โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
คำนำ หนังสือ electronic book เล่มน้ี เป็นส่วนหนึง่ ของวชิ ำ ดนตรี – นำฏศิลป์ ระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษำปที ่ี ๔ จัดทำขนึ้ เพอ่ื ใหผ้ อู้ ำ่ นไดท้ รำบถงึ กำรแสดงพนื้ เมอื งของไทบทงั้ ๔ ภำค โดยมเี น้อื หำประวตั ิ ควำมเปน็ มำ กำรแตง่ กำย ดนตรี และลกั ษณะกำรแสดง ทำงผจู้ ัดทำหวงั เปน็ อย่ำงวำ่ หนงั สอื electromnic book เลม่ นี้ จะเปน็ ประโยชน่ตอ่ กำรจดั กำร เรียนรู้เพอ่ื ประยุกตใ์ ช้พฒั นำกำรเรียนรไู้ ดอ้ ยำ่ งเหมำะสม และผศู้ กึ ษำทกุ ทำ่ นจะไดร้ บั ควำมรจู้ ำกกำรศกึ ษำหนังสอื electronic book เล่มน้ี ไม่มำกก็นอ้ ย หำกมขี อ้ ผดิ พลำดประกำรใด ผจู้ ดั ทำขออภยั มำ ณ ทีน่ ้ี พชร จนั ทรท์ อง ครู คศ. ๑ โรงเรยี นบำ้ นขนุ ประเทศ โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
คำนำ ๑ ๒ ควำมหมำยของกำรแสดงพน้ื เมือง ๓ มูลเหตขุ องกำรเกดิ กำรแสดงพื้นเมอื ง ๙ กำรแสดงพน้ื เมอื งของภำคกลำง ๑๖ กำรแสดงพน้ื เมอื งของภำคเหนือ ๒๓ กำรแสดงพนื้ เมอื งของภำคใต้ ๓๐ กำรแสดงพนื้ เมอื งภำคอสี ำน บรรณำนุกรม โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๑ กำรแสดงพนื้ เมอื ง กำรแสดงพน้ื เมอื ง หมำยถงึ กำรแสดงทเ่ี กดิ ขนึ้ ตำมทอ้ งถน่ิ และตำมพนื้ ทต่ี ำ่ ง ๆ ของแตล่ ะภมู ภิ ำค โดยอำจมกี ำร พัฒนำดัดแปลงมำจำก ขนบธรรมเนียมประเพณี ศลิ ปวฒั นธรรม วถิ ีชวี ติ ควำมเปน็ อยู่ สังคม ควำมเช่ือ ภูมอิ ำกำศ ภูมิประเทศ ภำษำ กำรแตง่ กำย กำรละเลน่ พนื้ เมืองของทอ้ งถนิ่ และกำรดำรงชวี ติ ของทอ้ งถนิ่ นนั้ ๆ กำรแสดงพนื้ เมอื งเปน็ กำรแสดงเพอ่ื กอ่ ใหเ้ กดิ ควำมสนกุ สนำนเพลดิ เพลนิ และควำมบนั เทงิ ในรปู แบบตำ่ ง ๆ สำมำรถแบง่ กำรแสดงพนื้ เมอื งของไทยออกเปน็ ๔ ภูมภิ ำค ดงั นี้ ๑. กำรแสดงพน้ื เมอื งของภำคเหนือ ๒. กำรแสดงพ้ืนเมอื งของภำคกลำง ๓. กำรแสดงพนื้ เมอื งของใต้ ๔. กำรแสดงพนื้ เมอื งของอสี ำน โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๒ กล่ำวไดว้ ำ่ กำรแสดงพน้ื เมืองในแตล่ ะภำคจะมีลกั ษณะทคี่ ลำ้ ยคลงึ กนั ในเรอื่ งของมูลเหตแุ หง่ กำรแสดง ซง่ึ แบง่ ออกไดด้ งั นี้ ๑. แสดงเพอ่ื เซน่ สรวงหรอื บชู ำเทพเจำ้ เปน็ กำรแสดงเพอ่ื แสดงควำมเคำรพตอ่ สงิ่ ศักดสิ์ ทิ ธิ์ หรือเซ่นบวงสรวงดวง วญิ ญำณทีล่ ว่ งลบั ๒. แสดงเพอื่ ควำมสนกุ สนำนในเทศกำลตำ่ ง ๆ เป็นกำรรำเพอ่ื กำรรน่ื เริง ของกลมุ่ ชนตำมหมบู่ ำ้ น ในโอกำสตำ่ ง ๆ หรอื เพอ่ื เกย้ี วพำรำสกี นั ระหวำ่ ง ชำย – หญิง ๓. แสดงเพ่ือควำมเปน็ สริ มิ งคล เปน็ กำรรำเพอื่ แสดงควำมยินดใี นโอกำสตำ่ ง ๆ หรอื ใชใ้ นโอกำสตอ้ นรับแขกผมู้ ำ เยอื น ๔. แสดงเพอ่ื สอ่ื ถงึ เอกลกั ษณข์ องทอ้ งถน่ิ อนั เกยี่ วกบั กำรประกอบอำชพี และวฒั นธรรมประเพณเี พอื่ สรำ้ งชื่อเสยี งให้ เป็นทร่ี ูจ้ กั โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๓ ภำคกลำงเปน็ ภำคทมี่ คี วำมอดุ มสมบรู ณ์ ประชำกรสว่ นใหญจ่ ะประกอบอำชพี ด้ำนกสกิ รรม และ เกษตรกรรม ทำใหเ้ ปน็ ภำคทมี่ คี วำมสมบรู ณ์ ประชำชนมคี วำมเปน็ อยสู่ ขุ สบำย กำรแสดงหรือกำรละเลน่ ท่เี กิดขนึ้ จงึ เปน็ ไปในลักษณะทสี่ นกุ สนำน เป็นกำรแสดงพนื้ เมอื งจะสอ่ื ใหเ้ หน็ ถงึ กำรประกอบอำชพี หรอื เปน็ กำรรอ้ งเกย้ี วพำรำสกี ัน วถิ ชี วี ติ ควำมเปน็ อยู่ กำรแสดงพื้นเมอื งภำคกลำง ไดแ้ ก่ รำโทน รำกลองยำว ลำตัด ระบำชำวนำ เต้นกำรำเคยี ว รำ เหยอ่ ย เพลงเรอื เพลงเกี่ยวขำ้ ว เป็นตน้ โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๔ การแสดงเต้นการาเคยี ว เป็นการละเลน่ พ้นื เมอื งท่ีเก่าแก่แบบหน่ึงของชาวชนบทในภาคกลางของไทย แถบจังหวดั นครสวรรค์ ท่ีอาเภอพยหุ ะคีรี ซ่งึ แต่เดิมประชาชนสว่ นมากยึดอาชีพการทานาเป็นหลกั และดว้ ย นิสยั รักสนกุ ประกอบกบั การเป็นคนเจา้ บทเจา้ กลอนของไทยดว้ ย จงึ ได้เกิดการเต้นการาเคียวข้นึ ซ่งึ ใน เน้ือเพลงแต่ละตอนจะสะทอ้ นให้เหน็ สภาพความเป็นอย่ของชาวบ้านอยา่ ง ชัดเจน ลกั ษณะการราไม่ออ่ น ชอ้ ยเชน่ การราไทยท่วั ๆ ไป จะถอื เอาความสนกุ เป็นใหญ่ จะมที ้งั “เตน้ ” และ “รา” ควบค่กนั ไป สว่ นมือ ท้งั สองของผ้ร่ าข้างหน่ึงจะถือเคียว อกี ขา้ งหน่ึงถอื ต้นขา้ วท่ีเก่ยี วแลว้ จงึ ได้ช่ือวา่ “ เตน้ การาเคียว” โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๕ เพลงลาตัดเป็นเพลงพ้ืนบา้ นภาคกลางชนิดหน่ึงของไทย ซ่งึ นิยมร้องกันในเขตภาคกลาง (สพุ รรณบรุ )ี ท้งั น้ี มีต้นตอมาจาก “ลเิ กบันตน” ของชาวมลาย่ ในต้นรชั กาลท่ี ๕ แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ โดยลเิ กบันตนดงั กล่าว มีรป่ แบบของการการแสดงแยกออกเป็น 2 สาขา สาขาหน่ึง เรยี กว่า “ฮันดา เลาะ” และ “ลาก่เยา” และลิเกบนั ตนลาก่เยา มลี กั ษณะของการแสดงว่ากลอนสดแกก้ นั โดยมีลก่ คค่ อยรบั เม่อื ตน้ บทรอ้ งจบ โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๖ เป็นศลิ ปะการร่ายราและการละเลน่ ของชนชาวพ้ืนบ้านภาคกลาง ซ่งึ ส่วนใหญ่มอี าชีพเก่ียวกับ เกษตรกรรม ศิลปะการแสดงจึงมีความสอดคลอ้ งกับวถิ ี ชีวติ และเพ่อื ความบนั เทิงสนกุ สนาน เป็นการ พกั ผอ่ นหย่อนใจจากการทางาน หรอื เม่อื เสรจ็ จากเทศการฤดเ่ กบ็ เกบ็ เก่ยี ว โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๗ รำสนี วล เป็นช่อื ของเพลงหนำ้ พำทย์ท่ใี ช้ประกอบกำรแสดงละคร ประกอบกริ ยิ ำไปมำของสตรีท่มี ำรยำท กระชดกระช้อย ทำนองเพลงมีท่วงทซี อ่ นควำมพร้งิ เพรำไวใ้ นตวั ตอ่ มำมีผป้ ระดิษฐ์ทำนองรอ้ งข้นึ ประกอบกำรรำซ่งึ ทำให้ ควำมหมำยของเพลงเดน่ ชดั ปรำกฏเป็นภำพงดงำมเม่อื มีผ้รำ่ ยรำประกอบแตเ่ ดมิ กำรรำเพลงสนี วลมีอย่้แตใ่ นเร่อื งละคร ภำยหลังจงึ แยกออกมำใช้เป็นระบำเบด็ เตล็ด เพรำะมคี วำมงดงำมไพเรำะท้งั ในช้นั เชงิ ของทำนองเพลง และทำ่ รำควำมหมำย ของกำรรำสนี วล เป็นไปในกำรบนั เทงิ ร่นื รมยข์ องหญิงสำวแรกร่นท่มี ีจรติ กิริยำงดงำมตำมลกั ษณะก่ลสตรีไทย ดว้ ยควำมท่ี ทำนองเพลง บทขบั รอ้ ง และทำ่ รำท่เี รยี บง่ำยงดงำม จงึ เป็นชด่ นำฏศลิ ป์ชด่ หน่ึงท่ไี ดร้ ับควำมนิยมแพร่หลำยเป็นท่รี จ้ กั กัน ท่วั ไปจำนวนผแ้ สดง ใช้แสดงเป็นหม่้ หรือแสดงเด่ยี วกไ็ ด้ ตำมโอกำสท่เี หมำะสมดนตรีประกอบกำรแสดง ใช้วงป่ีพำทย์ โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๘ รำโทน เป็นกำรละเลน่ พ้นื บำ้ นชนิดหน่ึงของชำวบำ้ นเมอื งลพบร่ ี นิยมเล่นกันแพรห่ ลำยในระหวำ่ ง พ.ศ. ๒๔๘๔ - ๒๔๘๘ เหตท่ ่เี รยี กช่อื วำ่ รำโทน เพรำะเดิมเป็นกำรรำประกอบจงั หวะกำรตี \"โทน\" ซ่งึ เป็นเคร่อื งดนตรหี ลักในกำรเลน่ ภำยหลังแมใ้ ช้เคร่อื ง ดนตรีอ่นื เชน่ รำมะนำ ตีใหจ้ ังหวะแทนกย็ ังเรยี กช่อื เชน่ เดมิ ผ้ท่นี ิยมเลน่ รำโทน คือหน่มสำวชำวบำ้ น กล่ำวกนั ว่ำในช่วงสงครำมโลก คร้งั ท่ี ๒ ผ้คนต้องอพยพหนีภัยทำงอำกำศจำกกร่งเทพฯ ไปยังชนบทตำมท่ีตำ่ งๆ กัน ในภำวะสงครำมน้ันยำมคำ่ คืนจะมดื ไปทก่ หน ท่กแห่ง เน่ืองจำกทำงรฐั บำลห้ำมกระทำกำรตำ่ งๆ หลำยอย่ำง เชน่ ห้ำมจ่ดไฟ หำ้ มชม่ น่มและอ่นื ๆ ประชำชนเกิดควำมเหงำและ เครยี ด กำรสนทนำกันเพยี งอย่ำงเดยี วไมส่ นก่ จึงไดค้ ดิ เล่นรำโทนข้นึ กำรละเลน่ ชนิดน้ีชำวบำ้ นรจ้ ักและเลน่ ได้ทก่ คน ขณะท่เี ลน่ จะจด่ ตะเกียงต้งั ไว้ตรงกลำง ผ้เล่นจะยนื ลอ้ มวง จ่ดประสงค์ของกำรเลน่ คือ เพ่อื ควำมสน่กสนำน และเพ่อื พบปะเก้ยี วพำรำสรี ะหวำ่ งหน่ม สำว โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๙ เป็นลกั ษณะศิลปะกำรรำ่ ยรำทม่ี กี ำรผสมผสำนกนั ระหวำ่ งชนพนื้ เมอื งชำตติ ำ่ ง ๆ ไมว่ ่ำจะเปน็ ไทยลำนนำ ไทยใหญ่ เงยี้ ว รวมถงึ พมำ่ ทเี่ คยเขำ้ มำปกครองลำ้ นนำไทย ทำให้นำฏศิลป์หรือกำรแสดงท่ี เกดิ ขน้ึ ในภำคเหนอื มีควำม หลำกหลำย แตย่ งั คงมคี วำมเปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพำะตวั มีทว่ งท่ำรำทอ่ี อ่ นช้อยงดงำม เชื่องชำ้ นมุ่ นวล และมีทำนองเพลงที่ ไพเรำะออ่ นหวำน กำรแสดงพืน้ เมอื งของภำคเหนอื ไดแ้ ก่ ฟอ้ นผมี ด ฟอ้ นเจิง ฟ้อนกิงกะหลำ ฟ้อนดำบ ฟ้อนจำ๊ ด ตบมะผำบ ฟ้อนเลบ็ ฟอ้ นเทียน ฟอ้ นม่ำนมุย้ เชียงตำ ฟ้อนเงี้ยว ฟ้อนสำวไหม ฟอ้ นเกบ็ ใบชำ ฟ้อนที ฟอ้ นผำง ฟอ้ นวี ฟอ้ นแง้น เป็นต้น โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๑๐ ฟ้อนเง้ยี ว เป็นกำรแสดงพ้นื เมอื งของชำวเขำเผำ่ หน่ึง ซ่งึ เรยี กวำ่ “เง้ยี ว” มีภม้ ิลำเนำอย่้ภำคเหนือของประเทศไทย นำงลม่ล ยมค่ปต์ ผ้เช่ยี วชำญกำรสอนนำฏศลิ ป์ วทิ ยำลยั นำฏศิลป์กรมศิลปำกรไดม้ โี อกำสไปสอนละครท่คี ม้่ เจำ้ หลวง เจ้ำแก้วนว รัฐ ผ้ครองนครเชยี งใหม่ และไดเ้ หน็ กำรฟ้อนเง้ยี วเรยี กตำมภำษำพ้นื เมืองวำ่ เง้ยี วปนเมือง ของค่ม้ เจ้ำหลวง ซ่ึงมีนำงหลง บญ่ จ้หลง เป็นผ้ฝึกสอน ในควำมควบค่มของพระรำชชำยำ เจ้ำดำรำรศั มี ในรชั กำรท่ี 5 ตอ่ มำนำงลม่ล ยมคป่ ต์ ได้รบั รำชกำรเป็นครส้ อน นำฏศิลป์ ท่วี ิทยำลัยนำฏศิลป์ (ในขณะน้ันเรยี กว่ำ “โรงเรียนนำฎด่ริยำงค์ศำสตร์”) และได้นำลลี ำทำ่ รำฟ้อนเง้ียวมำปรบั ปรง่ ข้นึ ใหม่ ให้งดงำมตำมแบบฉบับนำฏศิลป์ไทย บรรจไ่ วใ้ นหลักสต้ รวชิ ำนำฏศิลป์ เม่อื พ.ศ. 2478 บทรอ้ งของฟ้อนเง้ยี วมีลกั ษณะเป็นบทอวย พร คอื อำรำธนำพระพท่ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยดำ ส่งิ ศักด์สิ ทิ ธ์ทิ ้งั หลำยมำปกป้องคม้่ ครองอวยชัยใหพ้ รเป็นสวัสด์มิ งคลต่อไป โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๑๑ ฟ้อนเลบ็ เป็นการฟ้อนชนิดหน่ึงของชาวไทยในภาคเหนือ ผ้่ฟ้อนจะสวมเลบ็ ยาว ลลี าทา่ ราของฟ้อนเลบ็ คลา้ ยกบั ฟ้อนเทยี น ตา่ งกันท่ฟี ้อนเทยี นมอื ท้ังสองถอื เทียน ตามแบบฉบบั ของการฟ้อน นางลมุล ยมะคุปต์ ผ้่เช่ยี วชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย ได้นาลลี า ทา่ ฟ้อนอันเป็นแบบแผนมาจากคุ้มเจา้ หลวงมาฝึกสอน จดั เป็นชดุ การแสดงท่นี ่าชมอีกชดุ หน่ึง แต่เดมิ เรยี ก \"ฟ้อนเลบ็ \" ดว้ ยเห็นว่า เป็นการฟ้อนท่เี ป็นเอกลกั ษณข์ อง \"คนเมอื ง\" ซ่งึ หมายถงึ คนในถ่นิ ลา้ นนาท่มี ีเช้อื สายไทยวน และเน่ืองจากการเป็ นการแสดงท่มี ัก ปรากฏ ในขบวนแห่ครวั ทานของวดั จงึ มีช่อื เรยี กอกี ช่อื หน่ึงวา่ \"ฟ้อนแห่ครัวทาน\" ตอ่ มามกี ารสวมเล็บท่ที าด้วยทองเหลอื งท้งั 8 น้ิว (ยกเวน้ น้ิวหัวแม่มือ) จึงไดช้ ่อื ว่า \"ฟ้อนเลบ็ \" โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๑๒ เป็นกำรฟ้อนพ้นื เมอื งท่เี ลยี นแบบมำจำกกำรทอผ้ำไหมของชำวบำ้ น กำรฟ้อนสำวไหมเป็นกำรฟ้อนรำแบบเกำ่ เป็นทำ่ หน่ึง ของฟ้อนเจิงซ่งึ อย้ใ่ นชด่ เดียวกบั กำรฟ้อนดำบ ลีลำกำรฟ้อนเป็นจงั หวะท่คี ล่องแคล่วและรวดเรว็ (สะดด่ เป็นช่วง ๆ เหมอื นกำรทอผำ้ ด้วยก่ีกระต่ก) ประมำณปี พ.ศ. 2500 ค่ณบวั เรยี ว รตั นมณกี รณ์ ไดค้ ดิ ทำ่ รำข้นึ มำโดยอยภ่้ ำยใต้กำรแนะนำของบิดำ ทำ่ รำน้ีได้เนน้ ถึงกำรเคล่อื นไหวท่ตี ่อเน่ืองและน่มนวล ซ่งึ เป็นทำ่ ท่เี หมำะสมในกำรป้องกนั ไมใ่ หเ้ ส้นไหมพันกนั ในปี พ.ศ. 2507 ค่ณพลอยศรี สรรพ ศรี ชำ่ งฟ้อนเกำ่ ในวงั ของเจำ้ เชยี งใหม่องคส์ ด่ ทำ้ ย (เจ้ำแกว้ นวรัฐ) ได้รว่ มกับค่ณบวั เรียวขัดเกลำท่ำรำข้นึ ใหม่ ตอ่ มำในปี พ.ศ. 2520 คณะอำจำรย์วทิ ยำลยั นำฏศลิ ป์เชยี งใหม่ ไดค้ ิดทำ่ รำข้นึ มำเป็นแบบฉบับของวทิ ยำลยั เอง กำรฟ้อนของทำงศน้ ยว์ ฒั นธรรมเชยี งใหม่ เป็นกำรรวบรวมท่ำรำท่สี วยงำมของท้งั สองฝ่ำยเข้ำด้วยกัน โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๑๓ คาว่า “ท”ี หมายถึง “รม่ ” เป็นคาภาษา “ไต” ใชเ้ รียกในจังหวัดแม่ฮอ่ งสอน “ท”ี ทางภาคเหนือมีลกั ษณะและรป่ ทรง แตกต่างกนั ไปแตล่ ะจงั หวดั “ท”ี ท่ชี าวแม่ฮ่องสอนนิยมใชม้ ีรป่ ทรงสวยนามาใชเ้ ป็นอปุ กรณป์ ระกอบการราได้ฟ้อนทเี ป็นผลงาน ประดิษฐ์สรา้ งสรรคข์ องวทิ ยาลยั นาฏศิลป์เชยี งใหม่ จัดแสดงในงานนทิ รรศการและการแสดงศลิ ปวฒั นธรรมของสถานศกึ ษา ในสงั กดั กองศลิ ปศกึ ษา กรมศิลปากร เพ่ือเทดิ พระเกยี รติเด็จพระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ ีนาถ ในวโรกาสทรงเจรญิ พระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา ณ โรงละครแหง่ ชาติ เม่อื เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๕ การแสดงชุดน้ีนารม่ มาใชป้ ระกอบลีลา นาฏศลิ ป์โดยมที ่าฟ้อนเหนือของเชยี งใหมผ่ สมกบั ท่าราไตของแม่ฮอ่ งสอน มีการแปแถว และลลี าการใชร้ ม่ ในลักษณะตา่ ง ๆ ท่ี งดงาม เช่น การถือร่ม การกางร่ม การหบุ ร่ม เป็นตน้ โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๑๔ “ระบาเก็บใบชา”เม่อื ปีพทุ ธศกั ราช2523 นักศึกษาระดับปรญิ ญาของวทิ ยาลยั นาฏศลิ ป กรมศลิ ปากร ในการควบคุมของ นางสาวปราณี สาราญวงศ์ หวั หนา้ ภาควชิ านาฏดรุ ยิ างค์คตี ศิลปศกึ ษา ได้รว่ มกนั ประดษิ ฐ์ท่าราและทานองเพลงระบาชดุ น้ี ข้นึ เพ่อื นาออกแสดงเป็นผลงานการบรรเลงดนตรแี ละการแสดงนาฏศลิ ป์ ณ โรงละครแห่งชาตทิ ้งั หลายมาปกป้องคมุ้ ครองลลี าและ ลกั ษณะการแสดงสะท้อนใหเ้ ห็นถึงกรรมวิธใี นการเกบ็ ใบชาของชาวเขา โดยเร่มิ ต้งั แตเ่ ช้าตร่ ออกเดนิ ทางไปเกบ็ ใบชา ซ่งึ ได้ปล่กไว้ ตามไหล่เขา ต่อจากน้ันนามาเลือกใบและผ่งึ แดด ขณะท่รี อใหใ้ บชาแห้งต่างก็ร่นื เรงิ สนกุ สนานกบั จวบจนเวลาเยน็ แลว้ จงึ นาเอาใบชา เดนิ กลบั บา้ น ประพันธเ์ พลง โดย นายปกรณ์ รอดชา้ งเผ่อื น โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๑๕ เป็นศลิ ปะกำรฟ้อนท่มี มี ำแต่โบรำณ เป็นกำรฟ้อนเพ่อื บ้ชำองค์สัมมำสัมพ่ทธเจำ้ ลีลำกำรฟ้อนดำเนินไปตำมจังหวะของ กำรตกี ลองสะบดั ชยั มือท้งั สองจะถอื ประทีปหรอื ผำงผะต้ีบ แตเ่ ดมิ ใช้ผช้ ำยแสดง ตอ่ มำนำยเจรญิ จันทร์เพ่อื น ผ้อำนวยกำรวทิ ยำลยั นำฏศลิ ป์เชยี งใหม่ ดำรใิ ห้คณะครอ้ ำจำรย์หมวดวิชำนำฏศลิ ป์พ้นื เมืองเป็นผป้ ระดษิ ฐ์ทำ่ รำใหเ้ หมำะสมกบั ผ้หญงิ แสดง โดยได้รบั ควำมอนเ่ ครำะห์จำกนำยมำนพ ยำระณะ ศิลปินพ้นื บ้ำนเป็นผถ้ ่ำยทอดท่ำฟ้อนและให้คำแนะนำเก่ยี วกับทำ่ รำโดยมีนำยปรีชำ งำม ระเบียบอำจำรย์ 2 ระดบั 7รกั ษำกำรในตำแหน่งผช้ ว่ ยผอ้ ำนวยกำรวทิ ยำลัยนำฏศิลป์เชยี งใหม่(ฝ่ำยกจิ กรรม) เป็นผ้ควบคม่ กำร ประดษิ ฐ์ท่ำรำ โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๑๖ ดว้ ยเหตุที่ภำคใตเ้ ปน็ ภำคทม่ี ีอำณำเขตตดิ ตอ่ กบั ประเทศมำลำเชียและเป็นดนิ แดนทตี่ ิดทะเล จึงทำ ใหเ้ กิดกำรผสมผสำนทั้งทำงศำสนำ วัฒนธรรม และอำรยธรรมจำกกลมุ่ ชนหลำยเช้อื ชำติ เกย่ี วโยงถงึ ศำสนำ และพิธกี รรม จนทำให้นำฏศลิ ป์ - ดนตรีในภำคใต้มลี กั ษณะท่เี ปน็ เคร่ืองบนั เทิงท้งั ในพธิ กี รรม งำนรน่ื เรงิ และวิถี ชีวิตควำมเป็นอยู่ มีลักษณะกำรแสดงท่ีเปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพำะ คือ มจี งั หวะที่เร่งเรำ้ กระฉบั กระเฉง และเน้น จงั หวะมำกกวำ่ ทว่ งทำนอง โดยมีลกั ษณะท่เี ดน่ ชดั ของเคร่ืองดนตรปี ระเภทเครอ่ื งตีใหจ้ ังหวะเปน็ สำคญั ส่วนลีลำ ทำ่ รำจะมคี วำมคลอ่ งแคลว่ วอ่ งไว สนกุ สนำน กำรแสดงพืน้ เมืองภำคใต้ ไดแ้ ก่ หนงั ตะลงุ ซัมเป็ง สิละ ลเิ กปำ่ โนรำ โต๊ะครมึ รำรองเง็ง ระบำตำรีกีปสั ระบำร่อนแร่ ระบำปำแตะ๊ ระบำชนไก่ ระบำร่อนแร่ เปน็ ต้น โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๑๗ มโนรำห์, มโนหร์ ำ หรือโดยย่อวำ่ โนรำ เป็นช่อื ศิลปะกำรแสดงพ้นื เมอื งอย่ำงหน่งึ ของภำคใต้ มีรำกศัพทท์ ่มี ำจำกคำ วำ่ “นระ” เป็นภำษำบำลี – สนั สกฤต แปลว่ำมนษ่ ย์ เพรำะกำรรำ่ ยรำแต่เดมิ แล้ว กำรรำโนรำจะรำให้เสมอื นกับท่ำรำ่ ยรำ ของเทวดำมโนรำห์มแี มบ่ ททำ่ รำอยำ่ งเดียวกบั ละครชำตรบี ทร้องเป็นกลอนสด ผข้ บั ร้องต้องใชป้ ฏภิ ำณไหวพริบ สรรหำคำให้ สมั ผัสกนั ไดอ้ ยำ่ งฉับไว มคี วำมหมำยท้งั บทร้อง ทำ่ รำและเคร่อื งแต่งกำยเคร่อื งดนตรีประกอบด้วย กลอง ทบั ค่้ ฉ่งิ โหมง่ ป่ีนอกหรอื ป่ีในและกรับ ปัจจบ่ นั พฒั นำเอำเคร่อื งดนตรสี ำกลเขำ้ รว่ มด้วย เดิมนิยมใชผ้ ้ชำยล้วนแสดง แต่ปัจจ่บันมีผห้ ญิงเข้ำ ไปแสดงด้วย โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๑๘ รองเงง็ เป็นศลิ ปะเตน้ ราพ้นื เมอื งของไทยมสุ ลมิ ในแถบส่จี งั หวดั ชายแดนภาคใต้ ตลอดจนเมอื งตา่ งๆของ มาเลเซยี ตอนเหนือ ลว้ นเป็นท่นี ิยมท่วั ไปและแพรไ่ ปถงึ อินโดนีเซยี ซ่งึ เป็นการเต้นราท่มี ีความสวยงามท้งั ลลี าการ เคล่อื นไหวของเทา้ มือ ลาตวั และการแตง่ กายค่ชายหญิง กล่าวกันว่า การเตน้ รองเงง็ สมยั โบราณเป็นท่นี ิยมในบ้านขุนนางหรอื หรอื เจา้ เมอื งในแถบส่จี ังหวดั ชายแดน ภาคใต้ เช่น ท่บี า้ นพระยาพพิ ธิ เสนามาตย์ เจา้ เมืองยะหร่งิ สมยั กอ่ นเปล่ยี นแปลงการปกครอง (พ.ศ. 2439-2448) มี การฝึกรองเงง็ โดยหญิงสาวซ่งึ เป็นขา้ ทาสบรวิ ารฝึกรองเงง็ เพ่อื ไว้ตอ้ นรับแขกเหร่อื ในงานร่นื เรงิ หรอื งานพธิ ีต่างๆ เป็ นประจา โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๑๙ ชนไก่ เป็นการละเลน่ ท่อี ยกุ่ บั คนไทยมาชา้ นานต้งั แต่สมยั โบราณเป็นการละเลน่ ท่มี ีความสนกุ สนานหรอื บางท่ี อาจจะมกี ารเดมิ พนั แพ้ ชนะ จงึ เป็นแรงบนั ดาลใจใหค้ ณะคร่อาจารย์ภาควชิ านาฏศิลป์ไทยวิทยาลยั นาฏศลิ ปพัทลงุ ได้ คดิ ประดษิ ฐ์ “ระบาชนไก่”ข้นึ มาโดยนาการละเลน่ ตไี ก่ หรือชนไก่ มาจัดทาเป็นการแสดงในรป่ แบบนาฏศลิ ป์ไทย โดย เพ่มิ ความสนกุ สนานโดยมีการเชยี รเ์ พ่อื ให้ไดอ้ ารมณม์ ากข้นึ การแสดงชุดน้ีผแ้่ สดงจะแต่งกายเหมอื นไก่ และมีอาการกิริยาท่เี หมอื นไก่ เพ่อื ความสมจรงิ โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๒๐ ตำรีกปี ัส เป็นศิลปะกำรแสดงระบำพ้นื เมอื งของทำงภำคใต้ ท่ใี ช้พดั ประกอบกำรแสดง ประกอบกบั เพลงท่มี ี ควำมไพเรำะน่ำฟัง ลีลำท่ำรำจงึ ออ่ นชอ้ ย และเป็นกำรแสดงท่ีแพรห่ ลำยในหม้ช่ ำวไทยมส่ ลมิ โดยเฉพำะในจังหวดั ปัตตำนี นอกจำกน้ันยังไดน้ ำไปเผยแพรย่ งั ตำ่ งประเทศ ในงำนมหกรรมพ้นื บำ้ นโลก อำทเิ ชน่ ประเทศตร่ กี ประเทศ โปแลนด์ ประเทศบลั แกเรยี ประเทศเกำหลใี ต้ ประเทศฟินแลนด์ ประเทศรสั เซยี ประเทศสหรฐั อเมรกิ ำ ฯลฯ ซ่งึ เป็นท่ี ยอมรับของนำนำประเทศ โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๒๑ ระบาชดุ น้ี สรา้ งสรรค์ผลงานโดยคณาจารย์วิทยาลัยนาฏศิลปพัทลงุ โดยผ้่แสดงจะถอื มาลากัส ซ่ึงเป็นเคร่อื งดนตรี ประกอบจงั หวะช้นิ หน่ึงในวงดนตรีพ้นื เมืองภาคใตต้ อนล่าง มาประกอบกับท่าราได้อย่างงดงามและกลมกลืนเคร่อื งดนตรี ประกอบการแสดง คือ วงพ้นื เมอื งภาคใตต้ อนลา่ ง ประกอบดว้ ยไวโอลนิ แมนโดริน แอคคอเด้ยี น กลองบานอ และ มาลากสั โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๒๒ ระบาปาเตะ๊ เป็นระบาท่ปี ระดษิ ฐ์ข้นึ โดย อาจารยด์ รณุ ี สจั จากุล ภาควิชานาฏศลิ ป์ มหาวิทยาลัยราชภฏั ยะลา ได้ประดษิ ฐ์คร้งั แรกเม่อื ปีพ.ศ.๒๕๒๓ และไดน้ ามาปรบั ปรงุ แก้ไขใหม่เพ่ือนาออกแสดงหนา้ พระท่ีน่ัง ณ พระตาหนัก ทักษนิ ราชนิเวศน์ จงั หวัดนราธิวาส เม่อื วันท่ี ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๒๘ ระบาชุดน้ีไดน้ าเอาข้นั ตอนการทาผ้าปาเตะ๊ มาประยุกต์ดัดแปลงประกอบเขา้ กบั ท่าเตน้ ราของพ้นื เมืองภาคใต้ ในการแสดงน้ันจะเร่มิ จากการแบกภาชนะใสเ่ ทียนไปเค่ยี วบนไฟจนรอ้ น การถือสะดึงออกมาขึงผา้ เขียนลาย ย้อมผ้า และจะจบด้วยทุกกลมุ่ ออกมาร่วมเรงิ ระบากนั อยา่ งสนกุ สนานดว้ ยความพอใจในชดุ ผ้าปาเตะ๊ อนั สวยงาม เคร่อื ง ดนตรปี ระกอบการแสดงใชว้ งดนตรีพ้นื เมอื งภาคใตบ้ รรเลงประกอบการแสดง โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๒๓ โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๒๔ ศิลปะวัฒนธรรมอีสำน ฟ้อนแหยไ่ ข่มดแดง เป็นศิลปะวฒั นธรรมอีสำน และเป็นกำรประดิษฐค์ ิดค้นโดย ภำควชิ ำนำฏศิลป์ วทิ ยำลัยคร้บ่รรี ัมย์ (มหำวทิ ยำลัยรำชภัฏบร่ รี มั ย์) ซ่งึ อ.ประชัน คะเนวนั และ อ.ดรรชนี อบ่ ลเลศิ ไดศ้ ึกษำร้ปแบบกำรแหย่ไข่มดแดงของชำวบ้ำน และไดศ้ ึกษำข้นั ตอนอย่ำงละเอยี ด กอ่ นจะนำมำประดิษฐ์เป็นชด่ กำร แสดง ฟ้อนแหย่ไขม่ ดแดง หรอื เซ้งิ แหยไ่ ขม่ ดแดง ข้นึ มำใหเ้ ป็นกำรแสดงบนเวที โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๒๕ เป็นการราเพ่อื บช่ าส่งิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ ในพิธขี อขมาของชาวจงั หวดั อบุ ลราชธานี ภายหลังนิยมแสดงในงานนักขัตฤษแ์ ละตอ้ นรบั แขกผม่้ ีเกียรตขิ องภาคอีสานเป็นชดุ การแสดง โดย นายประดษิ ฐ์ แก้วชนิ ไดไ้ ปพบการแสดงน้ีในอาเภอเขมราฐ จังหวัด อุบลราชธานี เหน็ ว่าการแสดงหมอลาตงั หวายมีทานองสนกุ สนาน จึงไดท้ ดลองให้เดก็ นักเรยี นมาฝึกหัด แล้วนาออกไปแสดงใน งานปีใหม่ ท่ที ุง่ ศรเี มอื งกลางเมอื งอบุ ลราชธานี เม่อื ปี พ.ศ.2514 ตอ่ มา อ. ศริ ิเพ็ญ หวั หนา้ ภาควชิ านาฏศลิ ป์วทิ ยาลยั คร่ อบุ ลราชธานี (มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี) เห็นควรจะสง่ เสรมิ ใหเ้ ป็นชดุ การแสดงประจาจังหวดั จงึ ไดน้ าเอาตน้ แบบไป เพ่มิ เตมิ ใหส้ วยงามมากย่งิ ข้นึ โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๒๖ ผ้าไหมแพรวา เป็นผำ้ แพรสไบท่ที อดว้ ยเทคนิคกำรทอคลำ้ ยกับผำ้ จก นิยมทอใหม้ ีควำมยำวประมำณ 1 วำกบั อกี 1 ศอก หรอื 1ชว่ งแขน หรือยำวประมำณ 2-2.5 เมตร ตำมลักษณะกำรใชง้ ำน ซ่งึ เป็นผำ้ ทอพ้นื บำ้ นของชำวภไ้ ทบ้ำนโพน อำเภอคำมว่ ง จงั หวดั กำฬสินธ่์ และนิยมทอกันอยำ่ งแพรห่ ลำยในหลำยจงั หวดั เพรำะไดก้ ำรสนับสน่นจำกโครงกำรศน้ ยศ์ ลิ ปำชพี ในสมเดจ็ พระ นำงเจำ้ พระบรมรำชนิ ีนำถ และมีกำรพฒั นำร้ปแบบ สีสนั และลวดลำยต่ำง ๆ มำกข้นึ ทำใหผ้ ำ้ ไหมแพรวำเป็นท่นี ิยม และนำมำใช้ กนั อยำ่ งแพร่หลำยในปัจจบ่ นั ฟ้อนแพรวากาฬสนิ ธ์ุ ได้ประดิษฐ์คดิ คน้ กำรแสดงโดย คณำจำรยภ์ ำควิชำนำฏศลิ ป์และดร่ ยิ ำงค์ โดยกำรควบค่มของ นำยสริ ชิ ยั นักจำรญ้ ผ้อำนวยกำรจำกวทิ ยาลยั นาฏศลิ ปกาฬสินธ์ุ ในปี พ.ศ.2534 เน่ืองในวโรกำสท่ีสมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ิต์ิ พระบรมราชนิ ีนาถ พระบรมราชชนนพี ันปีหลวงพระชนมม์ ำย่ครบ 60 พรรษำ โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๒๗ กำรแสดงช่ดน้ีเป็นกำรเก้ยี วพำรำสขี องหน่มสำวโดยถือกะลำมะพรำ้ วร่ำยรำประกอบดนตรพี ้นื เมอื งเป็ นกำรละเล่ ของชำวอสี ำนใต้แถบ จงั หวดั ศรีษะเกษ บ่รีรัมย์ ส่รนิ ทร์ คำวำ่ กะโป๋ หมำยถึง กะลำมะพรำ้ ว วิทยำลัยนำฏศลิ ปะ ร้อยเอด็ ได้นำกำรแสดงชด่ ระบำกะลำ ของชำวอสี ำนใต้มำดัดแปลงให้เป็นรป้ แบบนิยมของอสี ำน เน่ืองจำกว่ำ ระบำกะลำ มีจังหวะและท่วงทำนองทำ่ ชำ้ เนิบนำบ จงึ ไดแ้ ต่งดนตรีข้นึ ใหม่ใหม้ จี ังหวะท่สี นก่ สนำนย่งิ ข้นึ โดยนำเอำแต่งลำยดนตรีมำ ผสมกับลำยเพลงพ้นื เมอื งอสี ำนใต้ ได้แก่ ทำนองเจรยี งซนั ตรจู้ น์ จนได้ทำนองเพลงท่เี ป็นลกั ษณะเฉพำะในกำรแสดงชด่ “ฟ้อนกะโป๋ ” โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๒๘ กำรเซ้งิ บ้งั ไฟ เป็นประเพณีและพธิ กี รรมท่สี บื ทอดกนั มำต้งั แต่ คร้งั โบรำณกำล จำกคตนิ ิยมและควำมเช่อื เร่อื ง ตำนำน พญำคนั คำก (คำงคก) ซ่งึ เป็นท้งั วรรณกรรมม่ขปำฐะและวรรณกรรมจำรกึ อกี เร่อื งหน่ึงคือ ตำนำน \"ท้ำวผำแดง – นำงไอค่ ำ” ซ่งึ ปรำชญช์ ำวอสี ำน ได้แต่งวรรณกรรมจำกสงั คมและควำมเป็นอยข้่ องชม่ ชนชำวขอม กำรเซ้งิ บ้งั ไฟ ถือว่ำเป็น ประเพณที ่ชี ม่ ชน ชำวอีสำนสบื ทอดกันมำพรอ้ มกับประเพณีกำรจด่ บ้งั ไฟ คือกอ่ นท่จี ะทำบ้งั ไฟเพ่อื จด่ ถวำยพญำแถนบนสวรรค์ ชำวบ้ำนจะรวมตัวกนั ออกเซ้งิ (คือ กำรรอ้ งหรือจำ่ ยกำพยป์ ระกอบกำรฟ้อน) ไปรอบๆหมบ้่ ้ำนหรอื ชม่ ชนใกล้เคียง เพ่ือบอกบ่ญ ขอรับไทยทำน เพ่อื ซ้อื ข้ีเกีย (ดินประสวิ ) มำทำเป็น หม่อื (ดินปืน) เพ่อื บรรจท่ ำเป็นบ้งั ไฟ และจ่ดในพิธขี อฝนต่อไป กำรเซ้งิ บ้งั ไฟ น้ันอำจจะเป็นผ้หญงิ ลว้ น ชำยล้วน หรือมีกำรสลบั ชำยหญิงก็ได้ ทำ่ ฟ้อนในกำรแห่บ้งั ไฟน้นั มหี ลำยท่ำ ท่ำฟ้อนของตำบลด่ำน มี อย่ด้ ว้ ยกนั ๓ คอื ทำ่ ไหว้คร้ ทำ่ รำเซ้งิ ทำ่ บช้ ำเทวดำอำรกั ษ์ โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๒๙ การแสดงชุดน้ีเป็นผลงานสรา้ งสรรค์ของ นักศกึ ษาวิทยาลัยนาฏศลิ ปกาฬสนิ ธ์ ช้นั สง่ ปีท่ี 1ในความ ควบคุม ดแ่ ล และใหค้ าปรึกษา ของ คร่ จารุชา จนั ทสิโร คร่ภาควิชา โขน วิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสนิ ธ(์ ปัจบุ นั ดารง ตาแหน่งอย่ท่ี วทิ ยาลยั นาฏศลิ ป อ่างทอง) สร้างข้ึนในปี 2538 โดยนาเอาเค้าโครงจากภาพจาหลกั สมัย ทวารวดีท่ี พระธาตุ ยาค่ อาเภอ กมลาไสย จังหวดั กาฬสินธ์มาประดิษฐ์เป็นท่ารา ผ่้คิดประดษิ ฐ์ทานองเพลงคือ คร่ เปล้อื ง ฉายรศั มี ศลิ ปินแห่งชาติ โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
๓๐ https://thaidance.wordpress.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8% https://youtu.be/5QyFvWIINw8 B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89% https://youtu.be/CQIKWorBx3U E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87/%E0%B8%81%E0% https://youtu.be/lUTBI55Uisw B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B https://youtu.be/7RagnG9K6bw 7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0 https://youtu.be/TA4qdz00RBc %B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2/ https://youtu.be/025e2sQlamw https://youtu.be/_P78Lf73j8I https://sites.google.com/site/ajanthus/te https://youtu.be/UDeIg-IBnXg https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8 % B3%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94 https://www.mculture.go.th/chiangrai/ewt_news. php?nid=426&filename=index http://119.46.166.126/self_all/selfaccess12/m6/722/lesson1/ https://youtu.be/xmGKl8lE8TY 1/page27.php https://youtu.be/RiJstC_jbQA https://youtu.be/Xy49mcB9ThQ https://www.m-culture.go.th/lopburi/ewt_news.php?nid=436&filename https://youtu.be/NS5_ZBjq0Pw =index https://youtu.be/E8FDCti-UoE https://youtu.be/O9BgGHpAJvw https://youtu.be/cpjm5s2PBvg https://youtu.be/LI6bo2J6-kw https://youtu.be/NS5_ZBjq0Pw https://youtu.be/AVY24iFF7UI https://youtu.be/aC-9zE6twcE https://youtu.be/qfhT1GtjRmk https://youtu.be/pFGaFU3a49I https://youtu.be/O9BgGHpAJvw สืบค้นเม่อื วันทโรง่ีเรีย๒นบ้๐านขนุพปรฤะเทษศ ภาคม พ. ศ. ๒๕๖๓
โรงเรียนบ้านขนุ ประเทศ
Search
Read the Text Version
- 1 - 34
Pages: