Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

Published by soontornwongchalard, 2020-09-08 22:51:20

Description: กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

Search

Read the Text Version

กิจกรรมทางเศรษฐกจิ ของไทย  ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสภาพแวดล้อมทางกายภาพกบั การประกอบอาชีพ ของประเทศไทย มีดังต่อไปนี้ การเพาะปลูก การเล้ียงสตั ว์ การทาปา่ ไม้ การประมง อตุ สาหกรรม และการค้า

กิจกรรมทางเศรษฐกจิ ของไทย การเพาะปลูก การเล้ียงสตั ว์ การทาปา่ ไม้ การประมง อุตสาหกรรม การค้า

การเพาะปลูก  การเพาะปลกู พืชของประเทศไทยมีความหลากหลายและแตกต่างกันใน แตล่ ะภูมภิ าค ทาใหเ้ รามพี ืชเศรษฐกจิ ทีส่ าคญั ในระดับโลกหลายชนิด เช่น ขา้ ว มนั สาปะหลงั ออ้ ย สับปะรด ยางพารา ทุเรียน และกล้วยไม้ เป็นต้น

การเพาะปลกู การเพาะปลูก พชื อาหาร พชื อ่นื ๆ พืชน้ามนั พชื เส้นใย

พืชอาหาร  พชื อาหาร ไดแ้ ก่  1. ข้าว จัดเป็นพชื เศรษฐกิจอนั ดับหน่งึ ของประเทศ เปน็ พืชทเี่ หมาะสมที่ จะปลูกในประเทศไทยเพราะเปน็ พืชเมืองรอ้ นตอ้ งการอุณหภมู ิเฉล่ียไม่ตา่ กว่า 25 องศาเซลเซยี ส ต้องการความชน้ื สงู มฝี นตกเฉล่ยี ปีละเกิน 1,50 มลิ ลเิ มตร แหล่งปลูกขา้ วของประเทศไทยปรากฏทุกภาค ดังนี้

การเพาะปลูกข้าวในภาคตา่ งๆ  ภาคกลาง เปน็ แหล่งปลูกข้าวที่สาคญั ทสี่ ดุ ของประเทศ ผลผลติ แต่ละปีได้ มากกว่าทุกๆ ภาค เพราะเป็นท่รี าบดินตะกอนลมุ่ แม่นา้ ทกี่ ว้างขวาง มี ปรมิ าณฝนเพียงพอ และมีระบบชลประทานทวั่ ถงึ  ภาคเหนือ ใหผ้ ลผลิตเฉลยี่ ตอ่ ไร่สงู สุด แหล่งปลูกขา้ วจะอยู่บริเวณที่ราบ ลุ่มแม่น้าระหว่างภูเขา ซึ่งเป็นเขตทรี่ าบทมี่ ดี ินและน้าอดุ มสมบรู ณ์  ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ มพี น้ื ที่นามากท่สี ดุ แตด่ นิ ขาดความอุดม สมบูรณ์ มีปรมิ าณฝนไม่สมา่ เสมอ ระบบการชลประทานไมท่ ั่วถึง จึงเปน็ ภาคที่มผี ลผลติ เฉลี่ยต่อเน้ือท่ีต่า

การเพาะปลกู ขา้ วในภาคตา่ งๆ  ภาคใต้ มปี รมิ าณฝนสมา่ เสมอและเพยี งพอ แต่มีพนื้ ทที่ านาเป็นบริเวณ แคบๆ โดยเฉพาะทรี่ าบชายฝง่ั ตะวันออก  ภาคตะวันออก พ้นื ทที่ านาในภาคนม้ี ีอยู่น้อย ทงั้ ๆ ทีเ่ ปน็ ภาคที่มปี ริมาณ ฝนสงู มีการทาสวนผลไม้และปลกู พชื อืน่ ๆ เป็นสว่ นใหญ่  ภาคตะวันตก ลักษณะภูมปิ ระเทศและภมู ิอากาศเหมาะสมสาหรับการปลูก พืชไร่ พน้ื ทใี่ นการปลกู ขา้ วจงึ จากดั เฉพาะบรเิ วณทีม่ ีระบบการชลประทานดี

พืชอาหาร  2. ข้าวโพด เปน็ พชื พนื้ เมืองด้งั เดมิ ของทวปี อเมริกา ต้องการปริมาณฝน 600 - 1,200มลิ ลิเมตร ดนิ อุดมสมบรู ณ์และนา้ ไม่แช่ขัง ตอ้ งการแสงแดด จดั ในขณะที่เมลด็ กาลังแก่ ในระยะไมก่ ี่ปีมานขี้ า้ วโพดกลายเป็นพืช เศรษฐกจิ ทสี่ าคญั อย่างหน่งึ ของประเทศไทย มกั ปลูกบรเิ วณทีเ่ ป็นเนนิ เขา หรอื ทรี่ าบท่ไี ม่มีน้าแช่ขัง

พชื อาหาร  3. ถว่ั เขียว เปน็ พืชทช่ี อบขนึ้ บริเวณที่มีอากาศรอ้ นและมคี วามชื้นไมม่ าก นกั แหลง่ ทปี่ ลกู มาก ได้แก่ ทางตอนเหนือของทีร่ าบภาคกลาง

พชื อาหาร  4. มันสาปะหลงั เจริญงอกงามได้ในพื้นดนิ ท่วั ไป โดยเฉพาะดินปนทราย ทนต่อความแหง้ แลง้ ได้ดี แหลง่ เดิมของมนั สาปะหลังในประเทศไทยคือภาค ตะวันออก เนอื่ งจากใกล้ตลาดศูนย์กลางของประเทศ แต่ในระยะหลังได้ย้าย ไปสู่ภาคตะวนั นออกเฉยี งเหนอื จนมปี ริมาณการผลิตมากกวา่ ทุกภาค

พชื อาหาร  5. อ้อย เป็นพืชท่ีเจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนและกึ่งร้อนท่ีมีแสงแดดและ ความชื้นเพียงพอ คือมีปริมาณฝนไม่ต่ากว่า 1,150 มิลลิเมตรต่อปี และมี อุณหภูมิสูงประมาณ 15 องศาเซลเซียส อ้อยท่ีใช้ทาน้าตาลเรียกว่าอ้อย โรงงาน เดิมปลูกมากท่ีภาคตะวันออก แต่ต่อมามีการปลูกมากในภาค ตะวันตก ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง การปลูกอ้อย ในปัจจุบันข้ึนอยู่กับองค์ประกอบท่ีสาคัญ คือ เส้นทางคมนาคมขนส่งสะดวก และใกล้โรงงาน



การพืชอาหาร  6. ข้าวฟ่าง เป็นพืชท่ีปลูกง่ายเพราะสามารถทนความแห้งแล้งได้ดี ใช้เป็น อาหารคนและสัตว์ สาหรับในประเทศไทยมีการปลูกข้าวฟ่างมานานแล้ว แต่ ก็มไี ม่มาก แหลง่ ปลกู ขา้ วฟ่างมกั ปรากฏในเขตอากาศแห้งแล้งทางตอนกลาง ของประเทศ

พืชน้ามนั  พชื น้ามนั ได้แก่  1. มะพร้าว เปน็ พืชทชี่ อบขึน้ ในที่ดนิ ปนทรายแถบริมฝงั่ ทะเลที่มฝี นตกชกุ บริเวณท่มี คี วามเหมาะสมและปลกู กนั มากจงึ อย่ทู างภาคใตข้ องประเทศ และจงั หวดั ท่ีอยู่รมิ ฝั่งทะเลแถบกน้ อา่ วไทย

พืชน้ามัน  2. ถัว่ เหลือง นอกจากบรโิ ภคแลว้ ยังใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม เช่น ทาสบู่ ทาเครอื่ งสาอาง ทาหมกึ พมิ พ์ สว่ นกากใช้ผสมอาหารสัตว์ ถว่ั เหลอื ง ข้นึ ได้ในดินแทบทุกชนิด ประเทศไทยนิยมปลกู ถั่วเหลืองในนาข้าวในชว่ ง ฤดูแล้ง หลังจากการเก็บเกี่ยวแลว้ โดยเฉพาะประมาณเดอื นเมษายน

พืชนา้ มัน  3. ปาลม์ น้ามัน เริม่ เขา้ มาปลูกในประเทศไทยทจี่ ังหวดั กระบแ่ี ละสตูล ซงึ่ เป็น พนั ธุท์ ช่ี อบอากาศร้อนและฝนชกุ น้ามันปาลม์ ท่ผี ลิตไดท้ งั้ หมดในปจั จบุ นั กว่า ร้อยละ 90 อยใู่ น 5 จงั หวดั ภาคใต้ ได้แก่ กระบ่ี สตลู สุราษฎรธ์ านี ตรัง และชุมพร

พชื เสน้ ใย  พชื เส้นใย ได้แก่  1. ฝา้ ย เป็นพืชท่เี จรญิ เตบิ โตได้ดใี นดนิ เหนยี ว และดินเหนยี วปนทรายทีม่ ีความ อดุ สมบูรณป์ านกลาง มอี ากาศรอ้ นและตอ้ งการความแห้งแลง้ ในฤดเู กบ็ เกยี่ ว แหลง่ ผลิตทสี่ าคัญอยทู่ ่ภี าคกลางตอนบน และภาคเหนือตอนล่าง ปัจจบุ ัน ประเทศไทยผลติ ฝา้ ยได้ไมเ่ พยี งพอท่จี ะใชภ้ ายในประเทศ จงึ ต้องสง่ั ฝา้ ยเขา้ ปลี ะ จานวนมาก

พชื เสน้ ใย  2. ปอ ทนี่ ิยมปลูกมี 2 ชนดิ คอื ปอแกว้ พนั ธแ์ุ อฟรกิ า ปลกู ได้ง่ายและทนความ แห้งแลง้ ได้ดี แหล่งเพาะปลกู ที่สาคัญอย่ใู นภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ สว่ นปอ กระเจาตอ้ งการดินทม่ี คี วามอดุ มสมบรู ณ และตอ้ งการน้ามากกวา่ ปอแกว้ แหล่ง ปลูกทีเ่ หมาะสมจึงอยู่ในภาคกลาง

พชื เสน้ ใย  3. นุน่ เปน็ พืชทีเ่ หมาะสมกบั สภาพภูมอิ ากาศและดนิ ในทุกภาคของประเทศไทย จึงปลกู กันโดยท่ัวไป แตผ่ ลิตได้มากในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื

พืชชนิดอืน่ ๆ  พชื อ่นื ๆ ได้แก่  1. พชื ผลไม้ มีความแตกต่างกนั ตามภูมิภาคตา่ งๆ พืชยืนต้นทเ่ี ป็นพชื สวนจาพวกเงาะ ทเุ รยี น มังคุด ลางสาด เป็นพืชทช่ี อบอากาศร้อนช้ืน แหล่งปลกู สาคญั อยทู่ างภาค ตะวันออกและภาคใต้ ซึง่ มลี กั ษณะอากาศเหมาะสม ได้แก่ ระยอง จนั ทบุรี ตราด ชุมพร สรุ าษฎรธ์ านี และนราธวิ าส มะมว่ งและสม้ ต่างๆ ปลกู มากแถบภาคกลางตอนลา่ ง สว่ นภาคเหนือสามารถปลกู พชื ผลเมอื งหนาวได้ดี

พชื ชนิดอ่นื ๆ  2. ยางพารา เป็นพชื เขตรอ้ นชืน้ มคี วามต้องการอณุ หภมู ิสูงตลอดปี เฉลี่ยประมาณ 27 องศาเซลเซียส และปริมาณฝนสงู ประมาณ 3,500 มิลลเิ มตร และตกสมา่ เสมอตลอดปี ชอบขน้ึ ในภูมิประเทศท่มี ีการระบายน้าได้ดี ภาคใตแ้ ละภาคตะวนั ออกจึงมลี ักษณะภมู ิ ประเทศและภมู ิอากาศเหมาะสม ซ่งึ ภาคใต้สามารถผลติ ไดถ้ งึ รอ้ ยละ 90

พชื ชนดิ อนื่ ๆ  4. ยาสบู ที่นิยมปลูกในประเทศไทยเป็นพนั ธุพ์ น้ื เมอื งและพนั ธเุ์ วอรจ์ เิ นีย เป็นพชื ที่ชอบอากาศแหง้ และเยน็ ต้องการฝนเฉพาะในระยะแรกปลกู แหล่งทม่ี ีการปลกู ยาสบู มากไดแ้ กภ่ าคเหนือของประเทศ

การเลยี้ งสตั ว์ (Domestication) การเลีย้ งสตั ว์ การเลี้ยงสัตวป์ ีก การเลี้ยงกระบอื การเลีย้ งสกุ ร การเลี้ยงโค

การเล้ียงสตั ว์  1. การเล้ยี งกระบอื กระบือเป็นสัตวช์ อบน้า นยิ มเลย้ี งไว้เพือ่ ใช้งาน ปจั จุบนั จานวน กระบือลดลงเป็นจานวนมาก แหล่งท่ีมีการเลี้ยงกระบือมาก ได้แก่ ภาค ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ทเี่ ล้ยี งกนั น้อยคอื ภาคกลางตอนล่างและภาคใตข้ องประเทศ

การเลย้ี งสัตว์  2. การเลี้ยงโค การเลี้ยงโคแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ การเลี้ยงโคเน้ือ และการ เลยี้ งโคนม ท้ังสองประเภทจะเลี้ยงเพ่ือการบริโภคในลักษณะของการผลิตทางการ อตุ สาหกรรม

การเลย้ี งสัตว์  3. การเล้ยี งสกุ ร ประชากรไทยได้อาหารประเภทโปรตนี จากเนื้อสุกรมากเปน็ ท่สี อง รองจากปลา การเลย้ี งสุกรมมี ากในทุกภาค แตภ่ าคกลางมจี านวนมากที่สุด

การเลย้ี งสัตว์  4. การเล้ียงสัตว์ปีก สัตว์ปีกท่ีเล้ียงกันท่ัวไป ไดแ้ ก่ เป็ด ไก่ และห่าน ผลผลิตจาก สัตว์ปีกภายในประเทศเพียงพอแก่ความต้องการบริโภคของประชากร และยังส่ง เป็นสนิ คา้ ออกทารายได้เข้าประเทศปลี ะจานวนมาก

การทาป่าไม้  ปา่ ไมข้ องประเทศไทยอยูใ่ นสภาพท่ีนา่ เป็นหว่ ง เพราะตามความเปน็ จรงิ พบวา่  1. ปริมาณเนื้อที่ป่าลดลงเป็นจานวนมาก เกินกว่าป่าไม้จะเกิดทดแทนตาม ธรรมชาติได้  2. เนอ้ื ทีป่ ่าถกู บุกเบิกเพือ่ ทาการเกษตรอยู่ตลอดเวลาโดยชาวบา้ นและนายทุน  3. การลกั ลอบตดั ไมน้ อกเหนือจากการไดร้ บั สมั ปทานจากทางราชการก็มีอย่มู าก  4. การได้รบั สมั ปทานปา่ ไม้ ไม่ได้มกี ารควบคมุ การปลกู ป่าทดแทนอยา่ งจรงิ จงั  ในปัจจุบัน ป่าไม้ในประเทศไทยเหลือเพียงร้อยละ 31.57 ของพ้ืนที่ทั้งหมดใน ประเทศ (2556)

การประมง การประมง การประมงนา้ กรอ่ ย การประมงนา้ จืด การประมงทะเล

การประมงนา้ จดื  การประมงนา้ จดื ไดม้ าจากแหล่งน้าจดื ในท้องถน่ิ แตป่ ัจจุบนั ประสบปญั หาเรอื่ ง สภาพแวดล้อมถกู ทาลายซ่ึงก็กระทบตอ่ แหลง่ ประมงนา้ จืดตามธรรมชาตดิ ้วย ดังนั้นปลานา้ จืดท่ีใช้บรโิ ภคกนั ทกุ วนั นี้จงึ เป็นผลผลติ ท่ไี ด้มาจากการเพาะเลย้ี ง แทบท้ังส้ิน โดยมีแหล่งเพาะเลย้ี ง ดังนี้

การประมงน้าจดื  ภาคกลาง และภาคตะวนั ตก แหล่งผลติ ที่สาคญั คอื แมน่ ้าลาคลอง หนอง บงึ  ภาคเหนือ แหลง่ ผลิตคือบงึ หรือกว๊านขนาดใหญ่  ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ แหลง่ ผลติ คือ ลาน้าและห้วยทม่ี ีนา้ ขงั ตลอดปี  ภาคใต้ และภาคตะวันออก มกี ารประมงน้าจืดไมม่ ากเพราะส่วนใหญ่เปน็ การ ประมงน้าเคม็

การประมงทะเล  การประมงทะเล มี 2 บรเิ วณ ได้แก่  1. บรเิ วณอ่าวไทย  บริเวณอ่าวชน้ั ใน ไดแ้ กบ่ รเิ วณพืน้ ทน่ี า่ นน้า 6 จงั หวัด คอื เพชรบุรี สมทุ รสงคราม สมทุ รสาคร สมุทรปราการ ฉะเชงิ เทรา และชลบรุ ี เป็นเขตที่ จับปลาได้มากเพราะเป็นเขตน้าตน้ื  บริเวณอา่ วชั้นนอก แบ่งออกเป็น 2 เขต คือแถบชายฝ่งั ตะวนั ออกของ อ่าวไทย ในเขตจังหวัดระยอง จนั ทบรุ แี ละตราด เปน็ บรเิ วณพนื้ ท่แี คบจงึ จบั สัตวน์ ้าได้ปรมิ าณไมม่ าก สว่ นแถบชายฝั่งตะวนั ตกของอ่าวไทย ต้งั แต่ จังหวดั ประจวบครี ีขนั ธ์ ลงไปจนสุดเขตประเทศไทยทจี่ งั หวดั นราธิวาสนนั้ จบั สัตวน์ า้ ได้มากรองจากอา่ วชั้นใน

การประมงทะเล  2. บรเิ วณชายฝงั่ ทะเลอันดามัน : อยทู่ างด้านมหาสมทุ รอนิ เดีย ประกอบด้วย เขตจงั หวดั ระนอง พังงา ภเู กต็ กระบี่ ตรงั และ สตูล จบั ปลาได้น้อยกว่าทง้ั สอง เขตทีก่ ล่าวมาแล้ว เน่อื งจากไหล่ทวปี แคบหา่ งจากฝ่งั ประมาณ 100 กิโลเมตร



ทะเล  ทะเลไทยมอี าณาเขตตดิ ตอ่ ทะเลถึง 2 ดา้ น คอื  1. ทะเลจีนใต้ คือทะเลบรเิ วณอา่ วไทย ซ่ึงเปน็ ส่วนหนง่ึ ของมหาสมทุ ร แปซฟิ กิ ทะเล ด้านน้ีเปน็ เขตน้าตื้นจัดเปน็ เขตไหล่ทวีป ใช้เดินเรือขุดก๊าซ ธรรมชาติ น้ามนั ปโิ ตรเลยี ม ประมง และการทอ่ งเท่ียว  2. ทะเลอันดามัน เปน็ ทะเลด้านตะวนั ตกของภาคใต้ ซึง่ เป็นสว่ นหนึ่งของ มหาสมุทรอินเดยี เปน็ เขตน้าลกึ นอกจากใช้เดินเรอื แล้วยังใช้ในการ ประมง ขุดแร่ และทอ่ งเที่ยว

ทะเล  ตามกฎหมายทางทะเลระหวา่ งประเทศ น่านน้าในทะเลมี 4 สว่ น ดงั นี้  1. น่านน้าอาณาเขต คอื ทอ้ งทะเลที่ห่างจากฝง่ั ไม่เกนิ 12 ไมลท์ ะเล เป็น อาณาเขตของประเทศ  2. เขตเศรษฐกิจจาเพาะ คือ ทอ้ งทะเลท่อี ยู่ถดั ออกไปจากนา่ นนา้ เป็น ทอ้ งทะเลทปี่ ระเทศบนฝัง่ ประกาศสงวนใช้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ มกั จะ ประกาศกัน 200 ไมล์ทะเล  3. เขตไหล่ทวปี เปน็ เขตน้าตนื้ ซงึ่ ประเทศที่อยบู่ นฝ่ังจะประกาศสงวนไว้ ซึง่ ทรพั ยากร  4. นา่ นน้าทะเล เปน็ น่านนา้ ลึกที่อยู่ไกลจากฝ่ัง ไมม่ ีประเทศใดเป็น เจา้ ของ

อุตสาหกรรม (Industry)  อุตสาหกรรม คอื กระบวนการแปรรปู หรือ การผลิตส่ิงของจากวตั ถดุ บิ ให้ เปน็ วัสดใุ หม่ เพื่อใหใ้ ชป้ ระโยชนไ์ ดต้ ามวัตถปุ ระสงค์ โดยการใชเ้ ครือ่ งจกั ร หรือแรงคน เพื่อใหผ้ ลติ ได้คร้ังละมาก ๆ จนสามารถนาไปขายเป็นสนิ คา้ ได้  อุตสาหกรรมท่สี าคญั ของประเทศไทย มดี ังน้ี

1. อตุ สาหกรรมสิง่ ทอ  อตุ สาหกรรมสง่ิ ทอ หมายถงึ อุตสาหกรรมปน่ั ด้ายการถกั และการทอผา้ ฝา้ ยการถักและ การทอจากใยสงั เคราะหก์ ารพิมพ์ผ้า การฟอกและการยอ้ มสผี ลติ ภัณฑ์เครื่องนุ่งห่ม สาเร็จรูป ปจั จุบนั ประเทศไทยสามารถผลติ สิง่ ทอได้เหลอื ใช้ภายในประเทศ และสง่ เป็น สินค้าออกมีมูลค่าสงู ขน้ึ ทุกปี โรงงานทอผ้ามักจะปรากฏอยู่แถบชานเมอื งหลวงและ จงั หวดั ใกลเ้ คียง เชน่ ปทมุ ธานี สมทุ รสาคร สมุทรสงคราม

2. อุตสาหกรรมน้าตาล  อตุ สาหกรรมน้าตาล ปจั จบุ ันโรงงานผลติ นา้ ตาลของประเทศไทยเปน็ โรงงานขนาดใหญ่ และจะตง้ั อยูใ่ นเขตไร่อ้อย ซึ่งเป็นวตั ถุดิบของการผลติ นา้ ตาลและมกี ระจายอยทู่ กุ ภาค (ยกเวน้ ภาคใต้)

3. อุตสาหกรรมซีเมนต์  อตุ สาหกรรมซเี มนต์ เปน็ อตุ สาหกรรมขนาดใหญ่ใช้ทุนดาเนนิ การสงู และกรรมวิธกี าร ผลิตคอ่ นขา้ งซบั ซอ้ น ซีเมนต์เปน็ ปัจจัยสาคัญอยา่ งย่ิงในการพัฒนาประเทศในปัจจบุ นั โรงงานอตุ สาหกรรมซเี มนตส์ ว่ นใหญ่จะตั้งอยใู่ กลก้ ับแหลง่ วตั ถุดิบ เช่น หินปนู ดิน เหนยี ว และยิปซั่ม ซงึ่ เปน็ วัตถทุ ีม่ นี ้าหนักมากไมส่ ะดวกในการขนส่ง จังหวัดท่มี ีโรงงาน อตุ สาหกรรมปูนซเี มนต์ ไดแ้ ก่ สระบุรี เพชรบุรี นครสวรรค์ และนครศรธี รรมราช

4. อุตสาหกรรมกระดาษ  อุตสาหกรรมกระดาษ โรงงานอุตสาหกรรมกระดาษขนาดใหญ่และมีการลงทนุ สูงใน ประเทศไทยยังมอี ยูน่ ้อย วัสดทุ ี่ใช้ทากระดาษได้แก่ ฟางขา้ ว ไม้ไผ่ และไมเ้ นื้ออ่อนบาง ชนิด ซง่ึ บางคร้ังก็ตอ้ งส่ังซอ้ื มาจากต่างประเทศ โรงงานผลิตกระดาษในประเทศไทยใน ปัจจบุ นั มที ั้งของรัฐและของเอกชน

5. อุตสาหกรรมผลิตและแปรรปู เหลก็  อุตสาหกรรมผลติ และแปรรปู เหล็ก ได้แกก่ ารผลติ ลวด เหลก็ เส้น ท่อ แผน่ เหลก็ เหล็ก แท่ง ถอื เปน็ รากฐานของอุตสาหกรรมอน่ื ๆ ทใี่ ช้เหลก็ เป็นวตั ถุดบิ ประเทศไทยตอ้ งสงั่ ซ้อื เหลก็ จากตา่ งประเทศปีละจานวนมากเน่อื งจาก การผลิตเหลก็ ภายในประเทศไมเ่ พียงพอ

6. อตุ สาหกรรมนา้ มนั  อตุ สาหกรรมน้ามัน ปจั จุบนั ประเทศไทยมีโรงกลนั่ น้ามนั อยเู่ พยี ง 4 แหง่ คอื ทีอ่ าเภอฝาง จังหวดั เชียงใหม่ นับวา่ เปน็ แหลง่ ทีเ่ กา่ แก่ท่สี ดุ โรงกล่นั นา้ มันที่บางจาก กรงุ เทพมหานคร และโรงงานกลนั่ นา้ มนั ทอ่ี าเภอศรีราชาจังหวดั ชลบุรีจานวน 2 โรง แตป่ ระเทศไทยยงั คง ตอ้ งสงั่ ซื้อน้ามนั ดบิ จากตา่ งประเทศ เน่ืองจากการผลติ ไม่เพียงพอ

7. อุตสาหกรรมประกอบรถยนต์  อุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ อุตสาหกรรมประกอบรถยนตท์ ง้ั หมดตง้ั อยูใ่ นเขตเมอื ง หลวง และปริมณฑล อตุ สาหกรรมประเภทนีม้ ีแนวโน้มที่จะขยายตวั ไปสู่เขตนิคม อตุ สาหกรรมทางชายฝัง่ ทะเลภาคตะวันออกด้วย

8. อุตสาหกรรมท่องเท่ียว  อตุ สาหกรรมทอ่ งเท่ยี ว เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจทเี่ พ่ิงจะพัฒนาข้ึนในระยะหลงั สงครามโลกครัง้ ท่ี 2 การท่องเท่ียวในประเทศไทยไดเ้ จริญเติบโตขึ้นในระยะไมก่ ป่ี มี านี้เอง และปจั จบุ ันได้กลายเปน็ ศูนย์กลางการท่องเทย่ี วแห่งหนง่ึ ของทวีปเอเชยี

การคา้  1. สินค้าออก สนิ คา้ ออกที่สาคัญของประเทศไทยมี 4 หมวด ได้แก่  1. หมวดสนิ คา้ อตุ สาหกรรม ท่สี าคญั ได้แก่ ผลติ ภณั ฑ์ส่งิ ทอ คอมพวิ เตอร์ และช้นิ ส่วน ผลิตภณั ฑ์พลาสตกิ แผงวงจรไฟฟา้ และช้ินสว่ น รองเท้า อญั มณี และเครือ่ งเพชรพลอย  2. หมวดสนิ ค้าเกษตรกรรม ที่สาคัญได้แก่ ยางพารา ข้าว ผลติ ภัณฑม์ นั สาปะหลงั เป็ดและไก่แชแ่ ข็ง  3. หมวดสินค้าประมง ทสี่ าคญั ได้แก่ กงุ้ สดแชเ่ ยน็ ปลาสด  4. หมวดสนิ ค้าอืน่ ๆ

การค้า  2. สินค้าเข้า สินค้าเขา้ ท่ีสาคญั ของประเทศไทย ไดแ้ ก่  น้ามัน ประเทศไทยสั่งซอ้ื น้ามันจากต่างประเทศปลี ะจานวนมาก และมอี ตั รา การสง่ั เพ่มิ ข้นึ ทกุ ปี แหล่งนาเขา้ นา้ มนั ดบิ ได้แก่ สหรฐั อาหรบั เอมเิ รตส์ ซาอุดิอาระเบีย คูเวต บรไู น และมาเลเซยี

การคา้  สนิ คา้ อุปโภค บรโิ ภค มีมลู ค่าการสั่งเขา้ เพมิ่ ข้ึนร้อยละ 26 ไดแ้ ก่ เคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ สินค้า ในครัวเรอื น เภสัชภณั ฑ์ ผลไม้ แป้งสาลี และรถจกั รยานยนต์  วตั ถุดิบและก่งึ วัตถุดบิ มลู ค่าเพ่ิมขึน้ รอ้ ยละ 31 สว่ นหนึง่ เพ่ือทดแทนการขาดแคลน ภายในประเทศและอกี ส่วนหนึง่ เป็นการขยายตัวของภาวะการผลิตภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ กระดาษและกระดาษแข็ง เยอ่ื กระดาษและไมเ้ คมีภัณฑ์ และโลหะต่างๆ  สินค้าทนุ มีมูลคา่ เพิม่ สูงขึ้นถงึ รอ้ ยละ 29 ตามภาวะการลงทุนภายในประเทศทย่ี ัง ขยายตัวในเกณฑ์ดี สนิ คา้ ทนุ ได้แก่ เคร่ืองจกั รกลทใ่ี ชใ้ นอุตสาหกรรมโลหะ อาหาร เครอ่ื งดื่ม และเยือ่ กระดาษ  สินค้าหมวดอืน่ ๆ ขยายตวั ในอตั ราสงู เช่นเดียวกนั เช่น ตัวถงั รถยนต์ สนิ ค้าเขา้ ดังกลา่ ว นาเข้ามาจากประเทศญ่ปี ุน่ ร้อยละ 30.6 กลุม่ นาฟตารอ้ ยละ 13 สหภาพยุโรป รอ้ ยละ 14.5 กลุม่ ประเทศอาเซยี นร้อยละ 12.7 กลมุ่ อนิ โดจนี รอ้ ยละ 0.7 กลุม่ ตะวนั ออกกลางรอ้ ยละ 3.9 ยโุ รปตะวนั ออกร้อยละ 0.4

เอกสารอา้ งอิง  สกลวรรษ สุธามณี.(ม.ป.ป).เอกสารสรุปเนอ้ื หาสาระในกลุม่ สาระการเรียนรู้สงั คม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเพือ่ เตรียมความพร้อมในการสอบเขา้ มหาวทิ ยาลัย เลม่ 2. 462 หน้า.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook