Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Healthy and Safety Thailand

Healthy and Safety Thailand

Published by Nulek Labour, 2019-03-24 07:34:17

Description: Healthy and Safety Thailand

Search

Read the Text Version

1 โครงการ “สนับสนุนการขบั เคล่ือนยุทธศาสตรก์ ารเสรมิ สร้างสุขภาวะและความปลอดภยั ในการทางาน เพ่อื คุณภาพชวี ิตคนทางานในพน้ื ท่ภี าคตะวันออกแบบมีส่วนรว่ ม” (Healthy and Safety Thailand) --------------------------------------------------------------------- 1. หลักการและเหตผุ ล 1.1 สถานการณด์ า้ นคุณภาพชวี ิตและและความปลอดภยั ในการทางานของแรงงานไทย สถานการณด์ ้านคุณภาพชวี ติ ศนู ย์สารวจความคดิ เห็น “นดิ ้าโพล” เปิดเผยผลสารวจความคิดเหน็ ของผู้ใช้แรงงานเร่ือง “คุณภาพชวี ิตแรงงาน ไทย” ซ่ึงทาการสารวจระหว่างวันที่ 25 – 27 เมษายน 2560 เน่ืองในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติ จากประชาชนท่ีเป็นผู้ใช้ แรงงาน ที่มีอายุ 18 ปี ข้ึนไป กระจายทุกภูมิภาคและระดับการศึกษาทั่วประเทศ รวมท้ังส้ิน จานวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความพึงพอใจในคุณภาพชีวิตของการทางานในด้านต่าง ๆ และส่ิงที่ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือเก่ียวกับคุณภาพ ชีวิตแรงงานไทย พบว่า ผู้ใช้แรงงานมีค่าเฉล่ียความพึงพอใจในคุณภาพชีวิตการทางานเท่ากับ 7.41 (พอใจค่อนข้างมาก) เมื่อพิจารณาในแต่ละด้านโดยเรียงลาดับจากค่าเฉลี่ยความพึงพอใจจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านท่ีมีค่าเฉลี่ยความพึง พอใจมากท่ีสุด คือ ด้านเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนร่วมอาชีพ มีค่าเฉล่ียความพึงพอใจเท่ากับ 7.88 (พอใจค่อนข้า งมาก) รองลงมา คือ ดา้ นลักษณะงานทที่ าตรงกับความตอ้ งการ มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจเทา่ กับ 7.73 (พอใจค่อนข้างมาก) ดา้ น สภาพแวดล้อมท่ีดีต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ (สถานที่ วัสดุอุปกรณ์ เคร่ืองมือ) มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจเท่ากับ 7.53 (พอใจค่อนข้างมาก) ด้านผู้บังคับบัญชาหัวหน้างาน (หรือผู้มารับบริการ กรณีทาอาชีพอิสระรับจ้าง) มีค่าเฉลี่ยความพึง พอใจเท่ากับ 7.40 (พอใจค่อนข้างมาก) ด้านความสมดุลระหว่างการทางาน การพักผ่อน และชีวิตส่วนตัว มคี ่าเฉลี่ยความ พึงพอใจเท่ากับ 7.38 (พอใจค่อนข้างมาก) ด้านค่าตอบแทนและสวัสดิการ (เงินเดือน โบนัส ค่าล่วงเวลา สิทธิประโยชน์ ต่าง ๆ ฯลฯ) มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจเท่ากับ 7.06 (พอใจค่อนข้างมาก) และด้านความมั่นคงโอกาส และความก้าวหน้า ในอาชีพ มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจเท่ากับ 6.89 (พอใจค่อนข้างมาก) ท้ังนี้ เม่ือเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้ใช้แรงงาน เก่ียวกับคุณภาพชีวิตในภาพรวมของการทางานของปีน้ีและปีท่ีแล้ว พบว่า ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 34.08 ระบุว่าดีขึ้นรอ้ ย ละ 42.24 ระบวุ า่ เหมือนเดมิ /ไมเ่ ปล่ยี นแปลง และรอ้ ยละ 23.68 ระบุว่าแย่ลง สาหรับสิ่งที่ต้องการใหภ้ าครัฐชว่ ยเหลือเก่ียวกับคุณภาพชีวติ แรงงานไทย พบวา่ ผ้ใู ช้แรงงานส่วนใหญ่ ร้อยละ 50.00 ระบุวา่ ควรพิจารณาปรับค่าแรงขั้นต่าให้เหมาะสมกับค่าครองชีพ รองลงมา ร้อยละ 42.08 ระบุว่า ควรหมน่ั ตรวจ สอบ ควบคุม ดูแลบริษัท ผู้ประกอบการ นายจ้าง ไม่ให้เอารัดเอาเปรียบผู้ใช้แรงงาน หรือเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยทั้งร่าง กายและจิตใจ ร้อยละ 39.52 ระบุว่าควรปรับปรุงหรือแก้ไขข้อกฎหมายคุ้มครองแรงงาน สิทธิ สวัสดิการต่าง ๆ ที่เป็น ธรรมและเปน็ ประโยชน์กบั ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 34.24 ระบวุ ่าควรส่งเสริมพัฒนาทักษะด้านความรู้ ฝีมือ ให้กับแรงงาน ไทย ร้อยละ 32.64 ระบุว่าควรเร่งแก้ไขปญั หาการว่างงาน ส่งเสริมการมีงานทา การจัดหางาน การออกบูธ ประชาสัมพันธ์ รับสมัครงาน รอ้ ยละ 26.24 ระบุวา่ ควรเร่งแกไ้ ขปัญหาแรงงานต่างด้าว ร้อยละ 1.20 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ควรเรง่ แกไ้ ขปัญหา เศรษฐกิจของประเทศ ลดค่าครองชีพ, เร่งจัดหาแหล่งที่ดินทากินให้กับผู้ท่ีไม่มีอาชีพ ควรมีการช่วย เหลือจากภาครัฐ ใหก้ ับผู้ที่ปลดเกษียณหรอื มีรายได้น้อย, และควรกระจายแรงงานไปยังภูมิภาคต่าง ๆ และร้อยละ 3.52 ไม่มี/ไมร่ ะบุ/ไม่ แน่ใจ (http://nidapoll.nida.ac.th/index.php?op=polls-detail&id=531) จากข้อมลู สถานการณ์ของคุณภาพชีวิตแรงงานไทยข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า แรงงานไทยประมาณ 1 ใน 3 เท่านั้น ที่เห็นว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมาคุณภาพชีวติ การทางานของแรงงานไทยดีขึ้น ท่ีเหลือประมาณ 2 ใน 3 เห็นว่าเหมือนเดิม

2 และแย่ลง นอกจากน้ีแล้ว แม้ว่าความพึงพอใจในคุณภาพชีวิตของการทางานในด้านตา่ ง ๆ ของแรงงานในภาพรวมจะ พอใจค่อนข้างมาก แต่ก็ยังมีสิ่งท่ีแรงงานต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือในหลายประเด็น ซึ่งล้วนเก่ียวข้องกับความม่ันคง และหลักประกนั ในการทางานและคณุ ภาพชีวติ แรงงานไทยท้งั สนิ้ สถานการณด์ ้านความปลอดภัยในการทางาน แรงงานตอ้ งประสบกบั อันตรายต่าง ๆ อนั เน่ืองมาจากการทางาน อนั มีสาเหตปุ ระการสาคัญมาจากการละเลย ในเรอ่ื งความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทางานท่ีไม่เหมาะสม ดงั ขอ้ มูลต่อไปนี้ ตารางท่ี 1 สถิติการประสบอนั ตรายเน่ืองจากการทางาน ปี พ.ศ. 2545-2556 จาแนกตามความรนุ แรงและการจา่ ย เงินทดแทน จานวนทีว่ ินจิ ฉยั อัตราการประสบ อันตรายต่อ ปี จานวน ตาย ทุพ สูญ หยุด หยดุ งาน รวมทุก ไม่รวม ลูกจา้ ง 1,000 เงนิ ลูกจา้ ง (1) พล เสีย งานเกนิ ไมเ่ กนิ กรณี หยุดงาน ราย ทดแทน 2545* (คน) (1-5) ไม่เกิน (ลา้ น 2546* ภาพ อวยั ว 3 วนั 3 วัน 3 วัน รวม ไม่รวม บาท) 2547* (2) ะ (4) (5) 190,979 (1-4) ทกุ หยุด 2548* 210,673 กรณี งานไม่ 1,220.14 2549* (3) 215,534 53,100 (1-5) เกิน 1,480.36 2550* 214,235 56,989 1,490.19 2551* 6,541,105 650 14 3,424 49,012 137,879 204,257 57,552 3 วัน 1,638.37 2552* 7,033,907 787 17 3,821 52,364 153,684 198,652 58,529 (1-4) 1,684.23 2553* 7,386,825 861 23 3,775 52,893 157,982 176,502 56,143 1,734.90 2554* 7,720,747 1,444 19 3,425 53,641 155,706 149,436 54,541 29.20 8.12 1,688.35 2555** 7,992,025 808 21 3,413 51,901 148,114 146,511 49,443 1,569.19 2556*** 8,178,180 741 16 3,259 50,525 144,111 129,632 42,838 29.95 8.10 1,592.63 2557**** 8,135,606 613 15 3,096 45,719 127,059 131,826 42,698 1,616.52 2558***** 7,939,923 597 8 2,383 39,850 106,598 111,894 37,933 29.18 7.79 8,177,618 619 11 2,149 39,919 103,813 100,234 38,720 - 8,222,960 590 4 1,630 35,709 91,699 95,674 35,118 27.75 7.58 - 8,575,398 717 19 1,818 36,166 93,106 31,331 - 8,901,624 635 28 3,036 31,419 76,776 29,750 25.56 7.02 - 9,132,756 603 11 1,463 29,254 68,903 9,336,317 575 6 1,324 27,845 65,924 24.29 6.67 21.70 6.08 18.82 5.39 17.92 5.22 15.76 4.61 15.37 4.52 12.57 3.95 10.98 3.43 10.25 3.19 ท่มี า : * สานกั ความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดกิ ารและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน, 2555 : 3. ** สานกั งานกองทุนเงินทดแทน สานักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน, 2556 : 81. *** สานักงานกองทุนเงนิ ทดแทน สานักงานประกนั สังคม กระทรวงแรงงาน, 2557 : 69. **** สานักงานกองทนุ เงนิ ทดแทน สานกั งานประกนั สังคม กระทรวงแรงงาน, 2558 : 16-17. ***** สานักงานกองทุนเงินทดแทน สานักงานประกันสงั คม กระทรวงแรงงาน, 2559 : 17-18.

3 จากตารางแสดงภาพรวมของการประสบอันตรายจากการทางานจาแนกตามความรุนแรงและจานวนเงินทดแทนที่ สูญเสยี ไป พบว่า ระหวา่ งปี พ.ศ. 2545 – 2550 จานวนลกู จา้ งท่ีประสบอันตรายจากการทางานและจานวนเงินทดแทน ที่สูญเสียไปเพิ่มข้ึนอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มมีจานวนลดลงระหว่าง ปี พ.ศ. 2550-2558 อย่างไรก็ตาม จานวนลูกจ้างท่ีเสีย ชีวิตและอัตราการประสบอันตรายจากการทางานต่อลูกจ้าง 1,000 ราย ทั้งรวมทุกกรณีและกรณีรุนแรง (ไม่รวมกรณี หยุดงานไม่เกิน 3 วัน) ลดลง ตารางที่ 2 สถติ กิ ารประสบอันตรายหรอื เจ็บป่วยเน่อื งจากการทางาน (รวมทกุ กรณ)ี ระหวา่ ง พ.ศ. 2546 – 2556 จาแนกตามอายลุ กู จา้ งทีป่ ระสบอนั ตรายจากการทางาน กล่มุ อายุ 2546* 2547* 2548* 2549* 2550* ปี พ.ศ. 2553* 2554* 2555** 2556*** 2557**** 25558***** 11,472 15,827 10,318 12,654 11,648 2551* 2552* 8,111 6,960 5,895 4,696 3,863 3,445 15-19 ปี 39,926 52,287 36,204 42,790 37,946 10,342 7,738 23,116 20,023 19,944 17,798 16,269 15,826 20-24 ปี 38,895 52,862 39,910 50,473 47,015 31,617 23,799 36,652 24,971 23,861 19,477 17,154 16,424 25-29 ปี 26,242 36,465 27,388 36,898 37,233 40,520 32,728 22,254 24,831 24,976 20,484 17,495 16,053 30-34 ปี 17,167 25,511 18,593 25,935 26,871 33,180 28,907 21,556 19,253 20,523 17,349 15,688 14,975 35-39 ปี 10,082 15,879 11,528 16,930 17,772 24,625 21,741 15,440 14,665 15,434 13,147 11,825 11,446 40-44 ปี 5,761 9,347 6,823 10,161 10,883 16,677 15,611 10,192 9,750 10,602 9,462 8,763 8,399 45-49 ปี 2,765 4,756 3,267 5,346 5,956 10,451 9,944 5,789 5,730 6,550 5,777 5,667 5,613 50-54 ปี 992 1,892 1,254 2,301 2,521 5,852 5,765 2,580 2,591 2,996 2,726 2,609 2,578 55-59 ปี 382 708 421 769 807 2,488 2,409 819 858 1,045 978 901 914 60 ปี ขึ้นไป 750 794 ท่มี า : * สานักความปลอดภยั แรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน, 2555 : 9. ** สานักงานกองทนุ เงินทดแทน สานักงานประกันสงั คม กระทรวงแรงงาน, 2556 : 91. *** สานกั งานกองทนุ เงินทดแทน สานักงานประกนั สงั คม กระทรวงแรงงาน, 2557 : 79. **** สานักงานกองทุนเงินทดแทน สานักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน, 2558 : 71. ***** สานักงานกองทุนเงินทดแทน สานักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน, 2559 : 108. ตารางที่ 2 พบวา่ กลุม่ อายุของลูกจา้ งท่ีประสบอนั ตรายมากทีส่ ดุ คืออายุระหวา่ ง 20-44 ปี ขณะท่ีอายุ 15-19 ปี และ อายุ 60 ปขี ้ึนไป มีสถิตขิ องลูกจา้ งท่ปี ระสบอันตรายน้อยกวา่ กลมุ่ อืน่ จากสภาพข้อเท็จจริงข้างต้นจะเห็นได้ว่าการเสริมสร้างความปลอดภัยในการทางานให้กับแรงงานมีสาคัญและ จาเป็นอย่างยิ่ง เพราะแรงงานเป็นกลุ่มผู้เล้ียงดูประชากรของประเทศ อีกท้ังสถานการณ์การเป็นสังคมผู้สูงอายุของ ประเทศไทย ยงิ่ ตอ้ งให้ความสาคัญกับกลุม่ แรงงานมากย่งิ ขึน้ 1.2 เง่ือนไขและสภาพแวดล้อมท่สี ่งผลต่อสุขภาวะและความปลอดภัยในการทางานของแรงงานไทย 1) กระแสท่สี ง่ ผลต่อการเปล่ียนแปลงในวิถีชีวติ ของผู้คน ประกอบด้วย 5 กระแสทส่ี าคัญ ได้แก่ (กองบรหิ ารงาน วิจัยและประกนั คุณภาพการศึกษา, หนา้ 4-5, สบื คน้ ใน http://www.libarts.up.ac.th/v2/img/ Thailand-4.0.pdf เมื่อวันท่ี 15 พฤษภาคม 2560) • Globalization ทเี่ ปน็ แรงขับเคลือ่ นให้เกิดการเคลื่อนไหลของทุน สินคา้ และบริการ ผู้คนอย่างเสรีจ จนกลายเป็นโลกท่ีเช่ือมต่อกันอย่างสนิท (Connected World) เกิดการขยับ ปรับเปล่ียนจาก One Country, One Destiny เปน็ One World, One Destiny • Digitization การติดต่อส่ือสารมกี ารเปล่ียนรปู แบบจากการสอื่ สารกบั Someone, Somewhere

4 และ Sometime เปน็ Anyone, Anywhere และ Anytime เรากาลังดารงชวี ิตอยใู่ น 2 อารยธรรมไปพร้อม ๆ กนั คือ อารยธรรมในโลกจริง และอารยธรรมในโลกเสมือน ในโลกของดิจิตอล ก่อให้เกิด Network Externalities ดังนั้น รูปแบบ การเตบิ โตจะไม่เป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์เดมิ ว่าด้วย Diminishing Return to Scale อีกตอ่ ไป แต่รูปแบบการเติบโต จะเปล่ยี นไปเป็นแบบ Exponential Return to Scale มากขึ้น • Urbanization สดั สว่ นของผ้คู นในเมืองจะมีมากขน้ึ โดยในปี 1995 โลกมีคนในเมืองเพยี ง รอ้ ยละ 30 และเพิ่มข้ึนเป็นร้อยละ 54 ในปี 2014 และคาดว่าจะเพิ่มข้ึนเป็นร้อยละ 66 ใน ปี 2050 ดังนั้น วิถีชีวิต พฤติกรรม และ ปฏิสัมพันธ์ของผู้คนจะเปลี่ยนแปลงไปจากสังคม ชนบทเป็นสังคมเมือง จะเกิดประเด็นท้าทายชุดใหม่ครอบคลุมท้ังในมิติ พลังงาน การ คมนาคม การศึกษา สาธารณสุข ส่ิงแวดล้อม ความปลอดภัย อาชญากรรม ยาเสพติด ฯลฯ ซึ่งหากเตรยี ม การไวไ้ ด้ไม่ดีพอ เมืองเหล่านจ้ี ะกลายเปน็ Mega-Slums แตห่ ากเตรียมการได้ ดีพอ เมืองเหล่านี้จะถกู ปรับเปลย่ี นไปเป็น Smart Cities • Individualization ผูค้ นในศตวรรษที่ 21 จะมีความเปน็ ปจั เจกมากข้ึน มคี วามคิดความอ่านเปน็ ของ ตัวเองมากขึ้น ต้องการแสดงออกมากขึ้น ความเป็นปัจเจกจะเกิดข้ึนได้ 2 รูปแบบ คือ Collective Individuals และ Contra-Individuals รปู แบบแรกเป็นรูปแบบที่สร้างสรรค์ ที่ผคู้ นอยากอยู่ร่วมกันเพื่อสร้างสรรค์สังคม เกดิ เป็นสังคมท่ี เขม้ แข็ง แต่ในรูปแบบทีส่ อง เป็นรูปแบบท่ีผู้คนตา่ งคนต่างอยู่ มองแตป่ ระโยชน์ส่วนตน เกิดสังคมที่เปราะบาง โอกาสท่ี จะเกดิ ความขดั แยง้ จะมอี ยูส่ งู • Commonization ในโลกทีย่ ิ่งเชือ่ มต่อกันมากขน้ึ เทา่ ไหร่ ผคู้ นก็ยง่ิ ต้องพึง่ พงิ อิงอาศัยกันมากยง่ิ ขน้ึ เทา่ น้นั ความเส่ียงและภยั คุกคามมไิ ด้ส่งผลกระทบต่อประเทศใดประเทศหน่ึงเปน็ การเฉพาะ หากแตส่ ่งผลกระทบต่อโลก โดยรวม เป็นปญั หาท่ีทุกประเทศตอ้ งเผชิญทีเ่ รียกกันว่า “Global Commons” อาทวิ ิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ โรคระบาด การก่อการร้ายภาวะโลกรอ้ น เป็นตน้ น่ันหมายความวา่ จากน้ีไปเวลาสุขประชาคมโลกจะสุขด้วยกนั และเวลาทุกข์ประชา คมโลกก็จะทกุ ขด์ ้วยกันด้วย 2) ประเทศไทยมีความเสี่ยงจากการเปล่ียนแปลงโครงสร้างประชากรท่ีจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ศักยภาพทาง เศรษฐกิจ และสภาพทางสังคมในด้านต่างๆ โครงสร้างประชากรไทยได้เปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมสูงวัยมากข้ึนตามลาดับ และจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์เม่ือส้ินสุดแผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 12 โดยท่ีสัดส่วนผู้สูงอายุจะเพ่ิมขึ้นเป็นร้อยละ 19.8 ของจานวนประชากรทั้งหมด ในขณะที่จานวนประชากรวัยแรงงานได้เริม่ ลดลงมาต้งั แต่ปี 2558 เปน็ ต้นมา สง่ ผลใหเ้ กิด การขาดแคลนแรงงานในภาวะที่ผลิตภาพแรงงานไทยยังต่า เน่ืองจากปัญหาคุณภาพแรงงาน ความล่าช้าในการพัฒนา เทคโนโลยี และปัญหาการบริหารจัดการจงึ เป็นขอ้ จากัดในการเพ่ิมขีดความสามารถในการแข่งขันและศกั ยภาพการเจริญ เติบโตทางเศรษฐกจิ ของประเทศ รวมทัง้ การสร้างรายได้และการยกระดับคณุ ภาพชีวิตของประชาชนด้วย และเม่ือประกอบ กับคุณภาพคนท่ียงั ต่าในทุกช่วงวัยท่ีจะส่งผลกระทบต่อเนื่องกันก็จะย่ิงเป็นอุปสรรคสาหรับการพัฒนาประเทศ ตั้งแต่พัฒนา การไม่สมวัยในเด็กปฐมวัย ผลลัพธ์ทางการศึกษาของเด็กวัยเรียนค่อนข้างต่า การพัฒนาความรู้และทักษะของแรงงาน ไม่ตรงกับตลาดงาน ขณะที่ผู้สูงอายุมีปัญหาสขุ ภาพและมีแนวโน้มอยู่คนเดียวสูงข้ึน รวมท้ังการเลื่อนไหลของวฒั นธรรม ต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยผ่านสังคมยุคดิจิทัล โดยที่คนไทยจานวนไม่น้อยยังไม่สามารถคัดกรองและเลือกรับ วฒั นธรรมไดอ้ ย่างเหมาะสม สง่ ผลต่อวิกฤตคา่ นยิ ม ทัศนคติ และพฤติกรรมในการดาเนนิ ชีวิต 3) ประเทศไทยยังประสบปัญหาคุณภาพในเกือบทุกด้าน อาทิ คุณภาพคนต่าท้ังในด้านความรู้ ทักษะ และ ทัศนคติ มีปัญหาด้านคุณธรรม จริยธรรม ประชากรจานวนไม่น้อยไม่เคารพสิทธิผู้อื่น และไม่ยึดผลประโยชน์ส่วนรวม เป็นสาคัญ จงึ ซ้าเติมปัญหาการขาดแคลนปริมาณกาลังแรงงานในภาวะท่โี ครงสร้างประชากรเปล่ียนแปลงเข้าสู่สงั คมสูง วัยอย่างรวดเรว็

5 4) การบริหารจัดการภาครฐั ท่ีประสิทธิภาพต่า ขาดความโปรง่ ใส และขาดความรับผดิ ชอบ และการดาเนนิ งาน เพอื่ การพัฒนาท่ีขาดความตอ่ เน่ือง ในขณะที่การบังคบั ใช้กฎหมายยังขาดประสทิ ธิผล และกฎระเบียบต่าง ๆ ล้าสมยั ไม่ทัน กับการเปลี่ยนแปลง ธรรมาภิบาล และการบริหารจัดการประเทศยังไม่บรรลุเป้าหมาย แม้วา่ บริการสาธารณะท่ีจัดให้กับ ประชาชนและภาคเอกชนจะพัฒนาได้เร็วข้ึน แต่เมื่อเทียบกับต่างประเทศ ประเทศไทยยังมีความล่าช้าและไม่ได้มาตรฐาน สากล ประกอบกบั ภาครัฐมโี ครงสร้างท่ีใหญ่และซบั ซ้อนขน้ึ มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรสงู ขน้ึ อย่างต่อเนือ่ ง กระบวนการจัด สรรงบประมาณใช้เวลาค่อนข้างนาน ซ่ึงไม่ทันกับสภาพปัญหาและความต้องการของประชาชน นอกจากนั้น การใช้จ่าย งบประมาณยังไม่เกิดประสิทธภิ าพและประสิทธิผลเทา่ ทีค่ วร ขาดความโปร่งใสและธรรมาภิบาล ในขณะที่คณุ ภาพของ บคุ ลากรภาครัฐลดลงเนื่องจากการเข้าทางานใน ภาครัฐไมใ่ ช่ทางเลือกแรกของคนที่มคี วาม สามารถหรือการศึกษาท่อี ยู่ ในเกณฑ์ดีเหมือนในอดีต ในขณะที่บุคลากรท่ีมีความสามารถลาออกจานวนมากเพราะมีทางเลือกอื่น ๆ ที่ดีกว่า สาเหตุ สาคัญคือ ภาครัฐขาดการพัฒนาเส้นทางอาชีพที่ชัดเจนและขาดการพัฒนาระบบการฝึกอบรมบุคลากรท่ีสอดคล้องกับ บริบทของการ เปล่ยี นแปลงท้งั ภายในและภายนอก รวมทง้ั ปัญหาคอร์รปั ชนั ได้ขยายวงกว้างทงั้ ในภาครัฐและเอกชน 1.3 ประเดน็ ท้าทายตอ่ การเสรมิ สร้างสุขภาวะและและความปลอดภัยในการทางานของแรงงานไทย 1) ศักยภาพและระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยหลายด้านยังต่ากว่าเป้าหมายและไม่สอดคล้องกับทิศทางการ พฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมบนฐานความรู้ ปญั หาสาคัญ เช่น การศึกษาและการเรียนรขู้ องคนไทยยงั มีปัญหาเชงิ คุณภาพ เด็กปฐมวัยยังมีพัฒนาการท่ีล่าช้ากว่าวัยเพราะครอบครัวไม่มี ความรู้และขาดเวลาในการเล้ียงดูอย่างเหมาะสม และเด็ก วัยเรียนยังมีปัญหาด้านสติปัญญาเพราะคุณภาพ การศึกษาไทยอยู่ในระดับต่า ประกอบกับการขาดการฝึกทักษะท่ีแปลง ความรู้สู่ทักษะท่ีเพียงพอ จึงส่งผลให้วัยแรงงานมีผลิตภาพการผลิตต่า อีกปัญหาหนึ่งท่ีสาคัญและเป็นข้อจากัดต่อการ พัฒนาทุนมนุษย์ของไทย คือการท่ีคนไทยส่วนใหญ่ยังมีพฤติกรรมและปัจจัยแวดล้อมท่ีเสี่ยงต่อการทาลายสุขภาพ จนทา ให้ประชากรที่เจ็บป่วยด้วยโรคไม่ตดิ ต่อเรื้อรังเพม่ิ มากขึน้ และเสียชวี ิตก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ตดิ ต่อเนื่องจากมีพฤติกรรม การบริโภคท่ีไม่เหมาะสมและขาดการออกกาลังกายอย่างต่อเนื่อง รวมท้ังปัจจัยแวดล้อมอ่ืน ๆ ได้แก่ การมีการศึกษา และรายได้น้อยทาให้ขาดความรู้ความเข้าใจและทางเลือกในการดาเนินชีวิต อาทิ ความเส่ียงในการบริโภคอาหารไม่ ปลอดภยั การผจญกับปัญหามลพิษในอากาศ และการเสยี ชีวิตจากอุบัตเิ หตุทางถนน เปน็ ต้น 2) ประเทศไทยยงั มีปัญหาด้านความเหลือ่ มล้าในหลายมิติ ในด้านรายได้ภาพรวม ความเหลื่อมล้าในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนจากค่าสัมประสิทธ์ิความไม่เสมอภาคด้านรายได้ (Gini Coefficient) มีแนวโน้มลดลง จาก 0.514 ในปี 2549 เหลือ 0.445 ในปี 2558 แต่ยังคงเป็นปัญหาเมื่อพิจารณาการกระจายรายได้ระหว่างกลุ่มประชากร โดยกลุ่มท่ีรวยสุด ร้อยละ 10 มีสัดส่วนรายได้ร้อยละ 35.0 ของรายได้รวมปี 2558 ขณะที่กลุ่มประชากรรอ้ ยละ 40 ท่ีมีรายได้ต่าสดุ มีสัด ส่วนรายได้เพียงร้อยละ 14.3 ของรายได้รวมเท่าน้ัน และยิ่งแตกต่างมากเม่ือเทียบกับสัดส่วนรายได้ร้อยละ 1.58 ของ ประชากรร้อยละ 10 ท่ีจนสุด นอกจากนี้ ยังมีความเหล่ือมล้าทางด้านสินทรัพยแ์ ละการถือครองท่ีดิน โดยกลุ่มผู้ถือครอง ท่ีดินร้อยละ10 ท่ีถือครองที่ดินมากที่สุด มีส่วนแบ่งการถือครองที่ดินมากกวา่ ร้อยละ 60 ของพื้นทที่ ั้งหมด ส่วนผูถ้ ือครอง ทด่ี ินร้อยละ 40 ทถี่ ือครองทดี่ ินน้อยท่ีสุด มีส่วนแบ่งการถอื ครองที่ดินเพียงรอ้ ยละ 1.2 ของที่ดินท้ังหมดเท่าน้ัน ในส่วน ของบริการภาครฐั แม้จะมกี ารขยายการให้บริการอยา่ งทั่วถึงแล้ว แต่ยังมีปัญหาความเหล่ือมล้าในการจัดบรกิ ารภาครัฐที่มี คณุ ภาพ โดยในดา้ นการศึกษา จากการประเมินสถานศึกษาขัน้ พ้ืนฐานท้ังส้ิน 12,230 แห่งทั่วประเทศ มีโรงเรียนที่ผ่านเกณฑ์ ประเมินเพียงร้อยละ 69.9 เท่านนั้ และยังมีความแตกต่างของเกณฑ์การประเมินระหว่างโรงเรยี นที่อยู่ในเมือง-นอกเมือง โรงเรยี นท่ีอยูต่ า่ งภมู ิภาค โรงเรียนท่ีอยูต่ ่างสงั กัด และโรงเรยี นขนาดใหญ่-ขนาดเลก็ ในดา้ นสาธารณสุข ยงั มีการกระจุก ตวั ของบุคลากรทางการแพทย์และ ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยมีสัดส่วนแพทย์ต่อประชากรอยู่ ที่ 1 ตอ่ 722 คน ขณะทสี่ ัดส่วนโดยเฉลี่ยของประเทศอยู่ที่ 1 ต่อ 2,131 คน

6 2. ความสอดคลอ้ งของโครงการฯ กับนโยบาย แผนงานในระดับโลกและระดบั ประเทศ 2.1 วาระงานท่ีมคี ณุ ค่า ท่ีประชุมใหญ่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมยั ที่ 87 ค.ศ. 1997 มีมติรบั รองวาระงานท่ีมีคุณค่า (Decent Work Agenda) และให้สานักงานแรงงานระหว่างประเทศดาเนินการส่งเสริม ตลอดจนให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่ รฐั บาล องค์กรนายจ้าง และองค์กรลูกจ้าง ในการสรา้ งเสริมงานท่ีมีคุณค่า เพ่ือให้สามารถลดลักษณะบกพร่องในงานที่มี คณุ ค่า (Decent Work Deficits) ในแตล่ ะประเทศ “ลักษณะบกพร่องในงานท่ีมีคุณค่า” เป็นมาตรการที่ใช้วัดช่องว่างท่ีมีอยู่ในโลกของการทางานและความคาดหวัง ของผู้ทางานท่ีจะมีชีวิตท่ีดีข้ึน ซึ่งช่องว่างดังกล่าวมผี ลให้คนทางานไม่สามารถจะหลดุ พ้นจากความยากจนได้ การทางาน น้นั เป็นเพียงเพ่ือยังชพี ไปวนั ๆ และงานนนั้ อาจจะมผี ลให้คุณภาพชีวิตของผู้ทางานด้อยลงไปเร่ือย ๆ จากการศึกษาของ สานักงานแรงงานระหว่างประเทศ พบว่าช่องว่างสาคัญที่มีอยู่ท่ัวโลก ได้แก่ การขาดสิทธิข้ันพ้ืนฐานในการทางาน การ ขาดงานที่เอื้อให้พ้นจากความยากจน การคุ้มครองทางสังคมที่ไม่ครอบคลุมในทุกภาคส่วนของการจ้างงาน และการขาด องค์กรผู้แทนของคนทางานทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวทีการหารือด้านนโยบายท้ังในระดับสถานประกอบการ ระดับ จงั หวัด ระดบั ประเทศ และระดบั โลก ด้วยตระหนักถงึ ความจาเป็นที่จะต้องลดลักษณะบกพร่องในงานท่ีมีคุณค่าและความสาคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ และสงั คมท่ีย่งั ยืน องคก์ ารแรงงานระหว่างประเทศกาหนดให้ “งานที่มีคณุ คา่ ” (Decent Work) เป็นแนวคิดทมี่ ุ่งส่งเสริม การพัฒนาที่เอ้ืออาทรต่อคนจนและเหมาะสมกบั สถานการณ์ในประเทศ โดยมีเป้าหมายให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของ ประเทศต้ังอยู่บนปัจจัยพ้ืนฐานที่ม่ันคง งานท่ีมีคุณภาพเพิ่มจานวนขึ้น ระบบการจ้างงานและการบริหารแรงงานของ ประเทศสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสมในกระแสการแข่งขันในระบบโลกาภิวัตน์ และทุกภาคส่วนในโลก แหง่ การทางานสามารถมสี ว่ นรว่ มในการดาเนนิ การด้านนโยบายและมาตรการต่าง ๆ อย่างทัดเทียมและมปี ระสิทธิผล งานท่ีมีคุณค่า ต้ังอยู่บนแนวคิดสากลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน การรักษาสิ่งแวดล้อม และหลักการและสิทธิข้ัน พื้นฐานในการทางาน องค์การแรงงานระหว่างประเทศได้เห็นชอบให้ทุกประเทศสมาชิกดาเนินการอย่างเร่งด่วน เพ่ือ ประกันหลักการและสิทธิขั้นพ้ืนฐานในการทางานให้แก่ผู้ทางานทุกคน ซ่ึงมีขอบเขตดังนี้ (สานักงานแรงงานระหว่าง ประเทศ และสานกั งานประกนั สงั คม, 2546 : 3) (1) สิทธิในการรวมตัวเพ่ือจัดตั้งองค์กรและร่วมเจรจาต่อรอง ตามหลักการที่ปรากฏอยู่ในอนุสัญญาองค์การ แรงงานระหวา่ งประเทศ ฉบับท่ี 87 ว่าดว้ ยเสรีภาพในการสมาคม และฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธใิ นการร่วมเจรจาต่อรอง (2) สิทธิที่จะไม่ถูกบังคับให้ทางานและการขจัดการบังคับแรงงาน ตามหลักการและมาตรการในอนุสัญญา องค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับท่ี 29 ว่าดว้ ย แรงงานบังคบั และฉบับที่ 105 ว่าดว้ ยการขจดั การบงั คบั แรงงาน (3) สิทธิท่ีจะได้รับการปฏิบัติต่ออย่างเท่าเทียมในการทางาน ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมไปถึงความเสมอภาคของ บุคคลท่ีจะได้รับบริการต่าง ๆ อันเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าทางาน ในการจ้างงานและหลังการจ้างงาน และ สง่ เสริมให้มีการดาเนินการเพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบ ดังปรากฏในสาระของอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่าง ประเทศ ฉบับท่ี 100 ว่าด้วย ค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกันในงานที่เท่าเทียม และฉบับที่ 111 ว่าด้วยการขจัดการเลือก ปฏิบตั ิในอาชีพและการมีงานทา (4) สิทธิของเด็กอายุต่ากว่า 18 ปี ที่จะได้รับการศึกษาและการพัฒนาศักยภาพด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ซึ่ง อนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับท่ี 138 ว่าด้วย อายุขั้นต่าในการทางาน และฉบับที่ 182 ว่าด้วยรูปแบบ การใช้แรงงานเด็กท่ีเลวร้าย ได้กาหนดหลักการสากลเกี่ยวกับการป้องกันและการขจัดการใช้แรงงานเด็กที่ไม่เหมาะสม อนั จะมผี ลตอ่ พัฒนาการของเดก็ ครอบครวั และสงั คมโดยรวม

7 ท่ีประชุมองค์การแรงงานระหว่างประเทศใน ปี ค.ศ. 1999 มีมตใิ ห้สานักงานแรงงานระหว่างประเทศดาเนินการ สง่ เสรมิ ประเทศสมาชิกในการปรบั ปรงุ แก้ไขกฎหมายภายในประเทศ เพื่อสร้างหลักประกันเกี่ยวกับสิทธิข้ันพ้ืนฐานให้กับ ผู้ทางานทุกคน และดาเนินการเพื่อให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาองค์การระหว่างประเทศทั้ง 8 ฉบับท่ีกล่าวถึงในเบ้ืองต้นนี้ ซึ่งเป็นสิทธขิ ้ันพ้ืนฐานท่ีจะก่อให้เกิดการทางานท่ีมีคุณคา่ และสิทธิอ่ืน ๆ ในการทางาน ประเทศสมาชิกที่ยังไม่ได้ให้สัตยาบัน ต่อ “อนุสัญญาหลัก” ฉบับหน่ึงฉบับใด จะต้องจัดทารายงานประจาปีเพ่ือรายงานผลการดาเนินการสู่การให้สัตยาบัน อนุสัญญาเหล่านี้ อนึ่ง เม่ือให้สัตยาบันแล้ว รัฐบาลของประเทศนั้น ๆ จะต้องจัดทารายงานเพื่อผลการปฏิบัติตามอนุสัญญา ตามเง่ือนไขการรายงานผลท่ีกาหนดไว้ในอนุสัญญาน้ัน และต้องส่งรายงานดังกล่าวให้องค์การแรงงานระหว่างประเทศ พร้อมสาเนาให้องค์กรนายจ้างและองค์กรลูกจ้างในประเทศ ทั้งนี้ องค์กรนายจ้างและองค์กรแรงงานสามารถจัดทารายงาน ความเห็นตอ่ รายงานการปฏิบัติตามอนสุ ัญญาและสง่ ให้องค์การแรงงานระหวา่ งประเทศได้ การดาเนินการตามแนวทางเก่ียวกับงานท่ีมีคุณค่าที่มีประสิทธภิ าพและก่อให้เกิดผลในการพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมของประเทศ จะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐบาล องค์กรนายจ้าง และองค์กรแรงงานภายหลังจากการประชุม องค์การแรงงานระหว่างประเทศ ในปี ค.ศ. 1999 ท่ีประชุมองค์การแรงงานระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค สมัยท่ี 13 ค.ศ. 2000 ซ่ึงจดั ขึ้น ณ กรุงเทพฯ ได้มีมติให้ประเทศสมาชิกองค์การแรงงานระหว่างประเทศในภูมิภาคนี้ จัดทา “แผนปฏิบัติการเพื่องานที่มีคุณค่าของประเทศ” (National Plan of Action for Decent Work—NPADW) โดยใช้กลไก การหารือและการมีสว่ นร่วมของไตรภาคี ได้แก่ รัฐบาล องค์กรนายจ้าง และองคก์ รแรงงาน เพ่ือส่งเสริมการพฒั นาสมรรถนะ ขององค์กรแรงงาน การเรียนรู้และแลกเปล่ียนประสบการณ์ร่วมกันภายในประเทศและระหว่างประเทศ และเพ่ือติดตาม และประเมินผลสถานการณ์การจ้างงานของประเทศและประสิทธิ ภาพของความร่วมมือทางวิชาการ และบริการของ สานักงานแรงงานระหว่างประเทศภายในภูมิภาค (สานักงานแรงงานระหว่างประเทศ และสานักงานประกัน สังคม, 2546 : 4) จากวาระงานท่ีมีคุณค่าข้างต้นจะเห็นได้วา่ เป็นแนวคิดท่ีมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับแรงงาน โดยวางอยู่บนหลัก การพื้นฐานในเร่ืองสิทธิมนุษยชน ตลอดจนสิทธิขั้นพื้นฐานในการทางาน อันประกอบด้วยสิทธิในการรวมตัวเพ่ือจัดตั้ง องคก์ รและรว่ มเจรจาต่อรอง สิทธิท่ีจะไม่ถูกบงั คับให้ทางานและการขจัดการบังคบั แรงงาน ตลอดจนสทิ ธิทีจ่ ะไดร้ บั การ ปฏิบัติต่ออย่างเท่าเทียมในการทางาน หากแรงงานได้รบั การปฎิบัติท่ีอยู่บนหลักการเหล่าน้ีก็ย่อมจะนามาสู่การมี “สุข ภาวะ” น่นั เอง 2.2 วาระ 2030 เพ่ือการพัฒนาท่ียัง่ ยนื (SDGs) เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals-MDGs) ส้ินสุดลง ในปี ค.ศ. 2015 องคก์ ารสหประชาชาติ (United Nations : UN) ไดร้ เิ รม่ิ กระบวนการหารือเพื่อกาหนดวาระการพฒั นาภายหลังปี ค.ศ. 2015 (post-2015 development agenda) ตามกระบวนทัศน์ “การพัฒนาท่ียั่งยืน” โดยประเด็นสาคัญของวาระ การพัฒนาภายหลังปี ค.ศ. 2015 คือการจัดทาเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals-SDGs) ประกอบด้วย 17 เป้าหมายหลักท่ีต้องการบรรลุและดาเนินการให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) ได้แก่ 1) ขจัด ความยากจน 2) ขจัดความอดอยาก 3) การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ท่ีดี 4) การศึกษาท่ีมีคุณภาพ 5) ความเท่าเทียม ทางเพศ 6) สุขาภิบาลและน้าสะอาด 7) การมีพลังงานสะอาดใช้อย่างเพียงพอ 8) งานท่ีมีคุณค่าและการเติบโตทาง เศรษฐกิจ 9) พัฒนาภาคอุตสาหกรรม นวัตกรรมและโครงสร้างพ้ืนฐานให้พร้อม 10) ลดความเหล่ือมล้า 11) สร้างให้ เกิดชุมชนเมืองท่ีย่ังยืน 12) การบริโภคและผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ 13) การดูแลเร่ืองสภาพภูมิอากาศ 14) ดูแล ทรัพยากรทางน้า 15) ชีวิตบนพ้ืนดิน 16) การสร้างความสงบ ความยุติธรรมและสถาบันที่เข้มแข็ง และ 17) ภาคี ความรว่ มมอื เพอ่ื ผลักดนั ใหถ้ ึงเป้าหมาย

8 2.3 อนุสัญญา ILO ฉบับที่ 187 ว่าด้วยกรอบเชิงส่งเสริมการดาเนินงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย พ.ศ. 2549 อนสุ ัญญาฉบบั นี้จดั เปน็ มาตรฐานแรงงานระหวา่ งประเทศฉบับพืน้ ฐานดา้ นความปลอดภยั และอาชีวอนามยั ซ่ึง ILO ได้ยกร่างข้ึนเพ่ือให้เป็นกรอบแนวทางสาหรับการบริหารจัดการและดาเนินงานความปลอดภัยฯ ระดับชาติและผลักดัน รัฐสมาชกิ พิจารณาให้สตั ยาบนั โดยมีเนื้อหาสาระของอนุสญั ญามุง่ เน้นเกี่ยวกับการจดั ให้มอี งคป์ ระกอบขน้ั พ้ืนฐาน ทจี่ ะ เป็นกลไกในการขับเคลื่อนงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของวาระงานท่ีมีคุณค่า (Decent Work) สาระสาคญั ของอนสุ ัญญาประกอบด้วย 6 ส่วน 14 มาตรา ได้แก่ ส่วนที่ 1 คาจากดั ความ (มาตรา 1) คาจากัด ความของ “นโยบายแห่งชาติ” “ระบบการดาเนินงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่งชาติหรือ ระบบแห่งชาติ” “แผนงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่งชาติหรือแผนงานแห่งชาติ” และ “วัฒนธรรมเชิงป้องกันด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามัยแห่งชาติ”) ส่วนท่ี 2 วัตถุประสงค์ (มาตรา 2) ส่วนท่ี 3 นโยบายแห่งชาติ (มาตรา 3) ส่วนท่ี 4 ระบบ แห่งชาติ (มาตรา 4) ส่วนท่ี 5 แผนงานแห่งชาติ (มาตรา 5) และส่วนท่ี 6 บทบัญญัติมาตรฐานท้ายบท (มาตรา 6-14) (http://www.oshthai.org/attachments/article/243/243-1.pdf, สืบค้นเม่ือวันท่ี 15 สิงหาคม 2560) 2.4 รา่ งกรอบยทุ ธศาสตรช์ าติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) “กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” มีวสิ ัยทัศน์ คือ“ประเทศไทยมีความม่ันคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งมีเป้าหมายของประเทศไทยในปี 2579 คือ“เศรษฐกิจและ สงั คมไทยมีการพัฒนาอย่างม่ันคงและยั่งยนื บนฐานการพัฒนาทย่ี ่ังยนื สังคมไทยเปน็ สังคมท่ีเป็นธรรมมีความเหล่อื มล้า น้อย คนไทยเป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ เป็นพลเมืองท่ีมีวินัยตื่นรู้และเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตลอดชีวิต มีความรู้ มีทักษะและ ทัศนคติที่เป็นค่านิยมท่ีดี มีสุขภาพร่างกายและจิตใจท่ีสมบูรณ์ มีความเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณ มีจิตสาธารณะและ ทาประโยชน์ต่อส่วนรวม มีความเป็นพลเมืองไทย พลเมืองอาเซียนและพลเมืองโลก ประเทศไทยมีบทบาทท่ีสาคัญในเวที นานาชาติ ระบบเศรษฐกิจต้ังอยู่บนฐานของการใช้นวัตกรรมนาดิจิทัล สามารถแข่งขันในการผลิตได้และค้าขายเป็น มี ความเป็นสงั คมประกอบการ มีฐานการผลิตและบรกิ ารท่ีมีคุณภาพและรปู แบบที่โดดเด่นเป็นท่ีต้องการในตลาดโลก เป็น ฐานการผลิตและบริการที่สาคัญ เช่น การให้บริการคุณภาพท้ังด้านการเงิน ระบบโลจิสติกส์ บริการด้านสุขภาพ และท่อง เที่ยวคุณภาพ เป็นครัวโลกของอาหารคุณภาพและปลอดภัย เป็นฐานอุตสาหกรรมและบริการอัจฉรยิ ะที่เป็นอุตสาหกรรม แห่งอนาคตท่ีใช้นวัตกรรมทุนมนุษย์ทักษะสูงและเทคโนโลยีอัจฉริยะมาต่อยอดฐานการผลิตและบริการที่มีศักยภาพใน ปัจจุบนั และพัฒนาฐานการผลิตและบรกิ ารใหม่ๆ เพื่อนาประเทศไทยไปสู่การมีระบบเศรษฐกิจ สังคม และประชาชนที่ มคี วามเป็นอัจฉรยิ ะ” ในการท่ีจะบรรลุวิสัยทัศน์และทาให้ประเทศไทยพัฒนาไปสู่อนาคตท่ีพึงประสงค์น้ัน จาเป็นจะต้องมีการวางแผน และกาหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาในระยะยาว และกาหนดแนวทางการพัฒนาของ ทุกภาคส่วนให้ขับเคลื่อนไป ทิศทางซ่ึง ยุทธศาสตร์ที่จะใช้เป็นกรอบแนวทางการพัฒนาในระยะ 20 ปี ต่อจากน้ีไป ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง 2) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3) ยุทธศาสตร์การพัฒนาและ เสริมสร้างศักยภาพคน 4) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม 5) ยุทธศาสตร์ ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 6) ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนา ระบบการบรหิ ารจัดการภาครฐั 2.5 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564)

9 แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ยึดหลักการสาคัญ 6 ประการ คือ (1) ยึด “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ต่อเน่ือง มาต้ังแต่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 เพื่อให้เกิดการบูรณาการการพัฒนาในทุกมิติอย่างสมเหตุสมผล มีความพอ ประมาณ และมีระบบคุ้มกันและการบริหารจัดการความเส่ียงท่ีดี (2) ยึด “คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” (3) ยึด “กรอบ ยทุ ธศาสตร์ชาตริ ะยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579)” ซ่ึงถอื วา่ เป็นแผนแมบ่ ทหลักของประเทศที่มีวสิ ยั ทัศน์ : ประเทศไทย มีความม่ันคง ม่ังคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้วด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (4) ยึด “เป้าหมายอนาคตของประเทศไทยปี 2579” มาเป็นกรอบในการกาหนดเป้าหมายทจ่ี ะบรรลุใน 5 ปีแรก และเป้าหมาย ระดบั ย่อยๆ ลงมา (5) ยึด “หลกั การเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดความเหล่ือมล้าและขับเคลื่อนการเจรญิ เติบโตจาก การเพิ่มผลิตภาพการผลิตบนฐานของการใช้ภูมิปัญญาและนวัตกรรม” และ (6) ยึด “หลักการนาไปสู่การปฏิบัติให้ เกิดผลสัมฤทธ์อิ ย่างจรงิ จังใน 5 ปีทต่ี ่อยอดไปสูผ่ ลสมั ฤทธทิ์ ีเ่ ปน็ เปา้ หมายระยะยาว” แผนพฒั นาฯ ฉบบั ที่ 12 ประกอบดว้ ย 10 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างและพฒั นาศักยภาพ ทุนมนุษย์ 2) ยุทธศาสตร์การสรา้ งความเป็นธรรมลดความเหลื่อมล้าในสังคม 3) ยุทธศาสตร์การสร้างความเข้มแข็งทาง เศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างย่ังยืน 4) ยุทธศาสตร์ด้านการเติบโตท่ีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพ่ือการพัฒนาอย่างย่ังยืน 5) ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความม่ันคงแห่งชาติเพ่ือการพัฒนาประเทศสู่ความม่ังค่ังและยั่งยืน 6) ยุทธศาสตร์การบรหิ าร จัดการในภาครัฐ การป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ และธรรมาภิบาลในสังคมไทย 7) ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาโครง สร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ 8) ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย และนวัตกรรม 9) ยุทธศาสตร์ การพัฒนาภาค เมอื ง และพน้ื ทเี่ ศรษฐกิจ 10) ยุทธศาสตรค์ วามร่วมมือระหวา่ งประเทศและการพฒั นา 2.6 ยุทธศาสตร์การพฒั นาระเบยี งเศรษฐกจิ พเิ ศษภาคตะวนั ออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ภาคตะวันออกต้ังอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ท่ีดีท่ีสุดของภูมิภาคอาเซียนสามารถเชื่อมโยงไปยังประเทศจีนและอินเดีย ท่ีมีประชากรจานวนมากและมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง โดยสัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) ของ ภูมิภาคเอเซียและประเทศแถบแปซิฟิค คิดเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่า GDP ของโลก นอกจากน้ี 3 จังหวัดภาคตะวันออก (จงั หวัดฉะเชิงเทรา ชลบรุ ี และระยอง) ยังเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมท่ีสาคญั ของประเทศ ได้แก่ อุตสาหกรรมปโิ ตร เคมี และอุตสาหกรรมยานยนต์และช้ินส่วน และมีความพร้อมของโครงสร้างพ้ืนฐานที่สาคัญ ประกอบด้วย ท่าเรือพาณิชย์ แหลมฉบัง ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) รถไฟทางคู่ และสนามบินอู่ตะเภา มีเมืองพัทยาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีช่ือเสียงระดับโลก รวมทั้งยังมีพ้ืนท่ีเพียงพอสาหรับรองรับการขยายตัวของภาค อุตสาหกรรม จึงสามารถพัฒนาต่อยอดสู่การเป็น “ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)” เพื่อให้เป็นพ้ืนที่เศรษฐกิจช้ันนาของเอเชีย ที่จะสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การขยายตัว ทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทงั้ การยกระดับคุณภาพชวี ติ และรายไดข้ องประชาชน คณะรัฐมนตรีเม่ือวนั ที่ 28 มิถุนายน 2559 ได้มีมตเิ ห็นชอบหลักการโครงการพฒั นาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวัน ออก และมอบหมายให้รองนายกรฐั มนตรี (นายสมคิด จาตศุ รีพทิ กั ษ์) ร่วมกบั กระทรวงคมนาคม กองทัพเรอื และหนว่ ย งานท่ีเก่ยี วข้องพิจารณาจัดทาแผนการดาเนินโครงการและงบประมาณค่าใช้จา่ ยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560-2561 ให้ แล้วเสร็จ เพื่อนาเสนอคณะรฐั มนตรีต่อไป และต่อมารองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรพี ิทกั ษ์) มีบญั ชาให้สานักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประสานและบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง เพ่ือจัดทาแผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (พ.ศ. 2560-2564) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนการ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพ่ิมการจ้างงาน ยกระดับคุณภาพ ชวี ิตและรายได้ของประชาชน สาหรับเป้าหมายการพัฒนานั้น ประกอบด้วย (สานักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ, 2559)

10 (1) พ้นื ท่ีเปา้ หมาย จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา รวมถึงพ้ืนทอี่ ืน่ ใดที่จะมีการออกพระราชกฤษฎีกาหนด เพ่ิมเตมิ (2) อุตสาหกรรมเป้าหมายซูเปอร์คลัสเตอร์ และ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย: กลไกขับเคล่ือนเศรษฐกิจเพ่ืออนาคต (New Engine of Growth) เช่น คลัสเตอร์ยานยนต์และช้ินส่วน คลสั เตอร์เคร่ืองใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ คลัสเตอร์ปิโตร เคมีและเคมีภณั ฑท์ ี่เป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อม อุตสาหกรรมท่องเทยี่ ว อตุ สาหกรรมการบินและโลจิสตกิ ส์ เปน็ ตน้ 2.7 กรอบยุทธศาสตร์การพฒั นาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ระยะ 2 ปี ในการทางานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสาคัญกับการวางรากฐานของประเทศชาติ มีการกาหนดยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี เป็นเข็มทิศในการทางาน ดังน้ัน งานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศซ่ึงเป็นภารกิจหลักของกระทรวงแรงงานจะต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ ที่เปลย่ี นแปลงไปดว้ ยเช่นกัน สถานการณ์ทีเ่ กิดข้นึ ในประเทศและในโลกดา้ นทรัพยากรมนุษย์เปน็ ความท้าทายอยา่ งมากของประเทศไทยและ กระทรวงแรงงาน ทง้ั เร่ืองการเร่ิมเขา้ สู่สังคมผูส้ งู อายุ ซ่งึ ประเทศไทยจะเปน็ สงั คมผู้สงู อายุระดับสุดยอด (Super Aged Society) ในปี 2578 การเผชญิ ปญั หาการขาดแคลนแรงงานทัง้ ในเชงิ ปรมิ าณและเชิงคุณภาพ ปญั หาผลิตภาพแรงงาน ไทยท่ียังตา่ อันเน่ืองจากปญั หาคณุ ภาพแรงงานซ่ึงเปน็ ข้อจากดั ในการเพิ่มขดี ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมทั้งความท้าทายจากภายนอกประเทศ อาทิ วาระ 2030 เพอ่ื การพัฒนาท่ียง่ั ยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ (UN) ที่ ประเทศสมาชกิ ต้องดาเนินการใหบ้ รรลุการปฏวิ ตั ิอตุ สาหกรรมคล่นื ลกู ท่ี 4 (Industry 4.0) ท่ีประเทศด้อยพฒั นาและ ประเทศกาลังพัฒนาจะต้องได้รบั ผลกระทบ รวมท้ัง Trends โลกในทศวรรษหน้า (5 Mega Trends : การเปล่ยี นแปลง โครงสร้างประชากร (Demographic Shifts) การเปลย่ี นข้วั อานาจเศรษฐกิจโลก (Shift in Global Economic Power) การเตบิ โตของสังคมเมือง (Accelerating Urbanization) การลดลงของทรัพยากรและการเปล่ียนแปลงทางสภาวะอากาศ (Resource Scarcity and Climate Change) และความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยี (Technological Brea) กระทรวงแรงงานได้ตระหนักเป็นอย่างมากถึงสถานการณ์ภายนอกและภายในประเทศ ที่เปลยี่ นแปลงไปอย่าง รวดเร็ว ประกอบกับร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) มุ่งที่จะให้ประเทศไทยในอีก 20 ปี ข้างหน้า เป็น “ประเทศมีความม่ันคง มั่งค่ัง ย่ังยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy : SEP)” และแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) เป็นแผนระยะ 5 ปี แรกของการพัฒนาประเทศ ดงั นั้น เพอื่ ใหก้ ารขบั เคลื่อนการพัฒนาทรพั ยากรมนุษย์ ของประเทศไทยสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ ท้ัง 2 ฉบับ กระทรวงแรงงานจึงได้จัดทากรอบยุทธศาสตร์การพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ของประเทศในระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) ท่ีเช่ือมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติดังกล่าว โดยกาหนดวิสัย ทศั นใ์ นอีก 20 ปีข้างหน้า คือ “ทรัพยากรมนุษย์มคี ณุ ค่าสูง สู่ความยั่งยืน” แบ่งการดาเนนิ การเพื่อบรรลุวสิ ัยทศั น์เป็น 4 ชว่ ง ๆ ละ 5 ปี ดังนี้ • ช่วงท่ี 1 Productive Manpower (พ.ศ. 2560 – 2564) เป็นยุคของรากฐานด้านแรงงานที่เป็น มาตรฐานสากล โดยการขจัดอุปสรรคด้านแรงงานในการพัฒนาประเทศ จัดระเบียบแรงงานต่างด้าว (Zoning) เร่งพัฒนา มาตรฐานการดาเนินงานด้านแรงงานให้เป็นสากล มุ่งเน้นให้แรงงานทุกคนได้รับการคุ้มครองทางสังคม และมีความ ปลอดภัย เดินหน้าขับเคล่ือนแผนการใช้ทรัพยากรมนุษย์ในการพัฒนาประเทศเพื่อเตรียมความพร้อมของทรัพยากรมนุษย์ ทัง้ ด้านปริมาณและคุณภาพ เรง่ รัดการรับมือกับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน รวมถึงส่งเสรมิ ให้แรงงานไทยเป็นหัวหน้า งาน มีทกั ษะที่หลากหลาย (multi-skill) เติมทักษะใหม่ (re-skill) และเติมทกั ษะด้าน STEM ให้แก่แรงงงานเพ่อื ใหเ้ กิด การเปลี่ยนผ่านในโลกของการทางานท่ีราบรื่น (smooth transition) ทางานอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับการ

11 พัฒนาเศรษฐกิจในระยะถัดไป และพร้อมเผชญิ ต่อความท้าทายทจี่ ะเกิดขน้ึ ในอนาคตเพื่อรองรบั การพัฒนาแรงงานให้มี ทักษะการเปน็ แรงงานในยคุ Thailand 4.0 • ชว่ งที่ 2 Innovative Workforce (พ.ศ. 2565–2569) เป็นยคุ ของทรพั ยากรมนษุ ย์ของประเทศ ทีเ่ ป็นประชาชนของโลก (Global citizen) เพื่อให้แรงงานสามารถนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใชใ้ นการเพ่ิมผลติ ภาพ ได้อย่างมีประสิทธิภาพรองรับต่อ Thailand 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ ปรับปรุง กฎระเบียบต่าง ๆ ด้านแรงงานให้มีความ ยดื หยุ่นรองรับรูปแบบการจ้างงานใหมใ่ นยคุ ดิจทิ ัล การสร้างระบบการจา้ งงานทเี่ อ้ือต่อแรงงานสูงวัยอยา่ งครบวงจร ท้ัง ตาแหน่งงาน สภาพแวดล้อมการทางาน ค่าตอบแทน และสวัสดิการ รวมท้ังการพัฒนาแรงงานให้มีความพร้อมในการ ทางานภายใต้สงั คมพหวุ ฒั นธรรม และการจา้ งงานขา้ มแดน • ชว่ งที่ 3 Creative Workforce (พ.ศ. 2570–2574) เป็นยคุ ของทรัพยากรมนษุ ยท์ ่ีมีความคิดสรา้ ง สรรค์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่การทางาน เพื่อสร้างความยั่งยืนด้านแรงงานสู่ความย่ังยืนในการดารงชีวิต เพื่อให้บรรลุ วาระการพัฒนาท่ียั่งยืนในกรอบของสหประชาชาติ (SDGs) เป้าหมายข้อที่ 8 “ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจท่ีต่อเนื่อง ครอบคลุม และย่งั ยืน การจ้างงานเต็มที่ (Full Employment)และมผี ลติ ภาพ (Productivity) และการมีงานท่ีมีคุณค่า ถ้วนหน้า(Decent Work)” และเพื่อให้กาลังแรงงานมีทักษะด้าน STEM ทักษะ R&D และมีความคิดสร้างสรรค์ในการ สร้างมูลค่าเพ่ิมให้แก่การทางาน เมื่อดาเนนิ การดังนีแ้ ล้วผลสัมฤทธท์ิ ี่คาดวา่ จะไดร้ บั คอื ประเทศไทยบรรลุวาระการพฒั นา • ทยี่ ง่ั ยนื ในกรอบของสหประชาชาติ (SDGs) การจ้างงานเต็มที่ (Full Employment) และมีผลิตภาพ (Productivity) และการมีงานท่ีมีคณุ คา่ ถ้วนหน้า (Decent Work) • ชว่ งท่ี 4 Brain Power (พ.ศ. 2575–2579) เปน็ ยคุ ของสงั คมการทางานแห่งปญั ญา โดยการเพม่ิ จานวนทรพั ยากรมนษุ ย์ท่ีมีทักษะดา้ น STEM เพื่อให้เป็นทรพั ยากรมนุษย์ทสี่ ามารถใช้ความรู้ ความสามารถ และใช้สติ ปัญญาในการทางานท่ีมูลค่าสูง (High Value) เพ่ือให้มีรายได้ได้สูง (High Income) ผลสัมฤทธ์ิท่ีคาดว่าจะได้รับคือ ประเทศ สามารถหลดุ พ้นจากกับดักรายไดป้ านกลาง (Middle Income Trap : MIT) ดว้ ยทรัพยากรมนุษย์ท่ีมีคุณค่าสูงอยา่ งย่ังยนื ทั้งนี้ ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศตลอดระยะ 20 ปี ไม่เพียงแต่จะมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะความรู้ ความสามารถ เพือ่ ใหเ้ ป็นทรพั ยากรมนุษย์ทีม่ ีศกั ยภาพการใช้ปัญญาสูง (Brain Power) เทา่ นน้ั การสรา้ งความมั่นคงใน ชีวิตการทางานก็เป็นสิ่งสาคัญท่ีจะต้องวางรากฐานให้ม่ันคงด้วยเช่นกัน เพื่อคุณภาพชีวิตท่ีดีของทรัพยากรมนุษย์ของ ประเทศไทย การสร้างความมั่นคงท่ตี อ้ งดาเนินการอยา่ งเข้มขน้ ให้เปน็ ไปตามมาตรฐานสากล ไดแ้ ก่ • มหี ลกั ประกนั ทดี่ ี • มโี อกาสในการทางานท่มี ีคณุ คา่ (Decent Work) • ไดร้ บั การคมุ้ ครองสทิ ธติ ามกฎหมาย • มสี ภาพการจ้างทีเ่ ปน็ ธรรม • มสี ภาพแวดล้อมและสภาพการทางานทีป่ ลอดภยั • มแี รงงานสัมพันธ์ทีด่ ี • ไดร้ ับสวัสดกิ ารแรงงานทเี่ หมาะสม • มศี ักยภาพได้มาตรฐานสากล 2.8 แผนแมบ่ ทด้านแรงงาน พ.ศ. 2560 – 2564 จากกรอบแนวคิดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ระยะ 20 ปี ดังกล่าว กระทรวงแรงงานเล็งเห็นว่า จุดเร่ิมต้นของความสาเร็จอยู่ที่การวางรากฐานในช่วง 5 ปีแรก คือ ช่วงท่ี 1. Productive Manpower (พ.ศ. 2560 –

12 2564) หากสามารถสร้างรากฐานได้ม่ันคงแล้ว การเดินหน้าสู่ความสาเร็จในระยะต่อไปจะเป็นสิ่งท่ีสามารถดาเนินการ ให้บรรลุเป้าหมายได้ไม่ยาก ดังนั้น กระทรวงแรงงานจึงได้บูรณาการกับอีก 15 หน่วยงาน จัดทายุทธศาสตร์ระยะ 5 ปี แรกภายใต้“แผนแม่บทด้านแรงงาน พ.ศ. 2560 – 2564” มีวิสัยทัศน์ คือ แรงงานมีศักยภาพสูง (Productive Manpower) และมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยพันธกิจ ประกอบด้วย 1) การเพิ่มศักยภาพแรงงาน และผู้ประกอบการ ให้พร้อมรับกับ สถานการณ์ท่ีเปลี่ยนแปลง และให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของประเทศ 2) คุ้ม ครองและส่งเสริมให้แรงงานมี ความมั่นคงในการทางาน มีหลักประกันและมีคุณภาพชวี ติ ที่ดี 3) พัฒนากระทรวงให้เป็นองค์กรธรรมาภบิ าล 4) พฒั นา ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างบูรณาการ เพ่ือการบริหารจัดการ และให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ 5) สง่ เสริมความรว่ มมอื ดา้ นแรงงานระหว่าง ทั้งนี้ เพื่อให้วิสัยทัศน์และเป้าหมายในการพัฒนากาลังของประเทศบรรลุผล แผนแม่บทด้านแรงงาน พ.ศ. 2560 – 2564 จึงได้กาหนดกรอบยุทธศาสตร์ 6 ยุทธศาสตร์ คือ 1) การเพ่ิมศักยภาพแรงงานและผู้ประกอบการเพื่อสร้างความ เข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างย่ังยืน 2) การคุ้มครองและเสริมสร้างความม่ันคงและหลัก ประกันในการทางาน และคุณภาพชีวิตทด่ี ี 3) การบริหารจัดการด้านแรงงานระหวา่ งประเทศ 4) การพัฒนากลไกการสร้างความสมดลุ ของ ตลาดแรงงานเพอ่ื สร้างความย่งั ยืนในภาคแรงงาน 5) การบริหารจัดการองค์กรบุคลากรดว้ ยหลกั ธรรมาภิบาลและเสริม สร้างการมสี ว่ นร่วมในองคก์ ร และ 6) การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือบูรณาการสารสนเทศทท่ี นั สมยั และมีเสถียรภาพ 2.9 แผนแม่บทความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560 – 2564) แผนแมบ่ ทความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560 –2564) มวี ิสัยทัศน์ คอื “มุ่งม่ันเสริมสร้างวัฒนธรรมเชิงป้องกนั เพ่ือแรงงานปลอดภยั และสขุ ภาพอนามยั ดี” โดย “ปลอดภัยและ สุขภาพอนามัยดี” หมายถึง การกระทาหรือสภาพการทางานซ่ึงปลอดจากเหตุอันจะทาให้เกิดการประสบอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย จติ ใจ หรอื สุขภาพอนามยั อันเน่ืองจากการทางานหรือเกยี่ วกบั การทางาน ซ่งึ มพี ันธกจิ ได้แก่ 1) กาหนดและพฒั นามาตรการเชงิ สง่ เสริมและป้องกันด้านความปลอดภัยและอาชวี อนามัย 2) รณรงค์ให้แรงงานทุกภาคส่วนได้รับการคุ้มครองดูแลเก่ียวกับสิทธิ หน้าที่ด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย เพอื่ ให้ทางานไดอ้ ยา่ งปลอดภยั และมสี ุขภาพอนามัยที่ดี 3) เสริมสร้างและพัฒนาเครือข่ายในทุกภาคส่วน และความร่วมมือระหว่างเครือข่ายด้านความปลอดภัยและ อาชวี อนามัย 4) พัฒนากลไกการบรหิ ารจัดการและการดาเนนิ งานด้านความปลอดภยั และอาชีวอนามยั 5) กากบั ควบคุม และดูแล ความปลอดภัย อาชวี อนามยั และสภาพแวดลอ้ มในการทางาน เปา้ ประสงค์หลกั ประกอบดว้ ย 1) เพื่อสรา้ งความตระหนกั และจติ สานกึ ในเร่ืองความปลอดภยั และอาชวี อนามยั ในทุกภาคสว่ น เพอ่ื เสรมิ สรา้ ง วัฒนธรรมเชงิ ป้องกัน 2) เพ่ือให้เกิดความร่วมมือในทุกภาคส่วน ในการผลักดันให้งานความปลอดภัยและอาชีวอนามยั ขบั เคลื่อนอยา่ ง มี ประสทิ ธิภาพ และเกดิ ประสิทธผิ ล ยุทธศาสตร์สาคัญ ไดแ้ ก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ด้านความปลอดภยั และอาชีวอนามยั ยุทธศาสตร์ที่ 2 การส่งเสรมิ กากบั ดแู ล และพัฒนามาตรการเชิงป้องกนั ด้านความปลอดภัยและอาชวี อนามยั ยทุ ธศาสตร์ที่ 3 การเสริมสร้างความรว่ มมือและพฒั นาภาคีเครอื ขา่ ยด้านความปลอดภัยและอาชวี อนามยั และ ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนากลไกการบรหิ ารจัดการดา้ นความปลอดภยั และอาชวี อนามัย

13 2.10 วาระปฏริ ูปแรงงาน : Safety Thailand กระทรวงแรงงานบูรณาการความร่วมมือร่วมกับอกี 5 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวง คมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ตามโครงการความปลอดภัย และอาชีวอนา มัย ของประเทศไทย (Safety Thailand) ในการขับเคลื่อนการดาเนินงานเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและสุขภาพอนามัย ท่ีดีให้เกิดข้ึนกับคนทางานและประชาชนในทุกภาคส่วน ถือเป็นส่วนหน่ึงของวาระการขับเคลื่อนประเทศไทย (Startup Thailand) ซึง่ มีพิธีลงนามบันทกึ ข้อตกลงความร่วมมือเพ่ือบูรณาการความร่วมมือและกาหนดยทุ ธศาสตรง์ านความปลอด ภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทย เมอ่ื วันที่ 26 กรกฎาคม 2559 ณ ตึกสันติไมตรี ทาเนียบรัฐบาล โดยพลเอก ประวิตร วงษ์สวุ รรณ รองนายกรัฐมนตรี เปน็ ประธานและ สักขพี ยานในพธิ ี พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในนามผู้แทนของรัฐมนตรีจาก 6 กระทรวง ว่า สบื เนื่องจากครั้งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชปรารภเกย่ี วกับความปลอดภัยในการ ทางาน ในการเสด็จพระราชดาเนินทรงเปิดศูนย์ฟ้ืนฟูสมรรถภาพคนงานประจาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น เม่อื วันท่ี 1 ธันวาคม 2557 ความวา่ “การสร้างความปลอดภัยในสถานประกอบการ เพ่ือผู้ใช้แรงงานจะไม่ต้องบาดเจ็บ ทพุ พลภาพ” กอปรกับในช่วงเวลาตอ่ มารฐั บาลได้ประกาศนโยบายประชารฐั เพือ่ ใหป้ ระเทศเกิดความม่ันคง ม่ังค่ัง และ ยั่งยืน ทันต่อบริบทของประเทศในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน อีกทั้งการที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับท่ี 187 ว่าดว้ ยกรอบเชิงส่งเสริมการดาเนนิ งานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย พ.ศ. 2559 จึงได้มีการประชุมหารือ ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวง อตุ สาหกรรม ซ่งึ ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการขบั เคล่อื นดาเนนิ งานเพือ่ สรา้ งเสริมความปลอดภัยและสุขภาพอนามยั ที่ ดีใหเ้ กดิ ขึน้ กบั คนทางานและประชาชนในทุกภาคสว่ น ภายใตโ้ ครงการความปลอดภัยและอาชวี อนามยั ของประเทศไทย (Safety Thailand) โดยมีการกาหนดยุทธศาสตร์งานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทยร่วมกัน มีช่วงระยะ เวลาการดาเนนิ การ 2 ระยะ คือ ระยะ 6 เดือน และการดาเนนิ งานในระยะยาวมีเป้าหมายเพอื่ ลดอบุ ัติเหตุ อุบัติภัย และ โรคจากการทางาน อันจะสร้างเสริมความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของคนทางานให้เกิดขึ้นอย่างย่ังยืนต่อไป (http:// www.oshthai.org/index.php?option=com_content&view=article&id=398:-safety-thailand &catid=1:news-thai) 2.11 ทศิ ทาง เป้าหมาย และยุทธศาสตร์ระยะ 10 ปี (2555-2564) กองทนุ สนับสนุนการสรา้ งเสริมสุขภาพ และ แผนหลัก 3 ปี ของ สสส. (2558-2560) จากทิศทาง เป้าหมาย และยุทธศาสตร์ระยะ 10 ปี (2555-2564) กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพพบว่ามี การกาหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ และเป้าหมายไว้ดังน้ี (สานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, 2554 : 6-12) วิสัยทัศน์ : ทุกคนบนแผ่นดินไทย มขี ีดความสามารถ สงั คมและสิ่งแวดลอ้ มที่เอือ้ ต่อสขุ ภาวะ พันธกิจ : จุดประกาย กระตุ้น สาน และเสริมพลัง บุคคล และองค์กรทุกภาคส่วนให้มีขีดความสามารถและสร้าง สรรค์ระบบสงั คม ทเี่ อ้ือต่อการมีสขุ ภาวะ ยุทธศาสตร์หลัก : ไดแ้ ก่ “สานสามพลัง” ประกอบดว้ ย พลังทางปัญญา พลังทางสงั คม และพลังนโยบาย ที่มุ่ง หวงั วา่ ยุทธศาสตรห์ ลกั ของการขับเคลอื่ นจะนาไปสู่การเปลีย่ นแปลงและแก้ไขปัญหาสุขภาวะของสงั คมไทย ยุทธศาสตร์เฉพาะ : ประกอบด้วย 1) พัฒนาขีดความสามารถของบุคคลและองคก์ รให้เท่าทันพลวตั ของปัจจัย ต่างๆ ที่กระทบต่อสุขภาพ 2) พัฒนานวัตกรรมการสร้างเสริมสุขภาพและนวัตกรรมทางสังคม 3) เสริมสร้างศักยภาพของชุมชน และท้องถิ่น 4) พัฒนาระบบและกลไกทางสังคมที่เอื้อต่อการสร้างสุขภาวะ และ 5) พัฒนาระบบการเรียนรู้และส่ือสาร สาธารณะ เป้าหมายทวั่ ไป : ทกุ คนมอี ายยุ ืนยาวขึน้ อยา่ งมีสุขภาวะ

14 เปา้ หมายเฉพาะ ไดแ้ ก่ (1) ลดอัตราการสบู บุหรีข่ องคนไทยใน พ.ศ. 2557 ลงรอ้ ยละ 10 จาก พ.ศ. 2552 (2) ลดอตั ราการด่มื สรุ าของคนไทยใน พ.ศ. 2563 ให้นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 27 (3) ลดอุบตั ิการณก์ ารติดเชอื้ เอดส์ในหญงิ ต้ังครรภ์ใน พ.ศ. 2559 ลงสองในสามของที่คาดประมาณไว้ (4) เพ่ิมอตั ราการบรโิ ภคผักและผลไม้อยา่ งเพียงพอตามข้อแนะนา (400 กรัมต่อวนั ) ไม่น้อยกวา่ รอ้ ยละ 50 ใน พ.ศ. 2557 (5) เพิ่มการมีกิจกรรมทางกายประจาของคนไทยอายุ 11 ปีขึ้นไป ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ใน พ.ศ. 2557 (6) ลดความชกุ ของภาวะน้าหนกั ตัวเกินและโรคอ้วนในเดก็ ให้น้อยกว่าร้อยละ 10 ใน พ.ศ. 2562 (7) ลดอัตราการตายจากอบุ ัตเิ หตุทางถนนสดั สว่ นไม่เกนิ 10 ตอ่ ประชากรแสนคน ใน พ.ศ. 2563 (8) เพ่มิ สดั สว่ นของคนไทยอายุ 15 ปขี ึ้นไป ที่มคี วามสุขในการดารงชีวิต (9) เพมิ่ สัดส่วนของครอบครัวอบอุ่น (10) ชมุ ชนและท้องถ่ินเข้มแขง็ ขณะที่แผนหลัก 3 ปี ของ สสส. (2558-2560) เป็นแผนท่ีไดน้ าทศิ ทาง เปา้ หมาย และยุทธศาสตร์ 10 ปี (พ.ศ. 2555-2564) มาใช้เป็นกรอบสาหรบั การจัดทาแผนฯ โดยเป็นแผนระยะกลาง มงุ่ เน้นการสานและเสริมพลังทุกภาคส่วน ในการลดปัจจัยเสี่ยงสุขภาพและปลูกฝังค่านิยมสุขนิสัย เพ่ิมขีดความสามารถเชิงสถาบันและของบุคคลพัฒนา ระบบและ กลไกที่เอ้ือต่อการมีสุขภาวะอย่างย่ังยืน ให้ความสาคัญกับการสร้างความเป็นธรรมทางสุขภาพในประชากรกลุ่มต่าง ๆ เพ่มิ ประสิทธิภาพ ประสิทธผิ ลโดยการบูรณาการท้งั เชิงประเด็น พ้ืนท่ี และกล่มุ เปา้ หมาย ตลอดจนส่งเสริมนวัตกรรมสงั คม ในการทางานสร้างเสริมสุขภาพ (สานกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ, 2557) ทัง้ น้ี สสส. ได้จาแนกการดาเนินงานของกองทุนเป็น 14 แผน และ 2 ภารกิจพิเศษ ได้แก่ 1) แผนควบคุมยาสูบ 2) แผนควบคุมเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์และส่ิงเสพติด 3) แผนการจัดการความปลอดภัยทางถนนและภัยพิบัติ 4) แผนควบ คุมปัจจัยเส่ียงทางสขุ ภาพ 5) แผนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ 6) แผนสุขภาวะชุมชน 7) แผนสขุ ภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว 8) แผนสร้างเสรมิ สุขภาวะในองค์กร 9) แผนส่งเสริมกจิ กรรมทางกาย การออกกาลังกาย และกีฬาเพ่ือ สุขภาพ 10) แผนสื่อสารสุขภาวะและส่ือสารการตลาดเพื่อสังคม 11) แผนสนับสนุนโครงการเปิดรับท่ัวไปและนวัตกรรม 12) แผนสนับสนุนการสรา้ งเสริมสขุ ภาพผ่านระบบบริการสุขภาพ 13) แผนพัฒนาระบบและกลไกสนับสนุนเพือ่ การสร้าง เสรมิ สขุ ภาพ 14) แผนอาหารเพ่ือสขุ ภาวะ 15) ศนู ย์เรยี นรูส้ ขุ ภาวะ และ 16) งานพฒั นาและจัดการกลุ่มงานกลาง จากทศิ ทาง เปา้ หมาย และยุทธศาสตร์ระยะ 10 ปี (2555-2564) กองทุนสนับสนนุ การสร้างเสริมสุขภาพ และ แผนหลัก 3 ปี ของ สสส. (2558-2560) จะเหน็ ไดว้ ่า การจดั ทาโครงการฯ จงึ มคี วามสอดคลอ้ งและเปน็ การตอบสนองต่อ วิสยั ทศั น์ พันธกิจ ยทุ ธศาสตร์ เป้าหมายท่วั ไปและเปา้ หมายเฉพาะในระยะ 10 ปี ของ สสส. รวมทัง้ แผนหลัก 3 ปี ของ สสส. ในหลายแผน โดยเฉพาะอย่างยงิ่ แผนสรา้ งเสรมิ สุขภาวะในองคก์ ร 3. ความพร้อมและความเหมาะสมของพนื้ ทีก่ ารทางาน พ้ืนท่ีการทางานในคร้งั น้ี คือ ภาคตะวันออก อันประกอบด้วยจังหวัด ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา เนื่องจากภาค ตะวันออกมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วของอตุ สาหกรรม โครงสร้างการผลิตพ่ึงพิงอุตสาหกรรมเป็นหลัก อันเป็นผลจาก นโยบายรัฐท่ีต้องการกระจายอุตสาหกรรมออกจากกรงุ เทพฯ ซ่ึงได้เร่ิมพัฒนาพ้นื ที่บริเวณชายฝ่งั ทะเลตะวันออกตั้งแต่ แผนพัฒนาฯ ฉบบั ท่ี 5 (พ.ศ.2524-2529) โดยระยะแรกครอบคลุม 3 จังหวัด คือ ชลบรุ ี ระยอง และฉะเชิงเทรา ตอ่ มา ในปี พ.ศ. 2538 ได้ขยายพื้นที่ครอบคลุม 8 จังหวดั ภาคตะวันออก ภาคตะวนั ออกจึงเป็นฐานอุตสาหกรรมท่ีสาคัญของ ประเทศที่มีการลงทุนขนาดใหญ่จานวนมาก ได้แก่ ปิโตรเคมี กลั่นน้ามัน เหล็ก ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และแปรรูป

15 การเกษตร ซึ่งเมอื่ เทียบสดั สว่ นมูลคา่ ผลิตภณั ฑ์สาขาอุตสาหกรรมกับพนื้ ที่ภาคอ่ืน ๆ แลว้ พบวา่ มีสัดส่วนสูงเปน็ อันดบั ที่ 1 ของประเทศ ทั้งนี้ การพัฒนาอุตสาหกรรมดงั กล่าวส่งผลให้เกดิ การเปล่ียนแปลงท่สี าคัญหลายประการ ท้งั การพฒั นา ไปสู่แหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศไทย การอพยพของแรงงานต่างถ่ิน ทาให้สังคมมีความหลากหลายของผู้คน จากที่ต่าง ๆ วิถีชีวิตและโครงสร้างทางสังคมเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วจนเกิดปัญหาด้านสังคม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม ผลของการพัฒนาที่ขาดการวางแผนและการมองปัญหาในอนาคต นาไปสู่ปัญหาสุขภาวะและคุณภาพชีวิตของประชาชน ในทส่ี ดุ การเคลื่อนย้ายของแรงงานสู่ภาคอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกเป็นจานวนมากน้ัน เป็นท้ังผลดีและผลเสีย กล่าวคือ ผลดี ไดแ้ ก่ เปน็ การแกไ้ ขปัญหาความยากจน เป็นการสรา้ งงาน สรา้ งรายได้ ส่วนผลเสีย ไดแ้ ก่ ทาให้เกิดความ แออัดสภาพแวดล้อม ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและศีลธรรมในรูปแบบต่าง สุขภาพอนามัยของคนงาน การขาดการ ศึกษาของเด็กและปัญหาสังคมต่าง ๆ เนื่องจากการแยกกันอยู่ของหัวหน้าครัวเรือน นอกจากนี้ ยังเกิดการขาดแคลนแรง งานภาคการเกษตรกรรม การละทง้ิ ถน่ิ ทีอ่ ยูข่ องตนและอาชีพเดิมเข้าไปอยู่ในดินแดนแหง่ ใหม่ทีไ่ ม่มีความคุ้นเคยมาก่อน นั้น ได้ส่งผลกระทบต่อแรงงานที่เข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมประสบกับปัญหาต่าง ๆ มากมาย เช่นปัญหาด้านค่าจ้าง ปัญหา ดา้ นสวัสดิการ ปญั หาด้านส่ิงแวดลอ้ ม ฯลฯ ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีนับเป็นปัญหาสาคัญอย่างหน่ึงในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน โดยเฉพาะ สถานประกอบการขนาดเลก็ ซ่งึ มีอยมู่ ากในประเทศไทย (มานิตย์ ผวิ ขาว, 2555 : 2-4) ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา ภาคตะวันออกถอื วา่ เป็นพ้นื ที่การทางานด้านการสร้างเสริมสขุ ภาวะและ ความปลอดภัยในการทางานที่สาคัญ เช่น จังหวัดชลบุรีซึ่งเป็น 1 ในจังหวดั ในภาคตะวันออกท่ีมีความโดดเด่นในเรื่อง การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตให้แก่แรงงาน ดังจะเห็นได้จากในปี พ.ศ. 2547 จังหวัดชลบุรีได้เปิดตัวโครงการ Happy Workplace จุดกระแสพัฒนาคณุ ภาพชีวิตคนทางาน เป็นโครงการระดับจังหวัดแห่งแรกของไทย ซึ่งเกิดจากความร่วม มือของทกุ ภาคสว่ นในจงั หวดั ชลบุรี รวมถงึ สสส. และสานกั งานประกนั สงั คม โดยเช่อื มนั่ ว่าการมีคณุ ภาพชีวติ ท่ีดใี นการ ทางาน จะช่วยลดปัญหาต่าง ๆ และสรา้ งประชากรวยั แรงงานท่ีมีคณุ ภาพให้กับประเทศไทยได้ มีระยะเวลาดาเนินการ 4 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549-2552 โดยเน้นการสรา้ งเครือขา่ ยผู้ประกอบการ ภาครัฐ และองค์กรตา่ ง ๆ รวมท้ังชุมชนในรูป แบบบูรณาการ เพือ่ เป้าหมายให้คนทางานในจงั หวดั ชลบุรมี คี ุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยนื ในการดาเนินงาน มคี าขวญั ของ โครงการว่า “คนทางานมีความสุข ท่ีทางานน่าอยู่ ชุมชนสมานฉันท์” และมีความสุขท้ัง 8 หรือ “Happy 8” คือ 1) สุขภาพแข็งแรงทั้งกายใจ 2) มีนา้ ใจต่อกัน 3) มสี ังคมดี 4) ร้จู ักผอ่ นคลาย 5) พฒั นาความรู้ตนเองตลอดเวลา 6) มี ศีลธรรมในการใช้ชีวิต 7) มีเงินเก็บไม่เป็นหน้ี 8) ครอบครัวอบอุ่นมั่นคง เป็นธงนาในการดาเนินกิจกรรมโครงการ (http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9480000165354) เป็นต้น จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นจะเห็นได้ว่าพ้ืนท่ีภาคตะวันออกเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่ีสาคัญของประเทศ มสี ถานประกอบการหลายหม่ืนแห่ง มีแรงงานในภาคอุตสาหกรรมหลายแสนคน ประกอบกับมีสถานประกอบการของ บรษิ ัทระดบั โลกอยู่จานวนมากในนิคมอุตสาหกรรม แตค่ นทางานยงั คงประสบปัญหาคุณภาพชวี ติ ในการทางาน แมจ้ ะมี โครงการ/กิจกรรมสาหรบั การพัฒนาสุขภาวะและความปลอดภัยในการทางานของแรงงานเกดิ ขึ้นมากมายในจังหวัดต่าง ๆ แต่ก็จาเป็นที่จะต้องมีการดาเนินการอย่างต่อเนื่อง รวมท้ังมีการปรับเปล่ียนวิธีคิด วิธีการทางาน เพื่อให้เท่าทันต่อ สถานการณท์ มี่ ีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา 4. วัตถุประสงค์ 1) สนับสนุนการบูรณาการการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การเสริมสร้างสุขภาวะและและความปลอดภัยในการทางาน เพอ่ื คุณภาพชวี ิตคนทางานกบั ยุทธศาสตรอ์ ่นื ๆ ในจังหวดั นาร่องเพ่อื เป็นกลไกในการสนบั สนุนคณุ ภาพชีวิตแรงงาน 2) พัฒนาผู้นารุ่นใหม่ และสนับสนุนให้เกิดภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็งของผู้นาหลากหลายอาชีพจากหลายภาคส่วน ทงั้ ภาครัฐ ภาคสือ่ สารมวลชน ผนู้ าแรงงานทั้งฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจา้ ง ในการดาเนนิ งานขับเคล่ือนยทุ ธศาสตร์การ

16 เสริมสร้างสุขภาวะและและความปลอดภัยในการทางานเพื่อคุณภาพชีวิตคนทางานในพื้นท่ีนาร่องของภาคตะวันออก เพอื่ นาไปสสู่ ังคมสุขภาวะ ในลักษณะของเครือข่ายพหุภาคี 3) สนับสนุนให้มีการพัฒนา และจัดการงานวิจัยและ/หรือนวัตกรรมท่ีสามารถตอบโจทย์ปัญหาและความต้อง การเพ่ือการขับเคลอื่ นยุทธศาสตร์การเสริมสร้างสุขภาวะและความปลอดภยั ในการทางานเพ่ือคุณภาพชวี ติ คนทางานใน พน้ื ที่นารอ่ งของภาคตะวนั ออก 5. ขอบเขตการดาเนินงาน 5.1 ขอบเขตเนือ้ หา 1) สนับสนุนการขับเคล่ือนยุทธศาสตร์การเสริมสร้างสุขภาวะและคุณภาพชีวิตแรงงานในพ้ืนที่นาร่องของภาค ตะวันออก โดยใช้เวที Forum เป็นเคร่ืองมือในการดาเนินการ เพื่อรับทราบปัญหา/ความต้องการ สังเคราะห์ปัญหา/ ความต้องการเพ่ือเชื่อมโยงผู้รู้ และความรู้ท่ีมีอยู่แล้วในการจัดการขับเคล่ือนการแก้ปัญหา/พัฒนาด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามยั ในการทางานเพอื่ การเสริมสรา้ งสุขภาวะแรงงาน 2) อบรมและศึกษาดงู านเพ่ือพัฒนาผูน้ ารุ่นใหม่ที่มีกระบวนทัศน์ ทักษะ ภาวะผูน้ า และแสดงบทบาทในฐานะ ผู้นาการเปลี่ยนแปลงเพ่ือพัฒนาสังคมแรงงานสูส่ ังคมสุขภาวะ 3) ส่งเสรมิ การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ในพ้ืนที่นาร่องของภาคตะวันออกเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การ เสริมสร้างสุขภาวะและความปลอดภัยในการทางานเพ่ือคุณภาพชีวิตคนทางาน โดยผู้นารุ่นใหม่จะทางานร่วมกันกับ ภาคีเครอื ข่ายในภาคสว่ นต่าง ๆ เพอ่ื ช่วยสนบั สนนุ การทางานในพ้นื ที่ให้เกิดผลสาเรจ็ ท่ีเปน็ รูปธรรม 4) ติดตามและถอดบทเรียนการขับเคลื่อนยทุ ธศาสตร์การเสรมิ สรา้ งสุขภาวะและความปลอดภัยในการทางาน เพอื่ คุณภาพชีวิตคนทางานในพ้นื ทน่ี าร่องของภาคตะวันออก 5) เผยแพร่องค์ความรู้ และนวัตกรรมจากการสนับสนุนการขับเคล่ือนยุทธศาสตร์การเสริมสร้างสุขภาวะและ ความปลอดภัยในการทางานเพ่ือคุณภาพชีวิตคนทางานในพ้ืนที่นาร่องของภาคตะวันออก โดยใช้เวที Forum และส่ือ ต่าง ๆ เป็นเคร่ืองมือในการดาเนินการ 5.2 ขอบเขตพ้นื ที่ 1) ระดับประเทศ ไดแ้ ก่ ประเทศไทย 2) ระดับจงั หวัด ได้แก่ จังหวัดในพน้ื ท่ภี าคตะวันออก ได้แก่ ชลบุรี ระยอง ฉะเชงิ เทรา 3) ระดับหน่วยงาน/องค์กรในพ้ืนที่ ได้แก่ นคิ มอุตสาหกรรมอย่างน้อย 1 แหง่ ในแต่ละจงั หวัด

17 6. กรอบแนวคดิ ของโครงการ ปัจจัยนาเข้า กระบวนการ ผลผลติ ผลลพั ธ์ (process) (output) (input) (outcome) การสนับสนนุ จาก การอบรมและศึกษาดงู าน * forum ในการเชอ่ื ม พื้ น ที่ ท่ี มี ก า ร ส ร้ า ง เส ริ ม * หน่วยงานตน้ สงั กดั ความรู้กบั การพัฒนา สุขภาวะและความปลอดภัย * ผูท้ รงคุณวุฒิ การประสาน – เสรมิ พลงั ในการทางานของคนทางาน * กลั ยาณมติ ร * แตง่ ต้งั คณะกรรมการ/ * ผนู้ ารนุ่ ใหม่ ภายใต้กลไกการขบั เคลอื่ นทีม่ ี * ทีมวชิ าการ คณะทางาน ระบบงานประจารองรับและมี * เข้าพบทาความเขา้ ใจกบั * ฐานข้อมลู /ความรู้ ผู้นารุ่นใหม่ รวมท้ังเครือข่าย ชดุ ความรู้-นวตั กรรม ผ้บู รหิ าร เพอ่ื ใช้เปน็ ฐานในการ สนับสนุนเพื่ อนาไปสู่การ * หลักสูตร นปปร. * เวทีประชุมพ้นื ทน่ี ารอ่ งกบั ภาคี ขบั เคลือ่ นงาน ขยายผล เกิดการเช่ือมโยง * เครอ่ื งมอื ตา่ ง ๆ ของ เครอื ขา่ ย งาน ต า ม พั น ธ กิ จ ใน ก า ร สสส. และหนว่ ยงานที่ * เวทปี ระเมนิ /วิเคราะห์ * นิคมอุตสาหกรรม ต อ บ ส น อ ง โจ ท ย์ พื้ น ท่ี ข อ ง เกย่ี วข้อง สถานการณ์ และ/หรอื สถาน ห น่ ว ย งาน ต่ าง ๆ เพ่ื อ สู่ * โปรแกรมผลตรวจ * เวทีการวางแผน/การจดั เกบ็ ประกอบการต้นแบบ เปา้ หมายการพัฒนาทย่ี ่ังยนื สุขภาพและความ ข้อมูล/การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ปลอดภัย ฯลฯ * เวทจี ดั ทาแผน/แนวทาง * เครอื ข่ายการทางาน ดาเนนิ การ รวมทั้งการตดิ ตาม เชงิ พืน้ ที่ งบประมาณสนับสนนุ ประเมินผล จาก สสส. * การเชอื่ มโยงภาคีให้เขา้ มามี ส่วนรว่ มกับโครงการฯ * การสนบั สนุนการนาบทเรียน ความรู้ เคร่อื งมอื มาใช้ในการ ขับเคลื่อนโครงการฯ * การติดตามประเมนิ ผล * เวทีสงั เคราะห/์ ถอดบทเรยี น/ ขยายผล การเกบ็ รวบรวมข้อมลู -การวิเคราะหข์ ้อมูล-การจัดทารายงาน

18 7. กลไกการดาเนนิ โครงการ คณะกรรมการบรู ณาการโครงการ คณะกรรมการอานวยการ ความปลอดภยั และอาชีวอนามัยของ ประเทศไทย ประเทศไทย (Safety Thailand) จ.ชลบรุ ี คณะทางานบูรณาการโครงการใน จ.ระยอง พ้ืนทภี่ าคตะวันออก จ.ฉะเชงิ เทรา - วาระงานท่มี คี ุณคา่ นคิ มอุตสาหกรรม - วาระ 2030 เพ่ือการพัฒนาท่ยี ่ังยืน (SDGs) - อนุสญั ญา ILO ฉบบั ท่ี 187 ว่าด้วยกรอบเชงิ สขุ ภาวะและความปลอดภยั ใน สง่ เสริมการดาเนนิ งานความปลอดภยั และ การทางานเพอ่ื พฒั นา อาชวี อนามัย พ.ศ. 2549 คณุ ภาพชวี ิตคนทางาน - กรอบยทุ ธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560- 2579) - กรอบยทุ ธศาสตร์การพฒั นาทรัพยากรมนษุ ย์ ของประเทศ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) - แผนแมบ่ ทด้านแรงงาน พ.ศ. 2560-2564 คณะทางานขบั เคลอื่ นการดาเนินการโครงการความ - วาระปฏิรปู แรงงาน : Safety Thailand ปลอดภยั และอาชวี อนามยั ของประเทศไทย (Safety Thailand) ในระดบั จังหวดั คณะทางานในระดบั พ้นื ท่ี ผนู้ าการเปลีย่ นแปลงเพื่อพัฒนาแรงงาน วจิ ยั /สารวจวิเคราะห์ ทมี วจิ ัยและพฒั นา (ผ้เู ข้ารว่ มการอบรมในโครงการฯ) จัดการความรู้ ส่งเสริม สนบั สนนุ มีสว่ นร่วม แรงงาน สถานประกอบการ ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นคิ มอตุ สาหกรรม องคก์ ร/ชมรม และองคก์ รอน่ื ๆ

19 จากกรอบแนวคิดและกลไกการขับเคล่ือนโครงการฯ ข้างต้น จะเห็นได้ว่าการขับเคล่ือนโครงการฯ วางอยู่บน เป้าหมายหลัก คือ การเสริมสร้างสุขภาวะและความปลอดภัยในการทางานเพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตคนทางาน ซึ่งมี แนวคิด รวมทั้งนโยบายในระดับต่าง ๆ สนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว ได้แก่ ในระดับนานาชาติ เช่น วาระงานท่ีมีคุณค่า วาระ 2030 เพ่ือการพัฒนาท่ีย่ังยืน (SDGs) อนุสัญญา ILO ฉบับที่ 187 ว่าด้วยกรอบเชิงส่งเสริมการดาเนินงานความ ปลอดภัยและอาชีวอนามัย พ.ศ. 2549 เป็นต้น ขณะที่ในระดับชาติ เช่น กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560- 2579) ยุทธศาสตร์การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) กรอบ ยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) แผนแม่บทด้านแรงงาน พ.ศ. 2560-2564 แผนแมบ่ ทความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดลอ้ มในการทางานแห่งชาติ ฉบับท่ี 2 (พ.ศ. 2560 – 2564) วาระปฏิรูปแรงงาน : Safety Thailand เปน็ ตน้ คณะกรรมการอานวยการ/ ทีมบริหารโครงการ ทมี วชิ าการ ทมี สนบั สนนุ การปฏิบัติการ คณะทางาน นายอาทติ ย์ อสิ โม ผู้เข้าร่วมการอบรมผ้นู ารนุ่ ใหม่ ประธานบริหารโครงการ สว่ น กลาง และคณะ 3 พนื้ ที่ อาจารย์วิไลลกั ษณ์ อยูส่ าราญ ระดบั นคิ มฯ นกั วชิ าการโครงการ พ้ืนท่ี และคณะ จงั หวดั สาหรับกลไกการขับเคลื่อนโครงการฯ ประกอบด้วย 4 สว่ นสาคัญ ไดแ้ ก่ 1.1 คณะกรรมการอานวยการ/คณะทางาน แบ่งออกไดเ้ ปน็ 3 ระดบั ได้แก่ ระดบั ประเทศ ระดับจังหวัด และ ระดบั พืน้ ท่ี มีรายละเอยี ด ดังนี้ 1) ระดับประเทศ ประกอบด้วย • คณะกรรมการบรู ณาการโครงการความปลอดภยั และอาชวี อนามยั ของประเทศไทย (Safety Thailand) หรือคณะกรรมการอานวยการ จานวน 1 ชุด มีปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธาน มีบทบาทในการเป็นที่ ปรึกษาและอานวยความสะดวกในเรอื่ งการเชอ่ื มประสานกับกระทรวงอน่ื ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ ง • คณะทางานบูรณาการโครงการในพนื้ ท่ีภาคตะวันออก จานวน 1 ชดุ มีหัวหนา้ ผู้ตรวจราชการ กระทรวงแรงงานเป็นประธาน มีบทบาทในการเป็นท่ีปรึกษา ดูแลพื้นทจ่ี ังหวัดทเ่ี ขา้ ร่วมโครงการ และเชื่อมประสานใน เชงิ นโยบาย การปฏิบตั ิ และทรพั ยากรต่าง ๆ ในการดาเนินโครงการฯ 2) ระดับจงั หวดั ประกอบดว้ ย • คณะทางานขับเคลอื่ นการดาเนนิ การโครงการความปลอดภยั และอาชวี อนามัยของประเทศไทย (Safety Thailand) ในระดับจังหวัด จานวน 3 ชุด (จังหวัดละ 1 ชุด) แต่งต้ังข้ึนตามความร่วมมือที่ได้มีการ MOU ระหวา่ งหน่วยงานต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง โดยในระดับจงั หวัดมีรองผู้วา่ ราชการจังหวัดท่ีไดร้ ับมอบหมายเป็นประธาน และ

20 มีคณะกรรมการมาจาก 6 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม และ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 3) ระดบั พ้นื ท่ี ประกอบดว้ ย • คณะทางานในระดับพน้ื ท่ี มบี ทบาทในการเปน็ ทมี ทางานในระดับพน้ื ทซี่ ง่ึ เช่ือมประสานกับจงั หวดั และพืน้ ที่ จานวน 3 ชุด (จงั หวดั /พืน้ ทลี่ ะ 1 ชุด) เป็นคณะทางานทจี่ ดั ต้ังข้ึนโดยควารมร่วมมือระหวา่ งหน่วยงานต่าง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกับโครงการฯ • สถานประกอบการ นิคมอตุ สาหกรรมละ 60 แหง่ รวม 3 นคิ มอุตสาหกรรม จานวน 180 แหง่ มีบทบาทในการเปน็ ผปู้ ฏิบตั ติ ามนโยบาย โครงการ กิจกรรมตา่ ง ๆ 1.2) ทีมบริหารโครงการ มีประธานบริหารโครงการซึง่ เปน็ ผ้มู ีความรู้ ความเช่ียวชาญและประสบการณ์สงู ทาง ด้านบรหิ ารแรงงาน ได้แก่ นายอาทิตย์ อิสโม นอกจากน้ีแล้วยังมีทีมงานประกอบด้วย ผู้จัดการโครงการ 1 คน และผู้ ประสานงานโครงการ 2 คน ซ่ึงมีบทบาทหน้าท่ีในการดูแลภาพรวมของการดาเนินโครงการฯ ได้แก่ การวางแผน การให้ ความคิดเห็น ขอ้ เสนอแนะ กากับ ตดิ ตาม ดูแลทีมวชิ าการและปฏิบัติการ รวมทง้ั ประสานงานกับคณะทางาน ตลอดจน ผบู้ ริหารและบุคลากรท่ีเกย่ี วข้องในการดาเนินการโครงการฯ ให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคท์ ี่ต้งั ไว้ 1.3) ทมี วิชาการ จากมหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ มีนางสาววิไลลกั ษณ์ อยู่สาราญ เปน็ หัวหน้าโครงการฯ เป็น ทมี ได้รับความเห็นชอบจากทีมบริหารโครงการให้เขา้ มาร่วมขับเคล่อื นการดาเนินงานของโครงการฯ ท้ังนี้ การคัดเลือก ทีมวิชาการมีหลักเกณฑ์ เช่น มีประสบการณ์และเครือข่ายการทางานในพ้ืนท่ี มีความเข้าใจการดาเนินงานของโครงการฯ มีเวลาในการทางานให้กับโครงการฯ อย่างเต็มท่ี เป็นต้น ทั้งน้ี ทีมวชิ าการมีบทบาทหน้าที่ในการวางแผน ดาเนินการ และ กากับ ตดิ ตาม ดแู ลโครงการในขอบเขตท่ีไดร้ ับมอบหมาย และรายงานให้ทมี บริหารโครงการฯ ทราบ 1.4) ทีมสนับสนุนการปฏิบัติการ ได้แก่ ผู้นาการเปล่ียนแปลงเพ่ือพัฒนาแรงงาน (ผู้เข้าร่วมการอบรมใน โครงการฯ) จานวน 45 คน มบี ทบาทในการเป็น mentor

8. แนวทางการดาเนินการ พฒั นาผนู้ ารุน่ ใหม่ แล เข้มแข็งของผู้นาจากห สนับสนนุ การบรู ณาการการขบั เคลอ่ื นยุทธศาสตรก์ ารเสริมสรา้ งสุขภาวะและ สื่อสารมวลชน ผู้นาแร และความปลอดภยั ในการทางานของแรงงานกบั ยุทธศาสตรอ์ ื่น ๆ ในจงั หวดั ลูกจ้าง ในการดาเนิน นาร่องเพื่อเป็นกลไกในการสนบั สนุนคณุ ภาพชีวิตแรงงาน เสรมิ สร้างสุขภาวะและ ของแรงงานในพื้นท่ีน ประชมุ หารอื เพอ่ื วางระบบงานและพฒั นาการทางานของ นาไปสู่สงั คมสขุ ภาวะ ใ ทีมบริหารโครงการฯ และทีมวชิ าการโครงการฯ รบั สมคั รและคดั เลอื กผ แต่งตง้ั คณะกรรมการอานวยการและคณะทางานทง้ั ส่วนกลางและพ้นื ท่ี ฝึกอบร เขา้ พบผบู้ ริหารหนว่ ยงานภาครัฐและภาคเอกชนของทมี บริหารโครงการฯ และ ทีมวิชาการโครงการฯ เพื่อช้ีแจง ทาความเข้าใจเบื้องตน้ เกี่ยวกบั การดาเนนิ สัม โครงการฯ และขอความรว่ มมอื ในการเข้าร่วมโครงการฯ สังเคราะหแ์ ละวางแผนเช ประชมุ กบั หน่วยงานภาครฐั ท้ัง 6 กระทรวง และภาคเอกชนในส่วนกลาง รวมท้งั ปฏิบัตกิ ารในพืน้ หนว่ ยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสงั คมที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการพฒั นา จดั เวทีถอดบทเรยี นเ ผู้นาฯ และการปฏิบตั กิ ารในพน้ื ท่ีนาร่อง การพัฒ ประชุมเพือ่ กากับ ติดตาม ประเมินความก้าวหนา้ ของการดาเนินโครงการฯ ปจั ฉมิ นิเท รวมท้งั ผลักดันในส่วนของนโยบายและการดาเนินการท่ีเกี่ยวขอ้ งของ คณะกรรมการอานวยการและคณะทางานทั้งสว่ นกลางและพ้ืนที่ จัดทารายงานความก้าวหน้าและรายงานฉบบั

21 ละสนบั สนุนให้เกิดภาคีเครือข่ายที่ สนับสนุนให้มีการพัฒนา และจัดการงานวิจัยและ/หรือ หลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาค นวัตกรรมท่ีสามารถตอบโจทย์ปัญหาและความต้องการเพ่ือการ รงงานทั้งฝ่ายนายจ้าง และฝ่าย ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การเสริมสร้างสุขภาวะและความปลอดภัย นงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การ ในการทางานของแรงงานในพน้ื ทนี่ ารอ่ งของภาคตะวันออก ะและความปลอดภัยในการทางาน นาร่องของภาคตะวันออก เพื่อ ประชมุ หารือแนวทางการดาเนนิ การโครงการรว่ มระหวา่ งทมี บรหิ าร ในลักษณะของเครอื ข่ายพหุภาคี โครงการฯ ทีมวชิ าการโครงการฯ และคณะทางานพ้นื ทน่ี าร่อง ผู้เขา้ ร่วมการพัฒนาผนู้ ารนุ่ ใหม่ ประชาสัมพันธช์ แ้ี จงโครงการฯ ในพน้ื ที่นารอ่ ง ปฐมนเิ ทศ รบั สมัครสถานประกอบการที่จะเขา้ ร่วมโครงการฯ รมและศึกษาดูงาน ประชุมสร้างความเข้าใจในการดาเนินโครงการฯ แก่สถานประกอบการ มมนาเชิงปฏิบัติการเพ่อื ประเมนิ วิเคราะห์สถานการณ์ และวางแผนการดาเนินโครงการฯ ชอื่ มโยงความรกู้ ับการปฏบิ ตั ิงานในพื้นท่ี นท่ี และหนุนเสริมความรู้ เครื่องมือในการเสริมสร้างสุขภาวะและความปลอดภยั ในการทางานของแรงงาน เพ่ือกากบั ตดิ ตาม ประเมินผล กากับ ตดิ ตาม ประเมนิ ผลโดยการเขา้ เยยี่ มชมสถานประกอบการ ฒนาผ้นู ารนุ่ ใหม่ ประชมุ เพื่อตดิ ตาม ประเมินผล และให้ข้อเสนอแนะแกส่ ถาน ทศและมอบวฒุ ิบัตร ประกอบการ บสมบูรณ์ ส่ือสาร ประชาสมั พนั ธโ์ ครงการฯ การสง่ มอบผลงาน

9. แผนปฏบิ ตั กิ าร โครงการฯ มรี ะยะเวลาดาเนนิ การท้งั สิน้ 24 เดือน (ตุลาคม 2560-กันย กิจกรรม พ.ศ. 2560 ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย วตั ถปุ ระสงค์ท่ี 1 1) ประชุมหารือเพ่ือวางระบบงานและพัฒนาการทางานของ ทีมบริหารโครงการฯ และทีมวชิ าการโครงการฯ 2) เข้าพบผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของ ทีมบริหารโครงการฯ และทีมวิชาการโครงการฯ เพ่ือช้ีแจง ทาความเข้าใจเบ้ืองต้นเก่ียวกับการดาเนินโครงการฯ และขอ ความร่วมมือในการเข้าร่วมโครงการฯ 3) แต่งตั้งคณะกรรมการอานวยการและคณะทางานทั้ง ส่วนกลางและพนื้ ท่ี 4) ประชุมกับหน่วยงานภาครัฐทั้ง 6 กระทรวง และ ภาคเอกชนในส่วนกลาง รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมท่เี ป็นกล่มุ เปา้ หมายในการพัฒนาผู้นาฯ และ การปฏิบัติการในพ้นื ท่นี าร่อง 5) ประชุมเพ่ือกากับ ติดตาม ประเมินความก้าวหน้าของการ ดาเนนิ โครงการฯ รวมทั้งผลักดันในสว่ นของนโยบายและการ ดาเนินการที่เกี่ยวข้องของคณะกรรมการอานวยการและ คณะทางานสว่ นกลาง 5.1) คณะกรรมการอานวยการ 5.2) คณะทางานบูรณาการโครงการในพ้ืนทภ่ี าคตะวันออก วัตถปุ ระสงค์ที่ 2 6) รับสมคั รและคดั เลอื กผูเ้ ข้ารว่ มการพัฒนาผนู้ ารนุ่ ใหม่ 7) ปฐมนเิ ทศ 8) อบรมและศึกษาดงู าน

22 ยายน 2562) มีรายละเอียดแผนปฏิบตั ิการ ดังนี้ พ.ศ. 2561 พ.ศ. 2562 ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. ม.ิ ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย.

กจิ กรรม พ.ศ. 2560 ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย 8.1) Module ท่ี 1 8.2) Module ท่ี 2 8.3) Module ท่ี 3 8.4) Module ท่ี 4 8.5) Module ที่ 5 9) สังเคราะห์และวางแผนเช่อื มโยงความร้กู ับการปฏบิ ตั ิงาน ในพนื้ ท่ี 10) จัดเวทีถอดบทเรียนเพื่อกากับ ติดตาม ประเมินผล การพัฒนาผนู้ ารนุ่ ใหม่ 11) ปจั ฉิมนเิ ทศและมอบวฒุ บิ ัตร วัตถปุ ระสงค์ท่ี 3 12) ประชมุ หารือแนวทางการดาเนินการโครงการร่วมระหวา่ ง ทีมบริหารโครงการฯ ทีมวิชาการโครงการฯ และคณะทางาน พ้นื ท่นี าร่อง 13) ประชาสัมพนั ธ์ชแ้ี จงโครงการฯ ในพืน้ ท่นี าร่อง 14) รบั สมคั รสถานประกอบการทจี่ ะเขา้ รว่ มโครงการฯ 15) ประชุมสร้างความเข้าใจในการดาเนินโครงการฯ แก่สถาน ประกอบการ 16) สมั มนาเชิงปฏบิ ตั ิการเพอื่ ประเมิน วิเคราะห์สถานการณ์ และวางแผนการดาเนินโครงการฯ 17) ปฏบิ ัติการในพน้ื ที่ และหนนุ เสริมความรู้ เคร่อื งมอื ในการ เสรมิ สร้างสขุ ภาวะและความปลอดภัยในการทางานของ แรงงาน 18) กากับ ติดตาม ประเมินผลโดยการเขา้ เยยี่ มชมสถาน ประกอบการ

23 พ.ศ. 2561 พ.ศ. 2562 ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย.

กิจกรรม พ.ศ. 2560 ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. ม.ี ค. เม.ย 19) ประชุมเพื่อตดิ ตาม ประเมินผล และให้ขอ้ เสนอแนะแก่ สถานประกอบการ 20) สอ่ื สาร ประชาสมั พันธโ์ ครงการฯ 21) เวทีแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่างสถานประกอบการต้นแบบ นาร่องกับสถานประกอบการอืน่ ๆ การดาเนินการอน่ื ๆ ในภาพรวม 22) การรายงานความก้าวหน้าและรายงานฉบบั สมบรู ณ์ 23) การส่งมอบผลงานเมอ่ื ปดิ โครงการฯ

24 พ.ศ. 2561 พ.ศ. 2562 ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย.

25 11. ผลผลติ (output) 1) มี forum ในรูปแบบต่างๆ เช่น เวทีประชมุ ของคณะทางานกับภาคส่วนตา่ งๆที่เก่ียวข้อง เวทีแลกเปล่ียนเรียนรู้ เวทสี ัมมนาปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ เป็นต้น เพ่อื เชอื่ มความร้กู ับการพัฒนาการเสริมสร้างสุขภาวะและ ความปลอดภยั ในการทางานของแรงงานในพนื้ ทนี่ ิคมอุตสาหกรรมในจังหวดั นาร่อง 3 จังหวัด ๆ ละ 1 แหง่ 2) มีผ้นู ารุ่นใหม่จานวน 45 คน ที่มีกระบวนทัศน์ ทักษะ ภาวะผู้นาและแสดงบทบาทในฐานะผู้นาการเปลี่ยนแปลง เพ่ือพัฒนาสังคมแรงงานสสู่ งั คมสุขภาวะโดยจะทาหนา้ ท่นี ักสร้างสุของค์กรดว้ ย 3) มีฐานข้อมูล/ความรู้ คือ ระบบสารสนเทศเพื่อจัดการเก็บข้อมูลผลการตรวจสุขภาพของลูกจ้างในภาพรวมของ สถานประกอบการ ซ่ึงจะบูรณาการกับฐานข้อมูลอื่นๆ ของภาครัฐ เพ่ือใช้เป็นฐานในการขับเคล่ือนนโยบายและการปฏิบัติ การเสรมิ สร้างสุขภาวะและความปลอดภยั ในการทางานของแรงงาน ตามภารกิจของแต่ละหนว่ ยงาน 4) จากเป้าหมายนิคมอุตสาหกรรม 3 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการจะพัฒนาให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมที่สมบูรณ์ แบบอย่างน้อย 1 แห่ง เป็นพื้นที่ทางานที่คนทางานมีความสุขเป็นต้นแบบที่เป็นนวัตกรรมจากการร่วมคิดร่วมทาในบริบท ของพื้นที่ ถือเป็นผลงานใหม่ในการเติมเต็มการเสริมสร้างสุขภาวะและความปลอดภัยในการทางานของแรงงานเชิงพื้นที่ และเปน็ แหล่งเรียนรู้แก่นิคมอตุ สาหกรรม และ/หรอื สถานประกอบการอนื่ ๆ 5) มีเครือข่ายการทางานเสริมสรา้ งสุขภาวะและความปลอดภัยในการทางานของแรงงานเชิงพื้นท่ี จากภาครัฐ ภาคประชาชน ทเี่ กย่ี วข้องโดยตรง และสามารถขยายผลไดจ้ ริง 12. ผลลพั ธ์ (outcome) เกิดพื้นที่ท่ีมีการสร้างเสริมสุขภาวะและความปลอดภัยในการทางานของแรงงานอย่างเหมาะสม ภายใต้กลไก การขับเคล่ือนที่มีระบบงานประจาที่รองรับและมีผู้นารุ่นใหม่ รวมท้ังเครือข่ายสนับสนุนเพื่อนาไปสู่การขยายผลการ ขับเคลื่อนการเสริมสร้างสุขภาวะและความปลอดภัยในการทางานของแรงงาน เกิดการเช่ือมโยงงานตามพันธกิจในการ ตอบสนองโจทยพ์ ื้นท่ีของหนว่ ยงานต่าง ๆ เพื่อสูเ่ ป้าหมายการพัฒนาท่ยี ง่ั ยนื 13. ตวั ช้ีวัด (indicator) 1) หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องบูรณาการความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรและฐานข้อมูลสุขภาพและความ ปลอดภัยในการทางานของแรงงานเพอ่ื นาไปใชป้ ระโยชนใ์ นเชิงการกาหนดนโยบายและการปฏบิ ัตกิ ารในพ้นื ท่ี 2) ผู้นารุ่นใหม่จานวน 45 คน ท่ีทาหน้าที่ในการเป็นนักสร้างสุของค์กร และเป็นอาสาสมัครแรงงานในพ้ืนท่ี นคิ มอุตสาหกรรม 3) จานวนสถานประกอบกิจการที่ผ่านการตรวจกากับตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานความปลอดภัยและอาชี วอนามยั เพ่มิ มากข้นึ 4) การใช้ forum เป็นพื้นที่ในการแลกเปล่ียนเรียนรู้ในการขับเคลื่อนการเสรมิ สร้างสุขภาวะและความปลอดภัย ในการทางานของแรงงานอย่างสม่าเสมอ จนกลายเป็น Forum ประจาพนื้ ทแ่ี ม้การดาเนินโครงการส้ินสดุ ลง 5) นวัตกรรมการสร้างเสริมสุขภาวะและความปลอดภัยในการทางานของแรงงานในนิคมอุตสาหกรรม และ/ หรือสถานประกอบการตน้ แบบ 6) หน่วยงานทง้ั ภาครฐั ภาคเอกชน และภาคสงั คมท่ีเขา้ ร่วมเป็นเครอื ขา่ ยมีจานวนเพ่มิ มากข้นึ

26 14. ผลทีค่ าดว่าจะไดร้ บั 1) เกิดนิคมอุตสาหกรรม และ/หรือสถานประกอบการต้นแบบ และ/หรือนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ปัญหา และความต้องการเพ่ือการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การเสริมสร้างสุขภาวะและความปลอดภัยในการทางาน เพื่อพัฒนา คุณภาพชวี ิตคนทางานในพ้นื ที่นาร่องทสี่ ามารถขยายผลในเชงิ พื้นที่ไดช้ ดั เจน 2) เกิดผนู้ ารนุ่ ใหมท่ ี่แสดงบทบาทในฐานะผ้นู าการเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาสงั คมแรงงานสู่สังคมสุขภาวะ 3) เกิดความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายท้ังภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และชุมชนท้องถ่ิน ในพื้นท่ีนาร่อง ใน การขบั เคลอ่ื นยุทธศาสตรก์ ารเสรมิ สรา้ งสขุ ภาวะและความปลอดภัยในการทางานเพื่อพฒั นาคุณภาพชวี ติ คนทางาน 4) เกิดการขยาย/เชื่อมโยง/บูรณาการการขับเคล่ือนยุทธศาสตร์การเสริมสร้างสุขภาวะและคุณภาพชีวิต คนทางานกบั ยุทธศาสตร์อนื่ ๆ ในจงั หวัดชลบรุ เี พ่ือเป็นกลไกในการสนบั สนุนคุณภาพชีวิตแรงงานในระยะยาวต่อไป 15. ภาคีโดยตรง 1) กระทรวงแรงงาน 2) สานักงานกองทุนสนบั สนนุ การสร้างเสรมิ สุขภาพ (สสส.) 3) สมาคมผ้นู าการเปลี่ยนแปลงเพื่อพฒั นาแรงงาน 16. ภาคยี ทุ ธศาสตร์ 1) กระทรวงสาธารณสุข 2) กระทรวงอุตสาหกรรม 3) กระทรวงมหาดไทย 4) กระทรวงคมนาคม 5) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 6) สานักงานหลกั ประกนั สุขภาพแหง่ ชาติ 7) องคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่น 8) สถาบันการศกึ ษา 9) องคก์ รภาคประชาสังคม 10) องค์กรพัฒนาเอกชน 11) สื่อมวลชน 17. ผู้รบั ผิดชอบโครงการ กระทรวงแรงงาน ร่วมกับสมาคมผู้นาการเปล่ยี นแปลงเพอ่ื พัฒนาแรงงาน

27 บรรณานุกรม สือ่ สิ่งพมิ พ์ กระทรวงแรงงาน. (2559). กรอบยุทธศาสตรก์ ารพฒั นาทรัพยากรมนษุ ย์ของประเทศ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560- 2579). กรุงเทพฯ : กระทรวงแรงงาน. มานติ ย์ ผวิ ขาว. (2555). การเคลอื่ นย้ายแรงงาน. ในเอกสารประกอบการสอน รายวชิ าเศรษฐศาสตร์ แรงงาน. ขอนแก่น : มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น วทิ ยาเขตหนองคาย. สานักงานกองทุนสนบั สนนุ การสร้างเสรมิ สุขภาพ. (2554). ทิศทาง เป้าหมาย และยุทธศาสตร์ ระยะ 10 ปี (2555-2564) กองทุนสนับสนนุ การสร้างเสรมิ สขุ ภาพ. กรงุ เทพฯ : สานักงานกองทุนสนบั สนนุ การสรา้ ง เสริมสุขภาพ. สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2559). รายงานหลักแผนงานพัฒนาระเบยี ง เศรษฐกิจภาคตะวันออก (พ.ศ. 2560-2564). สานกั งานแรงงานระหวา่ งประเทศ และสานกั งานประกนั สังคม. (2546). งานที่มคี ณุ ค่าและเศรษฐกิจนอกระบบ. กรงุ เทพฯ : สานักงานแรงงานระหว่างประเทศ. ส่อื อิเล็กทรอนิกส์ กองบริหารงานวจิ ยั และประกันคุณภาพการศึกษา. พมิ พเ์ ขียว Thailand 4.0 โมเดลขบั เคลื่อนประเทศไทยสู่ความม่ังค่ัง มั่นคง และยั่งยนื . สืบค้นใน http://www.libarts.up.ac.th/ v2/img/ Thailand-4.0.pdf เม่ือวันท่ี 15 พฤษภาคม 2560. http://nidapoll.nida.ac.th/index.php?op=polls-detail&id=531. http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9480000165354 http://www.oshthai.org/attachments/article/243/243-1.pdf.

28 ภาคผนวก 1 การเสริมสร้างศักยภาพผนู้ าการเปลย่ี นแปลงเพื่อสร้างเสริมสุขภาวะแรงงาน ___________________________________ 1. หลักการและเหตผุ ล จากการทบทวนประเมินผลการพัฒนาประเทศท่ีผ่านมาของสานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ และการวิเคราะห์สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่จะมีผลต่อทิศทางการพัฒนาประเทศในอนาคต ล้วน บ่งช้ีว่าประเทศไทยยังต้องเผชิญกระแสการเปล่ียนแปลงทั้งภายในและภายนอกที่ผันผวน ซับซ้อนและคาดการณ์ ผลกระทบที่จะเกิดข้ึนได้ยาก แม้ว่าในระยะที่ผ่านมาการพัฒนาประเทศจะให้ความสาคัญกับการสร้างภูมิคุ้มกันให้ เข้มแข็ง แต่ก็ยังไม่เพียงพอรองรับสถานการณ์การเปล่ียนแปลงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหาหลักๆ ท่ี ประเทศไทยจะต้องเผชญิ มีหลากหลาย อาทิ 1) วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นท่ัวโลกส่งผลให้เกิดความเหล่ือมล้า และความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ท่ีเพิ่มมาก ขึ้น รวมถึงโอกาสการเข้าถึงทรัพยากรถือเป็นปัจจัยที่นาไปสู่ความขัดแย้งในสังคม และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ประเทศ อาทิ ปัญหาการทุจริตคอร์รัปช่ัน คนยากจนขาดโอกาสทางการศึกษาและอานาจต่อรอง เหล่าน้ีจะเป็นการ ลดทอนความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงทางสังคม นอกจากน้ีแล้ว ในส่วนของสังคมไทยเองยังพบว่าความ ยากจนและความเหลือ่ มลา้ เป็นสาเหตุสาคญั ท่นี าไปสูค่ วามขดั แย้งในสงั คมดว้ ย 2) ขณะเดียวกันปัญหาท่ีทวั่ โลกเผชิญวกิ ฤต คือ การเข้าสสู่ ังคมผู้สูงอายุ (Aging society) ของโลกอยา่ งต่อ เน่ือง ปัจจุบันประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ได้เข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุมา 40 – 50 ปีแล้ว เช่น ฝรั่งเศส สวีเดน อิตาลี สหรัฐอเมริกา ญ่ีปุ่น เป็นต้น ส่วนประเทศกาลังพัฒนาได้ก้าวเข้าสกู่ ารเป็นสังคมผู้สูงอายุแล้วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เช่น เกาหลี สิงคโปร์ จีน ไทย บรูไน อินโดนีเซีย เวียดนาม เป็นต้น ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและภัยคุกคามต่อ ประเทศไทย โดย ด้านหน่ึงประเทศไทยจะมีโอกาสมากข้ึนในการขยายตลาดสินค้าเพ่ือสุขภาพและการให้บริการด้านอาหารสุขภาพ ภูมิ ปัญญาท้องถ่ินและการแพทย์พื้นบ้าน สถานที่ท่องเท่ียวและการพักผ่อนระยะยาวของผู้สูงอายุ จึงนับเป็นโอกาสในการ พัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยและนามาสร้างมูลค่าเพ่ิม ซ่ึงจะเป็นสินทรัพย์ทางปัญญาท่ีสร้าง มูลค่าทางเศรษฐกิจได้ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นข้อจากัดของประเทศไทยเช่นกัน เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2578 ผู้สูงอายุจะมี จานวนมากถึงร้อยละ 25.1 ของประชากรท้ังประเทศ ซ่ึงจะก่อให้เกิดภาระพ่ึงพิงทางเศรษฐกิจและการใช้จ่าย งบประมาณของประเทศ รายจ่ายด้านสุขภาพจะเพิ่มขึ้นจนอาจทาให้งบประมาณสาหรับการลงทุนพัฒนาด้านอ่ืน ๆ ลดลง นอกจากนี้ อาจเกดิ ภาวะการย้ายถิ่นของแรงงานข้ามชาติท้ังแรงงานที่มีฝีมือและไรฝ้ ีมอื เพื่อทดแทนกาลังแรงงาน ที่ลดลงซง่ึ อาจสง่ ผลกระทบต่อความมั่นคงและสังคมของประเทศ 3) ผลิตภาพการผลิตแรงงานไทยยังต่า ความต้องการกาลังคนท่ีมีทักษะและองค์ความรู้สูง ทั้งปริมาณและ คณุ ภาพเพิม่ มากขน้ึ และมแี นวโน้มเพิ่มขึ้นอยา่ งรวดเรว็ 4) สังคมไทยกาลังประสบปัญหาวิกฤติค่านิยมท่ีเปล่ียนแปลงไปตามกระแสวัฒนธรรมต่างชาติท่ีหลากหลาย เพราะขาดทักษะการคิด วิเคราะห์ ไม่สามารถคัดกรองและเลือกรับวัฒนธรรมที่ดี เพ่ือปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมให้ สามารถปรบั ตัวเขา้ กับกระแสใหม่ของโลกได้ 5) จากผลการจัดอันดับดัชนีการพัฒนามนุษย์ของประเทศต่าง ๆ ท่ัวโลก ของสานักงานโครงการพัฒนาแห่ง สหประชาชาติ (United Nations Development Programme : UNDP) ได้จัดกลุ่มประเทศออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มพัฒนาอยู่ในระดับสูงมาก กลุ่มพัฒนาอยู่ในระดับสูง กลุ่มพัฒนาอยู่ในระดับปานกลาง และกลุ่ม

29 พัฒนาอยู่ในระดับต่า พบว่าประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มพัฒนาอยู่ในระดับปานกลางมีดัชนีการพัฒนามนุษย์ : Human Development Index (HDI) ท่ี 0.682 เปน็ อนั ดับที่ 103 จากจานวน 187 ประเทศ จากสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกและภายในประเทศโดยเฉพาะภาวะผันผวนด้านเศรษฐกิจสังคม การเมอื งการปกครอง ท่ีเป็นไปอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อประเทศไทยตามที่กล่าวมาน้ัน มีผลอย่างสูง ตอ่ นโยบายและการดาเนินการเพ่ือพัฒนาแรงงานของประเทศไทย ดังจะเห็นได้จากแนวนโยบายแห่งรัฐที่ได้ให้ความสาคัญ อยา่ งมากกับการพัฒนากาลงั คนของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิง่ การสรา้ งเสริมคุณภาพชีวิตใหก้ บั คนทางาน อาทิ 1) กรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) มุ่งการพัฒนากาลังคนก้าวสู่ประเทศไทย 4.0 เป็นการ เปล่ียน “ปัญหาและความท้าทาย” ให้เปน็ “ศกั ยภาพและโอกาส” ในการสร้างความมั่นคง มั่งค่ัง ยั่งยืน ให้กับประเทศ อย่างเป็นรูปธรรม เช่น การเปลี่ยนจากปัญหาการเข้าสู่สังคมผู้สงู อายุให้เป็นสังคมผู้สูงอายุท่ีมีพลัง (Active Aging) การ พัฒนาโดยการสร้าง “ความม่ันคง” ให้กับแรงงาน ให้มีหลักประกันท่ีดี ได้ทางานที่มีคุณค่า (Decent Work) สร้าง “ความม่ังค่ัง” ให้แรงงานมีรายได้สูง (High Income) มผี ลิตภาพแรงงานสูง (High Productivity) นาไปสู่การมีคุณภาพ ชวี ิตที่ดอี ย่างย่งั ยืน เป็นตน้ ท้ังนี้ กระบวนทัศน์ในการพัฒนาประเทศภายใต้ “ประเทศไทย 4.0”ประกอบด้วย 3 ประเด็น สาคัญ ได้แก่ (1) เป็นจุดเริ่มต้นของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการขับเคล่ือนไปสู่การเป็นประเทศท่ีมั่งค่ัง ม่ันคง และยั่งยืน อย่างเป็นรูปธรรม (2) เป็น “Reform in Action” ที่มีการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูปการวิจัย และพัฒนา และการปฏิรูปการศึกษาไปพร้อม ๆ กนั (3) เป็นการผนกึ กาลังของทกุ ภาคสว่ นภายใตแ้ นวคิด “ประชารฐั ” โดยเป็นประชารฐั ท่ผี นึกกาลังกบั เครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ การวิจัยพัฒนา และบุคลากรระดบั โลก ภายใต้หลักปรชั ญา เศรษฐกิจพอเพียงของการ “รู้จักเตมิ รูจ้ ักพอ และรจู้ ักปนั ” 2) กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษยข์ องประเทศ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560–2579) เป็นแนว ทางในการ ขับเคลื่อนการดาเนินงานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม จดั ทาข้ึนเพ่ือให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ ชาติระยะ 20 ปี รวมถึงเป็นการดาเนินการท่ีรองรับวาระ 2030 เพ่ือการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy : SEP) โดยมุ่งเน้นการพัฒนา ทักษะ ความรู้ ความสามารถ เพ่ือให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพการใช้ปัญญาสูง (Brain Power) ตลอดจนการ สร้างความม่ันคงในชีวิตการทางาน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทย การสร้างความมั่นคงที่ ต้องดาเนินการอย่างเข้มข้นให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ได้แก่ (1) มีหลักประกันที่ดี (2) มีโอกาสในการทางานท่ีมี คุณค่า (Decent Work) (3) ได้รับการคุ้มครองสิทธติ ามกฎหมาย (4) มีสภาพการจ้างท่ีเป็นธรรม (5) มสี ภาพแวดล้อม และสภาพการทางานท่ปี ลอดภัย (6) มีแรงงานสัมพันธ์ทดี่ ี (7) ไดร้ ับสวสั ดิการแรงงานทีเ่ หมาะสม และ (8) มีศักยภาพ ไดม้ าตรฐานสากล จากกรอบยุทธศาสตรท์ ่ีสาคญั ข้างต้น องคป์ ระกอบสาคัญประการหน่งึ ที่จะผลักดันให้แรงงานมีสุขภาวะหรือมี คณุ ภาพชวี ิตท่ีดี คือ ภาคส่วนตา่ ง ๆ ท่เี ก่ียวข้อง อันประกอบดว้ ย บุคลากรภาครัฐและเครือขา่ ยด้านแรงงาน เพราะถือ ว่าภาคส่วนเหล่านี้เป็น “ต้นน้า” ของการพัฒนา ดังจะเห็นได้จากแผนแม่บทด้านแรงงาน พ.ศ. 2560 – 2564 และวาระ ปฏิรูปแรงงาน 8 วาระ ที่ระบุไว้ว่าการท่ีจะเดินหน้าพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศเพื่อตอบ สนองต่อเป้าหมายการ พัฒนาประเทศในอีก 20 ปข้างหน้าให้ประสบความสาเร็จตามเป้าประสงค์ได จุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ชวงท่ี 1 Productive Manpower (พ.ศ. 2560 – 2564) ซ่ึงเป็นช่วงของการสรางรากฐานการดาเนินงานดานแรงงานใหเปนมาตรฐานสากลเปน ส่ิงสาคัญมาก กระทรวงแรงงานจึงได้จัดทาแผนแม่บทด้านแรงงาน พ.ศ. 2560 – 2564 เพ่ือตอบสนองภารกิจดังกล่าว และเพื่อรองรับความท้าทายท่ีจะส่งผลให้เกิดการเปล่ียนแปลงรปู แบบการจ้างงาน รูปแบบการทางาน และเกิดอาชีพใหม่ๆ ที่ต้องการทักษะท่ีแตกตา่ งออกไปจากในปัจจุบัน จึงไดกาหนดวาระปฏิรูปแรงงาน 8 วาระ ประกอบด้วย มิติภายใน 3

30 วาระ และมิติภายนอก 5 วาระ โดย 1 ใน 3 ของมิติภายในที่สาคัญ คือ “การปฏิรูปบทบาทกระทรวงแรงงาน” ซึงถือวา เปนตนน้าของวาระปฏิรปู แรงงานทัง้ 8 วาระ เนน้ ความ สาคญั ใน 3 มิติ คอื (1) มติ โิ ครงสรางอานาจหนาท่ที ่ีตองทนั สมัย พรอมการปฏบิ ตั ภิ ารกจิ ใหม ๆ และทาทาย (2) มิติบุคลากร ตองกาวทนั การเปลยี่ นแปลง และ (3) มิตกิ ฎหมายและ กฎระเบยี บตาง ๆ ทต่ี องเปนกลไก สนับสนนุ การทางานแนวใหมมีความยดื หยุนสูง มคี วามคลองตัว นอกจากนี้แล้ว เม่ือย้อนกลับไปพิจาณาการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันท่ี 23 เมษายน 2556 คณะรัฐมนตรี มีมติ เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2556 – พ.ศ. 2561) ตามที่สานักงานคณะกรรมการพัฒนา ระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอและมอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา ระบบ ราชการไทยมาใชเ้ ป็นกรอบแนวทางในการดาเนินภารกิจของหนว่ ยงานต่อไป โดยสาระสาคัญของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา ระบบราชการไทย (พ.ศ. 2556 – พ.ศ. 2561) มี 7 ยทุ ธศาสตร์ ดงั นี้ ยทุ ธศาสตร์ที่ 1 : การสรา้ งความเปน็ เลิศในการใหบ้ รกิ ารประชาชน ยุทธศาสตรท์ ่ี 2 : การพัฒนาองคก์ ารให้มขี ดี สมรรถนะสูงและทันสมยั บุคลากรมีความเปน็ มอื อาชีพ ยุทธศาสตรท์ ี่ 3 : การเพิม่ ประสทิ ธภิ าพการบริหารสนิ ทรพั ย์ของภาครัฐให้เกดิ ประโยชน์สูงสดุ ยุทธศาสตร์ท่ี 4 : การวางระบบการบรหิ ารงานราชการแบบบรู ณาการ ยุทธศาสตร์ท่ี 5 : การส่งเสริมระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองแบบร่วมมือกันระหว่างภาครัฐภาคเอกชนและ ภาคประชาชน ยทุ ธศาสตร์ท่ี 6 : การยกระดบั ความโปร่งใสและสรา้ งความเชื่อมน่ั ศรัทธาในการบริหารราชการแผ่นดิน ยทุ ธศาสตร์ท่ี 7 : การสรา้ งความพร้อมของระบบราชการไทยเพ่ือเข้าสู่การเปน็ ประชาคมอาเซียน ท้ังน้ี สานักงาน ก.พ.ร. ได้วิเคราะห์ไว้ว่าในการนาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2556 – พ.ศ. 2561) ไปสกู่ ารปฏิบัติให้ประสบผลสาเร็จนนั้ จาเป็นต้องอาศยั ปัจจัยเงื่อนไขที่สาคญั ได้แก่ 1) เสริมสร้างภาวะผู้นาการบริหารการเปล่ียนแปลง ซึ่งต้องมีการเสริมสร้างภาวะผู้นาของส่วนราชการอย่าง จริงจังต่อเนื่อง ให้ตระหนัก รับรู้ ยอมรับ เข้าใจในบริบทและสภาพการเปล่ียนแปลง พรอ้ มเป็นผู้นาการเปลี่ยน แปลงที่ จะเกิดขึ้น มีความสามารถในการประสานงานข้ามหน่วยงานและสร้างเครือข่ายในการทางาน มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล คิดนอก กรอบ ตลอดจนสามารถส่ือสารทาความเข้าใจให้เกิดการยอมรับได้ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทาง การ มีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีทันสมัย มีทักษะทางการเมือง เข้าใจในขั้นตอนและกระบวนการนโยบาย รวมถึงสามารถวางและผลักดัน ยทุ ธศาสตร์ไปสู่การปฏบิ ัตไิ ด้สาเร็จอยา่ งเป็นรปู ธรรม และทสี่ าคัญเปน็ ผู้นาท่มี ีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม สามารถบูรณาการการทางานอย่างเปน็ ระบบเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายสดุ ท้ายคือเพ่ือประโยชนส์ ขุ ของประชาชน 2) เน้นกระบวนการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงต้องมีการส่งเสริมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการ แลกเปล่ียนประสบการณ์จากการปฏิบัติจริง (Action Learning Program) เพ่ือให้เกิดความเข้าใจและการเปลี่ยน แปลงอยา่ งยั่งยืน แทนรูปแบบ และวิธีการฝึกอบรมในห้องเรียนแบบเดิม โดยให้ผู้เรียนมสี ่วนร่วมและลงมือปฏิบตั ิจริงทุก ขั้นตอน จนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกัน ได้เรียนรู้ร่วมกัน ได้แลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ ความคิด และประสบการณ์แก่กันและกันมากท่ีสุดเท่าท่ีจะทาได้ (Interaction) อันจะส่งผลให้ ผู้เรียนสามารถนา ความรู้ทไี่ ดไ้ ปประยุกต์ใชใ้ นการปฏบิ ตั งิ านอยา่ งแทจ้ ริง เพ่ือขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งการสร้างเสริมให้คนมีสุขภาวะ เน้น กลไกขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาระบบประชารัฐ คือ ความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาค ประชาสังคม ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างตอ่ เนื่อง โดยยึดคนเป็นศนู ยก์ ลางของการพฒั นา จงึ จาเปน็ ทจ่ี ะต้องมี “ผู้นาการ เปล่ียนแปลง” ที่เป็นผู้ริเริ่ม กล้าคิด กล้าทา และมาจากหลากหลายองค์กร เพ่ือให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทางาน

31 ดา้ นแรงงานครั้งใหม่ โดย “ผู้นา” ในลักษณะใหม่น้ี จะเป็นผู้นาท่ีไม่ได้มีเพียงความรคู้ วามสามารถในขอบ เขตความถนัด หรือความสนใจเฉพาะเท่านั้น แต่ยังต้องมีกระบวนทัศน์ใหม่ เข้าใจตน และเข้าใจโลกอย่างรอบด้าน มีทักษะใหม่ที่ จาเป็นตอ่ การทางานในวงการแรงงานท่ซี ับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมท้ังมภี าวะผ้นู าใหม่ท่ไี ม่ไดน้ าเพียงคน เดยี วแต่สามารถเช่ือมประสานกบั คนอืน่ ๆ ให้เกดิ ภาวะผู้นาร่วม (Collective Leadership) ท่ีมีศักยภาพมากย่งิ ขึ้น โดย มกี ลไกการทางานร่วมกนั (Co - management) ระหวา่ งทกุ ภาคส่วน 2. วตั ถปุ ระสงค์ 2.1 สร้างผู้นารุ่นใหม่ และจุดประกายให้ผู้นาท่ีมีกระบวนทัศน์ ทักษะ ภาวะผู้นา ท่ีเอื้อต่อการพัฒนาสังคม แรงงานสูส่ งั คมสุขภาวะและสังคมแหง่ การเรียนรู้ ทงั้ ในระดับพื้นท่ี และระดบั ประเทศ 2.2 สนับสนุนให้เกิดภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็งของผู้นาหลากหลายอาชีพจากหลายภาคส่วน ท้ังภาครัฐ ภาคสื่อสาร มวลชน ผูน้ าแรงงานทั้งฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง ในการดาเนนิ งานด้านการพัฒนาสังคมแรงงานสู่สังคมสขุ ภาวะ และ สังคมแหง่ การเรยี นรู้ ในลักษณะของเครอื ขา่ ยพหภุ าคี 2.3 เป็นแหล่งเรียนรู้และเกิดการถ่ายทอดความเป็นผู้นาจากผู้นารุ่นก่อนสู่ผู้นารุ่นใหม่ในอนาคตอย่างต่อเน่ือง และเกิดนวัตกรรมใหม่ในการทางานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานอย่างยัง่ ยนื 3. เปา้ หมาย 3.1 เกิด “ผู้นาการเปลี่ยนแปลง” ท่ีมีภาวะผู้นาใหม่ตามคุณสมบัติที่พึงประสงค์ มีศักยภาพในการทางาน พรอ้ มเรียนรรู้ ่วมกับผู้อื่นและภาคีเครือข่ายในการสร้างสรรค์ พัฒนา และเปล่ียนแปลงให้เอ้ือต่อการมีสุขภาวะที่ดีสร้าง งานทีม่ คี ุณคา่ (Decent Work) ต่อสงั คมไทย 3.2 เกิด “เครือข่ายผู้นาการเปล่ียนแปลง” ท่ีมีบทบาทในการสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านการ พฒั นาสุขภาวะและคุณภาพชีวติ แรงงาน โดยมีกลไกการทางานร่วมกัน (Co-Management) ระหวา่ งหน่วยงานภาครัฐ สถานประกอบการ รวมทงั้ ภาควชิ าการ และสอ่ื มวลชน 3.3 เกิด “แหล่งเรียนรู้และการถ่ายทอดความรู้” ระหว่างเครือข่ายผู้นาการเปล่ียนแปลงเพ่ือสร้างเสริมสุขภาวะ แรงงานและผู้มีส่วนเก่ยี วข้อง 4. คุณสมบตั ิท่ีคาดหวงั คุณสมบัติของผู้นาการเปลี่ยนแปลงในวงการแรงงานที่ต้องการคือ สามารถทาหน้าท่ีเป็นผู้นาการเปล่ียนแปลง ในองคก์ รที่ตนสงั กดั ให้สามารถรองรบั การบรหิ ารจัดการแรงงานในบรบิ ททีเ่ ก่ียวข้องได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ได้แก่ 4.1 เป็นผนู้ าท่ีมีวสิ ยั ทศั น์ มองการณ์ไกล เข้าใจบริบทและสภาพการเปลีย่ นแปลง รวมทง้ั ตระหนักถงึ คุณค่าของ ตนเองพร้อมที่จะเรียนรู้ส่ิงใหม่ ๆ ใฝ่หาความรู้ตลอดชีวิต เพื่อพัฒนาตนสู่เป้าหมายที่มีคุณค่าและเป็นผู้นาท่ีมีคุณธรรม จริยธรรม 4.2 มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร ทาให้คนเห็นคล้อยตามหรือส่ือสารภารกิจให้ผู้อื่นทาตาม หรือให้ความร่วมมือได้ และสามารถใชเ้ ทคโนโลยีเพ่ือประโยชน์ในการประสานงานข้ามหน่วยงานและสร้างเครือข่ายใน การทางาน 4.3 มีความสามารถในการสร้างนวัตกรรมเพ่ือการบริหารจัดการองค์กร (Innovation for Organization Development) เพื่อนาองค์กรไปสู่การพัฒนาประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และคุณภาพของการปฏิบัติงาน โดยการ

32 ปรับปรุงและเปล่ียนแปลงทางด้านกระบวนการทางความคิดเพ่ือก่อให้เกิดส่ิงใหม่ท่ีแตกต่างและเป็นประโยชน์ ทั้งต่อ บุคลากรในองคก์ ร และผรู้ บั บรกิ าร 4.4 มีความสามารถในการบริหารนโยบายและบริหารการเปล่ียนแปลง (Policy & Change Management) สามารถส่งเสริมและเชื่อมโยงศักยภาพความสามารถขององค์กรให้เกิดสมรรถนะที่สูงข้ึนด้วยการนานโยบายไปสู่การ ปฏิบัติด้วยการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อการทางานอย่างมีเอกภาพ ก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และเกิด ประโยชนส์ ูงสุดเพอ่ื บรรลุเป้าหมายขององค์กร 4.5 เป็นผู้ท่ีมีความสามารถในการบริหารจัดการความขัดแย้ง (Conflict Management) เข้าใจมุมมองที่ แตกต่างของแต่ละฝ่าย และหาทางออกท่ีทุกคนเห็นพ้องต้องกันได้ กล้าเผชิญหน้ากับข้อขัดแย้งที่ป รากฏ และปรับ ทัศนคติให้เป็นไปในทิศทางท่ีมาจากการตกลงร่วมกัน เพ่ือสร้างบรรยากาศของความเป็นมิตร ช่วยให้เกิดความร่วมมือ (Collaboration) และสามารถชกั จูงผอู้ ื่นให้เข้ารว่ มทางานดว้ ยความเตม็ ใจ 5. การขยายผลโครงการผนู้ าการเปล่ียนแปลงเพือ่ พฒั นาแรงงาน โครงการผู้นาการเปลย่ี นแปลงเพื่อพฒั นาแรงงานดาเนินการอบรมและพฒั นาผู้นาแรงงานรนุ่ ใหม่มาตั้งแต่เดอื น สิงหาคม 2556 – กรกฎาคม 2558 โดยมวี ัตถุประสงคท์ สี่ าคญั 4 ประการ ได้แก่ 1) เพ่ือพฒั นาหลกั สูตรด้านผู้นาการเปลย่ี นแปลงเพอ่ื การพัฒนาแรงงาน 2) สร้างผู้นาการเปลี่ยนแปลงในวงการแรงงาน และจุดประกายให้เป็นผู้นาท่ีมีกระบวนทัศน์ และภาวะผู้นาท่ีเอื้อ ต่อการพัฒนางานและพัฒนาองค์กรให้สอดคล้องรองรบั กบั บริบทดา้ นแรงงานทเ่ี ปลีย่ นแปลงไป 3) สนับสนุนให้เกิดภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็งของผู้นาหลากหลายอาชีพจากหลากหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐ ผู้นา แรงงานทั้งฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง ภาคสื่อสารมวลชน นักวิชาการ และองค์กรพัฒนาเอกชน ในการดาเนินงาน ด้านการพฒั นาแรงงานในลกั ษณะเครอื ขา่ ยพหภุ าคี 4) เพื่อให้เกิดนวัตกรรมการเรียนรู้ของหน่วยงานที่ร่วมโครงการ เป็นแหล่งเรียนรู้และเกิดการถ่ายทอดความเป็น ผู้นาจากผู้นารุ่นก่อนสู่ผู้นารุ่นใหม่ในอนาคตอย่างต่อเน่ือง และเกิดนวัตกรรมใหม่ในการทางานเพ่ือพัฒนาแรงงานอย่าง ยง่ั ยืน สาหรบั ผลผลิตทีเ่ ป็นรปู ธรรมของโครงการ ได้แก่ 1) หลักสูตรด้านผู้นาการเปล่ียนแปลงเพื่อการพัฒนาแรงงาน เป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้รูปแบบใหม่ กล่าวคือ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนรู้ร่วมกับกัลยาณมิตร มีโอกาสและส่วนร่วมในการกาหนดเนื้อหาและกระบวน การเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการเรียนรู้หลัก (Core Module) ต่าง ๆ โดยกระบวนการเรียนรู้หลักเป็น การอบรมเชิงปฏิบัติการ ท่ีผู้เรียนรู้ทุกคนและกัลยาณมิตรที่สนใจเข้าร่วมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ โดยวิทยากร กระบวนการที่มีความสามารถเฉพาะ โดยที่มี 5 กระบวนการหลัก ใช้ระยะเวลาการอบรม 2 – 5 วันต่อ 1 กระบวน การ หลัก ทั้งน้ี ระยะเวลาท่ีกาหนดข้ึนอยู่กับความสาคัญของเนื้อหาสาระและกระบวนการการเรียนในกระบวนการหลั ก น้ันๆ ไดแ้ ก่ (1) วิสัยทศั น์ คุณคา่ และการพฒั นาตน (Vision, Value & Self Development) (2) การคดิ เชิงระบบ ทักษะการเรียนรูแ้ ละการจัดการองค์กร (System Thinking, Learning & Organizing Skill) (3) การสรา้ งนวตั กรรมในการเปลย่ี นแปลงสังคม (Innovation building in social change) (4) ระบบการบริหารแรงงาน (Labor Administration System) และการสร้างนวตั กรรมเพอ่ื พฒั นาการให้บริการดา้ นแรงงาน (Innovation to Improve Workers’ Service)

33 (5) สื่อสารสงั คม ส่ือสาธารณะ (Social Communication and Public Communication) 2) สร้างผู้นาการเปลี่ยนแปลงในวงการแรงงาน โดยมีผู้เข้าอบรมและพัฒนาทั้งส้ิน 2 รุ่น จานวนรุ่นละ 34 คน รวม 68 คน ประกอบด้วย บุคลากรภาครัฐ 40 คน บุคลากรองค์การนายจ้าง 10 คน บุคลากรองค์การลกู จ้าง 9 คน และบุคลากรภาคสือ่ สารมวลชน/องคก์ รพัฒนาเอกชน/นกั วิชาการ 9 คน 3) สนบั สนนุ ใหเ้ กดิ ภาคีเครือขา่ ยท่ีเข้มแข็งของผู้นาหลากหลายอาชีพจากหลากหลายภาคส่วนทง้ั ภาครฐั ผู้นาแรงงานทั้งฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง ภาคสื่อสารมวลชน นักวิชาการ และองค์กรพัฒนาเอกชน ในการ ดาเนินงานด้านการพัฒนาแรงงานในลักษณะเครือข่ายพหภุ าคี โดยผู้ผ่านการอบรมทงั้ 2 ร่นุ ได้รว่ มกันจดทะเบียนจัดตั้ง “สมาคมผู้นาการเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาแรงงาน” มีฐานะเป็นนิติบุคคล เม่ือวันท่ี 14 กรกฎาคม 2558 โดยมี วตั ถปุ ระสงค์ ดงั น้ี (1) สง่ เสริมการสรา้ งผู้นารุ่นใหม่ในแวดวงแรงงาน และจุดประกายให้เป็นผู้นาทมี่ ีกระบวนทัศน์ ทกั ษะ ภาวะผู้นาทีเ่ อือ้ ต่อการพฒั นางาน และพัฒนาองคก์ รใหส้ อดคลอ้ งรองรบั กับบริบทดา้ นแรงงานทเี่ ปล่ยี นแปลงไป (2) สนับสนุนให้เกิดภาคีเครือข่ายท่ีเข้มแข็งของผู้นาหลากหลายอาชีพจากหลายภาคส่วน ท้ังภาครัฐ ผู้นาแรงงานท้ังฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง ภาคส่ือมวลชน นักวิชาการ และองค์กรพัฒนาเอกชน ในการดาเนินงานด้าน การพฒั นา แรงงานในลักษณะของเครือขา่ ยพหภุ าคี (3) ดาเนินการเกี่ยวกบั สาธารณประโยชน์การกุศล หรือรว่ มมอื กบั องคก์ รอืน่ จดั กจิ กรรมที่เกยี่ วกับการ พฒั นา แรงงาน หรอื สรา้ งนวัตกรรมในการทางานเพ่อื พัฒนาแรงงาน 4) เกิดนวัตกรรมการเรียนรู้ของหน่วยงานที่ร่วมโครงการ และเกิดนวัตกรรมใหม่ในการทางานเพ่ือพัฒนาแรงงาน อย่างย่ังยืน โดยผู้ผ่านการอบรมได้จัดทาโครงการเด่ียวและโครงการกลุ่มรวมท้ังสิ้น 74 โครงการ เป็นโครงการ เดี่ยว 64 โครงการ และโครงการกลุ่มจานวน 10 โครงการ ซ่ึงเป็นการขยายขอบเขตการดาเนินการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน รวมท้ังเป็นการขยายเครือข่ายด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานทั้งแรงงานภาครัฐ ภาคเอกชน แรงงาน ในระบบ แรงงานนอกระบบ และแรงงานในทุกช่วงวยั อน่ึง ข้อเสนอแนะจากการประเมนิ “โครงการผู้นาการเปลย่ี นแปลงเพื่อพัฒนาแรงงาน” โดยคณะทรพั ยากรมนุษย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (2558) และการประชุมคณะกรรมการอานวยการโครงการผู้นาการเปล่ียน แปลงเพื่อ พัฒนาแรงงาน” เมื่อวนั ท่ี 26 สงิ หาคม 2558 สามารถสรปุ ได้ ดังน้ี 1) การจัดโครงการต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 2 รุ่น เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ของโครงการฯ ว่าการใช้แนวทางน้ี สามารถเห็นผลในเรอื่ งสขุ ภาวะจริง ๆ 2) การขยายภาคีเครือข่ายที่เข้ารับการอบรม เพื่อให้มีพันธมิตรในการทางานเพ่ิมมากข้ึน โดยเฉพาะอย่างย่ิง หนว่ ยงานภาครัฐท้ังภายในประเทศ และองคก์ ารแรงงานระหว่างประเทศ 3) การผลักดนั หลักสูตรใหน้ าไปรบั รองวิทยฐานะได้ เพื่อเป็นการจูงใจให้บุคคลนาแนวคดิ น้ีไปพัฒนาให้เกิดความ ยัง่ ยนื ในอนาคต 4) กระทรวงแรงงานเข้ามารับผิดชอบโครงการฯ ในฐานะเป็นโครงการพัฒนาบุคลากรด้านแรงงาน โดยอาจ ร่วมมอื กับหนว่ ยงาน องค์กรอน่ื ๆ ในรปู แบบ Co-management จากท่ีมาและความสาคัญของการดาเนินโครงการ รวมทั้งผลการดาเนินโครงการผู้นาการเปลี่ยนแปลงเพื่อ พัฒนาแรงงานในรุ่นที่ 1 และ รุ่นที่ 2 ท่ีได้กล่าวมาท้ังหมดข้างต้น ประกอบกับสถานการณ์การพัฒนาของโลกท่ีสาคัญ ประการหนึ่งในปัจจุบัน คือ การพัฒนาในด้านอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในช่วง 4 ทศวรรษท่ีผ่านมา เป็นการพัฒนาท่ีก่อให้เกิดผลกระทบและความเสียหายต่อทรัพยากรโลกเป็นอย่างมาก เมื่อปี พ.ศ. 2543 ประเทศไทย

34 และประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวม 189 ประเทศ จึงรวมตัวกันในการประชุมองค์การสหประชาชาติท่ีมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และเห็นพ้องต้องกันในการตั้งเป้าหมายการพัฒนาท้ังในระดับชาติและระดับสากลที่ทุกประเทศจะ ดาเนินการร่วมกันให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2558 โดยเป้าหมายดังกล่าวเรียกว่า “เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ” หรือ Millennium Development Goals (MDGs) ประกอบด้วย 8 เปา้ หมายหลัก1 ระยะเวลา 15 ปีผ่านมา เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษท้ัง 8 ข้อ กาลังจะสิ้นสุดลง โดยประสบความสาเร็จ เป็นอย่างดีในหลายประเทศ ซึ่งเพ่ือให้เกิดความต่อเนื่องของการพัฒนา องค์การสหประชาชาติจึงได้กาหนดเป้าหมาย การพัฒนาขึ้นใหม่โดยอาศัยกรอบความคิดท่ีมองการพัฒนาเป็นมิติ (Dimensions) ของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้มีความเชื่อมโยงกัน เรียกว่า “เป้าหมายการพัฒนาที่ย่ังยืน” หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ซึ่ง จะใช้เป็นทิศทางการพัฒนาต้ังแต่เดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2558 ถึงเดือนสิงหาคม 2573 ครอบ คลุมระยะเวลา 15 ปี ประกอบไปด้วย 17 เป้าหมาย ได้แก่ (http://www.manpattanalibrary.com /newsdetail.php?id=48) เปา้ หมายที่ 1 ขจัดความยากจนในทุกรูปแบบ ทุกที่ เป้าหมายท่ี 2 ขจัดความหิวโหย บรรลุเป้าความม่ันคงทางอาหารและโภชนาการที่ดีขึ้น และส่งเสริม เกษตรกรรมย่ังยนื เปา้ หมายท่ี 3 ทาให้แน่ใจถึงการมีสุขภาวะในการดารงชีวิต และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนในทุก ชว่ งอายุ เปา้ หมายท่ี 4 ทาให้แน่ใจถึงการได้รับการศึกษาท่ีได้คุณภาพอย่างเท่าเทียมและท่ัวถึง และส่งเสริมโอกาสใน การเรียนรตู้ ลอดชวี ติ แก่ทกุ คน เปา้ หมายที่ 5 บรรลุถึงความเท่าเทียมทางเพศ และเสริมสร้างพลังให้แก่สตรีและเด็กหญิงทุกคน เปา้ หมายที่ 6 ทาให้แน่ใจว่าเรื่องน้าและการสุขาภิบาลได้รับการจัดการอย่างยั่งยืน และมีสภาพพร้อมใช้ สาหรับทกุ คน เป้าหมายที่ 7 ทาใหแ้ น่ใจวา่ ทุกคนสามารถเขา้ ถึงพลงั งานทท่ี ันสมัย ยั่งยืน เชื่อถอื ได้ ตามกาลังซ้อื ของตน เป้าหมายท่ี 8 ส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจท่ีย่ังยืนและท่ัวถึงให้เป็นไปอย่างย่ังยืน ส่งเสริม ศกั ยภาพการมงี านทาและการจา้ งงานเต็มที่ และงานที่มีคณุ ค่าสาหรับทุกคน เป้าหมายที่ 9 พัฒนาโครงสร้างพนื้ ฐานทพี่ ร้อมรับการเปลี่ยนแปลง สง่ เสรมิ การปรับตวั ให้เป็นอตุ สาหกรรม อย่าง ยั่งยนื และทว่ั ถงึ และสนบั สนนุ นวัตกรรม เปา้ หมายที่ 10 ลดความเหล่อื มล้าทง้ั ภายในและระหว่างประเทศ เป้าหมายที่ 11 ทาให้เมืองและการต้ังถิ่นฐานของมนุษย์มีความปลอดภัย ท่ัวถึง พร้อมรับการเปล่ียนแปลงและ ยั่งยืน เปา้ หมายที่ 12 ทาใหแ้ นใ่ จถึงการมีแบบแผนการผลติ และการบรโิ ภคทีย่ ั่งยนื เปา้ หมายท่ี 13 ดาเนินการอย่างเร่งดว่ นเพอื่ ตอ่ ส้กู ับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอิ ากาศและผลกระทบท่ีเกดิ ขึ้น 1 เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ หรือ Millennium Development Goals (MDGs) ประกอบด้วย 8 เป้าหมายหลัก ได้แก่ 1) ขจัดความยากจนและความหิวโหย 2) ให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา 3) ส่งเสริมความ เท่าเทยี มกัน ทางเพศและบทบาทสตรี 4) ลดอัตราการตายของเด็ก 5) พัฒนาสขุ ภาพของสตรีมีครรภ์ 6) ต่อสู้กบั โรคเอดส์ มาลาเรีย และโรค สาคัญอนื่ ๆ 7) รกั ษาและจดั การสิ่งแวดล้อมอยา่ งยงั่ ยืน และ 8) ส่งเสรมิ การเปน็ หุน้ สว่ นเพ่อื การพัฒนาในประชาคมโลก

35 เป้าหมายที่ 14 อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเล และทรัพยากรทางทะเลสาหรับการพัฒนาที่ ยั่งยืน ให้เปน็ ไปอย่างยงั่ ยนื เปา้ หมายที่ 15 พิทักษ์ บูรณะ และส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ย่ังยืนของระบบนิเวศบนบก จัดการป่าไม้อย่าง ยั่งยืน ต่อสู้กับการแปรสภาพเป็นทะเลทราย หยุดย้ังและฟื้นฟูความเส่ือมโทรมของท่ีดิน และหยุดยั้งการสูญเสียความ หลากหลายทางชวี ภาพ เปา้ หมายท่ี 16 ส่งเสริมให้สังคมมีความเป็นปกติสุข ไม่แบ่งแยก เพื่อการพัฒนาท่ียั่งยืน มีการเข้าถึงความ ยุตธิ รรมโดยถ้วนหน้า และสรา้ งให้เกดิ สถาบนั อนั เปน็ ท่ีพงึ่ ของสว่ นรวม มปี ระสทิ ธิผล และเปน็ ทีย่ อมรบั ในทกุ ระดบั เป้าหมายท่ี 17 เสริมสร้างความเข้มแข็งในวิธีการปฏิบัติให้เกิดผล และสร้างพลังแห่งการเป็นหุ้นส่วนความ ร่วมมือระดับสากลต่อการพัฒนาที่ยัง่ ยนื จากเปา้ หมายท้ัง 17 ประการ จะเห็นได้วา่ ในเป้าหมายที่ 3 นัน้ มุ่งการมีสขุ ภาวะในการดารงชีวิต และส่งเสริม ความเป็นอยู่ท่ีดีของทุกคนในทุกช่วงอายุ ซึ่งการดาเนินการดังกล่าวจะประสบความสาเร็จได้จาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องมี การพฒั นาผู้นารุ่นใหม่ท่ีมีความรู้ ความเขา้ ใจ และมีความพร้อมทจี่ ะดาเนินงานภายใต้แนวคิด “สังคม สุขภาวะ” ท่ีให้ ความสาคัญกับสุขภาวะที่เกิดจากการอยู่ร่วมกันด้วยดีของกลุ่มคน ในขนาดและลักษณะต่าง ๆ เช่น ในครอบครัว ใน ชมุ ชน ในสถานทท่ี างาน ในสังคมขนาดใหญห่ รือประเทศ และการอยรู่ ว่ มกนั ด้วยดขี องมนุษยโ์ ลก โครงการผู้นาการเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาแรงงานได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึน้ กับ “ผู้นารุ่นใหม่” ท่ีมา จาก ภาคีเครือข่ายการทางานด้านแรงงานทุกภาคส่วน ดังจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผู้เข้ารับการอบรมทั้ง 2 รุ่น มี ความ พยายามในการที่จะนาองค์ความรู้ ทักษะ ตลอดจนเครือข่ายท่ีได้รับการพัฒนาข้ึนมาระหว่างการอบรมมาใช้ในการ พัฒนาสุขภาวะและคุณภาพชีวิตของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแวดวงแรงงาน ดังจะเห็นได้อย่างชัดเจนในกรณีของการนา โครงการเด่ียวและโครงการกลุ่มของผู้ผ่านการอบรมในรุ่นท่ี 1 จานวน 39 โครงการ มาบูรณาการโดยคณะ ทางาน บูรณาการโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงาน จากผู้ผ่านการอบรมในรุ่นที่ 1 ซ่ึงสามารถบูรณาการได้ 2 โครงการ คือ “โครงการกระทรวงแรงงานน่าอยู่ มุ่งสู่องค์กรสุขภาวะ” และ “โครงการแรงงานปลอดภัย สุขภาพ อนามัยดี มีผลิตภาพแรงงานสูง” ซ่ึงได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการดาเนินโครงการจากสานักงานกองทุน สนับ สนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เริ่มดาเนินการตั้งแต่เดือนกันยายน 2558 - สิงหาคม 2560 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ สร้างองค์กรให้เข้มแข็ง และมีความสุข ขยายผลดูแลบุคลากรภาครัฐ และแรงงานภาคเอกชนอย่างครบวงจร ส่ิงนี้ สะท้อนให้เห็นว่าเป็นการนาศักยภาพของผู้เข้ารับการอบรมและภาคีเครือข่ายท่ีได้รับ การพัฒนาข้ึนมาโดยสานักงาน กองทุนสนับสนนุ การสร้างเสรมิ สุขภาพ (สสส.) กระทรวงแรงงาน และมลู นิธินคิ ม จันทรวิทุร มาตอ่ ยอดเพือ่ ให้เกิดความ ยง่ั ยนื ในการทางานต่อไป ตวั อยา่ งข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่าเป็นการพัฒนา รวมท้ังต่อยอด ขยายผลการ “การสรา้ งเสรมิ สุขภาพ” ของภาคี เครือข่าย ตามมาตรา 3 ของพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 ท่ีให้คาจากัดความว่า “การสร้างเสริมสุขภาพ” หมายถึง การใด ๆ ท่ีมุ่งกระทาเพ่ือสร้างเสริมให้บุคคลมีสุขภาวะทางกาย จิต และสังคม โดย สนับสนุนพฤติกรรมของคน สภาพสังคมและส่ิงแวดล้อมที่นาไปสู่ร่างกายท่ีแข็งแรง จิตที่สมบูรณ์ อายุยืน ยาวและ คุณภาพชวี ิตท่ีดี นอกจากนี้แล้ว ยงั สอดคลอ้ งกบั วัตถุประสงค์ของ “กองทนุ สนับสนุนการสรา้ งเสริมสุขภาพ” ทีบ่ ัญญัตไิ ว้ ในมาตรา 5 อีกด้วย2 2 มาตรา 5 ใหจ้ ดั ต้งั กองทนุ ขึน้ กองทนุ หนึง่ เรยี กว่า “กองทุนสนบั สนุนการสร้างเสรมิ สขุ ภาพ” ใหก้ องทุนเป็นนิตบิ คุ คลมวี ัตถุประสงค์ ดงั ต่อไปนี้ (1) สง่ เสรมิ และสนับสนนุ การสรา้ งเสริมสขุ ภาพในประชากรทุกวัยตามนโยบายสุขภาพแห่งชาติ

36 ท้ังน้ี การดาเนินการด้านการสรา้ งเสริมสุขภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตข้างต้นไม่สามารถสาเร็จและเกิดความ ย่ังยนื ได้หากขาดความรว่ มมือกบั หนว่ ยงานอื่น ๆ ในลักษณะของภาคีเครอื ข่าย รวมท้ังหากไม่มกี ารบรหิ ารจดั การท่ีเน้น เป้าหมายและมองสขุ ภาพอยา่ งเปน็ องค์รวม โครงการอาจดาเนนิ การไปอยา่ งเช่ืองชา้ และไม่สมบรู ณ์ จากที่กล่าวมาท้ังหมดข้างต้น จึงนามาสู่ข้อเสนอการขยายผลโครงการผู้นาการเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาแรงงาน ในรุ่นต่อๆ ไป โดยจะมีการปรับเปลี่ยนช่ือให้ชัดเจนตามวัตถุประสงค์โครงการ คือ การเสริมสร้างศักยภาพผู้นาการ เปลี่ยนแปลงเพื่อเสริมสรา้ งสุขภาวะแรงงาน และมีเป้าหมายที่สาคัญ คือ การเป็นแหล่งเรียนรู้และพัฒนาผู้นารุ่นใหม่ ที่เน้นการเรียนรู้ และเป็นผู้นาคุณภาพ ที่มีความพร้อมในการรับมือกับปัญหาและวิกฤตแห่งความซับซ้อนต่าง ๆ ที่ เกิดข้ึนในสังคมไทยและสังคมโลกได้อย่างย่ังยืน รวมท้ังขยายภาคีเครือข่ายท่ีเข้มแข็งของผู้นาท่ีมาจากหลายภาคส่วน เพ่ือพัฒนาสังคมแรงงานสู่สังคมสุขภาวะและสังคมแห่งการเรียนรู้ ตลอดจนมุ่งสร้างและพัฒนานวัตกรรมในการทางาน เพื่อพัฒนาคณุ ภาพชีวติ แรงงานต่อไป 6. กลุ่มเป้าหมาย ผู้เขา้ รบั การอบรมและพัฒนา จานวน 45 คน ประกอบด้วย 6.1 บคุ ลากรภาครฐั (6 กระทรวง) 6.2 บคุ ลากรขององค์การนายจา้ ง 6.3 บุคลากรขององค์การลกู จ้าง 6.4 บุคลากรภาคสือ่ สารมวลชน องค์กรพฒั นาเอกชน และภาควชิ าการ 7. แนวทางและวิธีการดาเนินงาน แนวทางและวิธกี ารดาเนินงานโครงการผนู้ าการเปล่ยี นแปลงเพื่อเพื่อสร้างเสริมสขุ ภาวะแรงงานมีดังนี้ 7.1 แนวทางการดาเนินงาน กาหนดแนวทางการดาเนินงานของโครงการภายใต้แนวคิด (Concept) ดงั น้ี 1) การจัดกระบวนการเรียนรู้รูปแบบใหม่ เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนรู้ร่วมกับกัลยาณมิตร มีโอกาสและ ส่วนร่วมในการกาหนดเนื้อหาและกระบวนการเรยี นร้รู ่วมกัน ซึ่งประกอบดว้ ยกระบวนการเรยี นรู้หลัก (Core Module) ต่างๆ กระบวนการเรียนรู้หลัก จะเป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการท่ีผู้เรียนรู้ทุกคนและกัลยาณมิตรที่สนใจเข้าร่วม ฝกึ อบรมเชงิ ปฏบิ ัติการ โดยวิทยากรกระบวนการท่ีมีความสามารถเฉพาะด้านใน 5 กระบวนการหลัก ใช้ระยะเวลาการ (2) สรา้ งความตระหนักเรอ่ื งพฤตกิ รรมการเสี่ยงจากการบริโภคสุรา ยาสบู หรอื สารหรือสิ่งอื่นทที่ าลายสุขภาพ และสร้างความ เช่อื ในการสรา้ งเสรมิ สุขภาพแก่ประชาชนทกุ ระดบั (3) สนับสนุนการรณรงคใ์ หล้ ดบริโภคสรุ า ยาสูบ หรอื สารหรอื ส่ิงอนื่ ที่ทาลายสขุ ภาพ ตลอดจนให้ประชาชนไดร้ บั รู้ข้อกฎหมาย ทเ่ี ก่ยี วข้อง (4) ศึกษาวิจัยหรอื สนับสนนุ ให้มีการศกึ ษาวิจัย ฝกึ อบรม หรอื ดาเนินการให้มกี ารประชุมเกีย่ วกับการสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ (5) พัฒนาความสามารถของชุมชนในการสร้างเสริมสุขภาพโดยชุมชน หรือองค์กรเอกชน องค์กรสาธารณประโยชน์ ส่วน ราชการ รัฐวสิ าหกจิ หรอื หนว่ ยงานอ่ืนของรฐั (6) สนับสนุนการรณรงค์สร้างเสริมสุขภาพผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ในลักษณะที่เป็นส่ือเพื่อให้ประชาชนสร้างเสริมสุขภาพให้ แข็งแรง ใช้เวลาว่างให้เปน็ ประโยชน์และลดบริโภคสรุ า ยาสูบ หรือสารหรือสิง่ อื่นที่ทาลายสุขภาพ

37 อบรม 3 – 5 วัน ต่อ 1 กระบวนการหลัก ท้ังนี้ ระยะเวลาที่กาหนดข้ึนอยู่กับความสาคัญของเนื้อหาสาระและ กระบวนการการเรยี นในกระบวนการหลักน้ัน ๆ ได้แก่ (1) วสิ ัยทศั น์ คุณคา่ และการพัฒนาตน (Vision, Value & Self Development) (2) การคดิ เชิงระบบ ทักษะการเรยี นรู้และการจัดการองค์กร (System Thinking, Learning & Organizing Skill) (3) การสร้างนวตั กรรมในการเปล่ียนแปลงสังคม (Innovation building in social change) (4) ระบบการบรหิ ารแรงงาน (Labor Administration System) และการสรา้ งนวตั กรรมเพือ่ พัฒนาการให้บรกิ ารด้านแรงงาน (Innovation to Improve Workers’ Service) (5) ส่ือสารสงั คม สื่อสาธารณะ (Social Communication and Public Communication) 2) กัลยาณมิตร3 การมีกัลยาณมติ รเป็นปัจจัยท่ีสาคัญย่ิงในการเดินทางเพ่ือการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ดังน้ัน ผนู้ าแตล่ ะคนจะมีกัลยาณมิตรประจาตัว ทาหนา้ ท่ีดูแล ช่วยเหลือสนับสนุน แลกเปล่ียนเรียนร้กู ับผู้นาอย่างสม่าเสมอ ให้ คาแนะนาและช่วยเหลือในการจัดทาและดาเนินการตามแผนพัฒนาศักยภาพส่วนบุคคล การเลือกประเด็น จัดทาโครงการ พิเศษ รวมถึงการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เข้าร่วมโครงการ นอกจากน้ีผู้นาแต่ละคนจะได้พบและสนทนากับ กัลยาณมิตรอาวโุ ส เป็นระยะ 3) เรียนรู้และใช้ชีวิตร่วม ในการสร้างให้เกิดประสบการณ์ร่วมกันแก่ผู้เข้าอบรม เพ่ือให้ได้เปิดโลกทัศน์ และ วิสัยทัศน์ ในการบริหารจัดการตนเอง เพื่อนร่วมงาน เครือข่าย และองค์กร สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในหน่วยงานหรือ องค์กรของตนเองได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ โดยจัดให้มีการศึกษาดูงานในองค์กรต่ าง ๆ ที่ประสบ ความสาเร็จท้งั ในและตา่ งประเทศ 4) คิดร่วม ทางานร่วม โดยการจัดทาโครงการพิเศษ (Special Project) ซ่ึงผู้เรียนรู้รวมกลุ่มกัน 6 – 7 คน มี กัลยาณมิตรประจากลุ่ม 1 ท่าน เป็นผู้ให้คาปรึกษาและสนับสนุน จัดทาข้อเสนอโครงการพิเศษ 1 โครงการ ใน ระยะเวลาท่ีฝึกอบรม โดยเลือกประเด็นการพัฒนาท่ีเป็นส่ิงท้าทาย และสอดคล้องกับบทบาทหน้าท่ีและความรับผิด ชอบ ของหน่วยงานท่ีตนเองสังกัด โดยเสนอโครงการผ่านคณะกรรมการอานวยการฯ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และ นาไปทดลองปฏบิ ัตใิ นพืน้ ที่นารอ่ ง การแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน ระหว่างการดาเนินโครงการพิเศษ (Special Project) จะจัดให้มีการแลก เปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันของทุกกลมุ่ ทุกโครงการ 5) การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self Study) นอกจากงานที่ได้รับมอบหมาย (Assignment) แล้ว ผู้เข้าร่วมจะได้รับ การสนบั สนุนส่อื การเรียนรูท้ ไ่ี ด้รบั การคัดสรรจากกัลยาณมิตร เชน่ หนงั สอื บทความ กรณศี ึกษา ภาพยนตร์ หรือบทเพลง รวมถึงสามารถเข้าถึงหรือเข้าใช้ทรัพยากร และส่ือการเรียนรู้ต่าง ๆ ขององค์กรภาคี เพ่ือใช้ในการเรียนรู้ ด้วยตนเอง โดยจะมีสื่อจานวนหน่ึงท่ีได้รับการคัดเลือกให้กับผู้นาแต่ละคนเปน็ การเฉพาะ ท้ังน้ี การเรียนรู้ด้วยตนเอง จะ สอดคล้องและเปน็ สว่ นหนงึ่ ของแผนพฒั นาศักยภาพสว่ นบคุ คลทจ่ี ดั ทาข้ึน 6) กิจกรรมพิเศษ และการขยายเครือข่าย กิจกรรมพิเศษจัดข้ึนเพ่ิมเติมตามความต้องการของผู้เข้าร่วมโด ย ความเห็นชอบร่วมกนั ระหว่างผูเ้ ข้ารว่ มและกัลยาณมิตร หลังจากเสร็จสนิ้ การอบรม ผู้เขา้ รว่ มแต่ละคนสามารถเลือกเข้า 2 คาว่า “กัลยาณมิตร” แปลความหมายคา “กัลยาณ” ว่า หมายถงึ งาม, ดี และ “มิตร” หมายถึง เพ่ือนรักใครท่ ี่สนทิ สนม ค้นุ เคย ดงั นัน้ กัลยาณมิตร จึงมคี วามหมายว่า เพอื่ นทีด่ ี, เพือ่ นท่งี าม หรอื เพือ่ นท่รี กั ใครค่ นุ้ เคยท่ดี ี, เพ่ือนรักใคร่ค้นุ เคยทง่ี าม กัลยาณมิตร มิได้หมายถึง เพื่อนที่ดีตามความหมายท่ัวไปเท่าน้ัน แต่เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม มีความตั้งใจยัง ประโยชนใ์ ห้ถงึ พร้อมทั้งแก่ตนเองและผู้อืน่ ผู้ส่งั สอนแนะนา ชกั นาไปในหนทางทีถ่ กู ตอ้ งดีงาม

38 ร่วมกระบวนการทางานขององค์กรภาคีเครือข่าย ที่สอดคล้องกับความต้องการ ความสนใจ หรือจัดทาโครงการ พิเศษ การ เข้าร่วมมีได้หลายลักษณะ เช่น ร่วมเป็นคณะทางาน เป็นผู้สังเกตการณ์ หรือร่วมกิจกรรม โดยนอกจากองค์กรภาคีใน โครงการฯ แล้ว ยงั สามารถประสานกับองคก์ รอ่ืน ๆ ทั้งในและตา่ งประเทศดว้ ย 7) กระบวนการเรียนรู้ โดยกระบวนการเรียนรู้ มีหลักการสาคัญคือ เป็นกระบวนการพัฒนาผู้นาท่ีมี ความจาเพาะและแตกต่างจากหลักสูตรการฝึกอบรมทั่วไปที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยเป็นการเน้นการสร้างผู้นาท่ีทางาน สัมพันธ์กันเชิงแนวราบ เป็นความสัมพันธ์ใหม่ท้ังภายในและภายนอกองค์กร โดยถือหลักว่าทุกคนมีศักด์ิศรี มีคุณค่า และมีศักยภาพ สามารถเข้ามารวมกลุ่มร่วมคิดร่วมทาด้วยความเสมอภาค และเช่ือมโยงกันเป็นเครือข่าย เกิดเป็น โครงสรา้ งทางสังคมใหม่ 7.2 วธิ กี ารดาเนนิ งาน 1) แต่งตัง้ คณะกรรมการอานวยการ ประกอบด้วยภาคีเครือข่ายจากภาคส่วนที่เก่ียวข้อง เพ่ือทาหน้าท่ีเสนอแนะ ให้คาปรกึ ษา สนับสนุนการดาเนินงาน กาหนดนโยบาย หลักเกณฑ์ วธิ ีการ บริหารจัดการ ติดตามและประเมินผล เพ่ือ ให้โครงการบรรลุผลสาเรจ็ ตลอดจนคดั เลือกผู้เรียนรู้ กัลยาณมิตร ท้งั นี้ คณะกรรมการอานวยการ อาจให้มกี ารแต่งตั้งคณะทางานยอ่ ยขึ้นไดต้ ามความเหมาะสม และลักษณะเน้อื งาน เชน่ คณะทางานย่อยเพอ่ื ตดิ ตามและประเมนิ ผลโครงการพเิ ศษ เป็นตน้ 2) การคัดเลือก/คัดสรร/เลือกสรร ผู้เข้ารว่ มโครงการ โดยเน้นความพร้อมและความสมัครใจของผู้เข้ารบั การเรยี นรู้ 3) ปฐมนิเทศ ช้ีแจงโครงการ ใหผ้ ู้เรียนรู้ กัลยาณมติ ร ฯลฯ 4) เรียนรู้รว่ มกนั ท้งั ผูเ้ รียนรู้ กัลยาณมติ ร ผา่ นกระบวนการเรียนรู้หลัก (Core Module) ท้งั 5 ชุดกจิ กรรม 5) ใช้ชีวิตร่วมกัน ระหว่างผู้เรียนรู้ และกัลยาณมิตร โดยการศึกษาดูงานและเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงจาก องคก์ รทปี่ ระสบความสาเร็จทงั้ ในและต่างประเทศ 6) พัฒนาโครงการพิเศษร่วมกันระหว่างผู้เรียนรู้ และกัลยาณมิตร โดยจัดเป็นข้อเสนอโครงการพิเศษให้ คณะกรรมการอานวยการพิจารณาให้ความเหน็ ชอบ และทดลองปฏบิ ัติในพ้นื ทน่ี ารอ่ ง 7) ตดิ ตามและประเมนิ ผลงาน โดยใช้กระบวนการ Reflection and AAR 8) ร่วมกันสรุปผลการดาเนินงาน ผลผลิต ผลลัพธ์ ผลสาเร็จ ของการดาเนินงานในผู้เรียนรู้รุ่นปัจจุบัน และ เตรยี มความพร้อมในการดาเนนิ งานรนุ่ อนาคต

แผนผังท่ี 1 กรอบแนวทางในการดาเนนิ งาน 39 คุณสมบตั ผิ นู้ าทพี่ ึงประสงค์ กระบวนการคดั เลอื ก ประเด็นการพัฒนาศักยภาพ (1) มวี สิ ยั ทัศนท์ ด่ี ีต่อการพัฒนาสงั คมสู่สงั คมสุขภาวะ (1) วสิ ยั ทศั น์ คณุ คา่ และการพฒั นาตน (Vision, (2) มที กั ษะดา้ นการสื่อสารและมนษุ ยสัมพันธท์ ด่ี ี การปฐมนิเทศ Value & Self Development) (3) มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกบั เทคโนโลยีสารสนเทศที่ และวางแผน (2) การคิดเชิงระบบ ทักษะการเรียนรู้และการ ทันสมัย และสามารถสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมใน การเรยี นรู้ร่วม จดั การองคก์ ร (System Thinking, Learning & การทางานได้อยา่ งเหมาะสม Organizing Skill) (4) มีทกั ษะในการบริหารจดั การโครงการ เข้าใจขนั้ ตอน พัฒนาผู้นารายบคุ คล (3) การสรา้ งนวตั กรรมในการเปล่ยี นแปลงสังคม และกระบวนการนโยบาย รวมถึงสามารถวางแผนและ (Innovation building in social change) ผลักดันยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติได้สาเร็จอย่างเป็น (4 ) ร ะ บ บ ก า ร บ ริ ห า ร แ ร งง า น (Labor รปู ธรรม Administration System) แ ล ะ ก า ร ส ร้ า ง (5) มีทักษะในการรวบรวม ประมวลผล การวิเคราะห์ นวัตกรรมเพ่ือพัฒนาการให้บริการด้านแรงงาน สงั เคราะห์ และการตัดสินใจ (Innovation to Improve Workers’ Service) (6) มีทักษะในการสร้าง พัฒนา และทางานเป็น (5) ส่ือสารสงั คม สอื่ สาธารณะ (Social เครือขา่ ยได้ Communication and Public (7) เป็นผนู้ าท่ีมคี ุณธรรม จริยธรรม สามารถบูรณาการ Communication) การทางานอย่างเป็นระบบเพ่ือมุ่งไปสู่เป้าหมายสุดท้าย (6) การศึกษาดูงาน คอื “แรงงานมีสขุ ภาวะและคณุ ภาพชีวติ ทีด่ ี” กัลยาณมิตร สรา้ งพ้นื ที่ พัฒนาเครือข่าย แลกเปล่ียนรว่ มกัน หลอมรวมแนวความคดิ ทิศทาง และเรยี นรูร้ ว่ มกัน พฒั นาเปน็ แหล่งเรียนรู้ ติดตามประเมินผล โดยกระบวนการ (Reflection & AAR) การจดั การความรู้ (Knowledge Management)

40 8. ผลผลิต 8.1 เกิดผู้นาการเปล่ียนแปลงแนวใหม่ท่ีได้รับการพัฒนาผา่ นเกณฑ์ผลสัมฤทธิ์ที่กาหนด ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ท่ีแสดงถึงการมีปัญญา การตระหนักรู้ และแรงบันดาลใจ ในการพัฒนานวัตกรรมการทางานเพื่อเสริมสร้างคุณภาพ ชีวิตแรงงานและสุขภาวะองค์กร 8.2 เกิดเครือข่ายการเรียนรู้ในพื้นที่การทางานของผู้เรียนรู้อย่างน้อย 5 เครือข่าย ท่ีเป็นจุดกาเนิดแห่งการ ทางานสร้างสงั คมสขุ ภาวะและคณุ ภาพชวี ติ ของแรงงานแนวใหมใ่ นลกั ษณะเครอื ข่ายแนวราบ 8.3 เกิดโครงการหรอื นวัตกรรมในการพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตแรงงาน และการสร้างสังคมสุขภาวะแก่แรงงาน อย่าง นอ้ ย 5 โครงการ เพ่ือเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายใหแ้ ก่กระทรวงท่ีเข้าร่วมโครงการ และหนว่ ยงานภาคส่วนอื่น ๆ ทเี่ กย่ี วข้อง 9. ผลลพั ธ์ 9.1 ผู้นาการเปล่ียนแปลงทางสังคมที่มีกระบวนทัศน์ ทักษะ ภาวะผู้นา ท่ีเอ้ือต่อการพัฒนาหน่วยงานของ ตนเองให้เป็นองคก์ รสุขภาวะ และการปฏบิ ตั ิงานทมี่ ุ่งส่คู ณุ ภาพชวี ิตท่ดี ีของแรงงาน 9.2 มีเครือข่ายผู้นาการทางานสร้างสังคมสุขภาวะและคุณภาพชีวิตของแรงงานท่ีเข้มแข็ง มีศักยภาพในการ ทางาน และบรู ณาการกจิ กรรมให้มคี วามยั่งยืนได้ 9.3 ความร่วมมือระดับกระทรวง และภาคส่วนต่าง ๆ ในการส่งเสริมให้เกิดการแลกเปล่ียนเรียนรู้ การพัฒนา ศักยภาพผูน้ าเพอื่ การเปลี่ยนแปลงสังคม อนั จะนามาสกู่ ารเสริมสรา้ งคุณภาพชีวติ แรงงานและองค์กรสุขภาวะรว่ มกนั 10. ตัวช้ีวัด 10.1 ผเู้ ข้ารับการอบรมและพฒั นาเข้ารบั การอบรมและรว่ มกิจกรรมตามหลักสูตรไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 10.2 การขยายภาคีเครือข่ายที่เข้ารับการอบรมและพัฒนาครอบคลุมหน่วยงานอ่ืน ๆ ท่ีนอกเหนือจาก หนว่ ยงานในสังกดั กระทรวงแรงงาน ไมน่ อ้ ยกว่า 5 หนว่ ยงาน 10.3 โครงการที่ผู้เข้ารับการอบรมและพัฒนาจัดทาขึ้นได้ถูกนาไปใช้ในการปฏิบัติการจริง โดยได้รับการ สนับสนุนงบประมาณจากสานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในการดาเนินโครงการ หรือได้รับ การบูรณาการให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการตามภารกิจของหน่วยงานตน้ สังกัด ตามโครงการ “สนับสนุนการขับเคล่ือน ยุทธศาสตร์การเสริมสรา้ งสุขภาวะและคุณภาพชวี ิตแรงงานเชิงพ้นื ทแี่ บบมสี ่วนรว่ ม” 11. การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 11.1 จัดให้มีการสรุปและประเมินผลการเรียนรู้เพ่ือติดตามการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนแก่ตัวผู้เข้าร่วมโครงการ ในทุกระยะการเรียนรู้หลักโดยกิจกรรม Reflection and AAR จากการประเมินตนเองของผู้เข้าร่วมโครงการ การ ประเมินโดยกัลยาณมิตร และการประเมินร่วมกันท้ัง 2 ฝ่าย แล้วนาผลการประเมินน้ันมาปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้ ให้เหมาะสมกบั ผูเ้ ขา้ ร่วมโครงการเปน็ ระยะ ๆ 11.2 วิเคราะห์ความเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นในตนเองของผู้เข้าร่วมโครงการ ผ่านการวิเคราะห์บันทึกการเรียนรู้ หรอื เอกสารของผเู้ ข้าร่วมโครงการแตล่ ะคน โดยคณะกรรมการโครงการและทมี วิทยากร 11.3 ติดตามกิจกรรมการเรียนรูร้ ่วมกันของกลุ่มผู้เข้ารว่ มโครงการ ในลักษณะเครือข่ายการเรียนรู้ผ่านทางส่ือ เทคโนโลยสี ารสนเทศ

41 11.4 ประเมินผลการเรียนรู้รวบยอดหลังจากจบหลักสูตรตามท่ีกาหนดไว้ โดยประเมินผู้เข้าร่วมโครงการตาม แบบประเมินทกี่ าหนดขนึ้ โดยคณะกรรมการโครงการและวทิ ยากรทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง 11.5 บันทึกภาพกจิ กรรมเปน็ วดิ ีโอ เพื่อนามาศกึ ษาเรียนรู้ยอ้ นหลงั รว่ มกัน ท้ังผปู้ ระสานงาน ผเู้ รียนรู้ วิทยากร ทีมงานท่เี กยี่ วข้อง และคณะกรรมการโครงการในแต่ละชว่ งเดอื นของการเรียนรู้ 11.6 การติดตามการเปลีย่ นแปลงของผู้เรยี นรใู้ นแตล่ ะชว่ งเวลาของการเรียนรู้ โดยการสอบถาม สัมภาษณ์ ผู้ที่ เกย่ี วขอ้ งกบั ผ้เู ขา้ ร่วมโครงการในพ้ืนท่แี ละแหลง่ เรยี นรู้ 11.7 การประเมินผู้เข้าร่วมโครงการโดยการสนทนากับผู้ทรงคุณวุฒิ หรือที่ปรึกษาโครงการ เพื่อประเมิน คณุ ลกั ษณะของผ้เู ข้าร่วมโครงการหลงั จบกระบวนการเรียนรแู้ ลว้ 12. ความย่ังยืนของโครงการ การดาเนินงาน “โครงการเสริมสร้างศักยภาพผู้นาการเปลี่ยนแปลงเพ่ือสร้างเสริมสุขภาวะแรงงาน” มิใช่แค่ เพียงการฝึกอบรมเพ่ือให้ความรู้เท่าน้ัน แต่เป็นโครงการที่เป็นการพัฒนาบุคลากรผู้ปฏิบัติงานด้านดูแลคุณภาพชีวิต คนทางานที่มาจากภาคีเครือข่ายของภาคส่วนต่าง ๆ ที่เป็น “ผู้นารุ่นใหม่” ท่ีเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวคิดและวิธีการ ทางานในลักษณะของ “ผู้นาการเปล่ียนแปลง” ซ่ึงข้ันตอนและกระบวนการเรียนรู้ตามโครงการ จะส่งผลให้เกิดความ ยง่ั ยนื ภายหลงั สิ้นสุดโครงการ คือ 12..1 การพัฒนา “ผู้นาร่นุ ใหม่” ให้เปน็ “ผู้นาการเปลี่ยนแปลง” โดยใชก้ ระบวนการและรูปแบบการเรียน รู้ท่ี ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเป็นการเฉพาะ ประกอบกับการก้าวผ่านการแบ่งแยกในระดับกระทรวง ส่งผลให้ “ผู้นารุ่นใหม่” ท่ีผ่านการอบรมจะมีการเปล่ียนแปลงท้ังในเชิงวิธีคิด วิธีทางาน รวมทั้งมีเครือข่ายการทางานและการเรียนรู้ที่ กว้างขวางขึ้น 12.2 โครงการท่ผี ู้เข้ารับการอบรมและพัฒนาจดั ทาขึ้นได้ถูกนาไปใชใ้ นการปฏิบัติการจริงในพื้นทน่ี าร่อง และ/ หรือได้รับการบูรณาการให้เป็นส่วนหน่ึงของโครงการตามภารกิจของหน่วยงานต้นสังกัด ซ่ึงจะทาให้เกิดความย่ังยืนตา มาในอนาคต


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook