สังคมศึกษา เร่ืองพระพทุ ธศาสนา เสนอ คุณครูเพญ็ ประภา คาภา จดั ทาโดย นางสาวกลยั า แซ่ลี ม.4/3 เลขท่ี27
1.ลกั ษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา หลกั ประชาธิปไตยในการทพ่ี ระพทุ ธเจ้าทรงมอบความเป็ นใหญ่แก่สงฆ์ จำนวนสงฆอ์ ยำ่ งต่ำที่เขำ้ ประชุม กำรกำหนดจำนวนสงฆผ์ เู้ ขำ้ ประชุมอยำ่ งต่ำวำ่ จะทำสงั ฆกรรมอยำ่ งใดไดบ้ ำ้ งมี 5 ประเภท คือ 1.ภิกษุ 4 รูปเขำ้ ประชุม เรียกวำ่ สงฆจ์ ตรุ วรรค สำมำรถทำสงั ฆกรรมไดเ้ กือบทกุ ชนิด เวน้ แต่ กำรอปุ สมบทหรือกำรบวชพระ 2.ภิกษุ 5 รูป เขำ้ ประชุม เรียกวำ่ สงฆป์ ัญจวรรค สำมำรถทำสงั ฆกรรมที่สงฆจ์ ตุรวรรคทำได้ ท้งั หมด และยงั เพม่ิ กำรปวำรณำ กำรอุปสมบทในชนบทชำยแดนไดอ้ ีกดว้ ย 3.ภิกษุ 10 รูป เขำ้ ประชุม เรียกวำ่ สงฆท์ สวรรค สำมำรถทำสงั ฆกรรมที่สงฆป์ ัญจวรรคทำได้ ท้งั หมด และยงั เพ่มิ กำรอปุ สมบทในมชั ฌิชนบท คือ ในภำคกลำงของอินเดียไดอ้ ีกดว้ ย 4.ภิกษุ 20 รูปเขำ้ ประชุม เรียกวำ่ สงฆว์ สี ติวรรค สำมำรถทำสังฆกรรมไดท้ ุกชนิด รวมท้งั สวดอพั ภำน เพกิ ถอนอำบตั ิหนกั ดว้ ย 5.ภิกษุกวำ่ 20 รูปเขำ้ ประชุม เรียกวำ่ อติเรกวสี ติวรรค สำมำรถทำ สังฆกรรมไดท้ กุ ชนิด สำหรับ ประเพณีไทย นิยมนิมนตภ์ ิกษุเขำ้ ประชุมใหเ้ กินจำนวนอยำ่ งต่ำของกำรทำสังฆกรรมน้นั ๆเสมอ เพื่อให้ ถกู ตอ้ งอยำ่ งไม่มีโอกำสผดิ พลำดในเรื่องจำนวนสงฆ์
2.หลกั การของพระพุทธศาสนากบั หลกั วทิ ยาศาสตร์ หลกั กำรของพระพุทธศำสนำกบั หลกั กำรของวิทยำศำสตร์มีท้งั ส่วนท่ีสอดคลอ้ ง และส่วนที่แตกต่ำงกนั ดงั ตอ่ ไปน้ี 1.ในด้านความเชื่อ (Confidence) หลกั กำรวทิ ยำศำสตร์ ถือหลกั วำ่ จะเช่ืออะไรน้นั จะตอ้ งมีกำร พสิ ูจนใ์ หเ้ ห็นจริงไดเ้ สียก่อน วทิ ยำศำสตร์เช่ือในเหตุผล ไม่เชื่ออะไรลอย ๆ และตอ้ งมีหลกั ฐำนมำยนื ยนั วทิ ยำศำสตร์ไมอ่ ำศยั ศรัทธำแตอ่ ำศยั เหตผุ ล 2.ในด้านความรู้ (Wisdom) ท้งั หลกั กำรทำงวิทยำศำสตร์และหลกั กำรของพระพุทธศำสนำ ยอมรับควำมรู้ที่ไดจ้ ำกประสบกำรณ์ หมำยถึง กำรที่ตำ หู จมูก ลิน้ กำย ไดป้ ระสบกบั ควำมรู้สึกนึกคดิ เช่น รู้สึกดีใจ รู้สึกอยำกไดเ้ ป็นตน้
ความแตกต่างของหลกั การพระพุทธศาสนากบั หลักการทางวทิ ยาศาสตร์ 1.ม่งุ เข้าใจปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หลกั กำรทำงวิทยำศำสตร์มงุ่ เขำ้ ใจปรำกฏกำรณ์ตำ่ ง ๆ ท่ีเกิดข้ึน ตอ้ งกำรรู้วำ่ อะไรเป็นสำเหตุ อะไรเป็นผลที่ตำมมำ เช่น เม่ือเกิดฟ้ำผำ่ ตอ้ งรู้ อะไรคือสำเหตขุ องฟ้ำผำ่ และผลท่ี ตำมมำหลงั จำกฟ้ำผำ่ แลว้ จะเป็นอยำ่ งไร 2.ต้องการเรียนรู้กฎธรรมชาติ หลกั กำรทำงวิทยำศำสตร์ตอ้ งกำรเรียนรู้กฎธรรมชำติและหำทำงควบคมุ ธรรมชำติ หรือเอำชนะธรรมชำติ พดู อีกอยำ่ งหน่ึงกค็ ือ วิทยำศำสตร์เน้นกำรควบคุม 3.ยอมรับ โลกแห่งสสาร (Matter) สสำร หมำยถึง ธรรมชำติและสรรพส่ิงท้งั หลำยท่ีมีอยจู่ ริง รวมท้งั ปรำกฏกำรณ์และควำมเป็นจริงตำมภำวะวิสัย (Objective Reality) ดว้ ย ซ่ึงสรรพสิ่งเหลำ่ น้ีมีอยตู่ ่ำงหำกจำกตวั เรำ เป็นอิสระจำกตวั เรำ และเป็นสิ่งที่สะทอ้ นข้นึ ในจิตสำนึกของคนเรำเมื่อไดส้ ัมผสั มนั อนั ทำใหไ้ ดร้ ับรู้ถึงควำมมีอยขู่ องสิ่งน้นั ๆ กล่ำวโดยทว่ั ไปแลว้ สสำรมีคุณลกั ษณะ 3 ประกำรคอื • เคล่ือนไหว (Moving) อยเู่ สมอ • เปล่ียนแปลง (Changing) อยเู่ สมอ กำรเคลื่อนไหวและกำรเปล่ียนแปลง ดงั กลำ่ วน้นั มิใช่เป็นกำรเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยำ่ งส่งเดช แต่หำกเป็นกำรเคล่ือนไหวเปล่ียนแปลงอยำ่ งมีกฎเกณฑท์ ี่เรียกวำ่ กฎแห่งธรรมชำติ (Laws of Natires ) 4.มุ่งความจริงมาตีแผ่ วิทยำศำสตร์น้นั แสวงหำควำมรู้จำกธรรมชำติและจำกกฎธรรมชำติท่ีมีอยู่ ภำยนอกตวั มนุษย์ (มุง่ เนน้ ทำงวตั ถหุ รือสสำร) ไม่ไดส้ นใจเร่ืองศีลธรรม เรื่องควำมดีควำมชว่ั สนใจเพียงคน้ ควำ้ เอำควำมจริงมำตีแผใ่ หป้ ระจกั ษเ์ พียงดำ้ นเดียว พระพุทธศำสนำน้นั เนน้ เร่ืองศีลธรรม ควำมดี ควำมชวั่ มงุ่ ใหม้ นุษยม์ ีควำมสุขเป็นลำดบั ข้นึ ไปเร่ือย ๆ จนถึงควำมสงบสุขอนั สุดคือนิพพำน
3.การคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาและการคดิ แบบวิทยาศาสตร์ (กำลำมสูตร ติกนิบำต องั คุตรนิกำย) หรือมีศรัทธำแบบตำบอด 10 ประกำร คือ 1. อยำ่ เช่ือโดยฟังตำมกนั มำ 2. อยำ่ เช่ือโดยเขำ้ ใจวำ่ เป็นของเก่ำสืบ ๆ กนั มำ 3. อยำ่ เช่ือเพรำะตื่นข่ำว 4. อยำ่ เชื่อเพรำะตำรำกลำ่ วไว้ 5. อยำ่ เชื่อโดยนึกเดำ 6. อยำ่ เชื่อโดยกำรคำดคะเน 7. อยำ่ เชื่อโดยพิจำรณำตำมอำกำร 8. อยำ่ เช่ือเพรำะชอบใจวำ่ สอดคลอ้ งกบั ควำมเชื่อเดิมหรือลทั ธิของตน 9. อยำ่ เช่ือเพรำะนบั ถือตวั ผพู้ ูดว่ำควรเช่ือได้ 10. อยำ่ เช่ือเพรำะผบู้ อกเป็นครูอำจำรยข์ องตน
ความสอดคล้องและความแตกต่างระหว่างพระพุทธศาสนากบั หลกั วิทยาศาสตร์ หลกั ไตรลกั ษณ์ คืออนิจจงั (impermanent) ทุกขงั (conflict) และอนตั ตำ (no-self ) กำรยอมรับโลก ท่ีอยพู่ น้ สสำรวตั ถุ (Metaphysics) ท้งั วทิ ยำศำสตร์และพทุ ธศำสตร์ยอมรับสสำรวตั ถุ ซ่ึงรู้จกั ไดด้ ว้ ยประสำทสัมผสั ท้งั 5 วำ่ มีจริง 4.พระพทุ ธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษา ควำมหมำยของกำรศึกษำในทศั นะของ พระพทุ ธศำสนำ กำรศึกษำตรงกบั คำศพั ทภ์ ำษำลีวำ่ “สิกขำ” แปลวำ่ กำรฝึ กอบรมตนใหง้ อกงำมหรือกำรพฒั นำตน ใหง้ อกงำม ตำมหลกั พระพทุ ธศำสนำแบง่ กำรพฒั นำตนใหง้ อกงำมออกเป็น 4 ดำ้ น ดงั น้ี 1.การพฒั นากาย คอื กำรรักษำสุขภำพร่ำงกำยใหแ้ ขง็ แรง มีสุขภำพดี มีควำมเป็นอยทู่ ี่ถูกสุขลกั ษณะ รวม ไปถึงกำรรู้จกั ปรับตวั ใหเ้ ขำ้ กบั สิ่งแวดลอ้ มทำงวตั ถไุ ดอ้ ยำ่ งถูกตอ้ งและเกิดประโยชน์ดว้ ย 2..การพฒั นาศีล คือ กำรควบคุมกำย วำจำ ไม่ใหม้ ีพฤติกรรมออกมำในทำงเบียดเบียนตนเองและ คนอื่น 3.การพฒั นาจติ ใจ คอื กำรทำ จิตใจใหม้ ีคณุ สมบตั ิททท่ีดีงำมพรั่งพร้อมใน 3 ดำ้ น คือ 3.1 ดำ้ นควำมดี เช่น มีเมตตำ มีควำมรัก ควำมเอ้ือเฟ้ื อเผื่อแผม่ ีควำมเป็นมิตรไมตรีต่อคนรอบขำ้ ง มีควำมกรุณำ คดิ ช่วยเหลือเมื่อเห็นคนอื่นมีควำมทกุ ขม์ ีควำมกตญั ญู มีสมั มำคำรวะ เป็นตน้ 3.2 ดำ้ นควำมแขง็ แกร่ง เช่น มีจิตใจที่เด็ดเด่ียวแน่วแน่ต่อเป้ำหมำยที่วำงไว้ มีสติ (รู้จกั ยบั ย้งั ชงั่ ใจ) มีวิริยะ (ควำมพำกเพียร) มีขนั ติ (ควำมอดทน) มีสมำธิ (ควำมต้งั มนั แห่งจิต) มีสัจจะ (ควำมจริง) เป็นตน้
3.3 ดำ้ นควำมสุข เช่น จิตใจมีควำมสดช่ืน ร่ำเริงเบิกบำน สะอำด สงบ ปลอดโปร่ง มีปี ติปรำโมทย์ ไม่เครียด ไมก่ ระวนระวำย ไมข่ ่นุ มวั หมองเศร้ำ เป็นตน้ 4.การพฒั นาปัญญา คอื กำรรู้จกั เพม่ิ ควำมรู้ควำมเขำ้ ใจใหแ้ ก่ตวั เอง เร่ิมต้งั แตร่ ู้จกั เรียนรู้ ศิลปวิทยำที่ดี มีประโยชน์สำหรับกำรดำรงชีวติ เป็นผูข้ วนขวำยใคร่เรียนรู้สิ่งตำ่ งๆ อยเู่ สมอ เพอื่ กำ้ วใหท้ นั ควำมเปล่ียนแปลงของโลก ตลอดจนรู้จกั คิด รู้จกั วินิจฉยั รู้จกั ใชป้ ัญญำในกำรแกไ้ ขปัญหำชีวิตดำ้ นตำ่ งๆ บุรพภาคของการศึกษา องคป์ ระกอบน้ีเรียกวำ่ “บรุ พภำคแห่งกำรศึกษำ” มีอยู่ 2 ประกำร ดงั น้ี 1.องค์ประกอบภายนอก หรือกำรมีเงื่อนไขภำยนอกไขภำยนอกที่สนบั สนุนใหก้ ำรพฒั นำตนเอง เป็นไปดว้ ยดี 2.องค์ประกอบภายใน หมำยถึง ตวั ผศู้ ึกษำอบรมเองจะตอ้ งเป็นคนรู้จกั คิด รู้จกั พิจำรณำ รู้จกั ใชเ้ หตุผลในกำรดำเนินชีวติ ใชค้ วำมคดิ อยำ่ งถกู วธิ ี คดิ เป็น คือมองสิ่งท้งั หลำยตำมหลกั ของเหตุผล แยกแยะส่ิงน้นั ๆ หรือปัญหำน้นั ๆ ออกใหเ้ ห็นตำมสภำวะและควำมสมั พนั ธแ์ ห่งเหตปุ ัจจยั องคป์ ระกอบน้ีเรียกวำ่ “โยนิโสมนสิกำร”
กระบวนการศึกษา กระบวนกำรศึกษำทำงพระพุทธศำสนำเนน้ ไปที่สมั มำทิฐิ คือ ควำมคิดเห็นที่ถูกตอ้ งอนั รวมไปถึง ควำมเชื่อถือ ควำมนิยม เจตคติต่ำงๆ ท่ีเป็นไปในทำงถกู ตอ้ งดีงำม เมื่อมีสัมมำทิฐิเป็นฐำนแลว้ กำรบวนศึกษำภำยในตวั บุคคลกด็ ำเนินไปไดด้ ว้ ยดี กระบวนกำรศึกษำน้ีแบ่งรำยละเอียดออกเป็นอริยมรรคมีองค์ 8 และสรุปเป็นข้นั ตอนใหญเ่ รียกวำ่ “ไตรสิกขำ” (สิกขำ 3) ด้งั น้ี 1) กำรฝึกอบรมในดำ้ นควำมประพฤติ ซ่ึงรวมไปถึงระเบียบวินยั ควำมสุจริตทำงกำยและวำจำ ละเวน้ กำรลำ่ สัตว์ ลกั ทรัพย์ ประพฤติผิดในกำม ละเวน้ กำรพดู เท็จ พดู ส่อเสียด พดู หยำบคำย และพดู เพอ้ เจอ้ ตลอดกำรประกอบชีพที่สุจริตไมเ่ บียดเบียนตน และผูอ้ ื่น เรียกวำ่ “อธิศิลสิกขำ” 2) กำรฝึกฝนอบรมในดำ้ นจิตใจ อนั ไดแ้ ก่ กำรปลูกฝังคุณธรรม กำรเสริมสร้ำงคุณภำพสมรรถภำพ และ สุขภำพของจิต คือ มีจิตนเป็นสมำธิ ควำมมีจิตใจดีงำม เขม้ แขง็ วอ่ งไว และปลอดโปรงเป็นสุขเรียกวำ่ “อธิจิตตสิกขำ” 3) กำรฝึกอบรมในดำ้ นปัญญำ ซ่ึงก่อใหเ้ กิดควำมรู้ควำมเขำ้ ใจในส่ิงท้งั หลำยตำมควำมเป็นจริง รู้ควำมเป็นไปตำมเหตุปัจจยั ท่ีนำมำใชใ้ นกำรแกไ้ ขปัญหำตำมแนวทำงของเหตผุ ลรู้เท่ำทนั โลกและชีวติ จนสำมำรถทำจิตใจใหบ้ ริสุทธ์ิหลดุ พน้ จำกควำมยดึ มนั ในสิ่งท้งั หลำย มีจิตใจที่เป็นอิสระผอ่ งใสเบิกบำน ซ่ึงเรียกวำ่ “อธิปัญญำสิกขำ”
5.พระพทุ ธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจัยและวธิ ีการแก้ปัญหา หลกั ของเหตปุ ัจจยั หรือหลกั ควำมเป็นเหตุเป็นผล ซ่ึงเป็นหลกั ของเหตปุ ัจจยั ท่ีอิงอำศยั ซ่ึงกนั และกนั ท่ีเรียกวำ่ \"กฎปฏิจจสมปุ บำท\" ซ่ึงมีสำระโดยยอ่ ดงั น้ี \"เมื่อน้นั มีอนั น้ีจึงมี เมื่ออนั น้ีไม่มี อนั น้ีกไ็ มม่ ี เพรำะอนั น้ีเกิด อนั น้ีจึงเกิด เพรำะอนั น้ีดบั อนั น้ีจึงดบั \" นี่เป็นหลกั ควำมจริงพ้ืนฐำนวำ่ สิ่งหน่ึงสิ่งใดจะเกิดข้ึนมำลอยๆไม่ไดห้ รือในชีวิตประจำวนั ของเรำ \"ปัญหำ\"ท่ีเกิดข้นึ กบั ตวั เรำจะเป็นปัญหำลอยๆไม่ได้ จะตอ้ งมีเหตปุ ัจจยั หลำยเหตทุ ี่ก่อใหเ้ กิดปัญหำข้ึนมำ -ส่ิงท้งั หลำยมีควำมสัมพนั ธต์ อ่ เน่ืองอำศยั เป็นปัจจยั แก่กนั -ส่ิงท้งั หลำยมีอยโู่ ดยควำมสมั พนั ธก์ นั -ส่ิงท้งั หลำยมีอยดู่ ว้ ยอำศยั ปัจจยั -สิ่งท้งั หลำยไม่มีควำมคงท่ีอยอู่ ยำ่ งเดิมแมแ้ ตข่ ณะเดียว (มีกำรเปลี่ยนแปลงอยตู่ ลอดเวลำ ไมอ่ ยนู่ ่ิง) -ส่ิงท้งั หลำยไม่มีอยโู่ ดยตวั ของมนั เอง คือ ไม่มีตวั ตนท่ีแทจ้ ริงของมนั -ส่ิงท้งั หลำยไมม่ ีมลู กำรณ์ หรือตน้ กำเนิดเดิมสุด แตม่ ีควำมสัมพนั ธ์แบบวฏั จกั ร หมุนวนจนไม่ทรำบ วำ่ อะไรเป็นตน้ กำเนิดที่แทจ้ ริง
องค์ประกอบแห่งชีวิต 12 ประการ คือ 1.อวชิ ชำ คอื ควำมไมร่ ู้จริงของชีวิต ไมร่ ู้แจง้ ในอริยสัจ 4 ไมร่ ู้เทำ่ ทนั ตำมสภำพท่ีเป็นจริง 2.สังขำร คือ ควำมคิดปรุงแตง่ หรือเจตนำท้งั ท่ีเป็นกศุ ลและอกศุ ล 3.วญิ ญำณ คือ ควำมรับรู้ตอ่ อำรมณ์ตำ่ งๆ เช่น เห็น ไดย้ นิ ไดก้ ลิ่น รู้รส รู้สัมผสั 4.นำมรูป คือ ควำมมีอยใู่ นรูปธรรมและนำมธรรม ได้แก่ กำยกบั จิต 5.สฬำยตนะ คอื ตำ หู จมูก ลิ้น กำย และใจ 6.ผสั สะ คอื กำรถูกตอ้ งสัมผสั หรือกำรกระทบ 7.เวทนำ คือ ควำมรู้สึกวำ่ เป็นสุข ทกุ ข์ หรืออุเบกขำ 8.ตณั หำ คือ ควำมทะเยอทะยำนอยำกหรือควำมตอ้ งกำรในสิ่งท่ีอำ นวยควำมสุขเวทนำ และควำมด้ินรน หลีกหนีในส่ิงท่ีก่อทุกขเวทนำ 9.อุปำทำน คือ ควำมยดึ มนั ถือมนั่ ในตวั ตน 10.ภพ คือ พฤติกรรมที่แสดงออกเพ่ือสนองอุปำทำนน้นั ๆ เพ่ือใหไ้ ดมำ้ และใหเ้ ป็นไปตำม ควำมยดึ มนั ถือมน่ั 11.ชำติ คอื ควำมเกิด ควำมตระหนกั ในตวั ตน ตระหนกั ในพฤติกรรมของตน 12.ชรำ มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อปุ ำยำสะ คือ ควำมแก่ ควำมตำย ควำมโศกเศร้ำ ควำมคร่ำครวญ ควำมไม่สบำยกำย ควำมไมส่ บำยใจ และควำมคบั แคน้ ใจหรือควำมกลดั กลุม้ ใจ
องค์ประกอบท้ัง 12 ประเภทนี้ พระพุทธเจำ้ เรียกวำ่ “ องคป์ ระกอบแห่งชีวิต ” หรือ “ กระบวนกำรของชีวติ ” เพรำะมีอวิชชำ จึงมีสงั ขำร เพรำะมีสงั ขำร จึงมีวญิ ญำณ เพรำะมีวญิ ญำณ จึงมีนำมรูป เพรำะมีนำมรูป จึงมีสฬำยตนะ เพรำะมีสฬำยตนะ จึงมีผสั สะ เพรำะมีผสั สะ จึงมีเวทนำ เพรำะมีเวทนำ จึงมีตณั หำ เพรำะมีตณั หำ จึงมีอปุ ำทำน เพรำะมีอปุ ำทำน จึงมีภพ เพรำะมีภพ จึงมีชำติ เพรำะมีชำติ จึงมีชรำ มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อปุ ำยำสะ
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: