ความร้ทู วั ไปเกียวกบั อาชีวอนามยั และความปลอดภยั สเุ วช พมิ นําเยน็ งานด้านอาชวี อนามยั และความปลอดภยั เป็นงานอกี ด้านหนึงของการสาธารณสุข ซงึ เกียวขอ้ งกบั สุขภาพของมนุษยอ์ นั เนืองมาจากการประกอบอาชพี ไมว่ ่าจะเป็นอาชพี เกษตรกรรม หรอื อุตสาหกรรมกต็ าม เพอื ทําความเข้าใจเกียวกบั งานด้านอาชวี อนามยั และความปลอดภยั เนือหาของเอกสารนี จะเรมิ กล่าวถึง ความหมาย ความสําคญั ของอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ความเป็นมาของงานอาชวี อนามยั และความ ปลอดภยั ทงั ในต่างประเทศและในประเทศไทย เพอื ใหผ้ ู้อ่านเขา้ ใจเหตุทมี าของการใหค้ วามสําคญั ในเรอื งนี หลงั จากนันจะไดก้ ล่าวถงึ หลกั การต่างๆ ทสี ําคญั เกยี วกบั อาชวี อนามยั และความปลอดภยั อนั เป็นพนื ฐานใน การศกึ ษาเนือหาถดั ไป 1. ความหมายและความสาํ คญั ของอาชีวอนามยั และความปลอดภยั 1.1 ความหมายของอาชีวอนามยั และความปลอดภยั มผี ใู้ หค้ วามหมายของคาํ วา่ “อาชวี อนามยั ” “ความปลอดภยั ” หรอื “อาชวี อนามยั และความปลอดภยั ” ไวห้ ลายท่าน ซงึ ส่วนมากแล้วจะใกลเ้ คยี งหรอื คล้ายคลงึ กนั ผูเ้ ขยี นจงึ นําเสนอเฉพาะบางแนวคดิ ทเี หน็ ว่ามี ความเหมาะสมกบั ปจั จบุ นั ดงั นี คําว่า “อาชวี อนามยั ” มาจากภาษาองั กฤษว่า Occupational Health ในภาษาไทยนัน อาชวี อนามยั เป็นคําสมาส ระหว่าง “อาชวี ะ” หมายถงึ อาชพี กบั คําว่า “อนามยั หรอื สุขภาพ” ซงึ หมายถงึ สภาวะความ สมบรู ณ์ทงั รา่ งกาย จติ ใจ สงั คม ไมเ่ พยี งแต่ปราศโรคหรอื ความพกิ ารเทา่ นนั “อาชวี อนามยั ” หมายถงึ ศาสตรแ์ ละศลิ ปะทเี กยี วกบั การป้องกนั ส่งเสรมิ คุม้ ครองและธํารงรกั ษาไว้ เพอื ให้ผู้ประกอบอาชพี ทุกอาชพี มสี ภาวะอนามยั ทสี มบูรณ์ทงั ร่างกาย จติ ใจและมคี วามเป็นอยู่ดใี นสงั คม (เฉลมิ ชยั ชยั กติ ตภิ รณ์. 2549: 17) ส่วนคําว่า ความปลอดภยั (Safety) หมายถงึ สภาพทปี ราศจากภยั คุกคาม (Hazard) ไม่มอี นั ตราย (Danger) และความเสยี ง (Risk) ใดๆ (ปราโมช เชยี วชาญ. 2550: 5) ความปลอดภยั (Safety) หมายถงึ สภาวะการปราศจากภยั Hazard) อนั ตราย (Danger) รวมถงึ การ ปราศจากการบาดเจบ็ (Injury) ความเสยี ง (Risk) และการสญู เสยี (Loss) (เฉลมิ ชยั ชยั กติ ตภิ รณ์. 2549: 17) เมอื นํา คําว่า อาชวี อนามยั (Occupational Health) รวมกบั ความปลอดภยั (Safety) ผู้เขยี นมี ความเหน็ ว่า “อาชวี อนามยั และความปลอดภยั ” หมายถงึ “ศาสตรแ์ ละศลิ ปะทเี กยี วกบั การป้องกนั ส่งเสรมิ คุม้ ครองและธาํ รงรกั ษาไวเ้ พอื ใหผ้ ปู้ ระกอบอาชพี ทุกอาชพี มสี ภาวะความสมบรู ณ์ทงั รา่ งกาย จติ ใจ สงั คม โดย ปราศจากภยั อนั ตราย การบาดเจบ็ ความเสยี ง และการสญู เสยี อนั เนืองมาจากการประกอบอาชพี 1.2 ความสาํ คญั ของอาชีวอนามยั และความปลอดภยั การพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศไทย มกี ารดําเนินการอย่างต่อเนือง การพฒั นาด้านธุรกจิ อุตสาหกรรมมีการขยายตัวมากขึน การเตรยี มการเพือการรองรบั ความเจริญไม่สามารถพัฒนาทนั ต่อ เหตุการณ์ งานดา้ นการคุ้มครองป้องกนั ด้านสุขภาพอนามยั และดูแลด้านความปลอดภยั ของคนงาน หรอื ผู้ วท.บ.(วทิ ยาศาสตร์สุขภาพ) ส.บ.(อาชีวอนามยั และความปลอดภยั ) วท.ม.(การจดั การสิงแวดลอ้ ม) อาจารยป์ ระจาํ คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลยั เชียงรายการอา้ งอิงเอกสารฉบบั นีอาจใชร้ ปู แบบ: สุเวช พมิ นําเยน็ . (2553). ความร้ทู วั ไปเกียวกบั อาชีวอนามยั และความปลอดภยั . เอกสารประกอบการบรรยายวชิ า อาชวี อนามยั และความปลอดภยั . (เอกสารอดั สาํ เนา). วทิ ยาลยั เชยี งราย.
ประกอบอาชพี ทงั มวล เป็นงานทมี คี วามจาํ เป็นเร่งด่วนจะตอ้ งดําเนินการโดยเฉพาะงานดา้ นอาชวี อนามยั และความปลอดภยั (Occupational Health and Safety) ซงึ ประเทศทพี ฒั นาแลว้ มกี ารดาํ เนินการต่อเนืองมาเป็นเวลายาวนาน เนืองจากผทู้ เี กยี วขอ้ งเหน็ ถงึ ความสาํ คญั ทําใหง้ านอาชวี อนามยั และความปลอดภยั มกี ารพฒั นาตลอดเวลางานอาชวี อนามยั และความปลอดภยั เป็นงานทเี กยี วขอ้ งกบั ผูป้ ระกอบอาชพี ทงั มวล เช่น เกษตรกรลูกจา้ งทที ํางานในภาคเกษตรกรรม พนกั งาน คนงานทที ํางานในภาคอุตสาหกรรมการผลติ อุตสาหกรรมการบรกิ าร พนกั งานทที าํ งานเกยี วกบั สาธารณูปโภค อุตสาหกรรมการทอ่ ง การก่อสรา้ ง และการคมนาคมขนส่ง การดาํ เนินการของอุตสาหกรรมการผลติ มกี ารใชแ้ รงงานเป็นจาํ นวนมาก แรงงานตอ้ งทํางานภายใต้สภาพแวดลอ้ มทเี ป็นพษิ ภยั ต่อสุขภาพร่างกาย มคี วามเครยี ดสูง เสยี งต่อการเป็นโรคอนั เนืองจากการทํางานมกี ารทํางานซําซาก ทํางานตดิ ต่อกนั เป็นเวลานาน เกดิ ความเมอื ยลา้ เสยี งต่อการเกดิ อนั ตราย อุบตั เิ หตุการบาดเจบ็ การตาย (วทิ ยา อยสู่ ขุ . 2549: 3) ดงั นันความรูท้ างดา้ นอาชวี อนามยั และความปลอดภยั พฒั นาขนึ กเ็ พอื การป้องกนั ส่งเสรมิ คุม้ ครองและธํารงรกั ษาไว้เพือให้ผู้ประกอบอาชพี ทุกอาชีพ มสี ภาวะความสมบูรณ์ทังร่างกาย จติ ใจ สังคม โดยปราศจากภยั อนั ตราย การบาดเจบ็ ความเสยี ง และการสญู เสยี อนั เนืองมาจากการประกอบอาชพี2. ความเป็ นมาของงานอาชีวอนามยั และความปลอดภยั 2.1 ความเป็นมาของงานอาชีวอนามยั และความปลอดภยั ในต่างประเทศ การพฒั นางานอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ในต่างประเทศอาจแบ่งได้ 2 ยคุ คอื ยุคก่อนการปฏวิ ตั ิอุตสาหกรรมและยคุ หลงั การปฏวิ ตั อิ ุตสาหกรรม 2.1.1 ยคุ ก่อนการปฏิวตั ิอตุ สาหกรรม งานอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ในต่างประเทศมกี ารพฒั นามานานนับศตวรรษแลว้ แต่ยคุ แรกก่อนการปฏวิ ตั ดิ า้ นอุตสาหกรรม ค.ศ.1800 นัน ความพยายามทจี ะคุม้ ครองป้องกนั อนั ตรายใหแ้ ก่ผู้ปฏบิ ตั งิ านมนี ้อยมาก แรงงานในยุคแรกเรมิ จะมพี วกทาส คนคุก หรอื พวกอาชญากรต่างๆ จงึ ทําให้เกดิ การละเลยในเรอื งของสภาพแวดลอ้ มในการทํางาน เพราะถอื ว่าการปฏบิ ตั งิ านดงั กลา่ วเป็นการลงโทษแก่แรงงานเหลา่ นนั ในยุคนีประชากรส่วนใหญ่ในโลกยงั ประกอบอาชพี ทเี กยี วขอ้ งกบัการใชท้ รพั ยากรธรรมชาตทิ มี อี ยเู่ ช่น การเกษตรกรรม ทาํ งานฟารม์ ปศุสตั ว์ เป็นตน้ งานอุตสาหกรรมการผลติมนี ้อยมาก หรอื ถา้ มสี ่วนใหญ่จะเป็นลกั ษณะภายในครอบครวั ซงึ ลกั ษณะการทาํ งาน เครอื งจกั ร อุปกรณ์ต่างๆทใี ช้ยงั ไม่ซบั ซอ้ นมากนัก อย่างไรกต็ ามได้มบี นั ทกึ เหตุการณ์ทเี กยี วขอ้ งกบั การพฒั นางานอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ในยคุ ก่อนการปฏวิ ตั ดิ า้ นอุตสาหกรรมทสี าํ คญั ๆ ดงั นี (ปราโมช เชยี วชาญ. 2550: 8-11) - ประมาณ 400 ปีก่อนครสิ ต์ศกั ราช ฮปิ โปเครตสิ (Hippocrates) ได้ศกึ ษาและเขยี นบนั ทกึ โรคต่างๆ หลายโรค ซงึ อาจเป็นโรคทเี กดิ จากการทํางานเช่น การแพ้พษิ ตะกวั ในกลุ่มผูป้ ฏบิ ตั งิ านเหมอื งแร่เป็นตน้ อยา่ งไรกต็ ามไมไ่ ดป้ รากฏหลกั ฐานเกยี วกบั การดาํ เนินการคุม้ ครองผปู้ ฏบิ ตั งิ านอยา่ งไร - ประมาณ ค.ศ.100 ไพลนีอุส ซคี นั ดสั (Plinius Secundus) หรอื ทรี ูจ้ กั กนั ในนามไพลนี (Plinythe Elder) นกั ปราชญ์ชาวโรมนั ไดก้ ล่าวถงึ อนั ตรายจากการทํางานคลุกคลกี บั กํามะถนั สงั กะสี เงนิ และตะกวัรวมทงั ได้แนะนําใหใ้ ช้กระเพาะปสั สาวะสตั ว์มาทําใหเ้ ป็นหน้ากากป้องกนั ใหแ้ ก่ผู้ปฏบิ ตั งิ านทที ํางานกบั ฝุ่นหรอื ฟูมตะกวั หนา้ 2
- ประมาณ ค.ศ. 200 กาเลน (Galen) แพทยช์ าวกรกี ทอี าศยั อย่ใู นกรุงโรมไดเ้ ขยี นทฤษฏตี ่างๆเกยี วกบั กายวภิ าคศาสตรแ์ ละพยาธวิ ทิ ยาไวม้ ากมาย รวมทงั ไดอ้ ธบิ ายเกยี วกบั อนั ตรายทเี กดิ จากละอองกรดต่อคนงานทที าํ งานในเหมอื งถลงุ ทองแดง แต่ไมไ่ ดก้ ล่าวถงึ มาตรการแกไ้ ขปญั หาไว้ - ในช่วงปี ค.ศ. 1200-1300 ได้มกี ารสงั เกต ศึกษาและทดลองเกียวกับการดําเนินการดูแลการเจบ็ ปวดของคนงานในมหาวทิ ยาลยั ใหญ่ๆ อยา่ งกวา้ งขวาง แต่ยงั ไมใ่ หค้ วามสนใจเกยี วกบั โรคจากการทาํ งานเลย - ประมาณ ค.ศ. 1472 เออลร์ ชิ เอเลนบอก (Ulrich Elenbog) ไดต้ พี มิ พเ์ อกสารวชิ าการฉบบั แรกเกียวกบั ไอและควนั ทเี ป็นพษิ รวมทงั เสนอมาตรการและข้อความปฏบิ ตั เิ กียวกบั การป้องกนั อนั ตรายจากปรอท ตะกวั และก๊าซคารบ์ อนมอนอกไซดท์ คี นงานช่างทองไดร้ บั เขา้ ไป - ประมาณ ค.ศ. 1541 พาราเซลซสั (Paracelsus) บุตรชายของแพทยช์ าวสวสิ ช่วยทํางานในโรงงานหลอมโลหะเป็นเวลานานถงึ 5 ปี สงั เกตเหน็ อนั ตรายจากการหลอมโลหะและการทําเหมอื ง จงึ เขยี นบทความตีพิมพ์เกียวกับโรคทางเดนิ หายใจและโรคปอดทีเกิดขึนเนืองจากคนงานหายใจเอาไอของสารทาทารสั (Tartarous) ซงึ สารนีมสี ่วนผสมของปรอท กํามะถนั และเกลอื บทความนีทําใหช้ าวยโุ รปไดต้ ระหนกัถงึ พษิ ภยั ของปรอท รวมถงึ พษิ ภยั ของโลหะอนื ๆ ดว้ ย - ประมาณ ค.ศ. 1556 อะกรโิ คล่า (Agricola) นักโลหะวทิ ยาชาวเยอรมนั หลงั จากจบการศกึ ษาแพทยศ์ าสตรจ์ ากประเทศอติ าลแี ลว้ ไดไ้ ปทาํ งานเป็นแพทย์ และเขยี นบทความเกยี วกบั โรคและอุบตั เิ หตุทไี ด้เกดิ ขนึ ในเหมอื ง โรงงานถลุงและหลอมแร่ พรอ้ มทงั ขอ้ เสนอแนะแนวทางในการรกั ษาและป้องกนั อนั ตรายทีเกดิ ขนึ เช่น การระบายอากาศ เป็นต้น โดยเขาไดเ้ สนอเครอื งมอื ช่วยในการระบายอากาศ เช่น พดั ลมทหี มุนโดยแรงลม และถุงลมอดั อากาศทใี ชแ้ รงคน เป็นตน้ - ค.ศ. 1700 เบอรน์ าดโิ น รามสั ซนิ ี (Bernardino Ramazzini) แพทยช์ าวอติ าเลยี น ผูซ้ งึ ไดร้ บั ยกย่องว่าเป็นบดิ าแห่งวงการอาชวี เวชศาสตร์ (Occupational Medicine) เนืองจากไดพ้ มิ พห์ นงั สอื “โรคจากการทํางาน” ขนึ นับว่าเป็นหนังสอื ด้านเวชศาสตร์อุตสาหกรรมทมี คี วามสมบูรณ์เป็นเล่มแรกในอิตาลี หนังสอืดงั กล่าวได้อธบิ ายเกยี วกบั โรคทเี กดิ จากการทํางานเกอื บทุกอาชพี ในยุคนัน รวมทงั ไดเ้ สนอแนะ การกําหนดมาตรการ ในการป้องกนั และควบคุมดว้ ย นอกจากนี รามสั ซนิ ีไดแ้ นะนําการซกั ประวตั คิ นไข้ โดยตอ้ งถามว่า“คณุ มอี าชพี (ทาํ งาน) อะไร” - ประมาณ ค.ศ. 1767 เซอร์ จอรจ์ เบเกอร์ (Sir George Baker) แพทยช์ าวเมอื งเดวอนเชยี ร์ในประเทศองั กฤษ ไดร้ ะบุวา่ ตะกวั เป็นสาเหตุของอาการปวดทอ้ งอยา่ งรุนแรงในกลุ่มผูป้ ฏบิ ตั งิ านอุตสาหกรรมนําผลไม้ - ประมาณ ค.ศ. 1775 เพอรซ์ วิ อล พอทท์ (Percival Pott) ศลั ยแพทยโ์ รงพยาบาลเซนตม์ าโซโลบวัในกรุงลอนดอนได้พบว่าคนงานทที ําความสะอาดปล่องไฟจะเป็นมะเรง็ อัณฑะกนั มาก และได้ระบุว่า เขม่า(Soot) เป็นสาเหตุทําให้เกดิ โรคดงั กล่าว ซงึ จากการคนพบนีเป็นแรงผกั ดนั ให้รฐั บาลประเทศองั กฤษได้ออกพระราชบญั ญตั สิ าํ หรบั ผทู้ ปี ระกอบอาชพี ทาํ ความสะอาดปล่องไฟในปี ค.ศ. 1788 จะเห็นได้ว่าในยุคแรกก่อนปฏวิ ตั ิด้านอุตสาหกรรม หรอื ก่อนปี ค.ศ. 1800 ก่อนการพฒั นางานด้านอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ยงั พฒั นาไมม่ ากนกั และอยใู่ นวงทจี าํ กดั เฉพาะหมนู่ กั วชิ าการหรอื แพทยเ์ ทา่ นนั 2.1.2 ยุคหลงั การปฏิวตั ิด้านอุตสาหกรรม ภายหลงั จากปี ค.ศ. 1800 ไดม้ กี ารปฏวิ ตั พิ ฒั นาระบบงานอุตสาหกรรมการผลิตมากในแถบยุโรปและสหรฐั อเมรกิ า โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ มีการเปลยี นแปลงระบบการผลติ มกี ารนําเครอื งจกั รมาทดแทนการใชแ้ รงงานมนุษยแ์ ละสตั ว์ ทาํ ใหส้ ามารถผลติ สนิ หนา้ 3
คา้ ไดค้ รงั ละจํานวนมากๆ เพอื ใหม้ ปี รมิ าณเพยี งพอกบั ความตอ้ งการของผูบ้ รโิ ภค ระบบงานอุตสาหกรรมในครวั เรอื นจงึ ลดน้อยลงเนืองจากไมส่ ามารถสูก้ บั ระบบทที นั สมยั ได้ การเพมิ ขนึ ของโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทําให้ความต้องการแรงงานในภาคงานอุตสาหกรรมเพมิ มากขนึ ประชากรในชนบทจงึ หลงั ไหลเข้าสู่แหล่งอุตสาหกรรมเพิมขึน มีการคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการผลิตเพิมมากขึน ซึงการเปลยี นแปลงนีเป็นไปอย่างรวดเรว็ ทําใหผ้ ู้ใช้แรงงานไม่สามารถปรบั ตวั ทนั กบั เทคโนโลยใี หม่ๆ จงึ ประสบปญั หาความเครยี ดและอนั ตรายจากการทํางานเพมิ ขนึ เกดิ อุบตั เิ หตุ ไดร้ บั บาดเจบ็ พกิ าร หรอื ตาย จากการทํางานเป็นจาํ นวนมากนอกจากนียงั พบว่ามกี ารใชแ้ รงงานเดก็ และสตรเี พมิ มากขนึ อกี ดว้ ย จากปญั หาทกี ล่าวมาทงั หมดทาํ ใหง้ านดา้ นอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ไดร้ บั ความสนใจและพฒั นาเพมิ มากขนึ จนถงึ ปจั จุบนัและในปจั จุบนั งานด้านอาชวี อนามยั ส่วนใหญ่จะเกยี วกบั การออกกฎระเบยี บ ขอ้ บงั คบั และกฎหมายเขา้ มาควบคมุ ระบบการทาํ งานรวมทงั การจดั ตงั องคก์ รต่างๆ ซงึ สามารถสรปุ พอสงั เขปไดด้ งั นี - ประมาณ ค.ศ. 1800 ชารล์ส เทอเนอร์ แทคร่า (Charles Turner Thackrah) แพทยช์ าวองั กฤษไดเ้ ขยี นบทความพมิ พล์ งในหนงั สอื เกยี วกบั เวชศาสตรอ์ ุตสาหกรรมซงึ บุคคลสาขาอาชพี ต่างๆ รวมทงันักการเมอื งได้ใหค้ วามสนใจงานเขยี นของเขา ทําใหป้ ญั หาต่างๆ เกยี วกบั การทํางานมคี วามสําคญั และถูกกระตุน้ จนเป็นกฎหมายรบั รองในการแกไ้ ขปญั หาโรคจากการทาํ งานเวลาต่อมา - ค.ศ. 1802 ประเทศองั กฤษไดอ้ อกพระราชบญั ญตั เิ กยี วกบั สุขภาพและศลี ธรรมของช่างฝึกหดัขนึ หรอื พวกฝึกงานขนึ เนืองจากปญั หาความไมป่ ลอดภยั และอนั ตรายต่างๆ ทเี กดิ ขนึ ในโรงงานอุตสาหกรรม - ค.ศ. 1878 ประเทศองั กฤษไดต้ ราพระราชบญั ญตั โิ รงงานทสี มบูรณ์แบบฉบบั แรกขนึ และเป็นตน้ แบบใหป้ ระเทศอนื ๆ ไดต้ ราและพฒั นากฎหมายคุม้ ครองแรงงานในเวลาต่อมา - ค.ศ. 1885 ประเทศสวติ เซอรแ์ ลนด์ และประเทศเยอรมนไี ดต้ รากฎหมายเกยี วกบั ค่าทดแทนใหแ้ ก่คนงานขนึ และต่อมาอกี 25 ปี ประเทศต่างๆ ในทวปี ยโุ รปกไ็ ดต้ รากฎหมายค่าทดแทนขนึ ใชจ้ นครบทกุประเทศ - ค.ศ. 1897 รฐั สภาประเทศองั กฤษได้ออกพระราชบญั ญตั กิ องทุนทดแทนฉบบั แรก และได้พฒั นาปรบั ปรงุ พระราชบญั ญตั ใิ หส้ มบรู ณ์ยงิ ขนึ ในปี ค.ศ.1907 - ค.ศ. 1908 สหรฐั อเมรกิ าได้นําพระราชบญั ญตั เิ งนิ ทดแทนขององั กฤษ (ค.ศ.1907) มาเป็นต้นแบบในการตรากฎหมายเงนิ ทดแทนฉบบั แรกของสหรฐั อเมรกิ า และต่อมาไดใ้ ชก้ ฎหมายดงั กล่าวครบทุกรฐั ในปี ค.ศ. 1948 - ค.ศ. 1913 สหรฐั อเมรกิ าได้จดั ตงั สภาพแห่งชาติด้านความปลอดภยั ในงานอุตสาหกรรม(National Council for Industrial Safety) และต่อมาไดเ้ ปลยี นชอื เป็นสภาความปลอดภยั แห่งชาติ - ค.ศ. 1919 ไดม้ กี ารจดั ตงั องคก์ ารแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization;ILO) ซงึ เป็นหน่วยงานสากลหน่วยงานหนึงทไี ดใ้ หค้ วามสาํ คญั กบั งานดา้ นอาชวี อนามยั และความปลอดภยั โดยออกอนุสญั ญา (Convention) และขอ้ แนะ (Recommendation) เกยี วกบั แรงงานและอาชวี อนามยั หลายฉบบัเพอื ใหน้ โยบายและแนวทางในการดําเนินงานระดบั ต่างๆ แก่ประเทศสมาชกิ เรอื ยมาจนถงึ ปจั จุบนั - ค.ศ. 1948 องค์การอนามยั โลก (WHO) ได้จดั ประชุมสภาอนามยั โลกครงั ที 1 (The FirstWorld Health Assembly) เพอื จดั ตงั คณะกรรมการผูเ้ ชยี วชาญร่วมมอื ทางดา้ นอาชวี อนามยั (Joint ILO/WHOExpert Committee on Occupational Health) เพอื ใหค้ วามรู้ การศกึ ษา การฝึกอบรม ในสาขาวชิ าการดา้ นอาชวี อนามยั และความปลอดภยั กบั ประเทศต่างๆ หนา้ 4
- ค.ศ. 1970 รฐั สภาสหรฐั อเมริกาได้ผ่านพระราชบัญญัติความปลอดภยั และอาชีวอนามัย(Occupational Safety and Health Act 1970) ซงึ จากการออกพระราชบญั ญตั ฉิ บบั ดงั กล่าวส่งผลใหม้ หี น่วยงานทีสําคัญและมบี ทบาทอย่างมากทางด้านอาชีวอนามยั และความปลอดภัยมาจนถึงปจั จุบันคือ สํานักงานบรหิ ารงานความปลอดภยั และอาชวี อนามยั (Occupational Safety and Health Administration ; OHSA) มีหน้าทบี รหิ ารงานให้เป็นไปตามพระราชบญั ญตั ฉิ บบั นี และสถาบนั ความปลอดภยั และอาชวี อนามยั แห่งชาติ(National Institute for Occupational Safety and Health ; NIOSH) มหี น้าทศี กึ ษาวจิ ยั และเสนอแนะมาตรฐานรวมทงั บรกิ ารการฝึกอบรม การตรวจ ประเมนิ เสนอแนวทางในการป้องกนั ควบคมุ อนั ตราย - ค.ศ. 1972 ประเทศญปี ุน่ ไดอ้ อกกฎหมายเกยี วกบั ความปลอดภยั และสุขภาพในอุตสาหกรรม(Industrial Safety and Health Law 1972) - ค.ศ. 1974 ประเทศองั กฤษได้ออกพระราชบญั ญตั สิ ุขภาพอนามยั และความปลอดภยั ในการทาํ งาน (Health and Safety at Work Act 1974) - ค.ศ. 1976 ประเทศสวีเดนได้ออกพระราชบัญญัติความปลอดภัยและอาชีวอนามัย(Occupational Safety and Health Act 1976) - ค.ศ. 1977 ประเทศนอรเ์ วย์ ไดอ้ อกพระราชบญั ญตั วิ า่ ดา้ ยการคุม้ ครองคนงานและสงิ แวดลอ้ มในการทาํ งาน (The Workers Protection and Working Environment Act 1977) - ค.ศ. 1978 ประเทศแคนาดาได้ออกพระราชบัญญัติความปลอดภัยและอาชีวอนามัย(Occupational Safety and Health Act 1978) - ค.ศ. 1984 ประเทศออสเตรเลียได้ออกพระราชบญั ญัติความปลอดภยั และอาชีวอนามยั(Occupational Safety and Health Act 1984) - ค.ศ. 1996 ประเทศองั กฤษโดยสํานักงานมาตรฐาน (British Standard Institution) ไดเ้ สนอแนวทางมาตรฐานการจดั การดา้ นอาชวี อนามยั และความปลอดภยั (BS 8800: 1996 Guide to OccupationalHealth and Safety Management System Standards) จะเหน็ ได้ว่าการพฒั นาดา้ นอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ในยุคหลงั การปฏวิ ตั อิ ุตสาหกรรมมีการพฒั นาขนึ ในดา้ นวชิ าการและขยายขอบเขตสสู่ งั คมในวงกวา้ งมากขนึ ส่งผลใหอ้ อกกฎหมายเฉพาะทางดน้นีเพอื บงั คบั ใช้ในประเทศต่างๆ พรอ้ มจดั ตงั หน่วยงานหรอื องค์กรขนึ เพอื บรหิ ารงานหรอื ให้สนับสนุนด้านต่างๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยแนวโน้มของการพฒั นาด้านอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ในปจั จุบนันอกจากการบงั คบั โดยใชก้ ฎหมายและยงั นําเรอื งระบบการบรหิ ารจดั การเขา้ มาเป็นส่วนร่วม โดยมองปญั หาทางด้านอาชีวอนามัยให้เป็นระบบเกียวกับการบริหารจดั การมากขึน ไม่ใช่เป็นเพียงเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ทเี กดิ ขนึ เพยี งอยา่ งเดยี วเช่นในอดตี 2.2 ความเป็นมาของงานอาชีวอนามยั และความปลอดภยั ในประเทศไทย เหตุการณ์สาํ คญั ทเี กยี วขอ้ งกบั งานอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ทสี าํ คญั ไดแ้ ก่(ปราโมช เชยี วชาญ. 2550 : 11-16) - พ.ศ. 2401 มกี ารจดั ตงั โรงสไี ฟฟ้าสาํ หรบั สขี า้ วขนึ เป็นครงั แรก - พ.ศ. 2462 ประเทศไทยเขา้ ร่วมเป็นสมาชกิ องคก์ ารแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ตงั แต่เรมิก่อตงั องคก์ ารนี หนา้ 5
- พ.ศ. 2471 ประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั คิ วบคุมกจิ การคา้ ขายอนั กระทบถงึ ความปลอดภยั หรอืความผาสกุ แหง่ สาธารณชน” - พ.ศ. 2472 ประกาศใชป้ ระมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ บรรพ 3 ทไี ดม้ กี ารปรบั ปรุง โดยมขี อ้กฎหมายเกยี วกบั การจา้ งแรงงาน การจา่ ยค่าจา้ ง สทิ ธขิ องนายจา้ งและลกู จา้ ง เป็นตน้ - พ.ศ. 2477 เรมิ ประกาศใช้ พระราชบญั ญตั สิ าธารณสุข พ.ศ. 2477 - พ.ศ. 2482 ประกาศใช้ พระราชบญั ญตั โิ รงงาน พ.ศ. 2482 - พ.ศ. 2484 เรมิ ประกาศใช้ พระราชบญั ญตั สิ าธารณสุข พ.ศ. 2484 - พ.ศ. 2503 มกี ารแกไ้ ขเพมิ เตมิ พระราชบญั ญตั โิ รงงาน พ.ศ. 2482 - พ.ศ. 2509 สถาบนั พฒั นาเศรษฐกจิ แห่งชาตไิ ดบ้ รรจุโครงการอาชวี อนามยั ไว้ในแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาตฉิ บบั ที 2 (พ.ศ. 2510 – 2514) - พ.ศ. 2512 ประกาศใช้ พระราชบญั ญตั โิ รงงาน พ.ศ. 2512 - พ.ศ. 2515 กระทรวงสาธารณสุข จดั ตังกองอาชีวอนามยั สงั กดั กรมส่งเสรมิ สาธารณสุข(ปจั จบุ นั คอื กรมอนามยั ) - พ.ศ. 2417 กรมแรงงาน กระทรวงมหาดไทย จดั ตงั ฝ่ายความปลอดภยั ขนึ สงั กดั กองคุม้ ครองแรงงาน - พ.ศ. 2528 กรมแรงงาน กระทรวงมหาดไทย ออกประกาศกําหนดให้สถานประกอบการทมี ีลูกจา้ งตงั แต่ 100 คนขนึ ไป ต้องมเี จา้ หน้าทคี วามปลอดภยั ในการทํางาน 1 คน ประจาํ อยตู่ ลอดระยะเวลาทาํ งาน - พ.ศ. 2533 มกี ารออกพระราชบญั ญตั ปิ ระกนั สงั คม พ.ศ. 2533 ซงึ ยงั ใชอ้ ยใู่ นปจั จุบนั และไดม้ ีการแกไ้ ขเพมิ เตมิ ใหท้ นั สมยั - พ.ศ. 2535 เป็นปีทมี กี ารประกาศใชก้ ฎหมายทสี ําคญั หลายฉบบั เช่น พระราชบญั ญตั โิ รงงานพ.ศ. 2535 พระราชบญั ญตั กิ ารสาธารณสุข พ.ศ. 2535 พระราชบญั ญตั วิ ตั ถุอนั ตราย พ.ศ. 2535 ซงึ เป็นกฎหมายทยี งั ใชบ้ งั คบั ในปจั จบุ นั โดยไดม้ กี ารแกไ้ ขเพมิ เตมิ ใหท้ นั สมยั - พ.ศ. 2536 มกี ารจดั ตงั กระทรวงแรงงานและสวสั ดกิ ารสงั คมขนึ จงึ มกี ารโอนภารกจิ ทเี กยี วขอ้ งกบั แรงงาน และกฎหมายจากกระทรวงมหาดไทย มาขนึ อยกู่ บั กระทรวงแรงงานและสวสั ดกิ ารสงั คม และมกี ารออกกฎหมายเพมิ เตมิ หลายฉบบั - พ.ศ. 2541 ประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั คิ ุม้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ใชบ้ งั คบั อยใู่ นปจั จบุ นั - พ.ศ. 2545 ประใช้พระราชบญั ญตั ิปรบั ปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 เปลยี นชอืกระทรวงแรงงานและสวสั ดกิ ารสงั คม เป็น “กระทรวงแรงงาน” โดยมหี น่วยงานสําคญั คอื สาํ นกั งานรฐั มนตรีสาํ นักงานปลดั กระทรวง กรมการจดั หางาน กรมพฒั นาฝ มอื แรงงาน กรมสวสั ดกิ ารและคุม้ ครองแรงงานและสาํ นกั งานประกนั สงั คม (สาํ นกั งานคณะกรรมการกฤษฎกี า. 2552 : ออน-ไลน์) ในปจั จบุ นั “กรมสวสั ดกิ ารและคุม้ ครองแรงงาน” เป็นหน่วยงานทรี บั ผดิ ชอบงานดา้ นอาชวี อนามยัและบงั คบั ใชก้ ฎหมายทเี กยี วขอ้ ง โดยมหี น่วยงานภายใต้กรมทสี ําคญั เช่น กองสวสั ดกิ ารแรงงาน กองตรวจความปลอดภยั สถาบนั ความปลอดภยั ในการทํางาน สํานักคุม้ ครองแรงงาน สาํ นกั แรงงานสมั พนั ธ์ เป็นตน้(กรมสวสั ดกิ ารและคุม้ ครองแรงงาน. 2552 : ออน-ไลน์) หนา้ 6
3. เป้ าหมายและลกั ษณะของงานอาชีวนามยั และความปลอดภยั 3.1 เป้ าหมายของงานอาชีวนามยั และความปลอดภยั งานอาชวี อนามยั เป็นงานสาธารณสุขแขนงหนึง ซงึ ใหบ้ รกิ ารทางสุขภาพอนามยั แก่ผูป้ ระกอบอาชพีทกุ สาขาอาชพี โดยมเี ป้าหมายทสี าํ คญั (สุดาว เลศิ วสิ ทุ ธไิ พบลู ย.์ 2550: 324) คอื 3.1.1 เพอื ป้องกนั และควบคมุ การบาดเจบ็ หรอื อุบตั เิ หตุเนืองจากการทาํ งาน 3.1.2 เพอื ป้องกนั และควบคุมโรคอนั เนืองมาจากการประกอบอาชพี 3.1.3 เพอื สง่ เสรมิ สุขภาพอนามยั ของผปู้ ระกอบอาชพี ใหม้ คี วามสมบรู ณ์ทงั รา่ งกาย จติ ใจและสงั คม 3.2 ลกั ษณะของงานอาชีวอนามยั และความปลอดภยั องค์การอนามยั โลก (World Health Organization) และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(International Labour Organization) ไดก้ ําหนดลกั ษณะของงานอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ไว้ 5 ดา้ น(สุดาว เลศิ วสิ ทุ ธไิ พบลู ย.์ 2550 : 324) คอื 3.2.1 การส่งเสรมิ (Promotion) และธาํ รงรกั ษาไว้ (Maintenance) ซงึ สุขภาพรา่ งกายและจติ ใจตลอดจนความเป็นอยใู่ นสงั คมของผใู้ ชแ้ รงงานในทกุ กล่มุ อาชพี ใหส้ มบรู ณ์ทสี ดุ 3.2.2 การป้องกนั (Prevention) ไมใ่ หผ้ ูป้ ระกอบอาชพี มสี ุขภาพอนามยั เสอื มโทรม หรอื เกดิ ความผดิ ปกตอิ นั เนืองมาจากสภาพหรอื สภาวะในการทาํ งานต่างๆ 3.3.3 ปกป้อง (Protection) ผปู้ ระกอบอาชพี ไมใ่ หท้ าํ งานทมี คี วามเสยี งอนั ตรายต่อสุขภาพ 3.2.4 การจดั (Placing) สถานทีและสภาพการทํางาน ให้ผู้ประกอบอาชีพได้ทํางานในสภาพแวดลอ้ มทเี หมาะสมกบั สภาพรา่ งกายและจติ ใจ 3.2.5 การปรบั ปรงุ สภาพงาน (Adaptation of work) ใหเ้ หมาะสมกบั ผปู้ ฏบิ ตั งิ าน 3.3 หลกั การดาํ เนินงานอาชีวอนามยั และความปลอดภยั ในการศกึ ษาสภาพแวดล้อมในการทํางานและการดําเนินงานอาชวี อนามยั และความปลอดภยั หรอืงานสุขศาสตรอ์ ุตสาหกรรม ประกอบดว้ ยหลกั การสาํ คญั 3 ประการ(ชยั ยทุ ธ ชวลติ นธิ กิ ุล. 2549 : 5 และ วทิ ยา อยสู่ ุข. 2549 : 23) คอื 3.3.1 การตระหนกั (Recognition) คอื ตอ้ งรแู้ ละเขา้ ใจอยา่ งถ่องแทถ้ งึ ปจั จยั ทอี าจเป็นภยั หรืออันตรายต่อสุขภาพของผู้ประกอบอาชีพ รวมทังปจั จยั ทีเป็นสาเหตุทําให้รู้สึกไม่สบายหรอืประสทิ ธภิ าพการทาํ งานดอ้ ยลง 3.3.2 การประเมนิ (Evaluation) เป็นการประเมนิ อนั ตราย หรอื ความเสยี งทอี าจจะเกิดจากสภาพแวดลอ้ มในการทาํ งาน โดยการตรวจวดั ซงึ อาจใชเ้ ครอื งมอื และอุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ แลว้ นําค่าทไี ด้จากการตรวจวดั ไปเทยี บกบั มาตรฐาน เพอื พจิ ารณาดาํ เนินการต่อไปตามความเหมาะสม 3.3.3 การควบคุม (Control) เป็นการดําเนินงานแก้ไข ป้องกนั และควบคุมไมใ่ หเ้ กดิ อนั ตรายต่อคน รวมทงั การจดั การความเป็นระเบยี บการป้องกนั และจดั การความเสยี ง การจดั หาอุปกรณ์ป้องกนั สว่ นบคุ คล หนา้ 7
4. ศาสตรแ์ ละบคุ ลากรทีเกียวข้องกบั อาชีวอนามยั และความปลอดภยั 4.1 ศาสตรท์ ีเกียวข้องกบั อาชีวอนามยั และความปลอดภยั งานทางดา้ นอาชวี อนามยั เป็นการประยกุ ตค์ วามรจู้ ากศาสตรห์ รอื วชิ าความรแู้ ขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความรพู้ นื ฐานทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ หรอื วทิ ยาศาสตรป์ ระยกุ ต์ ในส่วนทเี กยี วขอ้ งโดยตรงกบั งานอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ผูเ้ ขยี นขอจาํ แนกเป็นกลุ่มๆ ตามเอกลกั ษณ์ของแต่ละศาสตร์ ดงั นี - อาชวี อนามยั (OccupationalHealth) อาชวี อนมยั และความปลอดภยั (Occupational Healthand Safety) สขุ ศาสตรอ์ ุตสาหกรรม (Industrial Hygiene) หรอื อาชวี สุขศาสตร์ (Occupational Hygiene) เป็นศาสตรท์ มี งุ่ เน้นเกยี วกบั การแกไ้ ขปญั หาสงิ แวดลอ้ มในการทาํ งานเพอื ป้องกนั ควบคุมไมใ่ หส้ ่งผลกระทบต่อคนหรอื ผปู้ ระกอบอาชพี - อาชวี นิรภยั (Occupational Safety) หรอื วทิ ยาศาสตรค์ วามปลอดภยั (Safety Science) หรอืวศิ วกรรมความปลอดภยั (Safety Engineering) มุ่งเน้นการศกึ ษาเพอื ป้องกนั อุบตั เิ หตุจากการทาํ งาน รวมทงัสง่ เสรมิ ออกแบบหรอื สรา้ งสรรคพ์ ฒั นาอุปกรณ์ เครอื งจกั ร เพอื ความปลอดภยั ในการทาํ งาน - อาชวี เวชศาสตร์ (Occupational Medicine) หรอื เวชศาสตรอ์ ุตสาหกรรม (Industrial Medicine)ศกึ ษาในดา้ นการตรวจวนิ จิ ฉยั และรกั ษาโรคจากการประกอบอาชพี - เวชศาสตรฟ์ ืนฟู หรอื เวชกรรมฟืนฟู (Rehabilitation medicine) เป็นศาสตรท์ างดา้ นการฟืนฟูสภาพกายรวมทงั จติ ใจของผู้ประกอบอาชพี ทไี ด้รบั การบาดเจบ็ หรอื พกิ ารจากอุบตั เิ หตุ หรอื ไม่สามารถทาํ งานไดเ้ นืองจากเป็นโรคทเี กดิ จากการประกอบอาชพี ใหส้ ามารถกลบั เขา้ มาทํางานไดต้ ามปกติ หรอื ทํางานชนดิ ใหมท่ เี หมาะสมกบั สภาพรา่ งกาย - การยศาสตร์ (Ergonomics) เป็นศาสตร์ทีมุ่งเน้นการจดั และปรบั ปรุงสภาพการทํางานให้เหมาะสมกบั กายและสรรี ะของคนงาน รวมทงั สภาพจติ ใจของคนทาํ งาน นอกจากศาสตร์ทเี กียวขอ้ งโดยตรงข้างต้นแล้ว งานอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ยงั ต้องอาศยัวชิ าการอืนๆ ร่วมด้วย เช่น วทิ ยาการระบาด (Epidemiology) พษิ วทิ ยา (Toxicology) หรอื จติ วทิ ยาอุตสาหกรรม (Industrial Psychology) 4.2 บคุ ลากรทีเกียวข้องกบั อาชีวอนามยั และความปลอดภยั งานอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ต้องอาศัยความรู้ในศาสตรต์ ่างๆ เข้ามาประยุกต์ จงึ มคี วามจาํ เป็นตอ้ งมบี ุคลากรและนกั วชิ าการดา้ นต่างๆ ร่วมดาํ เนินการ เพราะบุคคลคนเดยี วย่อมไมอ่ าจศกึ ษาศาสตร์ทุกศาสตรท์ เี กยี วขอ้ งไดห้ มด จําเป็นต้องอาศยั ความร่วมมอื จากบุคลากรทมี จี ากหลายสาขาวชิ า บุคลากรทีสาํ คญั ต่อการดาํ เนนิ งานอาชวี อนามยั ไดแ้ ก่ - นักอาชวี สุขศาสตร์ นักสุขศาสตรอ์ ุตสาหกรรม นกั อาชวี อนามยั ทาํ หน้าทสี บื คน้ ตรวจประเมนิและเสนอแนะแนวมาตรการในการควบคุมสงิ แวดล้อมในการทํางานเพือป้องกนั โรคและอุบตั ิเหตุจากการทาํ งาน หนา้ 8
- นักอาชวี นิรภยั นักวทิ ยาศาสตรค์ วามปลอดภยั และวศิ วกรความปลอดภยั ทําหน้าทปี ้องกนัอุบตั เิ หตุจากการทํางาน ออกแบบ พฒั นา หรอื แก้ไขอุปกรณ์ เครอื งจกั ร เพอื ความให้เกดิ ปลอดภยั ในการทาํ งาน - แพทยอ์ าชวี อนามยั และพยาบาลอาชวี อนามยั มหี น้าทใี นการตรวจวนิ ิจฉัยและรกั ษาโรคจากการประกอบอาชพี หรอื อุบตั เิ หตุจากการทํางาน การพยาบาลรกั ษา ทงั นีภายใต้กรอบของกฎหมายว่าดว้ ยการแพทยห์ รอื ว่าดว้ ยการพยาบาล - นักอาชวี บําบดั นักกจิ กรรมบําบดั นักกายภาพบําบดั นักจติ บําบดั มหี น้าทฟี ืนฟูสภาพกายรวมทงั จติ ใจของผู้ประกอบอาชีพทไี ด้รบั การบาดเจบ็ หรอื พิการจากอุบตั ิเหตุ หรอื ไม่สามารถทํางานได้เนืองจากเป็นโรคทเี กดิ จากการประกอบอาชพี ใหส้ ามารถกลบั เขา้ มาทํางานไดต้ ามปกติ หรอื ทาํ งานชนิดใหม่ทเี หมาะสมกบั สภาพรา่ งกาย ทกี ล่าวมานีเป็นบุคลากรทมี สี ่วนเกยี วขอ้ งโดยตรงต่องานอาชวี อนามยั และความปลอดภยั บุคลากรเหล่านีมบี ทบาทสําคญั แต่ในการดําเนินงานอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ให้ประสบความสําเรจ็ จะต้องอาศยั ความรว่ มมอื จากบุคลากรและนกั วชิ าการดา้ นอนื ๆ ทเี กยี วขอ้ ง แมก้ ระทงั บุคลากรทมี คี วามรทู้ างศาสตร์ด้านสงั คม เช่น นักกฎหมาย ซึงมสี ่วนในการพจิ ารณาการออกกฎหมายเกียวกับอาชวี อนามยั และความปลอดภยั เป็นต้น อกี ทงั ต้องไดร้ บั ความร่วมมอื จากผูบ้ รหิ ารโรงงานหรอื ฝ่ายนายจา้ ง คนงานหรอื ผูป้ ระกอบอาชพี ไมว่ ่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรมหรอื ภาคเกษตรกรรม5. คนกบั สิงแวดล้อมในการทาํ งาน ในศาสตร์ทางด้านอาชีวอนามยั และความปลอดภัย นิยมจดั แบ่งสิงแวดล้อมในการทํางานเป็น4 ประเภท โดยยดึ เอาคนหรอื ผปู้ ระกอบอาชพี เป็นศูนยก์ ลาง ไดแ้ ก่ 5.1 สิงแวดล้อมทางเคมี (Chemical Environment) สงิ แวดลอ้ มทางเคมี ไดแ้ ก่ สารเคมที ใี ชใ้ นกระบวนการผลติ หรอื ทคี นงานต้องสมั ผสั ในการประกอบอาชพี ทงั สารเคมใี นภาคอุตสาหกรรม และสารเคมที ใี ช้ในภาคเกษตรกรรมโดยสารเคมเี หล่านีอาจใช้เป็นวตั ถุดบิ หรอื เป็นผลติ ภณั ฑ์ หรอื เป็นของเสยี ทไี ดจ้ ากการผลติ ซงึ อาจจะอยใู่ นรปู ของก๊าช ไอ ฝนุ่ ควนั ละอองฟูม หรอื อยใู่ นรปู ของเหลว เช่น ตวั ทาํ ละลาย (Solvents) ต่างๆ เป็นตน้ 5.2 สิงแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Environment) สงิ แวดล้อมทางกายภาพทอี ยู่รอบๆ ตวั คนในขณะทํางาน มหี ลายชนิด ขนึ อยู่กบั ลกั ษณะงานทที ําตวั อยา่ งสงิ แวดลอ้ มทางกายภาพ เช่น แสง เสยี ง ความรอ้ น ความเยน็ ความกดดนั บรรยากาศ เป็นตน้ 5.3 สิงแวดล้อมชีวภาพ (Biological Environment) สงิ แวดลอ้ มทางชวี ภาพทผี ปู้ ระกอบอาชพี มโี อกาสสมั ผสั ไดแ้ ก่ ไวรสั แบคทเี รยี เชอื รา หนอนพยาธิสตั วท์ มี พี ษิ ต่างๆ เป็นตน้ 5.4 สิงแวดล้อมทางจิตวิทยาสงั คมและการยศาสตร์ (Psychosocial Environment andErgonomics) เป็นสงิ แวดลอ้ มทมี ผี ลต่อสภาพกายและจติ ใจของคนทํางาน ตวั อยา่ งเช่น ท่าทางในการทํางาน ภาระงานทตี ้องทํา ชวั โมงในการทํางาน ความเมอื ยล้า เพอื นรว่ มงาน รวมทงั อุปกรณ์และเครอื งมอื ในการทาํ งานทีไมเ่ หมาะสม เป็นตน้ หนา้ 9
6. หลกั การและวิธีการควบคมุ สิงแวดล้อมเพือความปลอดภยั 6.1 หลกั การควบคมุ สิงแวดล้อมเพือความปลอดภยั ในการดาํ เนนิ การควบคมุ สงิ แวดลอ้ มใหเ้ กดิ ประโยชน์สงู สุดและถูกหลกั การป้องกนั ควบคุม มหี ลกั การสาํ คญั (สราวธุ สธุ รรมาสา. 2550 : 222) ดงั นี (1) ควบคุมทแี หลง่ กําเนดิ (Source) เป็นลาํ ดบั แรก (2) ควบคุมทที างผ่าน (Path) หากไมส่ ามารถป้องกนั ทแี หล่งกําเนิดได้ ทางผ่านในทนี ีหมายถงึระยะทางหรอื บรเิ วณระหวา่ งแหล่งกําเนิดกบั คน (3) ป้องกนั ทตี วั คน หรอื ผปู้ ฏบิ ตั งิ าน (Receiver) 6.2 วิธีการควบคมุ สิงแวดล้อมเพือป้ องกนั อบุ ตั ิเหตุ วธิ กี ารควบคุมสงิ แวดลอ้ มเพอื ความปลอดภยั อาจใชห้ ลกั 3E (สราวธุ สุธรรมาสา. 2550 : 223) คอื (1) Engineering การใชว้ ธิ ที างวศิ วกรรม (2) Education การใหค้ วามรู้ การฝึกอบรม (3) Enforcement การใชม้ าตรการ กฎเกณฑ์ กฎหมายเพอื บงั คบั ใหป้ ฏบิ ตั ิ หรอื บางตําราอาจเสนอใหใ้ ชว้ ธิ ที เี รยี กว่า E & A คอื (1) Engineering การใชว้ ธิ ที างวศิ วกรรม และ (2) Administration ใชว้ ธิ ที างการจดั การทมี ปี ระสทิ ธผิ ลและประสทิ ธภิ าพ อยา่ งไรกต็ ามไมว่ า่ จะใชห้ ลกั หรอื วธิ กี ารใด ต่างกม็ เี ป้าหมายเพอื ป้องกนั การเกดิ อุบตั เิ หตุ นักศกึ ษาจะนําหลกั การและวธี กี ารใดกไ็ ดไ้ ปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการทาํ งานในอนาคตตามความเหมาะสม7. ทฤษฎีทีเกียวข้องกบั อบุ ตั ิเหตุ 7.1 ทฤษฎีพลงั งาน ทฤษฎพี ลงั งาน (Energy Cause Theory) นีเป็นทยี อมรบั กนั มานาน โดยแฮดดนั (Haddon) ไดต้ งัสมมตุ ฐิ านไว้ 2 ประการ คอื (สดุ าว เลศิ วสิ ทุ ธไิ พบลู ย.์ 2550 : 452) (1) การบาดเจบ็ เกดิ จากการทพี ลงั งานกระทบกบั รา่ งกายคนในปรมิ าณทสี งู เกนิ กว่ารา่ งกายหรอืสว่ นหนึงส่วนใดของรา่ งกายจะทนต่อแรงกระทบนันได้ เช่น แขนขาหกั เพราะถูกกระทบจากรถชน ศรี ษะแตกเนืองจากวตั ถุหลน่ ใส่ เกดิ แผลไหมจ้ ากกรดหรอื ด่าง เป็นตน้ (2) การบาดเจบ็ เกดิ จากการแลกเปลยี นพลงั งานระหว่างรา่ งกายหรอื ส่วนใดส่วนหนึงของร่างกายกบั แรงซงึ มากระทบในลกั ษณะทผี ดิ ปกติ (Abnormal Energy Exchange) ทาํ ใหเ้ กดิ การเปลยี นแปลงหรอื เกดิการบาดเจบ็ ขนึ เชน่ การไดร้ บั พษิ จากก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ การจมนํา ทาํ ใหข้ าดอากาศหายใจ เป็นตน้ ตวั อย่างเช่น รถยนต์วงิ มาชนคน ถ้าชนเบาๆ ร่างกายหรอื ส่วนใดส่วนหนึงของร่างกายทนแต่แรงกระทบได้ กจ็ ะไม่เกดิ การบาดเจบ็ แต่ถ้าแรงกระทบนันสูงเกนิ กว่าร่างกายหรอื ส่วนใดส่วนหนึงของร่างกายทนทานไมไ่ ด้ กจ็ ะเกดิ การบาดเจบ็ ขนึ หนา้ 10
7.2 ทฤษฎีความเอนเอียงในการเกิดอบุ ตั ิเหตุ ทฤษฎคี วามเอนเอยี งในการเกดิ อุบตั เิ หตุ (Accident-Proneness Theory) มมี มุ มองว่า ความเอนเอยี งในการเกดิ อุบตั เิ หตุ หมายถงึ ลกั ษณะบุคลกิ ภาพ ซงึ มแี นวโน้มใหบ้ ุคคลไดร้ บั อุบตั เิ หตุ แนวความคดิ นีเรมิ ขนึตงั แต่ปี พ.ศ.2462 และมนี ักวทิ ยาศาสตรห์ ลายท่านต่อๆ มาได้ศกึ ษาลกั ษณะธรรมชาตขิ องคนทมี สี ่วนเป็นสาเหตุใหเ้ กดิ อุบตั เิ หตุได้ ซงึ ไดแ้ ยกประเภทบคุ คลไวเ้ ป็น 2 กลุ่ม ดงั ตารางต่อไปนี (เอมอชั ฌา วฒั นบุรานนท.์2548 : 25)บุคคลประเภทเอกซ์ (Type X) มคี วามเอนเอยี ง บคุ คลประเภทวาย (Type Y) มคี วามเอนเอยี ง ทจี ะไมเ่ กดิ อุบตั เิ หตุ (Non-Accident Theory) ทจี ะเกดิ อุบตั เิ หตุ (Accident Theory)1. ผทู้ มี รี ะเบยี บแบบแผน 1. ผทู้ ไี ม่มรี ะเบยี บแบบแผน2. ผทู้ มี เี ป้าหมายในการดาํ รงชวี ติ 2. ผทู้ ไี ม่มเี ป้าหมายในการดาํ รงชวี ติ3. ผทู้ พี อใจในชวี ติ ประจาํ วนั 3. ผทู้ ไี มพ่ อใจในชวี ติ ประจาํ วนั4. ผทู้ เี คารพสทิ ธแิ ละความคดิ เหน็ ของผอู้ นื 4. ผทู้ ไี มเ่ คารพสทิ ธแิ ละความคดิ เหน็ ของผอู้ นื5. ผทู้ ไี มเ่ ผดจ็ การ 5. ผทู้ เี ผดจ็ การ ไมม่ มี นุษยสมั พนั ธ์6. ผทู้ ไี มช่ อบโตเ้ ถยี งหรอื ทะเลาะววิ าท 6. ผทู้ รี ะงบั ความรสู้ กึ เกลยี ดชงั ไดย้ าก7. ผทู้ นี กึ ถงึ ผอู้ นื 7. ผทู้ นี กึ ถงึ แต่ตวั เอง เหน็ แก่ตวั ดงั นนั หากตอ้ งการป้องกนั และควบคมุ อุบตั เิ หตุตามทฤษฎดี งั กลา่ ว จะตอ้ งแกไ้ ขทตี วั บุคคล เชน่ ให้การศกึ ษา ฝึกอบรม สรา้ งแรงกระตุน้ หรอื แรงจงู ใจใหม้ จี ติ สาํ นกึ และตระหนกั ในความปลอดภยั 7.3 ทฤษฎีโดมิโน ในปี ค.ศ. 1920 (พ.ศ. 2463) ฮนี รชิ (H.W. Heinrich) ทาํ การศกึ ษาทดลองสาเหตุของการเกดิอุบตั เิ หตุในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ (สุดาว เลศิ วสิ ทุ ธไิ พบลู ย.์ 2550 : 453-454) พบว่า - สาเหตุสาํ คญั ของการเกดิ อุบตั เิ หตุเกดิ จากการกระทาํ ทไี มป่ ลอดภยั (Unsafe Acts) สงู ถงึ รอ้ ยละ 88ของจาํ นวนการเกดิ อุบตั เิ หตุทที าํ การทดลอง - ถดั มาคอื สภาพการณ์ทไี มป่ ลอดภยั (Unsafe Conditions) เช่น สภาวะแวดลอ้ มรอบตวั ไมป่ ลอดภยัสภาพเครอื งมอื เครอื งจกั รทชี าํ รดุ บกพรอ่ ง รอ้ ยละ 10 - อกี รอ้ ยละ 2 เป็นสาเหตุทอี ยนู่ อกเหนือการควบคุม เกดิ ขนึ โดยธรรมชาติ เช่น พายุ นําท่วม ฟ้าผ่า เป็นตน้ ผลการศกึ ษาดงั กล่าวจงึ นํามาตงั ทฤษฎโี ดมโิ น (Domino Theory) ว่า “การบาดเจบ็ และการเสยี หายต่างๆ เป็นผลสบื เนืองโดยตรงจากอุบตั เิ หตุ ซงึ เกดิ จากการกระทาํ หรอื สภาพการณ์ทไี มป่ ลอดภยั อนั เนืองมาจากความบกพรอ่ งของบุคคล ซงึ ขนึ อยกู่ บั ภมู หิ ลงั ของบุคคล ลาํ ดบั ขนั ตอนของการเกดิ อุบตั เิ หตุตามทฤษฎนี ี เปรยี บเสมอื นโดมโิ น 5 ตวั วางเรยี งอยใู่ กลก้ นั เมอืตวั ทหี นึงลม้ ตวั ถดั ไปกล็ ม้ ตามไปดว้ ย โดมโิ นทงั 5 ตวั ไดแ้ ก่ (1) สภาพแวดลอ้ มหรอื ภมู หิ ลงั ของบุคคล (Social Environment or Background) (2) ความบกพรอ่ งของบคุ คล (Defects of Person) (3) การกระทําหรอื สภาพการณ์ทไี มป่ ลอดภยั (Unsafe Acts / Unsafe Conditions) (4) อุบตั เิ หตุ (Accident) (5) การบาดเจบ็ หรอื ความเสยี หาย (Injure / Damages) หนา้ 11
(1) (2) (4) (5) (3) ภาพ ลาํ ดบั โดมิโน 5 ตวั ตามทฤษฏีโดมิโน สภาพแวดล้อมทางสงั คมหรอื ภูมหิ ลงั ของบุคคล เช่น สภาพครอบครวั ฐานะความเป็นอยู่ การศกึ ษาอบรม เป็นตน้ มผี ลต่อความบกพรอ่ งของบคุ คลนนั เช่น การปลกู ฝงั แบบผดิ ๆ ทําใหบ้ ุคคลมที ศั นคตทิ ไี มถ่ ูกตอ้ งดา้ นความปลอดภยั มนี ิสยั ชอบเสยี ง มกั งา่ ย เป็นต้น ซงึ ความบกพร่องเหล่านี จะส่งผลให้เกดิ การบาดเจบ็ หรอืความเสยี หายในทสี ุด ทฤษฎนี ีจงึ มผี เู้ รยี กชอื อกี อยา่ งหนึงว่า “ห่วงโซของอุบตั เิ หตุ” (Accident Chain) การป้องกนั อุบตั เิ หตุตามทฤษฎโี ดมโิ น คอื การตดั ห่วงโซ่ ช่วงโดมโิ นตวั ที 3 ออก โดยกาํ จดั การกระทาํ หรอื สภาพการณ์ทไี มป่ ลอดภยั (Unsafe Acts / Unsafe Conditions) ออกไป อุบตั เิ หตุกจ็ ะไมเ่ กดิ ขนึ (3) (1) (2) (4) (5) ภาพ การป้ องกนั อบุ ตั ิเหตตุ ามทฤษฎีโดมิโน 7.4 ทฤษฎีรปู แบบการเกิดอบุ ตั ิเหตขุ องกองทพั บกสหรฐั อเมริกา การบรหิ ารงานความปลอดภยั ของกองทพั บกสหรฐั อเมรกิ าไดพ้ ฒั นามากขนึ เนืองจากไดม้ กี ารนําเอาเทคโนโลยใี หมๆ่ มาใชใ้ นการป้องกนั ประเทศ กองทพั บกสหรฐั อเมรกิ าจงึ ไดศ้ กึ ษาเทคโนโลยที างดา้ นความปลอดภยั ควบคไู่ ปกบั เทคโนโลยที างดา้ นความปลอดภยั ควบคไู่ ปกบั เทคโนโลยใี นการผลติ และการใชด้ ว้ ยรปู แบบทนี ําเสนอนีเป็นรปู แบบทแี สดงถงึ การเกดิ อุบตั เิ หตุ ซงึ สรปุ ไดว้ ่าสาเหตุของการเกดิ อุบตั เิ หตุแบง่ ได้ 3ประการ (เฉลมิ ชยั ชยั กติ ตภิ รณ์. 2549 : 25) คอื (1) ความผดิ พลาดของผปู้ ฏบิ ตั งิ าน (Human Error) (2) ความผดิ พลาดของระบบ (System Error) (3) ความผดิ พลาดในการบรกิ ารจดั การ (Management Error) ดงั นนั การป้องกนั และควบคุมอุบตั เิ หตุตอ้ งป้องทตี วั ผปู้ ฏบิ ตั งิ าน ปรบั ปรงุ ระบบ และมกี ารบรหิ ารจดั การทดี ี หนา้ 12
7.5 ทฤษฎีการเกิดอบุ ตั ิเหตจุ ากหลายสาเหตุ (Multiple Causation Theory) ทฤษฎกี ารเกดิ อุบตั เิ หตุจากหลายสาเหตุ (Multiple Causation Theory) บางตําราอาจเรยี กวา่ ทฤษฎีมลู เหตุเชงิ ซอ้ น ทฤษฎนี ีเสนอโดย ปีเตอรเ์ ซน (Dan Petersen) ในปี ค.ศ.1971 (พ.ศ. 2514) มคี วามเหน็ ว่าอุบตั เิ หตุแต่ละครงั นนั เป็นผลมาจากการหลายๆ สาเหตุรว่ มกนั ไมไ่ ดเ้ กดิ จากสาเหตุใดสาเหตุหนึงเพยี งอยา่ งเดยี ว แทจ้ รงิ แลว้ หากสบื ลกึ ลงไปถงึ รากเหงา้ ของปญั หา จะพบว่าการกระทาํ ทไี มป่ ลอดภยั หรอื สภาพการณ์ทไี ม่ปลอดภยั และอุบตั เิ หตุทเี กดิ ขนึ นันเป็นสงิ ทเี ป็นผลมาจากการขาดประสทิ ธภิ าพของระบบบรหิ ารจดั การ หากมีระบบบรหิ ารจดั การทดี โี อกาสการเกดิ อุบตั เิ หตุกจ็ ะน้อยลงหรอื อาจไมเ่ กดิ ขนึ เลย (สุดาว เลศิ วสิ ุทธไิ พบลู ย.์2550: 454) ทฤษฎกี ารเกดิ อุบตั เิ หตุจากหลายสาเหตุนีเปรยี บการเกดิ อุบตั เิ หตุนนั มสี าเหตุเกยี วเนืองกนั เป็นลกู โซ่หรอื ทเี รยี กว่า “ลกู โซของอุบตั เิ หตุ” (Accident Chain) การเกดิ อุบตั เิ หตุมคี วามเกยี วขอ้ งสมั พนั ธก์ นั จาก“สาเหตุนํา” และ “สาเหตุโดยตรง” สาเหตนุ ํา1. ความผิดพลาด 2. สภาพจติ ใจ 3. รา่ งกายไม่พรอ้ ม ของการจดั การ ไม่เหมาะสมสาเหตโุ ดยตรง 1.การกระทาํ ทไี ม่ปลอดภยั / 2.สภาพแวดลอ้ มไม่ปลอดภยัความ อบุ ตั ิเหตุ บาดเจบ็เสยี หายภาพ แสดงลูกโซของอบุ ตั ิเหตุ (Accident Chain) ดงั นนั การป้องกนั อุบตั เิ หตุใหไ้ ดผ้ ลจงึ ควรดาํ เนนิ การใหค้ รอบคลมุ ทกุ ๆ สาเหตุโดยเน้นทรี ะบบการบรหิ ารจดั การ ซงึ แนวทางการป้องกนั ควบคุมอุบตั เิ หตุตามทฤษฎนี ี นบั ว่าเป็นทนี ิยมในงานความปลอดภยัสมยั ใหม่8. แบบจาํ ลองสาเหตขุ องอบุ ตั ิเหตแุ ละความสญู เสีย ฟรงั ค์ อี เบริ ด์ ไดเ้ สนอแบบจาํ ลองเกยี วกบั การคน้ หาสาเหตุของอุบตั เิ หตุและความสญู เสยี (LossCausation Model) ซงึ เป็นรปู แบบทที าํ ความเขา้ ใจงา่ ยเป็นทแี พรห่ ลายและใชใ้ นงานอาชวี อนามยั อยา่ งกวา้ งขวางมลี กั ษณะคลา้ ยโดมโิ นของ H.W. Heinrich หนา้ 13
แบบจาํ ลองแบบจาํ ลองเกยี วกบั การคน้ หาสาเหตุของอุบตั เิ หตุและความสญู เสยี นี อธบิ ายถงึ ความสญู เสยี เป็นผลมาจากอุบตั กิ ารณ์ (Incident) หรอื เหตุการณ์ไมพ่ งึ ประสงค์ ซงึ เกดิ มาจากสาเหตุในขณะนนั(Immediate Causes) อนั เป็นผลต่อเนืองมาจากสาเหตุพนื ฐาน (Basic Causes) ซงึ เป็นผลจากการขาดการควบคมุ ทดี ี (Lack of Control)การขาดการ สาเหตุพนื ฐาน สาเหตุใน อุบตั กิ ารณ์/ ความสญู เสยี ควบคุม (Basic ขณะนัน เหตุการณ์ไม่ (Loss) (Lack Causes) (Immediate Causes) พงึ ประสงค์ -ทางตรงof Control) เชน่ รา่ งกายคนงาน -ปัจจยั จากบคุ คล เช่น (Incident) ค่ารกั ษาพยาบาลเชน่ (ขาความรู้ -การปฏิบตั ิตาํ คา่ ทดแทน-ไมม่ ีโครงการ/ ความสามารถ กวา่ มาตรฐาน เชน่ -ทางอ้อมกิจกรรม ความเครยี ด) (Sub-standard Act) การชน เสยี เวลา-ไมม่ ีการ -ปัจจยั จากงาน -สภาพการณ์/ เสยี กระบวนการจดั การให้ (การออกแบบ สภาพแวดล้อม การกระแทก เสยี กาํ ลงั แรงงานเป็ นไปตาม สถานทที าํ งาน ตาํ กวา่ มาตรฐาน ถกู หนบี เสยี ชอื เสยี งมาตรฐาน เครอื งมอื อุปกรณ์) (Sub-standard ถกู บาด ถูกตดั Condition) สมั ผสั ฝนุ่ เสยี งดงั ความรอ้ น การสนั สะเทอื น ภาพ แบบจาํ ลองเกียวกบั การค้นหาสาเหตขุ องอบุ ตั ิเหตแุ ละความสญู เสีย (Loss Causation Model) ความสญู เสีย (Loss) มผี เู้ ปรยี บเทยี บใหเ้ หน็ วา่ ความสญู เสยี ทเี กดิ ขนึ เปรยี บเสมอื นภเู ขานําแขง็สว่ นทโี ผล่พน้ นําใหม้ องเหน็ เป็นเพยี งเลก็ น้อยเมอื เปรยี บเทยี บกบั ส่วนทจี มนํา นกั ศกึ ษาพจิ ารณาภาพต่อไปนี - ค่าใชจ้ า่ ยเนืองจากการเจบ็ ปว่ ย/อบุ ตั เิ หตุ คา่ ทดแทน ค่ารกั ษาพยาบาล ค่าประกนั ภยั /ประกนั ชวี ติ - การสญู เสยี อาคาร เครอื งมอื และอปุ กรณ์ - การสญู เสยี ผลติ ภณั ฑแ์ ละวตั ถุดบิ - การล่าชา้ และการสดดุ ในผลผลติ - คา่ ใชจ้ ่ายทางคดคี วาม - ค่าใชจ้ า่ ยในวสั ดุและอปุ กรณ์ฉุกเฉนิ - คา่ เชา่ อุปกรณ์เฉพาะหน้า - เวลาการลงทุน ค่าจา้ งในเวลาทสี ญู เสยี - คา่ ใชจ้ ่ายในการจา้ งและอบรม พนกั งานใหม่ - ค่าล่วงเวลา เวลาในการบรหิ ารทเี พมิ เวลาในการแกไ้ ข - ผลผลติ ลดลง เพราะความสามารถของพนกั งานทบี าดเจบ็ ลดลง - สญู เสยี ทางธุรกจิ และภาพลกั ษณ์ภาพ เปรยี บเทียบความสญู เสียทีเกิดขึนเสมอื นภเู ขานําแขง็ หนา้ 14
9. สถานการณ์อบุ ตั ิเหตแุ ละโรคจากการทาํ งานของไทย 9.1 สถานการณ์อบุ ตั ิเหตจุ ากการทาํ งาน นกั ศกึ ษาพจิ ารณาขอ้ มลู จาก จากตารางสถติ ติ ่อไปนี ตารางที 9.1.1 สถิติการเกิดอบุ ตั ิเหตจุ ากการทาํ งาน จาํ แนกตามอวยั วะทีได้รบั อนั ตราย ทีมา: สาํ นักกองทุนเงินทดแทน สาํ นักงานประกนั สงั คม ข้อมลู เดอื นกมุ ภาพนั ธ์ 2552 หนา้ 15
ตารางที 9.1.2 สถิติการเกิดอบุ ตั ิเหตจุ ากการทาํ งาน จาํ แนกตามกล่มุ อายุ ทีมา: สาํ นักกองทุนเงินทดแทน สาํ นักงานประกนั สงั คม ขอ้ มลู เดือนกมุ ภาพนั ธ์ 2552ตารางที 9.1.3 สถิติการเกิดอบุ ตั ิเหตจุ ากการทาํ งาน จาํ แนกตามขนาดสถานประกอบการ ทีมา: สาํ นักกองทุนเงินทดแทน สาํ นักงานประกนั สงั คม ขอ้ มูลเดอื นกมุ ภาพนั ธ์ 2552 หนา้ 16
9.2 สถานการณ์โรคจากการทาํ งาน นกั ศกึ ษาพจิ ารณาขอ้ มลู จาก จากตารางสถติ ติ ่อไปนี ตารางที 9.2.1 สถิติการเกิดโรคจากการทาํ งานจาํ แนกตามปีทีมา: กองทุนเงินทดแทน สาํ นักงานประกนั สงั คม กระทรวงแรงงาน อ้างจาก สมาคมโรคจากการประกอบอาชพี และ สงิ แวดลอ้ มแห่งประเทศไทย http://www.anamai.moph.go.th/occmed/indexstaticd.htm สบื คน้ วนั ที 28 ตุลาคม 2553. หนา้ 17
ตารางที 9.2.2 สถิติจาํ นวนผ้ปู ่ วยสงสยั โรคจากการประกอบอาชีพ พ.ศ. 2539 - 2551 ทีมา: สาํ นักระบาดวิทยา อ้างจาก สมาคมโรคจากการประกอบอาชพี และสงิ แวดลอ้ มแห่งประเทศไทย http://www.anamai.moph.go.th/occmed/indexstaticd.htm สบื คน้ วนั ที 28 ตุลาคม 2553.9.3 สถานการณ์การเจบ็ ป่ วยของเกษตรกรจากสารพิษ นกั ศกึ ษาพจิ ารณาบทความต่อไปนีทีมา: กรมควบคมุ มลพิษ รายงานสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย ปี 2551 http://www.pcd.go.th หนา้ 18
10. ชนิดของโรคซึงเกิดจากการทาํ งาน การจดั แบ่งชนดิ ของโรคจากการทํางานนนั ปจั จบุ นั ไดม้ ปี ระกาศกระทรวงแรงงาน เรอื ง กาํ หนดชนดิ ของโรคซงึ เกดิ ขนึ ตามลกั ษณะหรอื สภาพของงานหรอื เนืองจากการทาํ งาน (ภายใต้ พรบ. เงนิ ทดแทน พ.ศ. 2537)ไว้ 8 กล่มุ คอื 1. โรคทเี กดิ ขนึ จากสารเคมี 2. โรคทเี กดิ ขนึ จากสาเหตุทางกายภาพ 3. โรคทเี กดิ ขนึ จากสาเหตุทางชวี ภาพ 4. โรคระบบทางเดนิ หายใจทเี กดิ ขนึ จากการทาํ งาน 5. โรคผวิ หนงั เนืองจากการทํางาน 6. โรคระบบกลา้ มเนือและโครงกระดกู เนืองจากการทาํ งาน 7. โรคมะเรง็ เนืองจากการทาํ งาน 8. โรคอนื ๆ ซงึ พสิ จู น์ไดว้ ่าเกดิ ขนึ ตามลกั ษณะหรอื สภาพของงานหรอื เนืองจากการทาํ งาน นกั ศกึ ษาดรู ายละเอยี ด ประกาศกระทรวงแรงงาน ในภาคผนวก บรรณานุกรมกรมควบคุมมลพษิ . (2553). รายงานสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย ปี 2551. [ออน-ไลน์]. สบื คน้ วนั ที 28 ตุลาคม 2553. จาก: http://www.pcd.go.thกรมสวสั ดกิ ารและคุม้ ครองแรงงาน. (2552). เกยี วกบั กรม “ภารกิจ”. [ออน-ไลน์]. สบื คน้ วนั ที 2 เมษายน 2552. จาก : http://www.labour.go.th/about/index.html_____________. (2552). คมู่ อื การฝึ กอบรมหลกั สตู รเจ้าหน้าทีความปลอดภยั ในการทาํ งานระดบั หวั หน้างาน. กรุงเทพฯ : หจก. บางกอกบลอ๊ กเฉลมิ ชยั ชยั กติ ตภิ รณ์. (2549). “ปรชั ญาและแนวคดิ เกยี วกบั ความปลอดภยั ในการทาํ งาน,” ใน เอกสารการสอนชดุ วิชาหลกั ความปลอดภยั ในการทาํ งาน หน่วยที 1-8. (พมิ พค์ รงั ที 12). หน้า 1-33. นนทบุรี : สาํ นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช.ชยั ยุทธ ชวลติ นธิ กิ ุล. (2549). “ความรพู้ นื ฐานทางสขุ ศาสตรอ์ ุตสาหกรรม,” ใน เอกสารการสอนชดุ วิชาสขุ ศาสตรอ์ ตุ สาหกรรมพืนฐาน หน่วยที 1-8. (พมิ พค์ รงั ที 17). หน้า 1-41. นนทบรุ ี : สาํ นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช.ปราโมช เชยี วชาญ. (2550). “งานอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ,” ใน เอกสารการสอนชดุ วิชาอาชีวอนามยั และความปลอดภยั หน่วยที 1-7. (พมิ พค์ รงั ที 5). หน้า 1-41. นนทบุรี : สาํ นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช.ราชบณั ฑติ ยสถาน. (2546). พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ : นานมบี ๊คุ พบั ลเิ คชนั ส.์วทิ ยา อย่สู ขุ . (2549). อาชีวอนามยั และความปลอดภยั . (พมิ พค์ รงั ที 3). กรงุ เทพฯ : เบสท์ กราฟฟิค เพรส.วรี ะพงษ์ เฉลมิ จริ ะรตั น์ และ วฑิ รู ย์ สมิ ะโชคด.ี (2535). วศิ วกรรมและการบรหิ ารความปลอดภยั ในโรงงาน. กรุงเทพฯ : เอเชยี เพรสสดุ าว เลศิ วสิ ทุ ธไิ พบลู ย.์ (2550). “อาชวี อนามยั และความปลอดภยั ,” ใน เอกสารการสอนชดุ วิชาการสาธารณสขุ ทวั ไป หน่วยที 8-15. (พมิ พค์ รงั ที 5). หน้า 319-384. นนทบุรี : สาํ นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช.__________. (2550). “ทฤษฎที เี กยี วขอ้ งและปจั จยั การเกดิ อุบตั เิ หตุ,” ใน เอกสารการสอนชดุ วิชาการสาธารณสขุ ทวั ไป หน่วยที 8-15. (พมิ พค์ รงั ที 5). หน้า 452-457. นนทบุรี : มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช.สมาคมโรคจากการประกอบอาชพี และสงิ แวดลอ้ มแห่งประเทศไทย. (2553) สถติ โิ รคจากการทาํ งาน. [ออน-ไลน์]. สบื คน้ วนั ที 28 ตุลาคม 2553. จาก: http://www.anamai.moph.go.th/occmed/indexstaticd.htmสราวุธ สุธรรมาสา. (2550). “การควบคมุ สงิ แวดลอ้ มการทาํ งาน,” ใน เอกสารการสอนชุดวิชาอาชีวอนามยั และความปลอดภยั หน่วยที 1-7. (พมิ พค์ รงั ที 5). หน้า 215-262. นนทบรุ ี : มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช.สาํ นกั งานคณะกรรมการกฤษฎกี า. 2552. พระราชบญั ญตั ิปรบั ปรงุ กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545. [ออน-ไลน์]. สบื คน้ วนั ที 2 เมษายน 2552. จาก : http://www.krisdika.go.thเอมอชั ฌา (รตั น์รมิ จง) วฒั นบรุ านนท.์ (2548). ความปลอดภยั . (พมิ พค์ รงั ที 2). กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร.์ หนา้ 19
ภาคผนวก ประกาศกระทรวงแรงงานเรอื ง กาํ หนดชนิดของโรคซึงเกิดขึนตามลกั ษณะหรอื สภาพของงานหรอื เนืองจากการทาํ งานโดยทพี ระราชบญั ญตั ิเงนิ ทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๑๔ ใหก้ ระทรวงแรงงานประกาศกําหนดชนิดของโรคซงึเกดิ ขนึ ตามลกั ษณะหรอื สภาพของงานหรอื เนืองจากการทาํ งานอาศยั อาํ นาจตามความในมาตรา ๖ และมาตรา ๑๔ แหง่ พระราชบญั ญตั เิ งนิ ทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ กระทรวงแรงงานจงึ ออกประกาศไวด้ งั ต่อไปนีขอ้ ๑ ใหย้ กเลกิ ประกาศกระทรวงแรงงานและสวสั ดกิ ารสงั คม เรอื ง กาํ หนดชนิดของโรคซงึ เกดิ ขนึ ตามลกั ษณะหรอืสภาพของงานหรอื เนืองจากการทาํ งาน ลงวนั ที ๒ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๓๘ขอ้ ๒1 ประกาศฉบบั นีใหใ้ ชบ้ งั คบั ตงั แต่วนั ถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเป็นตน้ ไปขอ้ ๓ กาํ หนดชนิดของโรคซงึ เกดิ ขนึ ตามลกั ษณะหรอื สภาพของงานหรอื เนืองจากการทาํ งานไวด้ งั ต่อไปนี(๑) โรคทีเกิดขึนจากสารเคมีดงั ต่อไปนี๑) เบรลิ เลยี มหรอื สารประกอบของเบรลิ เลยี ม ๒) แคดเมยี ม หรอื สารประกอบของแคดเมยี ม๓) ฟอสฟอรสั หรอื สารประกอบของฟอสฟอรสั ๔) โครเมยี ม หรอื สารประกอบของโครเมยี ม๕) แมงกานสี หรอื สารประกอบของแมงกานสี ๖) สารหนู หรอื สารประกอบของสารหนู๗) ปรอท หรอื สารประกอบของปรอท ๘) ตะกวั หรอื สารประกอบของตะกวั๙) ฟลอู อรนี หรอื สารประกอบของฟลอู อรนี ๑๐) คลอรนี หรอื สารประกอบคลอรนี๑๑) แอมโมเนีย ๑๒) คารบ์ อนไดซลั ไฟด์๑๓) สารอนุพนั ธฮ์ าโลเจนของสารไฮโดรคารบ์ อน ๑๔) เบนซนี หรอื สารอนุพนั ธข์ องเบนซนี๑๕) อนุพนั ธไ์ นโตรและอะมโิ นของเบนซนี ๑๖) ซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์ หรอื กรดซลั ฟูรคิ๑๗) ไนโตรกลเี ซอรนี หรอื กรดไนตรคิ อนื ๆ ๑๘) แอลกอฮอล์ กลยั คอล หรอื คโี ตน๑๙) คารบ์ อนมอนนอกไซด์ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ หรอื สารประกอบของไฮโดรเจนไซยาไนด์ ไฮโดรเจนซลั ไฟด์๒๐) อะครยั โลไนไตรล์ ๒๑) ออกไซดข์ องไนโตรเจน๒๒) วาเนเดยี ม หรอื สารประกอบของวาเนเดยี ม ๒๓) พลวง หรอื สารประกอบของพลวง ๒๕) กรดแรท่ เี ป็นสาเหตุใหเ้ กดิ โรคฟนั๒๔) เฮกเซน๒๖) เภสชั ภณั ฑ์ ๒๗) ทลั เลยี ม หรอื สารประกอบของทลั เลยี ม๒๘) ออสเมยี ม หรอื สารประกอบของออสเมยี ม ๒๙) เซลเี นียม หรอื สารประกอบของเซลเี นยี ม๓๐) ทองแดง หรอื สารประกอบของทองแดง ๓๑) ดบี กุ หรอื สารประกอบของดบี กุ๓๒) สงั กะสี หรอื สารประกอบของสงั กะสี ๓๓) โอโซน ฟอสยนี๓๔) สารทาํ ใหร้ ะคายเคอื ง เช่น เบนโซควนิ โนน หรอื สารระคายเคอื งต่อกระจกตาเป็นตน้๓๕) สารกาํ จดั ศตั รพู ชื๓๖) อลั ดไี ฮด์ ฟอรม์ าลดไี ฮดแ์ ละกลตู ารลั ดไี ฮด์๓๗) สารกลุม่ ไดออ๊ กซนิ๓๘) สารเคมี หรอื สารประกอบของสารเคมอี นื ซงึ พสิ จู น์ไดว้ า่ มสี าเหตุเนืองจากการทาํ งาน(๒) โรคทีเกิดขึนจากสาเหตทุ างกายภาพ ๒) โรคจากความสนั สะเทอื น ๔) โรคจากรงั สแี ตกตวั ๑) โรคหตู งึ จากเสยี ง ๖) โรคจากแสงอลั ตราไวโอเลต ๓) โรคจากความกดดนั อากาศ ๕) โรคจากรงั สคี วามรอ้ น1 ราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ๑๒๔/ตอนพเิ ศษ ๙๗ / หน้า ๙/ ๑๕ สงิ หาคม ๒๕๕๐ หนา้ 20
๗) โรคจากรงั สไี มแ่ ตกตวั อนื ๆ๘) โรคจากแสงหรอื คลนื แม่เหลก็ ไฟฟ้า๙) โรคจากอุณหภูมติ ํา หรอื สงู ผดิ ปกตมิ าก๑๐) โรคทเี กดิ ขนึ จากสาเหตุทางกายภาพอนื ซงึ พสิ จู น์ไดว้ ่ามสี าเหตุเนืองจากการทาํ งาน(๓) โรคทีเกิดขึนจากสาเหตทุ างชีวภาพ ไดแ้ ก่ โรคตดิ เชอื หรอื โรคปรสติ เนืองจากการทาํ งาน(๔) โรคระบบหายใจทีเกิดขึนเนืองจากการทาํ งาน๑) โรคกลมุ่ นวิ โมโคนโิ อสสิ เช่น ซลิ โิ คสสิ แอสเบสโทสสิ ฯลฯ ๒) โรคปอดจากโลหะหนกั๓) โรคบสิ สโิ นสสิ ๔) โรคหดื จากการทาํ งาน๕) โรคปอดอกั เสบภมู ไิ วเกนิ ๖) โรคซเิ ดโรสสิ๗) โรคปอดอดุ กนั เรอื รงั๘) โรคปอดจากอะลมู เิ นียม หรอื สารประกอบของอะลมู เิ นียม๙) โรคทางเดนิ หายใจสว่ นบนเกดิ จากสารภมู แิ พห้ รอื สารระคายเคอื งในทที าํ งาน๑๐) โรคระบบหายใจอนื ซงึ พสิ จู น์ไดว้ ่ามสี าเหตุเนืองจากการทาํ งาน(๕) โรคผิวหนังทีเกิดขึนเนืองจากการทาํ งาน ๑) โรคผวิ หนงั ทเี กดิ จากสาเหตุทางกายภาพ เคมี หรอื ชวี ภาพอนื ซงึ พสิ จู น์ไดว้ ่ามสี าเหตุเนืองจากการทาํ งาน ๒) โรคด่างขาวจากการทาํ งาน ๓) โรคผวิ หนงั อนื ซงึ พสิ จู น์ไดว้ ่ามสี าเหตุเนืองจากการทาํ งาน (๖) โรคระบบกล้ามเนือและโครงสรา้ งกระดกู ทีเกิดขึนเนืองจากการทาํ งานหรอื สาเหตุจากลกั ษณะงานทีจาํ เพาะหรอื มปี จั จยั เสยี งสงู ในสงิ แวดลอ้ มการทาํ งาน(๗) โรคมะเรง็ ทีเกิดขึนเนืองจากการทาํ งานโดยมสี าเหตุจาก๑) แอสเบสตอส (ใยหนิ ) ๒) เบนซดิ นี และเกลอื ของสารเบนซดิ นี๓) บสิ โครโรเมทธลิ อเี ทอร์ ๔) โครเมยี มและสารประกอบของโครเมยี ม๕) ถ่านหนิ ๖) เบตา้ - เนพธลี ามนี๗) ไวนิลคลอไรด์ ๘) เบนซนี หรอื อนุพนั ธข์ องเบนซนี๙) อนุพนั ธข์ องไนโตรและอะมโิ นของเบนซนี ๑๐) รงั สแี ตกตวั๑๑) นํามนั ดนิ หรอื ผลติ ภณั ฑจ์ ากนํามนั ดนิ เช่น นํามนั ถ่านหนิ นํามนั เกลอื แรร่ วมทงั ผลติ ภณั ฑจ์ ากการกลนั นํามนั เชน่ ยางมะตอย พาราฟินเหลว๑๒) ไอควนั จากถ่านหนิ ๑๓) สารประกอบของนกิ เกลิ๑๔) ฝนุ่ ไม้ ๑๕) ไอควนั จากเผาไม้๑๖) โรคมะเรง็ ทเี กดิ จากปจั จยั อนื ซงึ พสิ จู น์ไดว้ ่ามสี าเหตุเนืองจากการทาํ งาน(๘) โรคอืนๆ ซึงพิสูจน์ได้วา่ เกิดขึนตามลกั ษณะหรอื สภาพของงานหรอื เนืองจากการทาํ งาน ประกาศ ณ วนั ที ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ อภยั จนั ทนจลุ กะ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงแรงงาน หนา้ 21
แบบฝึ กหดั ท้ายบท1. อาชวี อนามยั และความปลอดภยั คอื อะไร2. งานอาชวี อนามยั และความปลอดภยั มคี วามสําคญั อยา่ งไร3. อธบิ ายความเป็นมาของงานอาชวี อนามยั โดยในต่างประเทศและในประเทศไทยโดยครา่ วๆ4. จงลาํ ดบั เหตุการณ์สาํ คญั ทเี กยี วกบั งานอาชวี อนามยั ต่อไปนี โดยใส่ลาํ ดบั ตวั เลข 1-7 ใน [ ] [ ] ประเทศไทยประกาศใช้ พระราชบญั ญตั โิ รงงาน ฉบบั แรก [ ] จดั ตงั องคก์ ารแรงงานระหวา่ งประเทศ (ILO) และประเทศไทยเขา้ รว่ มเป็นสมาชกิ [ ] เบอรน์ าดโิ น รามสั ซนิ ี (Bernardino Ramazzini) บดิ าแหง่ วงการอาชวี เวชศาสตร์ (Occupational Medicine) พมิ พห์ นงั สอื “โรคจากการทาํ งาน” [ ] การปฏวิ ตั ดิ า้ นอุตสาหกรรมในประเทศองั กฤษ [ ] ประเทศองั กฤษไดต้ ราพระราชบญั ญตั โิ รงงาน เป็นฉบบั แรกของโลก [ ] กระทรวงแรงงานและสวสั ดกิ ารสงั คม เป็น “กระทรวงแรงงาน” โดยมี “กรมสวสั ดกิ ารและคุม้ ครองแรงงาน” เป็นหน่วยงานทรี บั ผดิ ชอบงานดา้ น อาชวี อนามยั และบงั คบั ใชก้ ฎหมายทเี กยี วขอ้ ง [ ] ประเทศไทยประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั คิ ุม้ ครองแรงงาน พ.ศ. 25415. จงอธบิ ายเป้าหมายของงานอาชวี นามยั และความปลอดภยั6. จงอธบิ ายอธบิ ายลกั ษณะของงานอาชวี นามยั และความปลอดภยั7. จงยกตวั อยา่ งและอธบิ ายถงึ ศาสตรห์ รอื สาขาวชิ าทเี กยี วขอ้ งกบั อาชวี อนามยั และความ ปลอดภยั มาอยา่ งน้อย 5 สาขา8. ยกตวั อยา่ งบุคลากรทเี กยี วขอ้ งกบั งานอาชวี อนามยั และความปลอดภยั อยา่ งน้อย 5 ดา้ น พรอ้ มกบั อธบิ ายลกั ษณะงานทบี ุคลากรเหลา่ นนั ทาํ9. นกั ศกึ ษาจดั แบ่งสงิ แวดลอ้ มในการทาํ งานออกเป็นกปี ระเภท อะไรบา้ ง จกยกตวั อยา่ งประกอบ10. สงิ แวดลอ้ มในขอ้ 9 มผี ลกระทบต่อการทาํ งานหรอื ไมอ่ ยา่ งไร11. จงยกตวั อยา่ งทฤษฎเี กยี วกบั การเกดิ อุบตั เิ หตุพรอ้ มกบั อธบิ ายใหเ้ ขา้ ใจ12. จงอธบิ ายแบบจาํ ลองเกยี วกบั การคน้ หาสาเหตุของอุบตั เิ หตุและความสญู เสยี (Loss Causation Model) มาใหเ้ ขา้ ใจ13. มผี เู้ ปรยี บเทยี บใหเ้ หน็ ว่า “ความสญู เสยี ทเี กดิ ขนึ เปรยี บเสมอื นภเู ขานําแขง็ ” หมายความว่าอยา่ งไร จงอธบิ าย14. จกยกตวั อยา่ งโรคซงึ เกดิ จากการทาํ งานในแต่ละชนิด มาอยา่ งน้อย 5 โรค -โรคทเี กดิ ขนึ จากสารเคมี -โรคทเี กดิ ขนึ จากสาเหตุทางกายภาพ -โรคทเี กดิ ขนึ จากสาเหตุทางชวี ภาพ -โรคระบบทางเดนิ หายใจทเี กดิ ขนึ จากการทาํ งาน15. โรคมะเรง็ เนืองจากการทาํ งานมสี าเหตุจากสงิ ใดบา้ ง ยกตวั อยา่ งมา 10 อยา่ ง หนา้ 22
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: