Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นิลุบล อาจารย์ทิพมาศ

นิลุบล อาจารย์ทิพมาศ

Published by นิลุบล ศิลปธนู, 2023-07-06 08:10:04

Description: นิลุบล อาจารย์ทิพมาศ

Search

Read the Text Version

นลิ บุ ล ศลิ ปธนู รหัสนกั ศกึ ษา 6530640432006 -1-

โครงการวิจัย เรื่อง กลยทุ ธ์การบริหารวชิ าการโรงเรยี นเรียนรวม ตามแนวคดิ การเรียนการสอนสนองความแตกต่าง เสนอ ผศ.ดร.ทพิ มาศ เศวตวรโชติ จดั ทำโดย นางสาวนิลบุ ล ศลิ ปธนู รหัสนกั ศกึ ษา 6530640432006 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2566 หลกั สูตรศกึ ษาศาสตรดุษฎบี ัณฑติ สาขาการบรหิ ารการศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรธี รรมาโศกราช

นลิ ุบล ศลิ ปธนู รหัสนกั ศกึ ษา 6530640432006 -1- - สว่ นประกอบของโครงการวิจยั - 1. ช่ือเร่ืองวจิ ยั ไทย : กลยทุ ธ์การบริหารวชิ าการโรงเรียนเรยี นรวมตามแนวคิดการเรียนการสอนสนองความ แตกตา่ ง 2. ชื่อเรื่องวิจัย อังกฤษ : Strategies for Academic Management of Inclusion Schools Based on the Teaching and Learning Concept Responding to Differences 3. สาขา หลกั สตู ร รหสั : สาขาการบริหารการศกึ ษา หลักสูตรศึกษาศาสตรดุษฎบี ัณฑิต 6530640432006 4. ความเป็นมา และความสำคญั ของปัญหาวิจยั แนวโน้มของการบริหารทางการศึกษาโลกในอนาคต พบว่า การจัดการศึกษาสำหรับเด็กแต่ละคนควรมี ความแตกต่างกัน เนอื่ งจากเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันทั้งในด้านความถนัด ความสนใจ ลีลาการเรียนรู้ และพหปุ ัญญาท่ีแตกต่างกนั ดังน้ัน การที่ผู้บริหารจะใช้กลยุทธ์ใดในการบริหารจดั การศึกษาในโรงเรียนของ ตนเองใหป้ ระสบผลสำเร็จนน้ั สิ่งสำคญั ประการหน่ึง คือ ผู้บรหิ ารตอ้ งมีกลยุทธ์ในการที่จะส่งเสริมสนับสนุน ให้ครูต้องรู้จักผู้เรียนแต่ละคนว่ามีลักษณะอย่างไร เพื่อวางแผนในการบริหารจัดการศึกษาด้วยการสอนที่ ตอบสนองตอ่ ความแตกตา่ งกนั ของผู้เรียนแต่ละคน (จุฬามาศ จันทรศ์ รีสคุ ต, 2560) นับเป็นเรื่องที่ดีที่ประเทศไทยของเราได้มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่สนับสนุนการจัด สถานศึกษาที่เปิดบริการให้นักเรียนพิการได้สามารถเข้ามาเรียนในโรงเรียนปกติได้โดยไม่แบ่งแยกความ บกพร่องของนักเรียน หรือเรียกว่า “โรงเรียนเรียนรวม” ดังนี้ หลักสิทธิมนุษยชนที่เน้นความเสมอภาคและ โอกาสตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 54 ระบุว่า “รัฐต้องดําเนินการให้ เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพ โดยไม่เก็บคา่ ใช้จ่าย รัฐตอ้ งดําเนนิ การให้ประชาชนไดร้ ับการศกึ ษาตามความต้องการในระบบตา่ ง ๆ รวมท้ัง ส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต และจัดให้มีการร่วมมือกันระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ ภาคเอกชนในการจัดการศึกษาทุกระดับ โดยรัฐมีหน้าที่ดําเนินการกํากับ ส่งเสริม และสนับสนุนให้การจัด การศึกษาดังกล่าวมีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล” (คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ, 2560) ซึ่งโรงเรียน เรียนรวมเหลา่ นี้จะตอ้ งมกี ารบริหารจัดการบริการสิง่ อำนวยความสะดวก สื่อ และความช่วยเหลืออ่ืนใดทาง การศึกษาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราชการ 2542 หมวด 2 มาตรา 10 วรรคสอง กำหนดให้ “การจดั การศึกษาสำหรบั บุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางด้าน ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสาร และการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพ หรือบุคคลซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้หรือไม่มีโอกาสหรือด้อยโอกาส ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและ โอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน” และ “การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพ หรือบุคคล ซ่ึงไม่สามารถพึ่งตนเองได้หรือไม่มีผู้ดูแล หรือด้อยโอกาส ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาสในการ รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ” โดย “การศึกษาสำหรับบุคคลพิการให้จัดตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความ พิการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับสื่อ สิ่งอำนวยความสะดวก บริการ และความ ช่วยเหลืออน่ื ใดทางการศึกษา” และการยอมรับให้เข้ารว่ มกิจกรรมต่าง ๆ ทางสงั คมเชน่ เดยี วกับบุคคลอื่น ๆ เป็นหน้าท่ีของคนในสังคมไทย (สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2542)

นลิ ุบล ศิลปธนู รหสั นักศกึ ษา 6530640432006 -2- ปัจจุบันโรงเรียนเรียนรวมมีจำนวนนักเรียนปกติ และนักเรียนมีความต้องการพิเศษหรือนักเรียนที่มี สภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้หรือนักเรียนพิการกระจายเรียนรวมอยู่ในโรงเรียนเรียนรวมเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็น ข้อดีทกี่ ารจดั การศึกษาในปจั จบุ ันของประเทศไทยน้ันท่ีไดใ้ ห้ความสำคญั กับการจดั การศึกษาที่เปิดโอกาสให้ ทั้งนักเรียนปกติและนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษสามารถเรียนร่วมกันได้อย่างแพร่หลาย ไม่เฉพาะใน ประเทศไทยของเราที่สนบั สนุนการจัดการศึกษารปู แบบโรงเรียนเรียนรวมเชน่ น้ี ในประเทศออสเตรเลีย หนึ่งในประเทศที่มีการจัดการศึกษาแบบโรงเรียนเรียนรวม เปิดให้นักเรียนปกติ และนักเรียนมีความต้องการพิเศษได้เข้าเรียนร่วมกัน ผลปรากฏว่าการจัดการศึกษาของพวกเขาเหล่าน้ี ประสบความสำเร็จอย่างมากหลังจบการศึกษา เมื่อสืบค้นจากงานวิจัยของแคริงตันและคณะ พบว่า ใน ประเทศออสเตรเลีย ได้มีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนเรียนรวม ด้วยกลยุทธ์การบริหาร วิชาการโรงเรียนเรียนรวมตามแนวคิดการเรียนการสอนสนองความแตกต่าง (Carrington, Suzanne and Elkins, John, 2002) แนวคิดการเรียนการสอนสนองความแตกต่าง หรือ Differentiated Instruction (DI) เป็นกลยุทธ์การ วางแผนการจัดการศึกษาโดยคำนึงถึงความแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคนทั้งความแตกต่างด้านภูมิหลังทาง ความรู้ การอ่าน ภาษา ความชอบในรูปแบบการจัดการเรยี นรู้ ความสนใจ หรือสง่ิ อ่นื ใดนอกเหนือจากนี้ของ ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนทุกคนที่มีความแตกต่างกันนั้นสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเรียนโดยสอดคล้องกับ ความสามารถของผู้เรียน โดยเกย์เล ได้กล่าวไว้ว่า การเรียนการสอนสนองความแตกต่างนั้นเป็นปรัชญาท่ี ช่วยนักการศึกษาในการวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อให้สามารถสนองความต้องการที่แตกต่างกันของนักเรียน (Gayle, H, 2545) สอดคล้องกับ ทอมลินสันที่ได้ระบุไวว้ ่า เราควรเปลี่ยนความคิดที่ว่าการจัดการศึกษานั้น ต้องมุ่งให้ผู้เรียนดำเนินการเกี่ยวกับเนื้อหาและทักษะเพียงเท่านั้น แต่ควรมอบโอกาสทางการเรียนรู้แก่ ผู้เรียนอยา่ งหลากหลาย เพ่ือทพ่ี วกเขาเหลา่ น้ันจะสามารถแสดงส่ิงที่พวกเขารู้และพวกเขาสามารถทำมันได้ กระบวนทัศน์ใหมส่ ำหรับการจดั การศึกษา จึงควรวางแผนการจัดการศึกษาท่ีเฉพาะเจาะจงให้ผู้เรียนทุกคน เน้นการคำนึงถึงการพัฒนาสมอง โดยแบ่งการบริหารสมองออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ การมองเห็น, การพูด, การได้ยิน และการเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อจะได้พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนทุกคนที่มีความแตกต่างกันได้ อยา่ งครอบคลมุ และมีประสิทธภิ าพ (Tomlinson, C. A., 1999) แนวคิดการเรียนการสอนสนองความแตกต่าง (Differentiated Instruction: DI) ช่วยให้ผู้บริหารและ ผู้สอนรับทราบว่าจะวางแผนจัดการศึกษาอย่างไรให้นักเรียนทุกคนของเรานั้นประสบความสำเร็จมากที่สุด อย่างที่ ริค ได้กล่าวไว้ “ความยุติธรรม อาจไม่ได้หมายถึงการที่ทุกคนได้รับทุกสิ่งที่เหมือน ๆ กัน เสมอไป” (Rick Wormeli, 2006) น่ันจึงเป็นสาเหตุให้ เราต้องสนใจในความแตกต่างกันของผู้เรียน ว่าผู้เรียนมีความ พร้อมมากน้อยเพียงใด มีความสามารถในด้านใด สภาพแวดลอ้ มเชน่ ใดท่ีสอดคล้องในการพัฒนาการเรียนรู้ และเหมาะสมกับรูปแบบการจดั การเรยี นรทู้ ี่ควรเน้นไปในดา้ นใด ไคลย่ี ์ ได้ทำการศึกษา การนำการเรียนการ สอนสนองความแตกต่างไปใช้ในระดับมัธยมศึกษา: กรณีศึกษา การวิเคราะห์ระดับการนำไปปฏิบัติและ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติ ผลการวิจัยพบว่า การออกแบบการเรียนการสอนที่สนองความต้องการที่ แตกต่างของนักเรียนทุกคนในหอ้ งเรียนพสิ จู น์แล้วว่ามีประสิทธภิ าพในการสอน และไคลี่ย์ยังมีข้อเสนอแนะ ว่าควรส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมการเรียนการสอนสนองความแตกต่างในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ต่อไป (Kiley, 2011) เจนนิเฟอร์ ได้ทำการศึกษา ประสิทธิภาพของการนำแนวคิดการเรียนการสอนสนอง ความแตกต่างไปใช้ของครูโรงเรียนโคลอมเบียร์ยูเนี่ยนเซเว่นเดย์แอดเวนทิส ผลปรากฏว่า ครู ร้อยละ 91 ระบวุ ่า การจัดการศึกษาท่ีเน้นความแตกต่างของท้ังเน้ือหา กระบวนการ และการประเมิน ส่งผลลัพธ์ท่ีดีต่อ

นิลบุ ล ศิลปธนู รหสั นักศกึ ษา 6530640432006 -3- การจัดการศึกษาแก่นักเรียน (Jennifer Bianco, 2020) และ วนิดา อุ่นเรือน ได้ทำการศึกษา การเรียนรู้ แบบร่วมมือกับการจัดการเรียนรู้ที่เน้นความแตกต่างระหว่างบุคคลสำหรับผู้เรียน ผลการวิจัยพบ ว่า การ เรียนรู้แบบร่วมมือกับการจัดการเรียนรู้ที่เน้นความแตกต่างระหว่างบุคคลส ามารถนำมาประยุกต์ใช้ใน กระบวนการเรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพ และสามารถพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ได้มากกว่าการ จัดการเรียนรู้แบบทั่วไป เนื่องจากผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ สร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ร่วมกัน ผ้เู รียนได้นำความสามารถของตนเองออกมาส่งเสริมเพ่ือนของตนเองและได้รบั การพัฒนาความสามารถจาก เพอ่ื นของตนเองด้วยเช่นกัน ทงั้ น้ี วนิดา อนุ่ เรอื น ใหข้ ้อเสนอแนะวา่ ควรส่งเสรมิ สนบั สนุนการนำการเรียนรู้ แบบร่วมมือกับการจัดการเรียนรทู้ ่ีเน้นความแตกต่างระหว่างบุคคลสำหรับผเู้ รียนมาใช้กับผู้เรียนยุคปัจจุบัน และในอนาคตทีผ่ ู้เรียนมีความแตกตา่ งกันระหว่างบุคคล เพื่อจะได้พัฒนากระบวนการเรียนการสอนให้ตอบ โจทย์ต่อความต้องการ ความสนใจ และความสามารถของผู้เรียนทุกคน และทำให้ผู้เรียนเกิดความตื่นเต้น และสนใจในการเรียนรอู้ ยา่ งต่อเนือ่ งทงั้ ในหอ้ งเรยี นและนอกห้องเรยี น (วนิดา อนุ่ เรอื น, 2564) จากความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาข้างต้น ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาและพัฒนากลยุทธ์การบริหาร วิชาการโรงเรียนเรียนรวมตามแนวคิดการเรียนการสอนสนองความแตกต่าง เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำกลยุทธ์การบริหารวิชาการโรงเรียนเรียนรวมตามแนวคิดการเรียนการสอน สนองความแตกต่างในการพฒั นาการจดั การศึกษาในโรงเรยี นเรยี นรวมต่อไป 5. ปัญหาการวิจัย 5.1 กรอบแนวคิดการบรหิ ารวชิ าการโรงเรยี นเรียนรวมและแนวคิดการเรียนการสอนสนองความแตกตา่ ง 5.2 ความต้องการจำเป็นของการบริหารวิชาการโรงเรียนเรียนรวมตามแนวคิดการเรียนการสอนสนอง ความแตกต่างเปน็ อยา่ งไร 5.3 จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภาวะคุกคามของการบริหารวิชาการโรงเรียนเรียนรวมตามแนวคิดการ เรยี นการสอนสนองความแตกตา่ งเปน็ อย่างไร 5.4 กลยุทธ์การบริหารวิชาการโรงเรียนเรียนรวมตามแนวคิดการเรียนการสอนสนองความแตกต่างควร เป็นอยา่ งไร 6. วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย 6.1 เพื่อศึกษากรอบแนวคิดการบริหารวิชาการโรงเรียนเรียนรวมตามแนวคิดการเรียนการสอนสนอง ความแตกต่าง 6.2 เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการบริหารวิชาการ โรงเรียนเรียนรวมตามแนวคิดการเรียนการสอนสนองความแตกต่าง 6.3 เพื่อศึกษาจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภาวะคุกคามของการบริหารวิชาการโรงเรียนเรียนรวมตาม แนวคดิ การเรียนการสอนสนองความแตกตา่ ง 6.4 เพื่อพัฒนากลยุทธ์การบริหารวิชาการโรงเรียนเรียนรวมตามแนวคิดการเรียนการสอนสนองความ แตกต่าง

นิลบุ ล ศิลปธนู รหัสนักศกึ ษา 6530640432006 -4- 7. ประโยชนท์ ่ไี ด้รบั จากการวิจยั 7.1 หน่วยงานในระดับนโยบาย ได้แก่ โรงเรียนที่มีการจัดการเรียนรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษานครศรีธรรมราช จะไดร้ ับประโยชนจ์ ากการวิจัย ดังนี้ 7.1.1 จะได้องค์ความรู้ใหม่ คือ กลยุทธ์การบริหารวิชาการโรงเรียนเรียนรวมตามแนวคิดการเรียน การสอนสนองความแตกต่าง เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาหน่วยงานทางการศึกษาในสังกัดให้มี ประสิทธภิ าพในการบริหารจัดการศึกษาอย่างเหมาะสม 7.1.2 สามารถนำผลการวิจัยไปกำหนดนโยบายในการพัฒนานักเรียนโรงเรียนเรียนรวมในสังกัด ใหก้ บั ผ้บู ริหารการศกึ ษาในสงั กัดตอ่ ไป 7.2 หน่วยงานในระดับปฏิบัติ ได้แก่ โรงเรียนเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา นครศรีธรรมราช จะไดร้ บั ประโยชน์จากการศึกษา ดังน้ี 7.2.1 ผู้บริหารโรงเรียน สามารถนำกลยุทธ์การบริหารวิชาการโรงเรียนเรียนรวมตามแนวคิดการ เรียนการสอนสนองความแตกต่างไปเป็นแนวทางในการจัดทำหรือปรับปรุงแผนพัฒนาโรงเรียน เพื่อพัฒนา นกั เรยี นโรงเรียนเรยี นรวมทม่ี ตี ามความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลอย่างมีประสทิ ธิผล 7.2.2 นักเรยี นโรงเรียนเรียนรวมสามารถเรียนรู้ไดต้ รงตามความสนใจ ความถนดั ของตน 7.3 โรงเรียนที่มีบริบทใกล้เคียงกัน สามารถนำกลยุทธ์การบริหารวิชาการโรงเรียนเรียนรวมตามแนวคิด การเรยี นการสอนสนองความแตกตา่ ง ไปประยกุ ต์ใช้เพอ่ื พัฒนานกั เรยี นในความดแู ลได้ 7.4 นกั วิชาการ นสิ ติ นักศกึ ษา สามารถนำผลการวจิ ัยไปศึกษา วเิ คราะห์ และพฒั นางานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง กับการเรียนการสอนสนองความแตกตา่ งสำหรับนกั เรียนโรงเรียนเรียนรวมได้ 8. ตวั แปรทีใ่ ช้ในการวิจัย ตวั แปรต้น คือ 1) การบรหิ ารวิชาการโรงเรยี นเรยี นรวม 1.1) การพฒั นาหลกั สตู รสถานศึกษา 1.1.1) การกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสตู ร 1.1.2) การกำหนดกลมุ่ สาระการเรยี นรู้และกิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น 1.2) การพัฒนาการจดั การเรียนการสอน 1.2.1) การพฒั นาการจัดการเรียนการสอนตามกลุม่ สาระ 1.2.2) การพัฒนาการจดั กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น 1.2.3) การพัฒนาการจัดกจิ กรรมเสรมิ หลกั สูตร 1.3) การพฒั นาการวดั และประเมินผล 1.3.1) การพฒั นาการวดั และประเมินผลตามกลมุ่ สาระ 1.3.2) การพฒั นาการวัดและประเมินผลกจิ กรรมพัฒนาผ้เู รยี น 1.3.3) การพัฒนาการวัดและประเมินผลกิจกรรมเสริมหลักสูตร (กิติมา ปรีดิลก, 2532; กมล ภ่ปู ระเสรฐิ ; ภารดี อนันตน์ าวี, 2557) 2) แนวคิดการเรียนการสอนสนองความแตกตา่ ง แบ่งการนำไปใช้ได้เป็น 2 ระดับ ไดแ้ ก่ 2.1) การนำไปใชใ้ นการจดั การชัน้ เรยี นระดบั ชัน้ เรียน 1. การออกแบบบทเรยี นดว้ ยวิธกี ารท่ีหลากหลาย

นลิ บุ ล ศิลปธนู รหสั นกั ศึกษา 6530640432006 -5- 2. การหยดุ อยา่ งมีเป้าหมายระหวา่ งเรยี นแตล่ ะบทเรยี น 3. การใช้การประเมนิ ผลระหวา่ งเรยี น 4. การใช้การจดั กลมุ่ ท่ยี ดื หย่นุ 5. การมเี ป้าหมายเกี่ยวกับกลยุทธ์การจัดการชน้ั เรยี น 6. การใช้แบบสํารวจความสนใจและภาพรวมของการเรยี นรู้ 2.2) การนาํ การเรยี นการสอนสนองความแตกต่างไปใชร้ ะดบั โรงเรียน 1. การพฒั นาชมุ ชนแห่งการเรียนรู้เชงิ วิชาชพี 2. การทบทวน การประเมิน และการใช้มาตรฐานชาติ มาตรฐานรัฐ และมาตรฐาน ท้องถิ่น 3. การรู้จักผเู้ รียน เพอ่ื สรา้ งความแตกตา่ งและตอบสนองความต้องการของผเู้ รียน 4. การสรา้ งสิง่ แวดล้อมในชน้ั เรยี นเชงิ บวก 5. การใชเ้ ครือ่ งมอื ประเมนิ กอ่ นเรียน 6. การวางแผนเพื่อจัดการเรยี นการสอนโดยเจตนา 7. การใช้เครื่องมือประเมินหลังเรียน (Gayle, H, 2545; Tileston, D. W., 2546; จุฬา มาศ จันทร์ศรสี คุ ต, 2560; เบญจา ชลธารน์ นท์, 2543) ตัวแปรตาม คอื กลยทุ ธ์การบริหารวชิ าการโรงเรยี นเรียนรวมตามแนวคดิ การเรียนการสอนสนองความแตกตา่ ง 9. การศึกษาเอกสาร และงานวิจัยทเี่ กยี่ วขอ้ ง การวิจัย เรื่อง กลยุทธ์การบริหารวิชาการโรงเรียนเรียนรวมตามแนวคิดการเรียนการสอนสนองความ แตกต่าง ผวู้ จิ ยั ไดศ้ ึกษาทฤษฎีและงานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ดังนี้ 9.1 แนวคดิ เกี่ยวกบั การบรหิ ารวชิ าการโรงเรียนเรยี นรวม 9.1.1 ความหมายของการบรหิ ารโรงเรียน 9.1.2 ความสำคัญของการบรหิ ารโรงเรียน 9.1.3 ขอบขา่ ยงานบรหิ ารโรงเรียน 25 - 26 9.1.4 แนวทางการบรหิ ารโรงเรียน 9.1.5 การบริหารวชิ าการโรงเรยี น 9.1.5.1 ขอบขา่ ยงานบรหิ ารวิชาการ 12 - 19 9.1.6 การบรหิ ารโรงเรียนเรยี นรวม 9.1.6.1 ความหมายโรงเรยี นเรยี นรวม 171 9.1.6.2 ประวตั คิ วามเป็นมาของโรงเรียนเรยี นรวม 171 9.1.6.3 แนวคิดและปรัชญาการศกึ ษาท่เี กย่ี วขอ้ งกบั โรงเรียนเรยี นรวม 9.1.6.4 หลกั การบรหิ ารโรงเรยี นเรยี นรวม 174-187 9.1.6.5 การบรหิ ารโรงเรยี นเรียนรวม201 9.1.7 นโยบายและการบรหิ ารโรงเรียนเรยี นรวม 9.1.8 การบริหารวิชาการโรงเรียนเรยี นรวม 9.1.8.1 ความหมายการบรหิ ารวิชาการโรงเรยี นเรยี นรวม

นิลุบล ศลิ ปธนู รหัสนักศกึ ษา 6530640432006 -6- 9.1.8.2 ความสำคัญการบริหารวชิ าการโรงเรียนเรียนรวม 9.1.8.3 ขอบข่ายการบรหิ ารวชิ าการโรงเรยี นเรียนรวม 9.1.8.4 องคป์ ระกอบการบริหารวชิ าการโรงเรียนเรยี นรวม 9.2 แนวคิดการเรียนการสอนสนองความแตกตา่ ง 9.2.1 ความหมายของการเรยี นการสอนสนองความแตกต่าง 9.2.1.1 ความหมายนักเรียนทีม่ คี วามบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ 9.2.1.2 ประเภทของนกั เรยี นท่มี คี วามบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ 9.2.1.3 ลกั ษณะของนกั เรยี นท่มี ีความบกพร่องทางการเรยี นรู้ 9.2.1.4 กระบวนการเรยี นรู้ของนกั เรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 2.2.1.5 การคัดแยกนกั เรียนทีม่ ีความบกพร่องทางการเรียนรู้ 2.2.1.6 กระบวนการช่วยเหลอื และดแู ลนักเรยี นที่มีความบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ 9.2.2 แนวคดิ ทฤษฎีทีเ่ ก่ยี วข้องกบั การเรยี นรกู้ ับการจดั การเรียนรู้ 63 , อีกเลม่ 187-191 9.2.3 ความสำคัญของการเรยี นการสอนสนองความแตกตา่ ง 141 9.2.4 การออกแบบการเรยี นการสอนท่ีเป็นสากล 9.2.5 หลกั การการจัดการเรียนรตู้ ามแนวคดิ การเรียนการสอนสนองความแตกตา่ ง 142 อกี เล่ม 9.2.6 การวางแผนสำหรับการนำแนวคิดการเรียนการสอนสนองความแตกตา่ งไปใชใ้ นช้นั เรียน 9.2.7 การจัดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยยึดแนวคดิ การเรียนการสอนสนองความแตกตา่ ง 9.2.8 การนำแนวคดิ การเรียนการสอนสนองความแตกต่างไปปรบั ใชใ้ นแต่ละระดับของโรงเรยี น 9.2.9 ประโยชน์ของการเรียนการสอนสนองความแตกต่าง 9.3 แนวคิดเก่ยี วกับการพฒั นากลยทุ ธ์ 9.3.1 ความหมายของกลยุทธ์ 9.3.2 ผูบ้ รหิ ารกับการกำหนดกลยทุ ธ์ 9.3.3 การพฒั นากลยทุ ธ์ 9.3.4 การประเมนิ กลยทุ ธ์ 9.4 งานวจิ ยั ที่เกย่ี วข้อง 9.4.1 งานวิจยั ในประเทศ 9.4.2 งานวจิ ัยตา่ งประเทศ 9.1 แนวคดิ เก่ียวกับการบริหารโรงเรียนเรียนรวม 9.1.1 ความหมายของการบรหิ ารโรงเรียน คําว่า การบริหาร ตรงกับคําในภาษาอังกฤษว่า “Administration” การบริหารงานของ โรงเรียนมัธยมศึกษา มีนักวิชาการด้านการบริหารการศึกษา ได้นําศาสตร์เกี่ยวกับแนวคิดและทฤษฎี การ บริหารด้านต่างๆ มาต่อยอดและประยุกต์ใช้ในสถานศึกษา รวมทั้งมีการค้นคว้าวิจัยรูปแบบนําเสนอแนวคิด ในการพัฒนาประสิทธิภาพ ประสิทธิผลก่อให้เกิดคุณภาพของสถานศึกษา โดยมุ่งเน้น ให้สถานศึกษาเป็น พน้ื ฐานหรอื หน่วยบรหิ ารหลัก โดยมีหน้าที่หลักในการจดั การศกึ ษา ใหล้ ลุ ่วงตาม ความมุ่งหมายหลกั ของการ จัดการศึกษา คือ ต้องเป็นไปเพ่ือพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้ง ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดํารงชีวิต สามารถ อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข โดยที่

นิลุบล ศลิ ปธนู รหัสนกั ศึกษา 6530640432006 -7- ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นบุคลากรวิชาชีพผู้รับผิดชอบการ บริหารสถานศึกษานั้น ๆ สําหรับในกระบวนการ บริหาร สถานศึกษามีการจัดระบบและโครงสร้างที่ เอื้ออํานวยต่อการดําเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วย การบริหารโรงเรยี นตามท่บี ญั ญตั ิไว้ในกฎกระทรวง กําหนดหลักเกณฑ์และวธิ กี ารกระจายอํานาจการบริหาร และการจัดการศึกษา พ.ศ. 2550 ได้กระจายอํานาจการบรหิ ารและการจัดการศึกษาไปยังสถานศึกษา แบ่ง ออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านวิชาการ ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารงานบคุ คล และด้านการบริหารทั่วไป แต่ละด้านมีการ จํากัดขอบเขตหน้าที่เป็นไปอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีผู้ให้ความหมายของการบริหาร โรงเรยี นเพิม่ เติมไว้ดังนี้ Bounds (1994) กล่าวว่า การบริหารโรงเรียนเป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ กรอบแนวคิด ใหม่ ซ่ึงเปน็ วธิ คี ดิ วธิ กี ารของบุคคลในองค์การเพอ่ื บรหิ ารใหอ้ งค์การเกิดกระบวนการปรับปรุง สมบูรณ์ พรรณนาภพ (2525) ได้ให้ความหมายของการบริหารโรงเรียนไว้ว่า “การบริหาร โรงเรียน คือ การดําเนินงานของกลุ่มบุคคลในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามหน้าที่ความรับผิดชอบของ โรงเรียน ได้แก่ การบรหิ ารทางการศกึ ษาแก่สมาชกิ ของสงั คมใหบ้ รรลจุ ดุ มงุ่ หมายตามทไี่ ด้กาํ หนดไว้ \" พันธ์ศักดิ์ พลสารัมย์ (2540) กล่าวว่า การบริหารโรงเรียนต้องมีการเปลี่ยน กระบวนทัศน์สู่ ความเปน็ เลิศ คือ ต้องเปลย่ี นจากกรอบแนวคิดเดิม ไปสู่กรอบแนวคดิ ใหม่ โดยเริ่มท่ี ผู้บริหารเพ่ือก่อให้เกิด การบรหิ ารที่มงุ่ เน้นคุณภาพ นิพนธ์ กินาวงศ์ (2543) ได้ให้ความหมายของการบริหารโรงเรียนไว้ว่า “ การบริหารโรงเรียน หมายถึง กระบวนการต่างๆ ในการดําเนินงานของกลุ่มบุคคล ซึ่งเราเรียกว่า ผู้บริหาร โดยมี วัตถุประสงค์ เพื่อให้บริการทางการศกึ ษาแก่สมาชิกในสังคม การดําเนินงานต่างๆจะต้องเป็นไปตามระบบที่สังคมกําหนด ไว้ \" วิจติ ร วรุตบางกรู (2546) ไดใ้ ห้ความหมายของการบริหารโรงเรยี นไวว้ ่า “ การบรหิ าร โรงเรียน หมายถงึ กจิ กรรมตา่ งๆ ทีบ่ ุคคลหลายคนรว่ มมือกันดําเนินการ เพอื่ ใหบ้ รกิ ารทางการศึกษา แก่เยาวชนและ ผูส้ นใจ เพอ่ื ให้เกดิ การพฒั นาทางความรู้ ความสามารถ ทศั นคติ คา่ นิยม พฤติกรรม และคุณธรรมตา่ งๆ เพื่อ เปน็ สมาชกิ ที่ดขี องสงั คมและประเทศชาติ” กรมวิชาการ (2549) การบริหารโรงเรยี น หมายถึง การพฒั นาโรงเรยี นใหไ้ ด้มีมาตรฐาน โดยการ ปรับระบบภายในให้มีความพร้อมที่จะพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาโดยอาศัยกระบวนการบริหาร กระบวนการเรียนการสอน และกระบวนการนิเทศทางการศึกษา เพ่อื นาํ ไปสูผ่ ลผลิต คอื นกั เรียน มีคุณภาพ คุณสมบัติที่พึงประสงค์ของหลักสูตร ซึ่งทุกกระบวนการของการดําเนินงาน ผู้บริหารจะเป็น บุคคลที่สําคัญ ท่ีสดุ ท่ีจะทาํ ให้ผลงานบรรลุเป้าหมายได้ ดังน้นั ผบู้ ริหารตอ้ งมคี วามรูค้ วามสามารถ และ ทักษะในการบริหาร จดั การโรงเรียน จึงสามารถพฒั นาสู่ความเปน็ เลิศได้ ศุภลักษณ์ เศษธะพานิช (2550) กล่าวว่า ระบบการบริหารโรงเรียน หมายถึง ชุดของ องค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งต่างก็ทําหน้าที่เพื่อให้องค์กรมีกระบวนการวางแผนอย่างเป็นระบบ และดําเนินการ ทว่ั ทั้งองค์กร ถวิล เกษสุพรรณ์ (2552) กล่าวว่า การบริหารโรงเรียน หมายถึง กระบวนการทํางานหรือ กจิ กรรมตา่ งๆ ทางการศึกษาในโรงเรียนท่บี ุคคลผมู้ ีส่วนเกย่ี วข้องไดร้ ่วมมือกันดําเนนิ งาน โดยใช้ ทรัพยากร การบรหิ ารเพอื่ พัฒนาทรัพยากรมนุษยใ์ ห้เปน็ สมาชิกทีด่ ีมีคุณภาพของสังคมตาม วตั ถปุ ระสงค์ทไ่ี ดก้ าํ หนดไว้

นิลุบล ศิลปธนู รหัสนกั ศกึ ษา 6530640432006 -8- ศิลป์ชัย อ่วงตระกูล (2552) กล่าวว่า การบริหารสถานศึกษา หมายถึงการดําเนินงานร่วมกับ กลุ่ม บุคคลมืออาชีพและชุมชนในท้องถิน่ เพื่อให้บริการทางการศกึ ษาแก่สมาชิกในสังคมตาม วัตถุประสงค์ อยา่ งมคี ุณภาพ ณัฐรฎา พวงจันทร์ (2553) กล่าวว่า การบริหารสถานศึกษา หมายถึง กระบวนการบริหาร การ พัฒนา และปรับปรงุ วิธกี ารบรหิ ารงานดา้ นต่าง ๆ เพอ่ื นําพาสถานศกึ ษาส่คู วามก้าวหนา้ ส่งเสรมิ ความเจริญ ดา้ นความคดิ ความรู้ ควบคกู่ บั การสอดแทรกคณุ ธรรมแกน่ ักเรยี นเพื่อให้ไดน้ ักเรียนที่มคี ุณภาพ สมเดช สาวันดี (2553) กล่าวว่า การบริหารโรงเรียน หมายถึง การใช้ศาสตร์และศิลปะใน การ ทํางานร่วมกนั ในโรงเรียนเพือ่ ใหบ้ รรลุเป้าหมายของกระบวนการเรียนรู้ และความเจริญงอกงาม ของบุคคล และสงั คมแห่งการเรียนรูอ้ ย่างตอ่ เน่อื งตลอดชีวิต ราตรี ศรีไพรวรรณ (2555) กล่าวว่า การบริหารโรงเรียน หมายถึง ความเป็นเลิศ ในทุกภาระ งานขององค์การเป็นการบริหารงานที่มคี ุณภาพสมบูรณ์ทัว่ ทั้งองค์การ สามารถเป็นแบบอย่าง ได้และมีการ พัฒนาที่ย่ังยืนด้วยระบบการปรบั ปรงุ คุณภาพอย่างสม่ำเสมอ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (2559) กล่าวว่า การบริหารโรงเรียน หมายถึง แนวทางการจัดการผลการดําเนินการของโรงเรียนอย่างบูรณาการ ซึ่งส่งผลให้เกิดการส่งมอบ คุณค่าที่ดี ขึ้นอย่เู สมอให้แก่นักเรยี นและผู้มีส่วนไดส้ ว่ นเสยี ซ่งึ จะส่งผลต่อ ความสาํ เรจ็ อย่างต่อเน่ืองของ โรงเรียน การ ปรบั ปรุงประสทิ ธผิ ลและขดี ความสามารถของโรงเรยี นโดยรวม การเรียนรรู้ ะดบั องค์กรและ ระดับบุคคลของ บคุ ลากร สมาน อัศวภูมิ (2559) กล่าวว่า การบริหารโรงเรียน หมายถึง ความแตกต่างในคุณภาพ ของ ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่องค์การดําเนินการยิ่งต่างมาก เยี่ยมมาก ยิ่งเลิศมาก ส่วนองค์การเป็นเลิศก็คือ องค์การท่ไี มห่ ยดุ ทจ่ี ะสร้างความเปน็ เลศิ ในผลิตภัณฑห์ รือการบริการของตนตลอดเวลา การลงมือทาํ และ ให้ ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการเป็นคนบอกว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการของเราเป็นเลิศอย่างไร ความเป็นเลิศเกิดขึ้น ได้ จากความรกั และความพากเพียรในการปฏิบัติงานของบุคลากร ความเป็นเลศิ ไม่อาจจะเกิดขึน้ ได้จากการทํา ชว่ั คร้งั ชวั่ คราว แต่ต้องเป็นการทาํ อยา่ งเปน็ กิจนิสยั และต่อเนื่อง สรุปได้ว่า การบริหารโรงเรียน หมายถึง การบริหารจัดการโรงเรียนด้วยกระบวนทัศน์ ใหม่สู่ ความสําเร็จอย่างต่อเนื่องยั่งยืนซึ่งมีการปรับปรุงคุณภาพอย่างสม่ำเสมอโดยบุคคลในองค์กรนั้น เป็น กระบวนการและกิจกรรมทางสังคมที่ร่วมมือกันดําเนินการเพื่อพัฒนาสมาชิกของสังคม อันได้แก่ เด็ก เยาวชน ประชาชน เพอ่ื ให้เปน็ กาํ ลงั คนที่มีประสทิ ธภิ าพของสังคม การบริหารการศึกษาในระดับสถานศึกษา จึงใหค้ วามสําคัญในเรื่องการบริหารโรงเรียนซ่ึงเป็นการร่วมมือกันทํางานของบุคคลที่มีส่วนเก่ียวข้องกับการ จัดการศกึ ษาเพ่อื ใหโ้ รงเรียนมีคณุ ภาพโดยใช้ทรัพยากรให้เกดิ ประโยชน์กบั การศึกษามากทสี่ ุดผเู้ รียนเกิดการ พัฒนาด้านความรู้ความสามารถ ทักษะ ทัศนคติ ค่านิยมคุณธรรม จริยธรรม โดยผ่านวิธีการของการจัด องค์การ การส่ังการ การอํานวยความสะดวกและการปรับปรุง การทํางานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทาง การศกึ ษา 9.1.2 ความสำคัญของการบรหิ ารโรงเรียน ในการจดั การศึกษาทุกประเภทโรงเรยี นหรือสถานศึกษา ซึ่งเปน็ องค์กรทางการศึกษาระดบั ฐาน ล่างสุดที่มีบทบาทสําคัญในการดําเนินภารกิจสร้างสรรค์ คือ จัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนชาติโดยอาศัย กระบวนการบริหารจัดการที่ดี มีกลไกของการพัฒนาทีส่ อดคล้องสัมพันธ์กันอย่างเปน็ ระบบและเกิดข้ึนโดย

นลิ ุบล ศิลปธนู รหสั นักศึกษา 6530640432006 -9- ความร่วมมือรว่ มแรงใจจากทรัพยากรบคุ คลในทุกๆ ฝ่ายที่เกย่ี วขอ้ งท้ังภายในและภายนอกโรงเรยี น (สุรศักด์ิ ปาเฮ, 2543) สุภรณ์ สภาพงศ์ กล่าวถึง ความสําคัญของผู้บริหารสถานศึกษากับการปฏิรูปโรงเรียน และการ ปฏิรูปการเรยี นรู้ที่แสดงถึงความสําคัญของการบริหารจดั การศึกษา ไว้ว่า “ ถ้าอยากให้สังคมของ เราก็ต้อง ทําโรงเรียนของเราให้เป็นอย่างนั้น...” และ “ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นบุคคลที่เป็น หลักสําคัญที่จะนํา โรงเรียนไปสู่ความสําเร็จตามเป้าหมายที่กําหนดในแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนา โรงเรียน...” ดังนั้นการ บริหารจัดการศึกษาซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้บริหารจึงมีความสําคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาโรงเรียน สังคม และ ประเทศชาติ (สุภรณ์ สภาพงศ์, 2543) ชาญชัย อาจินสมาจาร ได้กล่าวถึง ความสําคัญของการบริหารการศกึ ษาไว้ว่า เป็นการ ประกัน ว่าโรงเรียนได้ดําเนินไปในทิศทางที่ถูกต้อง นั่นคือผู้บริหารจะต้องสามารถใช้ทรัพยากรหรือปัจจัย ทางการ บริหาร (Administrative Resources) ที่สําคัญมีอยู่อย่างน้อย 4 ประการ คือ คน (Man) เงิน (Money) วัสดุ (Materials) และวิธีปฏิบัติงาน (Management) ไม่ว่าจะเป็นองค์กรใดๆ ย่อมมีความจําเป็น ต้องใช้ ทรัพยากรหรือปัจจัยนี้เป็นเครื่องมือในการบริหารหรือจัดการ ซึ่งนิยมเรียกวา่ หลัก 4 M's โดยเฉพาะ อย่าง ยง่ิ ทางภาคธุรกจิ ทรัพยากรทางการบรหิ าร หรือปจั จยั ทางการบรหิ ารท่ีนิยมกันมี 7 ประการ คอื คน (Man) เงิน (Money) วัสดุ (Materials) วิธีปฏิบัติงาน (Management of Method) ตลาด (Market) เครื่องจักร (Materials) และขวัญและกําลังใจ (Morale) ซึ่งเรียกว่า 7 M's (เกรียงศักดิ์ เขียวยิ่ง, 2542) เครื่องอํานวย ความสะดวกต่างๆ และแผนเพื่อให้การดําเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์ โดยมีผู้บริหารเป็นองค์ ประกอบท่ี สําคญั ท่ีสุด (ชาญชัย อาจินสมาจาร, 2545) ธีระ รุญเจริญ กล่าวถึงความสําคัญในการบริหารการศึกษา ในแง่ของกระบวนการ ทํางานว่า จําเป็นจะตอ้ งอาศัยการบริหารจัดการที่สอดคล้องกันระหว่างหน่วยงาน ทั้งระดับกระทรวง ระดับ เขตพื้นที่ การศึกษา และระดบั สถานศึกษา เพราะในแต่ละระดบั ต่างก็มีบทบาทอํานาจหน้าท่ีต่างกัน ระดับ กระทรวง จะกําหนดนโยบาย มาตรฐาน การประเมินผล การจัดการศึกษา และการสนับสนุนทรัพยากรให้แก่หน่วย ปฏิบตั ิ ระดบั เขตพืน้ ท่ีการศึกษามอี าํ นาจหนา้ ทใ่ี นการ ประสานงานทกุ ระดับ ส่งเสรมิ สนบั สนนุ ด้านต่างๆ แก่ สถานศึกษา และระดับสถานศึกษาเป็นหน่วยจัดการ ศึกษาอย่างแท้จริงเพราะคุณภาพการศึกษาจะเป็น อย่างไรอยทู่ ่ีการบรหิ ารจดั การในระดับนี้ (ธีระ รญุ เจริญ, 2546) สํานักงานปฏิรูปการศึกษา กล่าวถึง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแก้ไข เพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 ในมาตรา 6 ได้กําหนดความมุ่งหมายของการจัดการศึกษาไว้ว่า การจัดการ ศึกษาตอ้ งเป็นไปเพอ่ื พฒั นาคนไทยให้เป็นมนุษยท์ ่สี มบรู ณ์ทงั้ ร่างกาย จติ ใจ สตปิ ญั ญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดํารงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ดังนั้น การบริหารจัด การศึกษาจึงมีความสําคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาคนไทยให้บรรลุความมุ่งหมายของการจัดการศึก ษาของ ประเทศ (สาํ นักงานปฏิรปู การศึกษา, 2560) สรุปได้ว่า การบริหารการจัดการศึกษาของสถานศึกษาจะประสบความสําเร็จบรรลุเป้าหมาย ของการจัดการศึกษาเพียงใดขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการศึกษา โดยมีผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบ บริหารจัดการศึกษาใหเ้ ป็นไปอยา่ งมีประสิทธภิ าพ และเกิดประสิทธิผลโดยอาศัยหลกั การบริหารตา่ ง ๆ ตาม สภาพการณ์ของสถานศกึ ษา 2.1.3 ขอบขา่ ยงานบริหารโรงเรียน

นลิ ุบล ศลิ ปธนู รหสั นกั ศึกษา 6530640432006 -10- การบริหารวิชาการเป็นงานหลักของโรงเรียน ที่มีความสําคัญต่อการจัดการศึกษาอันเป็นงาน ท่ี มุ่งผลประโยชนท์ จ่ี ะเกดิ ขนึ้ กับผเู้ รียนใหบ้ รรลุคุณภาพตามเปา้ หมายที่กําหนดไว้ การบริหารโรงเรียน จึงมุ่งท่ี คุณภาพนักเรียนเป็นหลักกิจกรรมของโรงเรียนจึงต้องส่งผลต่อคุณภาพนักเรียนซึ่งเป็นความ ผู้บริหาร โรงเรียนจึงต้องมีความรู้ความสามารถในการบริหารวิชาการ (อุทัย บุญประเสริฐ, 2540; ไพโรจน์ ชูช่วย, 2532) กระทรวงศึกษาธิการ (2550) ได้แบ่งขอบข่ายและภารกิจการบริหารวิชาการในกฎกระทรวง ออกเป็น 17 งาน ดังนี้ 1) การพัฒนาหรือดําเนินการเกี่ยวกับการให้ความเห็นการพัฒนาสาระ หลักสูตร ทอ้ งถน่ิ 2) การวางแผนงานดา้ นวชิ าการ 3) การจัดการเรียนการสอนในสถานศกึ ษา 4) การ พฒั นาหลักสูตร ของสถานศึกษา 5) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 6) การวัดผลและประเมินผล และ ดําเนินการเทียบโอน ผลการเรียน 7) การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา 8) การ พัฒนาและส่งเสริมให้มีแหล่ง เรียนรู้ 9) การนเิ ทศการศกึ ษา 10) การแนะแนว 11) การพัฒนาระบบ ประกันคณุ ภาพภายในและมาตรฐาน การศกึ ษา 12) การสง่ เสริมชุมชนให้มีความเข้มแข็งทางวิชาการ 13) การประสานความรว่ มมือในการพัฒนา วิชาการกับสถานศึกษาและองค์กรอื่น 14) การส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน สถานประกอบการและสถาบันอน่ื ทจี่ ดั การศกึ ษา 15) การจดั ทาํ ระเบยี บและแนวปฏิบัติเก่ียวกับ งานด้านวิชาการของสถานศึกษา 16) การคัดเลือกหนังสือ แบบเรียนเพื่อใช้ในสถานศึกษา 17) การพัฒนา และใช้เทคโนโลยเี พ่ือการศกึ ษา รงุ่ ชัชดาพร เวหะชาติ (2550) เสนอแนวคดิ ขอบขา่ ยการบรหิ ารงานวิชาการไว้ 12 ประการ ดงั น้ี 1) การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 2) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 3) การวัดผลและประเมินผล และ เทยี บโอนผลการเรียน 4) การวจิ ยั เพือ่ พัฒนาคุณภาพการศกึ ษา 5) การพฒั นาสอ่ื นวตั กรรม และเทคโนโลยี ทางการศึกษา 6) การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 7) การนิเทศการศึกษา 8) การแนะแนวการศึกษา 9) การพัฒนา ระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 10) การส่งเสริมความรู้ ด้านวิชาการแก่ชุมชน 11) การประสาน ความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาอื่น 12) การส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องคก์ ร หนว่ ยงาน และสถาบนั อนื่ ท่จี ดั การศกึ ษา สมาน อัศวภูมิ (2551) กล่าวว่าการบริหารวิชาการเป็นกระบวนการดําเนินงานเพื่อให้พันธ กิจการจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุ จุดมุ่งหมาย การศึกษาที่กําหนดไว้ ซึ่งสามารถสรปุ ขอบเขตของงานได้ 5 ประการ ดังนี้ 1) การวางแผน วิชาการ 2) การ พัฒนาหลักสูตร 3) การจัดการเรียนการสอน 4) การนิเทศและพัฒนาการเรยี นการ สอน 5) การประเมินผล วชิ าการ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553) เสนอขอบข่ายการบริหารวิชาการไว้ ดังนี้ 1) การวางแผน เกี่ยวกับวิชาการ เป็นการวางแผนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตร และการนําหลักสูตรไปใช้ ล่ วงหน้า เกี่ยวกับการเรียนการสอน ได้แก่ แผนปฏิบัติวิชาการ โครงการสอน และบันทึกการสอน 2) การจัด ดาํ เนนิ งานเก่ยี วกบั การเรยี นการสอน เพอ่ื ใหก้ ารสอนในสถานศกึ ษาดําเนนิ ไปไดด้ ้วยดี และสามารถปฏบิ ัติได้ ได้แก่ การจัดตารางสอนโดยกําหนดครผู ู้สอน เวลา วิชาและนกั เรยี นที่จะสอน การจดั ช้นั เรียน สถานที่เรียน และสิ่งอํานวยความสะดวก การจัดครูเข้าสอนรวมถึงการจัดวิทยากร การจัดแบบเรียน สื่อ เอกสาร การ ปรับปรงุ การเรียนการสอน และการฝกึ งานสําหรบั นักเรยี น 3) การจดั บริการเกี่ยวกับการเรียนการสอน เป็น การจัดสิ่งที่เอื้อต่อการจัดการเรียนการสอนและโปรแกรม การศึกษาให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพ ได้แก่ แกก่ ารจดั ส่อื การเรยี นการสอน การจดั ห้องสมุด และการนเิ ทศการสอน

นิลุบล ศลิ ปธนู รหัสนกั ศกึ ษา 6530640432006 -11- กระทรวงศึกษาธิการและแรงงานไอร์แลนด์ (2017) เสนอขอบข่ายงานวิชาการที่เกี่ยวกับการ พัฒนาความฉลาดรู้ทางดิจิทัลไว้ ดังนี้ 1) การวางแผนการใช้หลักสูตร 2) การพัฒนาหลักสูตรที่มี เป้าหมาย พัฒนาความฉลาดรู้ทางดิจิทัล 2) การจัดการเรียนการสอนบูรณาการความฉลาดรู้ทางดิจิทัล 3) การจัด กระบวนการเรียนรู้ให้นักเรียนใช้เทคโนโลยีและเคร่ืองมอื สือ่ สาร 4) การสร้างใช้แหล่งเรียนรู้เสมอื น 5) การ วัดประเมินผลโดยใช้ระบบออนไลน์ 6) การทําแฟ้มงานอิเลกทรอนิกส์ 7) การส่งเสริมให้หน่วยงานอื่นจัด การศกึ ษากจิ กรรมแหลง่ เรยี นรู้NIVERSITY 9.1.4 แนวทางการบริหารโรงเรยี น สำนักงานรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (2564) กล่าวว่า รางวัลคุณภาพแห่งชาติเพื่อผลการ ดำเนินงานที่เป็นเลิศ องค์กรจะได้สำรวจตนเองว่าได้สำเร็จในสิ่งที่สำคัญต่อองค์กรแล้วหรือไม่ คำถามของ เกณฑ์ ครอบคลุม 7 ด้านที่สำคัญในการจัดการและการดำเนินการขององค์กร (แบ่งย่อยออกเป็น กระบวนการ 6 หมวดท่มี คี วามสัมพันธ์เกี่ยวเนอ่ื งกนั และผลลัพธ์ 1 หมวด) ได้แก่ 1. การนำองคก์ ร (Leadership) 2. กลยทุ ธ์ (Strategy) 3. ลกู ค้า (Customers) 4. การวัด การวิเคราะห์และการจัดการความรู้ (Measurement, Analysis, and Knowledge Management) 5. บคุ ลากร (Workforce) 6. การปฏิบัตกิ าร (Operations) 7. ผลลัพธ์ (Results) สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (2558) กล่าวว่า Education Criteria for Performance Excellence (EdPEx) เป็นเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาโดยคณะอนุกรรมการทำงาน ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศ แปลงมาจากเกณฑ์ Baldrige Criteria for Performance Excellence 2013-2014 แ ล ะ Baldrige Excellence Framework 2015-2016 ข อ ง สหรัฐอเมริกาเพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของการศึกษาไทย และสถาบันการศึกษาสามารถใช้เป็นกรอบ ใน การพัฒนาเพื่อก้าวสู่ความเป็นสถาบันชั้นเลิศในระดับนานาชาติมุ่งเน้นผลลัพธ์ในเรื่องหลัก ๆ เกี่ยวกับ การ เรยี นร้ขู องผู้เรียน กระบวนการผู้เรยี นและลกู ค้ากลมุ่ อ่ืน บุคลากร การนำองคก์ าร และการกำกับดูแล รวมถึง งบประมาณ การเงินและตลาด การรวมตัววัดเหล่านี้มาประกอบกันทำให้มั่นใจได้ว่ากลยุทธ์ของ สถาบันมี ความสมดุลโดยไม่ละเลยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียบางกลุ่ม วัตถุประสงค์ หรือเป้าประสงค์ทั้งระยะสั้น และระยะ ยาวที่สำคญั อย่างไม่เหมาะสม โดย EdPEx มีเกณฑก์ ารประเมนิ 7 หมวด ดงั นี้ 1. การนำองคก์ ร (Leadership) 2. กลยทุ ธ์ (Strategy) 3. ลกู ค้า (Customers) 4. การวัด การวิเคราะห์และการจัดการความรู้ (Measurement, Analysis, and Knowledge Management) 5. บคุ ลากร (Workforce) 6. การปฏบิ ัตกิ าร (Operations) 7. ผลลัพธ์ (Results)

นิลบุ ล ศิลปธนู รหสั นักศึกษา 6530640432006 -12- สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2559) กล่าวว่า เกณฑ์รางวัลคุณภาพ แห่ง สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน Office of Basic Education Commission Quality Award (OBECQA) ขับเคลื่อนให้โรงเรียนบรรลุเป้าประสงค์ ปรับปรุงผลลัพธ์ และเพิ่มขีดความสามารถ ในการ แข่งขันกับโรงเรียนในระดับนานาชาติ การใช้เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งสำนักงานคณะกรรมการ การศึกษา ข้นั พนื้ ฐาน ค่านยิ ม และแนวคดิ หลกั เกณฑเ์ พอ่ื ผลการดำเนนิ งานที่เป็นเลิศ และแนวทางการให้คะแนนเพื่อ ปรับปรุงและให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ย่ังยืน โรงเรียนที ่ได้รับรางวัลคุณภาพแห่งสำนักงาน คณะกรรมการ การศึกษาขั้นพ้นื ฐาน ได้รบั การยอมรับวา่ เป็นโรงเรียนต้นแบบระดับประเทศ โรงเรียน เหล่านี้ได้แลกเปล่ียน เรียนรู้วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศและเป็นแรงบันดาลใจให้โรงเรียนอื่น ๆ ปรับปรุง การปฏิบัติการและผลลัพธ์ของ ตนเองซ่ึงส่งผลดีต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐานครอบคลมุ 7 ดา้ นท่ีสำคญั ในการ จดั การและการดำเนนิ การของโรงเรียน (แบ่งย่อยออกเป็นกระบวนการ 6 หมวด และผลลัพธ์ 1 หมวด) ได้แก่ 1. การนำองค์กร (Leadership) 2. กลยุทธ์ (Strategy) 3. นักเรียนและผ้มู ีส่วนได้ส่วนเสีย (Student and Stakeholder) 4. การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ (Measurement, Analysis and Knowledge Management) 5. บุคลากร (Workforce) 6. การปฏบิ ตั ิการ (Operation) 7. ผลลัพธ์ (Result) 2.1.3 เกณฑ์รางวัลการบริหารโรงเรยี นอย่างมคี ุณภาพ เริ่มต้นด้วยโครงร่างองค์กร (Begin with the Organization Profile) โครงร่างองค์กร คือ ภาพรวมขององค์กร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่มีอิทธิพลต่อวิธีการดำเนินงานและเป็นความท้าทายสำคัญ ท่ี องค์กรเผชิญอยู่ โครงร่างองค์กร จะทำให้เข้าใจองค์กรลึกซึ้งเกี่ยวกับปัจจัยภายในและภายนอกที่สำคัญ ซ่ึง กำหนดสภาพแวดล้อมด้านการดำเนินงาน ปัจจัยเหล่านี้ ได้แก่ วิสัยทัศน์ ( Vision) พันธกิจ (Mission) ค่านิยม (Values) สมรรถนะหลักขององค์กร (Core Competency) สภาพแวดล้อมด้านการ แข่งขัน ความท้าทายและความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ ผลกระทบต่อวิธีการดำเนินงานและการตัดสินใจของ องคก์ ร ดังนนั้ โครงร่างองคก์ รจะช่วยใหเ้ ข้าใจองค์กรไดด้ ีข้ึนในบรบิ ทของการดำเนินงาน ขอ้ กำหนดที่ สำคัญ เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จของการจัดการศึกษา ทั้งในปัจจุบันและอนาคต และความยั่งยืนขององค์กร รวมทั้ง ความตอ้ งการโอกาสและข้อจำกัดที่มีผลต่อระบบการจัดการผลการดำเนนิ การขององค์กร

นิลบุ ล ศลิ ปธนู รหัสนกั ศึกษา 6530640432006 -13- ภาพที่ 1 Criteria for Performance Excellence Framework : OBECQA (ท่ีมา : สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน, 2565) เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (OBECQA) (สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน, 2565) ทงั้ หมด 7 หมวด ไดแ้ ก่ หมวด 1 การนำองค์กร (Leadership) ในหมวดการนำองค์กรนี้ เป็นการตรวจประเมินว่า การดำเนินการโดยผู้นำระดับสูง ของ โรงเรียนได้กำหนดนโยบายและส่งเสริมสนับสนุนให้โรงเรียนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน อย่างไร รวมทั้งตรวจประเมินระบบกำกับดูแลโรงเรียน (Governance System) และวิธีการ ที่โรงเรียนใช้เพื่อ บรรลุผลดา้ นกฎหมาย จรยิ ธรรม และความรบั ผิดชอบตอ่ สังคม 1.1 การนำองค์กรโดยผู้นำระดับสูง (Senior Leadership): ผู้นำระดับสูงนำองค์กร อยา่ งไร ใหอ้ ธบิ ายโดยตอบคำถามตอ่ ไปน้ี ก. วิสยั ทศั น์ พนั ธกิจ และคา่ นยิ ม (Vision, Mission and Values) 1) วิสัยทัศน์ พันธกิจ และค่านิยม (Vision Mission and Values) ผู้นำระดับสูง (Senior Leaders) ดำเนินการอย่างไรในการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจและค่านิยม ผู้นำระดับสูงดำเนินการ อย่างไร ในการถ่ายทอดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และค่านิยม สู่การปฏิบัติ โดยผ่านระบบการนำองค์กร (Leadership System) ไปยังบุคลากร ผู้ส่งมอบ พันธมิตรผู้ให้ความร่วมมือที่สำคัญ นักเรียนและผูม้ ีส่วนได้ ส่วนเสีย การปฏิบัตติ นของผู้นำระดบั สงู แสดงให้เห็นถงึ ความมุ่งมัน่ ต่อค่านิยมขององค์กรอย่างไร 2) การส่งเสริมการประพฤติปฏิบัติตามกฎหมาย และการประพฤติปฏิบัติอย่างมี จริยธรรม (Promoting Legal and Ethical Behavior) การปฏิบัติตนของผู้นำระดับสูงแสดงให้เห็น ถึง ความมุ่งมั่นต่อการประพฤติปฏิบัติตามกฎหมายและ การประพฤติปฏิบัติอย่างมีจริยธรรมอย่างไร ผู้นำ ระดับสงู สรา้ งสภาพแวดล้อมในโรงเรยี นเพ่ือสรา้ งสงิ่ เหลา่ นอ้ี ยา่ งไร 3) การสร้างโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ (Creating a Successful Organization) ผนู้ ำระดับสงู ดำเนินการอย่างไรในการทำใหโ้ รงเรยี นประสบความสำเรจ็ ในปจั จุบนั และอนาคต

นิลบุ ล ศลิ ปธนู รหัสนักศึกษา 6530640432006 -14- ข. การส่ือสารและผลการดำเนินการของโรงเรียน (Communication and Organizational Performance) 1) การสื่อสาร (Communication) ผู้นำระดับสูง (Senior Leaders) ดำเนินการอย่างไร ในการสือ่ สารและสรา้ งความผกู พันกบั บคุ ลากร (Workforce) ทกุ คนในโรงเรยี น 2) การทำให้เกิดการปฏิบัติอย่างจริงจัง (Focus on Action) ผู้นำระดับสูง (Senior Leaders) ดำเนินการอย่างไรให้เกิดการปฏิบัติการอย่างจริงจังเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ พันธกิจ และค่านิยม ขององค์กร 1.2 การกำกบั ดแู ลองคก์ รและความรบั ผิดชอบต่อสังคม (Governance and Societal Responsibilities): โรงเรียนดำเนินการอย่างไรในการกำกับดูแล และทำให้บรรลุผลด้าน ความ รบั ผิดชอบต่อสังคม ให้อธบิ ายโดยตอบคำถามต่อไปนี้ ก. การกำกับดแู ลโรงเรยี น (Organizational Governance) 1) ระบบการกำกับดูแลโรงเรยี น (Governance System) โรงเรียนดำเนนิ การอย่างไร เพอ่ื ให้มั่นใจว่ามีระบบการกำกบั ดูแลท่ีมีความรับผิดชอบ โรงเรยี นดำเนินการอย่างไรในการทบทวน และทำ ให้ประสบความสำเร็จในเร่อื งต่าง ๆ ที่สำคัญในระบบการกำกับดูแลโรงเรยี น 2) การประเมินผลการดำเนินการ (Performance Evaluation) โรงเรียนประเมินผล การดำเนนิ การของผู้นำระดบั สงู อยา่ งไร (Senior Leaders) ข . ก า ร ป ร ะ พ ฤ ต ิ ป ฏ ิ บ ั ต ิ ต า ม ก ฎ ห ม า ย แ ล ะ ม ี จ ร ิ ย ธ ร ร ม ( Legal and EthicalBehavior) 1) การประพฤติปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ (Legal and Regulatory Behavior) โรงเรียนได้คาดการณล์ ่วงหนา้ ถงึ ความกังวลของสาธารณะ (Public Concerns) ท่ีมตี อ่ หลักสูตร การจดั การศึกษาและการปฏิบตั กิ ารอยา่ งไร 2) การประพฤติปฏิบัติอย่างมีจริยธรรม (Ethical Behavior) โรงเรียนมีการ ดำเนินการ อย่างไรในการส่งเสริมและสร้างความมั่นใจว่าปฏิสัมพันธ์ทุกด้านขององค์กรเป็นไปอย่างมี จริยธรรม ค. ความรับผดิ ชอบต่อสังคม (Societal Responsibilities) 1) ความผาสุกของสังคม (Societal Well-Being) โรงเรียนคำนึงถึงความผาสุกและ ผลประโยชน์ของสงั คมทเี่ ปน็ ส่วนหน่ึงในกลยุทธ์และการปฏิบัติการประจำวันอย่างไร โรงเรียนมีส ว่ น ในการ สรา้ งความผาสุกแกส่ ังคมอยา่ งไร โดยผา่ นระบบสิง่ แวดล้อม สังคม และเศรษฐกจิ ของโรงเรยี นทม่ี ีอยู่ 2) การสนับสนุนชุมชน (Community Support) โรงเรียนดำเนนิ การสนบั สนุนและ การ สร้างความเขม้ แข็งให้แก่ชุมชนที่สำคญั (Key communities) ของโรงเรียนอย่างไร จากการศึกษาสรปุ ไดว้ า่ การนำองค์กร หมายถึง การนำองค์กรโดยผู้นำระดับสูง และการกำกับ ดูแลองค์กรและความรับผิดชอบต่อ สังคม ประกอบด้วย 1) การนำองค์กรโดยผู้นำระดับสูง ได้แก่ การกำหนดนโยบาย วิสัยทัศน์ พันธกิจ และ คา่ นิยม มีการสื่อสารผลการดำเนินการของโรงเรียน ในการสรา้ งโรงเรยี นท่ปี ระสบความสำเร็จ 2) การกำกับ ดูแลองค์กรและความรับผิดชอบต่อสังคม ได้แก่ การกำกับดูแลโรงเรียนด้วยความโปร่งใส การประพฤติ ปฏบิ ตั ิตามกฎหมายอย่างมีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม

นิลุบล ศิลปธนู รหสั นกั ศึกษา 6530640432006 -15- หมวด 2 กลยุทธ์ (Strategy) ในหมวดกลยุทธ์น้ี เปน็ การตรวจประเมนิ วา่ โรงเรยี นมีการจัดทำวตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ กลยุทธ์ และ แผนปฏิบัติการของโรงเรียนอย่างไร และการนำแผนปฏิบัติการไปปฏิบัติมีการปรับเปลี่ยน เมื่อสถานการณ์ เปลยี่ นไป และมีการวดั ผลความกา้ วหน้าอยา่ งไร 2.1 การจัดทำกลยุทธ์ (Strategy Development): โรงเรียนมีวิธีการในการจัดทำ กล ยทุ ธอ์ ยา่ งไร ให้อธิบายโดยตอบคำถามตอ่ ไปนี้ ก. กระบวนการจัดทำกลยทุ ธ์ (Strategy Development Process) 1) กระบวนการวางแผนกลยุทธ์ (Strategy Planning Process) โรงเรียนมีวิธีการ อย่างไรในการวางแผนกลยุทธ์ ขั้นตอนที่สำคัญของการจัดทำแผนกลยุทธ์มีอะไรบ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้อง ท่ี สำคัญมีใครบา้ ง กรอบเวลาของการวางแผนระยะสัน้ และระยะยาวคืออะไร โรงเรียนมีวธิ กี ารอย่างไร ในการ ทำให้กระบวนการวางแผนกลยุทธ์มีความสอดคล้องกบั กรอบเวลาดังกล่าว กระบวนการ วางแผนกลยุทธ์ได้ คำนึงถึงความจำเปน็ ที่อาจเกดิ ข้นึ 2) นวัตกรรม (Innovation) กระบวนการจัดทำกลยุทธ์ของโรงเรียนกระตุ้น และทำให้ เกิด นวัตกรรมอยา่ งไร ข. วตั ถุประสงคเ์ ชงิ กลยทุ ธ์ (Strategic Objectives) 1) วัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ (Key Strategic Objectives) วัตถุประสงค์เชิงกล ยุทธ์ ที่สำคัญของโรงเรียนมีอะไรบ้าง ให้ระบุตารางเวลาที่จะบรรลุวัตถุประสงค์เหล่านั้น 2) การพิจารณา วัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Objectives Considerations) วัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ของโรงเรียน สามารถสร้างสมดุลทีเ่ หมาะสมระหว่างความต้องการท่ีหลากหลาย และแข่งขันกันเองในโรงเรยี นได้อย่างไร วัตถุประสงคเ์ ชงิ กลยุทธ์ของโรงเรียน 2.2 การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ (Strategy Implementation): โรงเรียนนำกลยุทธ์ไป ปฏบิ ัติ อยา่ งไร ให้อธบิ ายโดยตอบคำถามตอ่ ไปน้ี ก . ก า ร จ ั ด ท ำ แ ผ น ป ฏ ิ บ ั ต ิ ก า ร แ ล ะ ก า ร ถ ่ า ย ท อ ด ส ู ่ ก า ร ป ฏ ิ บ ั ติ ( Action Plan Development and Deployment) 1) การจัดทำแผนปฏิบัตกิ าร (Action Plan Development) แผนปฏิบตั กิ ารทั้งระยะสัน้ และระยะยาวของโรงเรียนมีอะไรบ้าง แผนดงั กล่าวมคี วามสมั พนั ธ์กับวัตถุประสงค์เชงิ กลยุทธ์อะไรบ้าง และ โรงเรยี นมวี ิธีการในการจดั ทำแผนปฏิบัตกิ ารอยา่ งไร 2) การนำแผนปฏิบัติการไปปฏิบัติ (Action Plan Implementation) โรงเรียนมีวิธีการ อยา่ งไรในการถ่ายทอดแผนปฏบิ ตั กิ ารสกู่ ารปฏบิ ตั ิโรงเรียนมวี ธิ กี ารอยา่ งไรในการถ่ายทอดแผนปฏบิ ตั ิการ สู่ การปฏิบตั ิไปยังบุคลากร ผ้สู ่งมอบ และพนั ธมติ รท่สี ำคัญ โรงเรยี นมีวธิ กี ารอย่างไร เพอ่ื จะทำให้ ม่ันใจว่าผล การดำเนนิ การที ่สำคญั ตามแผนปฏิบัติการจะบรรลุวัตถุประสงคเ์ ชิงกลยทุ ธ์ที ่สำคญั และ มีความยงั่ ยืน 3) การจัดสรรทรัพยากร (Resource Allocation) โรงเรียนทำอย่างไรให้มั่นใจว่ามี ทรัพยากรด้านการเงินและด้านอื่น ๆ พร้อมใช้ในการสนับสนุนแผนปฏิบัติการจนประสบความสำเร็จ และ บรรลพุ ันธะผกู พนั ในปจั จบุ ัน โรงเรยี นมวี ธิ กี ารจดั สรรทรพั ยากรเหล่าน้ีอยา่ งไรเพื่อสนับสนุน แผนปฏิบัติการ โรงเรียนจัดการความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับแผนดังกล่าวอย่างไร เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจ ถึงความมั่นคง ทางการเงนิ ของโรงเรียน

นิลุบล ศลิ ปธนู รหัสนักศึกษา 6530640432006 -16- 4) แผนด้านบุคลากร (Workforce Plans) แผนด้านบุคลากรที่สำคัญที่สนับสนุน วัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ และแผนปฏิบัติการทั้งระยะสั้นและระยะยาวมีอะไรบ้าง แผนดังกล่าวได้ คำนึงถึง ผลกระทบต่อบุคลากร ความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับความต้องการ ด้านขีดความสามารถ และอัตรากำลังบุคลากรอย่างไร 5) ตัววัดผลการดำเนินการ (Performance Measures) ตัววัดหรือตัวชี้วัดผลการ ดำเนินการที่สำคัญ (Key Performance Measures or Indicators) ที่ใช้ติดตามความสำเร็จและ ประสิทธิผล (Effectiveness) ของแผนปฏิบัติการมีอะไรบ้าง โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรเพื่อทำให้ระบบการ วัดผลโดยรวม ของแผนปฏิบัติการเสริมสร้างให้องค์กร ดำเนินการสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกัน (Alignment) 6) การคาดการณ์ผลการดำเนินการ (Performance Projections) การคาดการณ์ผล การดำเนินการตามกรอบเวลาของการวางแผนทั้งระยะส้ันและระยะยาวของโรงเรยี นตามตัววัดหรือ ตัวช้ีวัด ที่ระบุไว้มีอะไรบ้าง ผลการดำเนินการที่คาดการณ์ไว้ของตัววัดหรือตัวช้ีวัดเหล่านี้เป็นอย่างไร เม่ือ เปรียบเทียบกับผลของคู่แข่ง (Competitors) หรือของโรงเรียนในระดับที่เทียบเคียงกันได้ และ เม่ือ เปรียบเทียบกับระดับเทียบเคียงที่สำคัญ (Key Performance) โรงเรียนจะทำอย่างไรหากพบว่ามี ความ แตกต่างเมื่อเปรยี บเทียบกับคู่แข่งหรอื กับโรงเรยี นในระดบั ท่ีเทยี บเคียงกนั ได้ ข. การปรับเปลี่ยนแผนปฏิบัติการ (Action Plan Modification) โรงเรียน มีวิธีการ อย่างไรในการปรับเปลี่ยนและนำแผนปฏิบัติการไปปฏิบัติในกรณีท่ีสถานการณ์บังคับ ให้ต้องปรับแผน และนำไปปฏบิ ตั อิ ย่างรวดเรว็ จากการศึกษาสรุปได้ว่า กลยุทธ์ หมายถึง การจัดทำแผนกลยุทธ์ และการนำแผน กล ยุทธ์ ไปสู่การปฏิบัติ ประกอบด้วย การจัดทำแผนกลยุทธ์ ได้แก่ กระบวนการจัดทำแผนกลยุทธ์ การ พิจารณาวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ การนำแผนกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ ได้แก่ การจัดทำ แผนปฏิบัติ การ การปรับเปลยี่ นแผนปฏบิ ตั กิ าร หมวด 3 นักเรียนและผูม้ สี ว่ นได้ส่วนเสีย (Student and Stakeholder) ในหมวดนักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนี้ เป็นการตรวจประเมินถึงวิธีการสร้างความผูกพันกับ นกั เรยี นและผู้มีสว่ นไดส้ ่วนเสีย เพอ่ื ความสำเร็จดา้ นตลาดในระยะยาว ครอบคลุมถงึ วิธีการรับฟัง “เสยี งของ นักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” สร้างความสัมพันธ์กับนักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และ ใช้สารสนเทศ เกย่ี วกับนกั เรยี นและผูม้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี เพื่อปรบั ปรุงและค้นหาโอกาสในการสร้างนวัตกรรม 3.1 เสียงของน ักเรียน แ ละผู้มีส่วน ได้ส่วน เสีย (Voice of The Student and Stakeholder): โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการรวบรวมข้อมูลสารสนเทศจากนักเรียนและผู้มีส่วนได้ สว่ นเสีย ใหอ้ ธบิ ายโดยตอบคำถาม ดังตอ่ ไปนี้ ก. การรบั ฟงั นกั เรียนและผู้มสี ่วนไดส้ ว่ นเสยี (Student and Stakeholder Listening) 1) นักเรียนปัจจุบันและผู้มีส ่วนได้ส ่วนเสีย (Current Students and Stakeholders) โรงเรียนมีวิธีการในการรับฟัง มีปฏิสัมพันธ์และสงั เกตนักเรียน เพื่อให้ได้มาซึ ่งข้อมูลสารสนเทศ ที่สามารถ นำไปใช้ต่อได้อย่างไร วิธีการรับฟังเสียงดังกล่าวมีความแตกต่างกันอย่างไร ระหว่างนักเรียน กลุ่มนักเรียน หรอื สว่ นตลาด

นิลุบล ศิลปธนู รหสั นักศกึ ษา 6530640432006 -17- 2) นักเรียนในอนาคตและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Potential Students and Stakeholders) โรงเรยี นมวี ิธกี ารอย่างไรในการรบั ฟังสยี งจากนักเรียนในอนาคต และผมู้ สี ว่ นได้ส่วนเสียเพอ่ื ให้ได้ สารสนเทศ ที่นำไปใชต้ อ่ ได้ ข. การประเมินความพึงพอใจและความผูกพันของนักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Determination of Student and Stakeholders Satisfaction and Engagement) 1) ความพึงพอใจ ความไม่พึงพอใจ และความผูกพัน (Satisfaction Dissatisfaction and Engagement) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการประเมินความพึงพอใจ ความไม่พึงพอใจ และ ความผูกพัน ของนักเรยี นและผู้มสี ว่ นไดส้ ว่ นเสีย 2) ความพึงพอใจเปรียบเทียบกับคู่แข่ง (Satisfaction Relative to Competitors) โรงเรียนมีวธิ ีการอย่างไรในการเสาะหาสารสนเทศด้านความพึงพอใจของนักเรยี นและผมู้ สี ่วนได้ส่วนเสยี ท่ีมี ต่อโรงเรียนเปรียบเทียบกับโรงเรียนอื่น โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการเสาะหาสารสนเทศ ด้านความพึง พอใจของนกั เรยี นและผู้มีสว่ นได้สว่ นเสียที่มีต่อโรงเรียน 3.2 ความผูกพันของนักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Student and Stakeholder Engagement) โรงเรียนมีวิธีอย่างไรในการสร้างความผูกพันกับนักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดย ตอบสนองความต้องการและสรา้ งสัมพนั ธ์กบั นักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ใหอ้ ธบิ ายโดย ตอบคำถาม ต่อไปน้ี ก. หลักสูตรและการสนับสนุนนักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Product Offerings Student and Stakeholder Support) 1) หลักสูตร (Product Offering) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการกำหนดหลกั สูตร 2) การ สนับสนนุ นกั เรยี นและผ้มู ีสว่ นได้สว่ นเสยี (Student and Stakeholder Support) โรงเรียนมวี ธิ ีการอย่างไร ในการสนับสนุนให้นักเรียนสามารถสืบค้นสารสนเทศ และรับการสนับสนุน 3) การจำแนกนักเรียน (Student Segmentation) โรงเรียนมวี ธิ กี ารอย่างไร ในการจำแนก นกั เรียน ข. การสร้างความสัมพันธ์กับนักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Building Student and Stakeholders Relationships) 1) การจัดการความสัมพันธ์ (Relationship Management) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไร ใน การสรา้ งและจดั การความสมั พันธ์กบั นกั เรียนและผมู้ ีส่วนได้ส่วนเสยี 2) การจัดการกับข้อร้องเรียน (Complaint Management) โรงเรียนมีวิธีจัดการ กับข้อ ร้องเรียนของนักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างไรและดำเนินการอย่างไรในเรื่องต่อไปนี้ จากการศึกษา สรุปได้ว่า นักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หมายถึง เสียงของนักเรียนและผู้มีส่วน ได้ส่วนเสีย และความ ผูกพันของนักเรียนและผู้มสี ่วนได้ส่วนเสีย ประกอบด้วย 1) การรับฟังเสียงของ นักเรียนและผู้มีส่วนไดส้ ว่ น เสีย ได้แก่ การรับฟังและการมีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การประเมินความพึงพอใจ ของนกั เรียนและผ้มู สี ว่ นไดส้ ่วนเสีย 2) ความผกู พนั ของนักเรยี นและผู้มีส่วนได้ ส่วนเสยี ได้แก่ การสนับสนุน หลักสูตรของนกั เรยี นและผู้มสี ว่ นไดส้ ว่ นเสีย การสรา้ งความสมั พันธ์กับ นกั เรียนและผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสีย หมวด 4 การวัด การวิเคราะห์และการจัดการความรู้ ( Measurement Analysis and Knowledge Management) ในหมวดการวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ เป็นการตรวจประเมินว่า โรงเรียน มี วิธีการอย่างไรในการเลือก รวบรวม วิเคราะห์ จัดการ และปรับปรุงข้อมูล สารสนเทศ และสินทรัพย์ ทาง

นิลุบล ศิลปธนู รหัสนักศกึ ษา 6530640432006 -18- ความร(ู้ Knowledge Assets) โรงเรยี นมีการเรียนร้อู ย่างไร และบรหิ ารจดั การเทคโนโลยี สารสนเทศอย่างไร รวมท้งั โรงเรียนใช้ผลการทบทวนเพือ่ ปรับปรงุ ผลการดำเนินการอย่างไร 4.1 การวัด การวิเคราะห์ และการปรับปรุงผลการดำเนินการของโรงเรียน ( Measurement, Analysis and Improvement of Organization Performance): โ ร ง เ ร ี ย น มี วิธีการอย่างไรในการ วัด วิเคราะห์ และปรับปรุงผลการดำเนินการของโรงเรียน ให้อธิบายโดยตอบ คำถามตอ่ ไปนี้ ก. การวดั ผลการดำเนนิ การ (Performance Measurement) 1) ตัววัดผลการดำเนินการ (Performance Measure) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการใช้ ขอ้ มูลและสารสนเทศ เพื่อตดิ ตามการปฏิบัติการประจำวนั และผลการดำเนินการโดยรวมของโรงเรียน 2) ข้อมูลเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Data) โรงเรียนมีวิธกี ารอย่างไรในการเลือกและ ใช้ข้อมูลและสารสนเทศเชิงเปรียบเทียบที่สำคัญอย่างมีประสิทธิผล โรงเรียนมีวิธีการอย่างไร ในการเลือก และใช้ข้อมูลและสารสนเทศเชิงเปรียบเทยี บที ่สำคัญอย่างมีประสิทธผิ ล เพื่อสนับสนุน การตัดสินใจในการ ปฏิบัติการ 3) ข้อมูลนักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Student and Stakeholder Data) โรงเรียนมี วธิ ีการอย่างไรในการใชข้ อ้ มูลและสารสนเทศจากเสียงของนักเรียน ผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสียและตลาด 4) ความคล่องตวั ของการวัดผล (Measurement Agility) โรงเรียนมวี ธิ กี ารอย่างไร เพื่อให้ มั่นใจว่าระบบการวัดผลการดำเนินการของโรงเรียนสามารถตอบสนองความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นอย่าง รวดเรว็ หรือทีไ่ มไ่ ดค้ าดคิดทัง้ ภายในหรอื ภายนอกองค์กร ข. การวิเคราะห์และทบทวนผลการดำเนนิ การ (Performance Analysis and Review) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการทบทวนผลการดำเนินการและขีดความสามารถ ของ โรงเรียน โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการใช้ตัววัดผลการดำเนินการที่สำคัญของโรงเรียน รวมทั้ง ข้อมูลเชิง เปรียบเทียบและข้อมูลนักเรียนและผู้มีส ่วนได้ส ่วนเสียในการทบทวนเหล่านี้ โรงเรียนมี วิธีการวิเคราะห์ อะไรบ้างเพ่อื สนบั สนนุ การทบทวนเหลา่ น้แี ละเพื่อทำให้มั่นใจวา่ ผลสรุปนั้นใช้ได้ ค. การปรับปรงุ ผลการดำเนนิ การ (Performance Improvement) 1) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practices) โรงเรียนมีวิธีการ อย่างไรในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในโรงเรียน โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการค้นหา หน่วยงานหรอื การปฏิบัติการท่ีมีผลการดำเนนิ การทดี่ ี โรงเรียนมีวิธีการอยา่ งไรในการค้นหาวิธีปฏิบัติ ท่ีเป็น เลศิ เพอื่ การแลกเปล่ยี นเรียนรแู้ ละนำไปปฏบิ ตั ใิ นส่วนอ่นื ๆ ของโรงเรียน 2) ผลการดำเนินการในอนาคต (Future Performance) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไร ในการ คาดการณ์ผลการดำเนินการในอนาคต โรงเรียนมีวธิ ีการอย่างไรในการใช้ผลการทบทวน ผลการดำเนินการ (ที่ระบุใน 4.1ข) และข้อมูลเชิงเปรียบเทียบและเชิงแข่งขันที่สำคัญเพื่อคาดการณ์ ผลการดำเนินการใน อนาคต หากมคี วามแตกต่างระหว่างการคาดการณ์ผลการดำเนนิ การในอนาคต เหล่าน้ีกับการคาดการณ์ผล การดำเนินการของแผนปฏิบัติการ (ที่ระบุใน 2.2 ข) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรใน การปรับค่าความแตกต่าง ดังกล่าวให้ยอมรบั ได้ (Reconcile) 3) การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและนวัตกรรม (Continuous Improvement and Innovation) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการนำผลการทบทวนผลการดำเนินการ (ที่ระบุใน 4.1 ข) ไปใช้

นิลบุ ล ศิลปธนู รหสั นกั ศกึ ษา 6530640432006 -19- จัดลำดับความสำคัญของเรื่องที่ต้องนำไปปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และนำไปเป็นโอกาสในการสร้าง นวตั กรรม 4.2 การจดั การความรู้ สารสนเทศ และเทคโนโลยสี ารสนเทศ(Knowledge Management, Information and Information Technology): โรงเรยี นมีวิธีการอย่างไรในการจัดการสินทรพั ย์ ทาง ความรู้ของโรงเรียนสารสนเทศและโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้อธิบาย โดยตอบ คำถามตอ่ ไปนี้ ก. ความรู้ขององคก์ ร (Organization Knowledge) 1) การจัดการความรู้ (Knowledge Management) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการ จัดการ ความรขู้ องโรงเรียน 2) การเรียนรู้ระดับองค์กร (Organization Learning): โรงเรียนมีวิธกี ารอย่างไร ในการใช้ องคค์ วามรู้และทรัพยากรต่าง ๆ เพ่ือให้การเรียนรู้ฝงั ลกึ ลงไปในวิถกี ารปฏบิ ตั งิ านของโรงเรยี น ข . ข ้ อ ม ู ล ส า ร ส น เ ท ศ แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ย ี ส า ร ส น เ ท ศ ( Data, Information and Information Technology) 1) คุณภาพของข้อมูลและสารสนเทศ (Data and Information Quality) โรงเรียน มี วธิ กี ารอยา่ งไรในการทวนสอบและทำให้ม่นั ใจถงึ คุณภาพของขอ้ มูลและสารสนเทศของโรงเรียน 2) ความปลอดภยั ของข้อมลู และสารสนเทศ (Data and Information Security) โรงเรียน มีวิธกี ารอย่างไรในการทำให้มัน่ ใจว่าขอ้ มูลและสารสนเทศท่ีออ่ นไหวหรือสำคญั มีความปลอดภัย 3) ความพร้อมใช้งานของข้อมูลและสารสนเทศ (Data and Information Availability) โรงเรียนมวี ิธกี ารอยา่ งไรในการทำใหม้ ่นั ใจวา่ ข้อมูลและสารสนเทศของโรงเรียนมคี วามพรอ้ มใช้งาน 4) ค ุ ณ ล ั ก ษ ณ ะ ข อ ง ฮ า ร ์ ด แ ว ร ์ แ ล ะ ซ อ ฟ ต ์ แ ว ร ์ ( Hardware and Software Properties) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการทำให้มั่นใจได้ว่าฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ มีความเชื่อถือได้ ปลอดภัย และ ใชง้ านงา่ ย 5) ความพร้อมใช้งานในภาวะฉุกเฉิน (Emergency Availability) ในกรณีฉุกเฉิน โรงเรียน มีวิธีการอย่างไรในการทำให้มั่นใจว่าระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ รวมทั้งข้อมูลและสารสนเทศ มีความ ปลอดภัยและความพร้อมใช้งานอย่างต่อเน่ือง เพื่อตอบสนองนักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างมี ประสทิ ธิผล จากการศึกษาสรุปได้ว่า การวัด การวัด การวิเคราะห์ และการปรับปรุงผลการดำเนินการของ โรงเรียนและการจัดการความรู้ สารสนเทศ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย 1) การวัด การ วิเคราะห์ และการปรับปรุงผลการดำเนินการของโรงเรียน ได้แก่ การวัดผลการดำเนินการ การวิเคราะห์ และปรับปรุงผลการดำเนินการ 2) การจัดการความรู้ สารสนเทศ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้แก่ การ จดั การความรู้ขององคก์ ร และความพรอ้ มในการใช้งานขอ้ มลู สารสนเทศและเทคโนโลยสี ารสนเทศ หมวด 5 บุคลากร (Workforce) หมวดบุคลากร เป็นการตรวจประเมินว่าโรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการประเมินความต้องการ ด้านขีดความสามารถและอัตรากำลังบุคลากร และการสร้างสภาพแวดล้อมของบุคลากรที่นำไปสู่ ผลการ ดำเนินงานที ด่ ี นอกจากน้ี ในหมวดน้ียงั เป็นการตรวจประเมนิ ว่าโรงเรยี นมีวิธีการอย่างไร ในการสร้างความ ผูกพัน การจัดการ และการพัฒนาบุคลากรเพื่อนำศักยภาพของบุคลากรมาใช้ อย่างเต็มที่ ให้สอดคล้องไป ในทางเดียวกนั กบั วิสยั ทศั นพ์ นั ธกจิ กลยทุ ธ์ และแผนปฏิบตั ิการของโรงเรยี น

นลิ ุบล ศลิ ปธนู รหัสนักศกึ ษา 6530640432006 -20- 5.1 สภาพแวดล้อมของบุคลากร (Workforce Environment): โรงเรียนมีวิธีการ อย่างไร ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้บุคลากรทำงานอย่างมีประสิทธิผล ให้อธิบายโดยตอบ คำถาม ตอ่ ไปน้ี ก. ขีดความสามารถและอัตรากำลังบคุ ลากร (Workforce Capability and Capacity) 1) ขดี ความสามารถและอัตรากำลัง (Capability and Capacity) โรงเรียนมีวิธกี ารอย่างไร ในการประเมินความต้องการด้านขีดความสามารถ และอัตรากำลังบุคลากร รวมทั้งการประเมินทักษะ สมรรถนะ คุณวุฒิ (Certification) และจำนวนบุคลากรทีต่ อ้ งการในแต่ละระดบั (Staffing Levels) 2) บุคลากรใหม่ (New Workforce Members) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการสรรหา ว่าจ้าง บรรจุ และรักษาบุคลากรใหม่ไว้โรงเรียนทำให้มั่นใจได้อย่างไรว่าบุคลากรเป็นตัวแทนที่สะท้อน ให้ เห็นถึงความหลากหลายทางมุมมอง (Ideas) วัฒนธรรม และวิธีคิด (Thinking) ของชุมชน ของบุคลากร ท่ี โรงเรียนจ้าง และชมุ ชนของนักเรียนและผู้มสี ่วนไดส้ ่วนเสยี 3) ความสำเร็จในงาน (Work Accomplishment) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไร ในการจัด รูปแบบการทำงาน และบรหิ ารบคุ ลากร 4) ก า ร จ ั ด ก า ร ก า ร เ ป ล ี ่ ย น แ ป ล ง ด ้ า น บ ุ ค ล า ก ร ( Workforce Change Management) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการเตรียมบุคลากรให้พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงความ ตอ้ งการ ด้านขีดความสามารถและอัตรากำลังบคุ ลากร ข. บรรยากาศการทำงานของบุคลากร (Workforce Climate) 1) สภาพแวดล้อมของการทำงาน (Workplace Environment) โรงเรียนดำเนินการ อย่างไรเกี่ยวกับการสร้างความมั่นใจด้านสุขภาพสวัสดิภาพของบุคลากร และความสะดวกในการเข้าถึง สถานทท่ี ำงานของบคุ ลากร 2) นโยบาย และสิทธิประโยชน์ (Workforce Benefits and Policies) โรงเรียนสนับสนุน บุคลากรโดยจัดใหม้ ีการบรกิ าร สิทธปิ ระโยชน์ และนโยบาย อย่างไร 5.2 ความผูกพันของบุคลากร (Workforce Engagement): โรงเรียนมีวิธีการอย่างไร ใน การสร้างความผูกพันของบุคลากรเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีผลการดำเนินการที่ดี ให้ อธบิ ายโดยตอบคำถามตอ่ ไปนี้ ก. ความผูกพันและผลการปฏิบัติงานของบุคลากร (Workforce Engagement and Performance) 1) วัฒนธรรมองค์กร (Organization Culture) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการเสริมสร้าง วัฒนธรรมองค์กรให้เกิดการสื่อสารที่เปิดกว้างการทำงานที่ให้ผลการดำเนินการที่ดี และบุคลากรที่มีความ ผูกพนั 2) ปัจจัยขับเคลื่อนความผูกพัน (Drivers of Engagement) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไร ใน การกำหนดปัจจัยสำคัญทสี่ ง่ ผลตอ่ ความผูกพันของบคุ ลากร 3) การประเมินความผูกพัน (Assessment of Engagement) โรงเรียนประเมินความ ผูกพนั ของบุคลากรอยา่ งไร 4) การจัดการผลการปฏิบัติงาน (Performance Management) ระบบการจัดการ ผลการ ปฏิบัติงานของบุคลากรสนับสนุนทำให้เกิดการทำงานที่ให้ผลการดำเนินการท่ีดีและความผูกพัน ของ บุคลากรอย่างไร

นลิ ุบล ศลิ ปธนู รหัสนักศกึ ษา 6530640432006 -21- ข. การพัฒนาบคุ ลากรและผ้นู ำ (Workforce and Leader Development) 1) ระบบการเรียนรู้และการพัฒนา (Learning and Development System) ระบบการ เรียนรู้และการพัฒนาสนับสนุนความต้องการของโรงเรยี นและการพัฒนาตนเองของบุคลากร ผู้บริหาร และ ผ้นู ำอยา่ งไร 2) ประสิทธิผลของการเรียนรู้และการพัฒนา ( Learning and Development Effectiveness) โรงเรียนวิธีการประเมินประสิทธิผลและประสิทธิภาพของระบบการเรียนรู้และการพัฒนา อย่างไร 3) ความก้าวหน้าในวิชาชีพ (Career Progression) โรงเรียนวิธีการอย่างไรในการจัดการ ความกา้ วหนา้ ในวิชาชีพของโรงเรยี น จากการศึกษาสรุปได้ว่า บุคลากร หมายถึง สภาพแวดล้อมของบุคลากร และความผูกพันของ บคุ ลากร ประกอบดว้ ย 1) สภาพแวดล้อมของบคุ ลากร ไดแ้ ก่ การพัฒนาขีดความสามารถของครู บรรยากาศ การทำงานของบุคลากร 2) ความผูกพันของบุคลากร ได้แก่ ความผูกพัน การปฏิบัติงานของครู การพัฒนา ครู หมวด 6 การปฏิบตั กิ าร (Operations) ในหมวดการปฏิบัติการ เป็นการตรวจประเมินว่าโรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการ ออกแบบ จัดการ ปรับปรุงหลักสูตร และสร้างนวัตกรรมของการบริหารจดั การหลักสูตร และกระบวนการ ทำงาน รวมทัง้ ปรบั ปรุงประสิทธผิ ลของการปฏิบัติการ เพื่อส่งมอบคุณค่าแกน่ ักเรียนและผู้มสี ่วนได้ส่วนเสีย และ ทำใหโ้ รงเรยี นประสบความสำเร็จอย่างต่อเน่อื ง 6.1 กระบวนการทำงาน (Work Process): โรงเรยี นมีวิธกี ารอยา่ งไรในการออกแบบ จดั การ และปรบั ปรงุ หลักสตู รและกระบวนการทำงานทส่ี ำคัญ ให้อธิบายโดยตอบคำถามตอ่ ไปน้ี ก. การออกแบบหลักสตู รและกระบวนการ (Product and Process Design) 1) ข้อกำหนดของหลักสูตรและกระบวนการ (Product and Process Requirement) โรงเรียนมวี ธิ ีการอยา่ งไรในการจัดทำข้อกำหนดที ่สำคญั ของหลักสตู รและกระบวนการทำงาน กระบวนการ ทำงานทสี่ ำคญั ของโรงเรียนมอี ะไรบ้าง และข้อกำหนดทีส่ ำคญั ของกระบวนการเหลา่ น้ีคอื อะไร 2) แนวคิดในการออกแบบ (Design Concepts) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการออกแบบ หลักสูตร และกระบวนการทำงานเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดที่สำคัญ โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการนำ เทคโนโลยีใหม่ความรู้ขององค์กร ความเป็นเลิศของหลักสูตร คุณค่าในมุมมองของนักเรียน และ ความ คล่องตวั ทอี่ าจต้องมี มาพจิ ารณาในกระบวนการเหล่านี้ ข. การจดั การกระบวนการ (Process Management) 1) การนำกระบวนการไปปฏิบัติ (Process Implementation) โรงเรียนมั่นใจได้อย่างไร ว่าการปฏิบัติงานประจำวันของกระบวนการเหล่านี้จะเป็นไปตามข้อกำหนดที่สำคัญ โรงเรียนใช้ตัววัดหรือ ตัวชี้วัดผลการดำเนินการที่สำคัญ และตัววัดในกระบวนการอะไรในการควบคุม และปรับปรุงกระบวนการ ทำงาน ตัววัดเหลา่ นี้เช่ือมโยงกับผลการดำเนินการและคณุ ภาพของหลกั สูตรทไ่ี ด้อย่างไร 2) กระบวนการสนับสนุน (Support Process) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการกำหนด กระบวนการสนบั สนุนที ่สำคัญ กระบวนการสนับสนุนที ่สำคัญมีอะไรบ้าง โรงเรียนม่ันใจได้อย่างไร ว่าการ ปฏิบัติงานประจำของกระบวนการเหล่านี้จะเป็นไปตามข้อกำหนดท่ีสำคัญในการสนับสนุนการจัด การเรียน การสอน

นลิ บุ ล ศิลปธนู รหัสนกั ศกึ ษา 6530640432006 -22- 3) การปรับปรุงหลักสูตรและกระบวนการ (Product and Process Improvement) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการปรับปรุงกระบวนการทำงาน เพื่อปรับปรุงหลักสูตรและผลการดำเนินการ เสรมิ สรา้ งความแขง็ แกร่งของสมรรถนะหลกั ขององค์กร และลดความแปรปรวนของกระบวนการ ค. การจัดการนวตั กรรม (Innovation Management) โรงเรียนมีวิธกี ารอย่างไรในการจัดการนวตั กรรมโรงเรยี นมวี ธิ ีการอย่างไรในการดำเนินการ ตาม โอกาสเชิงกลยุทธ์ที่โรงเรียนกำหนดเปน็ ความเส่ียง (Risks) ที่ผ่านการประเมินผลได้ผลเสียอย่างรอบ ด้าน (Intelligent Risk) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการทำให้ทรัพยากรด้านการเงินและด้านอื่น ๆ ที่พร้อม ใช้ สนับสนุนโอกาสเหล่านี้ และมีวิธีการอย่างไรในพิจารณายุติโอกาสเชิงกลยุทธ์ในเวลาที่เหมาะสมเพื่อไป สนบั สนนุ โอกาสที่มลี ำดบั ความสำคญั ทีเ่ หนือกวา่ 6.2 ประสิทธิผลของการปฏิบัติการ (Operational Effectiveness): โรงเรียนมีวิธีการ อย่างไร ในการทำให้มั่นใจว่ามีการบริหารจัดการการปฏิบัติการอย่างมีประสิทธิผล ให้อธิบายโดยตอบ คำถามต่อไปนี้ ก . ป ร ะ ส ิ ท ธ ิ ภ า พ แ ล ะ ป ร ะ ส ิ ท ธ ิ ผ ล ข อ ง ก ร ะ บ ว น ก า ร ( Process Efficiency and Effectiveness) โรงเรียนมีวธิ กี ารอย่างไรในการควบคมุ ต้นทนุ โดยรวมของการปฏิบตั ิการ ข. การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply-Chain Management) โรงเรียนมีวิธีการ อยา่ งไรในการจัดการหว่ งโซ่อปุ ทาน ค. การเตรียมความพร้อมด้านค วา มปลอดภัยและภาวะฉุกเฉิน ( Safety and Emergency Preparedness) 1) ความปลอดภัย (Safety) โรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการทำให้เกิดสภาพแวดล้อม การ ปฏิบัติการที่ปลอดภัย ระบบความปลอดภัยของโรงเรียนได้คำนึงถึงการป้องกันอุบัติเหตุ การตรวจสอบ (Inspection)การวิเคราะห์ตน้ เหตขุ องความลม้ เหลว และการทำใหฟ้ ้นื คนื สูส่ ภาพเดมิ อย่างไร 2) การเตรียมความพร้อมต่อภาวะฉุกเฉิน (Emergency Preparedness) โรงเรียน มี วิธีการอย่างไรเพื่อทำให้เกิดความมั่นใจว่า โรงเรียนมีการเตรียมความพร้อมต่อภัยพิบัติ หรือภาวะ ฉุกเฉิน ระบบการเตรียมความพร้อมต่อภัยพิบัติและภาวะฉุกเฉินของโรงเรียน ได้คำนึงถึงการป้องกนั ความต่อเนือ่ ง ของการดำเนินการ และการทำให้ฟื้นฟูสู่สภาพเดิมได้อย่างไร ระบบการเตรียมความพร้อม ต่อภัยพิบัติและ ภาวะฉุกเฉินดงั กล่าวได้คำนงึ ถงึ การพง่ึ พาผู้ส่งมอบและพันธมิตรอยา่ งไร จากการศกึ ษาสรปุ ไดว้ ่า การปฏิบัติการ หมายถงึ กระบวนการทำงาน และประสิทธผิ ลของ การ ปฏิบัติการ ประกอบด้วย กระบวนการทำงาน ได้แก่ กระบวนการออกแบบหลักสูตร การจัดการนวัตกรรม ประสทิ ธิผลของการปฏบิ ัตกิ าร ได้แก่ ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ ความพร้อมดา้ นความปลอดภยั หมวด 7 ผลลัพธ์ (Results) ในหมวดผลลัพธ์นี้ เป็นการตรวจประเมินว่าโรงเรียนมีวิธีการอย่างไรในการประเมินผล การ ดำเนนิ การ การปรับปรุง ในดา้ นทีส่ ำคัญทุกด้าน ได้แก่ ผลลัพธ์ด้านหลักสตู รและกระบวนการ ดา้ นนักเรียน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ด้านบุคลากร ด้านการนำองค์กรและการกำกับดูแลองค์กร และ ด้านการเงินและ ตลาด นอกจากนี้ยังให้แสดงถึงระดับผลการดำเนนิ การของโรงเรียนเปรียบเทียบกบั คแู่ ข่งที่เสนอหลักสูตรท่ี คล้ายคลึงกัน

นิลุบล ศิลปธนู รหสั นกั ศกึ ษา 6530640432006 -23- 7.1 ผลลัพธ์ด้านหลักสูตรและกระบวนการ (Product and Process Results): ผลลัพธ์ การดำเนินการด้านหลักสูตร และประสิทธิผลของกระบวนการเป็นอย่างไร ให้แสดงข้อมูล และ สารสนเทศเพ่ือตอบคำถามตอ่ ไปน้ี ก. ผลลัพธ์ด้านหลักสูตรและกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้น นกั เรียน (Student Focused Product and Process Results) ผลลัพธ์ดา้ นหลกั สตู ร กระบวนการจดั การเรียนการสอน และกระบวนการที ่ให้บริการ ทาง การศึกษาแก่นักเรียนเป็นอย่างไร ระดับปัจจุบันและแนวโน้มของตัววัดหรือตัวชี้วัดที่สำคัญของผล การ ดำเนินการด้านหลักสูตรและกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่มีความสำคัญ และตอบสนองโดยตรง ต่อ นักเรียนเป็นอย่างไร ผลลัพธ์เหล่านี้เมื่อเปรียบเทียบกับผลการดำเนินการของคู่แข่งเป็นอย่างไรผลลัพธ์ เหล่าน้แี ตกตา่ งกัน ตามหลักสูตร กลมุ่ นักเรยี น และสว่ นตลาดอย่างไร ข . ผ ล ล ั พ ธ ์ ด ้ า น ป ร ะ ส ิ ท ธ ิ ผ ล ข อ ง ก ร ะ บ ว น ก า ร ท ำ ง า น ( Work Process Effectiveness Results) 1) ประสิทธิผลและประสิทธิภาพของกระบวนการ (Process Effectiveness and Efficiency) ผลลัพธ์ด้านประสิทธิผลและประสิทธิภาพของกระบวนการเป็นอย่างไร ระดับปัจจุบัน และ แนวโน้มของตัววัดหรือตัวชี้วัดที่สำคัญของผลการดำเนินการ ด้านการปฏิบัติการของกระบวนการ ทำงาน และกระบวนการสนับสนุนท่ีสำคัญ รวมทง้ั ผลติ ภาพ รอบเวลา และตวั วดั อ่ืน ๆ ทเ่ี หมาะสม ดา้ นประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และนวัตกรรมของกระบวนการเป็นอย่างไรผลลัพธ์เหล่านี้ เมื่อเปรียบเทียบกับผลการ ดำเนนิ การของคแู่ ข่งทม่ี กี ระบวนการท่ีคลา้ ยคลงึ กันเปน็ อย่างไร (*) 2) การเตรียมพรอ้ มต่อภาวะฉุกเฉิน (Emergency Preparedness) ผลลัพธด์ ้านการเตรียม พร้อมต่อภาวะฉุกเฉนิ เปน็ อยา่ งไร ระดบั ปัจจุบนั และแนวโน้มของตวั วดั หรอื ตัวช้ีวัดที ส่ ำคัญของ ประสิทธผิ ล ในการเตรียมความพร้อมของโรงเรียนเมื่อเกิดภัยพิบัติและภาวะฉุกเฉินเป็นอย่างไรผลลัพธ์ เหล่านี้แตกต่าง กันตามสถานท่ีดำเนินการหรือประเภทของกระบวนการอยา่ งไร (*) ค. ผลลัพธ์ด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply-Chain Management Results) ผลลัพธ์ด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทานเป็นอย่างไร ผลลัพธ์ของตัววัดหรือตัวชี้วัดที่สำคัญ ของผลการ ดำเนินการด้านห ่วงโซ อ่ ุปทาน รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการเสริมสรา้ งผลการดำเนินการ ของโรงเรียน เปน็ อย่างไร 7.2 ผลลัพธ์ด้านนักเรียนแ ละผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Student and Stakeholder- Focused Results): ผลลัพธ์การดำเนินการด้านนักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นอย่างไร ให้แสดง ข้อมลู และ สารสนเทศเพ่อื ตอบคำถามตอ่ ไปนี้ ก. ผลลัพธ์ด้านนักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Student and Stakeholder - Focused Results) 1) ความพึงพอใจของนักเรียนและผู้มีส ่วนได้ส ่วนเสีย (Student Satisfaction) ผลลัพธ์ ดา้ นความพงึ พอใจและความไม่พึงพอใจของนักเรียนและผู้มสี ่วนได้สว่ นเสียเป็นอย่างไร ระดับ ปัจจุบัน และ แนวโน้มของตัววัดหรือตวั ชี้วัดที่สำคญั ดา้ นความพึงพอใจ และความไม ่พงึ พอใจของ นักเรียนและผู้มีส่วนได้ ส่วนเสีย เปน็ อยา่ งไร ผลลพั ธ์เหลา่ น้ีเมอื่ เปรยี บเทียบกับระดบั ความพึงพอใจ ของนักเรียนและผ้มู ีส่วนได้ส่วน เสียต่อคู่แข่งและโรงเรียนอื่นท่ีมีลักษณะเดียวกันเปน็ อย่างไรผลลพั ธ์ แหล่านี้แตกต่างกนั ตามหลักสูตร กลุ่ม นักเรียนและสว่ นตลาดอย่างไร

นิลบุ ล ศลิ ปธนู รหัสนกั ศึกษา 6530640432006 -24- 2) ค ว า ม ผ ู ก พ ั น ข อ ง น ั ก เ ร ี ย น แ ล ะ ผ ู ้ ม ี ส ่ ว น ไ ด ้ ส ่ ว น เ ส ี ย ( Student and Stakeholder Engagement) ผลลัพธ์ด้านความผูกพันของนักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นอย่างไร ระดับปัจจุบัน และแนวโน้มของตัววัดหรือตัวชี้วัดท่ีสำคัญ ด้านการสร้างความผูกพัน และการสร้าง ความสมั พันธ์กับ นกั เรียนและผูม้ ีส่วนไดส้ ว่ นเสยี เปน็ อยา่ งไร 7.3 ผลลัพธ์ด้านบุคลากร (Workforce-Focused Results): ผลลัพธ์การดำเนินการ ด้าน บุคลากรเป็นอย่างไร ให้แสดงข้อมูลและสารสนเทศเพื่อตอบคำถามต่อไปนี้ ก. ผลลัพธ์ด้านบุคลากร (Workforce-Focused Results) 1) ขีดความสามารถและอัตรากำลังบุคลากร (Workforce Capability and Capacity) ผลลพั ธ์ด้านขีดความสามารถและอตั รากำลังบุคลากรเป็นอยา่ งไร ระดบั ปัจจุบันและแนวโน้ม ของตัววัดหรือ ตัวชี้วัดที ่สำคัญ ด้านขีดความสามารถและอัตรากำลังบุคลากร รวมถึงจำนวนของ บุคลากรที่ต้องการในแต่ ละระดับ (Staffing Levels) และทักษะที่เหมาะสมของบุคลากรเป็นอย่างไร ผลลัพธ์เหล่านี้แตกต่างกันตาม ความหลากหลายของกลมุ่ และประเภทของบุคลากรอย่างไร 2) บรรยากาศการทำงาน (Workforce Climate) ผลลัพธ์ด้านบรรยากาศการทำงาน เป็น อย่างไร ระดับปจั จุบันและแนวโน้มของตวั วัดหรือตวั ช้ีวัดที ่สำคญั ดา้ นบรรยากาศการทำงาน รวมถึงสุขภาพ ความปลอดภยั สวัสดิภาพ การบรกิ าร และสิทธิประโยชน์สำหรบั บุคลากรเปน็ อยา่ งไร ผลลัพธเ์ หลา่ นีแ้ ตกต่าง กนั ตามความหลากหลายของกลุม่ และประเภทของบุคลากรอย่างไร 3) การทำให้บุคลากรมีความผูกพัน (Workforce Engagement) ผลลัพธ์ด้านการ ทำให้ บุคลากรมีความผูกพัน เป็นอย่างไร ระดับปัจจุบันและแนวโน้มของตัววัดหรือตัวชี้วัดที่สำคัญ ด้านความพึง พอใจและความผูกพันของบุคลากรต่อโรงเรียนเปน็ อยา่ งไร ผลลัพธเ์ หล่านีแ้ ตกต่างกัน ตามความหลากหลาย ของกลุ่มและประเภทของบุคลากรอย่างไร 4) การพัฒนาบุคลากร (Workforce Development) ผลลัพธ์ด้านการพัฒนาบุคลากร เป็น อย่างไร ระดับปัจจุบันและแนวโน้มของตัววัดหรือตัวชี้วัดที่สำคัญด้านการพัฒนาบุคลากรและผู้นำ องค์กร เปน็ อยา่ งไรผลลัพธ์เหลา่ นแี้ ตกต่างกนั ตามความหลากหลายของกลมุ่ และประเภทของบุคลากร อย่างไร 7.4 ผลลัพธ์ด้านการนำองค์กรและการกำกับดูแลองค์กร (Leadership and Governance Results): ผลลัพธ์ด้านการนำองค์กรและการกำกับดูแลองค์กรเป็นอย่างไร ให้แสดงข้อมูลและ สารสนเทศเพ่ือตอบคำถามตอ่ ไปนี้ ก. ผลลัพธ์ด้านการนำองค์กร การกำกับดูแลองค์กรและความรับผิดชอบต่อสังคม (Leadership, Governance and Societal Responsibility Results) 1) การนำองค์กร (Leadership) ผลลัพธ์ด้านการสื่อสารของผู้นำระดับสูงกับบุคลากร และ นักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นอย่างไร ผลลัพธ์ของตัววัดหรือตัวชี้วัดที่สำคัญของการดำเนินการ ของ ผู้นำระดับสูง ในการสื่อสารและสร้างความผกู พันกับบุคลากร นักเรียนและผูม้ ีส่วนไดส้ ว่ นเสียเพื่อ ถ่ายทอด วสิ ัยทัศน์และค่านยิ มสูก่ ารปฏบิ ตั ิ การกระตุ้นให้เกดิ การสือ่ สารในลกั ษณะสองทศิ ทาง 2) การกำกับดูแลองค์กร (Governance) ผลลัพธ์ด้านความรับผิดชอบในการกำกับดูแล องค์กรเป็นอย่างไร ผลลัพธ์ปัจจุบันและแนวโน้มของตัววัดหรือตัวชี้วัดที่สำคัญด้านการกำกับดูแลองค์กร และความรบั ผิดชอบด้านการเงินภายในและภายนอกเป็นอย่างไร

นิลุบล ศลิ ปธนู รหสั นักศึกษา 6530640432006 -25- 3) กฎหมายและกฎระเบียบข้อบังคับ (Law and Regulation) ผลลัพธ์ด้านกฎหมายและ กฎระเบียบข้อบังคับเป็นอย่างไร ผลลัพธ์ของตัววัดหรือตัวชี้วัดที่สําคัญ ด้านการปฏิบัติตามหรือปฏิบัติได้ เหนอื กวา่ ข้อกาํ หนดด้านกฎระเบียบขอ้ บงั คบั และกฎหมายเป็นอย่างไรผลลพั ธ์เหล่านี้แตกต่างกนั ตาม หนว่ ยงานตา่ ง ๆ ของโรงเรียน เปน็ อย่างไร 4) จรยิ ธรรม (Ethics) ผลลพั ธ์ดา้ นการประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ย่างมจี ริยธรรมเป็นอย่างไร ผลลพั ธ์ ของตัววัดหรือตัวชี้วัดที่สําคัญของการประพฤติปฏิบัติอย่างมีจริยธรรม พฤติกรรมที่ละเมิด การประพฤติ ปฏิบัติอย่างมีจริยธรรมและความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีต่อผู้นําระดับสู ง และการกํากับดูแล องคก์ รเปน็ อย่างไรผลลัพธ์เหล่าน้ีแตกตา่ งกนั ตามหนว่ ยงานต่าง ๆ ของโรงเรียน เป็นอยา่ งไร 5) สังคม (Society) ผลลัพธ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการสนบั สนนุ ชุมชนท่สี ําคญั เป็นอย่างไร ผลลัพธ์ของตัววัดหรือตัวชี้วัดที่สําคัญด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการสนับสนุนชุมชน ที่ สําคญั เป็นอย่างไร ข. ผลลัพธ์ด้านการนาํ กลยุทธ์ไปปฏิบัติ (Strategy Implementation Results) ผลลัพธ์ ด้าน การบรรลกุ ลยุทธ์และแผนปฏิบัติการของโรงเรียนเป็นอย่างไรผลลัพธ์ของตัววัดหรอื ตัวช้ีวัดที่สําคัญของ การบรรลุกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการของโรงเรียน การสร้างและเสริมสร้าง ความแข็งแกร่งของ สมรรถนะหลักขององค์กร (Core Competencies) รวมทั้งการดําเนินการ ตามความเสี่ยงที่ผ่านการ ประเมนิ ผลได้ผลเสยี อย่างรอบด้าน (Intelligent Risks) เปน็ อยา่ งไร 7.5 ผลลัพธ์ดา้ นการเงนิ และตลาด (Financial and Market Results): ผลลพั ธ์ การดาํ เนนิ การด้านการเงินและตลาดมีอะไรบา้ ง ใหแ้ สดงขอ้ มูลและสารสนเทศเพ่ือตอบคําถามต่อไปนี้ ก. ผลลัพธ์ดา้ นการเงนิ และตลาด (Financial and Market Results) 1) ผลการดําเนนิ การด้านการเงนิ (Financial Performance) ผลลัพธ์ด้านการเงิน เปน็ อยา่ งไร ระดับปัจจุบันและแนวโนม้ ของตวั วัดหรือตวั ช้วี ัดทีส่ ําคัญของผลการดําเนนิ การด้าน การเงินเป็น อย่างไร และผลการดําเนินการด้านงบประมาณ (Budgetary Performance) เป็นอย่างไร ผลลัพธ์เหล่าน้ี แตกตา่ งกนั ตามสว่ นตลาดและกลมุ่ นกั เรียนอยา่ งไร 2) ผลลัพธ์การดําเนินการด้านตลาด (Marketplace Performance) ผลลัพธ์ด้าน การตลาดเป็นอย่างไร ระดับปัจจุบันและแนวโน้มของตัววัดหรือตัวชี้วัดที่สําคัญของผลการดําเนินการ ด้าน ตลาดเป็นอย่างไรรวมถงึ สว่ นแบง่ ตลาด หรอื ตําแหน่งในตลาด การเตบิ โตทางตลาดส่วนแบ่งตลาด และการเจาะตลาดใหมเ่ ปน็ อย่างไร ผลลพั ธ์เหลา่ น้ีแตกต่างกัน ตามส่วนตลาดและกลุ่มนักเรียนอยา่ งไร จากการศึกษาสรุปได้ว่า ผลลัพธ์ หมายถึง ผลลัพธ์ด้านหลักสูตรและกระบวนการ ผลลัพธ์ด้าน นักเรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผลลัพธ์ด้านบุคลากร ผลลัพธ์ด้านการนําองค์กรและการกํากับดูแลองค์กร และผลลพั ธ์ดา้ นการเงินและการตลาด 9.1.5 การบรหิ ารวิชาการโรงเรียน การบริหารวิชาการเป็นงานหลักของโรงเรียนซึ่งมีความสําคัญต่อการจัดการศึกษาเป็นงานที่มุ่ง ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียนให้บรรลุคุณภาพตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ ที่กล่าวให้เห็นว่าการ บริหาร โรงเรียนมุ่งที่คุณภาพนักเรียนเป็นหลักกิจกรรมของโรงเรียนจึงต้องส่งผลต่อคุณภาพนักเรียนซ่ึงเป็นความ คาดหวังของสงั คม ผูบ้ ริหารโรงเรยี นจึงต้องมีความรู้ความสามารถในการบริหารวชิ าการ (อุทยั บญุ ประเสรฐิ , 2540; ไพโรจน์ ชูชว่ ย, 2532)

นลิ ุบล ศลิ ปธนู รหสั นักศกึ ษา 6530640432006 -26- เอกชยั กส่ี ุขพนั ธ์ (2525) กลา่ วว่า งานบรหิ ารวิชาการในโรงเรยี นเป็นงานทม่ี ีความเก่ียวข้อง กับ เรอ่ื งตา่ งๆ ดังนี้ 1) หลักสตู ร 2) การจัดการเรยี นการสอน 3) การบริหารงานบคุ คลทางวชิ าการ 4) การนิเทศ การศึกษา 5) การบริหารสื่อการศึกษา 6) กิจกรรมอนื่ ๆ ทเี่ สริมการเรียนการสอน กติ ิมา ปรีดดี ลิ ก (2532) แบง่ ขอบข่ายงานวชิ าการ ออกเป็น 6 งาน ดงั นี้ 1) แผนปฏิบตั งิ าน ด้าน วิชาการ 2) หลักสูตรและการสอน 3) การจัดการเรียนและการสอน 4) สื่อการสอน 5) การ ปรับปรุงการ เรียนการสอน 6) การวดั และประเมินผล กนก จันทรข์ จร (2535) ได้กล่าวถึงการบริหารงานวชิ าการในโรงเรียน มขี อบขา่ ยดงั นี้ 1) วัตถุประสงค์ นโยบาย และวิธีการบรหิ าร 2) หลักสูตร ประมวลการสอน 3) ตารางสอน 4) อุปกรณ์ การ สอน 5) แบบเรียนและหนังสืออื่นประกอบ 6) การจัดแบ่งหมู่นักเรียน 7) การนิเทศการสอน 8) การจัด หอ้ งสมุด 9) การวัดและประเมนิ ผล กมล ภู่ประเสริฐ (2545) ไดใ้ หค้ วามหมายของการบริหารวชิ าการในสถานศึกษา หมายถึง การบริหารที่เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอันเป็นเป้าหมายสูงสุดของภารกิจของสถานศึกษา นอกจากน้ยี งั ได้ใหข้ อบข่ายการบรหิ ารวชิ าการไว้ ได้แก่ 1) การบรหิ ารหลักสูตร 2) การบรหิ ารการ เรียนการ สอน 3) การบริหารการประเมินผลการเรยี น 4) การบริหารการนิเทศภายในสถานศึกษา 5) การบริหารการ พัฒนาบุคลากรทางวิชาการ 6) การบริหารการวิจัยและพัฒนา 7) การบริหาร โครงการทางวิชาการอื่นๆ 8) การบริหารระบบข้อมูลและสารสนเทศทางวิชาการ 9) การบริหารการประเมินผลงานทางวิชาการของ สถานศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (2550) แบ่งขอบข่ายและภารกิจการบริหารวิชาการในกฎกระทรวง ออกเป็น 17 งาน ดังนี้ 1) การพัฒนาหรือดําเนินการเกี่ยวกับการให้ความเห็นการพัฒนาสาระ หลักสูตร ทอ้ งถน่ิ 2) การวางแผนงานด้านวชิ าการ 3) การจดั การเรยี นการสอนในสถานศึกษา 4) การ พัฒนาหลักสูตร ของสถานศึกษา 5) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 6) การวัดผล ประเมินผล และ ดําเนินการเทียบโอนผล การเรียน 7) การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา 8) การ พัฒนาและส่งเสริมให้มีแหล่ง เรยี นรู้ 9) การนิเทศการศึกษา 10) การแนะแนว 11) การพัฒนาระบบ ประกนั คุณภาพภายในและมาตรฐาน การศกึ ษา 12) การสง่ เสริมชุมชนให้มีความเขม้ แข็งทางวิชาการ 13) การประสานความร่วมมือในการพัฒนา วิชาการกับสถานศึกษาและองค์กรอื่น 14) การส่งเสริม และสนับสนุนวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน สถานประกอบการและสถาบันอื่นท่ีจัด การศึกษา 15) การจดั ทาํ ระเบยี บและแนวปฏิบัติเก่ียวกับ งานด้านวิชาการของสถานศึกษา 16) การ คัดเลือกหนังสือ แบบเรียนเพื่อใช้ในสถานศึกษา 17) การพัฒนา และใชเ้ ทคโนโลยเี พ่อื การศึกษา รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ (2551) ให้ความหมายไว้ว่า การบริหารวิชาการเป็นกระบวนการหรือ กิจกรรมการดําเนินงานทุกอย่างที่เกี่ยวกับการปรับปรุงการเรียนการสอน ตลอดจนการประเมินผลให้ ดีข้ึน เพื่อให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร และให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียน และยังได้ เสนอ แนวคิด เกี่ยวกับขอบข่ายการบริหารงานวิชาการไว้ 12 ประการ ดังนี้ 1) การพัฒนาหลักสูตร สถานศึกษา 2) การ พัฒนากระบวนการเรียนรู้ 3) การวัดผล ประเมินผล และเทียบโอนผลการเรียน 4) การวิจัยเพื่อพัฒนา คุณภาพการศึกษา 5) การพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีทางการศึกษา 6) การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 7) การนิเทศการศึกษา 8) การแนะแนวการศึกษา 9) การพัฒนาระบบ ประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 10) การส่งเสริมความรู้ดา้ นวชิ าการแกช่ มุ ชน 11) การประสานความร่วมมือในการพฒั นาวิชาการกับสถานศึกษา

นิลุบล ศิลปธนู รหัสนักศกึ ษา 6530640432006 -27- อื่น 12) การส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน และสถาบันอื่นที่จัด การศึกษา สมาน อัศวภูมิ (2551) กล่าวว่า การบริหารวิชาการเป็นกระบวนการดําเนินงานเพื่อให้พันธ กิจการบริหารด้านวิชาการ โดยเฉพาะการจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพและบรรลุความมุ่งหมายการศกึ ษาท่ีกําหนดไว้ ซ่งึ มขี อบเขตการบริหารงาน 5 งาน คือ 1) การ วางแผนวิชาการ 2) การพัฒนาหลักสูตร 3) การจัดการเรียนการสอน 4) การนิเทศและการพัฒนาการเรียน การสอน 5) การประเมนิ ผลงานทางวิชาการ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553) ได้ให้ความหมายของการบริหารวิชาการไว้ว่า การบริหาร วิชาการ หมายถึง การบริหารสถานศึกษา โดยการจัดกิจกรรมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับการปรับปรุง พัฒนาการเรียนการสอนใหไ้ ดผ้ ลดี และมปี ระสิทธิภาพใหเ้ กิดประโยชน์สูงสดุ กับผู้เรยี น นอกจากนั้น ยงั เสนอ ขอบข่ายการบริหารวิชาการไว้ ดังนี้ 1) การวางแผนเกี่ยวกับวิชาการเป็นการวางแผนที่ เกี่ยวข้องกับการ พัฒนาหลักสูตร และการนําหลักสูตรไปใช้ล่วงหน้าเกี่ยวกับการเรียนการสอน ได้แก่ แผนปฏิบัติวิชาการ โครงการสอน และบันทึกการสอน 2) การจัดดําเนินงานเกี่ยวกับการเรียนการสอน เพื่อให้การสอนใน สถานศึกษาดําเนินไปได้ด้วยดี และสามารถปฏิบัติได้ ได้แก่ การจัดตารางสอน โดยกําหนดครูผู้สอน เวลา วิชาและนักเรียนที่จะสอน การจัดชั้นเรียน สถานที่เรียนและสิ่งอํานวย ความสะดวก การจัดครูเข้าสอน รวมถึงการจัดวิทยากร การจัดแบบเรียน สื่อ เอกสาร การปรับปรุง การเรียนการสอน และการฝึกงาน สําหรับนักเรียน 3) การจัดบริการเกี่ยวกับการเรียนการสอน เป็น การจัดสิ่งที่เอื้อต่อการจัดการเรียนการ สอนและโปรแกรมการศึกษาให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพ ได้แก่ แก่การจัดสื่อการเรียนการสอน การจัด ห้องสมดุ และการนิเทศการสอน นพพงษ์ บุญจิตราดุลย์ (2557) ได้ให้ขอบข่ายการบริหารงานวิชาการไว้ 9 งาน ดังต่อไปนี้ 1) นโยบาย วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย วัตถุประสงค์ของโรงเรียน 2) การสร้าง พัฒนาและการ บริหาร หลักสูตร 3) การจัดการเรียนการสอน 4) การนิเทศพัฒนาครู 5) การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร 6) สื่อการ เรียนหรือวัสดุอุปกรณ์และเทคโนโลยีทางการศึกษา 7) ห้องสมุด 8) การแนะแนว 9) การประเมินผลงาน วชิ าการ สาํ นักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2560) กาํ หนดภารกิจงานวิชาการไว้ 7 ภารกจิ ได้แก่ 1) การวางแผนงานวิชาการ 2) การบริหารงานวิชาการ 3) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4) การ พัฒนาและ ส่งเสริมทางด้านวิชาการ 5) การวัดผล ประเมินผลการเรียนและงานทะเบียนนักเรียน 6) การแนะแนว การศกึ ษา 7) การประเมินผลการดําเนินงานวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการและแรงงานไอร์แลนด์ (2017) เสนอขอบข่ายงานวิชาการที่เกี่ยวกับการ พัฒนาความฉลาดรู้ทางดิจิทัลไว้ ดังนี้ 1) การวางแผนการใช้หลักสูตร 2) การพัฒนาหลักสูตรที่มี เป้าหมาย พัฒนาความฉลาดรู้ทางดิจิทัล 2) การจัดการเรียนการสอนบูรณาการความฉลาดรู้ทางดิจิทัล 3) การจัด กระบวนการเรยี นรู้ใหน้ ักเรยี นใช้เทคโนโลยีและเครอ่ื งมือสื่อสาร 4) การสร้างใชแ้ หล่งเรียนรู้ เสมือน 5) การ วัดประเมินผลโดยใช้ระบบออนไลน์ 6) การทําแฟ้มงานอิเลกทรอนิกส์ 7) การส่งเสริม ให้หน่วยงานอื่นจัด การศึกษา กจิ กรรม แหล่งเรียนรู้ จากแนวคิดของนักการศึกษาตามที่กล่าวมาแล้ว จึงสรุปได้ว่า การบริหารวิชาการโรงเรียนเป็น การบริหารสถานศึกษาที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ การ วัด และประเมินผล การบริหารบุคคลทางด้านวชิ าการ การนิเทศการศึกษา ท่สี ่งผลโดยตรงตอ่ การพัฒนาผู้เรียน

นลิ บุ ล ศลิ ปธนู รหัสนกั ศึกษา 6530640432006 -28- ผ่านการดาํ เนนิ การทางด้านวชิ าการ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนและบรรลุตามเปา้ หมายของสถานศึกษา และของชาติ 9.1.5.1 ขอบขา่ ยงานบรหิ ารวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2545) แบ่งขอบข่ายภารกิจด้านวิชาการไว้ในกฎกระทรวง ทั้งหมด 17 งาน ได้แก่ 1. การพัฒนาหรือการดาํ เนินการเก่ียวกบั การให้ความเห็นการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น 2. การวางแผนงานด้านวชิ าการ 3. การจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา 4. การพัฒนาหลักสตู รของสถานศึกษา 5. การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 6. การวัดผล ประเมนิ ผล และดําเนนิ การเทียบโอนผลการเรียน 7. การวิจยั เพอื่ พัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา 8. การพฒั นาและส่งเสริมใหม้ ีแหล่งเรียนรู้ 9. การนเิ ทศการศึกษา 10. การแนะแนว 11. การพฒั นาระบบประกนั คุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา 12. การส่งเสรมิ ชมุ ชนใหม้ ีความเข้มแขง็ ทางวิชาการ 13. การประสานความร่วมมอื ในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาและองคก์ รอนื่ 14. การส่งเสรมิ และสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงานสถาน ประกอบการและสถาบนั อ่ืนท่จี ัดการศึกษา 15. การจดั ทาํ ระเบียบและแนวปฏบิ ตั เิ กยี่ วกับงานดา้ นวิชาการของสถานศึกษา 16. การคัดเลอื กหนังสือ แบบเรยี นเพ่ือใชใ้ นสถานศกึ ษา 17. การพฒั นาและใช้สอ่ื เทคโนโลยีเพอ่ื การศึกษา ได้แก่ สํานักงานคณะกรรมการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน (2560) กาํ หนดภารกิจงานวชิ าการไว้ 7 ภารกจิ 1. การวางแผนงานวชิ าการ 2. การบรหิ ารงานวชิ าการ 3. การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 4. การพัฒนาและส่งเสริมทางด้านวิชาการ 5. การวัดผล ประเมนิ ผลการเรียนและงานทะเบียนนกั เรียน 6. การแนะแนวการศกึ ษา 7. การประเมนิ ผลการดําเนินงานวิชาการ ค่มู อื การปฏิบตั งิ านข้าราชการครขู องกระทรวงศึกษาธิการ (2552) โดยสาํ นักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐานได้กาํ หนดขอบข่ายและภารกิจการบรหิ ารวชิ าการของสถานศึกษา เอาไว้ 12 ประการ คอื 1. การพัฒนาหลกั สูตรสถานศกึ ษา 2. การพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ 3. การวัดผล ประเมินผล และเทยี บโอนผลการเรียน

นิลุบล ศลิ ปธนู รหสั นักศกึ ษา 6530640432006 -29- 4. การวิจัยเพ่ือพฒั นาคุณภาพการศกึ ษา 5. การพฒั นาสือ่ นวัตกรรม และเทคโนโลยที างการศกึ ษา 6. การพฒั นาแหล่งเรียนรู้ 7. การนิเทศการศึกษา 8. การแนะแนวการศึกษา 9. การพัฒนาระบบการประกนั คณุ ภาพภายในสถานศึกษา 10. การส่งเสรมิ ความรู้ด้านวิชาการแกช่ ุมชน 11. การประสานความร่วมมือในการพฒั นาวิชาการกับสถานศึกษาอื่น 12. การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงานและ สถาบันอื่นทีจ่ ดั การศึกษา เอกชัย กี่สุขพันธ์ (2525) กล่าวว่า งานบริหารวิชาการในโรงเรียนเป็นงานที่มีความ เกย่ี วขอ้ ง กับเรือ่ งต่างๆ ดงั น้ี 1. หลกั สตู ร 2. การจดั การเรียนการสอน 3. การบรหิ ารงานบุคคลทางวิชาการ 4. การนเิ ทศการศกึ ษา 5. การบรหิ ารสอ่ื การศกี ษา 6. กิจกรรมอ่ืนๆ ท่เี สรมิ การเรียนการสอน กติ ิมา ปรีดดี ลิ ก (2532) แบ่งขอบข่ายงานวิชาการ ออกเปน็ 6 งาน ดังนี้ 1. แผนปฏิบตั งิ านดา้ นวชิ าการ 2. หลักสูตรและการสอน 3. การจดั การเรียนและการสอน 4. สื่อการสอน 5. การปรบั ปรงุ การเรยี นการสอน 6. การวัดและประเมินผล กนก จันทรข์ จร (2535) ได้กลา่ วถึงการบรหิ ารงานวิชาการในโรงเรยี น มขี อบข่ายดังน้ี 1. วัตถุประสงค์ นโยบาย และวธิ ีการบรหิ าร 2. หลักสตู ร ประมวลการสอน 3. ตารางสอน 4. อุปกรณ์การสอน 5. แบบเรียนและหนงั สืออ่ืนประกอบ 6. การจดั แบ่งหมูน่ กั เรียน 7. การนเิ ทศการสอน 8. การจัดห้องสมุด 9. การวัดและประเมนิ ผล = กมล ภู่ประเสริฐ (2545) ใหข้ อบข่ายการบริหารวชิ าการไว้ ได้แก่ 1. การบรหิ ารหลักสูตร ลงกรณม์ หาวิทยาลยั

นลิ บุ ล ศลิ ปธนู รหัสนกั ศึกษา 6530640432006 -30- 2. การบรหิ ารการเรียนการสอน (ORN UNIVERSITY 3. การบริหารการประเมนิ ผลการเรยี น 4. การบรหิ ารการนเิ ทศภายในสถานศึกษา 5. การบริหารการพฒั นาบคุ ลากรทางวิชาการ 6. การบรหิ ารการวิจยั และพัฒนา 7. การบริหารโครงการทางวชิ าการอื่นๆ 8. การบรหิ ารระบบขอ้ มูลและสารสนเทศทางวิชาการ 9. การบริหารการประเมนิ ผลงานทางวิชาการของสถานศกึ ษา นพพงษ์ บญุ จิตราดลุ ย์ (2557) ได้ให้ขอบข่ายการบริหารงานวชิ าการไว้ 9 งาน ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. นโยบาย วสิ ยั ทัศน์ พนั ธกจิ เป้าหมาย วตั ถุประสงคข์ องโรงเรียน 2. การสรา้ ง พัฒนา และการบริหารหลักสูตร 3. การจัดการเรยี นการสอน 4. การนเิ ทศพฒั นาครู 5. การจัดกจิ กรรมเสริมหลักสูตร 6. สื่อการเรียนหรอื วัสดอุ ปุ กรณแ์ ละเทคโนโลยที างการศกึ ษา 7. หอ้ งสมดุ 8. การแนะแนว 9. การประเมนิ ผลงานวชิ าการ ร่งุ ชัชดาพร เวหะชาติ (2551) ได้ใหข้ อบข่ายการบริหารงานวชิ าการไว้ 12 งาน ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. การพฒั นาหลักสตู รสถานศึกษา 2. การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ 3. การวัดผล ประเมินผลและเทียบโอนผลการเรยี น 4. การวจิ ัยเพอื่ พฒั นาคุณภาพการศกึ ษา 5. การพัฒนาส่ือ นวตั กรรม และเทคโนโลยีเพอื่ การศึกษา 6. การพัฒนาแหลง่ การเรียนรู้ รณ์มหาวทิ ยาลยั 7. การนิเทศการศกึ ษา 8. การแนะแนวการศกึ ษา 9. การพฒั นาระบบการประกนั คณุ ภาพภายในสถานศึกษา 10. การส่งเสริมความรทู้ างวิชาการแก่ชมุ ชน 11. การประสานความร่วมมอื ในการพัฒนาวชิ าการกบั สถานศึกษาและองคก์ รอืน่ 12. การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงานและ สถาบันอืน่ ทจ่ี ัดการศกึ ษา ปรียาพร วงศอ์ นุตรโรจน์ (2553) ได้ใหข้ อบข่ายของงานวชิ าการประกอบดว้ ย 1. การวางแผนเกีย่ วกับงานวิชาการ 2. การจัดำเนินงานเกี่ยวกบั การเรยี นการสอน 3. การจัดบรหิ ารเกีย่ วกับการเรยี นการสอน 4. การวัดและประเมินผล

นิลบุ ล ศลิ ปธนู รหสั นกั ศกึ ษา 6530640432006 -31- สมาน อัศวภมู ิ (2551) แบ่งขอบขา่ ยของการบรหิ ารงานวิชาการไว้ 5 งาน คอื 1. การวางแผนวิชาการ 2. การพฒั นาหลักสตู ร 3. การจดั การเรียนการสอน 4. การนเิ ทศและการพฒั นาการเรยี นการสอน 5. การประเมนิ ผลงานทางวชิ าการ เมื่อขอบข่ายของงานวิชาการได้ถูกจําแนกไว้อย่างหลากหลายและมีส่วนที่ซ้อนทับกัน ดังนั้น ผู้วิจัยจึงนํามาจําแนกและแบ่งกลุ่มของงานบริหารวิชาการใหม่ ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1. การพัฒนา หลกั สตู ร 2. การจดั การเรียนการสอน 3. การวัดและประเมนิ ผล อนั หมายถึง การพัฒนาหลักสูตร คือ การวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้องและวิเคราะหส์ ภาพแวดล้อมของ สถานศึกษาเพื่อสร้างหลักสูตรและกําหนดวิสัยทัศน์/เป้าหมายของสถานศึกษา การประเมินผลการใช้ หลกั สตู รเพ่อื การพฒั นา การจัดการเรียนการสอน คือ การจัดวางบุคลากรปฏิบัติหน้าทีท่ างวิชาการ จัดทําแผนการ จัดการเรียนรู้ จัดกระบวนการการเรียนรู้ จัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์และ กิจกรรม พัฒนาผู้เรียน จัดแหล่งเรียนรู้ ประสานความร่วมมือกับผู้ปกครองและชุมชนเพื่อการเรียนรู้ ของผู้เรียน นเิ ทศการสอน วจิ ยั ในช้ันเรียน พัฒนาความสามารถในการจัดการเรียนการสอนของครู การวดั และประเมนิ ผล คือ การออกแบบการวัดและประเมนิ ผล ออกแบบเคร่ืองมือวัดและ ประเมินผล ดําเนินการวัดประเมนิ ผล ตัดสินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน คุณลักษณะอัน พงึ ประสงค-์ การอา่ นคิดวิเคราะห์และเขียน รวมถึงพฒั นาผเู้ รียนทผ่ี ลการประเมินไม่ ผา่ นเกณฑ์ งานทะเบยี น เทียบโอนผลการเรียน ตดั สินและอนุมตั ิผลการเรียนผา่ นช่วงชนั้ ออก หลกั ฐานจบการศึกษา ประเมินผลการ ดําเนนิ การตามระบบประกนั คุณภาพของสถานศึกษา ดังตารางสังเคราะหต์ ่อไปนี้ ตารางท่ี 1 ตารางสงั เคราะหแ์ นวคดิ ขอบขา่ ยการบริหารงานวิชาการ แนวคดิ /ทฤษฎี เอก ัชย ิก ิตมา กนก กมล (2545) นพพง ์ษ กระทรวงศึกษาธิกา ร ุ่รงชัชดาพร (2551) สมาน (2551) ป ีรยาพร ( ความ ี่ถ (ค ้ัรง) การวางแผนเกี่ยวกับงาน ✓ ✓ ✓✓4 วิชาการ การพัฒนาหลักสตู ร ✓✓✓✓✓✓✓✓ 8 การพัฒนาหรือการ ✓1 ดำเนินการเก่ียวกับการให้ ความเห็นการพัฒนา หลักสูตรทอ้ งถ่ิน

นลิ ุบล ศิลปธนู รหัสนกั ศึกษา 6530640432006 -32- แนวคดิ /ทฤษฎี เอกชัย กิ ิตมา กนก กมล (2545) นพพงษ์ กระทรวงศึกษาธิกา ร รุ่งชัชดาพร (2551) สมาน (2551) ปรียาพร ( ความ ี่ถ (คร้ัง) น โ ย บ า ย ว ิ ส ั ย ท ั ศ น์ ✓✓ 2 พันธกิจ เป้าหมาย วัตถปุ ระสงคข์ องโรงเรยี น การจัดดำเนินงานเก่ียวกับ ✓ ✓ ✓✓✓✓✓7 การเรียนการสอน การจดั บริหารเกยี่ วกับการ ✓ ✓2 เรียนการสอน ตารางสอน ✓ 1 การจัดแบ่งหมู่นักเรียน ✓✓ 2 การพัฒนากระบวนการ ✓ ✓ 2 เรียนรู้ การจัดกิจกรรมเสริ ม ✓ ✓ 2 หลกั สูตร การบริหารโครงการทาง ✓ 1 วิชาการอน่ื ๆ การนิเทศและการ ✓ ✓✓✓✓✓✓✓8 พัฒนาการเรยี นการสอน การวิจัยเพื่อพัฒนา ✓ ✓✓ 3 คณุ ภาพการศกึ ษา การพัฒนาสื่อ นวัตกรรม ✓ ✓ ✓ ✓✓✓ 6 แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ย ี เ พ่ื อ การศกึ ษา การบริหารระบบข้อมูล ✓ 1 และสารสนเทศทาง วิชาการ การพัฒนาแหล่งการ ✓✓ 2 เรียนรู้ ห้องสมดุ ✓✓ 2 การแนะแนวการศึกษา ✓✓✓ 3 การพัฒนาระบบการ ✓✓ 2 ประกันคุณภาพภายใน สถานศึกษา

นิลุบล ศลิ ปธนู รหัสนกั ศึกษา 6530640432006 -33- แนวคดิ /ทฤษฎี เอกชัย กิ ิตมา กนก กมล (2545) นพพงษ์ กระทรวงศึกษาธิกา ร รุ่งชัชดาพร (2551) สมาน (2551) ปรียาพร ( ความ ี่ถ (คร้ัง) การส่งเสริมความรู้ทาง ✓✓ 2 วชิ าการแก่ชุมชน การประสานความร่วมมือ ✓✓ 2 ในการพัฒนาวิชาการกับ สถานศึกษาและ องคก์ รอน่ื การส่งเสริมและสนับสนุน ✓✓ 2 งานวิชาการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงานและสถาบันอ่ืน ทีจ่ ดั การศึกษา การจัดทำระเบียบและ ✓1 แนวปฏิบัติเกี่ยวกับงาน ดา้ นวชิ าการของ สถานศึกษา ก า ร ค ั ด เ ล ื อ ก ห น ั ง สื อ ✓ ✓ 2 แบบเรียนเพื่อใช้ใน สถานศกึ ษา การบริหารการพัฒนา ✓ ✓ 2 บคุ ลากรทางวิชาการ การวดั และประเมินผล ✓✓✓ ✓4 การประเมินผลงานทาง ✓✓ ✓3 วชิ าการ การวดั ผล ประเมินผลและ ✓✓ 2 เทยี บโอนผลการเรียน การวิจยั ในครั้งน้ผี วู้ ิจยั แบ่งขอบข่ายการบริหารงานวิชาการ ออกเปน็ 4 ประการ เรยี งตามลำดับ ความถี่ ดังนี้ การพัฒนาหลักสูตร, การนิเทศและการพัฒนาการเรียนการสอน, การจัดดำเนินงานเกี่ยวกับ การเรยี นการสอน, การพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพอ่ื การศึกษา และการวัดและประเมินผล 9.1.6 การบรหิ ารโรงเรยี นเรยี นรวม ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโรงเรยี นเรียนรวม โดยแบ่งออกเป็น 5 ประเด็น ได้แก่ ความหมายโรงเรียนเรียนรวม, ประวัติความเป็นมาของโรงเรียนเรียนรวม, ปรัชญาการศึกษาที่

นิลุบล ศิลปธนู รหสั นักศึกษา 6530640432006 -34- เกย่ี วขอ้ งกบั โรงเรยี นเรียนรวม, หลกั การบรหิ ารโรงเรียนเรียนรวม และการบรหิ ารโรงเรยี นเรียนรวม เป็นต้น ดังจะได้กล่าวตอ่ ไปนี้ 9.1.6.1 ความหมายโรงเรียนเรยี นรวม 171 การให้ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวมเกิดจากการประชุมร่วมกนั และกำหนดเป็น ข้อตกลงที่เป็นปฏิญญาสากลในการจัดการศึกษา โดยกำหนดให้เด็กทุกคนมีสิทธิในการได้รับการศึกษาโดย ไมแ่ บ่งแยกความบกพร่อง การนับถือศาสนา ภาษา เพศ ความสามารถและเหตผุ ลอนื่ (UNESCO, 2003) นักวิชาการศกึ ษาพเิ ศษและหน่วยงานทีเ่ กีย่ วข้องต่างได้ให้ความหมายของการศกึ ษา แบบเรยี นรวมไวด้ ังต่อไปนี้ สเตนแบ็ค (Stainback & Stainback, 1996, p. 3) ได้อธิบายไว้ว่า การศึกษาแบบเรียน รวม หมายถึง การจัดการศึกษาในโรงเรียนเรียนรวมสำหรับเด็กทุกคนโดยไม่จำกัดความบกพร่อง พื้นฐาน ทางเศรษฐกิจ สงั คม และวฒั นธรรม โรงเรยี นมวี ธิ กี ารที่ช่วยใหเ้ ด็กทุกคนไดเ้ รียนด้วยกนั และได้รบั ประโยชน์จากการเรยี นรู้ร่วมกัน ลินส์ Lynch, J. (2001, p. 15) ได้อธิบายไว้ว่า การศึกษาแบบเรียนรวม หมายถึง การ จัดการศึกษาที่จัดให้เด็กและเยาวชนที่มีความตอ้ งการพิเศษและเด็กปกตไิ ด้เรียนรู้ด้วยกันในสภาพแวดล้อม ท่ัวไป ทั้งในระดบั ก่อนวยั เรียน ระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานในโรงเรียน วิทยาลัย และมหาวทิ ยาลยั โดยจัดให้ มีการส่งเสรมิ และใหก้ ารชว่ ยเหลอื ทางการศึกษาเทา่ ทีจ่ ะสามารถทำได้ เมอรี่ คริสเตียนและคริสติน่า (Mary A. Falvey, Chirstine C. Givner and Christina Kimm, 2005, p. 1) ได้อธิบายไว้ว่า การศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education) หรือการเรียนรวม (Inclusion) หมายถึงการจัดการศึกษาที่ทำให้บุคคลมีความรู้สึกมีส่วนร่วมหรือมีทัศนคติที่ดียอมรับและ สามารถเขา้ มามีส่วนร่วมในโรงเรียนหรือในชุมชน โดยจดั การศึกษาเพ่ือให้เด็กได้เป็นสว่ นหน่ึงของสังคมและ ไม่มคี วามรู้สึกแปลกแยกหรือแตกตา่ งจากคนอื่น มอร์ (Moore, 2005, p. 5) ไดอ้ ธิบายไว้ว่า การศกึ ษาแบบเรยี นรวม หมายถงึ การออกแบบ กระบวนการจัดการเรียนการสอนและการช่วยเหลือสนับสนุนสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษใน บริบทของการจัดการศกึ ษาทวั่ ไป โดยจัดใหน้ ักเรียนทกุ คนอยู่สภาพแวดลอ้ มภายในโรงเรียนและ ไดร้ บั การยอมรบั ในฐานะสมาชิกคนหนงึ่ ในโรงเรียน นกั เรยี นแตล่ ะคนจะมีความเทา่ เทยี มกันและไดร้ บั โอกาสทางการศึกษาอย่างทดั เทยี มกัน แซนด์ คูลล(์ Sandkull, 2005, p. 1) ไดอ้ ธิบายไวว้ า่ การศึกษาแบบเรียนรวม หมายถงึ การ จัดการศึกษาบนพื้นฐานแห่งสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นพื้นฐานของการจัดการศกึ ษา ซึ่งเกิดจากการประชมุ ระดับ นานาชาติว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชนเริ่มตั้งแต่การมีคำประกาศสากลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในปี ค.ศ. 1948 ซง่ึ เดก็ ทกุ คนมสี ทิ ธทิ จ่ี ะไดร้ ับการศกึ ษาอย่างเทา่ เทยี มและควรไดร้ บั การศึกษาจากโรงเรยี น มากท่สี ุดเท่าทจี่ ะเรยี นได้ การศกึ ษาควรชว่ ยให้เด็กไดใ้ ช้และพัฒนาความสามารถและศักยภาพ และสามารถ ใช้ชวี ติ ร่วมกนั ในสังคมอย่างสนั ตสิ ุข และเคารพสิทธิของผูอ้ ืน่ ยูเนสโก (UNESCO, 2005, p. 1) ได้อธิบายไว้ว่า การศึกษาแบบเรียนรวม หมายถึง ระบบ การศกึ ษาปกตซิ ึ่งในโรงเรียนน้นั มีทั้งนักเรียนปกติและนักเรยี นที่มีความต้องการพเิ ศษอยู่ในช้ันเรียนเดียวกัน ได้รับการบริการทางการศึกษาตามความจำเป็นและความต้องการเพื่อให้นักเรียนสามารถด ำเนินกิจกรรม ต่างๆได้โดยไมค่ ำนึงถึงความยากลำบากหรืออุปสรรคของผเู้ รยี น มีการจดั การเตรียมและวางแผนการศึกษาที่ มกี ารใชท้ รัพยากรทางการศึกษารว่ มด้วยอย่างเหมาะสมเพ่ือคุณภาพการศกึ ษา

นลิ บุ ล ศลิ ปธนู รหัสนักศกึ ษา 6530640432006 -35- เดซาย (Desai, 2007, p. 10) ได้อธิบายไว้ว่า การศึกษาแบบเรียนรวม หมายถึง การเรียน รวมในโรงเรียนเป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กทุกคนโรงเรียนและเป็นสถานศึกษาที่ทุกคนมีส่วนร่วม โดย ไดร้ ับการยอมรับและการสนับสนนุ จากเพื่อนๆ บุคลากรในชมุ ชน เพอื่ ตอบสนองความต้องการในการพัฒนา นักเรยี น การศกึ ษาแบบเรียนรวมคำนึงถงึ การจัดการศึกษาสำหรับเด็กทุกคนให้สามารถเรียนรู้ รว่ มกัน เด็กทกุ คนไดร้ ับการยอมรบั และสรา้ งโอกาสทางการศึกษาอยา่ งเท่าเทียมกนั เบญจา ชลธาร์นนท์ (2543, น. 2) ได้อธิบายไว้ว่า การศึกษาแบบเรียนรวม หมายถึง การ จัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนในระดับการศึกษาเดียวโดยไม่แยกว่าเด็กพิการต้องไปเรียนในสถานศึกษา เฉพาะรวมทั้งเด็กต้องการได้รับการสนับสนุนทุกด้าน ทางด้านการแพทย์ กึ่งแพทย์ วิชาการ สื่อ สิ่งอำนวย ความสะดวก บริการ และความช่วยเหลืออื่นทางการศึกษา โรงเรียนต้องปรับเปลี่ยนหลักสูตรยุทธศาสตร์ การบรหิ ารจัดการ เทคนคิ การเรียนการสอน สถานที่ รวมทงั้ จัดใหม้ ีบุคลากรสนบั สนุน ทง้ั นีเ้ พ่อื ให้เด็กทุกคน ไดเ้ รยี นรวมในการศึกษาเดียวกนั ศริ ิวมิ ล ใจงาม (2543, 31) กลา่ วถงึ การจัดการศกึ ษาแบบเรียนรว่ ม มแี นวทางการ จัดการ เรียนการสอน ที่ยังไม่เอื้อต่อเด็กพิการ ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงต่อไป เช่น นักเรียน พิการที่จะต้องเรียนใน โรงเรยี นเรยี นร่วมจะต้องมคี วามพร้อมเกอื บเทียบเท่าเด็กปกติ จงึ ทําให้มกี ารจดั แนว ศึกษาแนวใหม่ เรียกว่า ด้านการจัดการเรียนการสอนโรงเรียนไม่ต้องมีการปรับเปลี่ยนหลักสูตร เทคนิคการสอนและการ ประเมิน ซง่ึ ทาํ ใหเ้ ด็กพกิ ารขาดโอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนตามศักยภาพ ด้วยเหตุดังกล่าว การศึกษาแบบเรียนรวม ซึ่งมีหลักการ ว่าเด็กทุกคนควรมีสิทธิ์ที่จะเรียนรวมกัน โดยทางโรงเรียนและครูจะต้องเป็นผู้ปรับสภาพ แวดล้อม หลักสูตร การประเมินผล วัตถุประสงค์ ตลอดจนสื่อเทคโนโลยีให้เหมาะกับสภาพ ของเด็กแต่ละ คน บังอร ต้นปาน ได้กล่าวถึงความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวมว่า หมายถึง การรับเด็ก เข้ารับการศึกษาโดยไม่แบ่งแยกความ บกพร่องของเด็ก หรือคัดแยกเด็กทีด่ อ้ ยกว่าเดก็ ส่วนใหญ่ออกจากชัน้ เรียน แต่จะใช้การบริหาร จัดการและวิธีการในการให้เด็กเกิดการเรียนรู้และพัฒนาการตามความต้องการ จาํ เป็นอย่าง เหมาะสมเปน็ รายบุคคล (บงั อร ตน้ ปาน, 2546, 3-4) สำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ (2546, น. 14) ได้อธิบายไว้ว่า การศึกษาแบบเรียนรวม หมายถงึ การศกึ ษาสำหรับเดก็ ทกุ คน โดยรับเด็กพิการเขา้ มาเรียนรวมกบั เด็กปกติ ต้ังแต่เรม่ิ เข้ารับการศึกษา และจดั ให้มีบรกิ ารพเิ ศษตามความต้องการของแต่ละคน ผดุง อารยะวิญญูและวาสนา เลิศศิลป์ (2550, น. 6) ได้อธิบายไว้ว่า การศึกษาแบบเรียน รวม หมายถึง การจัดให้เด็กทุกคนได้มีโอกาสเรียนด้วยกันตลอดเวลาที่อยู่ในโรงเรียนทั้งในห้องเรียนและ นอกห้องเรียน ไม่วา่ เดก็ คนน้นั จะมีความต้องการพเิ ศษหรอื ไม่ก็ตาม ทกุ คนเรยี นไปด้วยกนั ครู ปฏบิ ตั ิตอ่ นักเรยี นเหมือนทุกคนเป็นเดก็ ปกติ กิ่งเพชร ส่งเสริม (2552, น. 36) ได้อธิบายไว้ว่า การศึกษาแบบเรียนรวม หมายถึง การ จัดการศึกษาใหเ้ ด็กทุกคน ทำให้เดก็ ท่ีมีความต้องการพิเศษไดเ้ ข้าเรียนในโรงเรียนกับเด็กทั่วไป โดยโรงเรียน ให้การยอมรับ เอาใจใส่ ให้การช่วยเหลือสนับสนุนในฐานะสมาชิกคนหนึง่ ของโรงเรียนโดยไม่มกี ารแบง่ แยก เด็กทกุ คนจะไดร้ ับการศึกษาทีเ่ หมาะสมกับความสามารถ เด็กทกุ คนจะไดเ้ รียนไปกับเพ่ือนในสภาพแวดล้อม เดียวกนั องค์การอนามัยโลก (2556, น. 5) ได้อธิบายไว้ว่า การศึกษาแบบเรียนรวม หมายถึง กระบวนการจดั การศกึ ษาทีต่ อบสนองต่อความต้องการทหี่ ลากหลายของผเู้ รยี นทุกคน ผา่ นการมีสว่ นร่วมใน

นิลุบล ศลิ ปธนู รหัสนักศกึ ษา 6530640432006 -36- การเรียนรู้ วัฒนธรรมและชุมชน ตลอดจนลดการแบ่งแยกและการกีดกันกลุ่มใด ๆ ไม่ให้มีส่วนร่วมใน การศกึ ษา มลิวลั ย์ ธรรมแสง ไดใ้ หค้ วามหมายของโรงเรียนเรยี นรวมว่า การจดั การเรยี นรวมไม่ได้เป็น เพียงการศึกษาท่ีจดั ขนึ้ เพ่ือเปิดโอกาสใหค้ นพกิ ารในทุกสังคมได้เข้าเรยี นรวมเด็กท่ัวไปในสถานศึกษาทั่วไปที่ จัดสำหรับเด็กทุกคนในประเทศเท่านั้น แต่การเรียนรวมเป็นกระบวนการของสถานศึกษาและระบบการ พัฒนาการศึกษาโดยองค์รวมที่ยึดหลักสิทธิมนุษยชนตามหลักการของสหประชาชาติท่ีมุ่งมั่นขจัดการเลือก ปฏิบัติ ลดการกีดกันโอกาสของเดก็ที่จะได้รับการศึกษาที่เสมอภาคและเป็นธรรม โดยรัฐเป็นผู้รับผิดชอบ ห ลั กแล ะเอกช น เป็น ผู้ ท่ี มี ส ่ว น ร ่ว มใน การ ส น ั บ ส น ุ น ให ้ เ กิ ด น โ ย บ าย แล ะการ น ำ น โ ย บ าย ส ู ่ การ ป ฏ ิ บ ั ติ ปรับเปลี่ยนเจตคติให้เหมาะสม สนับสนุนส่งเสริมสภาพแวดล้อมท่ีเป็นมิตรต่อเด็กทุกคนพร้อมทั้งการ ส่งเสริมสนับสนนุ ทรพั ยากรอย่างจริงจังและเหมาะสม ทงั้ นี้เพ่อื เป็นการช่วยใหเ้ ด็กทุกคนในแต่ละประเทศได้ มีโอกาสเรียนรวมกันในสถานศกึ ษาในท้องถน่ิ ของเด็ก ๆ แต่ละคนอยา่ งมคี ุณภาพ (มลิวัลย์ ธรรมแสง, 2557) สรุป การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม เป็นการจัดการศึกษาสําหรับเด็กที่มีความ ต้องการ พิเศษ ตามความสามารถและความต้องการของเด็กแต่ละคน โดยโรงเรียนและครูต้องมี การปรับเปลี่ยน สภาพแวดล้อม หลักสูตร เทคนิคการสอน สื่ออุปกรณ์ การประเมินผลเพื่อให้ เด็ก ๆ ทุกคนเรียนรวมกันได้ และไดร้ บั การพัฒนาเต็มศกั ยภาพของแตล่ ะบุคคล 9.1.6.2 ประวตั ิความเป็นมาของโรงเรียนเรยี นรวม 171 แนวคิดในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม (inclusive education) หรือการเรียนรวม (inclusion) ได้เริ่มปรากฏในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาที่สังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็วท้ัง ทางดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม รวมถงึ อทิ ธพิ ลความเชอื่ ในเร่ืองของหลักสิทธมิ นุษยชน และสิทธิเด็กที่ว่าการศึกษา เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและเด็กทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับ การศึกษาขั้นพื้นฐานบนพื้นฐานของโอกาสที่ เท่าเทียมกันและให้ความสนใจกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ทางการศึกษาที่ต้องตกหล่นจากระบบการศึกษาทั้งที่ไม่มี โอกาสได้รับการศึกษาและที่ไม่สามารถคงอยู่ในระบบการศึกษาจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน เด็กที่มีความ ต้องการพิเศษถือเป็นกลุ่มหนึ่งที่จะต้องดําเนินการจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับสภาพความพิการและ ความสามารถ ของแต่ละบุคคล ซึ่งในระบบการจัดการศึกษาแต่เดิมจะจัดรูปแบบเดียว คือ การศึกษาปกติ ทั่วไป (regular education) ต่อมามีการจัดการศึกษาให้กับเด็กพิการ โดยจัดเป็นโรงเรียนพิเศษ เฉพาะ ความพิการ ต่อมาก็ได้มีการทดลองให้เด็กพิการเข้าเรียนร่วมในโรงเรียนปกติ ซึ่งจากการศึกษาพบว่าเด็ก พิการเหล่านั้นมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีกว่าเด็กกลุ่มที่เรียนอยู่ในโรงเรียน พิเศษเฉพาะ จึงเกิดวิธีการจัด การศึกษาแบบเรียนร่วมชั้น และการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม (การจัดการศึกษาพิเศษในโรงเรียนปกติ, ม.ป.ป.) เพมิ่ เติมจากหนังสอื ตอ้ งไปคน้ หาทม่ี หาวทิ ยาลยั ราชภฎั สงขลา โดยวิวัฒนาการของการจัดการศึกษาแบบโรงเรียนเรียนรวมนั้นมีลำดับข้ันตอน โดยสามารถ แบง่ ได้ 5 ขั้น กลา่ วคอื อ ขนั้ ที่ 1 การปฏิเสธ ไมย่ อมรบั เดก็ ท่มี คี วามต้องการพิเศษ ขน้ั ที่ 2 การแบ่งแยก เดก็ ทมี่ ีความตอ้ งการพเิ ศษไดร้ ับการยอมรับข้ึนมาบา้ งเนื่องจากความสงสารและเหน็ ใจ ข้นั ที่ 3 การเข้าใจ เด็กที่ มีความต้องการพิเศษได้รับการยอมรับโดยให้เรียนในโรงเรียนเรียนร่วม ขั้นที่ 4 การยอมรับ ทุกคนให้การ ยอมรับเดก็ ท่ีมคี วามตอ้ งการพิเศษอยา่ งแทจ้ ริง ซ่งึ ขน้ั ตอนทนี่ ำไปสู่การศกึ ษาแบบเรียนรวมนน้ั มีดงั ตอ่ ไปน้ี ( ผดงุ อารยะวญิ ญู และ วาสนา เลศิ ศิลป์, 2551) ขั้นที่ 1 ขั้นกีดกัน (Exclusion) ในขั้นนี้เป็นการปฏิเสธ นั้นคือ การไม่ยอมรับเด็กที่มีความ ต้องการพิเศษ โดยมองว่าเปน็ คนไมป่ กติ เชน่ การที่เดก็ มสี ติปญั ญาต่ำกว่าคนปกติจะถกู มองว่าโงเ่ ขลา

นิลุบล ศลิ ปธนู รหัสนักศึกษา 6530640432006 -37- ไม่สามารถเรียนหนังสือได้ ทำให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษเหล่านี้ไม่ได้รับการศึกษา ถูกกีดกันไม่ให้เข้าถึง การศึกษา ขน้ั ที่ 2 ขั้นแบง่ แยก (Segregation) ในข้ันนี้เด็กท่ีมคี วามตอ้ งการพเิ ศษได้รับการยอมรับ ขึ้นมาเล็กน้อยโดยให้ได้รับการศกึ ษาบา้ ง การจัดการศกึ ษาถือเป็นการจัดให้เพราะความสงสารหรือการกุศล ยังคงมีการแบ่งแยก ข้นั ท่ี 3 ข้นั ความเข้าใจ (Understanding) ในขั้นน้เี ด็กทม่ี ีความต้องการพิเศษจะได้รบั การศึกษามากขึ้น อาจให้เรียนร่วมในโรงเรียนปกติ หรือเรียนในโรงเรียนเฉพาะความพิการเนื่องจากความ เข้าใจว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่รู้จริงและมีเครื่องมือครบถ้วนเป็น การศึกษาที่มคี ณุ ภาพแต่ยงั ไม่มกี ารยอมรับอยา่ งแท้จริง ขั้นที่ 4 ขั้นเรียนรวม (Inclusion) ในขั้นนี้เป็นการที่สังคมมีความรู้ความเข้าใจและยอมรับ เดก็ ทมี่ ีความต้องการพเิ ศษอย่างแท้จรงิ และจัดการศึกษาใหค้ วบคู่กับเดก็ ปกติในโรงเรียน หากส่ิงใด เปน็ อปุ สรรคจะหาทางแก้ไขจนสำเรจ็ เปน็ การศึกษาทจี่ ัดให้สำหรบั เด็กทุกคนเขา้ มาเรยี นรวมกัน ดังนี้ ขนั้ ที่ 4 ข้นั เรยี นรวม (Inclusion) ขั้นที่ 3 ข้ันความเข้าใจ (Understanding) ข้ันท่ี 2 ข้ันแบ่งแยก (Segregation) ขัน้ ท่ี 1 ข้นั กีดกนั (Exclusion) ภาพที่ 2 ววิ ัฒนาการของการจดั การศกึ ษาแบบโรงเรียนเรียนรวม (ทมี่ า : สชุ าดา บุบผา, 2557) 9.1.6.3 แนวคิดและปรัชญาการศกึ ษาที่เก่ียวข้องกับโรงเรยี นเรียนรวม ในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมซึ่งมีเด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนรวมกับเด็กปกติ มี ปรชั ญาการศกึ ษา ดงั น้ี (การศกึ ษาแบบเรยี นรวม, 2543, 17) 1. คนพิการเป็นทรัพยากรบุคคลของสังคม หากได้รับการส่งเสริมอย่างถูกต้อง ย่อมมี ความรู้ ความสามารถ มศี ักยภาพทีจ่ ะประกอบอาชีพ พง่ึ พาตนเอง และดาํ รงชีวติ อยใู่ นสงั คมอย่างมีความสุข รวมท้งั การช่วยสรา้ งสรรค์สงั คมไดเ้ ชน่ เดียวกบั คนท่ัวไป 2. การส่งเสริมพัฒนาคนพิการให้เต็มศักยภาพ ต้องดําเนินการอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การ คน้ พบความพิการ การบําบัดรักษา การฟืน้ ฟสู มรรถภาพ การใหก้ ารศึกษา การพัฒนาทักษะสงั คม การฟ้ืนฟู สมรรถภาพด้านอาชีพ 3. การจดั การศกึ ษาเพอื่ คนพิการ ม่งุ เน้นการพัฒนาความสามารถคนพิการให้เต็ม ศักยภาพ ของแต่ละบุคคล โดยการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม (Early Intervention services) ตั้งแต่แรกเกิด หรือแรกพบความพิการ ให้การศึกษาอบรมให้รู้จักสิทธิและหน้าที่ในฐานะพลเมืองดี มีอาชีพ มีงานทํา

นลิ บุ ล ศลิ ปธนู รหัสนักศึกษา 6530640432006 -38- สามารถดํารงชีวิตในสงั คมอย่างมีเกียรติ มีศักดิศ์ รีเทา่ เทียมกบั ผู้อ่นื ในสังคม ช่วยเหลือตนเอง และมีส่วนร่วม ในการพฒั นาประเทศ 4. การจัดการศึกษาเพื่อคนพิการ มุ่งเน้นการให้โอกาสการศึกษาที่เท่าเทียม ทั้ง การศึกษา ในระบบ นอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยต่อเนื่องตลอดชวี ติ 5. การจัดการศึกษาเพื่อคนพิการ เป็นการรวมพลังระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กร ชุมชน องค์กรคนพิการและผู้ปกครองคนพิการ และองค์กรเอกชนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการ ประสานความร่วมมือและสนับสนุนการดําเนินการจัดการศึกษา เพื่อคนพิการทุกระบบและครบวงจร จึง จาํ เป็นต้องมีการสง่ เสริมพฒั นาระบบการทาํ งานรว่ มกันระหวา่ งหนว่ ยงานทเ่ี กีย่ วข้อง 6. การจัดการศึกษาเพื่อคนพิการ มุ่งปลูกจิตสํานึกและสร้างเจตคติที่เหมาะสม เกี่ยวกับ การจัดการศึกษาเพื่อคนพิการ โดยให้สังคม ชุมชน ผู้จัดบริการและประชาชน ตระหนักถึงศักยภาพความ แตกต่างระหว่างและเฉพาะบคุ คล รวมถึงสทิ ธเิ ทา่ เทียมของบุคคลทกุ คน สุทธิดา โชติรื่น ได้อธิบายการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมดังน้ี การจัดการศึกษาแบบเรียน รวมจะต้องร่วมมือกันระหว่างองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน รวมทั้งผู้ปกครองและชุมชน โดยปลูกฝัง ด้านจิตสำนึกและเจตคติเกี่ยวกับการจัดการศึกษาให้แก่เด็กทุกคนโดยคำนึงถึงศักยภาพความแตกต่าง ระหวา่ งบคุ คล หรือความบกพร่องเฉพาะบคุ คล ซ่งึ จะใหส้ ิทธิเท่าเทยี มกนั ทกุ คน โดยไมเ่ ลือกปฏิบัติต่อบุคคล ใดเป็นพิเศษเฉพาะ โดยการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า การศึกษา เพื่อทกุ คน (Education for All) เพราะเด็กแต่ละคนจะมคี วามแตกต่างทัง้ ในด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม ดังนั้นความตอ้ งการของเด็ก ๆ ทุกคนย่อมมีความแตกต่างกันแมอ้ ยู่ในชั้นเรยี นเดียวกนั โรงเรียน และครูจึงต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้เด็กทุกคนเรียนรวมกันและได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพของแต่ละบุคคล (สุทธดิ า โชติรื่น, ม.ป.ป.) การจัดการศึกษาเพื่อคนพิการ จะมุ่งเน้นการพัฒนา ตั้งแต่แรกเริ่มที่พบความพิการ จนกระทั่งให้โอกาสได้เรียนตามศักยภาพ โดยความร่วมมือของหลายฝ่าย เช่น ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนชุมชนและผู้ปกครองผู้พิการ เพื่อให้ผู้พิการสามารถช่วยเหลือตนเองได้ โดยการมีอาชีพและมีงาน ทาํ ไม่เปน็ ภาระต่อสังคม 9.1.6.4 หลักการบริหารโรงเรยี นเรียนรวม 174-187 บรอดออฟอีดเู คชัน่ ไดก้ ลา่ วถงึ หลกั การในการพฒั นาการบริหารโรงเรียนเรียนรวม สำหรับ การจดั การศกึ ษาสำหรับเดก็ ท่มี ีความตอ้ งการพิเศษไวด้ ังน้ี 1. จัดใหเดก็ ทกุ คนไดรับการจัดการศึกษาภาคบังคบั โดยไมเสียคาใชจาย อยางนอย 9 ป 2. ใหจัดโปรแกรมการศึกษาที่เหมาะสมแกเด็กที่ดอยความสามารถทางการเรียน ให สามารถเรียนไดสงู สุดตามความสามารถ 3. จัดใหมีการศกึ ษาอบรมฝกฝนทักษะและเตรียมงานอาชพี ในระดับการศึกษาภาคบงั คับ 4. จัดการศึกษาในระดับที่สูงข้ึนแกบุคคลท่ีด้อยความสามารถทุกคนที่สามารถเรียนด้าน วิชาการ 5. จัดใหมโี รงเรียนการศกึ ษาเฉพาะและชัน้ เรยี นพิเศษในโรงเรยี นปกติ สาํ หรบั ผูทไ่ี ม สามารถไดรับประโยชนจากชั้นเรยี นปกติ 6. จดั โปรแกรมการศึกษาพเิ ศษกอนวัยเรยี นแกเด็กท่ีมีความตองการพเิ ศษรวมทงั้ การศึกษา ผูใหญสําหรับบุคคลทดี่ อยความสามารถทส่ี ามารถเรียนในระดับการศกึ ษาภาคบังคบั

นลิ บุ ล ศิลปธนู รหสั นกั ศกึ ษา 6530640432006 -39- หลักการบริหารโรงเรียนเรียนรวม การปรับเปลี่ยนในด้านต่าง ๆ เพื่อให้การจัดการเรียน การสอนประสบผลสําเร็จทั้งในเด็กปกติ และเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งจะต้องมีการปรับเปลีย่ นในเรื่อง สภาพแวดล้อม หลักสตู ร เน้ือหา วิธสี อน สือ่ การเรียนการสอน และการประเมนิ ผล ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. การปรบั สภาพแวดลอ้ มในหอ้ งเรยี น สภาพแวดล้อมในห้องเรยี นท่ีส่งผลต่อสภาพของเดก็ ที่มีความต้องการพิเศษ แบ่ง ออกเปน็ 3 ประเภท ดังนี้ 1.1 สภาพแวดลอ้ มทางสงั คม บุคคลที่อยูร่ วมกบั เด็กที่มคี วามต้องการพเิ ศษใน โรงเรียน หรือชั้นเรียน ได้แก่ ผู้บริหาร ครู และบุคลากรในโรงเรียน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักเรียนและบุคคล ดงั กล่าวข้างต้น จะต้องยอมรบั เข้าใจ ให้ความสําคญั ซึง่ จะส่งผลให้เด็กท่ีมี ความต้องการพิเศษอยู่ในโรงเรียน อยา่ งมคี วามสขุ และประสบความสําเรจ็ ในการเรยี น 1.2 สภาพแวดล้อมทางกายภาพ สภาพภายนอกและภายในห้องเรียน จะต้องมี การ ปรับให้เข้ากับสภาพความพิการของเด็ก เช่น การจัดที่นั่งเรียน แสงสว่าง ทางลาด โต๊ะเรียน การจัด สภาพแวดลอ้ มข้างตน้ จะชว่ ยให้เดก็ ทีม่ ีความต้องการพิเศษ สามารถชว่ ยเหลือตัวเองใน การเรยี นและการดํารงชีวิตอยใู่ นโรงเรียนไดโ้ ดยไมเ่ ป็นภาระของผู้อ่นื 1.3 สภาพแวดล้อมทางวิชาการ การเรียนรู้ของเด็กจะต้องมีสิ่งท่ีจะช่วยให้ ผู้เรียนมี โอกาสทจี่ ะเรยี นรู้ไดด้ หี รอื ไม่ดี การเตรียมทม่ี คี วามเหมาะสมต่อสภาพความพิการของ เด็ก เช่น หนังสือเรียน รูปภาพ สื่ออุปกรณ์อื่น ๆ จะต้องสนับสนุนให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษได้เรียนรู้เหมาะสมกับสภาพพิการ จะชว่ ยในการเรียนร้ใู ห้มีประสิทธิภาพ 2. การปรับหลักสูตร การปรับหลักสูตรจะสามารถช่วยไม่ให้เกิดความล้มเหลวที่เด็กมักได้รับเป็น ประจําใน การเรียน ทําให้เด็กเหล่านี้สามารถเรียนกับเด็กทั่วไปได้ และมีโอกาสที่จะประสบความสําเร็จตามระดับ ความสามารถของตน โดยไม่ต้องแขง่ ขนั กบั เด็กท่วั ไปหรือเด็กพเิ ศษคนอนื่ ๆ แตเ่ ดก็ จะแขง่ ขนั กบั ตนเอง โดย เน้นที่พัฒนาการและความก้าวหน้าที่เด็กสร้างขึ้นและแน่นอนเขาจะต้องบรรลุจุดประสงค์และ เป้าหมายที่ ตง้ั ขน้ึ ใหเ้ หมาะสมกบั ระดับความสามารถและความต้องการพเิ ศษ (สนุ นั ทา เที่ยงตรง, 2543, 80-81) 2.1 หลักการพ้นื ฐานในการปรับหลกั สตู ร มีดังนี้ 2.1.1 การจัดสภาพแวดล้อม เป็นการจัดห้องเรียนและสื่ออุปกรณ์ท่ีเป็นประโยชน์ ตอ่ การเรียนรู้ของเดก็ ให้มากทส่ี ุด โดยคำนึงถึงสภาพปญั หาและความตอ้ งการของตัวเด็กเปน็ หลกั 2.1.2 ทาํ ให้เด็กรู้สกึ ว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของห้องเรียน พยายามทําให้เด็กรู้สึกว่าตน เป็นสมาชิกท่ีสาํ คญั คนหนง่ึ ของห้องเรยี น การวางแผนการจดั เกา้ อี้ที่เด็กนัง่ อย่างระมัดระวังและให้มีส่วนร่วม ในกจิ กรรมช่วยไมใ่ ห้เกดิ การแบง่ แยกทางสงั คมของเดก็ 2.1.3 อธิบายความคาดหวังที่มีต่อเด็กให้สมาชิกทีมทราบทั่วกัน ต้องทําให้ แน่ใจ วา่ สมาชิกทุกคนรูว้ ่าตนต้องสอนอะไร เมอ่ื ไร และเดก็ ต้องบรรลุจดุ ประสงค์อะไรบ้าง 2.1.4 เลือกเนื้อหาและกิจกรรมที่จะนําไปสู่การทําได้จริงและทําได้สําเร็จของ นักเรียน ผลท่ีเหน็ ไดเ้ ร็วและชัดเจน จะชว่ ยสรา้ งความมนั่ ใจให้แก่นกั เรียน เพิม่ เตมิ จากหนังสือต้องไปค้นหา ทีม่ หาวทิ ยาลยั ราชภฎั สงขลา

นลิ ุบล ศิลปธนู รหัสนักศึกษา 6530640432006 -40- 9.1.6.5 การบรหิ ารโรงเรยี นเรียนรวม201 การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม นอกจากจะมีการเตรียมความพร้อมและรู้จักวิธีการสอน เด็กที่มีความต้องการพิเศษประเภทต่าง ๆ แล้ว การบริหารจัดการที่มีความสําคัญเป็นอย่างมากที่จะทําให้ การจดั การเรียนรวมประสบความสาํ เรจ็ ปจั จบุ ันจึงมกี ารบรหิ ารโดยใช้โครงสรา้ งซีท (Seat) ใช้ในการบริหาร โรงเรียนปกติที่มีเด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนรวม โดยมีองค์ประกอบหลัก 4 ประการ ได้แก่ นักเรียน สภาพแวดลอ้ ม กจิ กรรมการเรียนการสอน และเครือ่ งมือ ดังนี้ 1. การจดั การสำหรับนักเรยี น นักเรียน (Student) หมายถึง นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษกับนักเรียนปกติ ที่เรียน ร่วมอยู่ในโรงเรียนเดียวกนั ผู้บริหารจะต้องมีการเตรียมวางแผนแบ่งให้เด็กทั้ง 2 กลุ่ม สามารถเรียนร่วมกัน ได้ โดยไม่เป็นภาระหรือเป็นปัญหาให้กับโรงเรียน สําหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษจะมีการเตรียม ความพร้อมในด้านร่างกาย ด้านวิชาการ ด้านอารมณ์ สังคม และด้านการช่วยเหลือตนเอง ส่วนเด็กปกติจะ เตรียมความพรอ้ มให้มีความรู้ เกยี่ วกับการชว่ ยเหลอื และปฏิบตั ติ ่อเด็กพิการ ตลอดจนการสร้างเจตคตทิ ด่ี ีต่อ คนพกิ าร 2. การจัดการสำหรบั สภาพแวดล้อม โรงเรยี นจําเป็นต้องบริหารจัดการสภาพแวดลอ้ ม (Environment) ดงั นี้ 2.1 สภาพแวดล้อมทางกายภาพ (Physical environment) ควรจัดให้นักเรียนพิการ เรียนในสภาพแวดล้อมที่มีขดี จํากัดน้อยท่ีสุด และจดั ให้นกั เรียนพิการใช้สถานที่ และสิ่งอํานวยความสะดวก ตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งสะดวกและปลอดภัย และเข้าถึงได้ (Barrier-free and accessible) ดงั น้ี 2.1.1 การจัดสภาพแวดล้อมภายนอกอาคาร เช่น บริเวณภายนอกอาคาร ประเภท ของตวั อาคาร ทางเช่อื มอาคาร ทางเขา้ ทางเดนิ ทางข้าม ลานจอดรถ เกาะกลางถนน ตน้ ไม้ รอ่ งน้ำ เปน็ ตน้ 2.1.2 การจัดสภาพแวดล้อมภายในอาคาร ได้แก่ ประตู สวิตซ์ไฟ ทางลาด ระบบ เตอื นภัย บันได ลฟิ ท์ ทางเดินภายในตวั อาคาร พ้นื แสงสว่าง หอ้ งน้ำ โทรศพั ท์ เปน็ ตน้ การจดั สภาพแวดลอ้ มภายนอกและภายในอาคาร ตอ้ งจัดใหไ้ ด้ตามเกณฑ์ มาตรฐานที่ ระบุไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2542) ออกตามความในพระราชบัญญัติ การฟื้นฟูสมรรถภาพคน พิการ พ.ศ. 2534 เรื่อง กําหนดลักษณะอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ หรือบริการสาธารณะอื่นที่ต้องมี อุปกรณท์ ี่อํานวยความสะดวก โดยตรงแกค่ นพกิ าร โดยคาํ นึงถงึ ความสะดวกและปลอดภยั เป็นสาํ คัญ 2.2 บุคคลสําคัญท่ีเกี่ยวข้องในสภาพแวดล้อม (significant others) ได้แก่ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู และบุคลากรอื่นในโรงเรียน โดยผู้บริหารโรงเรียนแกนนําจัดการเรียนร่วมจะ เป็นผู้นํา ดาํ เนินการดงั ตอ่ ไปน้ี 2.2.1 จัดประชุมทุกกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน เพื่อแจ้งให้ทราบว่าโรงเรียนมี โครงการโรงเรียนแกนนำจดั การเรยี นร่วมและจะตอ้ งมีการดำเนนิ งานอยา่ งไรบา้ ง 2.2.2 เปน็ ผนู้ ําสร้างบรรยากาศของการยอมรับนักเรียนพิการเรียนร่วมใน โรงเรียนให้ ครูและบุคลากรทุกคน แม่ค้า รวมทั้ง นักการ ยาม และคนขับรถรับรู้ และร่วมมือกันดูแลและช่วยเหลอื เด็ก พกิ ารอย่างถกู วธิ ี 3. กิจกรรมการเรียนการสอน กิจกรรมการเรียนการสอน (Activity) หมายถึง กระบวนการทั้งหมดเกี่ยวกับการเรียน การสอนทั้งภายในและภายนอกห้องเรยี นและโรงเรียน หมายรวมถึง การบริหารและการใช้หลักสูตรเฉพาะ

นิลบุ ล ศลิ ปธนู รหสั นกั ศกึ ษา 6530640432006 -41- สำหรับเด็กที่มีความพิการระดับมากหรือรุนแรง (severe) หลักสูตรทั่วไปแต่ปรับบางวิชา หรือหลักสูตร เพิ่มเติม เช่น เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น ต้องจัดให้มีการเรียนรู้ในเรื่องการทำความคุ้นเคยกับ สภาพแวดล้อมและการเคลื่อนไหว อักษรเบรลล์ ส่วนเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินจัดให้เรียนภาษา มือ เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา จัดให้เรียนรู้ทักษะชีวิตประจําวัน การดูแลสุขลักษณะของตนเอง เช่น การสระผม นอกจากนี้ กิจกรรมการเรียนการสอนยังหมายรวมถึง การจัดทํา IEP และแผนการสอน เฉพาะบุคคล (Individual Implementation Plan : IIP) การตรวจสอบทางการศึกษา การใช้เทคนิคการ สอนพิเศษ เช่น การวิเคราะห์งาน (Task analysis) การใช้ระบบเพื่อนช่วยเพื่อน การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative learning) การสอนเสรมิ และการจดั การกบั พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในชัน้ เรียน เปน็ ตน้ 4. เครื่องมือ เครอ่ื งมอื (tools) มคี วามหมายกวา้ งขวาง หมายรวมถึง สงิ่ ท่ีนาํ มาเปน็ เครือ่ งมอื ใน การบริหารจัดการเรียนร่วม สิ่งที่ช่วยให้นักเรียนพิการหรือที่มีความบกพร่องเกิดการเรียนรู้และ ดํารงชีวิต อสิ ระไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพสงู สุด เช่น 4.1 งบประมาณ โดยจัดสรรงบประมาณให้ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา/ จังหวัด รับผิดชอบในการบริหารจัดการเงินจํานวน 40,000 บาท (สี่หมื่นบาทถ้วน) ต่อโรงเรียนแกนนําจัดการเรียน ร่วม 1 โรง 4.2 วิสัยทัศน์/พันธกิจ/ยุทธศาสตร์/แผนงาน/โครงการ/กิจกรรม โดยกำหนดให้ สอดคลอ้ งกับนโยบายของกระทรวงศกึ ษาธกิ ารและรัฐบาล 4.3 บริการ เชน่ บริการสอนเสรมิ กายภาพบาํ บัด กิจกรรมบาํ บดั 4.4 ส่อื อุปกรณ์ และเทคโนโลยี ส่งิ อาํ นวยความสะดวก 4.5 ระบบการบริหารจัดการ ผู้บริหารโรงเรียนต้องนําเสนอเรื่องการจัดการเรียนร่วม จัดตั้งคณะกรรมการวางแผน โดยนําเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดการเรียนรว่ มประจาํ โรงเรียนให้มี อํานาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายในการจัดการเรียนร่วม กำหนดแนวทางการดำเนินงาน จัดสรร งบประมาณ กำหนดบทบาทและหน้าที่ของบุคลากรทุกคนในโรงเรียน กําหนดรูปแบบในการจัดการเรียน ร่วม กำหนดรูปแบบในการจัดการเรียนรว่ ม และร่วมมือกับหนว่ ยงานและบคุ ลากรภายนอกทีเ่ กีย่ วข้อง การบริหารโดยใช้โครงสร้างซีท เป็นการบริหารในโรงเรียนปกติที่มีเด็กที่มีความต้องการ พิเศษเรียนรวมกัน โดยคำนึงถึงนักเรียน สภาพแวดล้อม กิจกรรมการเรียนการสอน และเครื่องมือท่ีช่วยใน การสนับสนุนการเรยี นรู้ของเด็กในโรงเรยี นเหล่านี้ ผู้บริหารจะต้องมุ่งเนน้ ในการพฒั นาสนับสนุนทัง้ 4 ด้าน ดงั ท่ไี ด้กลา่ วไปในข้างต้น เพอ่ื ใหง้ ่ายตอ่ การวางแผน เพ่อื การปฏบิ ัติและประเมินผลต่อไป 9.1.7 นโยบายและการบรหิ ารโรงเรียนเรียนรวม 9.1.8 การบริหารวิชาการโรงเรยี นเรยี นรวม ผูว้ ิจยั ได้ศกึ ษาเอกสารที่เกีย่ วข้องกบั การบรหารวิชาการโรงเรียนเรียนรวมซึง่ มีรายละเอยี ดดังนี้ 9.1.8.1 ความหมายการบริหารวชิ าการโรงเรยี นเรยี นรวม กล่าวโดยสรุปแล้วการบริหารวิชาการโรงเรียนเรียนรวม หมายถึง การบริหารวิชาการ โรงเรยี นเรยี นรวมเป็นการบรหิ ารสถานศึกษาเพ่ือพัฒนาผู้เรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของ ผู้เรียน การบริหารวิชาการโรงเรียนเรียนเรียนรวมเป็นการบริหารที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตร สถานศึกษา การพัฒนาการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาการวัดและประเมินผล ที่ส่งผลโดยตรงต่อการ

นลิ บุ ล ศลิ ปธนู รหัสนกั ศึกษา 6530640432006 -42- พัฒนาผู้เรียน ผ่านการดําเนินการทางด้านวิชาการ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนและบรรลุตามเป้าหมาย ของสถานศึกษาและของชาติ 9.1.8.2 ความสำคญั การบริหารวชิ าการโรงเรยี นเรยี นรวม การบรหิ ารงานวิชาการโรงเรยี นเรยี นรวมมคี วามสำคัญ ดังตอ่ ไปน้ี ทัสนี วงศย์ นื ได้กล่าวถงึ ความสำคญั ของการบริหารวชิ าการโรงเรียนเรียนรวม ดังน้ี 1) ทำให้ผู้บริหารตระหนักเห็นความสำคัญของงานวิชาการซึ่งเป็นงานหลักของ สถานศึกษา เพราะความสำเรจ็ ของสถานศกึ ษาส่วนหนึ่งขนึ้ อยู่กบั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของผู้เรียน 2) ทำให้ผู้บริหารและครูวางแผนพัฒนางานวิชาการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องเพ่ือ เสรมิ สร้างผู้เรยี นให้มคี วามรู้ ความสามารถ มีคณุ ลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์ 3) ทำให้สถานศึกษาปรับปรุงและพัฒนางานที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนให้มี ประสิทธภิ าพเกิดประโยชน์สงู สดุ ต่อผู้เรยี น 4) ทำให้เกดิ ความรว่ มมือระหว่างสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน ในการพัฒนาการเรียน การสอนตามความตอ้ งการของผ้เู รียนและชุมชน (ทัสนี วงศ์ยืน, 2555) กล่าวโดยสรุปการบริหารวิชาการโรงเรียนเรียนรวมเป็นการบริหารสถานศึกษาเพ่ือ พัฒนาผู้เรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน เป็นการบริหารที่ส่งผลโดยตรงต่อการ พัฒนาผู้เรียน ผ่านการดําเนินการทางด้านวิชาการ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนและบรรลุตามเป้าหมาย ของสถานศึกษาและของชาติ 9.1.8.3 ขอบขา่ ยการบริหารวิชาการโรงเรยี นเรยี นรวม ผวู้ จิ ัยได้ศกึ ษาเอกสารท่ีเกีย่ วข้องกับการบริหารวิชาการโรงเรยี นเรยี นรวม ทัสนี วงศ์ยืน ได้กล่าวว่า ผู้บริหารสถานศึกษามีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้กำหนด ทิศทางงานวิชาการ ทำหน้าที่เป็นผู้นำ เป็นนักวางแผน นักจัดองค์กร ผู้ประสานงาน ผู้แก้ไขความขัดแย้ง ผู้ แก้ป้ญหา ผู้จัดระบบงาน ผู้บริหารการเรียนการสอน นักบริหารงานบุคลากรและทรัพยากร รวมทั้งเป็นนัก ประเมินผลไปด้วยในเวลาเดียวกัน จากน้ันยังได้ระบุขอบข่ายการบริหารวิชาการโรงเรียนเรียนรวม ว่ามี 9 ประการ ดังน้ี งานหลักสูตร, งานจัดการเรียนการสอน, งานการประเมินผลการเรียน, งานการบริหารการ นเิ ทศภายในสถานศึกษา, งานพฒั นาบุคลากรทางวิชาการ, งานการวจิ ยั และพฒั นา, งานการบรหิ ารโครงการ ทางวิชาการอื่น ๆ, งานการบริหารระบบข้อมูลและสารสนเทศทางวิชาการ และงานการบริหารการ ประเมนิ ผลงานทางวชิ าการของสถานศึกษา (ทัสนี วงศ์ยนื , 2555) โดยสรุปสามารถแบ่งขอบข่ายการบริหารงานวิชาการโรงเรยี นเรยี นรวมไดด้ ังนี้ การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง การวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้องและวิเคราะห์ สภาพแวดล้อมของ สถานศึกษาเพื่อสร้างหลักสูตรและกําหนดวิสัยทัศน์/เป้าหมายของสถานศึกษา การ ประเมินผลการใชห้ ลักสูตรเพือ่ การพฒั นา การจัดการเรียนการสอน หมายถึง การจัดวางบคุ ลากรปฏบิ ัติหน้าที่ทางวิชาการ จัดทํา แผนการ จัดการเรียนรู้ จัดกระบวนการการเรียนรู้ จัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์และ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จัดแหล่งเรียนรู้ ประสานความร่วมมือกับผู้ปกครองและชุมชนเพื่อการเรียนรู้ ของ ผเู้ รยี น นเิ ทศการสอน วิจยั ในช้ันเรียน พัฒนาความสามารถในการจดั การเรยี นการสอนของครู การวัดและประเมินผล หมายถึง การออกแบบการวัดและประเมินผล ออกแบบ เคร่อื งมือวดั และ ประเมนิ ผล ดาํ เนนิ การวัดประเมนิ ผล ตัดสินผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน กิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น

นิลุบล ศิลปธนู รหสั นักศึกษา 6530640432006 -43- คุณลักษณะอันพึงประสงค์-การอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน รวมถึงพัฒนาผู้เรียนที่ผลการประเมินไม่ ผ่าน เกณฑ์ งานทะเบียน เทียบโอนผลการเรียน ตัดสินและอนุมัติผลการเรียนผ่านช่วงชั้น ออก หลักฐานจบ การศกึ ษา ประเมนิ ผลการดาํ เนนิ การตามระบบประกันคณุ ภาพของสถานศึกษา 9.1.8.4 องคป์ ระกอบการบริหารวชิ าการโรงเรียนเรยี นรวม ผ้วู จิ ยั ไดศ้ กึ ษาและแบง่ องคป์ ระกอบการบริหารวชิ าการโรงเรียนเรียนรวม ดังน้ี 1. การพฒั นาหลกั สตู รสถานศึกษา 1.1 การกำหนดจดุ มุ่งหมายของหลักสูตร 1.2 การกำหนดกล่มุ สาระการเรยี นรู้และกจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี น 2. การพัฒนาการจดั การเรียนการสอน 2.1 การพฒั นาการจดั การเรยี นการสอนตามกลมุ่ สาระ 2.2 การพัฒนาการจัดกจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี น 2.3 การพฒั นาการจดั กิจกรรมเสริมหลักสตู ร 3. การพฒั นาการวัดและประเมินผล 3.1 การพฒั นาการวัดและประเมินผลตามกล่มุ สาระ 3.2 การพัฒนาการวดั และประเมนิ ผลกิจกรรมพัฒนาผ้เู รยี น 3.3 การพฒั นาการวัดและประเมินผลกิจกรรมเสรมิ หลกั สูตร 9.2 แนวคดิ การเรยี นการสอนสนองความแตกต่าง 9.2.1 ความหมายของการเรียนการสอนสนองความแตกต่าง จากแนวโน้มของการจัดการเรียนรู้ในอนาคตพบวา่ การจัดการเรียนรู้สําหรับเด็กแต่ละคนควรมี ความแตกต่างกนั เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันทั้งในด้านความถนัด ความสนใจ ลีลาการเรียนรู้ และพหุปัญญาที่แตกต่างกัน ดังนั้น การที่ครูจะจัด การเรียนรู้ในช้ันเรยี นของตนเอง ให้ประสบผลสําเร็จน้ัน สิ่งสาํ คญั ประการหน่ึง คือ ครูจะต้องรู้จกั ผู้เรียนแต่ละคนว่ามลี ักษณะอย่างไร เพอื่ วางแผนจัดการเรียนรู้ด้วย การสอนที่แตกต่างเพื่อตอบสนองต่อผู้เรียนแต่ละคน ดังนั้น ไม่ว่าผู้เรียนจะมีลักษณะหรือความแตกต่างกนั อย่างไร ครูผู้สอนก็ต้องมีความสามารถในการจัดการเรียนรู้ให้ เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนแต่ละ คน ในบทนี้จะนําเสนอเกี่ยวกับความหมายของการสอนที่ แตกต่าง ขั้นตอนการเรียนการสอนสนองความ แตกต่าง และตัวอย่างแผนการสอนโดยใช้การสอน สนองความแตกต่างโดยเน้นการสอนที่แตกต่างตามลีลา การเรียนรู้ของผู้เรียน นอกจากนี้แล้วยังมีคํา กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้ในอนาคต ว่า “ผู้เรียนทุกคนควรจะ ได้รับการเตรียมการในการวางแผนที่ เฉพาะเจาะจงที่แบ่งสมองเป็น 4 ส่วน คือ VAKT (Visual, Auditory, Kinesthetic & Tactile)” หรือ ลีลาการเรียนรู้แบบ VARK (Visual, Auditory, Reading/Writing & Kinesthetic) ดังนั้น ครูทุกคน ควรเรียนรู้การวางแผนการสอนเพ่ือตอบสนองความต้องการของผู้เรียนที่มี ความแตกต่างกนั จากการศึกษาคําว่า Differentiated Instruction (DI) พบคําภาษาไทยที่ใช้ เช่น การเรียนการ สอนสนองความแตกต่าง การสอนที่แตกต่าง และวิธีการเรียนการสอนที่หลากหลาย คําว่า Differentiated Instruction ผู้วิจัยใช้คําศัพท์ภาษาไทยว่า การเรียนการสอนสนองความแตกต่าง สําหรับความหมายมีผู้ให้ ความหมายไว้ ดังน้ี

นลิ บุ ล ศิลปธนู รหสั นักศึกษา 6530640432006 -44- สํานักงานราชบัณฑิตยสภา (2558, หน้า 151 ) ได้ให้ความหมายของการเรียนการสอน สนอง ความแตกต่างไว้ว่าหมายถึง การสอนที่ผสมผสานระหว่างการสอนทั้งชั้น การสอนกลุ่มใหญ่ การสอนเป็น กล่มุ ย่อย และการสอนเป็นรายบคุ คล โดยการจัดสาระ กระบวนการ ผลผลติ และ สงิ่ แวดล้อมทางการเรยี นรู้ให้มคี วามหลากหลายเพอื่ ตอบสนองต่อความต้องการทีแ่ ตกต่างกันของ ผเู้ รียนเป็นการสอนที่มุง่ เพิ่มคุณภาพการเรียนร้ใู ห้แกผ่ ูเ้ รยี น ทอมลนิ สนั (Tomlinson, 1999 อ้างถึงใน Gayle, 2545, หนา้ 8) กล่าวว่าวิธกี ารเรียน การสอน ท่ีหลากหลายชว่ ยใหน้ ักเรียนมีทางเลือกที่จะบรรลุมาตรฐานที่กําหนด ท้าทายนักเรียน และเป็นทางเลือกให้ นักเรียนประสบความสําเร็จ ทั้งนี้ครูสามารถทําให้เกิดความแตกต่างในด้าน 1) เนื้อหา 2) เครื่องมือ ประเมินผล 3) งานที่จะเลอื กให้นกั เรยี นทํา และ 4) กลยุทธก์ ารเรียนการสอน ทอมลินสัน (Tomlinson, 1995 cited in Stoehr, Banks & Allen, 2011, p.1) กล่าวถงึ ความ แตกต่างของการเรียนการสอน (Differentiation of Instruction) ว่าเป็นปรัชญาที่ต้องการให้ นักศึกษา เปลี่ยนการคิดที่ให้ความสําคัญกับการส่งผ่านความรู้และทักษะใหม่ ๆ ด้วยการเตรียมประสบการณ์ท่ี หลากหลายเพื่อให้ผู้เรียนดําเนินการเก่ียวกับเนื้อหาและทักษะ และให้โอกาสผู้เรียนที่หลากหลายเพื่อแสดง สิ่งที่พวกเขารู้และสามารถทําได้ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงในกระบวนทัศน์ หมายถึง ผู้เรียนทุกคนจะได้รับการ วางแผนทเ่ี ฉพาะเจาะจงของการเรยี นการสอนโดยใช้การแบ่งสมองเปน็ 4 ส่วน คอื Visual, Oral, Auditory และ Kinesthetic เกย์เล (Gayle, 2545, หน้า 8) สรุปคําว่า วิธีการเรียนการสอนที่หลากหลาย หมายถึง เป็น ปรชั ญาท่ชี ว่ ยครูวางแผนเชิงกลยุทธ์ เพ่อื ใหส้ ามารถสนองความต้องการท่แี ตกต่างกนั ของนักเรียน ฮอลล์ สแทร็กแมน และ เมเยอร์ (Hall, Stragman & Meyer, n.d., p.2-3) ได้ให้ ความหมาย ของการสอนสนองความแตกต่างว่า เป็นกระบวนการสําหรับการสอน และการเรียนรู้ สําหรับผู้เรียนที่มี ความสามารถแตกต่างกันที่เรียนอยู่ในชั้นเรียนเดียวกัน นอกจากนี้แล้วยังมุ่ง พัฒนาการเจริญเติบโตของ ผู้เรียนแต่ละคน และการประสบความสําเร็จของผู้เรียนเป็นรายบุคคล ด้วย การค้นพบผู้เรียนแต่ละคนว่า เป็นอย่างไร และให้ความช่วยเหลอื ในกระบวนการเรียนรู้ สโตหร์ แบงคส์ และ แอลเลน (Stoehr, Banks & Allen, 2011, p.39) กล่าวว่า การเรียน การ สอนสนองความแตกต่าง หมายถึง ปรัชญาการสอนที่มาจากงานวิจัยที่หลากหลาย และกลวิธีที่ สอดคล้อง กับการทํางานของสมอง ความคิดและกิจกรรม เป็นแผนการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น สําคัญที่เปิด โอกาสใหผ้ เู้ รียนยดื เส้นทางทแี่ ตกต่างกันเพ่อื บรรลเุ ป้าหมายเดยี วกัน วิทมอร์ (Whitmore, 2012, p.4) ได้กล่าวถึง การเรียนการสอนสนองความแตกต่างว่ายึด ข้อตกลงเบื้องต้นที่ว่า ผู้เรียนมีความแตกต่างกันในด้านลีลาการเรียนรู้ ความต้องการ จุดแข็ง และ ความสามารถ ทงั้ นิ ทง้ั นี้กจิ กรรมในชั้นเรยี นทต่ี อบสนองความแตกตา่ งของผเู้ รยี น ไอมาด้า (Aimada, 2014, p.1) กล่าวว่า การเรียนการสอนสนองความแตกต่าง หมายถึง การ ปรับเนื้อหา รับเนื้อหา กระบวนการ หรือผลผลิตตามความพร้อม ความสนใจและข้อมูลส่ว นตัวท่ี เฉพาะเจาะจงของผ้เู รียน จากความหมายของคําว่า การเรียนการสอนสนองความแตกตา่ ง ที่กล่าวมาขา้ งต้น พอที่จะสรุป ไดว้ า่ การเรียนการสอนสนองความแตกต่างเปน็ ปรชั ญาท่ีครูนํามาใช้ในการวางแผนการจัดการเรียนการสอน โดยคาํ นงึ ถงึ ความแตกตา่ งของผเู้ รยี นแต่ละคนเพ่ือให้บรรลเุ ปา้ หมายเดียวกัน โดยครูผ้สู อนสามารถทําให้เกิด

นลิ บุ ล ศิลปธนู รหสั นกั ศกึ ษา 6530640432006 -45- ความแตกตา่ งในดา้ น 1) เน้ือหา 2) การประเมินผล 3) ภาระงาน/ชิ้นงาน 4) กลยทุ ธก์ ารเรียนการสอน และ 5) ส่ิงแวดลอ้ มทางการเรยี นรู้ 9.2.1.1 ความหมายนกั เรียนทมี่ คี วามบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ 1 จากการศึกษาคําวา่ Differentiated Instruction (DI) พบคาํ ภาษาไทยท่ีใช้ เช่น การเรียน การสอนสนองความแตกต่าง การสอนที่แตกต่าง และวิธีการเรียนการสอนที่หลากหลาย คําว่า Differentiated Instruction ผู้วิจัยใช้คําศัพท์ภาษาไทยว่า การเรียนการสอนสนองความแตกต่าง สําหรับ ความหมายมีผู้ใหค้ วามหมายไว้ ดังนี้ สํานักงานราชบัณฑิตยสภา (2558, หน้า 151 ) ได้ให้ความหมายของการเรียนการสอน สนองความแตกต่างไว้ว่าหมายถึง การสอนท่ีผสมผสานระหว่างการสอนทั้งชั้น การสอนกลุ่มใหญ่ การสอน เป็นกลุ่มย่อย และการสอนเป็นรายบุคคล โดยการจัดสาระ กระบวนการ ผลผลิต และสิ่งแวดล้อมทางการ เรียนรู้ให้มีความหลากหลายเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่แตกต่างกันของผู้เรียนเป็นการสอนที่มุ่งเพิ่ม คุณภาพการเรียนรใู้ ห้แก่ผเู้ รยี น ทอมลินสัน (Tomlinson, 1999 อ้างถึงใน Gayle, 2545, หน้า 8) กล่าวว่าวิธีการเรียน การสอนที่หลากหลายช่วยให้นักเรียนมีทางเลือกที่จะบรรลุมาตรฐานที่กําหนด ท้าทายนักเรียน และเป็น ทางเลือกให้นักเรียนประสบความสําเร็จ ทั้งนี้ครูสามารถทําให้เกิดความแตกต่างในด้าน 1) เนื้อหา 2) เครือ่ งมือประเมนิ ผล 3) งานทีจ่ ะเลอื กใหน้ กั เรียนทาํ และ 4) กลยทุ ธ์การเรยี นการสอน ทอมลินสัน (Tomlinson, 1995 cited in Stoehr, Banks & Allen, 2011, p.1) กล่าวถึง ความแตกต่างของการเรียนการสอน (Differentiation of Instruction) ว่าเป็นปรัชญาที่ต้องการให้ นักศึกษาเปล่ียนการคดิ ท่ีให้ความสาํ คัญกับการสง่ ผา่ นความรู้และทักษะใหม่ ๆ ด้วยการเตรยี มประสบการณ์ ทีห่ ลากหลายเพือ่ ให้ผเู้ รียนดําเนนิ การเก่ยี วกับเน้ือหาและทักษะ และใหโ้ อกาสผ้เู รียนทีห่ ลากหลายเพื่อแสดง สิ่งที่พวกเขารู้และสามารถทําได้ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงในกระบวนทัศน์ หมายถึง ผู้เรียนทุกคนจะได้รับการ วางแผนทเ่ี ฉพาะเจาะจงของการเรยี นการสอนโดยใช้การแบง่ สมองเป็น 4 สว่ น คอื Visual, Oral, Auditory และ Kinesthetic เกย์เล (Gayle, 2545, หนา้ 8) สรปุ คาํ วา่ วธิ กี ารเรยี นการสอนทีห่ ลากหลาย หมายถงึ เป็น ปรชั ญาที่ชว่ ยครูวางแผนเชงิ กลยทุ ธ์ เพอ่ื ให้สามารถสนองความต้องการท่แี ตกต่างกันของนักเรียน ฮอลล์ สแทร็กแมน และ เมเยอร์ (Hall, Stragman & Meyer, n.d., p.2-3) ได้ให้ ความหมายของการสอนสนองความแตกต่างว่า เป็นกระบวนการสําหรับการสอน และการเรียนรู้ สําหรับ ผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกันที่เรียนอยู่ในชั้นเรียนเดียวกัน นอกจากนี้แล้ วยังมุ่ง พัฒนาการ เจริญเติบโตของผู้เรียนแต่ละคน และการประสบความสําเร็จของผู้เรียนเป็นรายบุคคล ด้วย การค้นพบ ผู้เรยี นแตล่ ะคนวา่ เปน็ อยา่ งไร และใหค้ วามช่วยเหลือในกระบวนการเรียนรู้ สโตหร์ แบงคส์ และ แอลเลน (Stoehr, Banks & Allen, 2011, p.39) กล่าวว่า การเรียน การสอนสนองความแตกต่าง หมายถึง ปรัชญาการสอนที่มาจากงานวิจัยที่หลากหลาย และกลวิธีท่ี สอดคลอ้ งกับการทาํ งานของสมอง ความคิดและกิจกรรม เป็นแผนการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรยี นเป็น สําคัญ ทเี่ ปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นยืดเส้นทางท่ีแตกตา่ งกันเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกัน วิทมอร์ (Whitmore, 2012, p.4) ได้กล่าวถึง การเรียนการสอนสนองความแตกต่างว่ายึด ข้อตกลงเบื้องต้นที่ว่า ผู้เรียนมีความแตกต่างกันในด้านลีลาการเรียนรู้ ความต้ องการ จุดแข็ง และ ความสามารถ ทัง้ นิ ท้งั น้กี ิจกรรมในชนั้ เรยี นท่ีตอบสนองความแตกตา่ งของผู้เรยี น

นิลุบล ศลิ ปธนู รหสั นักศกึ ษา 6530640432006 -46- ไอมาด้า (Aimada, 2014, p.1) กล่าวว่า การเรียนการสอนสนองความแตกต่าง หมายถึง การปรับเนื้อหา รับเนื้อหา กระบวนการ หรือผลผลิตตามความพร้อม ความสนใจและข้อมูลส่วนตั วที่ เฉพาะเจาะจงของผู้เรยี น จากความหมายของคําวา่ การเรียนการสอนสนองความแตกตา่ ง ท่กี ล่าวมาขา้ งตน้ พอท่ีจะ สรปุ ไดว้ ่า การเรยี นการสอนสนองความแตกต่างเปน็ ปรัชญาที่ครูนํามาใชใ้ นการวางแผนการจัดการเรียนการ สอนโดยคํานึงถึงความแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคนเพื่อให้บรรลุเปา้ หมายเดียวกัน โดยครูผู้สอนสามารถทํา ให้เกดิ ความแตกต่างในด้าน 1) เนอ้ื หา 2) การประเมินผล 3) ภาระงาน ชิ้นงาน 4) กลยุทธก์ ารเรียนการสอน และ 5) สิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ 9.2.1.2 ประเภทของนักเรยี นท่มี คี วามบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ 1 เมอ่ื กลา่ วถึง เดก็ ท่ีมคี วามบกพร่องทางการเรียนรู้ทมี่ ีปัญหาต่าง ๆ ดงั ท่กี ล่าวมาแล้วข้างต้น จากปัญหาดังกล่าว เมื่อนำมาจำแนกเป็นกลุ่ม หรือจัดประเภทก็จะทำให้เห็นลักษณะของเด็กที่มี ความ บกพร่องทางการเรียนรู้ที่ชัดเจน ที่ช่วยให้ครูผู้สอนหรือผู้ปกครองสามารถวางแผนในการใหค้ วามช่วยเหลอื ได้มีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น จากการศึกษาเอกสารต่าง ๆ พบว่า มีการจำแนกประเภทของเด็กที่มีความ บกพร่องทางการเรยี นรูไ้ ว้ดังนี้ ศรยี า นยิ มธรรม (ม.ป.ป., หนา้ 13-16) ไดส้ รุปการแบ่งประเภทของเด็กทมี่ คี วามบกพร่อง ทางการเรียนรู้ออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ 1) ความบกพร่องทางการเรียนรู้วิชาการ 2) ความบกพร่อง ทางการเรียนรดู้ ้านภาษา 3) ความบกพร่องทางด้านการเคลือ่ นไหว 4) ความบกพรอ่ งดา้ นสมาธหิ รอื สมาธิสั้น และ 5) ความบกพรอ่ งทางการรับร้ทู างด้านสังคม ผดงุ อารยะวญิ ญู (2542, หนา้ 23-33) และศันสนีย์ ฉตั รคุปต์ (2543, หนา้ 25-30) สรุปไว้ วา่ ความบกพรอ่ งทางการเรยี นรูส้ ามารถแบ่งได้เปน็ 4 ประเภทดังน้ี 1. ความบกพรอ่ งทางดา้ นการอ่าน ความบกพร่องทางด้านการอ่าน (Dyslexia) เป็นความบกพร่องทางการเรียนรู้ที่พบมาก ท่สี ุดโดยปกติความสามารถในการอ่านต้องอาศยั ความต่อเนอื่ งของส่งิ ตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ การมุง่ ความสนใจไปยงั สิ่ง ที่จะอ่าน และมีการเคลื่อนไหวสายตาตามหน้ากระดาษ และตามสิ่งที่อ่าน การจดจำตัวอักษรที่เป็นตัวแทน ของเสียงนั้น ๆ ได้ การเข้าใจคำศัพท์และไวยากรณ์ การรวบรวมสิ่งที่อ่านเป็นแนวคิด การเปรียบเทียบ แนวคิดใหม่กับสิ่งที่เป็นประสบการณ์เดิม และจัดเก็บเอาไว้ในหน่วยความจำ แต่เด็กที่มีปัญหาทางด้านการ อ่านจะมีความบกพร่องในลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าว นั่นคือเด็กจะไม่สามารถจำแนกตัวอักษร ที่คล้ายกันได้ ในขณะอ่าน ซึ่งเกิดจากการทำงานของสมองที่เกี่ยวกับการมองเห็น (Visual Processing) ผิดปกติ ทำให้ ความสามารถในการจำแนกเสียงที่คล้ายคลึงกัน (Phonological Awareness) ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เช่น ไม่สามารถจำแนกคำว่า “บิน” ออกจากคำว่า “กิน” ได้ หรือมีปัญหาในการประสมตัวอักษรเป็นคำ เช่น ไม่เข้าใจว่าทำไม “ทราย” จึงอ่านเป็น “ซาย” หรือบางทีก็อ่านสลับตัวอักษร เช่น “กบ” เป็น “บก” รวมไปถึงปัญหาการวิเคราะห์คำ การเข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่านทั้งที่เป็นคำและประโยคส่งผลให้เด็กไม่ สามารถตีความหมาย และทำความเข้าใจในเร่ืองท่ีอ่านได้ ดังนน้ั พฤติกรรมที่มักพบในเด็กที่มีปัญหาด้านการ อา่ นกค็ ือ การอา่ นหนังสือช้า อา่ นออกเสยี งไม่ชัดเจน ไมม่ คี วามระมดั ระวงั ในการอ่าน อ่ านขา้ ม อ่านเพิ่มคำ อ่านผิดประโยคหรือผิดตำแหน่ง ผันเสียงวรรณยุกต์ไม่ได้ มีความลำบากในการอ่านจับใจความสำคัญ หรือ เรยี งลำดับเหตุการณ์ของเรื่องท่ีอา่ นไม่ได้

นิลบุ ล ศิลปธนู รหสั นกั ศกึ ษา 6530640432006 -47- 2. ความบกพร่องทางดา้ นการเขยี น ความบกพร่องทางด้านการเขียน (Dysgraphia) เป็นความบกพร่องที่แสดงออกให้ทราบ ถึงกระบวนการคิดที่อยู่ภายใน ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยกลไกการทำงานของสมองที่ซับซ้อน เพื่อเชื่อมโยงข้อมลู หลายส่วนประกอบกันโดยแต่ละกลไกก็จะมีส่วนของสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับกลไกนั้น ๆประสานงาน อยู่ และเรียกการทำงานของสมองในส่วนนี้ว่า การทำงานแบบ Higher Cortical Function กล่าวคือในข้ัน แรก เด็กจะต้องรวบรวมสิง่ ที่เขียนเป็นความคิดรวบยอด แล้วนำ สิ่งที่คิดไว้ไปเชื่อมโยงกับอักษรซึ่งเป็นสิ่งที่ เคยเรียนรู้มาก่อน ต้องมีการจัดลำดับตำแหน่งของตัวอักษร และคำอย่างถูกต้อง ในขั้นตอนนี้ต้อง อาศัย กระบวนการที่เรยี กว่า Visual Processing ต่อมาจึงนำตัวอักษรหรือคำทีเ่ รียบเรียงไว้แล้วมาถ่ายทอดลงบน กระดาษโดยอาศัยการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเรียบ เอ็น และข้อต่อต่าง ๆ ซึ่งเรียกว่าการเคลื่อนไหวแบบ Kinetic Melody กระบวนการที่ใชใ้ น การเขียนทั้งหมดจึงเป็นการทำงานที่ซับซ้อนของสมอง ดังนั้นเด็กท่ีมี ปัญหาด้านการเขียน จึงมักจะเขียนตัวอักษรหรือคำสลับที่เขียนตัวอักษรผิดรูปแบบสะกดคำไม่ถูกต้อง เว้น วรรคไม่ถกู ต้อง เขียนผิดไวยากรณ์ คัดลอกช้า จบั ดนิ สองมุ่ ง่ามไม่ถนัด และลายมอื ไมด่ ี 3. ความบกพร่องทางด้านการคำนวณ ความบกพร่องทางด้านการคำนวณ (Dyscalculia) จัดเป็นความบกพร่องที่เกี่ยวกับ ความสามารถทางด้านการคำนวณ ได้แก่ การจดจำตัวเลข และสัญลักษณ์ต่าง ๆ ความเขา้ ใจเก่ียวกับการวัด ปรมิ าณ ระยะทาง เวลา และหนว่ ยของเงนิ ตรา เดก็ ทีม่ คี วามบกพร่องทางด้านการคำนวณมักจะไม่เข้าใจค่า ของตัวเลขตั้งแต่หลักหน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น เรื่อย ๆ ไป นับเลขไปข้างหน้า หรือถอยหลังไม่ได้ คำนวณ บวก ลบ คูณ หาร ด้วยการนับนิ้ว จำสูตรคูณไม่ได้ เขียนเลขกลับกัน มีความลำบากในการตีโจทย์ปัญหา หรอื อา่ นตวั เลขหลายตวั ไมเ่ ข้าใจเร่ืองเวลา ความคดิ รวบยอดเก่ยี วกบั ระยะทาง และความคดิ เชิงปริมาณ 4. ความบกพร่องทีไ่ มเ่ ฉพาะเจาะจง ความบกพร่องที่ไม่เฉพาะเจาะจง (Learning Disorder Not Otherwise Specified) จากรายละเอียดในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต พิมพ์ครั้งที่ 4 (The Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders Fourth Edition) เรียกย่อ ๆ ว่า DSM IV ได้ให้รายการ ความบกพร่องทางการเรียนรู้ประเภทอื่น ๆ ที่ไม่เข้าเกณฑ์ของความบกพร่องทาง การอ่าน การเขียน และ การคำนวณ ซึ่งอาจจะหมายรวมถึงความบกพร่องทั้ง 3 ประเภทเกิดร่วมกัน หรือความบกพร่องที่ไม่ได้ต่ำ กว่าเกณฑ์มากนัก ความบกพรอ่ งอื่น ๆ ท่ีพบรว่ มกับความบกพร่องทาง การเรยี นรู้ ไดแ้ ก่ 4.1 ความบกพร่องทางด้านสมาธิ (Attention Disorders) เป็นปัญหาที่พบร่วมกับภาวะ ความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้บ่อย แต่กฎหมายว่าด้วยการศึกษาสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องของ สหรัฐอเมริกา ไม่ได้กำหนดให้เป็นความบกพร่องทางการเรียนรู้ ทั้งน้ีการวินิจฉัยความบกพร่องทางการ เรียนรู้ด้านการอ่านและความบกพร่องด้านสมาธิมีความชัดเจนและแยกขาดจากกัน เด็กที่มี ความบกพร่อง ทางการเรียนรู้ร่วมกับความบกพร่องทางสมาธิ จะไม่สามารถจดจ่อและสนใจกับสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ บางคน หุนหันพลันแล่น อดทนรออะไรไม่ได้ ชอบขัดจังหวะเวลาคนอื่นพูด ทำให้เกิดปัญหาทางพฤติกรรมใน หอ้ งเรียนกับเพ่ือนและครู 4.2 ความบกพร่องทางด้านการสื่อสาร (Communication Disorders) เป็นตัวบ่งชี้ แรกเริ่มที่สุดของความบกพร่องทางการเรียนรู้ บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา จะมีความ ยากลำบากในการออกเสียงพูด การใช้ภาษาพูดเพื่อสื่อสารหรือการเข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นพูด โดยมีลักษณะของ ปัญหา คือ

นิลุบล ศิลปธนู รหัสนกั ศึกษา 6530640432006 -48- 4.2.1 ความบกพร่องทางด้านการแสดงออกด้วยภาษา จะเป็นปัญหาในด้านการ ถ่ายทอดความรูส้ ึกนึกคดิ ออกมาด้วยการพูด เชน่ เด็กบางคนเรยี กชอ่ื สงิ่ ตา่ ง ๆ ผดิ 4.2.2 ความบกพร่องทางด้านการรับรู้ภาษาและการแสดงออก จะเป็นปัญหา เกี่ยวกับการทำความเข้าใจในคำพูดในบางแง่ หรือบางด้าน เช่น คนงานที่ไม่สามารถปฏบิ ัตติ ามคำสั่งง่าย ๆ ได้ ซึ่งคนเหล่านี้มีการไดย้ นิ ปกติ เพียงแต่เขาไม่สามารถจะทำความเข้าใจกบั เสียงกับคำหรือกับประโยคบาง ประโยคที่เขาได้ยนิ 4.2.3 ความบกพร่องทางด้านการออกเสียง เป็นปัญหาในการควบคุมอัตราการพูด ของตนเอง หรืออาจมชี ่วงห่างของพฒั นาการด้านการเรียนรทู้ ่ีจะออกเสยี งพูดลา้ หลงั จากเพื่อนในวัยเดียวกัน จรรี ักษ์ จิรวิบูลย์ (2546, หน้า 1-3) ไดแ้ บ่งประเภทของปัญหาทางการเรยี นรู้ไว้ 8 ประเภท ดังนี้ 1. ปัญหาด้านการอา่ น หรือท่ีเรียกวา่ Dyslexia เปน็ ความบกพรอ่ งท่ีพบมากทีส่ ุด เชน่ ไม่ สามารถสะกดคำได้ อ่านออกเสียงไม่ถูกต้อง จำคำที่เพิ่งอ่านผ่านไปไม่ได้ หรือไม่ สามารถสรุป ใจความ สำคญั ของเรอ่ื งทอ่ี ่านได้ บางรายอาจมีปญั หาในการแยกแยะตัวอักษร เชน่ มีความสับสนระหวา่ งอกั ษร ม-น, ด-ค, 6-9 หรอื เห็นคำวา่ กบ เป็น บก 2. ปัญหาด้านการเขียน หรือที่เรียกว่า Dysgraphia เป็นความบกพร่องในเรื่องการเขียน ตัวอักษร เช่น ลายมืออา่ นยาก เขียนไม่ตรงบรรทัด ขนาดตวั อกั ษรไม่เท่ากัน มักจะเขียนแล้วลบบ่อย ๆ เด็ก บางคน จะจับดินสอแนน่ 3. ปัญหาด้านการคำนวณ หรือคณิตศาสตร์ ที่เรียกว่า Dyscalculia เป็นความบกพร่องท่ี เกี่ยวขอ้ งกบั คณิตศาสตร์ เช่น การไม่ร้จู กั หลกั หน่วย หลกั สิบ หลักร้อย นบั เลขไปขา้ งหนา้ หรือถอยหลังไม่ได้ ท่องสูตรคูณไม่ได้ ไม่เข้าใจเมื่ออ่านโจทย์เลข ไม่เข้าใจเมื่ออ่านตัวเลขที่มีจำนวนหลักมาก ๆ ไม่สามารถทำ ขัน้ ตอนการคูณ การหารได้ 4. ปัญหาด้านการสะกดคำ เช่น การเรียงตัวอักษรในคำผิด การสลับคำในประโยค การ สะกดข้ามตัวอักษร สร้างการสะกดคำแบบใหม่ ๆ ขึ้นมาเอง และมีปัญหาในการเชื่อมโยงเสียงที่ถูกต้องกับ ตวั อกั ษร 5. ปญั หาดา้ นความจำ เดก็ ที่มคี วามบกพร่องทางการเรียนรู้มักจะมีปัญหาในการจำ เพราะ ไม่รวู้ ่าจะจำส่ิงต่าง ๆ ไดอ้ ย่างไร ไม่มหี ลักหรอื วธิ ีการจำขอ้ มลู 6. ปัญหาด้านความสนใจ มักมีการตัดสินใจที่ขาดการยั้งคิด จับประเด็นสำคัญของเรื่องไม่ ถูก ไม่มีสมาธิ ถูกรบกวนจากสิง่ แวดล้อมภายนอกได้ง่าย 7. ปัญหาด้านกลไกกล้ามเนื้อ เช่น การทรงตัว การทำท่าทางลอกแบบ จังหวะใน การ เคลอื่ นไหว การโยนและเขย่งก้าวกระโดด สำหรบั ปัญหาการใชก้ ลา้ มเนื้อมดั เล็ก เช่น การวาดภาพ การเขียน หนงั สอื การประสานสมั พันธร์ ะหวา่ งกลา้ มเนื้อมือกับสายตา 8. ปัญหาด้านสังคม เช่น มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม แยกตัวออกจากสังคม ไม่สามารถ เข้า กับกลุ่มเพื่อนได้ มีปัญหากับพ่อแม่ ครู และเพื่อน ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกได้ หรือแสดงความรู้สึกมา จนเกนิ ไป ขาดความรู้สกึ ตอ่ สง่ิ เรา้ ขาดการรบั รตู้ ่อสภาพสงั คม จากการศึกษาเกี่ยวกับการจัดประเภทของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ที่กล่าว มาแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่า เกณฑ์ในการจำแนกประเภทจะมีความคล้ายคลึงกันเพียงแต่ใช้ชื่อเรียกที่ แตกต่างกันออกไป และจำแนกรายละเอียดปลีกย่อยออกจากประเภทใหญ่ ๆ ดังนั้น เมื่อกำหนดปัญหา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook