ขนุ ชา้ งขนุ แผน
ผู้จัดทา นางสาวเบญจวรรณ พอกพูน ครผู ู้ชว่ ยโรงเรยี นบา้ นตะเคยี นเตย้ี สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาชลบรุ ี เขต 3
ทมี่ าและสมัยท่ีแต่ง พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ ทรงสนั นิษฐานเรอ่ื ง การแตง่ ขุนชา้ งขนุ แผนว่า - เป็นเรอื่ งราวท่ีเกดิ ขน้ึ จริงในสมยั สมเด็จพระรามาธบิ ดีท่ี 2 แหง่ กรงุ ศรอี ยุธยา (พ.ศ. 2034 - 2072) ซึง่ พบหลกั ฐานจากการให้การของ ชาวกรงุ เก่า กลายเปน็ นทิ านเล่าสบื ตอ่ กันมา จนกระท่งั นาไปแตง่ เป็น กลอนเสภา
ผปู้ ระพันธ์ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ ล้านภาลยั โปรดเกลา้ ฯใหก้ วหี ลาย ท่านช่วยกันแตง่ เช่น กรมหม่นื เจษฎาบดนิ ทร์ (รัชกาลที่ ๓ ) สุนทรภู่ ครแู จ้ง รวมทั้งพระองค์เองทท่ี รงพระราชนพิ นธใ์ นบางตอน
รูปแบบการประพันธ์ ขนุ ชา้ งขุนแผนมีรูปแบบการประพนั ธ์เปน็ เสภา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ ทรง สนั นิษฐานว่า น่าจะมาจากการเลา่ นทิ านให้คนฟงั ในประเพณีตา่ ง ๆ เดมิ คงเลา่ เปน็ รอ้ ยแก้ว ตอ่ มาจึงไดค้ ิดประดษิ ฐ์เป็นร้อยกรองในบาง ตอนท่สี าคญั ๆ และใสท่ านองเพอื่ ให้คนฟงั ไมเ่ บื่อหนา่ ย แล้วพฒั นา เรอ่ื ยมากลายมาเปน็ ขบั เสภาดงั เชน่ ในปจั จบุ ัน
เรื่องยอ่
แนวคิด แนวคิดหลกั การชงิ รกั หกั สวาท หรอื ทเี่ รียกว่ารกั สามเสา้ ของ 1 หญิง 2 ชาย คอื นางพมิ พิลาไลยหรือนางวันทอง ขนุ แผนหรอื พลายแก้ว และขนุ ช้าง และ 1 ชาย 2 หญิง คือ พระไวยวรนาถ กับนางศรีมาลา และนางสรอ้ ยฟ้า แนวคิดรอง การปกครองในสมัยนนั้ ทพ่ี ระมหากษตั รยิ ์มอี านาจสูงสดุ สามารถสัง่ การให้ใครทาอะไรก็ได้ ซง่ึ ส่งผลให้การดาเนินเรื่องจบแบบโศกนาฏกรรม
- เนอ้ื เรื่องเปน็ การเอาเกรด็ ประวตั ศิ าสตรต์ อนไทยทาสงครามกับ เชียงใหมแ่ ละล้านช้าง มาผกู เขา้ กับวถิ ชี วี ติ ของชาวเมืองสพุ รรณและ กาญจนบุรี - มีลักษณะเปน็ สจั นยิ ม คือ เน้ือเรือ่ งมคี วามสมจริง ลกั ษณะอปุ นิสัย ของตวั ละครก็เหมือนมนุษยจ์ ริง ๆ การบรรยายเก่ยี วกับเหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ และการใชค้ าถาอาคมก็เป็นจริงเป็นจัง
โครงสรา้ งตวั ละคร
ลักษณะตวั ละคร ขนุ ช้าง - เปน็ บุตรของขุนศรีวชิ ยั และนางเทพทอง ซึง่ มฐี านะรา่ รวย - แต่อาภัพถูกแม่เกลียดชังเพราะอับอายที่มีลกู หัวลา้ น รปู ชั่วตัวดา - ไมว่ ่าจะเดินไปทางใดก็จะเปน็ ท่ขี บขันล้อเลยี นของชาวบา้ น - ข้อเสีย เป็นคนเจ้าเลห่ เ์ พทุบาย โหดร้าย เคยคิดทจ่ี ะฆ่าพลาย งาม ในขณะทพี่ ลายงามมอี ายเุ พยี งแค่สิบขวบ - ขอ้ ดี รักเดียวใจเดียว เทิดทูนนางวนั ทองสดุ หัวใจ
ลกั ษณะตวั ละคร ขนุ แผน -- - รูปรา่ งหนา้ ตางดงามคมสนั - เจ้าชู้ คารมคมคาย - สติปญั ญาเฉลียวฉลาด - มีพาหนะคใู่ จคือม้าสีหมอก - มดี าบฟ้าฟน้ื เป็นอาวุธประจากาย - มีวชิ าอาคมและไสยศาสตร์ - - มีความรทู้ างโหราศาสตร์ - มคี วามสามารถในการเทศน์ไดอ้ ยา่ งไพเราะ
ลักษณะตัวละคร นางวนั ทอง - เปน็ หญิงรปู งาม - ปากจัด ช่างประชดประชนั เสยี ดสี - มลี กั ษณะเหมอื นสาวชาวบ้านทวั่ ๆไป เป็นคนซอ่ื ไม่คอ่ ยฉลาด - มีความละเอียดอ่อน - เป็นแมท่ ่ีดี - กล้ายอมรับชะตากรรมของตวั เอง - มนี า้ ใจเมตตา - ให้อภยั โดยไม่เคยี ดแคน้
ลกั ษณะตวั ละคร พลายงาม - มีตาแหนง่ ทางราชการเป็น จมื่นไวยวรนาถ - มีอปุ นิสัยที่คอ่ นขา้ งเจ้าช้คู ล้ายขนุ แผน - มคี วามสามารถในการออกรบ - มีความกตญั ญู
ลักษณะตวั ละคร สมเดจ็ พระพนั วษา - เปน็ คนโกรธงา่ ย - แตม่ ีความยุตธิ รรมต่อพวกทหาร เสนาอามาตย์ และราษฎร - เม่ือมีคดีฟ้องร้องกนั กจ็ ะให้มกี ารไตส่ วน และพิสูจนค์ วามจริง
ความขัดแย้งท่ปี รากฏในเร่ืองขุนช้างขุนแผน ความขัดแย้งหลกั รนุ่ แรก ความขดั แย้งระหวา่ งขนุ แผน กับขนุ ชา้ งเพื่อแย่งนางวันทอง ความขดั แย้งระหวา่ งมนุษยก์ ับมนุษย์ รนุ่ ที่สอง ความขดั แยง้ ระหวา่ งนาง ศรมี าลากับนางสร้อยฟ้าเพื่อแย่งจมนื่ ไวยวรนาถหรือพลายงาม
ความขดั แยง้ ยอ่ ย ความขดั แยง้ ภายในจติ ใจ ความขัดแยง้ ระหวา่ ง ความขัดแยง้ ระหว่างมนษุ ย์กบั สังคม มนุษยก์ ับไสยเวท ความขัดแย้งระหว่างมนษุ ย์กับอานาจเหนือธรรมชาติ ความขัดแย้งระหวา่ งมนุษย์กบั มนุษย์ ความขัดแย้งระหว่าง มนษุ ยก์ ับชะตากรรม
คุณคา่ จากบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน คณุ ค่าด้านความรู้ 1. ประเพณี 1.1 ประเพณเี กีย่ วกบั ชวี ิต 1.1.1 ประเพณเี น่ืองในการเกิด 1) ก่อนตงั้ ครรภ์ (ความฝันและทานายฝัน) เมอ่ื เร่มิ ตัง้ ครรภผ์ ูเ้ ป็นแมม่ ักจะมีเหตใุ ห้นิมติ ฝันไปต่าง ๆ นานา และ สามีจะทานายฝันนนั้ ได้ว่าจะได้บุตรหญงิ หรือชาย และบุตรนั้นจะมีอนาคตอยา่ งไร ในเรอ่ื งขนุ ชา้ งขุนแผนนั้น ตัวละครผเู้ ปน็ แม่จะฝันก่อน
ดงั ความว่า พลิกกลบั กเ็ พอ้ ละเมอฝัน ฝา่ ยนางเทพทองน้นั นอนหลบั พองขึ้นหัวนน้ั เนา่ โขลงไป บนิ เตรเ่ รเ่ ขา้ มาในปา่ ใหญ่ ว่าช้างพลายตายกลิง้ ตล่ิงชัน เขา้ ในหอกลางทนี่ างนอน ยงั มนี กตะกรมุ หัวเหม่ เชิญเจา้ ขรวั หัวถกมาน่กี อ่ น อา้ ปากคาบช้างแล้ววางไป กอดนกกับช้างนอนสบายใจ ในฝนั น้นั วา่ นางเรยี กนก นางควา้ ได้ตวั เจ้าหัวกล้อน (ขุนช้างขนุ แผนเลม่ 1 หนา้ 2)
2) ตอนตั้งครรภ์ เมือ่ ตงั้ ครรภก์ ม็ กั จะมอี าการแพ้ท้องทาให้อยากกนิ ของแปลก ๆ จะกลา่ วถึงนางเทพทอง ท้องนัน้ โตใหญข่ น้ึ คา้ หนา้ ลุกนงั่ อึดอัดถัดไปมา ใหอ้ ยากเหล้าเน้ือพล่าตวั ส่ันรวั นา้ ลายไหลรีดังผกี ระสอื รอ้ งไห้ครางฮืออ้อนวอนผวั เหมอื นหน่งึ ตาหลวงเขา้ ประจาตัว ย่งิ ให้กนิ ตะละยั่วย่งิ เป็นไป ปลาไหลไก่กบตั้งเตาฝา แย้บ้งึ อ่ึงนาไม่พอไส้ หยบิ คาโตโต้โม้เข้าไป ประเดยี๋ วเหลา้ สิ้นไหไม่ซื้อทัน (ขุนชา้ งขุนแผนเลม่ 1 หน้า 5)
3) ตอนคลอด เม่ือถึงตอนคลอด จะมีลมกัมมัชวาตหรอื ลมเบ่ง ช่วยให้คลอดตามธรรมชาติอยแู่ ล้ว หมอตาแยเปน็ เพยี งผู้ทช่ี ่วยใหค้ ลอดง่ายขึ้น ดังคากลอนท่วี ่าไว้ตอนทีก่ าเนดิ พลายแกว้ วา่ ลมกมั มัชวาตพดั กลับกลาย ลูกน้นั บา่ ยศรี ษะลงทวาร เจ็บท้องร้องแรกอยเู่ วยวาย ป่ ตู ายา่ ยายองึ ทงั้ บ้าน ญาติกาขา้ ไทมาซมซาน หมอตาแยงนุ่ งา่ นเข้าผันแปร ถงึ ฤกษง์ ามยามปลอดคลอดงา่ ยดาย ลกู นน้ั เป็นชายร้องแว้แว้ (ขนุ ช้างขนุ แผนเล่ม 1 หน้า 6) 4) หลงั คลอด เมื่อเดก็ คลอดออกมาแล้วหมอตาแยจะสง่ั ใหจ้ ดั เตรียมฟนื ไฟ ตม้ นา้ เตรยี มยาทจ่ี ะ ให้หญิงเพ่ิงคลอดด่ืมทนั ที
6) การตั้งช่ือ การตงั้ ชอื่ ขุนช้างมีท่มี าจากตอนทขี่ ุนช้างเกดิ นนั้ มชี ้างเผอื กมาถวายพระ พันวษา จึงตงั้ ชอื่ ว่าขุนชา้ ง ส่วนพรายแก้วทม่ี ชี อื่ เชน่ น้ัน เน่ืองจากเจ้ากรงุ จีนไดน้ า แกว้ มาถวายพระพันวษา โดยบรรจไุ วบ้ นยอดเจดียอ์ งค์ใหญท่ ว่ี ัดเจา้ พระยาไทย สว่ นการต้ังชอื่ พลายงาม เนอ่ื งจากมรี ูปรา่ งงดงามเหมอื นขนุ แผน นางวันทองจึงตั้ง ชื่อลกู เช่นนั้น นอกจากน้ี ถา้ เด็กเจ็บป่วยบอ่ ย ๆ หรอื เหน็ ว่าชือ่ เดิมไมเ่ ป็นมงคลกอ็ าจจะตัง้ ชื่อเสยี ใหม่ได้ เพื่อใหผ้ ีเขา้ ใจผิดคดิ ว่าเป็นคนละคนกนั เชน่ นางพิมพลิ าไลยเปลยี่ น ชอื่ ใหม่เปน็ วนั ทอง
7) การโกนจกุ ในเรอื่ งขนุ ช้างขุนแผนกลา่ วถึงพธิ ีโกนจุกพลายงาม พธิ โี กนจุกเป็นเครื่องบอกสถานภาพของคนในสังคม เปน็ การเตอื นใหผ้ ้เู ข้าพธิ ี ทราบวา่ คนคนนนั้ เปล่ยี นสถานภาพจากเด็กเป็นผ้ใู หญแ่ ล้ว 1.1.2 ประเพณีเก่ียวกับการบวช เป็นการบวชเณรของพลายแก้ว ซึ่งก็เหมือนกับการเข้าโรงเรียน เพราะ สมยั ก่อนการศกึ ษาตอ้ งอาศัยวดั มพี ระเป็นผ้สู อน ในการบวชนี้ เคร่อื งอัฐบรขิ ารตา่ ง ๆ ที่ต้องใช้สาหรับสมณเพศชนิดทีส่ าเร็จรปู ยังไม่มี เมือ่ ลูกหลานจะบวชจงึ ตอ้ งช่วยกันจัดหา และช่วยกันทาข้นึ เอง
1.1.3 ประเพณีการแต่งงาน ในขุนช้างขุนแผนนั้นมีประเพณีแต่งงานอยู่ 3 ตอน คอื พลายแก้ว แต่งงานกับนางพิม ขุนช้างแต่งงานกับนางวันทอง และจม่ืนไวยวรนาถแต่งงาน กบั นางศรมี าลา การแต่งงานทั้ง 3ตอนน้ันมีรูปแบบอาจจะแตกต่างกันไปบ้างตาม เหตุการณ์ แต่ก็ทาให้เห็นถึงพิธีแต่งงานของไทยได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น การทาบทามสูข่ อ การหมัน้ การแต่งงาน
1.1.4 ประเพณีเกย่ี วกับการตาย พบวา่ มีปรากฏท่ีค่อนข้างชัดเจน 2 คร้ัง คือ การทาศพของขุนศรวี ชิ ยั กบั พันศรโยธา และงานศพของนางวันทอง ตัวอย่างเช่น พธิ ที าศพของนางวนั ทอง มีการขุดศพข้นึ มาแล้วอาบน้าศพ เอาศพใส่หีบพระราชทาน หีบศพเป็นหบี กุดน่ั สร้างในสมัยรชั กาลท่ี 1 สาหรบั พระราชทานใส่ศพผมู้ ีบรรดาศักด์ิ มีเครื่องประดับประโคม คือ ป่ชี วา กลอง ชนะ พระจะสวดพระอภธิ รรมเวลาเคล่อื นศพ มพี รายชุมพลนุ่งขาวแตง่ ลอมพอก
คุณคา่ ทางวรรณศลิ ป์ การใชค้ างา่ ย ใหร้ ุ่มรอ้ นนอนน่งั ไม่เปน็ สขุ หลบั แล้วร้ือลุกขึ้นมืดหน้า กอดหมอนนอนซึมไม่ลืมตา ขา้ วปลาไมน่ กึ จะอยากกนิ (ขนุ ช้างขุนแผนเลม่ 1 หน้า 85)
ความไพเราะดา้ นเสยี ง นึกระย่อเยอื กเย็นไมเ่ หน็ ใคร ไมแ่ กว่งกวดั กา้ นก่งิ ประวงิ ไหว 1. การเล่นสมั ผัส ท้งั ลองไนเร่ือยแรแ่ วแววบั เที่ยวผนั แปรแลหาน้าตาคลอ ยนื ชะแง้ แลดเู งีย่ หูตรับ วิ่งกระสับกระสนวนเวียนไป ดคู รม้ื ครกึ พฤกษาป่าสงัด จงั หรดี ร้องกอ้ งเสียงเคียงเรไร ดเุ หวา่ รอ้ งมองเมียงวา่ เสยี งแม่ อยนู่ ี่แน่แมจ่ ๋าจงมารบั ( ขนุ ช้างขุนแผนเลม่ 1 หน้า 430)
2. การเล่นจงั หวะ ขุนช้างพาเลี้ยวไปปะไมซ้ ุง เหน็ ลบั ลีท้ ีส่ งดั ขดั เขมร สะบดั เบนเบอื นเหวยี่ งลงเสียงผลงุ ปะเตะซา้ ตา้ ผางเข้ากลางพงุ ถีบกระทุ้งถองทบุ เสยี งอุบโอย พลายงามร้องสองมอื มันอดุ ปาก ดน้ิ กระดากถลากไถลรอ้ งไห้โหย พอหลุดมอื รื้อรอ้ งวนั ทองโวย หมอ่ มพ่อโบยตฉี นั แทบบรรลยั ไมเ่ หน็ แม่แลหาน้าตาตก ขุนชา้ งชกฉุดครา่ ไมป่ ราศรัย จนเหงอื่ ตกกระปรกประปรอมข้ึนคร่อมไว้ หอบหายใจฮักฮกั เข้าหกั คอ (ขนุ ช้างขุนแผนเลม่ 1 หน้า 429)
3. การใช้คาเลียนเสียงธรรมชาติ เ วี ย น ป ร ะ จ บ แ ล้ ว ตั้ ง ใ น เ ม รุ ใ ห ญ่ ค่าจุดดอกไม้ไฟพะเนียง คร้งั เสร็จก็ชักทั้งสองศพ จังหันกรวดวางครางสง่ เสยี ง ปกี่ ลองครา่ เคร่งโหมง่ เหมง่ ไป จอหนงั ต้ังเรยี งเล่นคร้นื ไป ประทดั พลผุ ลุตงึ อยูถ่ ึงผาง โปง้ ปบี ตับราวป๊ิวปา๊ วเปร้ียง (ขุนช้างขุนแผนเลม่ 1 หน้า 37)
4. การเล่นคา เหมือนท่ีไร่ฝ้ายพิมเจ้ายิ้มแย้ม เ ห มื อ น เ ร า ซ่ อ น เ ป็ น ชู้ คู่ แ ฉ ล้ ม นางแยม้ แย้มยม้ิ อยูร่ มิ ไพร เหมือนกลิ่นแก้มโฉมยงเมื่อส่งตัว ซ่อนชู้ชชู อ่ อรชร เหมอื นมือเจา้ ปรนนิบัตพิ ดั วีผวั ซอ่ นกลน่ิ สง่ กล่นิ ประท่นิ แกม เล็บมือนางกางกลบี กระทดั รัด เหมือนเยน็ เจ้าเยา้ ย่วั อยกู่ บั น้อง (ขุนช้างขนุ แผนเล่ม 1 หนา้ 155) บานเย็นบานสะพรงั่ ฝ่งั สระบัว
การใช้ภาพพจน์ 1. อปุ มา (Simile) ตัวอย่างเช่น เปรียบหัวล้านของคุณช้างเหมือนหัวนกตะกรุม และเปรียบ หน้าของขุนชา้ งเหมอื นลิง จะกล่าวถึงขุนช้างเม่ือรุ่นหนุ่ม หัวเหมือนนกตะกรุมล้านหนักหนา เคราคางขนอกรกกายา หน้าตาดังลิงคา่ งทกี่ ลางไพร (ขุนชา้ งขุนแผนเล่ม 1 หนา้ 41)
2. อปุ ลกั ษณ์ (Mtaphor) ตัวอย่างเช่น เปรยี บเทยี บวา่ ความทกุ ขย์ ากนนั้ เปน็ เหมือนการกินยา ซึ่ง น่าจะหมายถึงความขมของยาทม่ี าเปรยี บวา่ เหมอื นกบั กนิ ดว้ ยความทกุ ข์ยาก ดังความทว่ี ่า ให้ทรมาทารกรรมเสยี ทาเนา กลนื ขา้ วเป็นกลนื ยานัน้ ตาพราว 3. อติพจน์ (Hyperbole) ตัวอย่างเชน่ เปรยี บเทียบใหเ้ หน็ ความเศรา้ วา่ เหมือนดงั ชวี ติ จะขาดออก ใหไ้ ดถ้ งึ ร้อยท่อน พลายแก้วกเ็ ฝ้าแตโ่ ศกี ดงั ชวี จี ะขาดสักร้อยท่อน
4.บคุ ลาธิษฐาน หรือบคุ คลวัตร(Personification) ใช้เพ่ือให้เกิดความรู้สึกประทับใจ อารมณ์สะเทือนใจ หรือให้ภาพที่งดงามเป็น ภาษากวีมากกวา่ การใช้ภาษาอย่างตรงไปตรงมา ตัวอยา่ งเชน่ ชมพลางทางเดินเนนิ พนม ร่นื รมย์พรรณไม้ใบหนา แลดูหม่วู ิหคนกนานา สารกิ าพูดจ้ออยจู่ อแจ (ขุนช้างขุนแผนเล่ม 2 หน้า 79) 5. สมั พจนยั (Synecdoche) การยกส่วนย่อยขึ้นมากล่าวแทนความหมายในส่วนรวม ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น การเปรียบเทียบขุนช้างโดยไม่ได้เรียกชื่อขุนช้าง แต่เรียกตามลักษณะ ตวั เช่น วนั ทองรอ้ งบอกกล่าวตระลาการ อา้ ยขุนหัวล้านทาจู้จี้ (ขนุ ช้างขุนแผนเล่ม 1 หนา้ 409)
6. ปฏิปจุ ฉา (Rhetorcal question) การพดู รูปของการตัง้ คาถามโดยไม่ต้องการคาตอบ แตเ่ ปน็ การใชร้ ปู ประโยคเพื่อเน้นความสะเทอื นอารมณ์ ตวั อย่างเชน่ ตอนทพ่ี ลายแก้วจะไปทพั ครัง้ แรก ก็มลี ักษณะคาพดู ของนางพิมท่คี ร่าครวญถงึ ขนุ แผน ดงั ที่วา่ นางพมิ พบั กบั อกเฝ้าสะอ้ืน ไมฝ่ า่ ฝนื สร่างสมประดีได้ น้าตาตกซกซกกระเซ็นไป รา่ ไรหว่ งผวั จะจากพมิ จะเดนิ ไปไดฤ้ ๅถงึ เชยี งทอง จะพงั พองสองเท้าพอ่ นม่ิ น่ิม จะระบมบอบบางท้งั กลางรมิ อกพมิ นจี้ ะพงั ดว้ ยผวั รกั (ขนุ ชา้ งขุนแผนเล่ม 1 หน้า 153)
ทว่ งทานองในการแตง่ 1. เสาวรจนี คือ บทชม เช่น ชมความงามของบ้านเมอื ง ธรรมชาตหิ รอื รปู รา่ งลกั ษณะ ตวั อย่างเช่น ม่านนี้ฝมี ือวันทองทา จาไดไ้ มผ่ ดิ นยั นต์ าพ่ี เส้นไหมแม้นเขียนแนบเนยี นดี ส้ินฝีมือแล้วแต่นางเดียว เจ้าปกั เป็นป่าพนาเวศ ขอบเขตเขาคลมุ้ ชอุม่ เขียว รุกขชาตดิ าษใบระบัดเรยี ว พรงิ้ เพรียวดอกดกกระดะดวง (ขนุ ช้างขนุ แผนเลม่ 1 หน้า 316 - 317)
2. นารปี ราโมทย์ คือ บทเกีย้ วพาราสขี องตวั ละคร เช่น อนั ความรกั หนักแนน่ แสนวิตก ระอาอกแทบเทา่ ภูเขาหลวง พรหมนิ ทรอ์ ินทรจ์ นั ทรส์ ิน้ ท้ังปวง กบ็ นบวงสิน้ ฟ้าสรุ าลยั เช้อื เชิญเมนิ หนา้ ไม่มาช่วย เหน็ คงมว้ ยไม่หมายผใู้ ดได้ เว้นแตเ่ จ้าเยาวยอดผู้ร่วมใจ จะผลกั พลิกแพลงให้บรรเทาลง (ขุนช้างขนุ แผนเลม่ 1 หน้า 73)
3. พโิ รธวาทัง คือ บทโกรธของตวั ละคร ตัวอยา่ งเช่น อแี สนถ่อยจัญไรใจทมิฬ ดงั เพชรนลิ เกิดขึน้ ในอาจม รูปงามนามเพราะน้อยไปหรือ ใจไมซ่ อ่ื สมศักด์ิเทา่ เสน้ ผม แตใ่ จสตั ว์มันยงั มที ่นี ยิ ม สมาคมกแ็ ต่ถงึ ฤดมู ัน มึงน่ีถอ่ ยยง่ิ กวา่ ถ่อยอที า้ ยเมือง จะเอาเร่ืองไมไ่ ดส้ ักสงิ่ สรรพ์ ละโมบมากตัณหาตาเปน็ มนั สกั ร้อยพนั ให้มงึ ไม่ถึงใจ (ขุนชา้ งขุนแผนเล่ม 2 หน้า 233-234)
4. สลั ลาปังคพิสัย คือ บทคร่าครวญของตวั ละคร เช่น เกดิ มาไมเ่ หมอื นกับเขาอ่นื มิไดช้ ่ืนเชยชิดสนิทสนม แต่น้อยนอ้ ยลอยลว่ิ ไปตามลม ใหแ้ ตเ่ ฝา้ ทุกขถ์ ึงคะนงึ หา ตอ้ งตรอมตรมพรากแม่แตเ่ จด็ ปี เจา้ ก็ไมส่ ญู หายวายชวี ี นึกว่าแมจ่ ะไมไ่ ดเ้ ห็นผี กลบั มาไดเ้ ผาผีของมารดา (ขนุ ช้างขนุ แผนเลม่ 2 หน้า 236 - 237)
สานวนที่ปรากฏในขนุ ช้างขนุ แผน - จงึ ตรสั วา่ ฮา่ เฮ้ยอ้ายขุนไกร เป็นไรไมต่ อ้ นให้เข้าคา่ ย มงึ ไวใ้ จแต่ไพรใ่ หไ้ ลค่ วาย มงึ ลอยชายอยเู่ ปลา่ ไมเ่ ขา้ ยา กระดูกจะแขวนคออยเู่ หมอื นตัวขา้ - เน้ือมิได้กินมง่ั หนังมไิ ด้ปู มายน่ื แมวยน่ื หมใู ห้รู้ที - ถา้ จริงจังดงั นนั้ เจา้ เณรแก้ว ลูกไม้ถา้ จกั สกุ ไปก่อนห่าม - อดเปรยี้ วกนิ หวานตระการใจ กเ็ ขา้ ใจอยวู่ า่ เกลือกบั พิมเสน - เป็นทาสฤๅจะอาจเทา่ เทยี มไท แตอ่ อ่ นออ่ นอ้มุ เล้ยี งมาจนสาว - ชัว่ ดีพก่ี อ็ าบนา้ ร้อนกอ่ น ถ้าจะฉาวก็มใิ ช่อีสายทอง อยา่ พักเร้นคงจะเห็นกันสักคราว
คุณค่าดา้ นสงั คม แนวคิดเกยี่ วกับสังคม 1. ฐานะและบทบาทของสตรีในสังคม นางวันทองเป็นตัวอยา่ งของสตรีไทยสมัยโบราณโดยแท้ คือเกิดมาเพ่ือรับบท ของบุตรี ภรรยาและมารดา ตามท่ีธรรมชาติและสังคมเป็นผู้กาหนด และเม่ือต้องรับ บทพลเมืองก็เปน็ พลเมืองตามที่ผปู้ กครองพงึ ปรารถนาให้เปน็ 2. บทบาทของกษัตริย์ตอ่ ประชาชนในสงั คมไทย สมเด็จพระพันวษานั้น แม้จะทรงเป็นเจ้าชีวิต มีพระราชอานาจอันล้น พ้น แต่ก็มิได้ทรงใช้อานาจอย่างปราศจากเหตุผลหรือด้วยพระอารมณ์ หากได้ทรง ปฏบิ ัติอยา่ งเหมาะสม และทรงมพี ฤตกิ รรมไปในทางที่สมเหตุสมผลทส่ี ุด
3. ค่านยิ มและความเชอ่ื เกีย่ วกับสตรี สังคมไทยไม่นิยมสตรีเย่ียงนางวันทอง คือมีสามีสองคนในเวลาเดียวกัน แม้โดย แท้จริงแล้วการที่มีสามีสองคนน้ันมิใช่เกิดจากความปรารถนาของนางเอง แต่จุดน้ี สงั คมกลบั มองข้าม ในทางตรงกันข้าม ค่านิยมเกี่ยวกับการมีภรรยาหลายคนในเวลาเดียวกัน กลับ ปรากฏในหมู่คนช้ันสูง แต่สังคมไม่รังเกียจ กลับนิยมยกยอ่ ง เพราะค่านิยมกาหนดว่า ลักษณะเชน่ นเ้ี ปน็ เครือ่ งเสรมิ บารมี
สรปุ
จบการนาเสนอ ขอบคณุ ค่ะ
Search
Read the Text Version
- 1 - 43
Pages: