จดั ทาโดย ด.ช. เฉลมิ ศกั ด์ิ เกิดผล ด.ช. วิทวฒั น์ อดเหนียว
คำนำ หนงั สือสขุ ศึกษาเล่มเป็นส่วนหนง่ึ ของวิชา การสร้างหนงั สือ อิเล็กทรอนิกส์ ซง่ึ ข้าพระเจ้าได้รับมอบหมายจากคณุ ครูให้จดั ทาหนงั สือเรื่องนีข้ นึ ้ ตามความสนใจ โดยบรุ ณาการกบั วชิ า ศขุ ศกึ ษา เนือ้ หาในหนงั สือเล่มนีจ้ ะประกอบ ไปด้วยเร่ืองน่ารู้ทาง วิชาศขุ ศกึ ษา อาทิเช่น เรื่อง การออกกาลงั กาย เร่ืองเพศต่างๆ การทางานของระบบประสาทและสมอง ซงึ่ ข้าพระเจ้าได้รวบรวมไว้ในหนงั สือเลม่ นี ้ ขอบคณุ ครู ปภสั สร ก๋าเขียว ที่ให้แนะนา ปรึกษา และเพอ่ื นๆ ที่ช่วย ให้คาแนะนา ตลอดจนหนงั สือเล่มนีเ้สร็จ ลลุ ่วงไปด้วยดี หาผดิ พลาดประการใด ก็ขออภยั มา ณ ที่นีด้ ้วย ผ้จู ดั ทา เด็กชายเฉลมิ ศกั ด์ิ เกิดผล เดก็ ชายวทิ วฒั น์อดเหนียว
คานา ก สารบัญ ข การเจริญเตบิ โต ระบบประสาท 1 อาหารท่ีเหมาะสม การปฐมพยาบาล 2 การเพ่มิ พนู ความสามรถในการเคร่ือนไหว 3 การออกกลังกาย 4 สมรรถภาพทางกาย 5 สารเสพตดิ 6 กีฬาไทยและกฬี าสากล 7 กิจกรรมนันทนาการ 8 9 10
การเจริญเตบิ โตและพฒั นาการทางร่างกาย (Physical growth and development) ในชว่ งวยั รุ่นมีการเจริญเติบโตทางร่างกายอนั เป็นผลจากฮอร์โมนต่างๆ โดยชว่ ง growth spurt พบวา่ เป็นชว่ งท่ีวยั รุ่นมีการเพม่ิ ของส่วนสงู มากที่สดุ ในช่วงชีวติ โดยพบว่าความสงู ท่ีเพมิ่ ในช่วงนี ้ คดิ เป็นร้อยละ 20 -25 ในสว่ นสงู ในชว่ งวยั ผ้ใู หญ่ โดยเพศหญิงเร่ิมที่อายุ 9 ปี และเพศชายที่อายุ 11 ปี โดยประมาณ สดุ ท้ายเพศชายจะสงู กว่าหญิงโดยประมาณ 12-13 เซนตเิ มตร เนื่องจากการ ปิดของกระดกู ช้ากวา่ เพศหญิง 2 ปี อนั เป็นผลจากฮอร์โมนเพศ (sex steroids) รวมไปถงึ การ เปลี่ยนแปลงอ่ืนๆ ของร่างกาย เช่น สดั ส่วนของร่างกายซงึ่ มีมวลกล้ามเนือ้ (lean mass) ใน สดั ส่วนที่มากขนึ ้ ในเพศชายและลดลงในเพศหญิง การเพมิ่ ขนึ ้ ของมวลรวมถงึ การเจริญของกระดกู ซงึ่ ทาให้ไหลก่ ว้างขนึ ้ ในเพศชายหรือสะโพกผายเดน่ ขนึ ้ ในเพศหญิง เป็นต้น
ระบบประสาท ระบบประสาทของสตั ว์ มีหนา้ ท่ีในการออกคาส่งั การทางานของกลา้ มเน้ือ ควบคุมการ ทางานของอวยั วะต่างๆ ในร่างกาย และประมวลขอ้ มลู ที่รับมาจากประสาทสัมผสั ต่างๆ และสร้าง คาสง่ั ต่าง ๆ (action) ใหอ้ วยั วะต่าง ๆ ทางาน (ดูเพมิ่ เติมที่ ระบบประสาทกลาง) ระบบประสาทของสัตวท์ ี่มีสมองจะมีความคิดและอารมณ์ ระบบประสาทจึงเป็นส่วนของ ร่างกายที่ทาใหส้ ตั วม์ ีการเคล่ือนไหว (ยกเวน้ สตั วช์ ้นั ต่าท่ีไม่สามารถเคลื่อนไหวไดเ้ ช่น ฟองน้า) สารเคมีท่ีมีฤทธ์ิต่อระบบประสาทหรือเสน้ ประสาท (nerve) เรียกวา่ สารท่ีมีพิษต่อระบบ ประสาท (neurotoxin) ซ่ึงมกั จะมีผลทาใหเ้ ป็นอมั พาต หรือตายได้
อาหารทเ่ี หมาะสม 1. วยั ทารกต้งั แต่แรกเกดิ ถงึ 1 ปี วยั ทารกเป็นช่วงท่ีมีการเจริญเติบโตอยา่ งรวดเร็ว จึงควรไดร้ ับอาหารท่ีเหมาะสมท้งั ชนิดและปริมาณ เพ่ือ การเจริญเติบโตทางดา้ นร่างกาย และพฒั นาการทางสมองท่ีดี โดยใน ระยะ 6 เดือนแรก อาหารที่ เหมาะสม คือ นา้ นมแม่ เพราะมีสารอาหารเหมาะสมตอ่ การเจริญเติบโตทางดา้ นร่างกายและสมอง หลงั จาก 6 เดือน ตอ้ งไดร้ ับสารอาหารอ่ืนเพ่ิมเติม เพราะน้านมเพยี งอยา่ งเดียวไม่พอ และตอ้ งการเป็นอาหารท่ีมี คุณภาพเพอ่ื ใหม้ ีพฒั นาการทางร่างกาย และสมองอยา่ งสมบูรณ์ ตวั อย่างรายการอาหารใน 1 วนั สาหรับเด็กแรกเกดิ ถงึ 1 ปี 2. วยั ก่อนเรียนอายุ 1-6 ปี วยั ก่อนเรียนเป็นช่วงท่ีมีการเจริญเติบโตค่อนขา้ งรวดเร็วแตช่ า้ กวา่ วยั ทารก และยงั ตอ้ งดูแลเร่ืองการ รับประทานอาหารอยา่ งใกลช้ ิด เน่ืองจากยงั ไม่สามารถดูแลตนเองไดด้ ีพอ ปริมาณพลงั งานโดยประมาณท่ีเด็กวยั ก่อนเรียนควรไดร้ ับใน 1 วนั คือ อายุ 1-3 ปี 1,000 กโิ ลแคลอรี อายุ 4-6 ปี 1,300 กโิ ลแคลอรี ตวั อย่างรายการอาหารใน 1 วนั สาหรับเด็กวัยก่อนเรียน 1-6 ปี (1,000-1,300 กโิ ลแคลอรี) 3. วยั เรียนอายุ 6-12 ปี วยั เรียนเป็ นช่วงวยั ที่มีการเจริญเติบโตของร่างกายอยา่ งชา้ ๆ ในตอนตน้ แต่ ในช่วงปลายจะมีอตั ราการ เจริญเติบโตของร่างกายสูง เน่ืองจากตอ้ งเตรียมความพร้อมเม่ือเขา้ สู่วยั รุ่น จึงตอ้ งการอาหารเพ่ือใหม้ ีพลงั งาน เพยี งพอสาหรับการเจริญเติบโต และพฒั นาการของสมอง ปริมาณพลงั งานโดยประมาณที่เดก็ วยั เรียนควรไดร้ ับ ใน 1 วนั คือ เด็กชาย อายุ 6-8 ปี 1,400 กโิ ลแคลอรี อายุ 9-12 ปี 1,700 กิโลแคลอรี เดก็ หญงิ อายุ 6-8 ปี 1,400 กโิ ลแคลอรี อายุ 9-12 ปี 1,600 กโิ ลแคลอรี ตัวอย่างรายการอาหารใน 1 วัน สาหรับเดก็ วัยเรียน 6-12 ปี (1,400-1,700 กโิ ลแคลอรี)
การปฐมพยาบาลเบือ้ งต้น การปฐมพยาบาล การปฐมพยาบาล หมายถึง การใหค้ วามช่วยเหลือผปู้ ่ วยหรือผบู้ าดเจบ็ ณ สถานท่ีเกิดเหตุ โดยใชอ้ ุปกรณ์เท่าที่จะหาไดใ้ นขณะน้นั ก่อนท่ีผบู้ าดเจบ็ จะไดร้ ับการดูแลรักษาจากบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล การปฐมพยาบาลมีวตั ถุประสงคท์ ่ีสาคญั คือ 1. เพอื่ ช่วยชีวติ 2. เพ่ือเป็ นการลดความรุนแรงของการบาดเจบ็ หรือการเจ็บป่ วย 3. เพอ่ื ทาใหบ้ รรเทาความเจบ็ ปวดทรมาน และช่วยใหก้ ลบั สู่สภาพเดิมโดยเร็ว 4. เพอื่ ป้ องกนั ความพกิ ารที่จะเกิดข้ึนตามมาภายหลงั การปฐมพยาบาลแบบตา่ ง ๆ การใช้ผ้าสามเหลย่ี ม ( Triangular bandages) การใชผ้ า้ สามเหลี่ยม เม่ือมีบาดแผลตอ้ งใชผ้ า้ พนั แผล ซ่ึงขณะน้นั มีผา้ สามเหลี่ยม สามารถใชผ้ า้ สามเหล่ียมแทนผา้ พนั แผลได้ โดยพบั เกบ็ มุมใหเ้ รียบร้อย และก่อนพนั แผลตอ้ งพบั ผา้ สามเหล่ียมใหม้ ีขนาดเหมา และอวั ยวะ 1. การคล้องแขน (Arm sling) ในกรณีที่มีกระดูกตน้ แขนหกั หรือกระดูกปลายแขนหกั เม่ือตกแต่งบาดแผล และเขา้ เฝือกชวั่ คราวเรียบร้อยแลว้ จะคลอ้ งดว้ ยผา้ สามเหลี่ยมตามลาดบั ดงั น้ี 1.1 วางผา้ สามเหลี่ยมใหม้ ุมยอดของสามเหล่ียมอยใู่ ตข้ อ้ ศอกขา้ งที่เจบ็ ใหช้ ายผา้ ดา้ นพบพาดไปที่ไหล่อีกขา้ งหน่ึง
การเพม่ิ พนู ความสามารถในการเคล่ือนไหวอนั นาไปสู่การพฒั นาทกั ษะการเล่นกีฬา การเล่นกีฬาทุกชนิดลว้ นตอ้ งอาศยั การเคล่ือนไหว ข้ึนอยกู่ บั วา่ กีฬาชนิดน้นั ๆจะอาศยั การเคล่ือนไหวของ ร่างกายส่วนใด เช่น การวงิ่ การเเกวง่ เเขน เป็นตน้ จึงควรเพิมพนู ทกั ษะพ้ืนฐานของการเล่นกีฬานน่ั คือ ความสามารถในการเคล่ือนไหวร่างกาย ซ่ึงสามารถปฏิบตั ิไดด้ งั น้ี 1.การฝึ กทกั ษะการเคลอื่ นไหวของร่างกายแบบอยู่กบั ท่ี เป็นการใชส้ ่วนต่าง ๆ ของร่างกายเคล่ือนไหวโดยท่ีร่างกายอยกู่ บั ที่ เช่น การอา้ ปาก หุบปาก การยกไหล่ข้ึน ลง การกระพริบตา เป็นตน้ ส่วนทา่ ทางในการปฏิบตั ิภารกิจประจาวนั และทา่ ทางที่ใชใ้ นการออกกาลงั กาย เล่น กีฬาโดยทว่ั ไปดงั น้ี การกม้ คือการงอพบั ตวั ให้ร่างกายส่วนบนลงมาใกลก้ บั ส่วนล่าง · การยดื เหยยี ด คือ การเคล่ือนไหวในทางตรงขา้ มกบั การกม้ โดยพยายามยดื เหยยี ดกลา้ มเน้ือใหม้ ากท่ีสุด เท่าที่จะทาได้ · การบิด คือ การทาส่วนต่าง ๆ ของร่างกายบิดไปจากแกนต้งั เช่น การบิดลาตวั · การดึง คือ การพยายามทาส่ิงใดส่ิงหน่ึงเขา้ มาหาร่างกายหรือทิศทางใดทิศทางหน่ึง · การดนั คือ การพยายามทาสิ่งใดส่ิงหน่ึงใหห้ ่างออกจากร่างกาย เช่น การดนั โตะ๊ · การเหวยี่ ง คือ การเคลื่อนไหวสิ่งใดสิ่งหน่ึง โดยหมุนรอบจุดให้เป็นเส้นโคง้ หรือรูปวงกลม เช่น การ เหวยี่ งแขน · การหมุน คือ การกระทาท่ีมากกวา่ การบิด โดยกระทารอบ ๆ แกน เช่น การหมุนตวั · การโยก คือ การถ่ายน้าหนกั ตวั จากส่วนใดส่วนหน่ึงของร่างกายไปยงั อีกส่วนหน่ึง โดยเทา้ ท้งั สองแตะพ้นื สลบั กนั · การเอียง คือ การทิ้งน้าหนกั ไปยงั ส่วนใดส่วนหน่ึงโดยไมถ่ ่ายน้าหนกั เช่น ยนื เอียงคอ · การสัน่ หรือเขยา่ คือ การเคล่ือนไหวสนั่ สะเทือนส่วนต่าง ๆ ของร่างกายซ้า ๆ ตอ่ เน่ืองกนั เช่น การส่ัน หนา้ เขยา่ มือ สนั่ แขนขา · การส่าย คือ การบิดไปกลบั ติดตอ่ กนั หลาย ๆ คร้ัง เช่น การส่ายสะโพก ส่ายศีรษะ 2. การเคลอ่ื นไหวแบบเคลอื่ นที่ เป็นการเคล่ือนที่จากจุดหน่ึงไปยงั อีกจุดหน่ึง ไดแ้ ก่ การเดิน การวงิ่ การ กระโดด การเขยง่ การสไลด์ การเคลอื่ นไหวของร่างกาย การเคลอ่ื นไหว คือ การเปล่ียนแปลงตาแหน่งท่ีตอ่ เนื่องกนั โดยส่วนที่เกี่ยวขอ้ งท่ีทาใหเ้ กิดการ เคล่ือนไหว ไดแ้ ก่ กลไกการทางานของขอ้ ตอ่ กลา้ มเน้ือและระบบประสาท
การออกกาลงั กายปกติจะจดั เป็น 3 พวก ข้ึนอยกู่ บั ผลท่ีเกิดในร่างกายมนุษย[์5] การออกกาลงั กายใชอ้ อกซิเจน (การออกกาลงั กายแบบแอโรบิก) เป็นกิจกรรมทางกายใดกไ็ ดท้ ่ีใช้ กลา้ มเน้ือใหญ่ ๆ และทาใหร้ ่างกายใชอ้ อกซิเจนมากกวา่ เทียบกบั เมื่อพกั [5] จุดมุ่งหมายก็เพือ่ เพิม่ ความ แขง็ แรง/ความคงทนของระบบหวั ใจร่วมหลอดเลือด[6] ตวั อยา่ งรวมท้งั การวง่ิ ป่ันจกั รยาน วา่ ยน้า เดิน เร็ว กระโดดเชือก พายเรือ เดินป่ า/เขา เล่นเทนนิสเป็นตน้ [5] การออกกาลงั กายไมใ่ ชอ้ อกซิเจน (การออกกาลงั กายแบบอะแนโรบิก) รวมท้งั การฝึกเพอ่ื สร้างความ แขง็ แกร่ง ช่วยเพิม่ ความแน่นและความแขง็ แรงของกลา้ มเน้ือ เพิม่ ความแขง็ แรงของกระดูก ปรับปรุงการ ทรงร่างกายและการทางานร่วมกนั ของกลา้ มเน้ือ[5] ตวั อยา่ งรวมท้งั การวิดพ้นื การดึงขอ้ การงอเขา้ ขา้ ง หน่ึงไปขา้ งหนา้ โดยมีเทา้ ราบกบั พ้ืนและขาอีกขา้ งหน่ึงยนื่ ไปขา้ งหลงั [5] การฝึกโดยใชน้ ้าหนกั การฝึก ร่างกายเพอื่ ทากิจในชีวิตประจาวนั การฝึกร่างกายออกกาลงั กายอยา่ งหนกั สลบั กบั ออกกาลงั แบบพกั ระยะส้นั ๆ (high-intensity interval training, HIIT) การวงิ่ เร็ว เป็ นตน้ [5][7] การยดื หยนุ่ ตวั ช่วยยดื กลา้ มเน้ือ[5] ช่วยทาใหข้ อ้ ต่อและกลา้ มเน้ือยดื หยนุ่ ได[้ 5] โดยหมายปรับพสิ ยั การ เคลื่อนไหวซ่ึงช่วยลดโอกาสไดร้ ับบาดเจบ็ [5][8] การออกกาลงั กายยงั รวมการฝึกความแม่นยา ความคล่องแคล่ววอ่ งไว กาลงั และความเร็ว[9] ในภาษาองั กฤษ บางคร้ังกาหนดการออกกาลงั วา่ เป็ นแบบพลวตั (dynamic) หรือแบบสถิต (static)[ต้องการ อ้างอิง] การออกกาลงั แบบพลวตั เช่นการวง่ิ มกั จะลดความดนั เลือดช่วงหวั ใจคลายตวั (diastolic) ในระหวา่ งออก กาลงั เนื่องจากเลือดไหลเวยี นไดด้ ีข้ึน ในนยั กลบั กนั การออกกาลงั แบบสถิต (เช่น การฝึกโดยใชน้ ้าหนกั ) อาจ ทาใหค้ วามดนั เลือดช่วงหวั ใจบีบตวั (systolic) สูงข้ึนอยา่ งสาคญั แมจ้ ะชวั่ คราวในระหวา่ งออกกาลงั [10]
สมรรถภาพทางกาย (Physical Fitness) ความหมาย สมรรถภาพทางกายหมายถึง สภาวะความสมบูรณ์ของร่างกายท่ีจะประกอบกิจกรรมทางกายตา่ ง ๆ ได้ อยา่ งมีประสิทธิภาพ และมีพลงั งานเหลือไวใ้ ชใ้ นสภาวะที่จาเป็น สมรรถภาพทางกายเพอื่ สุขภาพ ( Health – Related Physical Fitness) ความสามารถของระบบตา่ งๆ ในร่างกายประกอบดว้ ย ความสามารถเชิงสรีรวทิ ยาดา้ นต่างๆ ที่ช่วย ป้ องกนั บุคคลจากโรคท่ีมีสาเหตุจากภาวะการขาดการออกกาลงั กาย นบั เป็นปัจจยั หรือตวั บ่งช้ีสาคญั ของการมี สุขภาพดี ความสามารถหรือสมรรถนะเหล่าน้ี สามารถปรับปรุงพฒั นาและคงสภาพได้ โดยการออกกาลงั กาย อยา่ งสม่าเสมอ สมรรถภาพทางกายเพอ่ื สุขภาพมีองคป์ ระกอบ ดงั น้ี 1. องค์ประกอบของร่างกาย (Body Composition) ตามปกติแลว้ ในร่างกายมนุษยป์ ระกอบ ดว้ ย กลา้ มเน้ือ กระดูก ไขมนั และ ส่วนอ่ืนๆ แต่ในส่วนของสมรรถภาพทางกายน้นั หมายถึง สัดส่วนปริมาณไขมนั ใน ร่างกายกบั มวลร่างกายที่ปราศจากไขมนั โดยการวดั ออกมาเป็นเปอร์เซ็นตไ์ ขมนั 2. ความอดทนของระบบไหลเวยี นเลอื ด (Cardiorespiratory Endurance) หมายถึง สมรรถนะเชิงปฏิบตั ิ ของระบบไหลเวยี นเลือด (หวั ใจ หลอดเลือด) และระบบหายใจในการลาเลียงออกซิเจนไปยงั เซลล์ กลา้ มเน้ือ ทาใหร้ ่างกายสามารถยนื หยดั ท่ีจะทางานหรือออกกาลงั กายท่ีใชก้ ลา้ มเน้ือมดั ใหญเ่ ป็ น ระยะเวลายาวนานได้ 3. ความอ่อนตัวหรือความยดื หยุ่น (Flexibility) หมายถึง พิสัยของการเคลื่อนไหวสูงสุดเทา่ ท่ีจะทาไดข้ อง ขอ้ ต่อหรือกลุ่มขอ้ ตอ่ 4. ความอดทนของกล้ามเนื้อ (Muscular Endurance) หมายถึง ความสามารถของกลา้ มเน้ือมดั ใดมดั หน่ึง หรือกลุ่มกลา้ มเน้ือ ในการหดตวั ซ้าๆ เพื่อตา้ นแรงหรือความสามารถในการหดตวั คร้ังเดียวไดเ้ ป็น ระยะเวลายาวนาน 5. ความแข็งแรงของกล้ามเนือ้ (Muscular Strength) หมายถึง ปริมาณสูงสุดของแรงท่ีกลา้ มเน้ือมดั ใดมดั หน่ึงหรือกลุ่มกลา้ มเน้ือสามารถออกแรงตา้ นทานได้ ในช่วงการหดตวั 1 คร้ัง
ประวตั ิ กลางคริสตศ์ ตวรรษที่ 20 มีการนาเอาโบรไมด์ (Bromide) มาใชเ้ ป็นยาระงบั ประสาทและรักษาโรคลมชกั ซ่ึงไดร้ ับความนิยมมาก พอ ๆ กบั ยาวาเลียม (Valium) และยาริเบรียม (Librium) ในปัจจุบนั แตโ่ บรไมดส์ ะสมในร่างกาย ทาให้เกิดอาการวกิ ลจริต และทาลายสมอง อยา่ งถาวรดว้ ย ในระยะใกลเ้ คียงกนั กม็ ีผผู้ ลิตยาบาบิทเชอริท (Barbiturate) และยาสงบประสาทตวั อ่ืน ๆ และไดร้ ับความนิยมใช้อยา่ ง แพร่หลายเช่นกนั โดยผใู้ ชไ้ มท่ ราบถึงฤทธ์ิในการเสพติดของยาเหล่าน้ี ปลายคริสตศ์ ตวรรษที่ 19 มีผพู้ บโคเคนและกญั ชาซ่ึงมีฤทธ์ิทาใหจ้ ิตใจสบาย โคเคนพบวา่ มีประโยชนท์ างการรักษาโรคดว้ ยโดยใชเ้ ป็นยาชาเฉพาะท่ี ดงั น้นั โคเคนจึงเป็นท่ีนิยมใชเ้ ป็นผลใหม้ ีการเสพติดโคเคน ในช่วงสงครามโลกคร้ังที่ 2 แอมเฟตามีนถูกนามาใชใ้ นกองทหารญ่ีป่ ุน เยอรมนั อเมริกนั และองั กฤษ เพอื่ ให้ร่างกายมีกาลงั กระฉบั กระเฉง อยตู่ ลอดเวลา พอหลงั สงครามยาซ่ึงกองทพั ญี่ป่ นุ กกั ตนุ ไวม้ าก็ทะลกั สู่ตลาด ทาใหป้ ระชาชนชาวญี่ป่ นุ ใชย้ ากนั มาก ในปี ค.ศ. 1955 คาดวา่ มีชาว ญี่ป่ นุ ติดแอมเฟตามีนราวร้อยละ 1 ระหวา่ ง ค.ศ. 1960-1970 ในประเทศสวีเดนมีการใชย้ า Phenmetrazine (Preludin) ซ่ึง คลา้ ยแอมเฟตามีน ฉีดเขา้ หลอดเลือดดาดว้ ย ในสหรัฐเมริกาพวกฮิปป้ี ซ่ึงเคยนิยมใช้ แอลเอสดี (LSD) หรือ Lysergic Acid Diethylamide กค็ อ่ ย ๆ หนั มาใชแ้ อมเฟตามีนฉีดเขา้ หลอดเลือดดา เช่นกนั ระหวา่ งปี ค.ศ. 1960-1970 ยาหลอนประสาทเร่ิมถูกนามาใชแ้ ละใชม้ ากหลงั ค.ศ. 1970 ผเู้ สพส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกนั วยั รุ่นที่มี ฐานะทางเศรษฐกิจปานกลางโดยเร่ิมจาก แอลเอสดี ซ่ึง Hofmanเป็นผคู้ น้ พบในปี ค.ศ. 1953 เนื่องจากแอลเอสดีทาใหเ้ กิดอาการคลา้ ย วิกลจริต จึงมีนกั จิตวเิ คราะห์บางคนนามาใชเ้ พือ่ การรักษาผปู้ ่ วยดว้ ย เพราะคิดวา่ ยาน้ีจะช่วยกาจดั \"Repression\" ใหห้ มดไป ดว้ ยเหตทุ ี่ยาน้ี ผลิตงา่ ยปัจจุบนั จึงเป็นปัญหามากในอเมริกา การเข้ามาภายในประเทศไทย เร่ิมมีมาต้งั แต่สมยั สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจา้ อูท่ อง) โดยทรงเลง็ เห็นโทษของการเสพฝิ่น และทรงลงโทษ ระหวา่ งเหตุการณ์ สงครามกลางเมืองอเมริกา ค.ศ. 1861-1865 เร่ิมมีการนาเขม็ ฉีดยาเขา้ ใตผ้ ิวหนงั มาใช้ ทาให้มีผนู้ ามอร์ฟี นมาใชใ้ นลกั ษณะยาเสพติด ตอ่ มาเม่ือ คนรู้จกั การฉีดยาเขา้ หลอดเลือดดา เฮโรอีนซ่ึงเป็ น diethylated form ของมอร์ฟี นกถ็ ูกนามาใชแ้ ทนมอร์ฟี น[ต้องการอ้างอิง] ภาวะการเสพตดิ ภาวะการเสพติด (addiction) [2] คือ อาการผดิ ปกติอนั เนื่องมาจากการทางานบกพร่องของเซลลใ์ นสมองท่ีทาใหเ้ กิดความรู้สึกพึง พอใจ โดยภาวะการเสพติดสามารถเกิดข้ึนไดก้ บั บุคคลทกุ คนในทกุ ช่วงวยั เกือบร้อยละ 60 ของผปู้ ระสบภาวะการเสพติดมีสาเหตมุ าจากการ ถ่ายทอดทางพนั ธุกรรมที่ผดิ ปกติส่วนในรายอ่ืน ๆ อาจเกิดจากการท่ีสมองในส่วนท่ีทาหนา้ ที่สร้างความรู้สึกพึงพอใจไดร้ ับการกระตุน้ อยา่ งรุนแรง จากปัจจยั ต่าง ๆ เช่น ยาเสพติด สารเสพติด หรือการเสพติดพฤติกรรมเป็นระยะเวลานาน ๆ โดยผตู้ กอยใู่ นภาวะการเสพติดจะไมส่ ามารถมีความสุขได้ จากการใชช้ ีวิตแบบปกติ ซ่ึงภาวะน้ีคือสาเหตุท่ีผตู้ ิดสารเสพติด หรือผตู้ ิดสุราไมส่ ามารถควบคุมการเสพหรือการดื่มไดจ้ นมีอาการเสพติดเร้ือรัง ความหมายของยาเสพตดิ ให้โทษ พระราชบญั ญตั ิยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 กาหนดความหมายของคาวา่ ยาเสพติดใหโ้ ทษ ไวด้ งั น้ี คือ สารเคมีหรือวตั ถุชนิดใด ๆ ซ่ึง เมื่อเสพเขา้ สู่ร่างกายไม่วา่ จะโดยวธิ ี รับประทาน ดม สูบ หรือดว้ ยวิธีการใด ๆ แลว้ ทาใหเ้ กิดผลต่อร่างกายและจิตใจในลกั ษณะสาคญั เช่น 1. ผทู้ ี่เสพยา ตอ้ งเพม่ิ ขนาดการเสพติดมากข้ึนเป็นลาดบั 2. ผทู้ ่ีเสพยา จะเกิดอาการถอนยา เมื่อหยดุ ใชย้ า หรือขาดยา 3. ผทู้ ี่เสพยา จะเกิดความตอ้ งการเสพท้งั ทางร่างกายและจิตใจ อยา่ งรุนแรงตลอดเวลา 4. ผทู้ ี่เสพยา จะมีสุขภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลง 5. หรือกล่าวไดว้ ่าเป็นยาหรือสารท่ีออกฤทธ์ิต่อจิตประสาท ที่ผนู้ ้นั ใชอ้ ยปู่ ระจาแลว้ ยาหรือสารน้นั ทาใหม้ ีความผิดปกติที่ระบบประสาทกลาง ซ่ึงจะถือวา่ ผนู้ ้นั ติดยาเสพติด ถา้ มีอาการตอ่ ไปน้ี อยา่ งน้อย 3 ประการคือ ผปู้ ่ วยจะทาทุกอยา่ งเพ่อื ให้ไดย้ าหรือสารน้นั มาไว้ แมเ้ ป็ นวิธีท่ีผดิ กฎหมาย เช่นลกั ขโมยก็จะทา
กฬี าสากล เป็ นกิจกรรมที่มีการแขง่ ขนั เพือ่ ผลแพช้ นะ โดยผแู้ ขง่ ขนั จะเลน่ คนเดียวหรือเลน่ เป็ นทีมข้ึนอยกู่ บั ประเภทของกีฬา ซ่ึงกีฬาท่ีเลน่ ในประเทศไทยมที ้งั กีฬาไทยและกีฬาสากล กฬี าสากลเป็นกีฬาที่เป็นที่ยอมรับขององคก์ รกีฬาทว่ั โลกใหเ้ ป็นกีฬาที่บรรจุอยใู่ นเกมการแขง่ ขนั ซ่ึงในช้นั เรียนน้ีจะนาเสนอ กีฬาที่เป็ นท่ีรู้จกั ไดแ้ ก่ ยดื หยนุ่ ข้นั พ้ืนฐาน กรีฑา วอลเลยบ์ อล ก่อนการฝึ กเลน่ กีฬาทุกคร้ัง นกั เรยนควรปฎิบตั ิตามข้นั ตอน ดงั น้ี ๑) ตรวจอปุ กรณ์การฝึ กใหอ้ ยใู่ นสภาพที่ดีและปลอดภยั ๒) อบอุ่นร่างกายเพือ่ เตรียมความพร้อมของร่างกาย ๓) สงั เกตการสาธิตการฝึ กปฎิบตั ิของครูผสู้ อน ๔) ฝึ กปฎิบตั ิดว้ ยความระมดั ระวงั ๕) ประเมินผลการฝึ กปฎิบตั ิ เพอ่ื หาขอ้ บกพร่อง และเตรียมปรับปรุงแกไ้ ข ๖) ปรับปรุงแกไ้ ขขอ้ บกพร่อง และฝึ กซ้า ๆ ๗) เม่ือฝึ กกิจกรรมเสร็จแลว้ ใหเ้ ก็บอปุ กรณ์เขา้ ท่ีใหเ้ รียบร้อย กีฬาไทย กีฬาไทยจดั เป็ นศิลปวฒั นธรรมไทยแขนงหน่ึงท่ีมีเอกลกั ษณ์ มีความงดงามและทรงคุณคา่ ซ่ึงบรรพบุรุษไดค้ น้ คิด สืบ สาน ถา่ ยทอดและพฒั นามาจนถึงทุกวนั น้ี การเล่นกีฬานอกนจากจะช่วยใหร้ ่างกายไดเ้ คล่ือนไหวกลา้ มเน้ือ สร้างความแขง็ แรง และห่างไกลจากโรคภยั ไขเ้ จบ็ แลว้ กีฬาหลายประเภทยงั ช่วยใหผ้ เู้ ล่นไดฝ้ ึ กฝนสมาธิ มีความคิดสร้างสรรค์ มีไหวพริบปฎิภาน รู้จกั แกป้ ัญหาเฉพาะหนา้ สามารถหลบหลีกคูต่ ่อสูไ้ ด้ กีฬาบางชนิดใชผ้ เู้ ล่นเป็นหมคู่ ณะ ทาใหผ้ เู้ ลน่ รู้จกั มีความรักความสามคั คี ความรับผิดชอบต่อหนา้ ที่ของตนเอง มีความเป็ นน้าหน่ึงใจเดียวกนั ตลอดจนเป็นคนมีน้าใจเป็ นนกั กีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภยั กีฬาไทยที่บรรพชนไทยคน้ คิด และถา่ ยทอดมาสู่ลกู หลาน บางชนิดกลายเป็นตานานและความทรงจา และบางชนิดยงั คงมี การเลน่ กนั อยู่ แมว้ า่ จะถกู ปรับเปล่ียนไปใหท้ นั ยคุ สมยั ก็ตาม แต่ดว้ ยความสานึกของความเป็ นไทย เราควรร่วมกนั สนบั สนุน และร่วมส่งเสริม ภมู ิปัญญากีฬาไทย ใหอ้ นุชนรุ่นหลงั ไดร้ ู้จกั และร่วมกนั อนุรักษต์ ่อไป
กจิ กรรมนนั ทนาการ เป็นกิจกรรมที่บุคคลทาในเวลาวา่ ง ดว้ ยความสมคั รใจ และไมผ่ ิดกฏหมาย แลว้ ทาให้เกิดความพงึ พอใจ ความสบายใจ ๑ ประเภทของกจิ กรรมนันทนาการ กิจกรรมนนั ทนาการมีหลายประเภท ไดแ้ ก่ ๑)กิจกรรมกีฬา เช่น ฟตุ บอล แชร์บอล บาสเกตบอล เป็นตน้ ๒)งานอดิเรก เช่น การปลูกไมด้ อก การเล้ียงสตั ว์ สะสมแสตมป์ เป็ นตน้ ๓) เกมการเล่น เช่น ว่งิ สามขา ปาเป้ า ข่ีมา้ ส่งเมือง เป็นตน้ ๔)กิจกรรมนอกเมือง เช่น การอยคู่ า่ ยพกั แรม การเดินทางไกล ๕) การเล่นดนตรี ละคร ฟ้ อนรา เช่น ร้องเพลง เล่นโขน เป็ นตน้ ๖) งานศิลปหตั ถกรรม เช่น เขียนภาพระบายสี แกะสลกั ผกั การป้ัน ๗) การอ่าน เขียน พดู เช่น เล่านิทาน อา่ นหนงั สือ เขียนบนั ทึก เป็นตน้ ๘) งานสงั คม เช่น กิจกรรมอาสาสมคั ร ผบู้ าเพญ็ ประโยชน์ เป็ นตน้ ๒ การเลือกกจิ กรรมนันทนาการ กินกรรมนนั ทนาการมีอยหู่ ลายประเภท โดยแต่ละประเภทจะมีลกั ษณะที่แตกตา่ งกนั ผเู้ ขา้ ร่วมกิจกรรมจึงควรมีหลกั ในการเลือกให้ เหมาะสมกบั วยั เพศ โอกาส ความรู้ ความสามารถ เพื่อทาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดงั น้ี ๑) ลกั ษณะส่วนบุคคล ไดแ้ ก่ เพศและวยั เช่น การเยบ็ ปักถกั ร้อยเหมาะกบั ผหู้ ญิง กีฬาชกมวยเหมาะกบั ผชู้ าย หมากเก็บเหมาะกบั เดก็ ๆ เป็ น ตน้ ๒) ความรู้ความสามารถของผเู้ ขา้ ร่วมกิจกรรม เพราะจะทาใหเ้ กิดความสนุกสนานขณะปฎิบตั ิ เช่น ถา้ มีความสามารถในการพดู อาจเลือก เล่านิทานหรือโตว้ าทีร่วมกบั เพื่อน เป็ นตน้ ๓) สภาพร่างกายการเลือกกิจกรรมท่ีเหมาะสมจะส่งเสริมใหร้ ่างกายแขง็ แรงและมีสุขภาพจิตดี เช่น ผทู้ ่ีป่ วยไมค่ วรเลือกการเล่นกีฬา กลางแจง้ ๔) โอกาสและสถานท่ี เช่น การเล่นกีฬาควรเล่นในสนามหรือโรงยมิ เนเซียม การเดินทางท่องเที่ยวทางทะเลไมค่ วรไปในฤดูฝน เป็ นตน้ ๕) สงั คม ขนมธรรมเนียม ประเพณี เช่น ไม่ควรเล้ียงสุกรในชุมชนท่ีมชี าวมุสลิมอาศยั อยมู่ าก เป็นตน้ ๖) งานอาชีพ เช่น ผทู้ ่ีทางานท่ีไม่ไดใ้ ชแ้ รงกายมาก ควรเลือกกิจกรรมที่ตอ้ งใชก้ าลงั ไดแ้ ก่ การเลน่ กีฬาหรือออกกาลงั กาย เป็ นตน้ ๗) ฐานะความเป็นอยขู่ องครอบครัวกิจกรรมบางชนิดใชค้ า่ ใชจ้ า่ ยสูง เช่น กีฬากอลฟ์ เล่นเปี ยโน การสะสมของที่มีราคาแพง ซ่ึงไมเ่ หมาะ กบั ผทู้ ี่ยากจนดงั น้นั จึงควรเลือกให้สอดคลอ้ งกบั ฐานะ ๘) ประโยชน์ตอ่ ตนเอง สงั คม และส่วนรวม กิจกรรมท่ีเลือกควรมีประโยชน์ท้งั ต่อตนเองและส่วนรวม เช่น การขดุ ลอกคูคลอง ๓ ประโยชน์ของกจิ กรรมนันทนาการ ๑) ช่วยส่งเสริมใหค้ นรู้จกั ใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ ๒) ช่วยใหร้ ่างกายแขง็ แรงและสุขภาพจิตดี และผอ่ นคลายความเครียด ๓) ช่วยให้เกิดความสนุกสนามเพลิดเพลิน และมีความสุข ๔) ช่วยสร้างความรัก ความสามคั คีใหเ้ กิดในครอบครัว ชุมชน และสงั คม ๕) ช่วยลดปัญหาทางสงั คม เช่น ปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติดเพราะกิจกรรมนนั ทนาการช่วยส่งเสริมให้คนรู้จกั ใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็ น ประโยชน์ ๖) ช่วยในการบาบดั รักษาผทู้ ี่เจบ็ ป่ วยท้งั ทางกายและจิตใจ ๗) ช่วยอนุรักษศ์ ิลปวฒั นธรรมชองชุมชนและของประเทศ
ขอบคณุ เรื่องจาก : 1. https://sites.google.com/site/thanupon12345/kar-ceriy-teibto-khx-ngm-nu-ny 2. https://th.wikipedia.org/wiki/ 3. https://sites.google.com/
จดั ทาโดย ด.ช.เฉลิมศกั ด์ิ เกิดผล 1/4 ด.ช.วทิ วฒั น์ อดเหนียว 1/4 เสนอ ครู ปภสั สร ก๋าเขียว วชิ า การสร้างหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: