลาดว้ ย 8 คุณธรรมพ้ืนฐานคือ ขยนั ประหยดั ซื่อสัตย์ มีวินัย สุภาพ สะอาด สามคั คี และมีน้าํ ใจ หากเกิด ข้ึนกบั ครอบครัว ชุมชน หน่วยงาน สถาบนั ตลอดจนประเทศใดแลว้ จะพน้ วิกฤติท้งั ทางดา้ น การเมือง เศรษฐกิจ สงั คม พฒั นาชาติให้มีความเจริญกา้ วหน้า เป็ นสังคมคุณธรรมนาํ ความรู้ ชีวิต ของคนในชาติจะสงบสุข การพฒั นาความเป็นครูวชิ าชีพหน|า้ |334217

3. คณุ ธรรมสําหรับครูตามแนวพทุ ธธรรม หลกั ธรรมคาํ สอนขององคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจา้ มีจาํ นวนมากมาย ท้งั น้ีเพื่อให้ พุทธ-บริษทั เลอื กไปปฏิบตั ิ และใหอ้ ดีตผทู้ าํ หนา้ ท่ีเป็ นครูของสงั คมคือ พระภิกษุสงฆ์ ซ่ึงเป็ นผูม้ ีจ ริยวตั รครองตนในศีลในธรรม ในทางพระพุทธศาสนาจึงยกย่องครูเป็ นปูชนียบุคคล เป็ นผูก้ ระทาํ หนา้ ที่ยกระดบั วิญญาณของมนุษยใ์ หส้ ูงข้ึน ในปัจจุบนั ครูเป็นวิชาชีพที่มีหลกั วิชาเฉพาะทาง มีการ กาํ หนดบทบาทหน้าท่ี ภาระงานความรับผิดชอบที่ชัดเจน และครูยงั ไดร้ ับการยอมรับให้เป็ น แบบอย่างที่ดี เป็ นผูม้ ีจิตใจสูงและเจริ ญด้วยธรรม หากจะกล่าวถึงคุณธรรมของครูตามแนว พระพทุ ธศาสนา หรือแนวพุทธธรรม สามารถจาํ แนกคุณธรรมของครูออกเป็ นประเภทต่าง ๆ ตาม ลกั ษณะงานของครูดงั ต่อไปน้ี 3.1 คณุ ธรรมสําหรับครูเพื่อเพมิ่ ประสิทธิภาพในการทํางาน ในการทาํ งานของครู ซ่ึงเป็ นงานอบรมสั่งสอนศิษยน์ ับเป็ นงานที่หนกั ฉะน้นั ใน การทาํ งานเพื่อให้มีประสิทธิภาพของงานให้มากยง่ิ ข้ึน ครูตอ้ งมีคุณธรรมตามแนวพุทธธรรมท่ี เรียกวา่ อิทธิ-บาท 4 และอนิ ทรีย์ 5 หรือพลธรรม 5 ดงั มีรายละเอียดดงั น้ี 1) อทิ ธบิ าท 4 ถา้ แปลตามคาํ ศพั ท์ อทิ ธิ แปลวา่ ฤทธ์ิ หรืออาํ นาจหรือความสาํ เร็จ บาท แปลว่า การก้าวไป หรือการดาํ เนินไปสู่ ฉะน้ัน อิทธิบาท จึงหมายถึง การดาํ เนินไปสู่ความสาํ เร็จซ่ึง ประกอบดว้ ยองคธ์ รรม 4 ประการ คือ 1.1) ฉนั ทะ คือ ความยนิ ดี พอใจในวิชาชีพครู มีความรักความศรัทธาที่จะเป็ น ครูเมือ่ ผปู้ ระกอบวชิ าชีพครู เป็นครูดว้ ยใจรัก มคี วามชอบ ยอ่ มมีความต้งั ใจในการทาํ หนา้ ที่ครู โดย มีความต้งั ใจในการสอน มกี ารเตรียมการสอนท่ีเหมาะสมกบั เด็กตามวยั และความแตกต่างของเด็ก มีการสอนที่น่าสนใจ สนุกสนาน ทาํ ใหเ้ ด็กมีความรู้และคุณธรรม เพราะครูจะส่งั สอนดว้ ยความรัก ความเมตตา ความหวงั ดี 1.2) วิริยะ คือ ความเพียรพยายามในการประกอบวิชาชีพครู โดยมีความเพียร พยายามที่จะสอนเด็กใหไ้ ดผ้ ลท้งั ทางวิชาการความรู้ และคุณธรรม โดยครูจะไมย่ อ่ ทอ้ ในงานท่ีหนกั จะใช้ความขยัน ใช้ความเพียร ใช้ความพยายาม ในการพัฒนาศิษย์ให้เป็ นคนที่มีความรู้ ความสามารถควบคู่กบั มคี ุณธรรม 1.3) จิตตะ คือ การเอาใจฝักใฝ่ ในความเป็ นครู คิดเสมอว่าครูเป็ นอาชีพสาํ คญั ในการพฒั นาตนใหเ้ ป็นมนุษยท์ ่ีสมบูรณ์จึงมจี ิตเอาใจใส่ในการทาํ งานใหเ้ กิดผลดีแก่ศิษย์ ต้งั ใจใน การศึกษาคน้ ควา้ วิชาการท่ีดีท่ีเหมาะสมที่จะฝึกฝนใหศ้ ษิ ยม์ กี ารพฒั นาในทุกดา้ น กลา่ วยอ่ ๆ กค็ ือ มี หนา้ | 342 328 | การพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

จิตฝักใฝ่ ในการทาํ หนา้ ท่ีของครูใหด้ ีท่ีสุด 1.4) วิมงั สา คือ การหมนั่ ตริตรอง คิดพิจารณาดว้ ยหลกั เหตุและผลในการทาํ หนา้ ท่ีครูว่าทาํ ไดด้ ี มีประสิทธิภาพหรือไม่ มีงานอะไรที่ตอ้ งทาํ เพิ่มเติมเพื่อการพฒั นาเด็กให้เกิด ประสิทธิผลที่ดีข้ึนมสี ่ิงใดท่ียงั ไมค่ ่อยดี ตอ้ งมกี ารพฒั นาปรับปรุงแกไ้ ข กพ็ ยายามแสวงหาแนวทาง ที่เหมาะสมในการแกไ้ ขส่ิงน้นั เช่น คน้ หาวธิ ีการสอนแบบใหม่ ๆ ท่ีเหมาะสมกบั เด็กในยุคปัจจุบนั โดยการวิจยั ผปู้ ระกอบวิชาชีพครู ถา้ ไดใ้ ชห้ ลกั อทิ ธิบาท 4 ในการดาํ เนินชีวิตในหนา้ ท่ีการ งานยอ่ มทาํ ใหเ้ ป็นครูแทจ้ ริง เป็นครูที่มคี ุณภาพ มีคุณธรรมเพราะเป็ นครูดว้ ยใจรัก ขณะเดียวกนั มี ความเพียรพยายาม เอาใจใส่ นึกคิดตริตรอง เพ่ือการพฒั นางานในหน้าที่อยูเ่ สมอ ย่อมส่งผลสาํ เร็จ ใหเ้ กิดตามท่ีปรารถนา คุณธรรมอิทธิบาท 4 น้ียงั สามารถใชไ้ ดก้ บั บุคคลทุกอาชีพ ทุกหนา้ ท่ี การ งาน เพ่อื ความสาํ เร็จแห่งงานน้นั ๆ 2) พละธรรม 5 พละ 5 ถา้ แปลตามคาํ ศพั ท์ แปลว่า เป็ นใหญ่ในหน้าที่ หรือเป็ นธรรมที่เป็ น กาํ ลงั กล่าวคือ องคธ์ รรมน้ีช่วยในการทาํ หน้าที่ให้ประสบความสาํ เร็จ ประกอบดว้ ยองค์ธรรม 5 ประการ คือ 2.1) ศรัทธาพละ คือ ศรัทธา ความเชื่อ 2.2) วริ ิยะพละ คือ วริ ิยะหรือความเพยี ร 2.3) สติพละ คือสติ ความระลกึ ได้ 2.4) สมาธิพละ คือ สมาธิหรือความต้งั ใจมนั่ 2.5) ปัญญาพละ คือ ปัญญา ความรอบรู้ ดงั รายละเอียดดงั น้ี 2.5.1) ศรัทธาพละ คือ ความเช่ือท่ีประกอบดว้ ยปัญญา โดยครูตอ้ งมีความ เช่ือในทางท่ีชอบ เช่ือในสิ่งที่ควรเชื่อ เช่น เช่ือวา่ ทาํ ดีไดด้ ี ทาํ ชวั่ ไดช้ ว่ั เชื่อเร่ืองกฎแห่งกรรมซ่ึงเป็ น ความเชื่อเกี่ยวกบั หลกั เหตุและผล ซ่ึงความเชื่อเหล่าน้ีเมื่อเกิดข้ึนในใจของบุคคลแลว้ จะเป็ นพลงั เป็นกาํ ลงั ใหท้ าํ แต่ความดี ละเวน้ ความชวั่ จะเป็นพลงั ในการตา้ นอกุศลกรรม ความเช่ือในหนา้ ที่การ งานของครู ไดแ้ ก่ ความเชื่อที่วา่ เดก็ นกั เรียนทุกคนมศี กั ยภาพท่ีพฒั นาได้ ความรักในวิชาชีพครูจะ ทาํ ใหค้ รูทาํ หนา้ ที่ของความเป็นครูอยา่ งสมบูรณ์ เป็นตน้ 2.5.2) วิริยะพละ คือ ความพากเพยี รพยายามในการทาํ อะไร ๆ กต็ าม ถา้ ทาํ บ่อย ๆ ทาํ ติดต่อ บากบ่นั อยา่ งสม่าํ เสมอย่อมทาํ ใหเ้ กิดพลงั ถา้ ครูมีความเพียรในทางที่ชอบ เช่น เพียรเลกิ ละความชวั่ เพียรระวงั ไม่ใหค้ วามชวั่ เกิดข้ึน เพียรทาํ ความดีสม่าํ เสมอ และเพียรรักษา การพฒั นาความเป็นครวู ิชาชหพี นา้| |334239

ความดีไวต้ ่อเนื่องยอ่ ม ทาํ ให้ครูประสบผลสาํ เร็จในส่ิงที่ปรารถนา บุคคลที่ประกอบวิชาชีพครู จาํ เป็นตอ้ งใชค้ วามเพียรพยายามอยา่ งมากในการอบรมสงั่ สอนเพอื่ พฒั นาผเู้ รียน 2.5.3) สติพละ คือ ความระลึกได้ กล่าวคือ ครูตอ้ งมีความระลึกความ รู้สึกตวั ในการกระทาํ การพูด การคิด โดยสามารถพิจารณาไดว้ ่าเหมาะสมหรือไม่ กบั ตนเอง กบั บุคคลอ่ืน กบั สถานการณ์ กบั กาํ ลงั ท่ีตนมีอยู่ โดยความมีสติ จะเป็ นกาํ ลงั เป็ นพลงั ในการทาํ การ งานท้งั ปวง ใหป้ ระสบความสาํ เร็จ ความมีสติจะเป็ นพลงั ในการต่อตา้ นความประมาท ความมีสติ เป็นส่ิงจาํ เป็นมากสาํ หรับวชิ าชีพครูเพราะเป็ นวิชาชีพท่ีตอ้ งพบปะผูค้ นเป็ นจาํ นวนมาก ท้งั ยงั ตอ้ ง เป็นตวั แบบแก่ผเู้ รียนอกี ดว้ ย 2.5.4) สมาธิพละ คือ ความม่งุ มน่ั หรือความต้งั ใจเป็นองคธ์ รรมท่ีทาํ ให้จิต ต้งั มน่ั ในอารมณ์เดียว ทาํ ใหจ้ ิตมีพลงั มีความหนกั แน่นมน่ั คงในสิ่งที่เป็ นกุศล พลงั สมาธิน้ีจะเป็ น กาํ ลงั ในการต่อตา้ นความฟุ้งซ่านมิใหเ้ กิดข้ึนภายในจิตใจตนเอง ทาํ ใหม้ ีความมุ่งมนั่ ที่จะทาํ งานให้ สาํ เร็จ แมม้ ีอปุ สรรคในงาน ความมงุ่ มนั่ ต้งั ใจของกาํ ลงั สมาธิก็จะมสี ่วนช่วยใหก้ าํ จดั อุปสรรคได้ ทาํ ใหง้ านสาํ เร็จดงั ท่ีต้งั เป้าหมายไว้ 2.5.5) ปัญญาพละ คือ ความรอบรู้ ความเขา้ ใจสภาพธรรม ความรอบรู้ ของครู นอกจากความรอบรู้ดา้ นวิชาการแลว้ ก็ควรมีความรอบรู้ว่าอะไรดี อะไรชวั่ อะไรควรทาํ อะไรไม่ควรทาํ อะไรจริง อะไรเทจ็ อะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ ซ่ึงความรอบรู้น้ีจะ เกิดจากการสง่ั สม การอบรมจนเกิดปัญญา ก่อใหเ้ กิดมพี ลงั ข้ึนมา ทาํ ใหเ้ กิดความสงบและเป็นสุข ธรรมท้งั 5 ประการน้ี จะตอ้ งปรับใหเ้ สมอกนั จึงมีผลในทางปฏิบตั ิ คือ ศรัทธา กบั ปัญญาต้องเท่ากนั วิริยะกับสมาธิตอ้ งเท่ากนั โดยมีสติเป็ นตวั กลาง กล่าวคือ คนบางคนมีแต่ ศรัทธาแต่ไม่มปี ัญญา กเ็ ป็นเหตุใหง้ มงาย บางคนมีแต่ปัญญาไม่มีศรัทธา ก็จะทาํ ให้บุคคลฟุ้งซ่าน เพราะไมย่ อมเชื่ออะไรง่าย ๆ หรือการมีความเพียรมากเกินไป ก็ทาํ ใหจ้ ิตฟุ้งซ่านหรือการทาํ สมาธิ มากเกินไป ทาํ ใหจ้ ิตง่วงลงสู่ภวงั ค์ ทาํ ใหไ้ ดผ้ ลในการปฏิบตั ิน้อย จึงตอ้ งปรับแต่ละคู่ให้เสมอกนั ส่วนสติเป็นธรรมตวั กลางที่ตอ้ งใชอ้ ยู่เสมอ ในการปฏิบตั ิหน้าท่ีครูใหป้ ระสบความสาํ เร็จไดผ้ ลดี น้ันครูต้องศรัทธาที่จะเป็ นครู โดยมีความเชื่อว่าอาชีพน้ีเป็ นอาชีพดีมีประโยชน์แก่สังคมและ ส่วนตวั ที่ไดใ้ ห้ความรู้ สร้างคนให้เป็ นคนดี มีความเพียรท่ีจะแสวงหาความรู้และอบรมสั่งสอน ศิษยใ์ หม้ ที ้งั ความรู้และคุณธรรม มีสติรู้ตวั วา่ ทาํ อะไรอยู่ เหมาะสมกบั การประกอบวิชาชีพน้ีหรือไม่ มีสติที่จะทาํ งานดว้ ยความต้งั ใจที่จะทาํ ตวั ดีเป็นตวั อยา่ งแก่ศษิ ย์ มีสมาธิคือความมุ่งมนั่ ต้งั ใจในการ สอน สอนไดต้ ามจุดมงุ่ หมายที่วางไว้ มีสติที่จะไม่ทาํ ส่ิงไม่ดี และมีปัญญาคือความฉลาดรอบรู้ใน วิชาการและวิชาชีพ รู้ว่าจะทาํ การสอนอยา่ งไรใหไ้ ดผ้ ลดีแก่เด็ก 3ห3น0า้ ||3ก4า4รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

3.2 คุณธรรมสําหรับครูเพ่ือความสุข ความเจริญของตนและส่วนรวม บุคคลที่จะเป็นครูนอกจากจะมีคุณธรรมเพื่อความเจริญส่วนตวั แลว้ ยงั ตอ้ งสนใจที่ จะประพฤติตนใหเ้ ป็ นประโยชน์ต่อส่วนรวมดว้ ย โดยหลกั ธรรมต่าง ๆ ท่ีครูตอ้ งปฏิบตั ิเพ่ือความ เจริญของส่วนตวั และส่วนรวมน้ัน ประกอบดว้ ยพรหมวิหาร 4 และสังควตั ถุ 4 โดยมีรายละเอียด ดงั น้ี 1) พรหมวหิ าร 4 พรหมวหิ าร 4 คือ ธรรมของพรหม เป็นธรรมอนั ประเสริฐของผทู้ ่ีทาํ หนา้ ที่เป็ น ที่พ่งึ ของผอู้ ่นื ผเู้ ป็นผนู้ าํ ผเู้ ป็นผใู้ หญ่ ซ่ึงบุคคลท่ีเป็นครูตอ้ งมีธรรมน้ีประจาํ ใจดงั น้ี 1.1) เมตตา คือ ความคิดปรารถนาดี ตอ้ งการใหผ้ อู้ ื่นมีความสุข มีความรักผูอ้ ื่น ปรารถนาเก้ือกลู ใหผ้ อู้ ่ืนพน้ จากทุกข์ ซ่ึงบุคคลที่เป็ นครูตอ้ งมีคุณธรรมขอ้ น้ีโดยครูตอ้ งมีความรัก ความปรารถนาดีต่อศษิ ย์ ช่วยเหลือศษิ ยใ์ หม้ คี วามสุข มคี วามเจริญกา้ วหนา้ ในการดาํ เนินชีวิต คอย ระวงั มิใหศ้ ิษยต์ กไปสู่ความประมาทอนั เป็นหนทางนาํ ไปสู่ความเส่ือม เช่น เกียจคร้านในการเล่า เรียน เที่ยวเตร่เสเพล 1.2) กรุณา คือ ความสงสารและช่วยใหผ้ อู้ ่ืนพน้ จากความทุกข์ ความเดือดร้อน โดยลงมือปฏิบตั ิ ช่วยเหลือในสิ่งที่ทาํ ไดโ้ ดยผูเ้ ป็ นครูจะตอ้ งมีความสงสารเอ็นดูศิษยใ์ ห้ความรัก ความเขา้ ใจ ใหค้ วามอบอุน่ และช่วยเหลือศิษยใ์ หพ้ น้ จากความทุกข์ พน้ จากอวชิ ชา ความไม่รู้ ใหไ้ ด้ รู้ไดเ้ ห็นอยา่ งถกู ตอ้ ง ตามครรลองครองธรรม 1.3) มทุ ิตา คือ ความยนิ ดีเมอื่ ผอู้ ื่นไดด้ ีหรือมีความสุขก็มใี จแช่มช่ืนเบิกบานไป ดว้ ย และพร้อมท่ีจะช่วยเหลือสนบั สนุนไมก่ ีดกนั ริษยาเม่ือผอู้ น่ื มีความสามารถมากกว่า กล่าวคือ ผู้ เป็นครูตอ้ งแสดงความชื่นชมยนิ ดีเมอื่ ศิษยห์ รือเพ่ือนครูไดด้ ี ยกยอ่ งเชิดชูเกียรติให้ปรากฏ เป็ นการ ใหก้ าํ ลงั ใจ ทาํ ให้ศิษยห์ รือผเู้ ก่ียวขอ้ งเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง และมีความรู้สึกท่ีดีต่อครูผูม้ ี คุณธรรมน้นั 1.4) อเุ บกขา คือ ความวางเฉย วางใจเป็ นกลางไม่เอนเอียงไปเพราะความชอบ ความชงั ความเกลียด หรือความกลวั ทาํ ใจให้มนั่ คงต้งั อยูใ่ นความยุติธรรม เม่ือพิจารณาเห็นศิษย์ หรือผอู้ ื่นไดร้ ับผลดี ผลชวั่ สมควรแก่เหตุที่เขากระทาํ มาก่อน ครูยอ่ มวางเฉยไม่เขา้ ขา้ ง ไม่ลาํ เอียง ไมใ่ ช่วา่ เป็นศิษยร์ ัก ศิษยโ์ ปรด เวลาศิษยท์ าํ ผดิ กเ็ ขา้ ขา้ งวา่ ถกู เพราะรัก ฉะน้นั การท่ีครูจะมีอุเบกขา ได้ ครูตอ้ งใชส้ ติใชป้ ัญญาในการพิจารณาดว้ ยหลกั เหตุและผล ประกอบดว้ ยจึงจะวางใจเป็ นกลาง ไดธ้ รรมท้งั 4 ประการน้ี การพฒั นาความเปน็ ครูวชิ าชหีพนา้||334351

2) สังควตั ถุ 4 สงั ควตั ถุ 4 เป็นธรรมที่ยดึ เหนี่ยวน้าํ ใจคน หรือธรรมท่ีช่วยให้มีมนุษยสัมพนั ธ์ ที่ดีต่อกนั ซ่ึงหากครูประพฤติปฏิบตั ิประจาํ จะทาํ ใหค้ รูมเี สน่ห์ เป็นที่รักของศิษย์ ประกอบดว้ ย 2.1) ทาน คือ การใหป้ ัน การเสียสละ ความเอ้ือเฟ้ื อเผือ่ แผ่ การใหน้ ้ีเป็ นการให้ วิชาการความรู้ ใหค้ วามรักความห่วงใย ใหว้ ตั ถุส่ิงของที่เป็ นประโยชน์แก่ผูอ้ ่ืน รวมถึงการให้อภยั แก่ผอู้ ่ืน ซ่ึงส่งผลใหส้ งั คมอยกู่ นั อยา่ งสงบสุข 2.2) ปิ ยวาจา คือ การพูดจาไพเราะ พูดด้วยถอ้ ยคาํ สุภาพ พูดดว้ ยน้ําเสียง นุ่มนวล พูดช้ีแจงในสิ่งที่เป็นประโยชน์ พดู ใหก้ าํ ลงั ใจ ซ่ึงงานของครูเก่ียวขอ้ งกบั การพูดเป็ นส่วน ใหญ่ ครูจึงจาํ เป็นตอ้ งมปี ิ ยวาจา เพือ่ ก่อใหเ้ กิดความพงึ พอใจแก่ผฟู้ ัง ซ่ึงอาจจะเป็นผปู้ กครอง ผเู้ รียน หรือเพื่อนครูดว้ ยกนั 2.3) อตั ถจริยา คือ การบาํ เพญ็ ตนใหเ้ ป็นประโยชนแ์ ก่ผอู้ ืน่ เป็ นการปฏิบตั ิสิ่งท่ี เป็นประโยชน์ต่อกนั การมีน้าํ ใจช่วยเหลือผอู้ ื่นโดยไม่หวงั ผลตอบแทนดว้ ยกาํ ลงั ความคิด กาํ ลงั กาย และกาํ ลงั ทรัพย์ ซ่ึงผปู้ ระกอบวชิ าชีพครูตอ้ งมีธรรมในขอ้ น้ีเพือ่ ทาํ ส่ิงที่เป็นประโยชนแ์ ก่ศิษย์ 2.4) สมานัตตตา คือ การปฏิบัติตน เสมอตน้ เสมอปลาย ทาํ ตวั เป็ นกนั เองกับ ผอู้ ่ืน ไมถ่ อื เขาถือเรา ผกู มิตรกบั ผอู้ ่ืน ร่วมเผชิญและแกป้ ัญหาเพื่อประโยชน์สุขแก่ส่วนรวม ซ่ึงผู้ เป็นครูพงึ ปฏิบตั ิเพื่อสร้างความคุน้ เคยเป็นกนั เองกบั ศิษย์ เพ่อื ผเู้ ป็นศิษยจ์ ะกลา้ ซกั ถามในสิ่งที่ไม่รู้ จากการศึกษาคุณธรรมของครู เพื่อความสุข ความเจริญของตนและส่วนรวมคือ อาจยดึ หลกั ธรรม พรหมวิหาร 4 และสังคหวตั ถุ 4 เป็ นหลกั ในฐานะเป็ นบุคคลตวั อย่างครูควร พฒั นาตวั เองใหส้ ูงข้ึนดว้ ยคุณธรรม หรือมุ่งทาํ ความดีมกี ารปฏบิ ตั ิธรรมเพอ่ื อบรมความดีให้เกิดข้ึน รักษาความดีที่มอี ยมู่ ิใหเ้ ส่ือมสูญ คุณธรรมจึงเป็ นองคป์ ระกอบหลกั ที่มีความสาํ คญั ท่ีสุดสาํ หรับผู้ ประกอบวิชาชีพครู เพราะเป็นส่ิงท่ีเก้ือกลู หนุนนาํ และส่งเสริมใหผ้ ปู้ ระกอบวชิ าชีพครูปฏิบตั ิหน้าท่ี ไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ การปลูกฝังคุณธรรมสําหรับครู วิชาชีพครูเป็ นอาชีพท่ีตอ้ งใชจ้ ิตวิญญาณ จิตสาํ นึกในการทาํ หนา้ ท่ีสัง่ สอนฝึ กฝนศิษยใ์ ห้ เป็ นมนุษยท์ ี่สมบูรณ์พร้อม กล่าวคือ มีความรับผดิ ชอบต่อตนเอง ต่อครอบครัว และต่อสังคม มี ความมุ่งมน่ั ท่ีจะประกอบกิจการงานต่าง ๆ ใหป้ ระสบความสาํ เร็จ มวี นิ ยั ในตนเองและต่อบุคคลอื่น และมีจิตสาํ นึกสาธารณะ พร้อมท่ีจะทาํ ประโยชน์เพอื่ ส่วนรวม และดาํ รงชีวติ อยใู่ นสงั คมไดอ้ ยา่ งมี ความสุข ปัจจุบนั การดาํ รงชีวิตของครูตกอยภู่ ายใตก้ ระแสโลกาภิวตั น์ ท่ีมีความเจริญทางดา้ นวตั ถุ นิยมสูงกว่าจิตใจ คุณธรรมในครูลดต่าํ ลง ครูตอ้ งไดร้ ับการกระตุน้ ปลูกฝังใหเ้ กิดความตระหนกั รัก 3ห3น2า้ || 3ก4า6รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี

และศรัทธาในวิชาชีพอยา่ งต่อเน่ือง หน่วยงานท่ีรับผดิ ชอบจึงตอ้ งร่วมมือกนั แสวงหาแนวทางหรือ จดั กิจกรรมเพอ่ื ปลูกฝังคุณธรรมดงั น้ี 1. การปลกู ฝังโดยใช้กจิ กรรมการฝึ กอบรม การฝึกอบรม หมายถึง การจดั กิจกรรมเพื่อสร้างความเขา้ ใจ แนะนาํ ช้ีแจง หรือปลูกฝัง แนวคิดในเรื่องท่ีตอ้ งการ จนเกิดการรับรู้ ซึมซบั จนติดเป็ นนิสัย นาํ ไปประพฤติปฏิบัติงานใน หน้าที่ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากน้ี ยงั ช่วยสร้างความตระหนัก ขดั เกลานิสัยเพื่อให้เกิด คุณลกั ษณะที่ดีงามดว้ ย การฝึ กอบรมประกอบดว้ ยกิจกรรมที่หลากหลาย ผสมผสานกนั เช่น การ บรรยาย (Lecture), การสมั มนา (Seminar), การประชุมเชิงปฏบิ ตั ิการ (Work shop), การระดมสมอง (Brain storming), การแสดงบทบาทสมมุติ (Role playing), การสาธิต (Demonstration), การ อภิปรายกลุ่ม (Group discussion), การอภิปรายแบบเสวนา (Panel discussion), การศึกษากรณี (Case study) และการสมั ภาษณ์ (Interview) ฯลฯ 1.1 วตั ถุประสงค์ของการฝึ กอบรม 1) เพื่อเพ่ิมพูนความรู้ความสามารถ และความชาํ นาญในการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีให้มี ประสิทธิภาพ 2) เพ่อื ใหท้ ราบนโยบาย หน้าท่ี และความรับผิดชอบของหน่วยงาน ใหเ้ ขา้ ใจกฎ ขอ้ บงั คบั ระเบียบ วธิ ีการปฏิบตั ิงาน สายการบงั คบั บญั ชา สิทธิและประโยชน์ท่ีแต่ละคนจะไดร้ ับ จากหน่วยงานน้นั ๆ 3) เพื่อสร้างขวญั กาํ ลงั ใจท่ีดีในการปฏิบตั ิงาน เกิดความเช่ือมนั่ ในตนเองท่ีจะ ปฏิบตั ิงานใหไ้ ดผ้ ลดีมปี ระสิทธิภาพและมคี วามกระตือรือร้นที่จะพฒั นาตนเองอยเู่ สมอ 4) เพื่อใหเ้ กิดความตระหนักและเห็นความสาํ คัญของอาชีพที่ปฏิบตั ิ และช่วย ปลกู ฝังจิตสาํ นึกท่ีดีในวิชาชีพ ส่งเสริมจิตใจและศลี ธรรมของผปู้ ฏบิ ตั ิงานใหด้ ีข้ึน 1.2 ประเภทของการฝึ กอบรม สาํ หรับผทู้ ี่ประกอบอาชีพครูอาจจดั กิจกรรมฝึ กอบรมเพื่อเพ่ิมพูนความรู้ ทกั ษะ และปลูกฝังทศั นคติท่ีดีต่อวิชาชีพไดใ้ นรูปแบบต่าง ๆ ดงั น้ี 1) การฝึ กอบรมก่อนปฏิบตั ิงานในหน้าที่ (Pre the job training) เป็ นการแนะนาํ ช้ีแจง ฝึกฝน ผูท้ ่ีจะเขา้ ปฏิบตั ิหนา้ ที่ให้มีความรู้ ความชาํ นาญ และมีประสบการณ์มากพอสมควร เพื่อไม่ใหเ้ สียเวลาในการฝึ กสอนงานในขณะปฏิบตั ิงาน และทาํ ใหข้ อ้ ผดิ พลาดในการปฏิบตั ิงาน ต่าง ๆ ลดลง ช่วยลดปัญหาและขอ้ ยงุ่ ยากในการปฏบิ ตั ิงาน ตลอดจนงบประมาณต่าง ๆ ได้ การพฒั นาความเป็นครูวิชาชหีพนา้| |334373

2) การฝึ กอบรมขณะปฏิบตั ิงานในหนา้ ท่ี (On the job training) เป็ นวิธีสอนงาน หรือเพ่มิ พูนความรู้ ความสามารถในการปฏิบตั ิงานในหนา้ ที่ เพ่ือใหผ้ ูป้ ฏิบตั ิงานลงมือปฏิบตั ิงาน ทดลองปฏิบัติดู โดยมีหัวหน้างานหรือผูบ้ งั คบั บัญชาคอยสอดส่อง ดูแล ตรวจสอบผลการ ปฏิบตั ิงานอย่างใกลช้ ิด เพ่ือหาขอ้ บกพร่อง เสนอแนะให้ผรู้ ับการอบรมเขา้ ใจและปฏิบตั ิงานได้ อยา่ งถกู ตอ้ ง 3) การฝึกอบรมนอกงานในหนา้ ที่ (Off the job training) ผูเ้ ขา้ รับการฝึ กอบรมจะ หยดุ การปฏบิ ตั ิงานในหนา้ ที่ชว่ั คราว เพ่อื ไปเขา้ รับการฝึกอบรม (ตามที่หน่วยงานส่งไปหรือสมคั ร ไปเองกไ็ ด)้ อยา่ งเต็มท่ี โดยไมต่ อ้ งเป็นกงั วลเร่ืองภาระงานที่ปฏิบตั ิอยู่ เม่อื กลบั มาแลว้ จึงนาํ ความรู้ น้นั ๆ มาใชใ้ นการปฏิบตั ิงาน เวลาท่ีใชไ้ ปในการฝึ กอบรม บางหน่วยงานอาจจะไม่นบั เป็ นวนั ลา แต่บางหน่วยงานอาจนบั เป็นวนั ลาได้ 1.3 กจิ กรรมการฝึ กอบรม การฝึกอบรมในแต่ละโครงการจาํ เป็นตอ้ งเลอื กใชก้ ิจกรรมอยา่ งหลากหลายเพือ่ ให้ เหมาะสมกบั จุดม่งุ หมายของการฝึก ขอบข่ายเน้ือหาที่ตอ้ งการเนน้ จาํ นวนและความแตกต่างของ การจดั กิจกรรมฝึกอบรมหน่วยงานหรือผรู้ ับผดิ ชอบจะตอ้ งเขียนเป็ นโครงการฝึ กอบรม เพ่ือเสนอ ขออนุมตั ิโครงการต่อผบู้ งั คบั บญั ชา 2. การปลูกฝังโดยใช้เพลง การจดั กิจกรรมโดยใชเ้ พลง เป็นการนาํ เน้ือหาของเพลงท่ีเก่ียวขอ้ งกบั อาชีพครูมาช่วย สร้างความเขา้ ใจในบทบาทหนา้ ที่ กระตุน้ ความตระหนกั ในวิชาชีพและจรรยาบรรณครู เพราะ ลกั ษณะของเพลงจะเป็ นคาํ ร้อยกรองที่มีจุดเด่นดา้ นการใชภ้ าษา การใชส้ ัมผสั การใชโ้ วหารและ เน้ือหาที่นาํ เสนอ คนไทยมีความคุน้ เคยกบั ความเป็นคนเจา้ บทเจา้ กลอนมานานแลว้ ดงั น้นั หากนาํ เพลงมาเป็นกิจกรรมช่วยสร้างความตระหนกั ในวชิ าชีพจะช่วยใหเ้ กิดประโยชน์ คือ 1) ช่วยใหท้ กั ษะทางภาษาดีข้ึน โดยเฉพาะทกั ษะการฟังและการอา่ น 2) ช่วยใหเ้ กิดความรู้ ความเขา้ ใจในสาระขอ้ คิดที่นาํ เสนอของบทเพลง 3) ช่วยใหเ้ กิดความซาบซ้ึงในอรรถรสของภาษาและเน้ือหาของบทเพลง 4) ช่วยใหเ้ กิดความสนุกสนาน เพลินเพลิน ผ่อนคลายความเหนื่อย เมื่อยลา้ และ ความเครียดในการปฏบิ ตั ิงาน 5) ช่วยเสริมสร้างจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ 3ห3น4า้ ||3ก4า8รพฒั นาความเปน็ ครวู ชิ าชพี