Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 57KM_1innovation

57KM_1innovation

Published by nattaponpechtong, 2021-08-10 03:15:36

Description: 57KM_1innovation

Search

Read the Text Version

หมวดที่ 1 แนวคดิ การจัดการเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 1. ความนา เป้าหมายหลักของการพัฒนาการศึกษาของประเทศไทยคือการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นบุคคลท่ีมีคุณภาพ ด้วยกระบวนการเรียนรู้ เพือ่ ความเจริญงอกงามของบคุ คลและสังคม โดยถา่ ยทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสบื สานทางวฒั นธรรม การสร้างสรรค์จรรโลง ความกา้ วหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรอู้ ันเกิดจาก การจัดสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้และปัจจัยเก้ือหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิต (พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2553) การที่จะพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ตอ้ งอาศัยครูผสู้ อนท่มี ีทักษะในการจดั การเรยี นรู้มีเจตคติต่อวิชาชีพครูที่ดีมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงโดยเฉพาะใน ยุคศตวรรษที่ 21 เป็นทักษะแห่งอนาคตใหม่ท่ีครูควรมีทักษะและคุณลักษณะท่ีรองรับเข้าถึงเพ่ือสร้าง นวัตกรรมบริหารจัดการชั้นเรียนแนวใหม่ ในอันที่จะพัฒนาผู้เรียนที่เยาวชนในยุคใหม่ได้อย่างต่อเน่ืองและ ย่ังยืน สอดคล้องหลักการจัดการศึกษาตามมาตรา ๒๒ ที่ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมี ความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้อง สง่ เสริมให้ผเู้ รยี นสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ 2. การเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21(The 21st Century Learning) ปัจจุบันโลกได้เขา้ สคู่ รสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 21 มาเกือบ 2 ทศวรรษแล้ว ความเปล่ียนแปลงต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึน อาจทาให้คนในยุคก่อนปรับตัวได้ไม่เท่าทันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ภาคี เพื่อทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (ThePartnership for 21st Century Skills) จึงได้เสนอแนวคิดทักษะแห่ง ศตวรรษท่ี 21 ซ่ึงคณะกรรมการจัดทาพจนานุกรมศัพท์ศึกษาศาสตร์ร่วมสมัย ราชบัณฑิตยสถานได้จัดทา คาอธบิ ายไว้ดังน้ี ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ หมายถึง กลุ่มความรู้ ทักษะ และนิสัยการทางาน ที่เช่ือว่ามีความสาคัญ ยิ่งต่อความสาเร็จในการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทักษะดังกล่าวน้ีเป็นผลจากการพัฒนากรอบความคิดการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ ๒๑ (21st Century Learning Framework) โดยภาคเี พอื่ ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 เบอร์นีทริลลิง และชาลส์แฟเดล (Bernie Trilling & Charles Fadel) ได้เสนอในหนังสือ 21st Century Skills : Learning for Life in Our Times (2009) เปน็ สมการดังนี้ 3Rs x 7Cs = ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 โดย 3Rs ประกอบดว้ ย ทักษะการรูห้ นังสอื ไดแ้ ก่ Reading (ทักษะการอา่ น) Writing (’Riting-ทักษะการเขยี น)

2 และ Arithmetic (’Rithmetic-ทักษะเลขคณิต) สว่ น 7Cs ประกอบด้วย ทกั ษะ 7 ด้าน คือ (1) ดา้ นการคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ัญหา (critical thinking and problem solving) (2) ด้านการสื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ (communications, information, media literacy) (3) ด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีมและภาวะผู้นา (collaboration, teamwork and leadership) (4) ดา้ นการสรา้ งสรรค์และนวตั กรรม (creativity and innovation) (5) ด้านคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สาร (computing and ICT literacy (6) ดา้ นการทางาน การเรยี นรู้ และการพงึ่ ตนเอง (career and learning self–reliance) (7) ด้านความเขา้ ใจตา่ งวัฒนธรรม ต่างกระบวนทศั น์ (cross–cultural understanding) ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เป็นเป้าประสงค์พลเมืองโลกของการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ที่ช่วยชี้นาวิธีการ สร้างกระบวนการเรียนรู้ท่ีพัฒนาชีวิตของผู้เรียนให้มีคุณภาพและประสบความสาเร็จเพ่ือการดารงชีวิตใน ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 21 วิสัยทัศน์การปฏิรูปการศึกษาไทยในทศวรรษท่ีสอง (2552-2561) กาหนดให้ “คนไทยได้เรียนรู้ ตลอดชวี ิตอย่างมีคุณภาพ” โดยมีจดุ เนน้ การปฏิรูป 3 เรือ่ ง ได้แก่ 1) พัฒนาคุณภาพการศึกษาและการเรยี นรู้ 2) โอกาสทางการศกึ ษา เปิดโอกาสให้คนไทยเขา้ ถึงการเรียนรอู้ ย่างมคี ณุ ภาพ 3) การมสี ว่ นร่วมจากทกุ ภาคส่วนของสงั คม คุณภาพของการศกึ ษาและการเรยี นรูจ้ ะต้องบรรลุ 4 คณุ ภาพ คอื 1) คุณภาพคนไทยยุคใหม่ 2) คุณภาพครูยุคใหม่ 3) คุณภาพแหล่งเรียนรู้/สถานศึกษายุคใหม่ 4) คุณภาพการบริหารจัดการใหม่ โดยกาหนด เป้าหมายยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองไว้ ดังน้ี 1) คนไทยและการศกึ ษาไทยมีคณุ ภาพและมาตรฐานระดบั สากล 2) คนไทยใฝ่รู้ : สามารถเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง รักการอา่ นและแสวงหาความรู้ 3) คนไทยใฝ่ดี : มีคุณธรรมพื้นฐาน มีจิตสานึกและค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นประโยชน์ส่วนรวม มี จิตสาธารณะ มีวัฒนธรรมประชาธิปไตย 4) คนไทยคิดเป็น ทาเป็น แก้ปัญหาได้ : มีทักษะในการคิดและปฏิบัติ มีความสามารถในการ แก้ปัญหา มีความคดิ ริเรมิ่ สร้างสรรค์ มีความสามารถในการแขง่ ขนั นโยบายหลักเพ่ือขบั เคลื่อนในประเดน็ หลักท่ี 1 กระบวนการเรียนรใู้ หม่ เชน่ นโยบายพัฒนาผู้เรียน ให้มีทักษะวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาต่างประเทศอ่ืน และ เทคโนโลยีสารสนเทศ นโยบายการปรับหลักสูตร การเรียนการสอนเน้นกิจกรรมมากขึ้น นโยบายส่งเสริมการ

3 สอนแบบใหม่โดยใช้วิจัย โครงการ และกิจกรรม อีกทั้งยังกาหนดประเด็นหลักที่ 2 การพัฒนาครูยุคใหม่ โดยพัฒนาครูดา้ นวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี ภาษาไทย อังกฤษ และภาษาต่างประเทศอ่ืน และ เทคโนโลยีสารสนเทศพัฒนาครูประจาการให้เป็นครูยุคใหม่จะเห็นได้ว่าประเด็นหลักการพัฒนาครู จึงเป็น ประเด็นหลักท่ีสาคัญในการขับเคลื่อนส่งผลให้การพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ปัจจัย ความสาเร็จท่เี กี่ยวขอ้ งประกอบดว้ ยทักษะเพื่อการดารงชวี ิตในศตวรรษท่ี 21 ศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช (2555, หน้า 11) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการจัด การศึกษา 3 ยุค คือยุคเกษตรกรรม ยุคอตุ สาหกรรม และยุคความรู้ มีความแตกต่างกันมากหากเราต้องการ ให้สังคมไทยดารงศักด์ิศรีและคนไทยสามารถอยู่ในสังคมโลกได้อย่างมีความสุขการศึกษาไทยต้องก้าวไปสู่ เปา้ หมายในสู่ “ยุคความรู้” จุดทา้ ทายในการจดั การศึกษาควรไปในทิศนาทางของความสุขในการทางานอย่าง มีเปา้ หมายเพื่อชวี ติ ที่ดีลกู ศิษยใ์ นยคุ ความรู้กระตุ้นให้ศิษย์เรียนรู้ตลอดชีวิต ครูจึงต้องยึดหลัก “สอนน้อยเรียน มาก” ด้วยจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของเด็กครูต้องตอบได้ว่าศิษย์ได้เรียนอะไรและเพื่อให้ศิษย์ได้การประสบผล สาเรจ็ ได้นนั้ ครูต้องทาอะไรไมท่ าอะไรครูจึงมีความมากขึ้นไม่ทาหน้าท่ีครูผิดทางคือทาให้ศิษย์เรียนไม่สนุกหรือ เรยี นแบบขาดทักษะสาคญั “ทักษะเพ่ือการดารงชีวิตในศตวรรษที่ 21” ( 21st Century Skills) จะเกิดข้ึนได้ จาก “ครูต้องไม่สอนแต่ต้องออกแบบการเรียนรู้และอานวยความสะดวก” ในการเรียนรู้ให้นักเรียนได้เรียนรู้ จากการเรียนแบบลงมือทาแล้วการเรียนรู้ก็จะเกิดจากภายในใจและสมองของตนเองการเรียนรู้แบบนี้เรียกว่า PBL (Project-Based Learning)สาระวิชาก็มีความสาคัญแต่ไม่เพียงพอสาหรับการเรียนรู้เพื่อมีชีวิตในโลกยุค ศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชาควรเป็นการเรียนจากการค้นคว้าเองของศิษย์โดยครูช่วยแนะนา และช่วยออกแบบกิจกรรมที่ช่วยให้นักเรียนแต่ละคนสามารถประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเอง ได้สอดคล้องกับสุปรียา ศิริพัฒนกุลขจร (2012, หน้า 12) ได้ให้ความเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนรู้ และเปล่ยี นแปลงวิธคี ิดให้สอดคล้องและสมดลุ กับการเปลีย่ นแปลงของโลกทีน่ ับวันจะมีการเปล่ียนอย่างรุนแรง มากขึ้นแต่การเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดคร้ังน้ีถือว่าเป็นเร่ืองที่จะต้องอยู่คู่ กันต้อง เกื้อกูลกันจะแยกออกจากกันไม่ได้เม่ือมีการเรียนรู้ในศตวรรษใหม่มีคาท่ีสาคัญท่ีน่าสนใจคือคาว่า “Teach Less”และ“Learn More” โดยความหมายแล้วหมายความว่าการเปลี่ยนวิธีการศึกษาด้วยการเปล่ียนแปลง เป้าหมายจาก“ความรู้ (knowledge)” ไปสู่“ทักษะ(skill or practices)”คาว่า“Teacher”ท่ีแปลว่า“ครู”นั้น ถือว่าเป็นคาเก่าไปแล้วน้ันจะถูกให้ความหมายหรือคาจากัดความเสียใหม่ด้วยการเปลี่ยนมาเป็นเพียง “Facilitator” โดยระบุหน้าท่ีหรือคาจากัดความว่าเป็น “ผู้อานวยการเรียนรู้ (Coach) หรือผู้ชี้แนะ” ซึ่งเป็น การเปล่ยี นแปลงจากการศึกษาหรอื การเรียนรู้ที่มี“ครู”เป็นหลักไปเป็น“นักเรียน”เป็นหลักดังน้ันการเรียนรู้จึง จะตอ้ งเรยี นให้เลยจากเน้ือหาหลายส่วนกไ็ มจ่ าเป็นต้องสอนผู้เรียนซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้เอง แต่ต้องสร้าง “ทกั ษะและเจตคต”ิ กับตัวของผู้เรยี นขนึ้ มาใหไ้ ด้การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 จึงเป็นการเรียนรู้ร่วมกันมากกว่า การเรียนรู้แบบตัวใครตัวมัน (Individual Learning) เพราะการเรียนรู้ในแบบใหม่ต้องเป็นการเรียนรู้ที่ แบ่งปันกันช่วยเหลือเกื้อกูลกันการเรียนในปัจจุบันควรให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติพร้อมเรียนทฤษฎีไปพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่แยกส่วนกันเรียนห้องเรียนในศตวรรษท่ี 21 ควรเปล่ียนจากห้องเรียนธรรมดา (Class Room) เป็น สตูดิโอ (Studio) เป็นที่ทางานเป็นกลุ่ม ๆ ซึ่งหมายความว่าการเรียนจะเปลี่ยนจาก Lecture Based เป็น

4 Project Based เป็นการเปล่ียนผู้เรียนจาก “กรรม” จากเดิมเป็นผู้เรียนเป็น “ประธาน” และเป็น“กริยา” ด้วยพร้อมกันคือเป็นผู้ลงมือทาโครงงาน (project) ศาสตราจารย์ นพ.วิจารณ์ พานิช ได้วิเคราะห์ถึงแนวทาง การศกึ ษาไทยในการเรียนรู้ในศตวรรษใหมท่ ค่ี วรจะเดนิ ไปขา้ งหน้าได้ดงั นี้ 2.1 เนือ้ วชิ า (Subject Matter) การศึกษาอาจมีการเปล่ียนแปลงรูปโฉมไปมากมายจากในอดีตหากส่ิงที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยก็คือความ เขม้ ขน้ ของเนื้อหาเพราะถ้านักเรียนมีพื้นฐานความรู้ท่ีดีจะไปศึกษาต่อในเรื่องใดก็ย่อมทาได้ง่ายแต่หากความรู้ ไม่ดีแล้วถึงแม้จะมีเคร่ืองมือช่วยสอนท่ีทันสมัยเพียงใดนักเรียนก็จะเต็ มไปด้วยความเบ่ือหน่ายท้อแท้ไม่อาจ ซึมซับความรู้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างไรก็ตามวิธีการสอนเนื้อหาจะต้องมีความแตกต่างจากในอดีต ซง่ึ เคยเนน้ ใหค้ รูเปน็ ผู้สอนเทา่ นน้ั แตใ่ นศตวรรษที่ 21 จะต้องเนน้ ไปทผ่ี ้เู รยี นโดยเฉพาะการให้นักเรียนได้เรียนรู้ จากการปฏิบัตจิ ริงยงิ่ ถ้าเป็นผลงานทีใ่ ชไ้ ดจ้ ริงก็ยง่ิ เป็นประโยชน์ตอ่ สังคมอกี ดว้ ย 2.2 ทักษะชวี ิต (Life and Professional Skill) ในศตวรรษท่ี 20 โลกได้เดินหน้าเข้าสู่ยุคโรงงานอุตสาหกรรมดังน้ันทักษะความเป็นผู้เชี่ยวชาญจึง สาคัญมากกว่าทักษะชีวิต (Life Skill) ในศตวรรษที่ 21 โลกได้เดินทางเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เน้นการ สร้างมูลค่าเพิ่มและความแปลกใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ดังนั้นการพัฒนาทักษะชีวิตเพ่ือให้สามารถทางานร่วมกับ ผอู้ น่ื (Collaboration Skill) จงึ เป็นส่ิงจาเป็นเพื่อการผสมผสานอัตลักษณ์และความสร้างสรรค์ของตัวเราและ ผูอ้ ืน่ เข้าดว้ ยกนั ไม่ใชก่ ารรว่ มมือแบบสายพานการผลิต 2.3 ทกั ษะและความรกั ในการเรยี นรู้ การศึกษาในอดีตเน้นที่การทอ่ งจาเป็นหลกั ซ่ึงก็ไม่ใชค่ วามผดิ เพราะในสมัยก่อนเครื่องมือบันทึกยังไม่ ดีเหมือนในปัจจุบันยังไม่นับว่าเศรษฐกิจในยุคอุตสาหกรรมต้องการเพียงทาตามคาสั่งเท่านั้ นจึงไม่จาเป็นต้อง เน้นไปที่การแสวงหาความรู้ซึ่งนอกเหนือไปจากที่บอกไว้ในศตวรรษท่ี 21 การผลิตผลงานทั้งในแวดวงธุรกิจ การเมอื งสงั คมและวฒั นธรรมล้วนแต่ตอ้ งการความคิดรเิ ริ่ม (Initiatives) ดังนั้นการท่องจาและทาตามกันไปจึง ไมส่ อดคล้องอกี ต่อไปความรักท่ีจะเรยี นรู้และพัฒนาทกั ษะที่จะหาความร้ไู มว่ ่าจะเป็นการสอบถามผู้รู้การค้นหา จาก Google หรือการระดมสมองจากกลุ่มคนท่ีหลากหลายจึงเป็นส่ิงจาเป็นอย่างยิ่งเพ่ือจะได้เช่ือมโยงและต่อ ยอดความรู้ทม่ี าจากหลายหลายสาขาให้กลายเปน็ ผลงานใหม่ที่มคี ณุ คา่ สูงย่ิงเป็นท่ตี อ้ งการของทกุ คน 2.4 ทกั ษะดา้ นสารสนเทศ (ICT Skill) โลกนี้กาลังเข้าสู่ยุคสมัยของ ICT อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ไม่เฉพาะแต่ Google หากยังมี Facebook และ Twitter ที่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของผู้คนไปจนกระท่ังถึงการเมืองการปกครองผู้เรียน รุ่นใหม่ล้วนแต่มีทักษะด้าน ICT ติดตัวกันมาทุกคนหากว่ามีการนามาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการศึกษาหา ความรู้กลับเป็นอีกเร่ืองหนึ่งที่ยังต้องมีการฝึกฝนพัฒนากันอีกมากเพราะเคร่ืองมือย่ิงทันสมัยมีประสิทธิภาพ หากไมร่ ู้จกั ใช้อยา่ งถูกวิธกี ็ยอ่ มเปน็ อันตรายไดม้ หาศาลไมส่ ้ินสดุ ทกั ษะทง้ั 4 ดา้ นเปน็ สิ่งที่ช่วยสร้างมูลค่าให้กับคนไทยทุกคนถ้าผู้เรียนผู้สอนผู้ปกครองมีความต่ืนตัว และหาวิธีให้ได้รับทักษะทงั้ 4 อย่างดีทสี่ ุดทเี่ ข้าใจถึงปรัชญาในเชิงลึกด้วยตัวอย่างเช่นทักษะชีวิต (Life Skill)

5 กไ็ ม่ใช่หมายความเพยี งศิลปะการเข้าสงั คมหรหู ราหรอื การเจรจาต่อรองผลประโยชน์ไม่ให้ใครเอารัดเอาเปรียบ หากยังต้องเป็นศิลปะการทางานร่วมกับผู้อื่นซ่ึงบางคร้ังต้องเล่นบทเป็นผู้นาหากบางจังหวะก็ต้องรู้จักเป็น ผู้ตามท่ีดี แนน่ อนว่าทกุ คนอยากเปน็ ผูน้ าในทุกเร่อื งอยากไดผ้ ลประโยชน์สงู สุดแต่หากตัวเรามีพฤติกรรมแบบน้ี ก็ย่อมไม่มีใครอยากทางานด้วยสุดท้ายโครงการยิ่งใหญ่ท่ีคิดฝันไว้ก็ย่อมต้องล่มสลายอย่างแน่นอน ตัวอยา่ งเชน่ ทักษะด้าน ICT กไ็ มใ่ ชเ่ พยี งใช้ Facebook และอพั โหลดรปู เปน็ เทา่ นั้นหากยังต้องรู้จักบริหารเวลา ในการใช้ให้ดีไม่หมกมุ่นจนเสียการเรียนหรือใส่ใจกับคาพูดไร้สาระของเพ่ือนมากไปยิ่งกว่าน้ันยังต้องรู้จักที่จะ เป็น “เพ่ือน” กับบุคคลท่ีน่าสนใจที่มีสาระความรู้ให้เก็บเกี่ยวซึ่งในชีวิตจริงเราอาจไม่เคยรู้จักหรือมีต้นทุนใน การทาความรู้จักสูงเกินไปถึงท่ีสุดแล้วทักษะด้าน ICT จึงต้องเช่ือมโยงกับทักษะชีวิตทักษะวิชาและทักษะการ คน้ หาข้อมูลเพราะหากเราไมม่ ที กั ษะชวี ติ ที่ดีพอจะควบคุมสมาธิและจิตใจของตัวเราได้การมีเครื่องมือ ICT ท่ีดี ก็ย่อมเป็นโทษมากกว่าปกครองมีความเข้าใจถึงบริบทโลกท่ีเปล่ียนไปก็จะเป็นผู้ ริเริ่มในการปฏิรูปการศึกษา ผเู้ รยี นในศตวรรษใหม่ต้องเรียนรู้จากโจทย์ปัญหาชีวิตจริง(Project Base Learning:PBL) ต้องเรียนแบบลงไป ทางานทาโปรเจ็กตแ์ ละออกไปรับใช้สงั คม บทบาทที่สาคัญและยากลาบากท่ีสุดคือ“ครู”เพราะครูต้องเปลี่ยนแปลงตนเองไปมากมายต้อง เปลี่ยนวธิ ีคดิ ตอ้ งใฝห่ าทกั ษะใหมใ่ นการเป็น Coach ในการออกแบบโปรเจ็กตใ์ นการชวนผู้เรียนมาทาโครงงาน ชวนผู้เรียนมาสะท้อนส่ิงทไี่ ด้เรยี นรูใ้ ห้ได้ความรู้ท่ีลึกทางทฤษฎีและได้รับการกระตุ้นสมองของมนุษย์โดยสมอง สว่ นน้คี ือสมองสว่ นที่ทาให้ผู้เรียนมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมีสุนทรีย์และมีวุฒิภาวะต่าง ๆ ซ่ึงสมองส่วนนี้จะมี เพียงแค่เฉพาะมนุษย์เท่าน้ันและครูยังต้องการเครื่องมือท่ีช่วยคือ “กลุ่มเพื่อนร่วมงาน” (Professional Learning Community : PLC) ในการแลกเปลย่ี นเรียนรู้กบั ครูประจาการในการทาหนา้ ทคี่ รู 3. จติ วิทยาและพฒั นาการของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 การออกแบบการเรียนรู้สาหรับศิษย์น้ันครูผู้ออกแบบจาเป็นต้องไม่ลืมท่ีต้องบูรณาการศาสตร์ด้าน จิตวิทยาการเรียนรแู้ ละพฒั นาการของผเู้ รยี นของผู้เรียนด้วย ศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช (2012, หนา้ 20-27) ได้กล่าวถึงเรื่อง พลังสมอง 5 ด้านที่คนในอนาคตจะต้องมีที่ครูต้องออกแบบการเรียนรู้ให้ศิษย์ ได้พัฒนาสมองท้ัง 5 ด้านน้ีท่ีครูสอนไม่สามารถให้ศิษย์เรียนได้ แต่ครูต้องใช้วิธีการที่ดีในการจัดการเรียนรู้ ให้แก่ศิษย์พลังสมอง 3 ใน 5 ด้านนี้เป็นพลังเชิงทฤษฎีหรือที่เรียก Cognitivemind ได้แก่สมองด้านวิชาและ วินัยสมองด้านสังเคราะห์ (Synthesizing mind) และสมองด้านสร้างสรรค์ (Creatingmind) อีก 2 ด้านเป็น พลังด้านมนุษย์สัมผัสมนุษย์ได้แก่สมองด้านเคารพให้เกียรติ (Respectful mind) และสมองด้านจริยธรรม (Ethical mind) การเรียนรู้เพ่ือพัฒนาสมอง 5 ด้าน ต้องไม่ดาเนินการแบบแยกส่วนแต่เรียนรู้ทุกด้านไป พร้อมๆกันหรือที่เรียกว่าเรียนรู้แบบบูรณาการและไม่ใช่เรียนจากการสอนแต่ให้เด็กเรียนจากการลงมือทาเอง ซง่ึ ครูจึงมคี วามสาคญั มากในการออกแบบการเรียนรู้และช่วยเป็น“คุณอานวย”หรือเป็นโค้ชให้ครูที่เก่งและเอา ใจใส่จะช่วยใหน้ ักเรยี นเรยี นรู้ได้ลกึ และเช่ือมโยงนีค่ ือมิตทิ างปัญญา 3.1 สมองด้านวิชาและวินัย (disciplined mind) คาว่า disciplined มีได้ 2 ความหมายคือหมายถึงมี วิชาเปน็ รายวชิ าและยงั หมายถึงเป็นคนมรี ะเบยี บวนิ ัยบงั คบั ตัวเองใหเ้ รียนรูเ้ พ่อื อยูใ่ นพรมแดนความรู้ก็ได้ในที่น้ี

6 จะหมายถึงมีความรู้และทักษะในวิชาในระดับท่ีเรียกว่าเชี่ยวชาญ (master) และสามารถพัฒนาตนเองในการ เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาคาว่า “เชี่ยวชาญ” ในโรงเรียนหรือในการเรียนรู้ของเด็กต้องคานึงถึงบริบทโดยเฉพาะ อย่างย่ิงบริบทของการเจริญเติบโตทางสมองของเด็กคาว่าเช่ียวชาญในวิชาคณิตศาสตร์สาหรับเด็ก 6 ขวบกับ เด็ก 12 ขวบต่างกันมากและต้องไม่ลืมว่าเด็กบางคนอายุ 10 ขวบแต่ความเชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ของเขา เท่ากับเด็กอายุ 13 ขวบหรือในทางตรงกันข้ามเด็กบางคนอายุ 10 ขวบแต่ความเชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์ที่ เขาสามารถมีได้เท่ากับเด็กอายุ 7 ขวบคาว่า “เชี่ยวชาญ” หมายความว่าไม่เพียงรู้สาระของวิชาน้ันแต่ยังคิด แบบผู้ทีเ่ ข้าถงึ จิตวญิ ญาณของวชิ านนั้ คนที่เชยี่ วชาญด้านประวัติศาสตร์ไม่เพียงรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์แต่ ยงั คิดแบบนกั ประวัติศาสตร์ด้วยเปา้ หมายคือ “การเรยี นรู้แก่นวชิ าไมใ่ ชจ่ ดจาสาระแบบผิวเผินแต่รู้แก่นวิชาจน สามารถเอาไปเชอ่ื มโยงกับวิชาอ่ืนได้” และสนกุ กับมันจนหม่ันติดตามความกา้ วหนา้ ของวิชาไมห่ ยดุ ย้ัง 3.2 สมองด้านสังเคราะห์ (Synthesizing mind) นี่คือความสามารถในการรวบรวมสารสนเทศและ ความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องนามากล่ันกรองคัดเลือกเอามาเฉพาะส่วนที่สาคัญและจัดระบบนาเสนอใหม่อย่างมี ความหมายคนทมี่ คี วามสามารถสังเคราะหเ์ ร่ืองต่าง ๆ ได้ดีเหมาะที่จะเป็นครูนักส่ือสารและผู้นาครูต้องจัดการ ให้ผู้เรียนได้เรียนเพ่ือพัฒนาสมองด้านสังเคราะห์ซ่ึงต้องเรียนจากการฝึกเป็นสาคัญและครูต้องเสาะหาทฤษฎี เก่ียวกับการสังเคราะห์มาใช้ในข้ันตอนของการเรียนรู้จากการทบทวนไตร่ตรอง (Reflection) หรือ (After- action Review:AA) หลังการทากจิ กรรมเพ่อื ฝกึ หดั เพราะการฝกึ สมองด้านสังเคราะห์ต้องออกแบบการเรียนรู้ ใหป้ ฏิบตั นิ าทฤษฎีตามและการสงั เคราะห์กบั การนาเสนอเป็นคู่แฝดกันการนาเสนอมีได้หลากหลายรูปแบบทั้ง นาเสนอเป็นเรียงความการนาเสนอด้วยสื่อมัลติมีเดีย (multimedia presentation) เป็นภาพยนตร์สั้นเป็น ละครฯลฯ 3.3 สมองดา้ นสร้างสรรค์ (creating mind) เป็นทักษะสาคัญที่สร้างได้ยาก โดยคุณสมบัติสาคัญท่ีสุดของ สมองสร้างสรรค์คือคิดนอกกรอบแต่คนเราจะคิดนอกกรอบเก่งได้ต้องเก่งความรู้ในกรอบเสียก่อนแล้วจึงคิด ออกไปนอกกรอบนั้นถ้าคิดนอกกรอบโดยไม่มีความรู้ในกรอบเรียกว่าคิดเลื่อนลอยคนที่มีความรู้และทักษะ อย่างดีเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญต่างจากผู้สร้างสรรค์ตรงท่ีผู้สร้างสรรค์ทาสิ่งใหม่ๆออกไปนอกขอบเขตหรือวิธีการ เดิม ๆ โดยมีจินตนาการแหวกแนวไปและการสร้างสรรค์ต้องใช้สมองหรือทักษะอ่ืนๆทุกด้านมาประกอบกัน การสร้างสรรค์ท่ีย่ิงใหญ่มักเป็นผลงานของคนอายุน้อยเพราะคนอายุน้อยมีธรรมชาติติดกรอบน้อยกว่าคนอายุ มากเป็นเครื่องบ่งช้ีว่าการมีความรู้เชิงวิชาและวินัยรวมถึงความรู้เชิงสังเคราะห์มากเกินไปอาจลดทอนความ สร้างสรรค์ก็ได้และเป็นที่เชื่อกันว่าความสร้างสรรค์น้ันเรียนรู้หรือฝึกได้ครูเพ่ือศิษย์จึงต้องหาวิธีฝึกฝนความ สร้างสรรค์ให้แก่ศิษย์สมองที่สร้างสรรค์คือสมองท่ีไม่เช่ือว่าวิธีกา รหรือสภาพซ่ึงถือว่าดีท่ีสุดท่ีมีอยู่นั้นถือเป็น ท่ีสุดแล้วเป็นสมองที่เชื่อว่ายังมีวิธีการหรือสภาพท่ีดีกว่าอย่างมากมายซ่อนอยู่หรือรอปรากฏตัวอยู่แต่สภาพ หรือวิธีการเช่นนั้นจะเกิดได้ต้องละจากกรอบวิธีคิดหรือวิธีดาเนินการแบบเดิมๆศัตรูสาคัญท่ีสุดของความคิด สรา้ งสรรคค์ ือการเรยี นแบบท่องจา เปรียบเทียบสมอง3แบบข้างต้นได้ว่าสมองด้านวิชาและวินัยเน้นความลึก (depth) สมองด้านการ สังเคราะห์เนน้ ความกว้าง (breath) และสมองด้านสร้างสรรค์เน้นการขยาย (stretch)

7 3.4 สมองดา้ นเคารพให้เกียรติ (Respectful mind) คุณสมบัติด้านเคารพให้เกียรติผู้อ่ืนมีความจาเป็นใน ยคุ โลกาภวิ ัตน์ที่สามารถเดินทางและสอ่ื สารได้ง่ายต้องพบปะผู้อื่นจานวนมากขนึ้ อย่างมากมายและเป็นผู้อื่นที่มี ความแตกตา่ งหลากหลายทง้ั ด้านกายภาพนิสยั ใจคอวัฒนธรรมความเป็นอยู่ความเช่ือศาสนามนุษย์ในศตวรรษ ท่ี 21 จงึ ต้องเปน็ ผู้ทีส่ ามารถคุ้นเคยและให้เกียรติคนท่ีมีความแตกต่างจากที่ตนเคยพบปะได้ที่สาคัญคือต้องไม่ มีอคติทั้งด้านลบและด้านบวกต่อคนต่างเชื้อชาติต่างศาสนาต่างความเชื่อครูจะฝึกฝนสมองด้านน้ีของศิษย์ อย่างไรหากนักเรียนของท่านเป็นเด็กมุสลิมเป็นเด็กในเมืองเป็นเด็กชนเผ่าหากโรงเรียนมีเด็กนักเรียนจาก หลากหลายวัฒนธรรมการจัดการเรียนรู้น่าจะง่ายข้ึนแต่ในกรณีที่นักเรียนในโรงเรียนที่ท่านสอนเป็นเด็กจาก วฒั นธรรมและชนชน้ั เดียวกนั ครจู ะจัดใหเ้ ด็กเรียนรูเ้ พอื่ พัฒนาสมองดา้ นนอี้ ย่างไร 3.5 สมองด้านจริยธรรม (Ethical mind) เป็นทักษะเชิงนามธรรมที่เรียนรู้ซึมซับได้โดยการชวนกันและ แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันว่าตัวเองเป็นอย่างไรในเร่ืองใดเร่ืองหนึ่งรวมท้ังอาจเอาข่าวเรื่องใดเร่ืองหน่ึงข้ึนมาคุย กนั ผลัดกนั ออกความเห็นวา่ พฤติกรรมในข่าวก่อผลดีหรือผลเสียต่อการอยู่รวมกันเป็นสังคมท่ีมีสันติสุขอย่างไร ตัวอย่างทเี่ อามาเป็นกรณีศึกษาควรมีความแตกต่างหลากหลายรวมหลายๆกรณีศึกษาเป็นภาพจริงของสังคมที่ มีทั้งคนดีคนเลวแน่นอนว่าสมองด้านจริยธรรมได้รับการปลูกฝังกล่อมเกลามาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เรื่อยมาจนโต และเชอื่ ว่าเรียนรู้พฒั นาไดจ้ นสงู วัยและตลอดอายขุ ัย การพัฒนาทักษะเพ่ือการดารงชีวิตของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21จะสาเร็จได้น้ันครูผู้สอนต้องอานวยความ สะดวกโดยบรู ณาการทักษะตา่ ง ๆ ควบคูไ่ ปกบั การพฒั นาพลังสมองทั้ง 5 เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุผลตามเป้าหมาย ของหลักสูตร การดาเนินการดังกล่าวนี้ ผู้สอนสามารถเลือกรูปแบบการสอนแบบต่าง ๆ มาเป็นตัวแบบท่ีมี ความสอดคลอ้ งกับวัตถุประสงคก์ ารเรียนรู้ เช่นรปู แบบการสอนแบบทมี รูปแบบสอนแบบกลุ่ม ฯลฯ จะเห็นว่า ปัจจัยสาคัญประการหน่ึงท่ีทาให้คนมีคุณภาพคือความสามารถในการคิด ถือว่าเป็นพ้ืนฐานสาคัญในการ ดารงชวี ิต ไดอ้ ยา่ งมคี ุณภาพในทุกด้าน ทง้ั ทางรา่ งกาย สังคม อารมณ์ และสติปัญญา การจัดการศึกษาจึงต้อง เรมิ่ ตน้ และหนั มาเอาใจใส่กบั การคดิ ของประชาชนให้มีคุณภาพอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเยาวชนซึ่งในอนาคตจะ เป็นผู้ใหญ่ท่ีมีคุณภาพ นักวิชาการหลายท่านได้ให้ทัศนะว่า “การคิดเป็นกิจกรรมของสมองท่ีเกิดข้ึน ตลอดเวลาซ่ึงเกิดข้ึนภายในตนข้ึนอยู่กับความสามารถของสมอง การคิดเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการกระตุ้นประสาท การรบั รจู้ ากส่ิงแวดลอ้ ม สมองมนษุ ยส์ ามารถคดิ ได้ตั้งแต่ขัน้ ง่ายไม่ซับซ้อน จนถึงการคิดขั้นสูงท่ีต้องพัฒนาเป็น ลาดับจากงา่ ยไปหายาก ระบบการศึกษาไทยภายหลังปฏิรูปการศึกษาได้ให้ความสาคัญในการส่งเสริมการคิด ให้แก่เด็กและเยาวชนโดยกาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และกาหนดเป็น มาตรฐานประกันคุณภาพการศึกษา การมีความสามารถในการคิดเป็นประโยชน์ต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ ทาให้สามารถแก้ไขปัญหาของรวมทั้งเลือกตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมและมีเหตุผล การส่งเสริมการคิดแก่ เยาวชนมีความจาเป็นอยา่ งยิ่งท่ีตอ้ งไดร้ ับการพัฒนาแต่เยาว์วัยจะช่วยให้เกิดประโยชน์สามารถคิดได้อย่างเป็น ระบบ มีหลักการมีเหตุผล สามารถพิจารณาสิ่งต่าง ๆ โดยใช้หลักเกณฑ์อย่างสมเหตุสมผล สามารถประเมิน ตนเองและผอู้ นื่ ได้ถูกต้อง รู้จกั แสวงหาเลือกความรู้และรับประสบการณ์ท่ีมีคุณค่ามีความหมายเป็นประโยชน์ เป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้ตลอดชีวิตได้อย่างต่อเน่ืองในสถานการณ์ท่ีโลกเปล่ียนแปลงรวดเร็ว เป็น ภูมิคุ้มกันการดารงชีวิตในสังคมท่ียุ่งยากสลับซับซ้อนได้อย่างดี ทาให้เป็นผู้มีปัญญา มีคุณธรรม จริยธรรม มี

8 ความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัย มีความเมตตา กรุณา และเป็นผู้มีประโยชน์ต่อสังคม การคิดจาแนกได้ 2 ประเภทคือการคิดอย่างไม่มีทิศทาง เช่นการคิดโดยถูกส่ังหรือกาหนดให้คิด คิดฟุ้งซ่าน และการคิดอย่างมี ทิศทาง เป็นการคิดทีบ่ คุ คลใช้พ้ืนฐานความรเู้ พอื่ กล่นั กรองความคิด การคิดแบบมีทิศทางมุ่งสู่จุดหมายอย่างใด อย่างหนึ่งทีแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ การคิดสร้างสรรค์ และการคิดวิจารณญาณสมองเป็นอวัยวะของ ร่างกายท่ีศูนย์รวมระบบประสาท เป็นศูนย์กลางการจัดระเบียบการทางานทุกชนิดของการคิด ประกอบด้วย เซลประสาท สติปัญญาความฉลาดความสามารถของเด็กแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณการติดต่อสื่อสาร หรือ จุดเช่ือมต่อระหว่างเส้นใยประสาทที่แตกต่างกัน ความฉลาดมีผลมาจากปัจจัยสาคัญ 3 ประการ คือ พนั ธุกรรม สภาพแวดล้อม และประสบการณ์ที่ได้รับ สภาพแวดล้อมและการฝึกฝนที่เหมาะสม มีความสาคัญ อย่างมากในการพัฒนาได้สูงสุด แต่หากเขาได้รับการค้นหาความสามารถท่ีซ่อนอยู่ในตัว มีการจัด สภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการพัฒนาความสามารถ จะเป็นการกระตุ้นส่งเสริมให้ความสามารถน้ันพัฒนาอย่าง ชัดเจนเต็มตามศักยภาพสงู สุดของเขาได้ เซลสมองมีจานวนมากแต่ละเซลสมองจะมีเส้นใยสมอง คือเดนไดรต์ กบั แอก็ ซอน ไปเชอ่ื มต่อกบั เซลสมองขา้ งเคียง ยิ่งคนเราถ้ามีเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อมากเท่าไร ยิ่งทาให้มี ความฉลาดมากขึ้นเท่านั้น การเชื่อมต่อระหว่างเซลจะเป็นส่วนสาคัญท่ีช่วยให้สมองสามารถส่ือสาร ประมวลผล และมีความคดิ ทม่ี เี หตุผลสลับซบั ซ้อนยิง่ ขนึ้ ได้ สมองเดก็ พรอ้ มท่ีจะรับรู้ทุกอย่างพร้อมท่ีจะรับการ กระตุ้นเร้าทางประสาทสัมผัสและใช้งานบ่อย ๆ ก็จะแข็งแกร่งขึ้น ทาให้สมองทางานมีประสิทธิภาพมากข้ึน มนุษยจ์ ึงสามารถเก็บเกยี่ วข้อมลู รอบตัวและสร้างความรู้ขึ้นมาได้ เกิดการคิดการจดจาขึ้นในสมองเกิดเป็นการ ผสมผสานกันขึ้นกลายเป็นการเรียนรู้สามารถคิดค้นสร้างสรรค์ผลงานและผลผลิตใหม่ ๆ ทิศทางการจัด การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ถ้าศึกษาจากเอกสารแนวปฏิบัติการวัดผลและการประเมินการเรียนรู้ยังมุ่งเน้นให้ วัดผลการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยท่ีแสดงความสามารถทางสติปัญญา 6 ด้านคือ ความจา ความเข้าใจ การ ประยุกตใ์ ช้ การวิเคราะห์ การประเมินค่า และการคิดสร้างสรรค์ (สานักงานมาตรฐานการศึกษา, 2551, หน้า 74) อีกทั้งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ มุ่งเน้นการจัดการศึกษาโดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่าง บุคคล ซึ่งผู้เรียนจะมีความแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะความรู้เรื่องของการคิด ซึ่งเดิมเราเชื่อว่ามนุษย์เกิดมา เพอื่ คิดซง่ึ เปน็ ความเข้าใจผิดทจี่ ริงมนุษย์เกิดมาพร้อมกับกลไกประหยัดการคิดคือถ้าไม่จาเป็นจริง ๆ มนุษย์จะ ไม่คิดเพราะหากมวั คดิ ก่อนทาในหลายเรอ่ื งความจริงเกี่ยวกับการคิด 3 ประการไดแ้ ก่ 1) การคิดทาได้ชา้ 2) การคดิ น้นั ยากต้องใชค้ วามพยายามมาก 3) ผลของการคิดนน้ั ไมแ่ น่วา่ จะถกู ตอ้ ง แม้มนุษย์จะมีธรรมชาติชอบคิดหรือมีความข้ีสงสัย (curiosity) แต่ก็ต้องมีธรรมชาติประหยัดการคิดเป็นของคู่ กนั ด้วยเม่ือไรที่การคดิ น้นั เผชิญโจทยท์ ี่ยากเกนิ ความฉลาดจะทาใหม้ นุษย์หลีกเล่ียงการคิดหรือรู้สึกไม่สนุกท่ีจะ คิดน่ีคือเคล็ดลับสาหรับครูในการออกแบบการเรียนรู้หรือตั้งโจทย์ให้พอดีระหว่างความยากหรือท้าทายกับ ความง่ายพอสมควรทนี่ กั เรยี นจะทาได้สาเร็จและเกิดปิติเกิดความภูมิใจท่ีทาได้สาเร็จมนุษย์จะคิดหากโจทย์น้ัน ง่ายพอสมควรท่ีจะคิดได้สาเร็จความสาเร็จคือรางวัลทางใจเป็นแรงจูงใจที่จะคิดโจทย์ต่อไปครูจะต้องใช้ จิตวิทยาข้อนกี้ ับศิษยอ์ ยตู่ ลอดเวลาซ่ึงจะทาใหศ้ ษิ ยเ์ กดิ ความสนุกในการเรียนถ้าโจทย์ยากเกินไปธรรมชาติของ

9 ความเป็นมนุษย์จะกระตุ้นให้เขาเลิกคิดหนีการคิดหลีกหนีการเรียนแต่ถ้าโจทย์ง่ายเกินไปก็ไม่ท้าทายน่าเบื่อ หรือไม่เกดิ การเรยี นร้คู วามพอดีอยทู่ ่ีไหนนีค่ ือขอ้ เรยี นรทู้ ี่ครูจะตอ้ งฝกึ ฝนตนเองทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องคือ “ความจา ใช้งาน” (working memory) กับ“ความจาระยะยาว” (longtermmemory) ในชีวิตประจาวันมนุษย์เราใช้ ความจามากกว่าใช้การคดิ และทส่ี าคัญความจา 2 ชนดิ น้ีชว่ ยให้การคดิ งา่ ยขึน้ คนเราใช้ความจาช่วยการคิดหรือ บางครั้งแทนการคิดด้วยซ้าไป วิธีการฝึกคิดคือการฝึกแก้โจทย์ศิลปะของการเป็นครูเพ่ือศิษย์คือ กา รทาให้ นกั เรยี นเรยี นสนุกและมโี จทยท์ ี่น่าสนใจสงิ่ ทช่ี ว่ ยกระตุ้นความสนุกและน่าสนใจคือความสาเร็จหรือการท่ีสมอง ได้รับรางวลั จากความสาเร็จ ในการแกโ้ จทย์หรือตอบโจทย์ ดังนั้นโจทย์ต้องมีความยากง่ายพอดีกับความจา ใชง้ านและความจาระยะยาวของเด็ก การฝึกคดิ โดยการแก้โจทย์ต้องมีโจทย์เป็นชุดจากง่ายไปยากเพ่ือกระตุ้น ให้นักเรียนคิดได้คาตอบท่ีถูกต้องตอบถูกหรือมีวิธีคิดท่ีดีกระตุ้นให้อยากเรียนรู้ต่อไปอีกนอกจากศิษย์จะได้ “ความรู้” เก็บไว้ใน “ความจาระยะยาว” แล้วศิษย์จะได้ฝึกฝนการคิดและได้นิสัยการเป็นนักคิดติดตัวไปภาย หน้าครูเพ่อื ศิษย์คอื “ครูนกั ให้รางวัล” โดยที่ศษิ ย์ไม่รตู้ วั วา่ ตนได้รับรางวัลเพราะรางวัลน้ันคือความรู้สึกพอใจมี ความสขุ ความภมู ใิ จทเ่ี กิดขึ้นในสมองเพราะมีการหล่ังสารเคมีโดปามีน (dopamine) ออกมาจากสมองกระตุ้น ความรู้สึกพึงพอใจหรือความสุขนอกจากสารโดปามีนจะหล่ังจากความรู้สึกว่ามีความสาเร็จแล้วยังหลั่งเมื่อได้ รับคาชมดังน้ันครูเพ่ือศิษย์ต้องเป็นนักให้คาชมหรือให้กาลังใจไม่ใช่นักตาหนิติเตียนหรือดุด่าว่ากล่าวซึ่งเป็น กระบวนการสนองอารมณ์รุนแรงของตนเองครูเพื่อศิษย์คือนักออกแบบโจทย์การเรียนรู้ให้ศิษย์ฝึกคิดจากง่าย ทาบ่อยๆจนเป็นนสิ ัยของการเป็นคนช่างคิดหรือคิดเป็นคิดอย่างมีวิจารณญาณแล้วค่อยๆพัฒนาทักษะเพ่ือการ ดารงชวี ติ ในศตวรรษที่21 (21st Century Skills) นี่คือกระบวนการเรียนรู้ที่ครูเพื่อศิษย์จะต้องเรียนรู้ไปตลอด ชวี ิตในความเปน็ จรงิ แล้วคนเราจะคิดได้ลึกซึ้งหรือมีวิจารณญาณต้องมีความรู้มากที่เขาเรียกว่ามีต้นทุนความรู้ (background knowledge) ที่เรียกว่าพหูสูตซ่ึงแปลว่าได้ยินได้ฟังมามากคือมีความรู้มากและเป็นที่รู้กันว่า ต้องส่งเสริมให้ลูกและศิษย์อ่านหนังสือและรักการอ่านต้ังแต่เด็กจนเป็นนิสัยไทยเรามีวลี “คิดอ่าน” ซึ่งน่าจะ สะท้อนแนวคิดว่าเราเช่ือว่าความคิดกับความรู้เป็นส่ิงที่เสริมส่งเกื้อกูลซึ่งกันและกันของสรรพสิ่งความคิดกับ ความจามีความเช่อื มโยงกันหากมีความจาดีมีความรู้อยู่ในสมองมากก็จะคิดได้ดีกว่าคิดเชื่อมโยงกว้างขวางกว่า คิดลึกซ้ึงกว่าดังน้ันครูจึงต้องฝึกนักเรียนให้รู้จักวิธีจาฝึกทักษะการจาเพ่ือให้มีทั้งความจาใช้งานและความจา ระยะยาวท่ีดีเคล็ดลับคือเด็กที่มีความจาท้ังสองแบบน้ีดีจะไม่เบื่อเรียนไม่เบื่อคิดการเรียนและการคิดจะเป็น ของสนกุ ไมใ่ ชน่ า่ เบอ่ื หนา่ ยน่คี ือส่วนหนงึ่ ของการสรา้ งแรงบันดาลใจตอ่ การเรยี นรู้หรอื ทาใหเ้ ดก็ สนใจใคร่เรียนรู้ หน้าที่สาคัญท่ีสุดของครูคือการสร้างแรงบันดาลใจใคร่เรียนรู้ครูต้องออกแบบการเรียนให้เด็กได้ฝึกการคิดกับ การจาไปพรอ้ มๆกนั มฉิ ะนน้ั การจดจาความรู้จะเป็นการจาแบบท่องจาแบบนกแก้วนกขุนทองซึ่งจะได้ความรู้ท่ี ตน้ื ต้องหาทางทาให้นกั เรยี นเขา้ ใจความหมายหรือคณุ ค่าของความรู้นั้นเพื่อให้ได้ความรู้ที่ลึกมีวิธีการต่างๆที่จะ ทาให้นกั เรยี นเข้าใจความหมายต่อชีวติ ของเขาวธิ ีการหนึ่งคอื จดั กลุ่มความร้เู หล่านัน้ เป็นกลมุ่ ๆ เช่นทาเป็นเกม ใหเ้ ด็กเล่นเชน่ เกมต่อคาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพืชใบเลี้ยงเด่ียวเกมดูภาพแล้วจัดกลุ่มสัตว์เป็นต้นครูต้องทาความ รู้จักสมองและกลไกการทางานของสมองจึงจะฝึกออกแบบการเรียนรู้ของศิษย์ได้สนุกและสนุกกับการเรียนรู้ แท้จรงิ สมองของมนษุ ย์มีความมหัศจรรย์มีความฉลาดอยู่ในตัวที่จะทางานอย่างฉลาดคือทางานน้อยได้ผลมาก สมองจึงไม่จาทุกเรื่องที่เราประสบเลือกจาเฉพาะเรื่องที่ถือว่าสาคัญคือเรื่องที่เราคิดเอาใจใส่หรือมีอารมณ์

10 รุนแรงกับมนั สภาพทป่ี ระสบกับครูคือตนเองต้งั ใจสอนเตม็ ท่คี ดิ ออกแบบการเรียนการสอนอย่างดีถึงช่ัวโมงสอน ก็ต้ังใจสอนอย่างดีเย่ียมวันรุ่งขึ้นถามเด็กว่าได้เรียนรู้อะไรไม่มีเด็กจาได้แม้แต่คนเดียวและเมื่อสอบผลสัมฤทธ์ิ ทางการศึกษาเด็กก็สอบตกการเรียนรู้ท่ีแท้จริงหมายถึงผู้เรียนซึมซับเข้าไปไว้ในความจาระยะยาว เพื่อดึง ออกมาใช้ได้ยามต้องการครูที่เก่งคือครูที่ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ท่ีแท้จริงและครูท่ีเก่งมีคุณลักษณะ สาคญั 2 ด้านคือ 1) รักเอาใจใส่เด็กเด็กสมั ผสั จิตใจเชน่ นั้นไดแ้ ละสบายใจทจี่ ะเข้าหาซ่งึ เป็นมติ ดิ า้ นมนุษยส์ ัมผัสมนษุ ย์ 2) สามารถออกแบบการเรียนรู้ให้น่าสนใจและเข้าใจง่ายสาหรับศิษย์ทาให้เกิดการเรียนรู้ที่ลึกและ เกดิ ความจาระยะยาว ความจาเป็นผลของมาจากการคิดการมีความรู้คือมีความจาระยะยาวเอาไว้ใช้งานความจาเกิดจาก อะไรบ้างการกระทบอารมณ์อย่างรุนแรงทง้ั ด้านสขุ และด้านทกุ ข์ช่วยใหเ้ กิดการจาแตไ่ ม่จาเป็นเสมอไปว่าต้องมี การกระทบอารมณ์จึงจะจาได้การทาหรือประสบการณ์ซ้าๆจะช่วยให้จาได้ดีขึ้นแต่ไม่เสมอไปความต้องการที่ จะจาแตบ่ ่อยครั้งที่ลมื ทั้งๆทต่ี ้องการจาการคิดถึงความหมายที่ถกู ต้องตอ่ บริบทการเรียนรู้นั้นๆวิธีการหนึ่งคือใช้ โครงสร้างของเรื่อง (story structure) ในการออกแบบการเรียนรู้และการเดินเร่ืองให้นักเรียนคิดตรงตาม ความหมายที่ต้องการให้เรียนรู้กลไกที่ชว่ ยและไม่ช่วยให้เดก็ เรยี นรู้ชใี้ ห้เหน็ ความเข้าใจผิด ๆ ที่ยึดถือกันมานาน เชน่ การทาใหเ้ นือ้ เรือ่ งหรอื สาระของบทเรียนเปน็ เรื่องทีน่ า่ สนใจสาหรับเด็กอาจไม่ใช่ปัจจัยสาคัญต่อการเรียนรู้ ของเด็กเพราะตัววิธีการเพ่ือให้น่าสนใจน้ันเองอาจเป็นตัวดึงดูดความสนใจของเด็กให้หันเหไป สนใจส่วนของ การกระตุ้นความสนใจไม่สนใจตัวสาระของวตั ถปุ ระสงค์ท่ีต้องการให้เรียนรู้เช่นครูเอาลูกเต๋ามาทอดเพ่ือให้เด็ก คิดเรื่องความน่าจะเป็นแต่เด็กบางคนกลับคิดเพียงเรื่องลูกเต๋าไม่ได้คิดเร่ืองความน่าจะเป็นวันรุ่งข้ึนครูถามว่า ได้เรียนอะไรนักเรียนคนนั้นตอบได้แต่เร่ืองลูกเต๋าตอบเร่ืองความน่าจะเป็นไม่ได้เลยเรียกในภาษาวิชาการว่า กระบวนการ (process) เพื่อความน่าสนใจกลายเป็นเหตุให้ไขว้เขว (distraction) ออกไปจากสาระที่ต้องการ ให้เรียนร้คู ือความสนุกกลายเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ตามเป้าหมายที่กาหนดเพราะไปสนุกอยู่กับเรื่องไม่เป็น เรื่องการออกแบบการเรียนรู้คือการออกแบบกระบวนการที่ทาให้เด็กคิดตรงตามวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ ของบทเรยี นน้นั ไดอ้ ย่างแท้จรงิ ด้วยการซึมซับเข้าไปเป็นความจาระยะยาวของศิษย์การคิดอย่างมีวิจารณญาณ จะเกิดขึ้นได้ต้องมีความร้เู ดิมหรือต้นทุนความรู้ (background knowledge) จากความจาระยะยาวเป็นฐานครู จึงต้องจัดการเรียนรู้ให้ศิษย์ส่ังสมความรู้ไว้มากๆโดยจัดการเรียนรู้ให้มีความหมายให้ศิษย์คิดถึงความหมายที่ ถกู ตอ้ งตามบริบทนนั้ ๆเพ่ือให้เกิดความจาระยะยาว ส่วนความเข้าใจเป็นเรื่องท่ีเป็นนามธรรมจะยากต่อความ เข้าใจเพราะสมองสร้างมาสาหรับเข้าใจสิ่งที่เป็นรูปธรรมความเข้าใจนั้นเกิดจากการเอาความรู้เดิมมาใช้ แก้ปญั หาหรอื ประยุกตใ์ ชใ้ นสถานการณใ์ หม่ (knowledge transfer) แลว้ เกิดความรู้ใหม่หรือขยายความรู้เดิม ระดับความเข้าใจซ่ึงจะเป็นระดับต้ืนหากโครงสร้างความคิดเป็นแบบผิวเผิน (surface structure) แต่ระดับ ความเขา้ ใจจะเปน็ ระดับลึกหากโครงสร้างความคิดเป็นแบบลึก (deep structure) คือคิดในระดับความหมาย (meaning) เป็นหน้าที่ของครูที่จะฝึกเตรียมความพร้อมให้เข้าใจระดับลึกโดยทาแบบฝึกหัดจับกลุ่มแยก ประเภทสิ่งของคู่เหมือนคู่ตรงกันข้ามเปรียบเทียบแบบฝึกหัดท่ีสนุกคือเล่นเกมอย่างท่ีครูต้องเน้นความเข้าใจ ระดับลึกในการออกแบบการเรียนรู้การสื่อสารการออกข้อสอบเพื่อทดสอบการเรียนรู้และการให้การบ้าน การ

11 ออกแบบการจัดการเรียนรู้ท่ีเหมาะตอ่ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลที่ผู้เรียนมีความแตกต่างกันหลากหลายด้าน มากเราต้องปรับการสอนใหเ้ หมาะตอ่ ความแตกตา่ งนั้นครูไทยต้องเอาความเป็นจริงเก่ียวกับความแตกต่างของ ศษิ ยใ์ นทุกดา้ นมาเปน็ ขอ้ มลู ประกอบในการออกแบบการเรียนรนู้ กั เรยี นมีความแตกต่าง 3 แนวไดแ้ ก่ 1) ความสามารถท่ัวไปในการเรยี นรู้อาจเรยี กว่าเดก็ ฉลาดเด็กหัวไวเด็กหวั ช้า 2) รูปแบบการเรียนตามทฤษฎมี ีผูเ้ รยี นแบบเน้นจักษุประสาทแบบเน้นโสตประสาทและแบบ เน้นการเคล่อื นไหว (Visual, Auditory, andKinesthetic Learners Theory) 3) ความฉลาด 8 ด้านตามทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) ได้แก่ ด้านภาษา ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านการเคล่ือนไหวร่างกาย ด้านดนตรี ด้านรู้ผู้อื่น ด้านรู้ ตนเอง ดา้ นรอบรธู้ รรมชาติ จากทฤษฎดี งั กล่าวนาไปสู่การตีความเชิงประยกุ ต์ 3 ขอ้ ไดแ้ ก่ 1) รายการตามตารางเป็นความฉลาด (intelligence) ไม่ใช่ความสามารถ (ability) ไม่ใช่ ความถนัด (talent) 2) โรงเรียนควรสอนความฉลาดใหค้ รบทง้ั 8 ดา้ น 3) เม่ือสอนความรู้ใหม่ควรใช้หลาย ๆ ความฉลาดหรือทุกความฉลาดเป็นท่อต่อการเรียนรู้ เพ่อื ใหน้ กั เรียนได้เลือกใช้สาหรบั ทาใหก้ ารเรยี นรู้ของตนบรรลุผลอยา่ งสูงสดุ การออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยคานึงถึงความแตกต่างของเด็กเป็นเร่ืองที่ ครูต้องตระหนักและ แนะนาสาหรบั นาความรู้เร่อื งความฉลาด 8 แบบไปใช้ในหอ้ งเรยี นคือ 1) ใหน้ าไปใช้ในการออกแบบหรือเลือกเนอื้ หาสาหรับการเรยี นรไู้ ม่ใชน่ าไปใช้แยกแยะเดก็ 2) เปลีย่ นรปู แบบการเรียนรูเ้ ป็นครั้งคราวเพ่อื ลดความจาเจน่าเบอื่ หน่าย 3) เดก็ ทุกคนมคี ุณค่าแมบ้ างคนจะเรียนชา้ 4) ช่วยเด็กที่เรียนอ่อน ด้วยเอาใจใส่ให้กาลังใจให้ผู้เรียนที่เรียนอ่อนพากเพียรฝึกฝนตนเอง ด้วยกระบวนทัศน์ใหมท่ ่เี ช่อื ว่าสติปัญญาสร้างได้ด้วยการฝึกฝนอย่างมานะอดทนและการมี “โค้ช” ท่ีดีและพ่อ แม่ ความฉลาดเป็นท้ังสิ่งท่ีติดตัวมาแต่กาเนิดและส่ิงท่ีสร้างข้ึนใหม่ใส่ตัวเคล็ดลับสาหรับครูคือการให้คาชมจง อย่าชมความสามารถให้ชมความมานะพยายามเพื่อทาให้ส่ิงท่ีมีคุณค่าคือความมานะพยายามคือความสาเร็จที่ ได้มาจากความบากบ่นั เอาชนะอปุ สรรคจงอย่าช่นื ชมความสาเร็จทไ่ี ด้มาโดยงา่ ย 4. กรณศี กึ ษาการจดั การเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21: ห้องเรยี นกลับดา้ น(flipped Classroom) “การเรียนรู้ท่ีดีกว่า ไม่ได้มาจากการที่ครูค้นพบ วิธีการสอนที่ดีกว่า แต่เกิดจากการที่ครูได้ให้ โอกาสที่ดีกว่าแก่ผู้เรียนรู้ให้สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเอง” (Prof. Seymour Paper tแห่ง Media Lab, MassachusettsInstitute of Technology (MIT)) เป็นคาสาคัญจากรายงานการประชุมสัมมนา วิชาการ เรื่องการพัฒนาการเรียนรู้เพ่ือสร้างสรรค์ด้วยปัญญาแห่งประเทศไทยคร้ังท่ี 1 ของ สานักงาน

12 เลขาธิการสภาการศึกษา ท่ีนิมิตใหม่ในการขับเคล่ือนการจัดการศึกษาทั่วประเทศ และจะมีการปรับเปล่ียน รูปแบบการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนใหม่ โดยเฉพาะการบริหารจัดการชั้นเรียนคาบละ 50 นาทีให้เกิด ประโยชน์มากข้ึน เพราะเวลาเรียนในแต่ละปีการศึกษามีเพียง 5 เดือน เศษ ๆ เท่าน้ัน จึงต้องใช้เวลาให้มี ประโยชน์มากที่สุด “จะต้องเลิกเสียเวลาในการท่องจาในส่ิงที่ไม่จาเป็น แต่ให้ท่องในสิ่งท่ีจาเป็นเท่าน้ัน แล้ว นาเวลาเรียนไปส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ให้กับเด็ก และต้องแบ่งแยกความสาคัญของเน้ือหา เลือกเน้นในบาง เน้ือหา อะไรท่ีไม่จาเป็นก็ตัดทิ้งไป ท่ีสาคัญนอกจากด้านวิชาการแล้วยังต้องส่งเสริมการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้แก่นักเรียน รวมถึงการปลูกฝังประชาธิปไตยในโรงเรียนด้วย โดยต้องสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ ประชาธิปไตยในโรงเรียน เพราะเรื่องเหล่านี้จะเรียนรู้ได้ด้วยการปฏิบัติซ้า ๆ โดยเด็กซึมซับเพ่ือให้ผู้เรียน สามารถคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา และเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยปฏิรูปให้มีความเช่ือมโยงกันท้ัง หลักสตู รและการเรียนการสอน ให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงและสอดคล้องกับการเรียนรู้ยุคใหม่ การพัฒนาครู และการพฒั นาระบบการทดสอบ การวัดและประเมินผลที่ได้มาตรฐานและเช่ือมโยงกับหลักสูตรและการเรียน การสอน และการพัฒนาผู้เรียน และนโยบายเร่งนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร มาใช้ในการปฏิรูป การเรียนรู้สร้างมาตรฐานการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์แบบพกพา (แท็บเล็ต) รวมท้ังการพัฒนาเน้ือหา สาระถือว่าเป็นเร่ืองสาคัญท่ีจะต้องเร่งพัฒนา คือ \"เนื้อหาสาระ\" เพ่ือจะให้มีทั้งเน้ือหาท่ีควรรู้ รูปแบบของ แบบทดสอบ แบบฝึกหัด เทคนิค นวัตกรรมใหม่ๆ ท่ีให้เด็กใช้กับแท็บเล็ต เพ่ือทาให้การเรียนการสอนมี ประสิทธภิ าพ ไดผ้ ลจรงิ ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) เป็นแนวทางจัดการเรียนการสอนแบบใหม่ที่ถูกคิดค้น ขึ้นจากประสบการณ์การสอนในช้ันเรียนของ Jonathan Bergmann และ Aaron Sams ซึ่งพวกเขาเป็นครู วิชาเคมีของโรงเรียน Woodland Park High School รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา มีแนวคิดท่ีมี นักเรียนบางส่วนให้องเรียนถูกดึงไปทากิจกรรมอ่ืนๆทาให้ไม่สามารถเข้าห้องเรียนได้ครบถ้วนเช่นนักเรียนท่ี เป็นนักกีฬานักเรียนท่ีต้องทางานนอกเวลาหรือกิจกรรมต่างที่ต้องใช้เวลาในการเดินทางแม้กระท่ังเนื้อหาวิชา ต้องเวลาในการทาความเขา้ ใจมากๆจนไมส่ ามารถจัดได้หมดในชั่วโมงเรียนดังน้ัน Jonathan และ Aaron จึงมี แนวคิด 2 ประการคือ 1) พิจารณาเลือกเทคโนโลยีที่มีความเป็นไปได้ท่ีจะนามาใช้กับนักเรียนและนักเรียน สามารถนาขึ้นมาเรียนได้ขณะเดินทางหรือในเวลาว่างจากอุปกรณ์หรือเคร่ืองมือที่นักเรียนมีเช่นคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ตสมาร์ทโฟนหรือแล็บท็อปนอกเหนือจากการเรียนในชั้นเรียนปกติ 2) จัดกิจกรรมต่าง ๆ เพ่ือเป็น ตัวเชือ่ มเช่นอเี มลจ์ ากนกั เรียนทมี่ ีข้อสงสัยอเี มล์จากครูผู้สอนต้ังคาถามไปยังนักเรียนบทความหรือเนื้อหาต่างๆ เกยี่ วกับเนอื้ หาวิชาทีอ่ ยู่บนเว็บไซต์ วงการศึกษาของไทยได้มีการคิดค้นเพื่อพัฒนารูปแบบนวัตกรรมทางการ เรียนรู้และรูปแบบการสอนตามหลักสูตรเพื่อก้าวทันกับความเปล่ียนแปลงกับบริบทเชิงสังคมก้าวทันความ เปล่ียนแปลงกับโลกแห่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทต่อการจัดการศึกษา ค่อนข้างสูงภายใต้กระแสแห่งการปฏิรูปการศึกษาไทยในปัจจุบันที่มุ่งพัฒนาการศึกษาให้บรรลุผลตาม เจตนารมณ์ของการจัดการศึกษาโดยรวมเป็นไปตามปรัชญาแนวคิดของการพัฒนาโดยมุ่งเน้นที่ผู้เรียนเป็น สาคัญ (Learners Center) ก้าวสู่การพัฒนาท่ีย่ังยืนต่อไปในอนาคต “ห้องเรียนกลับด้าน” จึงกลายเป็น นวัตกรรมและมมุ มองหนง่ึ ทเ่ี ปน็ วิธกี ารใชห้ ้องเรียนให้เกดิ คุณคา่ แก่เด็กโดยใช้ฝึกประยุกต์ความรู้ในสถานการณ์

13 ต่างๆเพ่ือให้เกิดการเรียนรู้แบบ “รู้จริง (Mastery Learning)” ด้วยแนวคิด “เรียนที่บ้าน ทาการบ้านที่ โรงเรียน” กล่าวคือการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับทางน้ันจะมุ่งเน้นการสร้างสรรค์องค์ความรู้ ด้วยตัวผู้เรียนเองตามทักษะความรู้ความสามารถและสติปัญญาของเอกัตบุคคล (Individualized Competency) ตามอัตราความสามารถทางการเรียนแต่ละคนจากมวลประสบการณ์ที่ครูจัดให้ผ่านสื่อ เทคโนโลยี ICT หลากหลายนอกช้ันเรียนอย่างอิสระทั้งด้านความคิดและวิธีปฏิบัติซ่ึงแตกต่างจากการเรียน แบบเดิมที่ครูจะเป็นผู้ป้อนความรู้ประสบการณ์ให้ผู้เรียน ห้องเรียนแบบกลับด้านจะเป็นการเปล่ียนแปลง บทบาทของครูเป็นผู้อานวยการสอนอย่างแท้จริงไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้แต่จะสร้างแรงบันดาลใจในการศึกษา ด้วยตนเองจากส่ือการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ เมื่อเข้าชั้นเรียนนักเรียนและครูจะมีส่วนร่วมกันใน การสร้างวิถีการเรียนอย่างมีคุณค่าในการสร้างทักษะการคิดข้ันสูงคือการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์และ สร้างสรรคน์ วัตกรรม ดงั รูปที่ 1.1 รปู ท่ี 1.1 กระบวนการห้องเรยี นกลับดา้ น ทม่ี า : http://ctl.utexas.edu/teaching/flipping_a_class/what_is_flipped ตารางท่ี 1เปรยี บเทียบกระบวนการจดั การเรียนรแู้ บบเดิม และ ห้องเรยี นกลบั ด้าน มอบหมายให้นักเรยี นอา่ น นักเรียนรับคาแนะนาผ่านโมดูลการเรียนรู้ท่ี Class พร้อมคาถาม ครเู ตรยี มการบรรยาย ครูสร้างโอกาสการเรยี นรู้ นักเรยี นไดร้ ับขอ้ มูลทจี่ ากดั นกั เรยี นมีคาถามทเ่ี ฉพาะเจาะจงอยใู่ นใจ Beginning of Class เพือ่ เปน็ แนวทางในการเรยี นรู้ของเขา ครสู ร้างสมมตฐิ านท่ัว ๆ ไป ครูต้องสามารถคาดหวังความต้องการเรียนรู้

14 ของนักเรยี น During Class นักเรียนพยายามเรียนรู้ในห้องเรียนตาม นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติทักษะท่ีพวกเขาจะ ลาพงั คาดหวงั วา่ จะไดเ้ รียนรู้เพ่ิมเตมิ ครูสอนพยายามท่ีจะให้นักเรียนเรียนรู้ทุก แนะนาการสอนกระบวนการเพ่ือเกิดการคิด เนื้อหา วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ นักเรียนพยายามปฏิบัติภารกิจที่บ้านและ ไดร้ บั ขอ้ เสนอแนะทล่ี ่าช้า นกั เรยี นประยุกตค์ วามรู้และทักษะทไ่ี ด้รบั และ After Class ยังมกี ารปฏิสัมพันธ์กบั ครตู ลอดไป สรุปและตัดสินคุณภาพการเรียนตาม ครยู ังโพสต์สอนขอ้ แนะนา ๆ เพิ่มเติมเพ่ือเพิ่ม คณุ ภาพของนักเรียน (ขณะน้ี) คุณภาพการเรยี นรู้ นกั เรยี นต้องสรปุ จบการเรียน นักเรียนมคี วามพรอ้ มเพอ่ื ขอความช่วยเหลือที่ พวกเขาร้วู ่าพวกเขาจาเป็นตอ้ งใชม้ ัน Office Hours อาจารย์ผสู้ อนมักทบทวนความรเู้ ดมิ ๆ ต่อยอดความรู้นักเรียนอย่างต่อเน่ืองนาไปสู่ ความเข้าใจท่คี งทน การจดั การเรยี นรแู้ บบห้องเรียนกลบั ด้านดังกลา่ ว สามารถลดเวลาและสรา้ งคุณภาพการเรยี นรู้สกู่ ารคดิ สรา้ งสรรค์ ตามแนวคดิ new Bloom’s taxonomy ดงั รปู ที่ 2 รปู ที่ 2 หอ้ งเรยี นกลบั ดา้ นกับ Bloom’s Taxonomy ที่มา(Shan Mason, 2014)

15 การประยกุ ตใ์ ช้วธิ ีการจดั การเรียนรูแ้ บบห้องเรียนกลับดา้ น การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านน้ัน เป็นเทคนิคการสอน (Teaching Technique) หรือกลวิธีทใี่ ชเ้ สริมกระบวนการสอนหรือข้ันตอนการสอนเพื่อช่วยให้การสอนมีคุณภาพและประสิทธิภาพมาก ขึ้น ครผู สู้ อนจงึ ตอ้ งเลือกวธิ กี ารสอน (Teaching Method) ทสี่ ามารถดาเนินการให้ผเู้ รียนเกดิ การเรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์ซ่ึงวิธีการสอนจะมีความแตกต่างกันไปตามองค์ประกอบและข้ันตอนสาคัญอันเป็นลักษณะเด่น หรือลักษณะเฉพาะท่ีขาดไม่ได้ของวิธีนั้นๆ ดังน้ันการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน จึงประกอบด้วย ขน้ั ตอนหลัก ๆ 2 ขนั้ ตามลาดบั ดังนี้ 1. ขัน้ ตอนเลือกวิธีสอน การวิธีสอนนั้นคานึงถึงลักษณะของเนื้อหาวิชาที่จะสอน เน้ือหาวิชา มวี ตั ถุประสงคใ์ ห้ผู้เรยี นมกี ารพัฒนาการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้านคือความรู้ทักษะและเจตคติดังนั้นลักษณะเน้ือหาวิชา จึงเป็นส่ิงสาคัญในการตัดสินใจเลือกวิธีการสอนแบบใดที่สามารถพัฒนาผู้เรียนได้ตามวัตถุประสงค์ การสอน ความรู้เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนดาเนินกิจกรรมทางสมองเพ่ือท่ีจะรับเน้ือหาทฤษฎีหลักการและข้อเท็จจริง ต่างๆการสอนทักษะน้ันเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความชานาญในการใช้กล้ามเนื้อและความคิดได้อย่าง แคลว่ คลอ่ งว่องไวการสอนเจตคติเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับค่านิยมและลักษณะนิสัยท่ีดีวิธีสอนอย่างหน่ึง อาจจะเหมาะสมตอ่ การสอนเนือ้ หาวิชาในลกั ษณะหน่ึง 2. ขนั้ ตอนการจาแนกวธิ สี อนเปน็ 2 สว่ น คอื ส่วนเรียนทีบ่ า้ น และสว่ นทาการบ้านที่โรงเรียน ดงั รปู ที่ 3 รปู ท่ี 3 การจาแนกวิธกี ารสอนตามแนวคดิ สมรรถนะการจดั การเรียนรขู้ อง Bloom ทีม่ า (University of Nebraska-Lincoln, 2014) ตวั อยา่ ง วิธีการสอนแบบบรรยาย วิธีการสอนแบบบรรยายประกอบด้วยข้นั ตอนดังน้ี 1. เตรียมการบรรยาย

16 ผู้สอนจาเป็นต้องศึกษาเนอ้ื หาสาระท่จี ะบรรยายให้เข้าใจแจ่มแจ้งหากพบว่ามีจุดใดท่ีตนยังไม่เข้าใจ ควรศึกษาค้นคว้าให้กระจ่างก่อนต่อจากนั้นควรคัดเลือกว่าเน้ือหาสาระใดมีความจาเป็นหรือมีประโยชน์ต่อ ผเู้ รยี นของตนเพียงใดเนอื้ หาใดไม่จาเป็นอาจตัดออกควรจัดลาดับเนื้อหาสาระว่าสิ่งใดควรพูดก่อนพูดหลังและ จะเช่ือมโยงกันอย่างไรในเน้ือหาสาระแต่ละส่วนมีส่วนใดที่ยังคลุมเครือควรหาตัวอย่างประกอบหรือควรใช้ส่ือ ใดช่วยและควรแสวงหาเทคนิคในการนาเสนอสาระแต่ละส่วนให้น่าสนใจท้าทายความคิดและเข้าใจได้ง่ายซึ่ง อาจจะเป็นการใช้คาถามกระตุ้นหรือการเล่าประสบการณ์ที่แปลกใหม่หรือนาเสนอปัญหาท่ีท้าทายความคิด ก่อนการบรรยายผู้สอนควรจะมโี ครงรา่ ง (outline) มีเอกสารประกอบการบรรยายแจกใหแ้ กผ่ เู้ รยี น 2. การบรรยาย เริ่มจากเร้าความสนใจของผู้เรียนและพยายามรักษาความสนใจนั้นให้คงอยู่ตลอดการบรรยายด้วย เทคนิคต่างๆเชน่ การใชป้ ญั หาเป็นส่ิงเร้าเช่นข่าวเหตกุ ารณ์สาคญั กรณีตัวอย่างการใช้การทดสอบก่อนเรียนและ หลังเรียนเพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เห็นความสามารถของตนในเร่ืองน้ันการใช้สื่อประกอบเช่นใช้แผ่นใสภาพสไลด์ เทปเสียงวีดีทัศน์ภาพยนตร์คอมพิวเตอร์การใช้การซักถามประกอบกับการบรรยายการยกตัว อย่าง ประกอบการอธิบาย 3.การอภิปรายซักถามและประเมินผลการเรียนรูข้ องผู้เรียน เป็นข้ันอภิปรายที่ผู้บรรยายเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถามหรือเปิดอภิปรายแลกเปล่ียนความคิดเห็น กันต่อจากน้ันควรมีการทดสอบการเรียนรู้ของผู้เรียนในเร่ืองท่ีบรรยายด้วยวิธีการต่างๆเช่นการสุ่มถามผู้เรียน หรอื การให้ทาแบบทดสอบ ตารางที่ 2 ตวั อย่างการจาแนกวิธีการสอนแบบบรรยาย ขัน้ ตอนการจัดการเรยี นรู้ สถานที่ ส่ือดิจติ ลั ส่ือวดิ ีโอ 1. เตรยี มการบรรยาย ก่อนเขา้ ช้ันเรยี น 2. การบรรยาย 3. การอภิปรายซกั ถาม ในช้นั เรียน ตัวอย่าง วิธกี ารสอนแบบสาธิต วธิ กี ารสอนแบบสาธติ ประกอบด้วยขนั้ ตอนดงั นี้ 1. เตรียมการสาธิต ผู้สอนจาเป็นต้องมีการเตรียมตัวเพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างสะดวกและ ราบร่ืนการเตรียมตัวที่สาคัญผู้สอนควรมีการซ้อมการสาธิตก่อนเพื่อจะได้เห็นปัญหาและเตรียมแก้ไขป้องกัน ปัญหาท่ีจะเกิดข้ึนเตรียมวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือและสถานท่ีท่ีจะใช้ในการสาธิตและจัดวางไว้อย่าง เหมาะสม

17 สะดวกแก่การใช้นอกจากนั้นควรจัดเตรียมแบบสังเกตการสาธิตและเตรียมคาถามหรือประเด็นท่ีจะให้ผู้เรียน ได้รว่ มคดิ และอภิปรายดว้ ย 2. ก่อนการสาธิตผู้สอนควรให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องท่ีสาธิตแก่ผู้เรียนอย่างเพียงพอท่ีจะทาให้ผู้เรียน เกิดความเข้าใจสิ่งที่สาธติ ได้ดีผู้สอนอาจมอบหมายให้ผูเ้ รยี นไปศกึ ษาเน้อื หาสาระทจ่ี ะสาธิตมาล่วงหน้าและควร ใหค้ าแนะนาแก่ผ้เู รยี นในการสังเกตหรอื จัดทาแบบสงั เกตการสาธิตให้ผู้เรียนใช้ในการสังเกตนอกจากนั้นผู้สอน อาจใช้เทคนิคการมอบหมายให้ผู้เรียนรายบุคคลสังเกตเป็นพิเศษเฉพาะจุดเฉพาะประเด็นเพ่ือช่วยใ ห้ผู้เรียน ตง้ั ใจสงั เกตและมีสว่ นร่วมอย่างทั่วถงึ 3. การสาธิตผู้สอนอาจใช้วิธีการบรรยายประกอบการสาธิตการสาธิตควรเป็นไปอย่างมีลาดับ ขั้นตอนใช้เวลาอย่างเหมาะสมไม่เร็วเกินไปขณะสาธิตอาจใช้แผนภูมิประกอบและควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ซักถามหรือซักถามผู้เรียนเป็นระยะๆเพ่ือกระตุ้นความคิดและความสนใจของผู้เรียนและในบางกรณีอาจให้ ผู้เรียนบางคนมาชว่ ยในการสาธิตด้วย เทคนิคการสาธิตอีกเทคนิคหนึ่งคือการใช้การสาธิตเงียบแทนการบรรยายประกอบการสาธิตและอาจมีการ สาธิตซา้ หากผู้เรียนยังไมเ่ กิดความเข้าใจชัดเจน 4. การอภปิ รายสรุปการเรียนรู้หลังจากการสาธิตแล้วผู้สอนควรให้ผู้เรียนรายงานส่ิงที่ได้สังเกตเห็น แลกเปลี่ยนกันเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถามผู้สอนควรเตรียมคาถามไว้กระตุ้นให้ผู้เรียนคิดด้วยผู้เรียนอภิปราย แลกเปลย่ี นความร้คู วามคดิ ท่แี ตล่ ะคนได้รบั จากการสาธิตของผสู้ อนและร่วมกันสรุปการเรียนรทู้ ่ีได้รบั ตารางที่ 3 ตวั อย่างการจาแนกวิธีการสอนแบบสาธติ ข้ันตอนการจดั การเรยี นรู้ สถานที่ สือ่ ดิจติ ัล สอื่ วดิ โี อ 1. เตรยี มการสาธิต กอ่ นเข้าช้นั เรียน 2. กอ่ นการสาธิต 3. การสาธิต 4. การอภปิ รายสรุปการเรียนรู้ ในช้นั เรียน 5. กรณศี ึกษาการจัดการเรยี นรแู้ บบโครงการเปน็ ฐาน (Project Bases Learning) การจัดการเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐาน เป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับการพัฒนาผู้เรียนใน ศตวรรษที่ 21 ท้งั ในส่วนของผู้เรียนท่ีเป็นกิจกรรมแบบ PBLรวมถึงครูผู้สอนในโรงเรียนท่ีมีบทบาทเป็น PLC ซ่ึงประกอบด้วยประเด็นสาคัญ ดังน้ี 1. ทฤษฎแี ละแนวคดิ การสอนแบบโครงการ

18 การเรียนรู้แบบโครงการเป็นการจัดกเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ มีผู้กลา่ วถงึ ความหมายไวด้ งั น้ี Lenschow (1996) อ้างถึงในวราภรณ์ ตระกูลสฤษดิ์ (2545) อธิบายว่าการเรียนการสอนแบบ โครงการหมายถึงการกระทากิจกรรมร่วมกัน ช่วยเหลือกันในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ภายในกลุ่มด้วยวิธีการ ปฏิบัติจริง เพื่อการเรียนรู้ การแก้ปัญหาอันจะนาไปสู่ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แสวงหาความรู้และ หาแนวทางการแกป้ ัญหาเหล่าน้ัน สุชาติ วงศ์สุวรรณ (2545) กล่าวถึงความหมายของการเรียนรู้โดยใช้โครงการว่าหมายถึง การ จัดการเรียนรู้รูปแบบหน่ึงที่เป็นการทาให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงในลักษณะของการศึกษาสารวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดิษฐค์ ดิ คน้ โดยมีครูเปน็ ผู้กระตุ้น แนะนา และใหค้ าปรกึ ษาอยา่ งใกล้ชิด วราภรณ์ ตระกูลสฤษดิ์ (2545) กล่าวถึงการเรียนรู้แบบโครงการว่าเป็นเสมือนสะพานเช่ือม ระหว่างห้องเรียนกับโลกภายนอกซ่ึงเป็นชีวิตจริงของผู้เรียน ทั้งน้ีเพราะว่าผู้เรียนต้องนาเอาความรู้ที่ได้จาก การเรียนมาบูรณาการเข้ากับกิจกรรมที่กระทาท่ีจะกระทาเพื่อนาไปสู่ความรู้ใหม่ ๆ ด้วยการสร้างความหมาย การแก้ปัญหา และการค้นพบด้วยตัวเอง ผู้เรียนต้องสร้างและกาหนดความรู้จากความคิดและแนวคิดท่ีมีอยู่ กับแนวคิดและความคิดทีเ่ กิดขนึ้ ใหม่ ทาให้เกดิ การปรบั เปลี่ยนความรู้ให้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ส่ิงใหม่ ดัง แนวคดิ ทฤษฎกี ารสอน รูปที่ 1.1 รปู ท่ี 1.1 แนวคดิ ทฤษฎีการสอนแบบโครงการ ทีม่ า วราภรณ์ ตระกูลสฤษดิ์ (2545)

19 2. วัตถุประสงค์การสอนแบบโครงการ การสอนแบบโครงการมีเป้าหมายหลกั 5 ประการคอื 1. เป้าหมายทางสติปัญญา และทางจิตใจ มุ่งให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวด ล้อมอย่าง หลากหลายและการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว อย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเป้าหมายหลักจึงมุ่งที่พัฒนาความรู้ ความเข้าใจโลกที่อยรู่ อบ ๆ ตัวและปลูกฝังคณุ ลักษณะความอยากรู้อยากเหน็ ของผูเ้ รียน 2. ความสมดุลของกิจกรรม ทาให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมท้ังท่ีเป็นกิจกรรมวิชาการและกิจกรรม การเรยี นรู้ท่ีผ่านการเลน่ และการปฏสิ ัมพันธ์กับสงิ่ ตา่ ง ๆ 3. โรงเรียนคือส่วนหนึ่งในชีวิต การเรียนการสอนในโรงเรียนต้องเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเด็ก ไม่ใช้ แยกออกจากชีวิตประจาวัน โดยท่ัวไปกิจกรรมในโรงเรียนจึงควรเป็นกิจกรรมที่เก่ียวข้องกับการดาเนินชีวิต ปกติ การมปี ฏิสมั พนั ธ์กับสงิ่ แวดล้อมและผคู้ นรอบ ๆ ตวั เด็ก 4. ห้องเรียน เปน็ ชมุ ชนหนงึ่ ของเด็ก ๆ เด็กทุกคนมีลักษณะเฉพาะตัว การสอนแบบโครงการเปิด โอกาสให้เด็กแต่ละคนได้แสดงออกถึงคุณลักษณะ ความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อ ในการสอนแบบน้ีเกิดการ แลกเปลย่ี นปฏสิ ัมพนั ธ์อย่างลกึ ซึ้ง เดก็ เรียนรู้ความแตกตา่ งของตนและเพือ่ น ๆ 5. การสอนเป็นสิ่งท่ีท้าทายสาหรับครู ในการสอนแบบโครงการครูไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับ เดก็ โครงการบางโครงการครูต้องเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับเด็ก ครูร่วมกับเด็กคิดหาวิธีการแก้ปัญหาลงมือปฏิบัติ ไปด้วยกัน 3. องคป์ ระกอบที่สาคญั ของการเรียนแบบโครงการ องคป์ ระกอบสาคัญของการเรยี นแบบโครงการมกี รอบแนวคดิ ดงั นี้ 1. ความเหมาะสมและพอดี การออกแบบการเรียนรู้ต้องมีวัตถุประสงค์การเรียนรู้ท่ีชัดเจน เพ่ือ กาหนดวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของโครงการรวมท้ังการพัฒนาถึงสัดส่วนการประเมินผลการเรียนรู้ โดยเฉพาะส่วนสาคัญคอื วตั ถุประสงค์ของโครงการให้สอดคลอ้ งกนั 2. ขอบเขตของการประเมิน ครูผู้สอนต้องกาหนดผลงานหรือความรู้ท่ีผู้เรียนหรือกลุ่มได้รับ ควร กาหนดเพ่อื วางแผนกระบวนการกลุ่มให้ดาเนินการกิจกรรมได้อย่างดีมีประสิทธิภาพ ตรงตามท่ีผู้สอนต้องการ รวมท้งั นาไปส่กู ระบวนการประเมนิ โดยผู้สอน ซ่งึ ตอ้ งเตรยี มดงั ต่อไปน้ี 2.1 การอภิปรายกลุ่ม เป็นการให้ข้อมูลการประเมินร่วมกันในกลุ่มโดยการแลกเปล่ียนข้อมูล แสดงความคิดเห็นกันอย่างเปิดเผย และจริงใจต่อกัน มีการกาหนดปัจจัยนาสู่คุณภาพของกกระบวนการและ ผลงานทดี่ ีของโครงการอันจะเช่ือมโยงไปสกู่ ารมีความรทู้ ่ีดแี ละพิเศษว่ามีลักษณะใดบ้าง เพ่ือผู้เรียนจะได้เข้าใจ และมีแนวทางในการเรียนร้ไู ด้อยา่ งถูกต้อง 2.2 การให้ความรู้พ้ืนฐาน เช่นการสาธิตแนะนาการสร้างทักษะของการสร้างสัมพันธภาพ ระหวา่ งบคุ คล 2.3 ควรต้องมีการกาหนดเกณฑ์และช้ีแจงให้ผู้เรียนทราบแนวทางการประเมิน ควรมีการแจ้ง เกณฑก์ ารประเมินผลใหผ้ เู้ รยี นไดม้ ีโอกาสทราบก่อนทาโครงการ

20 2.4 มีการประเมินผลการเรียนรู้หลากหลาย กล่าวคือควรมีผู้ประเมินท่ีหลากหลาย เหตุผล สาคัญคือผู้ประเมินแต่ละระดับมีความรู้ความชานาญต่างกัน เช่นขณะที่ผู้สอนมักจะดูระดับการเรียนรู้และ กิจกรรมของผเู้ รยี นโดยดจู ากกระบวนการกล่มุ เป็นสาคัญ 3. เน้อื หาการสอน เน้ือหาสิ่งทผ่ี ้สู อนต้องการสอนให้แก่ผู้เรียนเพื่อหวังให้ผู้เรียนจะเป็นตัวกาหนด กจิ กรรมการเรียนอันจะนาไปสจู่ ดุ ประสงคข์ องการมอบหมายให้ทาโครงการ 4. ข้ันตอนการสอน ขน้ั ตอนการสอนเพอื่ ใหไ้ ด้มาซ่งึ หวั ข้อโครงการ ประกอบดว้ ย 6 ขน้ั ดังนี้ 1. การคดิ และเลอื กหวั ข้อเรื่อง เป็นขั้นตอนการคิดหาหัวข้อเร่ืองท่ีจะทาโครงการ โดยผู้เรียนต้อง คิดว่าจะศึกษาอะไร ทาไมต้องศึกษาดังกล่าว ส่ิงที่จะนามากาหนดหัวข้อเร่ืองโครงการจะได้มาจากปัญหา คาถาม หรือความอยากรูอ้ ยากเหน็ จากผู้เรยี นเอง ซึ่งเป็นผลมาจากการอ่านจากหนังสือ เอกสาร บทความ ฟังการสนทนา หรือจากการดงู าน นิทรรศการ หรือสังเกตจากปรากฏการณ์รอบข้าง หัวเร่ืองของโครงการ ต้องเฉพาะเจาะจง และชัดเจนว่าจะทาอะไร และควรเป็นส่ิงใกล้ตัว หรือมีความคุ้นเคยกับเร่ืองดังกล่าว เป็น เรือ่ งทใี่ ชเ้ วลาศกึ ษาพอสมควรทีท่ าใหไ้ ดม้ าซึง่ คาตอบ 2. การศึกษาเอกสารท่ีเกี่ยวข้อง การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องรวมไปถึงการขอคาปรึกษาหรือ ข้อมูลรายละเอียดอื่น ๆ จากผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ รวมทั้งสารวจวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ การ ดาเนินการขนั้ ตอนน้จี ะทาใหเ้ กิดความร้คู วามเขา้ ใจในรายละเอียดต่าง ๆ ของเนือ้ หาต่าง ๆ ท่เี ก่ียวข้องเพ่ิมมาก ขึน้ รวมท้ังทาใหเ้ หน็ ถงึ ขอบขา่ ยภาระงานทจ่ี ะดาเนนิ การในโครงการทีจ่ ะทาใหผ้ ลที่ไดจ้ ากการดาเนินงานขั้นน้ี จะทาให้ได้แนวคดิ ในการกาหนดขอบขา่ ยหรือเคา้ โครงเรือ่ งทศ่ี ึกษาดังนี้ 2.1 ส่งิ ทจี่ ะกระทา 2.2 วตั ถุประสงค์ 2.3 ผลทีจ่ ะไดร้ บั 2.4 กระบวนการ 2.5 ทรพั ยากรหรอื วัสดอุ ุปกรณ์ 2.6 บคุ ลากรหรือผ้เู กยี่ วขอ้ ง 2.7 การนาเสนอ 3. การเขียนเค้าโครงของโครงการ เป็นการสร้างแผนที่ความคิดโดยเอาภาพของงานและ ความสาเรจ็ ของโครงการท่วี เิ คราะหไ์ ว้มาจัดทารายละเอยี ดเพื่อแสดงแนวคิด แผน และขน้ั ตอนการทาโครงการ อาจจะใช้การระดมสมองถา้ สมาชิกเป็นกลุ่มเพ่ือให้ผู้ร่วมงานทุกคนได้มองเห็นภาระงาน ตั้งแต่เริ่มต้นจนส้ินสุด รวมท้ังได้ทราบถึงบทบาทและระยะเวลาในการดาเนินงาน เม่ือเกิดความชัดเจนจึงนามากาหนดเขียนเป็นเค้า โครง เคา้ โครงประกอบดว้ ยหัวขอ้ ตา่ ง ๆ ดงั นี้ 1) ชื่อโครงการ (ทาอะไร กับใคร เพื่ออะไร) 2) ช่ือผทู้ าโครงการ (ผรู้ บั ผิดชอบโครงการ อาจเป็นกลุ่ม) 3) ชือ่ ท่ปี รกึ ษาโครงการ (ครู-อาจารย์ ผ้ทู รงคุณวฒุ ใิ นท้องถ่นิ )

21 4) ระยะเวลาดาเนินงาน (ระยะเวลาดาเนนิ งานตงั้ แตเ่ ร่ิมตน้ จนสิน้ สดุ ) 5) หลกั การและเหตุผล (สภาพปจั จบุ ันทเี่ ป็นความต้องการ) 6) จุดหมาย/วัตถปุ ระสงค์ (สงิ่ ทตี่ ้องการไดเ้ กิดขึ้นเมอื่ สิ้นสดุ โครงการ) 7) สมมติฐานการศึกษา (แนวทางพสิ ูจนเ์ ป็นไปตามทีก่ าหนด) 8) ขน้ ตอนการดาเนนิ งาน (กิจกรรมหรอื ขัน้ ตอนดาเนินงาน เครื่องมือ อปุ กรณ์) 9) กาหนดการปฏิบัตกิ ารโครงการ (โครงการ วนั เวลา และกจิ กรรมดาเนินการต่าง ๆ ตามท่ีระบุไวใ้ นขอ้ ตงั้ แต่เรมิ่ ตน้ จนสน้ิ สดุ ) 10) ผลทีค่ าดวา่ จะได้รบั (สภาพของผลท่ตี อ้ งการให้เกดิ ทง้ั ท่เี ป็นผลิต และกระบวนการ และผลกระทบ) 11) เอกสารอา้ งอิง (บรรณานกุ รม ชอ่ื เอกสาร/ขอ้ มูล) 4. การปฏิบัติโครงการ เป็นการดาเนินการหลังจากโครงการได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ท่ี ปรึกษา ผู้เรียนต้องลงมือปฏิบัติงานตามแผนท่ีกาหนดไว้ในเค้าโครงโครงการ ระหว่างปฏิบัติงานผู้เรียนต้อง ปฏิบัติงานด้วยความรอบคอบ คานึงถึงความประหยัด ปลอดภัย ต้องมีการจดบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ไว้อย่าง ละเอียดว่าทาอะไร อย่างไร ได้ผลอย่างไร การบันทึกข้อมูลดังกล่าวต้องจัดทาอย่างเป็นระบบ ระเบียบ เพ่ือใช้เป็นข้อมูล สาหรับปรุงการดาเนินงานในโอกาสต่อไป การปฏิบัติกิจกรรมตามที่ระบุไว้ในขั้นตอนการ ดาเนนิ งานในโครงการถือว่าเป็นการเรียนรู้เน้ือหา ฝึกทักษะต่าง ๆ ตามท่ีระบุในจุดประสงค์การเรียนรู้ และ การปฏบิ ตั ิโครงการควรใช้เวลาดาเนนิ การในสถานศกึ ษามากกว่าทีบ่ ้าน 5. การเขยี นรายงาน เป็นการสรุปรายงานผลการดาเนินโครงการเพื่อให้ผู้อื่นรับทราบถึงแนวคิดวิธีการดาเนินงาน ผลท่ี ได้รับ ตลอดจนข้อสรุป ข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่เก่ียวกับโครงการ การเขียนโครงการใช้ภาษาท่ีเข้าใจง่าย กระชับ ชัดเจน ครอบคลุมประเด็นสาคัญ ๆ ของโครงการท่ีปฏิบัติแล้ว โดยอาจจะเขียนลงข้อสรุป รายงานผล ซ่งึ ประกอบดว้ ยหัวขอ้ ดงั น้ี 1. บทคดั ยอ่ 2. บทนา 3. เอกสารทีเ่ กีย่ วขอ้ ง 4. วิธดี าเนินงาน 5. สรปุ และอภปิ รายผล 6. ขอ้ เสนอแนะ 7. ตารางทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง 6. การแสดงผลงาน

22 เปน็ ข้ันตอนสุดท้ายของการทาโครงการ เป็นการนาเสนอผลการดาเนินงาน โครงการทั้งหมด มาเสนอเพ่ือให้ผู้อื่นทราบซ่ึงผลผลิตท่ีได้จากการทาโครงการประเภทต่าง ๆ มีลักษณะเป็นเอกสาร รายงาน ชิ้นงาน จาลอง ฯลฯ ตามประเภทของโครงการ การนาเสนอผลงานสามารจัดได้หลากหลายรูปแบบ เช่น นทิ รรศการ สื่อส่ิงพิมพ์ สื่อมัลตมิ ีเดีย 7. การวัดและประเมินผล กรอบแนวการประเมินผล เป็นการประเมินผลตามสภาพจริง เป็นวิธีการการค้นหาความสามารถ และความกา้ วหน้าในการเรียนรทู้ แ่ี ทจ้ ริง การประเมินผลโครงการมีแนวทางการปฏิบัติดงั น้ี 7.1 ประเมนิ อะไร 1) การแสดงออกถึงผลความรู้ ความคิด 2) ความสามารถ ทักษะ คณุ ธรรม และคา่ นิยม 3) กระบวนการเรียนรู้ 4) กระบวนการทางาน 5) ผลผลิต / ผลงาน / ช้ินงาน 7.2 ประเมินเม่อื ใด 1) อย่างตอ่ เนือ่ งตง้ั แต่เร่มิ ตน้ จนสน้ิ สดุ 2) ตามสภาพจรงิ 3) เป็นธรรมชาติ 7.3ประเมนิ จากอะไร 1) ผลงาน (เอกสาร ช้ินงาน) 2) การทดสอบ 3) แบบบันทึกต่าง ๆ (สังเกต ความรู้สกึ สัมภาษณ)์ 4) แฟม้ สะสมงาน 5) หลักฐาน ร่องรอยอ่ืน ๆ 7.4 ประเมินโดยใคร 1) ตัวผ้เู รียน 2) เพือ่ น 3) ครผู ู้สอน 4) ผู้ปกครอง 5) ผูเ้ กยี่ วขอ้ งอ่นื ๆ 7.5 ประเมนิ โดยวิธีใด 1) สงั เกต 2) สมั ภาษณ์

23 3) ตรวจรายงาน 4) ตรวจผลงาน 5) ทดสอบ 6) นิทรรศการ 8. ผลกระทบทม่ี ตี ่อผู้เรยี น สามารถช่วยใหผ้ เู้ รียนพัฒนา ฝึกฝนทักษะได้ดังน้ี 8.1 สัมพันธภาพสว่ นบุคคล 8.2 การแก้ปัญหาความขดั แยง้ 8.3 ความสามารถในการถกเถียง เจรจา เพือ่ นาไปสู่การตดั สินใจ 8.4 เทคนิคการตดิ ตอ่ สือ่ สารระหว่างบุคคลท่มี ีประสิทธภิ าพ 8.5 เตรียมผู้เรียนเพื่อออกไปทางานร่วมกับผู้อ่ืน ซ่ึงจะได้ทักษะ 2 ประการคือ 1) ทักษะความรู้ ความสามารถ การควบคุมจิตใจ ควบคุมตนเอง 2) ทักษะกระบวนการกลุ่ม ช่วยให้เป็นผู้มีความรู้มากขึ้น มี มุมมองหลากหลาย อันนาไปส่คู วามสามารถทางสติปัญญา การรับรู้ ความเข้าใจ ความจดจา ความสามารถ ทางานร่วมกับผู้อื่นดีขึ้น เพิ่มความสามารถในการวิเคราะห์และทักษะการสื่อสาร ช่วยให้เกิดการเรียนรู้แบบ รว่ มมือกนั ในกลุ่มของผเู้ รียน ซงึ่ ผเู้ รยี นแต่ละคนจะแลกเปลีย่ นความรซู้ ึง่ กันและกัน 9. การเตรยี มตวั ของผู้สอน 9.1 จัดสิ่งแวดล้อมและอานวยความสะดวกจากครู เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองภายใต้การจัด สง่ิ แวดลอ้ มโดยมสี าระสาคญั ดงั น้ี 1) การเลือกหวั หนา้ โครงการ 2) กิจกรรมในการสอน 3) โอกาสแห่งการเรียนรู้ 4) เดก็ เปน็ ผู้เลือก 5) ครูเปน็ ผเู้ ฝ้าตดิ ตามความสนใจของผู้เรยี น 6) การจัดนทิ รรศการห้องเรยี น 7) ระยะเวลา 9.2 อาจารยผ์ ู้สอนตอ้ ง 1) ครูเปิดโอกาสการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน โดยการสนับสนุน แนะนา เตรียมส่ิงท่ีจะช่วยให้ ผเู้ รยี นเขา้ ถึงแหล่งเรยี นร้ตู ่าง ๆ ที่จาเปน็ ได้ 2) ครูควรสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยจัดโครงสร้างการเรียน สร้างแบบ แนะนาการ ทางานให้แก่ผเู้ รยี น 3) กระตนุ้ ผเู้ รียนในการเรยี นรู้ โดยใชก้ ระบวนการรูค้ ิดของตนเอง

24 4) ครูควรประเมนิ ความก้าวหนา้ วินิจฉัยปญั หาท่ีเกดิ และใหผ้ ลยอ้ นกลับแก่ผู้เรยี น

25 เอกสารอา้ งองิ กฤษมันต์ วฒั นาณรงค์.(2546) ประสิทธภิ าพบทเรยี น CAI.เทคโนโลยสี ่ือสารการศึกษา สถาบนั เทคโนโลยี พระจอมเกล้าพระนครเหนอื ปที ่ี 10, 99-112. พงศ์ธารา วิจติ เวชไพศาล. (2550).การเรยี นแบบรอบร้.ู วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา, 19, 17-28. มนตรี แยม้ กสิกร.(2551).เกณฑป์ ระสิทธิภาพในงานวิจยั และพฒั นาสือ่ การสอน: ความแตกตา่ ง 90/90 standard และ E1/E2.วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยบูรพา, 19, 1. มนสชิ สิทธสิ มบูรณ์, (2550) ชุดฝกึ อบรมเหนอื ตารา : การทาวจิ ยั เพ่ือเลื่อนวิทยฐานะ. คณะศกึ ษาศาสตร์. มหาวทิ ยาลัยนเรศวร. วราภรณ์ ตระกูลสฤษด์ิ. (2545). การนาเสนอรูปแบบการเรียนการสอนบนเว็บ เร่อื งการเรียนรู้ แบบโครงการเพอื่ การเรียนรเู้ ป็นทีมของนกั ศึกษามหาวิทยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบุร.ี วิทยานพิ นธด์ ษุ ฎบี ัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีและการสื่อสารทางการศกึ ษา คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. ราชบณั ฑติ ยสถาน. (2540). ศพั ทค์ อมพิวเตอร์. กรุงเทพ: โรงพิมพจ์ ฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . สานักงานสง่ เสรมิ สงั คมแห่งการเรียนรูแ้ ละคุณภาพของเยาวชน. (2555).วถิ สี รา้ งการเรยี นรู้เพือ่ ศษิ ย์ ในศตวรรษที่ 21.mp4.เข้าถงึ เม่ือ มกราคม, 15, 2557,จาก http://www.youtube.com/ watch?v=Pr_bG72nBpk. 3 สงิ หาคม 2555. สปุ รยี า ศิริพฒั นกุลขจร. (2555). การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (The 21st Century Learning). The NAS Magazine มหาวิทยาลยั พระจอมเกล้าธนบุร.ี 2, (18-20). Shan Mason.(2014). Flipping and Blooms.Retrieved January 15, 2001, from http://www.shane-mason.com/category/flipped-classroom/ University of Nebraska-Lincoln. (2014). Next Generation Extension. Retrieved January 15, 2001, from http://nextgenerationextension.org/2013/10/01/blooms-and-the-flipped-classroom/


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook