1 รายงานวิจัยในช้ันเรยี น เรอื่ ง การใช้ชดุ กิจกรรมพฒั นาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น วชิ าทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ของนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 - 3 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 อาเภอแมแ่ จม่ จงั หวัดเชยี งใหม่ จดั ทาโดย นางสาวศริ วิ รรณ มนุ ินคา ตาแหน่ง พนกั งานราชการ กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 ตาบลช่างเค่งิ อาเภอแมแ่ จ่ม จงั หวัดเชียงใหม่ สังกัดสานักบรหิ ารงานการศกึ ษาพิเศษ
สารบัญ ก สารบญั หน้า สารบัญตาราง บทที่ 1 บทนา ก 1.1 ความเปน็ มาและความสาคญั ของการวิจัย 1 1.2 วัตถปุ ระสงค์การวจิ ยั 1 1.3 ขอบเขตการวิจัย 3 3 1.3.1 ขอบเขตดา้ นประชากร 3 1.3.2 ขอบเขตด้านเน้ือหา 3 1.3.3 ขอบเขตด้านตวั แปร 4 1.4 สมมติฐาน 4 1.5 ประโยชน์ที่ไดร้ บั จากการวิจยั 5 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยทเี่ กีย่ วขอ้ ง 7 2.1 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วข้องกับชดุ กิจกรรม 7 2.1.1 ความหมายของชดุ กิจกรรม 7 2.1.2 หลกั จติ วิทยาท่นี ามาใชใ้ นชุดกจิ กรรม 9 2.1.3 องค์ประกอบของชดุ กจิ กรรม 9 2.1.4 ข้ันตอนในการสร้างชุดกิจกรรม 12 2.1.5 ประโยชน์ของชดุ กิจกรรม 15 2.1.6 งานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวข้องกบั ชุดกจิ กรรม 16 2.3 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วขอ้ งกับผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 17 2.2.1 ความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น 17 2.3.2 การประเมินผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน 18 2.2.3 งานวิจัยท่เี กี่ยวข้องกบั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 19 บทที่ 3 วิธีดาเนนิ การวจิ ัย 22 3.1 ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง 22 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 23 3.3 การสรา้ งและหาคุณภาพเครื่องมือ 23 3.4 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 24 3.5 การวเิ คราะหข์ ้อมลู และสถิติทีใ่ ช้ในการวิจยั 25
สารบญั (ตอ่ ) ข บทที่ 4 ผลและอภปิ รายผลการทดลอง หน้า 4.1 สัญลักษณท์ ่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู 29 4.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 29 29 บทที่ 5 สรปุ ผลการวจิ ัย 31 5.1 วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั 31 5.2 ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 31 5.3 เคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ยั 31 5.4 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 31 5.5 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู และสถติ ิท่ีใชใ้ นการวิจัย 32 5.6 สรปุ ผลการวจิ ยั 35 5.7 อภิปรายผล 35 5.8 ขอ้ เสนอแนะ 36 5.8.1 ข้อเสนอแนะในการนาผลการวจิ ัยไปใช้ 36 5.8.2 ขอ้ เสนอแนะในการทาวิจัยครงั้ ตอ่ ไป 37 38 บรรณานุกรม 40 ภาคผนวก
ค สารบญั ตาราง หนา้ ตาราง 1 แบบแผนการวจิ ัย 22 ตาราง 2 ประสทิ ธิภาพของชุดกจิ กรรม เร่อื ง ทกั ษะการจาแนกประเภท 30 ตาราง 3 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวชิ าทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของนักเรียน 30 ทีไ่ ด้รับการสอนโดยใช้ชดุ กิจกรรม เร่อื ง ทกั ษะการจาแนกประเภท 41 ตาราง 4 ผลการวิเคราะห์คา่ คะแนนผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นวิชาทกั ษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ กอ่ นเรียน-หลังเรยี น และค่าคะแนนความก้าวหน้าของนกั เรยี น ทไี่ ดร้ บั การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้โดยใชช้ ุดกจิ กรรม เร่ือง ทกั ษะการจาแนกประเภท
1 บทที่ 1 บทนา 1. ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา วทิ ยาศาสตรม์ ีบทบาทสาคัญย่ิงในสังคมโลกปัจจุบันและนับวันจะมีบทบาทมากยง่ิ ขนึ้ ในอนาคต เพราะ วิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับทุกคนทั้งในชีวิตประจาวันและการงานอาชีพต่างๆวิทยาศาสตร์และเทคโน โลยีเป็น วัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ ซ่ึงเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (Knowledge based society) (สถาบันส่งเสริมการ สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2555) ดังน้ันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงเป็นรากฐานท่ีสาคัญท่ีสุดในการ พัฒนาสังคมและประเทศให้มีความสามารถในการแข่งขันกับอารยประเทศ (ประเวศ วะสี, 2544) ทุกคนจึง จาเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ (Scientific literacy for all) เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจโลก ธรรมชาติและเทคโนโลยีท่ีมนุษย์สร้างข้ึน และสามารถทาให้ทุกคนดารงชีวิตประจาวันในสังคมวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ จึงเป็นบทบาทสาคัญของการใหก้ ารศึกษาท้ังในระบบและนอก ระบบเปน็ การศึกษาตอ่ เนือ่ งตลอดชีวิต (สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2555) การปฏิรูปการศึกษามุ่งเป้าหมายการเรียนวิทยาศาสตร์ของประเทศว่า ควรให้ประชากรไทยทุกคนมี รากฐานการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เยาว์วัยอย่างเพียงพอ และพร้อมท่ีจะดาเนินชีวิตอย่างกลมกลืนกับ ธรรมชาติและรู้เท่าทันวิวัฒนาการของสากลโลก (วิโรจน์ ตันตราภรณ์, 2543) การจัด การเรียนรู้จึงควรให้ ตอบสนองต่อความสนใจของผู้เรียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกเรียนในสิ่งที่ตนสนใจ มุ่งเน้นการทางานกล่มุ การสอนแบบบูรณาการ การใช้หัวเรื่องในการจัดการเรียนการสอน เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการคิด การค้นคว้าแสวงหาความรู้ สร้างความรู้ด้วยตนเอง สามารถสร้างสรรค์ผลงานแล้วนาไปแลกเปล่ียนเรยี นรู้กับ ผู้อื่น (กรมวิชาการ, 2554) แต่ท่ีผ่านมาคุณภาพการจัดการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเด็ก มัธยมศึกษา พบว่า ยังอยู่ในเกณฑ์ท่ีต้องปรับปรุง ทาให้เป็นปัญหาสืบเน่ืองต่อความรู้ความสามารถในวิชา วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยชี ัน้ สงู ขน้ึ ไป (กรมวิชาการ, 2542) การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้เป็นส่วนหนงึ่ ในการเพิ่มทกั ษะความรู้ในขนั้ ต่างๆ ได้ ซ่งึ จะสง่ ผลต่อการเพิ่ม ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของวิชานั้นๆ เน่ืองจากนักเรียนได้มีบทบาทในการเรียนรู้มากขึ้น มีการฝึกปฏิบัติจริง และสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ถ้าครูจัดกิจกรรมที่มีเน้ือหาสาระและกระบวนการเหมาะสมกับความ ต้องการและความสามารถของนักเรียน มีการบูรณาการเน้ือหาสาระเข้ากับชีวิตประจาวันและเข้ากับวิชาที่ เก่ียวข้อง เน้นการทากิจกรรมร่วมกันในลักษณะกลุ่ม ทุกคน ในกลุ่มมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและการ แสดงออก (ปรียานชุ สถาวรมณ์, 2558) เนน้ ใหน้ กั เรยี นไดป้ ระยกุ ตใ์ ชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ในชวี ิตประจาวนั โดยครู จะเป็นผู้กระตุ้นให้นักเรียนนาความรู้ที่ได้รับไปสร้างเป็นความรู้ใหม่ นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นท่ีจะเรยี น ต้องแสวงหาความรู้และลงมือทากิจกรรมด้วยตนเอง เกิดแรงเสริมให้นักเรียนอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ได้นา ความรู้ไปใช้สร้างความรู้ โดยพยายามค้นหาหลักฐานมาสนับสนุนความคิดเห็นของตนก่อนที่จะนามา ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน ซ่ึงเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกถึงการมีเจตคติที่ดีต่อการเรียน (รุ่งระวี ศิริบุญนาม, 2554) นอกจากน้ยี ังทาใหน้ ักเรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้จากผลการทดลอง นาไปสกู่ ารอภปิ ราย และข้อสรุป
2 ท่เี ป็นไปได้ นักเรียนมีบทบาทในการเรยี นรู้ การฝกึ ปฏิบัตจิ ริงและการสร้างความร้ดู ว้ ยตนเอง ซง่ึ จะแสดงใหเ้ ห็น ถึงความเขา้ ใจของนักเรยี นแต่ละคนและแต่ละกลมุ่ ได้อกี ดว้ ย (กนกวรรณ พลอาษา, 2559) ชุดกิจกรรมเป็นการพัฒนามาจากวิธีการเรียนการสอนหลายๆ ระบบเข้ามาผสมผสานให้กลมกลนื กนั นับต้ังแต่การเรียนรู้ด้วยตนเอง การร่วมกิจกรรมกลุ่ม การใช้ส่ือในรูปแบบต่างๆ การเรียนการสอนวิธีนี้ เหมาะสมกับการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนสาคัญที่สุด (สุนันทา สุนทรประเสริฐ, 2553) การเรียนรู้ด้วยชุด กิจกรรมวิทยาศาสตร์ทพี่ ฒั นาขึน้ อย่างมรี ะบบและมีประสิทธิภาพ สามารถช่วยให้ผู้เรียนเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ได้ ดียิ่งข้ึน ส่งผลให้มีผลการเรียนรู้ท้ังด้านความรู้ ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และมีเจตคติต่อการ เรียนสูงข้ึน (พลูทรัพย์ โพธิ์สุ, 2546) เพราะชุดกิจกรรมจะช่วยให้ผู้เรียนมีอิสระ เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ผู้เรียนมี ส่วนร่วมในการทากิจกรรมโดยใช้ความสามารถตามความต้องการของตน ได้ฝึกทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ ส่งเสริมความรับผิดชอบ ทาให้มีความกระตือรือร้นที่จะศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เกิดการเรียนรู้ และปฏบิ ตั ิจรงิ เกดิ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มเี จตคติต่อวิทยาศาสตร์ในทางที่ดีข้นึ และสามารถ ประยุกต์ใช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้ จากประสบการณ์สอนที่ผ่านมา พบว่า นักเรียนในชั้นเรียนมีความแตกต่างกันท้ังด้านความรู้ ความ สนใจ และความถนัด ทาให้ผู้เรียนมีวธิ ีการเรยี นรูท้ ี่แตกต่างกัน ประกอบด้วยสภาพสังคมท่ีมี การเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของผู้สอนไม่ตอบสนองต่อความสนใจและความถนัดของ นักเรียน ทาใหน้ ักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายในการเรยี น ขาดความสนใจใฝร่ ู้ ไม่กระตือรือร้นในการเรยี น จึงเปน็ เหตใุ หผ้ ลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นตา่ จากการเรียนการสอนของนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 – 3 จานวนนักเรียน ท้ังหมด 14 คน ท่ีเลือกเรียนวิชาเลือกในรายวิชาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีนักเรียนที่มีปัญหาใน ด้านผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นต่าเกือบทกุ คน จากงานวจิ ัยของนพคณุ แดงบุญ (2552) เรือ่ ง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์และเจต คติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และเจตคติต่อ วทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียนท่ีเรยี นด้วยชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 2 หลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และงานวิจัยของกชพร รัตนธนากาญจน์ (2558) เร่ือง การการพัฒนา ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและจิตวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ชุดกิจกรรมเรื่อง ระบบ ย่อยอาหารและการสลายสารอาหารระดับเซลล์ ประกอบการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ผลการวิจัย พบวา่ 1. ชดุ กจิ กรรม เร่อื ง ระบบย่อยอาหารและการสลายสารอาหารระดบั เซลล์ มปี ระสิทธิภาพ 82.62/84.08 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 2. ดัชนีประสิทธิผลของชุดกิจกรรม เรื่อง ระบบย่อยอาหารและการ สลายสารอาหารระดับเซลล์มีค่าเท่ากับ 0.78 ซึ่งหมายถึงนักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนรู้ คิดเป็น ร้อยละ 78 3. นักเรียนท่ีเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรม เรื่อง ระบบย่อยอาหารและการสลายสารอาหารระดับเซลล์ ประกอบการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน ( X = 33.14, S.D. = 1.60) สูงกว่าก่อนเรียน ( X = 12.62, S.D. = 2.73) อย่างมีนัยสาคัญทางสถิตท่ีระดับ
3 .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย 4. นักเรียนที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรม เรื่อง ระบบย่อยอาหารและการ สลายสารอาหารระดับเซลล์ ประกอบการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น มีจิตวิทยาศาสตร์อยู่ใน ระดับมากโดยมีค่าเฉล่ีย 4.20 หรือคิดเป็นร้อยละ 84 5. นักเรียนท่ีเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรม เรื่อง ระบบย่อย อาหารและการสลายสารอาหารระดับเซลล์ ประกอบการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ข้ัน มีจิต วทิ ยาศาสตรห์ ลังเรียน ( X = 4.20, S.D. = 0.68) สงู กว่าก่อนเรียน ( X = 3.37, S.D. = 0.72) อย่างมีนยั สาคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดบั .01 ซง่ึ เป็นไปตามสมมตฐิ านการวิจัย ดังนั้น ผู้ทาการวิจัยจึงหาวิธีการดาเนินการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิให้สูงข้ึน โดยใช้ชุดกิจกรรม เม่อื พจิ ารณาเป้าหมายประการหนึง่ ของการจัดการเรียนรู้ เพอ่ื ให้ผู้เรียนเป็นมนษุ ยท์ ีส่ มบูรณด์ ี เกง่ มีสขุ ผ้สู อน จงึ มบี ทบาทสาคัญในการสร้างผ้เู รยี นให้ไปสู่เปา้ หมายดงั กล่าว โดยจะตอ้ งคานึงถึงมาตรฐานคณุ ภาพการจัดการ เรียนรู้และบูรณาการการจัดการเรียนการสอน กระบวนการวิจัยให้เป็นกระบวนการเดียวกันน่ันคือ ผู้สอน จะต้องจัดกระบวนการเรียนการสอน และใช้การวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้ ทาการวิจัยเพื่อจัด กจิ กรรมการเรียนรทู้ ีเ่ หมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษาและนาผลการวจิ ัยมาใชป้ รับปรงุ กระบวนการ เรียนการสอน จงึ ได้จัดทาชุดกิจกรรมเพ่อื พัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 – 3 ที่เลือกเรยี นวชิ าเลอื กในรายวิชาทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ขน้ึ 2. วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เร่ือง ทักษะการจาแนก ประเภทของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 - 3 ท่ีเลือกเรียนวิชาเลือกในรายวิชาทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 ทีไ่ ด้รบั การจดั การเรยี นรู้ด้วยชดุ กจิ กรรม 3. ขอบเขตการวจิ ยั 3.1 ขอบเขตด้านประชากร ประชากรท่ีใช้ในการวจิ ัย คอื นกั เรียนระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาปี ที่ 2 – 3 ที่เลอื กเรยี นวิชาเลือก ในรายวิชาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 จานวนนักเรียนท้งั หมด 14 คน 3.2 ขอบเขตด้านเนื้อหา เน้ือหาท่ใี ชใ้ นการวิจัยเป็นเนือ้ หากลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในรายวิชา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 - 3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เรอื่ ง ทักษะการจาแนกประเภท
4 3.3 ขอบเขตด้านระยะเวลา ผ้วู จิ ัยดาเนนิ การทดลองในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 ใช้เวลาใน การทดลอง 2 คาบ คาบละ 50 นาที สัปดาห์ละ 1 คาบ ภายใน 3 สปั ดาห์ ดาเนนิ การทดลองในคาบเรยี น 3.4 ขอบเขตดา้ นตัวแปร 3.4.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่ การจัดการเรยี นรู้ด้วยชุดกจิ กรรม 3.4.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน 4. สมมตฐิ านในการวิจยั นกั เรยี นระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 2 - 3 ทม่ี ีระดบั ผลการเรยี นวิชาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ต่ากว่าเกณฑ์ มผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นหลงั เรียนสงู กว่ากอ่ นเรยี น เมอื่ ไดร้ บั การจดั การเรียนรโู้ ดยใชช้ ดุ กจิ กรรม 5. นิยามศัพทเ์ ฉพาะ 5.1 ชุดกิจกรรมเพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ส่ือหรือนวัตกรรมการเรยี นการสอนท่ี ผวู้ จิ ัยสรา้ งขึน้ ประกอบดว้ ยสื่อวสั ดอุ ปุ กรณ์หลายชนิดประกอบเข้ากนั เปน็ ชุด เพ่ือเกิดความสะดวกตอ่ การใช้ใน การเรียนการสอน และทาใหก้ ารเรียนการสอนบรรลุผลตามเปา้ หมายของการเรียนรู้ ทงั้ ดา้ นความรู้ ดา้ นทกั ษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรอื่ ง ทักษะการจาแนกประเภท ซงึ่ โครงสรา้ งของชุดกจิ กรรม ประกอบด้วย 5.1.1 ชอื่ ชดุ กจิ กรรม เปน็ สว่ นทร่ี ะบชุ ื่อชุดกจิ กรรม 5.1.2 คาแนะนาการใช้ชดุ กิจกรรม เป็นส่วนทอี่ ธบิ ายถึงวธิ ีการใชช้ ุดกจิ กรรม 5.1.3 ข้ันตอนการใช้ชุดกจิ กรรม เปน็ ส่วนแนะนาในการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองจากชดุ กิจกรรม 5.1.4 สื่อการเรียนการสอน เป็นส่วนของใบความรู้ เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาก่อนที่จะปฏิบัติ กิจกรรม 5.1.5 กจิ กรรมการเรียนรู้ เปน็ สว่ นท่ผี เู้ รยี นได้ลงมอื ปฏิบัติกิจกรรม 5.1.6 แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลงั เรียน 5.1.7 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น-หลงั เรยี น 5.2 ประสิทธิภาพของชดุ กจิ กรรม หมายถงึ คา่ สัดสว่ นระหวา่ งคะแนนร้อยละท่ีไดจ้ ากการทากิจกรรม การเรียนรรู้ ะหว่างเรียนกบั คะแนนร้อยละที่ได้จากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นของนักเรียน หลังเรยี นจากชดุ กิจกรรม โดยใชเ้ กณฑก์ าหนด 80/80
5 80 ตัวแรก หมายถึง ค่าร้อยละเฉลี่ยของคะแนนที่ได้จากการทากิจกรรมการเรียนรู้ของ นกั เรยี นระหวา่ งเรยี นโดยใชช้ ดุ กจิ กรรม คิดเปน็ รอ้ ยละ 80 80 ตัวหลัง หมายถึง ค่าร้อยละเฉล่ียของคะแนนท่ีได้จากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนของนักเรยี นโดยใชช้ ดุ กจิ กรรม คิดเป็นร้อยละ 80 5.3 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถของผู้เรียนในการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ โดยพิจารณาจากคะแนนที่ได้จากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง ทักษะการจาแนกประเภททีผ่ วู้ ิจัยสร้างขนึ้ โดยวดั ความสามารถดา้ นต่างๆ คือ 5.3.1 ดา้ นความรู้ ความจา หมายถึง ความสามารถในการระลึกส่ิงที่เคยเรียนมาแล้วเก่ียวกับ ข้อเท็จจรงิ ข้อตกลง คาศัพท์ หลักการและทฤษฎีทางวทิ ยาศาสตร์ 5.3.2 ด้านความเขา้ ใจ หมายถงึ ความสามารถในการอธบิ ายความหมาย ขยายความและแปล ความรู้ โดยอาศยั ขอ้ เท็จจรงิ ขอ้ ตกลง คาศัพท์ หลักการและทฤษฎีทางวทิ ยาศาสตร์ 5.3.3 ดา้ นการนาไปใช้ หมายถึง ความสามารถในการนาความรู้ วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ ในสถานการณ์ใหม่ท่ีแตกต่างออกไป หรือสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะอย่างย่ิงการนาไปใช้ใน ชวี ิตประจาวัน 5.3.4 ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการสบื เสาะหาความรู้ โดยผ่านการปฏิบัติและฝึกฝนความคิดอย่างมรี ะบบจนเกิดความคล่องแคล่ว ชานาญ สามารถ เลือกใช้กิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม สาหรับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยทักษะการ สังเกต ทักษะการคานวณ ทกั ษะการจาแนกประเภท ทักษะการลงความเหน็ จากข้อมูล ทกั ษะการจัดกระทาส่ือ ความหมายข้อมูล ทักษะการกาหนดและควบคุมตัวแปร ทักษะการต้งั สมมติฐาน ทักษะการทดลอง และทักษะ การตีความหมายขอ้ มูลและลงข้อสรปุ 6. ประโยชนท์ ไ่ี ด้รับจากการวจิ ัย 6.1 ด้านนกั เรียน 6.1.1 นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 - 3 ที่มีระดับผลการเรียนวิชาทักษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ตา่ กวา่ เกณฑม์ ีผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าชีววทิ ยาสูงขนึ้ 6.2 ด้านครูผสู้ อน 6.2.1 สามารถนามาเป็นข้อมูลในการแลกเปล่ียนเรียนรู้ในแวดวงวิชาการเก่ียวกับวิธีการ แก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรยี นที่ครูแต่ละคนดาเนินการว่ามีความเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร ครูผู้สอนแต่ ละคนจะประยุกต์นาไปเพื่อพฒั นาผู้เรียนของตนได้อย่างไร เป็นการสร้างสังคมทางการศึกษาและกระตุ้นใหม้ ี
6 การพัฒนาผลงานทางวิชาการทเ่ี กิดขึน้ จาก ประสบการณ์อันมีคุณค่าของครูอย่างไม่หยุดยั้ง ทาให้วิชาชีพครูมี ภาพลกั ษณ์ท่ีดี เป็นท่ียอมรับมากขน้ึ 6.2.2 ปรบั เปล่ียนพฤติกรรมการสอนตามแนวทางปฏิรปู การศกึ ษา มีมาตรฐานการปฏิบัตงิ าน ตามมาตรฐานวิชาชีพ 6.2.3 มแี นวทางในการพฒั นาบรรยากาศทเ่ี ออ้ื ตอ่ การจัดเรียนร้ทู เี่ น้นผเู้ รยี นเป็นสาคญั 6.3 ดา้ นโรงเรยี น 6.3.1 โรงเรียนมแี นวทางในการจัดทาชดุ กิจกรรม เร่อื ง ทกั ษะการจาแนกประเภทและพัฒนา กลุม่ สาระอนื่ ๆ 6.3.2 โรงเรียนสามารถนาแนวทางน้ีไปส่งเสริมให้ครูคนอ่ืนๆ ได้นาไปพัฒนากลุ่มสาระอื่นๆ ได้ตาม มาตรฐานวิชาชพี 6.4 ด้านชุมชน 6.4.1 ผู้ปกครองและชุมชน สามารถให้ความไว้วางใจ เล่ือมใสศรัทธา ในการส่งบุตรหลานเข้ามาสู่ ระบบโรงเรียนและให้ความรว่ มมอื ในการพัฒนาโรงเรียน
7 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ท่ีเก่ียวข้อง ในการวิจยั คร้ังนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยทเี่ กีย่ วข้อง และไดน้ าเสนอตามหวั ข้อ ตอ่ ไปนี้ 2.1 เอกสารและงานวิจัยทเ่ี กย่ี วข้องกับชดุ กิจกรรม 2.1.1 ความหมายของชุดกจิ กรรม 2.1.2 หลักจติ วทิ ยาทีน่ ามาใชใ้ นชดุ กิจกรรม 2.1.3 องค์ประกอบของชุดกจิ กรรม 2.1.4 ขั้นตอนในการสรา้ งชุดกิจกรรม 2.1.5 ประโยชน์ของชุดกจิ กรรม 2.1.6 งานวิจัยทเ่ี กย่ี วข้องกบั ชดุ กจิ กรรม 2.2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 2.2.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น 2.2.2 การประเมินผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 2.2.3 งานวิจยั ที่เกย่ี วข้องกบั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น 2.1 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั ชุดกจิ กรรม 2.1.1 ความหมายของชดุ กจิ กรรม ชุดการเรียนหรือชุดกิจกรรมมาจากคาว่า Instructional Packages หรือ Learning Packages เดิม ทีเดยี วมักใช้คาวา่ ชุดการสอน เพราะเป็นสื่อท่คี รนู ามาใช้ประกอบการสอน แต่ต่อมาแนวคดิ ในการจดั การเรียน การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญได้เข้ามามีบทบาทมากข้ึน นักการศึกษาจึงเปลี่ยนมาใช้คาว่า ชุดการเรียน เพราะการเรยี นรู้เป็นกิจกรรมของนกั เรยี นและการสอนเป็นกิจกรรมของครู กจิ กรรมของครแู ละนกั เรยี นจะตอ้ ง เกิดคู่กัน บุญเกื้อ ควรหาเวช (2542 : 91) และในการวจิ ัยผู้วิจัยใช้แบบฝึกซึง่ เป็นกิจกรรมหนึ่งของชุดกิจกรรม ดังนั้นการทากิจกรรมต่างๆ ในชุดแบบฝึกก็คือการทากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของผู้เรียน ซ่ึงมีผู้ให้ ความหมายของชุดกิจกรรมไว้ ดงั น้ี ศริ ลิ ักษณ์ หนองเส (2545 : 6) ได้ให้ความหมายของชุดกจิ กรรมไว้ว่า หมายถึง สอ่ื การเรยี นการสอนที่ ใช้เพ่ือพัฒนาคุณลักษณะในตัวนักเรยี นในด้านการเรียนรู้ การเสาะแสวงหาความรู้และสามารถนาความรู้ไปใช้ ให้เกิดประโยชน์ โดยผูเ้ รียนสามารถเรยี นรูไ้ ด้ดว้ ยตนเอง เพชรรัตดา เทพพิทักษ์ (2545 : 30) กล่าวว่า ชุดกิจกรรม คือ ชุดการเรียนหรอื ชดุ การสอนนนั่ เอง ซึ่ง หมายถึง สอื่ การสอนที่ครูเป็นผู้สร้าง ประกอบดว้ ยวสั ดุอปุ กรณ์หลายชนดิ และองค์ประกอบอ่ืนเพ่ือให้นักเรียน ศึกษาและปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยครูเป็นผู้แนะนาช่วยเหลือ และมีการนา หลักการทางจิตวิทยามาใชใ้ นการประกอบการเรียน เพ่อื สง่ เสริมใหผ้ เู้ รยี นได้รับความสาเร็จ
8 พวงเพ็ญ สิงห์โตทอง (2548 : 10) ได้ให้ความหมายของชุดกิจกรรมว่า เป็นการรวบรวมสื่อการเรียน สาเร็จรูปไว้เป็นชุด เพ่ือให้เหมาะสมกบั เนอ้ื หาให้ผู้เรียนศึกษาด้วยตนเองได้อย่างสะดวกตามข้ันตอนท่ีกาหนด เพ่ือบรรลุจุดประสงค์ท่ีตงั้ ไว้ เป็นการเรยี นที่เนน้ ความสามารถส่วนบุคคล ผู้เรียนมีอิสระและพงึ่ พาผู้สอนน้อย ที่สุด ภายในชุดประกอบด้วยสื่อต่างๆ ท่ีจะทาให้ผู้เรียนสนใจเรียนตลอดเวลา ทาให้เกิดทักษะกระบวนการ เรียนรู้ ประกอบด้วยวัสดุอุปกรณ์หลายชนิดและองค์ประกอบอ่ืนท่ีก่อให้เกิดความสมบูรณ์ในตัวเอง โดยท่ี ผู้สร้างได้รวบรวมและจัดอย่างเปน็ ระบบไว้เป็นกลุ่มและสร้างไว้เพื่อจุดประสงค์ใดจะมีช่ือเรียกตามการใช้งาน น้ันๆ เช่น ถ้าสร้างเพื่อการศึกษาโดยมวี ัตถุประสงค์เพ่ือให้ครใู ช้ประกอบการสอน โดยเปล่ียนบทบาทให้ครูพดู น้อยลง นกั เรียนเข้าร่วมกจิ กรรมมากขึน้ เรียกวา่ ชดุ กิจกรรมสาหรับครู แต่ถา้ ใหผ้ ู้เรียนเรียนจากชุดกิจกรรมน้ี เรียกว่า ชุดกิจกรรม ในการสร้างชุดกิจกรรมจะพิจารณาจาก 1) ใช้ส่ือหลายชนิดตามจุดประสงค์ที่ต้ังไว้ 2) เหมาะสมกบั ประสบการณข์ องผู้เรียน 3) เหมาะสมกับการตอบสนองของผูเ้ รียน 4) เปน็ ส่อื ทจี่ ัดหาไดไ้ ม่ยาก ดารงศกั ดิ์ มีวรรณ์ (2552 : 17) สรปุ ไว้ว่า ชุดกิจกรรม คือ การจัดประสบการณเ์ รียนรู้ใหก้ ับผ้เู รียน ให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แก้ปัญหาด้วยตนเอง มีอิสระในการเรียนรู้ โดยใช้แหล่งการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย โดยครู ต้องเป็นผู้วางแผน กาหนดเป้าหมายวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ส่ิงที่ต้องการผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และในการจดั กจิ กรรมการเรียนร้โู ดยครมู หี นา้ ท่ใี หค้ าปรึกษา นพคุณ แดงบุญ (2552 : 16) สรุปไว้ว่า ชุดกิจกรรม หมายถึง ส่ือการสอนที่ผู้สอนสร้างข้ึน ประกอบด้วยส่ือวสั ดุอุปกรณ์หลายชนิดประกอบเข้ากนั เป็นชุด เพื่อเกิดความสะดวกต่อการใช้ในการเรียนการ สอน และทาให้การเรียนการสอนบรรลุผลตามเปา้ หมายของการเรยี นรู้ ท้งั ด้านความรู้ ด้านทกั ษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์และเจตคติตอ่ วิทยาศาสตร์ ประเสริฐ สาเภารอด (2552 : 12) สรุปไว้ว่า ชุดกิจกรรม หมายถึง ชุดการเรียนการสอนประเภทสิ่ง ตีพิมพ์และกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนทากิจกรรมด้วยกระบวนการกลุ่ม ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ชื่อกจิ กรรม 2) คาช้ีแจง 3) จุดประสงค์ 4) เวลาทีใ่ ช้ 5) วสั ดอุ ปุ กรณ์ 6) เนอ้ื หาและใบความรู้ 7) สถานการณ์ 8) กจิ กรรม 9) แบบทดสอบทา้ ยกจิ กรรม กู๊ด (Good. 1973 : 306) ได้ให้ความหมายของชดุ กิจกรรมวา่ หมายถงึ โปรแกรมทางการสอนทุกอยา่ ง ท่ีจัดไว้เฉพาะ มีวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการสอน อุปกรณ์ท่ีใช้ในการเรียน คู่มือครู เน้ือหา แบบทดสอบ ข้อมูลที่ เชื่อถือได้ มกี ารกาหนดจดุ ม่งุ หมายของการเรียนไวอ้ ยา่ งชัดเจน ชดุ กจิ กรรมนีค้ รูเปน็ ผูจ้ ดั ให้นกั เรียนแตล่ ะคนได้ ศึกษาและฝึกฝนดว้ ยตนเอง โดยครเู ป็นผ้คู อยแนะนาเทา่ นนั้ ดวน (Duann. 1973 : 169) กล่าวถึงชุดการเรียนว่า เป็นการเรียนรายบุคคล (Individua lizedinstruction) เป็นอีกรปู แบบหนึง่ ซง่ึ จะช่วยให้ผู้เรียนได้ผลสมั ฤทธ์ิผลทางการเรียนตามเป้าหมาย ผู้เรยี น จะเรียนตามอัตราความสามารถและความตอ้ งการของตน แคปเพลอร์และแคปเพลอร์ (Kapfer ; & Kapfer. 1972 : 3-10) ได้ให้ความหมายของคาว่าชุดการ เรียนไว้ว่า เป็นรูปแบบการสื่อสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ซ่ึงประกอบด้วยคาแนะนาให้ผู้เรียนได้ทากิจกรรม การเรียนจนบรรลุพฤติกรรมท่ีเป็นผลของการเรียนรู้ ส่วนเน้ือหาท่ีนามาสร้างชุดการเรียนนามาจากขอบข่าย
9 ความรู้ท่ีหลักสูตรกาหนดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ซ่ึงต้องส่ือความหมายให้แก่ผู้เรียนอย่างชัดเจน จนผู้เรียนเกิด พฤติกรรมตามเป้าหมายหรือจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้เชงิ พฤตกิ รรม จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า ชุดกิจกรรม หมายถึง ส่ือที่ช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วย ตนเอง มีการจัดส่ือไว้อย่างเป็นระบบ ช่วยให้นักเรียนเกิดความสนใจตลอดเวลา เกิดทักษะในการแสวงหา ความรู้และทาใหก้ ารเรยี นการสอนบรรลผุ ลตามเป้าหมายของการเรยี นรู้ 2.1.2 หลกั จิตวทิ ยาท่นี ามาใช้ชดุ กจิ กรรม วิชัย ดิสระ (2533 : 249-250) ได้กล่าวถึงการสอนท่ีมีคุณภาพตามแนวคิดของบลูมว่าประกอบด้วย ลักษณะ 4 ประการ คอื 1. การให้แนวทาง คือ การอธิบายของครูที่ทาให้นักเรียนเข้าใจว่าเมื่อเรียนเรื่องนั้นๆ แล้วจะต้องมี ความสามารถอย่างไร ต้องทาอะไรบ้าง 2. การมสี ่วนรว่ มในกิจกรรมการเรียน เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนเขา้ ร่วมกิจกรรมการเรียน 3. การเสรมิ แรง ท้ังการเสริมแรงภายนอก เช่น การให้ส่ิงของ การกล่าวชมหรือการเสริมแรงภายในตัว นักเรยี นเอง เชน่ ความอยากรู้อยากเห็น 4. การให้ข้อมูลย้อนกลับและการแก้ข้อบกพร่อง ซึ่งจะต้องมีการแจ้งผลการเรียนและข้อบกพร่องให้ นักเรียนทราบ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2523 : 119) มีแนวคิดซ่ึงมาจากจิตวิทยาการเรียนที่นามาสู่การผลิตชุดการเรียน ดังนี้ 1. เพอื่ สนองความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล 2. เพ่อื ยดึ ผ้เู รยี นเปน็ ศูนย์กลางการเรียนรู้ด้วยการศกึ ษาด้วยตนเอง 3. มีสอื่ การเรียนใหม่ท่ีชว่ ยในการเรยี นของนกั เรียนและช่วยในการสอนของครู 4. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนกั เรยี นที่เปล่ียนไป โดยเปล่ียนจากครูเป็นผู้มีอิทธิพลไปเป็นยึดนกั เรียน เป็นศูนยก์ ลาง 2.1.3 องคป์ ระกอบของชุดกจิ กรรม ชุดกิจกรรมมอี งค์ประกอบทตี่ ่างกนั ตามท่ีนักการศึกษาไดก้ ลา่ วไว้ ดังน้ี ฮสุ ตนั และคนอ่ืนๆ (Houstion ; Other. 1972 : 10-15) กลา่ วถึงองค์ประกอบของชุดกจิ กรรมไว้ ดังนี้ 1. คาชี้แจง (prospectus) อธิบายถึงความสาคัญของจุดมุ่งหมาย ขอบข่ายในส่วนชุดกิจกรรม สิ่งที่ ผู้เรียนจะตอ้ งรกู้ ่อนและขอบข่ายของกระบวนการเรียนทั้งหมดในชดุ กจิ กรรม 2. จุดมุ่งหมาย (objectives) คือ ข้อความที่แจ่มชัดและไม่กากวมท่ีกาหนดว่าผู้เรียนจะประสบ ความสาเร็จอะไรหลงั จากเรยี นแล้ว 3. การประเมินผลเบ้ืองต้น (pre-assessment) มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เพ่ือให้ทราบว่าผู้เรยี น อยู่ในระดับใดในการเรียนการสอนนั้น และดูว่าสัมฤทธ์ผิ ลตามความมุ่งหมายเพยี งใด การประเมินผลเบ้อื งต้นน้ี
10 อาจอยใู่ นรูปแบบของการทดสอบข้อเขยี น ปากเปลา่ การทางาน ปฏิกริ ยิ าตอบสนองหรอื คาถามง่ายๆ เพอื่ ให้รู้ ถงึ ความตอ้ งการและความสนใจ 4. การกาหนดกิจกรรม (enabling activities) คือ การกาหนดแนวทางและวิธีเพือ่ ไปสู่จุดหมายทว่ี าง ไว้ โดยให้ผู้เรียนไดม้ สี ว่ นร่วมในกิจกรรมนนั้ ดว้ ย 5. การประเมนิ ผลข้ันสดุ ทา้ ย (post-assessment) เป็นขอ้ สอบเพ่ือวัดผลหลงั เรียน ทศิ นา แขมมณี (2534 : 10-12) กลา่ วว่า ชุดกจิ กรรมประกอบด้วยส่วนตา่ งๆ ดงั น้ี 1. ชือ่ กจิ กรรม ประกอบดว้ ยหมายเลขกิจกรรม ชอ่ื ของกิจกรรมและเนื้อหา 2. คาชี้แจง เป็นส่วนท่ีอธบิ ายความมุ่งหมายหลักของกิจกรรมและลักษณะของการจัดกจิ กรรมเพอ่ื ให้ บรรลุจุดม่งุ หมาย 3. จุดมุ่งหมาย เป็นส่วนที่ระบุจุดมุ่งหมายท่ีสาคัญของกจิ กรรมนนั้ แนวคิดเป็นส่วนที่ระบุเน้ือหาหรอื มโนทัศน์ของกิจกรรมนนั้ สว่ นนค้ี วรได้รับการย้าและเนน้ เปน็ พเิ ศษ 4. สอ่ื เป็นส่วนที่ระบุถงึ วัสดุอุปกรณ์ท่ีจาเป็นในการดาเนนิ กิจกรรม เพ่ือชว่ ยให้ครูทราบว่าต้องเตรียม อะไรบ้าง 5. เวลาทใี่ ช้ เปน็ การระบุจานวนเวลาโดยประมาณว่ากิจกรรมนน้ั ควรใชเ้ วลาเท่าใด 6. ขั้นตอนในการดาเนินกจิ กรรม เป็นส่วนที่ระบุวิธีการดาเนินกจิ กรรม เป็นข้ันตอนเพื่อให้บรรลุตาม วัตถุประสงค์ท่วี างไว้ 7. ภาคผนวก ในสว่ นนคี้ ือตัวอย่างวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดกิจกรรมและข้อมูลอืน่ ๆ ทจ่ี าเปน็ สาหรับ ครูรวมท้ังเฉลยแบบทดสอบ บุญชม ศรีสะอาด (2541 : 95) และบุญเกื้อ วรหาเวช (2545 : 95-96) กล่าวถึงองค์ประกอบของชดุ กิจกรรมไว้ ดงั น้ี 1. คมู่ ือการใชช้ ดุ กิจกรรม เป็นคู่มือทีจ่ ดั ทาขน้ึ เพ่อื ใหผ้ ใู้ ช้ชุดกิจกรรมศกึ ษาและปฏบิ ัติตามเพอื่ บรรลุผล อย่างมีประสิทธิภาพ อาจประกอบด้วยแผนการสอน สิ่งท่ีผู้สอนต้องเตรียมก่อนสอน บทบาทผู้เรียนและการ จัดชัน้ เรียน 2. บัตรงาน เป็นบัตรท่ีมีคาส่ังว่าจะให้ผู้เรียนปฏิบัติอย่างไรบ้าง โดยระบุกิจกรรมตามลาดับข้ันตอน ของการเรียน 3. แบบทดสอบวดั ผลความกา้ วหน้าของผู้เรยี น เป็นแบบทดสอบที่ใชส้ าหรบั ตรวจสอบว่าหลงั จากเรียน ดว้ ยชุดกจิ กรรมแล้วผเู้ รยี นเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมตามจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ทกี่ าหนดไว้หรือไม่ 4. สอ่ื การเรยี นต่างๆ เปน็ สอ่ื สาหรบั ผเู้ รียนไดศ้ กึ ษา มีหลายชนิดประกอบกนั อาจเปน็ ประเภทส่ิงพิมพ์ เช่น บทความ เนอ้ื หาเฉพาะเรื่อง จลุ สาร บทเรียนโปรแกรม กรีน (Green. 1976 : 38-47) การสอนวิทยาศาสตร์สาหรับผู้เรียนในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา เมื่อ ผูส้ อนมกี ารนาอุปกรณ์ต่างๆ เข้ามาใชใ้ นการสอน ตอ้ งมกี ารพฒั นาใหเ้ หมาะสมกับหลกั สตู รและเป้าหมาย เน้น ให้เด็กได้ค้นพบความจริงด้วยตนเอง ได้ทางานด้วยตนเองตามความยากง่ายอย่างเหมาะสม การจัดการเรียน
11 การสอนจะมีประสิทธิภาพ ดังน้ันจึงเสนอรูปแบบการสร้างชุดการเรียนในการสอนวทิ ยาศาสตร์ด้วยตนเองไว้ ดังน้ี 1. บตั รคาถาม-คาตอบ ซง่ึ นาไปใชก้ ่อนและหลงั เรียน เพื่อศกึ ษาวา่ ผู้เรยี นรู้หรอื ไมร่ ู้เรือ่ งเกีย่ วกับงานท่ี ทามากอ่ นและเพ่อื ให้เดก็ เกิดความคิดกอ่ น 2. การทดลอง ประกอบด้วยปัญหาท่นี าไปสกู่ ารทดลอง วสั ดุอุปกรณ์ท่ีใชแ้ ละวิธีการดาเนนิ การทดลอง บทบาทของผู้สอนในการสอนโดยใช้ชุดการเรียนด้วยตนเอง คือ เป็นผู้ตรวจสอบผลการทดลอง ผู้สอนต้อง พยายามให้ผูเ้ รยี นไดร้ ว่ มอภปิ รายและผ้สู อนตอ้ งแนะนาใหผ้ ูเ้ รยี นทดลองซ้า เพื่อตรวจสอบผลการทดลอง ดวน (Duann. 1973 : 169) กล่าวถงึ องค์ประกอบของชุดกิจกรรมไว้ 6 ประการ คือ 1. มจี ุดมงุ่ หมายและเน้ือหาทีต่ ้องการเรยี น 2. บรรยายเนื้อหา 3. มจี ุดมงุ่ หมายเชงิ พฤตกิ รรม 4. มีกจิ กรรมในการเรยี น 5. มีกิจกรรมท่สี ง่ เสรมิ จะใหเ้ กดิ แก่ผูเ้ รยี น 6. มีเครื่องมอื วดั ผลก่อนเรียน ระหว่างเรยี น และหลงั เรียน ศิริลักษณ์ หนองเส (2545 : 6-7) ได้จัดทากิจกรรมส่งเสริมศักยภาพทางการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ ภายในชุดกิจกรรมมโี ครงสร้าง ดังนี้ 1. ชือ่ ชดุ กจิ กรรม หมายถงึ ช่อื กิจกรรมส่งเสริมศกั ยภาพการเรียนรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ 2. ช่ือหน่วย หมายถึง หัวข้อย่อยท่ีประกอบข้ึนเป็นชุดกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ทาง วทิ ยาศาสตร์ในแตล่ ะชดุ กจิ กรรม 3. คาช้ีแจงสาหรับนักเรียนในการปฏบิ ัติกิจกรรมในชุดกิจกรรม หมายถึง ข้อแนะนาในการเรียนดว้ ย ตนเองจากชุดกจิ กรรมของผู้เรยี น 4. สาระการเรียนรู้ หมายถึง เน้อื หา รายละเอียดของหน่วยการเรียนในชุดกิจกรรม 5. ตัวบ่งชใี้ นการเรยี นรู้ หมายถึง การระบพุ ฤตกิ รรมการเรยี นรขู องเน้อื หาในหนว่ ยย่อยของชุดกิจกรรม ตามที่หลกั สูตรกาหนด 6. เวลาท่ีใช้ หมายถงึ ระยะเวลาทีใ่ ช้ในการปฏิบตั กิ ิจกรรมในแต่ละชุดกจิ กรรมย่อย 7. กิจกรรมการเรียนรใู้ นหน่วย หมายถึง การกาหนดงานทจ่ี ะใหผ้ ูเ้ รียนปฏิบัติ 8. สื่อและอปุ กรณ์ท่ใี ช้ หมายถึง วสั ดุอุปกรณ์ที่ใช้กบั การเรียนการสอนในชดุ กิจกรรม 9. การประเมนิ ผล หมายถึง การทดสอบความสามารถของผู้เรยี นหลังจากเรียนด้วยหนว่ ยการเรียนใน ชุดกิจกรรม พูลทรัพย์ โพธ์ิสุ (2546 : 44-46) ได้พัฒนาชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ซ่ึงประกอบด้วยเอกสาร 2 ส่วน คือ 1) ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์และ 2) คู่มือผู้สอนประกอบการสอนชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ดังรายละเอียด ตอ่ ไปน้ี
12 1.ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ มีไว้เพื่อให้ผู้เรียนใช้เป็นแนวทางในการทากิจกรรมแต่ละคร้ัง ซ่งึ ประกอบด้วยรายละเอยี ด ดังน้ี 1.1 ชือ่ กจิ กรรม เป็นสว่ นทีร่ ะบุหมายเลขกจิ กรรม และช่อื กจิ กรรม 1.2 คาชแ้ี จง เป็นส่วนที่อธบิ ายความม่งุ หมายหลักของชดุ กิจกรรมและลกั ษณะของกิจกรรม 1.3 จุดประสงค์การเรียนรู้ เป็นส่วนท่ีระบุจุดมุ่งหมายของกิจกรรม เป็นจุดมุ่งหมายเชิง พฤติกรรม 1.4 เวลาทใ่ี ช้ เป็นส่วนระบุเวลาท้ังหมดในการใชช้ ดุ กจิ กรรมแต่ละชุด 1.5 ใบความรู้ เป็นสว่ นระบุเน้อื หาของกจิ กรรมนั้นๆ 1.6 อปุ กรณ์ เปน็ สว่ นท่ีระบุวสั ดุอปุ กรณ์ในการทากิจกรรม 1.7 กจิ กรรม เปน็ ส่วนท่ีระบุกจิ กรรมการเรยี นการสอน การปฏิบัติกิจกรรมของผเู้ รียน 1.8 แบบฝึกหัดท้ายกจิ กรรม เปน็ ส่วนทก่ี าหนดคาถาม เพอื่ ตรวจสอบผลการเรยี นรู้ของผู้เรยี น 2. คู่มือประกอบการสอนชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ มีไว้เพื่อให้ผู้สอนเป็นแนวทางในการจัดการเรียน การสอน และดาเนินกิจกรรมซึ่งประกอบด้วยรายละเอียด ดงั นี้ 2.1 ชอ่ื กจิ กรรม เปน็ สว่ นท่ีระบหุ มายเลขกจิ กรรมและช่อื กิจกรรม 2.2 คาชีแ้ จง เป็นส่วนท่ีอธบิ ายความมงุ่ หมายหลกั ของชุดกิจกรรมและลักษณะของกิจกรรม 2.3 จุดประสงค์การเรียนรู้ เป็นส่วนที่ระบุจุดมุ่งหมายของกิจกรรมเป็นจุดมุ่งหมายเชิง พฤติกรรม 2.4 แนวคดิ หลกั เปน็ ส่วนทีร่ ะบแุ นวคดิ หลกั ทมี่ ใี นชุดกิจกรรมแตล่ ะชนิด 2.5 เวลาทีใ่ ช้ เปน็ ส่วนทร่ี ะบเุ วลาทั้งหมดในการใชช้ ุดกิจกรรมแต่ละชดุ 2.6 สื่ออปุ กรณ์ เป็นส่วนทร่ี ะบวุ ัสดอุ ุปกรณ์ในการทากิจกรรม 2.7 การดาเนินกิจกรรม เป็นส่วนที่ระบุกิจกรรมการเรียนการสอน การปฏิบัติกิจกรรมของ ผู้เรียน 2.8 คาเฉลยแบบฝึกหัดท้ายกิจกรรม เป็นส่วนที่ระบุคาเฉลยแบบฝึกหัด เพ่ือเป็นแนวทางใน การพจิ ารณาคาตอบของผเู้ รยี น 2.9 ข้อเสนอแนะเพิม่ เตมิ เปน็ สว่ นทีร่ ะบคุ าแนะนาในการทากิจกรรม จากการศึกษาองค์ประกอบของชุดกจิ กรรม ผู้วิจัยได้กาหนดองค์ประกอบของชุดกิจกรรม คือ ช่ือชุด กจิ กรรม คาชี้แจง เวลาทใี่ ช้ ใบความรู้ กิจกรรมการเรยี นรู้ แบบทดสอบก่อนเรยี นและแบบทดสอบหลงั เรยี น 2.1.4 ขนั้ ตอนในการสร้างชดุ กิจกรรม ในการสรา้ งชดุ กจิ กรรมมีนักการศกึ ษาไดเ้ สนอข้ันตอนของการสรา้ งชดุ กจิ กรรมไว้ ดงั นี้ บทั ทส์ (Butts. 1974 : 85) เสนอหลกั การสรา้ งไว้ ดงั นี้ 1. กอ่ นทจ่ี ะสรา้ งต้องกาหนดโครงรา่ งคร่าวๆ กอ่ นว่าจะเขียนเกย่ี วกบั เรอื่ งอะไร มวี ตั ถปุ ระสงค์อะไร 2. ศกึ ษางานด้านวทิ ยาศาสตร์ละเอกสารทเ่ี ก่ียวกับเรอื่ งทจี่ ะทา
13 3. เขียนวตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมและเนื้อหาที่สอดคลอ้ งกัน 4. แจ้งวัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรมออกเปน็ กิจกรรมยอ่ ยๆ โดยคานึงถงึ ความเหมาะสมของผ้เู รียน 5. กาหนดอปุ กรณ์ท่จี ะใชใ้ นกิจกรรมแตล่ ะตอนให้เหมาะสมกบั แบบฝกึ 6. กาหนดเวลาท่ีใช้ในแบบฝกึ แต่ละตอนใหเ้ หมาะสม 7. กาหนดการประเมนิ ผลว่าจะประเมนิ ผลก่อนเรยี นหรือหลังเรยี น เดอวิโตและครอกโคเวอร์ (Dervito ; & Krockover. 1976 : 388) ได้จัดทาชุดการเรียนกิจกรรม วทิ ยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาความคิดสร้างสรรค์มีช่ือว่า “Creative Science Ideas and Activities for Teacher and Children” กิจกรรมท่ีสรา้ งขึ้นได้นากระบวนการวทิ ยาสาสตร์มาสัมพันธ์กับความร้ทู างวิทยาศาสตร์ เพื่อ กระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดความคิดเพอ่ื พัฒนากิจกรรมอ่ืนๆ ตามมาอีก ชุดการเรียนน้จี ะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ช่วย ให้ครูมีทักษะและเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ เพอ่ื ใหก้ จิ กรรมทางวิทยาศาสตร์ประสบความสาเร็จ รูปแบบในการ สร้างชดุ การเรยี นเพื่อพฒั นากจิ กรรมทางวทิ ยาศาสตร์ ดังน้ี 1. ปัญหาเพอ่ื นาไปส่กู จิ กรรม 2. กาหนดสถานการณซ์ งึ่ เปน็ บรรยากาศหรอื กาหนดกจิ กรรมการทดลอง 3. คาถามจากการใช้สถานการณ์หรอื ทากจิ กรรมการทดลอง คาถามนี้ไม่มคี าตอบ เด็กจะตอบอย่างไร กไ็ ด้ คาตอบของเดก็ อยู่ในรูปสมมติฐาน 4. ข้อเสนอแนะหรือขอ้ คิด เพ่อื แนะนาเดก็ ให้ทากจิ กรรมตอ่ เน่ืองไปอีก 5. คาถามเพื่อให้เด็กเกิดความคิดและความสนใจท่ีจะดาเนินการหาข้อเท็จจริงตามวิธีการทาง วิทยาศาสตร์ สมจิต สวธนไพบลู ย์ (2549 : 8-9) ได้กล่าวถงึ กจิ กรรมการเรยี นรู้ตามแบบสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ อา้ งในรายงานการวิจยั และพฒั นาชุดกจิ กรรมการจดั กระบวนการเรียนรเู้ ป็นสาคัญดว้ ยกิจกรรมทหี่ ลากหลายได้ สรุปการวจิ ัย ดังน้ี 1. ข้ันส่งเสริมความรอบรู้ หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลจาก สถานการณ์ เรื่องท่ีกาหนดให้ เช่น จากการเรียนรู้ จากการทดลอง จากการปฏิบัติ เพื่อนาข้อมูลมาจัดกระทา อย่างมคี วามหมาย สกู่ ารพัฒนาทักษะการคิด การสรุปองคค์ วามรู้ 2. ข้ันปฏิบัติการดีมีประโยชน์ต่อสังคม หมายถึง การจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้ ทักษะ กระบวนการ ไดล้ งมอื ปฏบิ ตั ิ เพ่มิ พนู ทกั ษะการคิด พฒั นาทักษะการทางานร่วมกับผู้อ่นื ทกั ษะปฏิบัติทมี่ ีคุณค่า ต่อสงั คม 3. ข้ันเผยแพร่และพฒั นาผลงาน หมายถงึ การจัดการเรียนรู้ทสี่ ง่ เสรมิ ให้นกั เรยี นได้รู้จกั การตรวจสอบ ปรับปรุง พัฒนา แก้ไขผลงานอย่างเป็นระบบ โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ข้อเด่น ข้อด้อย พร้อมทั้งฝึก ทกั ษะการปฏบิ ัติในการประชาสมั พันธ์ โดยการพดู และการเขยี น วชิ ยั วงศ์ใหญ่ (2525 : 189-192) ไดเ้ สนอขนั้ ตอนในการสรา้ งชดุ กจิ กรรมไว้ 10 ขน้ั ตอน ดงั น้ี 1. ศึกษาเนื้อหาสาระของวิชาทง้ั หมดอย่างละเอยี ดว่าส่ิงที่เรานามาทาเปน็ ชุดกิจกรรมน้นั จะมุง่ เน้นให้ เกิดหลกั การของการเรยี นรู้อะไรบ้างใหก้ ับผู้เรยี น นาวชิ าทไี่ ดจ้ ากการศึกษาวิเคราะห์แลว้ มาแบง่ เป็นหน่วยการ
14 เรยี นรู้ ในแตล่ ะหน่วยนั้นจะมีหวั เรื่องย่อยๆ รวมอยูอ่ กี ท่ี เราจะตอ้ งศกึ ษาพจิ ารณาให้ละเอยี ดชัดเจนเพอื่ ไม่ให้ เกิดการซ้าซ้อนในหน่วยอ่ืนๆ และควรคานึงถึงการแบ่งหน่วยของการเรยี นการสอนของแต่ละวิชานั้น ควรจะ เรียงลาดับข้ันตอนของเนื้อหา สาระสาคัญให้ถูกต้องว่าอะไรเป็นส่ิงจาเป็นที่ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ก่อนอันเป็น พืน้ ฐานตามขั้นตอนของความรแู้ ละลักษณะธรรมชาติในวชิ านั้น 2. เมื่อศกึ ษาเน้ือหาสาระและแบง่ หนว่ ยการเรยี นรู้ได้แล้วจะต้องพิจารณาตัดสนิ ใจอีกครั้งว่า จะทาชุด การสอนแบบใดโดยคานึงถึงข้อกาหนดวา่ ผูเ้ รียนคือใคร จะให้อะไรกบั ผเู้ รยี น จะทากจิ กรรมอย่างไรและจะทา ไดด้ ีอย่างไร สิง่ เหล่านีจ้ ะเปน็ เกณฑใ์ นการกาหนดการเรยี น 3. กาหนดหน่วยการเรียนรู้ โดยประมาณเน้ือหาสาระท่ีเราจะสามารถถ่ายทอดความรู้แก่นกั เรียนหา สื่อการเรียนได้งา่ ย พยายามศกึ ษาวเิ คราะห์ให้ละเอียดอีกครง้ั หนึ่งว่าหน่วยการเรยี นรู้น้ีมีหลกั การหรือความคิด รวบยอดอะไร และมหี วั เรื่องย่อยๆ อะไรอีกท่รี วมกันอยูใ่ นหนว่ ยน้ี 4. กาหนดความคิดรวบยอดหรือสาระสาคัญ ต้องกาหนดใหส้ อดคล้องกับหนว่ ยและหัวเรอื่ ง โดยสรุป แนวความคิด สาระและหลักเกณฑท์ ่ีสาคัญ เพ่ือเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนใหส้ อดคล้อง กนั 5. จดุ ประสงคก์ ารเรียน ต้องกาหนดใหส้ อดคล้องกับสาระสาคัญ 6. การวิเคราะห์งาน คือ การนาจุดประสงค์การเรยี นแต่ละข้อมาทาการวเิ คราะห์งานเพอ่ื หากิจกรรม การเรียนรู้ แล้วจัดลาดบั กิจกรรมการเรียนรใู้ หเ้ หมาะสม สอดคล้องกับจดุ ประสงค์ทก่ี าหนดไว้ในแต่ละขอ้ 7. เรียงลาดับกิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือให้เกิดการประสานกลมกลืนของการเรียนการสอน จะต้องนา กิจกรรมการเรียนรู้ของแต่ละข้อท่ีทาการวิเคราะห์งาน และเรียงลาดับกิจกรรมไว้ท้ังหมดมาหลอมรวมเป็น กิจกรรมการเรียนรู้ข้ันสมบูรณ์ท่ีสุด เพื่อไม่ให้เกิดการซ้าซ้อนในการเรียน โดยคานึงถึงพฤติกรรมพื้นฐานของ ผเู้ รียน วิธีดาเนนิ การสอน ตลอดจนการตดิ ตามผลและการประเมนิ พฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออกเมื่อมกี ารเรียน การสอน 8. ส่ือการเรียน คือ วัสดุอุปกรณ์และกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนและผู้เรียนจะต้องกระทาเพ่ือเป็น แนวทางในการเรยี นรู้ ซึ่งผู้สอนจะต้องจัดทาและจัดหาไว้ใหเ้ รียบรอ้ ย ถ้าสื่อการเรียนรู้เป็นของท่ีใหญ่โตหรือมี คุณค่าที่ต้องจัดเตรียมมาก่อนจะต้องเขียนบอกไว้ให้ชัดเจนในคู่มือผู้สอนเกี่ยวกับการใช้ชุดการสอนว่าจะต้อง จัดหาได้ ณ ที่ใด 9. การประเมินผล คือ การตรวจสอบดูว่าหลังจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แล้วผู้เรียนได้มีการ เปลยี่ นแปลงพฤติกรรมตามจุดประสงค์การเรียนรู้ทกี่ าหนดไว้หรือไม่ การประเมนิ ผลนจี้ ะใช้วธิ ีการใดก็ตาม แต่ จะตอ้ งสอดคลอ้ งกับจุดประสงคก์ ารเรยี นรูท้ ี่ตงั้ ไว้ 10. การทดลองใช้ชุดกิจกรรมเพื่อหาประสิทธิภาพ การหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมเพื่อปรับปรงุ ให้เหมาะสมควรนาไปใช้กบั กลุ่มเลก็ ๆ เพื่อตรวจสอบหาขอ้ บกพร่องและแก้ไขปรบั ปรงุ อยา่ งดแี ล้วจึงนาไปใช้กับ กลมุ่ ใหญ่หรือทั้งชนั้
15 จากข้นั ตอนการสร้างชุดกิจกรรม สรปุ ได้ว่า การสรา้ งชดุ กจิ กรรมควรมกี ารวางแผน กาหนดเน้ือหา ผล การเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ กาหนดกิจกรรม กาหนดเวลา สื่ออุปกรณ์และการประเมินผล แล้วนาไป ทดลองใชเ้ พอ่ื แก้ไขข้อบกพร่อง 2.1.5 ประโยชนข์ องชดุ กจิ กรรม ประเสริฐ สาเภารอด (2552 : 16) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของชุดกิจกรรมไว้ว่า ชุดกิจกรรมท่ีใช้ในการ เรียนการสอนช่วยเร้าความสนใจให้นักเรียน ทาให้ได้รู้จักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ช่วยแก้ปัญหาเร่ือง ความแตกต่างระหว่างบุคคล เพราะชุดกิจกรรมสามารถช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความสามารถ ความถนัด ความสนใจ สรา้ งความพรอ้ มและความมนั่ ใจใหแ้ กค่ รผู สู้ อน ทาใหค้ รูสอนได้เตม็ ประสิทธิภาพ อุษา คาประกอบ (2530 : 33) ได้กล่าวถึงคุณค่าของชุดกจิ กรรมตามแนวคิดของแฮรสิ เบอร์เกอร์ไว้ 5 ประการ คือ 1. นักเรียนสามารถทดสอบตัวเองก่อนว่ามีความสามารถระดับใด หลังจากนั้นก็เริ่มต้นเรียนในสิ่งที่ ตนเองไมท่ ราบ ทาให้ไม่ต้องเสียเวลามาเรียนในสง่ิ ท่ีตนเองรู้อยู่แลว้ 2. นักเรยี นสามารถนาบทเรยี นไปเรียนทไี่ หนกไ็ ดต้ ามความพอใจไมจ่ ากดั ในเร่อื งของเวลาและสถานที่ 3. เมื่อเรียนจบแล้วผู้เรียนสามารถทดสอบตัวเองได้ทันทีเวลาไหนก็ได้ และได้ทราบการเรียนของ ตนเองทนั ทเี ช่นกัน 4. นกั เรียนมีโอกาสได้พบปะกับผู้สอนมากขนึ้ เพราะผู้เรยี นเรียนร้ดู ้วยตนเอง ครกู ็มเี วลาให้คาปรึกษา กบั ผูเ้ รียนทม่ี ปี ัญหาในขณะใชช้ ุดกิจกรรมดว้ ยตนเอง 5. นกั เรยี นจะไดร้ บั คะแนนอะไรนั้นขึน้ อยกู่ ับความสามารถของผเู้ รียนเอง ไมม่ ีคาว่าสอบตกสาหรับผู้ท่ี เรียนไมส่ าเร็จ แตจ่ ะทาใหผ้ เู้ รียนกลับไปศึกษาเรอื่ งเดมิ นนั้ ใหม่ จนผลการเรียนไดต้ ามมาตรฐานทต่ี ง้ั ไว้ สมจติ สวธไพบูลย์ (2535 : 39) ไดก้ ล่าวถึงข้อดีของชดุ กจิ กรรมไว้ ดังนี้ 1. ช่วยให้นกั เรยี นไดเ้ รยี นรดู้ ้วยตนเองตามอัตภาพและความสามารถของแต่ละบคุ คล 2. ชว่ ยแกป้ ญั หาการขาดแคลนครู 3. ใช้สอนซ่อมเสรมิ ให้กบั นกั เรยี นท่ีเรียนไม่ทนั 4. ชว่ ยเพิ่มประสทิ ธิภาพในการอา่ น 5. ชว่ ยไม่ให้เกิดความเบอื่ หนา่ ยจากการเรียนท่ีตอ้ งทบทวนซา้ ซาก 6. สนองความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล ไม่จาเปน็ ตอ้ งเรียนพร้อมกัน 7. นักเรยี นตอบผิดไมม่ ีผเู้ ยาะเย้ย 8. นักเรียนไม่ต้องคอยฟังส่ิงที่ครสู อน 9. ชว่ ยลดภาระของครใู นการสอน 10. ชว่ ยประหยัดรายจา่ ยอปุ กรณน์ ักเรยี นทม่ี ีจานวนมาก 11. ผูเ้ รียนจะเรยี นเมื่อใดก็ได้ 12. การเรียนไม่จากดั เร่อื งเวลาและสถานท่ี
16 จากประโยชน์ของชดุ กจิ กรรมดังกล่าว ผ้วู จิ ยั สรปุ ประโยชนข์ องชดุ กจิ กรรม ดังน้ี 1. ผู้เรยี นมอี ิสระในการเรียนรู้ 2. ผู้เรียนไดฝ้ กึ ทักษะกระบวนการคิดในดา้ นต่างๆ 3. ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ไดท้ ุกเวลาและสถานท่ี 4. ย้าให้เกิดความเข้าใจในเน้ือหาที่เรยี นมากยิ่งข้ึน เม่ือผู้เรียนไม่เข้าใจก็สามารถนามาศึกษาเรยี นรู้ได้ เสมอ แม้วา่ อาจจะลมื เรอ่ื งเดิมทเี่ คยเรียนแล้ว 5. ลดบทบาทหนา้ ที่ในการสอนของครู โดยให้นักเรยี นมีบทบาทสาคญั ในการเรยี นรแู้ ทน 6. เปน็ การพัฒนาสือ่ การสอนของครู โดยจะต้องทันสมัยทันตอ่ เหตกุ ารณป์ ัจจุบนั 7. ลดความกดดนั ใหก้ บั ผู้เรียนท่เี รียนรู้ช้า 2.1.6 งานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั ชดุ กิจกรรม งานวิจัยในประเทศ เพชรรัตดา เทพพิทักษ์ (2545 : บทคัดย่อ) ได้พัฒนาชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เรื่อง เทคโนโลยีท่ีมี ความเหมาะสมเพื่อการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการศึกษาพบว่า 1) นักเรียนมีทักษะการปฏิบัติการทดลองเฉล่ียร้อยละ 95.50 2) ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดทาโครงงาน วิทยาศาสตร์เฉล่ียรอ้ ยละ 95.00 และ 3) ผู้เรียนมคี วามตระหนกั ตอ่ เทคโนโลยีในระดับมาก ศริ ลิ ักษณ์ หนองเส (2545 : 112) ได้ทาการศกึ ษาผลการใชช้ ุดกจิ กรรมส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ทาง วิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 กับการสอนตามคู่มือครู พบว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้ ชดุ กิจกรรมสง่ เสริมศกั ยภาพการเรยี นรูท้ างวทิ ยาศาสตรก์ ับการสอนตามคมู่ ือครู มคี วามสามารถทางการพ่ึงพา ตนเองด้านวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีและด้านผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์แตกต่างกนั อิสริยา หนูจอ้ ย (2549 : บทคัดยอ่ ) ไดท้ าการศึกษาเรอ่ื ง การพฒั นาชุดกจิ กรรมการเรียนรสู้ งิ่ แวดล้อม ศกึ ษา เร่ือง ระบบนเิ วศในนาข้าวสาหรบั นกั เรยี นช่วงชน้ั ท่ี 3 มกี ารพฒั นาคณุ สมบัตขิ องชดุ กจิ กรรมโดยผา่ นการ ประเมินจากผู้เชี่ยวชาญจานวน 5 ท่าน ผลจากการประเมิน พบว่า คุณภาพของชุดกิจกรรมดังกล่าวมีผลการ ประเมนิ อยู่ในระดบั ดี กล่าวคอื สามารถนาไปใช้ในการเรยี นการสอนได้ จันทร์จิรา รัตนไพบูลย์ (2549 : 108) ได้ศึกษาการพัฒาชุดกิจกรรมการจัดค่ายอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม เร่ือง การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สาหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 มีการพัฒนาชุดกิจกรรมโดยการประเมินจาก ผู้เช่ียวชาญ จานวน 5 ท่าน ผลการประเมิน พบว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมศึกษาอยู่ในระดับดี ประสทิ ธภิ าพของชดุ กิจกรรมมีคณุ ภาพเท่ากับ 80/80
17 งานวจิ ยั ต่างประเทศ ววิ าส (Vivas. 1985 : 603) ไดท้ าการวิจัยเกีย่ วกบั การออกแบบพฒั นาและการประเมินคา่ การรบั รู้ทาง ความคิดของนกั เรยี นเกรด 1 ในประเทศเวเนซเุ อรา โดยใช้ชุดการสอน จากการศึกษาความเข้าใจเก่ียวกบั การ พัฒนาทักษะท้ัง 5 คือ ด้านความคิด ด้านความพร้อมในการเรียน ความคิดสร้างสรรค์ ด้านเชาว์ปัญญา และ ด้านการปรับตัวทางสงั คม หลังจากได้รับการสอนดว้ ยชดุ กจิ กรรมสูงกวา่ นักเรียนที่ไดร้ ับการสอนแบบปกติ เอดเวอร์ด (Edward. 1975 : 43) ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลการเรียนเรื่อง “ประสบการณใ์ นการสอน แบบจุลภาค” โดยใชช้ ุดกิจกรรมการเรยี นด้วยตนเองและได้รับคาแนะนาจากครูกบั การใช้ชุดกิจกรรมการเรียน ด้วยตนเองโดยไม่ตอ้ งมีผู้แนะนา กลุ่มตวั อยา่ งเป็นนักศกึ ษาของมหาวทิ ยาลัยอลิ ินอยย์ จานวน 50 คน แบ่งกลมุ่ ละ 25 คน ผลการวิจัยพบวา่ ทง้ั 2 กล่มุ มผี ลการเรยี นไม่แตกต่างกนั อย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติ มีคส์ (Meeks. 1972 : 4296 - A) ได้ศึกษาการเปรียบเทียบวิธสี อนแบบใช้ชุดกิจกรรมกับวิธสี อนแบบ ธรรมดา ผลการวิจัยพบว่า วิธีสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมมีประสิทธิภาพมากกว่าการสอนแบบธรรมดาอย่างมี นยั สาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สติกแลนด์ (Strickland. 1971 : Abstract) ได้ศึกษาผลการใช้บทเรียนสาเร็จรูปที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนกับการสอนตามปกติ ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนท่ีได้รับการสอนโดยใช้บทเรียนสาเร็จรูปมี ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นสงู กวา่ การสอนแบบปกติ จากการศึกษางานวิจัยท้ังในประเทศและต่างประเทศสรุปได้ว่า การสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมสามารถ พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนไดด้ ีขึ้น เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเรียนรู้ตามความสามารถของตนเอง ท้ังท่ีเป็น รายบคุ คลและรายกลุม่ ชุดกจิ กรรมสามารถชว่ ยให้ผู้เรียนคิดเปน็ ทาเป็น แกป้ ัญหาได้ รจู้ กั การทางานเป็นหมู่ คณะ มีความรบั ผิดชอบ มีความคดิ สร้างสรรค์ เกดิ ความรู้ และทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2.2 เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกย่ี วขอ้ งกับผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น 2.2.1 ความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน อจั ฉรา สขุ ารมณ์ และ อรพนิ ทร์ ชูชม (2530 : 10) ได้กล่าวไว้วา่ ผลสมั ฤทธิ์ (Achievement) หมายถึง ความสาเร็จท่ีได้จากการทางานที่ต้องอาศัยความพยายามจานวนหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการกระทาท่ี อาศัยความสามารถทางร่างกายหรือสมอง ดงั น้ันผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นจึงเปน็ ขนาดของความสาเร็จทไ่ี ด้จาก การเรียนทีอ่ าศัยการทดสอบ (Nontesting Procedures) เชน่ จากการสังเกตหรอื การตรวจการบ้าน หรอื อาจ อยใู่ นรปู ของเกรดท่ไี ด้มาจากโรงเรยี น (School Grade) ซึ่งต้องอาศยั กรรมวธิ ีท่ซี ับซอ้ น และในช่วงเวลาในการ ประเมินอันยาวนาน หรืออีกวิธีหน่ึงอาจวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั่วไป (Published Achievement Test) พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2529 : 19) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนว่าเป็น แบบทดสอบที่มุ่งตรวจสอบความรู้ ทักษะและสมรรถภาพสมองด้านต่างๆ ของผู้เรียนว่าหลังการเรียนรู้เร่ือง นน้ั ๆ แล้วผู้เรียนมคี วามรู้ความสามารถในวิชาท่ีเรียนมากนอ้ ยเพียงใด มีพฤตกิ รรมเปล่ียนแปลงไปจากเดิมตาม ความมุง่ หมายของหลกั สตู รในวิชานน้ั ๆ เพยี งใด
18 วรรณี โสมประยูร (2537 : 262) ได้ให้ความหมายผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนว่า หมายถึง ความสามารถ หรือพฤติกรรมของนักเรยี นท่เี กดิ จากการเรียนรู้ ซึ่งพัฒนาขึ้นจากได้รับการอบรมสั่งสอนและฝึกฝนโดยตรง ภพ เลาหไพบูลย์ (2537 : 265) ได้ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ พฤติกรรมที่แสดงออก ถงึ ความสามารถในการกระทาส่ิงหน่ึงสิง่ ใดท่ีได้จากทีไ่ ม่เคยกระทาได้ หรือกระทาได้น้อยก่อนท่ีจะมกี ารเรียนรู้ ซ่ึงเป็นพฤตกิ รรมทสี่ ามารถวัดได้ กูด (Goog. 1973 : 7) ได้ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ (Achievement) ว่าหมายถึง ความสาเร็จ (Accomplishment) ความคล่องแคล่ว ความชานาญ ในการใช้ทักษะหรือการประยุกต์ใช้ความรู้ต่างๆ ส่วน ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน (Academic Achievement) หมายถงึ ความรูห้ รอื ทักษะอนั เกดิ จากการเรียนรู้ในวิชา ตา่ งๆ ทไี่ ด้เรยี นมาแล้ว ซ่งึ ไดม้ าจากผลการทดสอบของครูผู้สอน หรอื ผูร้ ับผิดชอบในการสอนหรอื ทัง้ สองอย่าง รวมกนั ฮเู ซ็น และ โพสเทลิ ธเ์ วท (Husen ; & Postlethwaite. 1985 : 35) ให้ความเห็นวา่ ผลสัมฤทธิเ์ ป็นคา ท่ีมีความหมายกว้างขวาง ซง่ึ พอจะประมวลไดว้ ่า เปน็ ผลสะท้อนของความรอบรู้ และการเปลย่ี นแปลงต่างๆ ท่ี เกิดขึน้ ระหวา่ งทท่ี กั ษะและความร้กู าลงั พฒั นา สรปุ ได้ว่า ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน หมายถึง ความรู้ ความสามารถในการเรียนรทู้ ีไ่ ด้เรียนมาแล้ว และ วัดได้จากแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน 2.2.2 การประเมนิ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพื่อวัดความรู้เน้ือหาวิชา ผู้ประเมินต้องมีการวางแผนการ ดาเนินการสร้างท่ีเป็นระบบ มีความรู้ในด้านเน้ือหา เขียนข้อคาถามที่ตรงประเด็นตลอดจนความสามารถ ตรวจสอบคุณภาพแต่ละข้อได้ดังที่อุทมุ พร จามรมาน (2540 : 27) กลา่ วถึง การสร้างข้อสอบท่ีเป็นระบบน้ันมี ข้นั ตอน ดังนี้ 1. ระบุจดุ มงุ่ หมายในการทดสอบ 2. การระบเุ นื้อหาให้ชัดเจน 3. การทาตารางเน้อื หากับจุดมงุ่ หมายในการทดสอบ 4. การทานา้ หนัก 5. การกาหนดเวลาสอบ 6. การกาหนดจานวนข้อหรือคะแนน 7. การเขยี นข้อสอบ 8. การตรวจสอบขอ้ สอบทีเ่ ขยี นขน้ึ 9. การทดลองใช้ แกไ้ ข ปรบั ปรงุ ในการกาหนดจุดประสงค์เพ่ือเขียนคาถามวัดพฤติกรรมที่พึงประสงค์ท่ีต้องการให้เกดิ ขึ้นกับนักเรยี น นนั้ ได้มีนักวชิ าการกล่าวไว้ ดังนี้
19 บลูม (Bloom. 1956 : 201) ได้กล่าวถึงลาดับขั้นตอนของความรู้ใช้ในการเขียนวัตถุประสงค์เชิง พฤตกิ รรมดา้ นความร้คู วามคดิ ไว้ 6 ข้ัน ดงั น้ี 1. ความรู้ความจา หมายถงึ การระลึกหรือท่องจาความรู้ต่างๆ ทีไ่ ด้เรยี นมาแล้วโดยตรงในข้นั นี้รวมถึง การระลกึ ถึงข้อมลู ขอ้ เทจ็ จริงต่างๆ ไปจนถึงกฎเกณฑ์ ทฤษฎี จากตารา ดงั นน้ั ขั้นตอนความรู้ความจาจงึ จัดไว้ ว่าเปน็ ขนั้ ต่าทส่ี ดุ 2. ความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถทจี่ ะจับใจความสาคญั ของเน้ือหาทไี่ ด้เรยี น หรอื อาจแปลความ จากตัวเลข การสรุป การย่อความต่างๆ การเรียนรู้ในข้ันนี้ถือว่าเป็นข้ันที่สูงกว่าการท่องจาตามความปกติ อีกขัน้ หน่งึ 3. การนาไปใช้ หมายถึง ความสามารถที่จะนาความร้ทู ีน่ ักเรยี นได้เรยี นมาแลว้ ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ดังนั้นในขัน้ นีจ้ ึงรวมถึงความสามารถในการเอากฎ มโนทัศน์ หลักสาคัญ วิธีการนาไปใช้ การเรียนรู้ในขั้นนถ้ี ือ ว่า นักเรียนจะต้องมีความเข้าใจในเน้ือหาเป็นอย่างดีเสียก่อน จึงจะนาความรู้ไปใช้ได้ ดังน้ันจึงจัดอันดับให้สงู กวา่ ความเข้าใจ 4. การวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถท่ีจะแยกแยะเน้ือหาวิชาลงไปเป็นองค์ประกอบย่อยๆ เหล่าน้ัน เพื่อที่จะได้มองเห็นหรือเข้าใจความเกี่ยวโยงต่างๆ ในข้ันน้ีจึงรวมถึงการแยกแยะหาส่วนประกอบ ย่อยๆ หากความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสว่ นย่อยๆ เหล่านน้ั ตลอดจนหลักสาคญั ตา่ งๆ ที่เข้ามาเก่ียวขอ้ ง การเรียนร้ใู น ข้ันนถ้ี ือว่าสูงกว่าการนาเอาไปใช้ และต้องเข้าใจทัง้ เนื้อหาและโครงสรา้ งของบทเรยี น 5. การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถท่ีจะนาเอาส่วนย่อยๆ มาประกอบกันเป็นสิ่งใหม่ การ สงั เคราะหจ์ งึ เกยี่ วกับการวางแผน การออกแบบการทดลอง การตั้งสมมตฐิ าน การแก้ปัญหาท่ยี ากๆ การเรยี นรู้ ในระดับน้ีเป็นการเน้นพฤติกรรมท่ีสร้างสรรค์ ในอันท่ีจะสร้างแนวคิดหรือแบบแผนใหม่ๆ ข้ึนมา ดังน้ันการ สังเคราะห์เปน็ สง่ิ ทส่ี งู กว่าการวิเคราะห์อกี ขน้ั หน่ึง 6. การประเมินค่า หมายถึง ความสามารถที่จะตัดสินใจเก่ียวกับคุณค่าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคาพูด นว นิยาย บทกวี หรือรายงานการวิจัย การตัดสินใจดังกล่าวจะตอ้ งวางแผนอยู่บนเกณฑท์ ี่แนน่ อน เกณฑ์ดังกล่าว อาจจะเป็นสิ่งท่ีนักเรียนคิดข้ึนมาเอง หรือนามาจากท่ีอื่นก็ได้ การเรียนรู้ในขั้นน้ีถือว่าเป็นการเรียนรู้ข้ันสูงสดุ ของความรคู้ วามจา 2.2.3 งานวจิ ัยท่ีเกยี่ วขอ้ งกับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน งานวิจยั ในประเทศ ศจี อนนั ตโสภาจิตร์ (2540 : 112-113) ได้ศกึ ษาเกย่ี วกบั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาวทิ ยาศาสตร์ของ นักเรียนท่ีได้รับการสอนด้วยกิจกรรมมุมวิทยาศาสตร์กับการสอนที่ไม่ได้จัดด้วยกิจกรรมมุมวิทยาศาสตร์ ผล การศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองที่ได้รับการสอนด้วยกิจกรรมมุมวิทยาศาสตร์ กลุ่มควบคุมที่ได้รับการสอนโ ดย ไม่ไดจ้ ัดกจิ กรรมมมุ วิทยาศาสตร์ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวิชาวทิ ยาศาสตรแ์ ตกต่างกนั กญั ญา ทองม่นั (2534 : 83-84) ได้ศึกษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวชิ าวิทยาศาสตรด์ ้านความรู้ ความจา และทางดา้ นทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 2 พบวา่ นักเรียนกลมุ่ ท่ีได้รับ
20 การสอนแบบสืบเสาะหาความรแู้ บบไมก่ าหนดแนวทางมผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นดา้ นความรู้ ความจา และด้าน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สูงกว่านักเรียนกลุ่มท่ีได้รับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้แบบกาหนด แนวทาง มนมนัส สดุ สิ้น (2543 : 87) ได้ศกึ ษาผลสมั ฤทธิท์ างวิทยาศาสตร์และความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ วิจารณ์ของผเู้ รยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 ทีไ่ ดร้ ับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ประกอบกับการเขียนผังมโนมติ ผลการศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางวิทยาศาสตร์และความสามารถในการคิดวิเคราะห์วิจารณ์ของผู้เรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ไดร้ ับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ประกอบกบั การเขยี นผังมโนมติแตกต่างกนั มณีรัตน์ เกตุไสว (2540 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาผลการจัดกิจกรรมการทดลองท่ีมีผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนวิชาฟิสิกส์ด้านมโนมติทางวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้นั บูรณาการของผู้เรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผลการศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ได้มโนมติทางวิทยาศาสตร์ของ ผู้เรียนที่ได้รับการสอนด้วยการจัดกิจกรรมทดลองท่ีผู้เรียนออกแบบการทดลองและปฏิบัติการทดลองที่ได้ ออกแบบไวพ้ รอ้ มท้ังเลอื กรูปแบบการบันทึกข้อมูลจากการทดลองแตกตา่ งจากกลมุ่ ท่ีได้รับการสอนด้วยการจัด กิจกรรมการทดลองตามคู่มือผสู้ อน ชลสีต์ จันทาสี (2543 : 69) ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และ ความสามารถในการตัดสินใจอย่างสร้างสรรค์ของผู้เรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุด กิจกรรมการตดั สนิ ใจทางวิทยาศาสตรก์ ับการสอนตามคู่มอื ผู้สอน ผลการศกึ ษาพบว่า ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน วทิ ยาศาสตรแ์ ละความสามารถในการตดั สนิ ใจอย่างสร้างสรรคแ์ ตกต่างกันอยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติทร่ี ะดบั .05 ศิริภรณ์ แม่นม่นั (2543 : 112) ศึกษาเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาวทิ ยาศาสตร์และทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ของผ้เู รยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ที่ได้รับการสอนตาม แนวทฤษฎสี รรคนยิ ม ผลการศกึ ษาพบว่า ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนวิชาวทิ ยาศาสตรแ์ ละทกั ษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และเจตคติทางวิทยาศาสตร์แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และเจตคติทาง วทิ ยาศาสตร์ของนักเรยี นกลุ่มทดลองและกล่มุ ควบคมุ แตกต่างกันอย่างไมม่ ีนยั สาคัญทางสถติ ิ จิรพรรณ ทะเขยี ว (2543 : 82) ได้ศึกษาเปรียบเทียบทักษะภาคปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์ทางทะเลและ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ท่ีสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมอุปกรณ์ วิทยาศาสตร์กับการสอนตามคู่มือผู้สอน ผลการศึกษาพบว่า ทักษะภาคปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์ทางทะเลและ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และทักษะภาคปฏิบัติ ทางวิทยาศาสตร์ทางทะเลและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตรห์ ลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมนี ยั สาคัญ ทางสถิตทิ ่ีระดบั .01 งานวจิ ยั ต่างประเทศ นอร์แมน (Norman. 1992 : 715-727) ได้เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ระหว่างแบบจาลองท่ีเป็นระบบ (Systematic modeling) กับวัฏจักรการเรียนรู้ (Learning
21 cycle) ผลปรากฏว่า ผู้เรียนที่เรียนโดยผู้สอนแบบผู้สอนแบบจาลองท่ีเป็นระบบมีผลสัมฤทธ์ิของทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตรส์ งู กวา่ นักเรยี นที่เรียนโดยผู้สอนเป็นผูส้ อนแบบวัฏจกั รการเรยี นรู้ บอร์ด (Bard. 1975 : 5947-A) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางด้านการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพของ นักศึกษาท่ี Southern Colorado State College โดยใชบ้ ทเรยี นสาเร็จรูปกับการสอนปกตกิ ลุ่มทดลองโดยใช้ บทเรียนสาเร็จรูป กลุ่มควบคุมสอนแบบปกติปรากฏว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มควบคุมและกลุ่ม ทดลองไมแ่ ตกตา่ งกนั ฮาร์ท และ อัล-ฟาเลห์ (Harty ; & Al-Faleh. 1983 : 861-866) ไดศ้ กึ ษาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชา เคมีและเจตคติที่ได้จากการสอนแบบสาธิตประกอบการบรรยายและวิธีสอนแบบแบ่งกลุ่มย่อยทดลองของ นักเรียนระดับ 11 จานวน 74 คน ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรียนท่ีสอนแบบแบ่งกลมุ่ ทดลองสูงกว่ากลุ่มทส่ี อนแบบสาธิตประกอบการบรรยายอยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิ แฟรงเกล (Frankel. 1960 : 281-289) ได้ทาการศึกษาสาเหตุท่ีทาให้ผู้เรียนท่ีมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนสูงกับผู้เรียนชายท่ีมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่า แต่มีระดับสติปัญญาเท่ากัน มีความสามารถทางวิชาการ แตกต่างกัน ผลการศึกษาพบว่า ความสนใจเป็นสาเหตุหน่ึงท่ีทาให้ผู้เรียนท้ังสองกลุ่มมีความสามารถทาง วิชาการแตกต่างกัน ผลการศึกษาพบว่า ความสนใจเป็นสาเหตุหนึ่งท่ีทาให้ผู้เรียนทั้งสองกลุ่มมีความสามารถ ทางวิชาการแตกต่างกัน โดยผู้เรียนชายท่ีมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงมีความสนใจในวิชาคณิตศาสตร์และ วิทยาศาสตร์ ในขณะทผ่ี ้เู รียนทม่ี ีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนตา่ มคี วามสนใจเกี่ยวกบั เคร่ืองจักรกลและศิลปะ สมิท (Smit. 1994 : 2528-A) ได้ศึกษาผลจากการสอนโดยใช้วิธีสอนท่ีมีเจตคติต่อผลสัมฤทธ์ทิ างการ เรียนวิทยาศาสตร์ของนกั เรยี นท่ีได้รับการสอนแบบบรรยาย แบบลงมือปฏิบัติด้วยตนเองและทั้งแบบบรรยาย และแบบลงมือปฏิบัติ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนแบบลงมือปฏิบัติด้วยตนเองมีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนสงู กวา่ ทั้งสองแบบ จากการศึกษาผลการวจิ ยั พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นมีท้งั ด้านความร้คู วามสามารถท่ไี ด้รบั จากการ เรียนการสอนที่ผู้สอนจัดให้แก่ผู้เรียน ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ จนผู้เรียนสามารถนาความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ต่างๆ ไปใช้เปน็ พน้ื ฐานในการพฒั นาตนเองในชวี ติ ประจาวัน ในการศึกษาคร้ังนผ้ี ู้วิจยั ทาการศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นจากการทดสอบก่อนและหลงั เรียนโดยใช้ ชุดกิจกรรม เร่อื ง การย่อยอาหารของสตั ว์ ท่ผี ูว้ จิ ัยพัฒนาข้นึ
22 บทท่ี 3 วธิ ดี าเนินการวจิ ัย ในการวิจยั ครัง้ น้ี ผวู้ ิจัยไดด้ าเนินการตามขัน้ ตอน ดงั น้ี 3.1 ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง 3.2 เครือ่ งมือทใี่ ช้ในการวจิ ยั 3.3 การสรา้ งและหาคุณภาพเคร่ืองมือ 3.4 การเก็บรวบรวมขอ้ มูล 3.5 การวิเคราะห์ขอ้ มลู และสถิติทใ่ี ช้ในการวจิ ัย 3.1 ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง กลุ่มเปา้ หมาย กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการวจิ ัยคร้ังนเ้ี ป็นนักเรยี นระดบั ชั้นระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 – 3 ที่เลือกเรียน วิชาเลือกในรายวิชาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่มีระดับผลการเรียนต่ากว่าเกณฑ์ในวิชาทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 จานวน นักเรยี นทัง้ หมด 14 คน แบบแผนการวิจยั การวิจัยในคร้ังนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยใช้กลุ่มเป้าหมายกลุ่มเดียว (One Group Pretest- Posttest) (พวงรัตน์ ทวรี ัตน์. 2538 : 60-61) ดงั น้ี ตาราง 1 แบบแผนการวิจัย กลุ่มตวั อย่าง สอบกอ่ น ทดลอง สอบหลงั E T1 X T2 สญั ลักษณ์ที่ใชใ้ นแบบแผนการทดลอง E แทน กลมุ่ ตัวอย่างท่ีเรียนโดยชดุ กิจกรรม T1 แทน การสอบกอ่ นการทดลอง (Pretest) X แทน การสอนโดยชุดกิจกรรม T2 แทน การสอบหลงั การทดลอง
23 3.2 เคร่อื งมือท่ีใช้ในการวิจัย เคร่ืองมอื ทใ่ี ชในการเก็บรวบรวมขอมลู เพอื่ การวิจัยในคร้ังน้ี ไดแก 3.2.1 ชุดกจิ กรรม 3.2.2 แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น 3.3 การสร้างและหาคณุ ภาพเครื่องมอื 3.3.1 ขนั้ ตอนการสร้างชดุ กจิ กรรม ในการสร้างชดุ กจิ กรรม ผู้วิจยั ดาเนินการตามขั้นตอน ดงั น้ี 1. ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เพ่ือกาหนดกรอบ เนอื้ หาของชดุ กจิ กรรม 2. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการสร้างชุดกิจกรรม ทั้งด้านกิจกรรม รูปแบบและ สว่ นประกอบของชุดกจิ กรรม 3. ยกร่างเนื้อหาที่นามาใช้ในการพัฒนาชุดกิจกรรม และทาการสร้างชุดกิจกรรม เร่ือง ทักษะการ จาแนกประเภท 3.3.2 วธิ กี ารหาคณุ ภาพของชดุ กจิ กรรม 1. นาชุดกิจกรรมไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 - 3 ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย เพื่อหา ประสิทธิภาพชุดกิจกรรม ใช้เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 โดยใช้สูตร E1/E2 (เสาวนีย์ สิกขาบัณฑิต. 2528 : 294- 296) ผู้วิจัยไดด้ าเนนิ การตามข้นั ตอน ดังน้ี 1.1 ทดลองกับนักเรียนจานวน 3 คน ซึ่งมีระดับความสามารถ เก่ง ปานกลาง อ่อน เพื่อนา ข้อบกพรอ่ งต่างๆ มาปรบั ปรุงแกไ้ ข 1.2 ทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 - 3 ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย จานวน 3 กลุ่ม กลุ่มละ 3 คน ซง่ึ มีระดบั ความสามารถ เกง่ ปานกลาง อ่อน เพ่ือนาขอ้ บกพร่องต่างๆ มาปรับปรุงแก้ไข 2. นาชุดกจิ กรรมที่ไดป้ รบั ปรงุ แล้วตามขอ้ 1.1 และ 1.2 นาไปทดลองใชก้ ับนกั เรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 – 3 ที่เลือกเรียนวิชาเลือกในรายวิชาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จานวน 14 คน เพ่ือหาประสทิ ธภิ าพของชุดกจิ กรรม การยอมรับประสิทธิภาพของชุดกจิ กรรม พิจารณาจากคะแนนทไ่ี ด้จากการทาแบบฝกึ หัดระหว่างเรียน และแบบทดสอบหลงั เรียนของนกั เรยี นจากข้อ 3 โดยใชเ้ กณฑ์มาตรฐาน 80/80 80 ตัวแรก หมายถึง ค่าประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมย่อยแต่ละชุด คิดเป็นร้อยละของคะแนนเฉล่ีย จากการทาแบบฝึกหดั แตล่ ะชดุ ไดค้ ะแนนไม่ต่ากว่า 80% 80 ตัวหลัง หมายถึง ค่าประสิทธิภาพของชุดกิจกรรม คิดเป็นร้อยละของคะแนนเฉล่ียจากการทา แบบทดสอบหลังใชช้ ุดกจิ กรรม ไดค้ ะแนนไมต่ ่ากวา่ 80%
24 หลังจากนาผลการตรวจให้คะแนนชุดกิจกรรมไปคานวณหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรม โดยใช้สูตร E1/E2 ซ่ึงไดค้ ่าประสิทธิภาพ ดังน้ี 87.50/89.38 3.3.3 ข้ันตอนการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ผวู้ จิ ัยสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น มีข้ันตอนการดาเนินการ ดงั นี้ 1. ศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เก่ียวกับการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียน 2. สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีประกอบด้วยข้อคาถามที่เก่ียวข้องกับเนื้อหาใน ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 - 3 เรื่อง ทักษะการจาแนกประเภท แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก รวมจานวน 20 ข้อ 3.3.4 ข้ันตอนการหาคณุ ภาพของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น 1. นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนทไี่ ด้สร้างขน้ึ เสนอต่อผู้เชีย่ วชาญ จานวน 3 ทา่ น ที่เป็น ผู้เช่ียวชาญชุดเดียวกับผู้เชียวชาญที่ตรวจประเมินคุณภาพของชุดกิจกรรม เพ่ือตรวจสอบลักษณะการใช้คา ความถกู ต้องทางด้านภาษา เพ่ือหาค่าความเท่ียงตรง โดยพิจารณาจากดัชนคี วามสอดคล้องระหวา่ งขอ้ สอบกับ ลักษณะพฤติกรรม (IC) ที่มีค่าต้ังแต่ 0.50 ข้ึนไป (พวงรัตน์ ทวีรัตน์. 2543 : 117) แล้วนาข้อเสนอแนะมา ปรบั ปรุงแกไ้ ข 2. นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่ปรับปรุงแก้ไขตามคาแนะนาของผู้เชี่ยวชาญ มีค่า IC 0.67-1.00 แลว้ ไปทดลองใชก้ บั นักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 - 3 ทเี่ คยเรียนเรอ่ื งน้ีมาแลว้ จานวน 50 คน เพอื่ หาค่าคณุ ภาพของแบบทดสอบ 3. นากระดาษคาตอบทีผ่ ู้เรียนตอบคาถามแลว้ มาตรวจให้คะแนน โดยข้อท่ีตอบถกู ให้ 1 คะแนน ข้อท่ี ตอบผิดหรือตอบเกิน 1 คาตอบหรือไม่ตอบให้ 0 คะแนน เมื่อรวมคะแนนเรียบร้อยแล้วนาผลการทดสอบมา วิเคราะหห์ าคา่ ความยากงา่ ย (p) และคา่ อานาจจาแนก (r) โดยใชส้ ูตร (พิชิต ฤทธิจ์ รญู . 2545 : 141) 4. นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปทดสอบกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 - 3 จานวน 50 คน เพอ่ื หาค่าความเช่อื ม่ันแบบคูเตอร์-ริชารด์ สัน โดยใชส้ ูตร K-R 20 (พวงรตั น์ ทวีรัตน์. 2543 : 123) 5. นาแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนท่มี ีประสิทธิภาพไปทดลองใช้กับนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษา ปที ี่ 2 - 3 ท่ีเปน็ กลุ่มเป้าหมาย 3.4 การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ผ้วู จิ ยั ได้ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมลู ตามลาดับ ดังนี้ 1. ทดสอบก่อนเรยี น (Pre-test) กบั นกั เรยี นกล่มุ เปา้ หมายด้วยแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น 2. ดาเนินการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรม เร่ือง ทักษะการจาแนกประเภทกับนกั เรียนกลุ่มเป้าหมาย โดย ผ้วู จิ ยั เป็นผูส้ อนเอง ใชเ้ วลา 2 ชวั่ โมง
25 3. เมอ่ื สิ้นสดุ การสอนทาการทดสอบหลังเรียน (Post-test) กับนักเรยี นกล่มุ เดิมดว้ ยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี น (เปน็ แบบทดสอบชุดเดยี วกับก่อนเรียนแตเ่ รียงข้อสลบั กัน) 4. นาคะแนนจากการตรวจแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นหลงั ดาเนินการจัดการเรียนรู้ด้วยชดุ กิจกรรม มาวเิ คราะหโ์ ดยวธิ ที างสถติ ิ เพอ่ื ตรวจสอบสมมตฐิ าน 3.5 การวิเคราะหข์ อ้ มลู และสถิติทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย ผ้วู จิ ยั ดาเนนิ การวิเคราะหข์ อ้ มลู ดังน้ี 1. เปรียบเทยี บผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 - 3 โดยใช้ t-test Dependent Sample (พวงรัตน์ ทวรี ตั น.์ 2543 : 165-167) สถิตทิ ่ีใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู 1. สถติ ิพ้นื ฐาน 1.1 คา่ เฉลี่ยเลขคณติ (mean) โดยคานวณจากสตู ร (ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ. 2538 : 73) X X N เมื่อ X แทน คา่ เฉลยี่ ของคะแนน X แทน ผลรวมของคะแนนทงั้ หมด N แทน จานวนนักเรยี นทัง้ หมด 1.2 การหาคา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน โดยคานวณจากสูตร (ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ. 2538 : 79) S.D. = √������ ∑������ 2−(∑������ ������) ������ (������−1) เมอ่ื S.D. แทน ค่าส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน ∑������ แทน ผลรวมของคะแนนทงั้ หมด ∑x2 แทน ผลรวมของคะแนนแตล่ ะตัวยกกาลงั สอง ������ แทน จานวนนักเรียนกลุม่ เปา้ หมาย 2. สถติ ิทใ่ี ช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมอื 2.1 การหาค่าดัชนีความเที่ยงตรงของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง ทักษะ การจาแนกประเภท โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างคาถามกับพฤติกรรมที่ต้องการ จะวัด (พวงรัตน์ ทวรี ตั น์. 2538 : 117)
26 เมอ่ื IC IC = ∑R ∑R N N แทน ดชั นคี วามสอดคลอ้ งระหว่างข้อสอบกบั ผลการเรียนรทู้ คี่ าดหวงั แทน ผลรวมคะแนนความคดิ เหน็ ของผูเ้ ช่ยี วชาญท้ังหมด แทน จานวนผเู้ ชย่ี วชาญท้ังหมด 2.2 การหาประสทิ ธิภาพของชุดกิจกรรม โดยใช้สูตร E1/E2 (เสาวนีย์ สกิ ขาบัณฑิต. 2528 : 294-296) ดงั น้ี ∑ ������ ������1 = ������ × 100 ������ เมอ่ื ������1 แทน ประสิทธิภาพของการเรยี นการสอน โดยใช้ชดุ กิจกรรม เรอื่ ง ทักษะ การจาแนกประเภท คิดเป็นรอ้ ยละของคะแนนเฉลี่ยท่ไี ดจ้ ากการทาแบบฝกึ หัดระหว่างเรียน ∑ ������ แทน คะแนนรวมจากการทาแบบฝึกหดั ระหว่างเรียน ������ แทน จานวนนกั เรียนทง้ั หมด ������ แทน คะแนนเตม็ ของแบบฝึกหัดระหวา่ งเรยี น ∑ ������ ������2 = ������ × 100 ������ เมอื่ ������2 แทน ประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธ์จากการเรยี นการสอนโดยใช้ชดุ กิจกรรม คดิ เปน็ รอ้ ยละของคะแนนเฉลยี่ ทีไ่ ดจ้ ากการทาแบบทดสอบหลงั เรยี น ∑ ������ แทน คะแนนรวมจากการทาแบบทดสอบหลังเรยี น ������ แทน จานวนนกั เรยี นทั้งหมด ������ แทน คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบหลังเรียน 2.3 การคานวณหาค่าความยากงา่ ย (p) และค่าอานาจจาแนก (r) ของแบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน โดยคานวณหาค่าจากสูตร ดงั น้ี 1) หาค่าระดบั ความยากงา่ ย (difficulty level) โดยใชส้ ูตร (พิชติ ฤทธจ์ิ รญู . 2545 : 141) P = PH + PL 2n
27 เม่ือ ������ แทน ค่าดัชนีความยากง่าย ������������ แทน จานวนนกั เรียนที่ตอบถกู ในกล่มุ สงู ������������ แทน จานวนนักเรยี นท่ีตอบถูกในกลมุ่ ตา่ ������ แทน จานวนนกั เรยี นในกลุ่มสงู หรือกลุม่ ตา่ 2) หาค่าอานาจจาแนก (discrimination) r= PH + PL n เม่ือ ������ แทน ค่าดชั นคี วามยากง่าย r แทน ค่าอานาจจาแนก ������������ แทน จานวนนกั เรยี นทตี่ อบถกู ในกลุ่มสูง ������������ แทน จานวนนักเรยี นทีต่ อบถกู ในกลมุ่ ตา่ ������ แทน จานวนนกั เรียนในกลมุ่ สูงหรือกลุ่มต่า 2.4 การหาค่าความเชื่อม่นั ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน โดยคานวณจากสตู ร K – R 20 ของคูเดอร์ ริชาร์ดสนั (Kuder Richardson) (พวงรตั น์ ทวรี ัตน.์ 2538 : 123) rtt = n {1 − ∑stp2q} n−1 เมือ่ rtt แทน คา่ ความเชอ่ื ม่ันของแบบทดสอบ ������ แทน จานวนข้อของแบบทดสอบทง้ั ฉบับ p แทน สดั ส่วนของผูท้ ่ีตอบถูกในแต่ละขอ้ (จานวนคนที่ตอบถูก) จานวนคนทั้งหมด q แทน สดั ส่วนของผทู้ ่ีตอบผดิ ในแต่ละข้อ (1 - p) st2 แทน คะแนนความแปรปรวนของแบบทดสอบทงั้ ฉบบั 3. สถติ ิทใี่ ช้ทดสอบสมมติฐาน 3.1 การทดสอบสมมติฐานที่ผู้เรียนท่ีเรียนด้วยชุดกิจกรรม เรื่อง ทักษะการจาแนกประเภท มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยใช้ค่าสิถิติ t-test for Dependent Sample (พิชิต ฤทธิจ์ รูญ. 2545 : 141)
28 D̅ t = sD̅ เมอ่ื t แทน ค่าทีใ่ ช้พจิ ารณา t-test for Dependent Sample แทน คา่ เฉลี่ยของคะแนนผลตา่ งทีเ่ ขา้ ค่มู อื D̅ แทน ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานของคะแนนผลต่างท่ีเข้าคู่กนั sD̅
29 บทที่ 4 ผลการวจิ ยั 4.1 สัญลกั ษณ์ทใี่ ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมูล ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ผวู้ ิจยั ใช้สญั ลกั ษณ์ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดังน้ี n แทน จานวนกลุ่มเป้าหมาย ������̅ แทน ค่าเฉลีย่ ของคะแนน S.D. แทน ค่าส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) sD̅ แทน สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานของคะแนนผลต่างที่เขา้ คู่กนั t แทน คา่ พจิ ารณาในการแจกแจงแบบทีใน (t-distribution) * แทน ความแตกต่างอยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถิติที่ระดบั .05 A แทน คะแนนเต็มของแบบฝกึ หดั ระหว่างเรียน ∑ ������ แทน คะแนนรวมจากการทาแบบฝึกหดั ระหวา่ งเรียน ������1 แทน ประสิทธภิ าพของการเรียนการสอน คิดเปน็ ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยทไ่ี ด้ จากการทาแบบฝกึ หัดระหว่างเรียน ������ แทน จานวนขอ้ ของแบบทดสอบทงั้ ฉบบั ������ แทน คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบหลงั เรียน ������2 แทน ประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์จากการเรียนการสอน คิดเป็นรอ้ ยละของคะแนน เฉลีย่ ที่ไดจ้ ากการทาแบบทดสอบหลังเรียน 4.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผวู้ จิ ยั ได้นาเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู และแปรความหมายข้อมลู เปน็ ดงั น้ี เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์กอ่ นเรียนและหลังเรยี นท่ี ไดร้ บั การสอนดว้ ยชุดกิจกรรม เรือ่ ง ทักษะการจาแนกประเภท โดยใช้สถิติ t-test for Dependent Sample 1. การหาค่าประสทิ ธิภาพของชุดกจิ กรรม เรอ่ื ง การยอ่ ยอาหารของสตั ว์ ทพ่ี ฒั นาขนึ้ โดยใช้สตู ร E1/E2 ดังแสดง ไวใ้ นตาราง 2
30 ตาราง 2 ประสทิ ธิภาพของชุดกจิ กรรม เรือ่ ง ทักษะการจาแนกประเภท ประสิทธภิ าพ A ∑ ������ ������1 B ∑ ������ ������2 ของชุดกจิ กรรม N ทักษะการ 116 30 420 87.50 20 286 89.38 จาแนกประเภท จากตาราง 2 พบวา่ ชดุ กจิ กรรม เรือ่ ง ทักษะการจาแนกประเภท ไดค้ า่ ประสทิ ธิภาพเปน็ ไปตามเกณฑ์ 80/80 2. การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ าทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนกั เรียนท่ีได้รับการสอนโดย ใช้ชุดกิจกรรม เร่ือง ทักษะการจาแนกประเภท แล้วนาผลต่างของคะแนนก่อนเรียนกับหลังเรียนมาวิเคราะห์ ทางสถติ ิ โดยใชก้ ารพิจารณาค่า t จาก t-test for Dependent Sample ตามลาดับ ดังแสดงไว้ในตาราง 3 ตาราง 3 ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชาทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรยี นท่ไี ดร้ บั การสอนโดยใชช้ ดุ กิจกรรม เร่ือง ทักษะการจาแนกประเภท ผลสมั ฤทธิ์ n ������̅ D̅ sD̅ t ทางการเรียน ทดสอบก่อนเรียน 14 7.44 ทดสอบหลังเรยี น 14 17.88 10.44 1.38 7.58* * มีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .05 ตาราง 3 พบว่า นักเรียนกลุ่มเป้าหมายท่ีได้รับการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรม เรื่อง ทักษะการจาแนกประเภทมี ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนสูงข้นึ อย่างมีนัยสาคญั ทีร่ ะดบั .05 เป็นไปตามสมมตฐิ าน
31 บทท่ี 5 สรปุ ผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ การวิจัยคร้ังนี้เป็นการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสต ร์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 – 3 ที่เลือกเรียนวิชาเลือกในรายวิชาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทไ่ี ด้รบั การจัดการเรยี นรู้ด้วยชดุ กิจกรรม เร่อื ง ทักษะการจาแนกประเภท ซึง่ สรุปสาระสาคัญไว้ดังน้ี 5.1 วัตถปุ ระสงค์การวจิ ัย เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เร่ือง ทักษะการจาแนก ประเภทของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 – 3 ที่เลือกเรียนวิชาเลือกในรายวิชาทักษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 ทไี่ ดร้ ับการจดั การเรียนรู้ดว้ ยชดุ กิจกรรม 5.2 ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับช้ันระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 - 3 ที่มีระดับผล การเรียนต่ากว่าเกณฑ์ในวิชาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จานวนนกั เรียนทง้ั หมด 14 คน 5.3 เครื่องมอื ทใ่ี ช้ในการวิจัย เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ยั ในครัง้ นี้ ประกอบดว้ ย 1. ชุดกิจกรรม เรื่อง ทักษะการจาแนกประเภทท่ีพัฒนาข้ึนมีค่าประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 87.50/89.38 ซงึ่ ผ่านเกณฑป์ ระสิทธภิ าพท่ีกาหนดไว้ 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็นแบบปรนัยเลือกตอบ 4 ตัวเลือก มีค่าอานาจจาแนก ตงั้ แต่ .23 - .79 คา่ ความยากงา่ ยต้งั แต่ .20 - .25 และค่าความเชือ่ มน่ั เทา่ กบั .91 จานวน 20 ข้อ 5.4 การเก็บรวบรวมข้อมลู ผ้วู จิ ัยได้ดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ตามลาดับ ดงั น้ี 1. ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) กบั นักเรยี นกลมุ่ เป้าหมายดว้ ยแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 2. ดาเนินการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรม เรื่อง ทักษะการจาแนกประเภทกับนักเรียนกลุ่ม เปา้ หมาย โดยผู้วจิ ยั เปน็ ผูส้ อนเอง ใชเ้ วลา 2 ชัว่ โมง
32 3. เมื่อส้ินสุดการสอนทาการทดสอบหลังเรียน (Post-test) กับนักเรียนกลุ่มเดิมด้วยแบบทดสอบวัด ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน (เปน็ แบบทดสอบชดุ เดียวกบั ก่อนเรยี นแตเ่ รียงขอ้ สลบั กนั ) 4. นาคะแนนจากการตรวจแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังดาเนินการจัดการเรยี นรู้ด้วย ชดุ กิจกรรม มาวิเคราะหโ์ ดยวธิ ที างสถิตเิ พือ่ ตรวจสอบสมมตฐิ าน 5.5 การวิเคราะหข์ อ้ มูลและสถติ ิที่ใชใ้ นการวจิ ยั ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล ผู้วจิ ัยได้ดาเนนิ การดงั น้ี 1. นาชุดกิจกรรม เร่ือง ทักษะการจาแนกประเภทที่พัฒนาขึ้นทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่ กลุ่มเป้าหมาย แล้วนาคะแนนการทาแบบฝึกหัดระหว่างเรียนและผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนมาหาประสิทธภิ าพ ของชุดกจิ กรรม โดยใช้สูตร E1/E2 2. นาคะแนนท่ีได้จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนมา วิเคราะหผ์ ล โดยใช้การพจิ ารณาค่า t จากคา่ t-test for Dependent Sample สถติ ทิ ีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย ประกอบด้วย สถติ ทิ ่ใี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมูล 1. สถติ พิ ื้นฐาน 1.1 คา่ เฉลย่ี เลขคณิต (mean) โดยคานวณจากสูตร X X N เมอ่ื X แทน ค่าเฉล่ียของคะแนน X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จานวนนักเรยี นท้งั หมด 1.2 การหาคา่ เบยี่ งเบนมาตรฐาน โดยคานวณจากสูตร S.D. = √������ ∑������ 2−(∑������ ������) ������ (������−1) เม่ือ S.D. แทน ค่าสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑������ แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด ∑x2 แทน ผลรวมของคะแนนแตล่ ะตวั ยกกาลงั สอง ������ แทน จานวนนกั เรียนกลุ่มเปา้ หมาย
33 2. สถติ ิท่ใี ช้ในการหาคุณภาพของเคร่อื งมือ 2.1 การหาค่าดัชนีความเที่ยงตรงของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทักษะ การจาแนกประเภท โดยใชค้ า่ ดัชนีความสอดคลอ้ งระหวา่ งคาถามกับพฤตกิ รรมทตี่ ้องการจะวัด IC = ∑R N เมื่อ IC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง ∑R แทน ผลรวมคะแนนความคดิ เห็นของผู้เช่ียวชาญท้งั หมด N แทน จานวนผเู้ ช่ยี วชาญทงั้ หมด 2.2 การหาประสทิ ธิภาพของชดุ กจิ กรรม โดยใชส้ ูตร E1/E2 ดงั นี้ ∑ ������ ������1 = ������ × 100 ������ เม่อื ������1 แทน ประสิทธิภาพของการเรียนการสอน โดยใช้ชุดกิจกรรม เรื่อง วิชา ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คดิ เปน็ ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยท่ไี ดจ้ ากการทาแบบฝกึ หัดระหว่างเรียน ∑ ������ แทน คะแนนรวมจากการทาแบบฝกึ หัดระหว่างเรียน ������ แทน จานวนนกั เรียนทั้งหมด ������ แทน คะแนนเตม็ ของแบบฝึกหดั ระหวา่ งเรยี น ∑ ������ ������2 = ������ × 100 ������ เม่อื ������2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์จากการเรียนการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรม คดิ เปน็ ร้อยละของคะแนนเฉลย่ี ทไี่ ดจ้ ากการทาแบบทดสอบหลงั เรียน ∑ ������ แทน คะแนนรวมจากการทาแบบทดสอบหลังเรียน ������ แทน จานวนนักเรียนทั้งหมด ������ แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลงั เรียน 2.3 การคานวณหาคา่ ความยากง่าย (p) และค่าอานาจจาแนก (r) ของแบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรยี น โดยคานวณหาค่าจากสูตร ดงั นี้
34 1) หาคา่ ระดับความยากงา่ ย (difficulty level) โดยใช้สูตร P = PH + PL 2n เมื่อ ������ แทน ค่าดัชนคี วามยากงา่ ย ������������ แทน จานวนนักเรียนท่ีตอบถูกในกลมุ่ สงู ������������ แทน จานวนนักเรียนทีต่ อบถกู ในกลุม่ ต่า ������ แทน จานวนนกั เรียนในกล่มุ สูงหรอื กลุ่มตา่ 2) หาคา่ อานาจจาแนก (discrimination) r= PH + PL n เมื่อ ������ แทน คา่ ดชั นีความยากงา่ ย r แทน คา่ อานาจจาแนก ������������ แทน จานวนนกั เรียนท่ีตอบถกู ในกลุ่มสงู ������������ แทน จานวนนักเรียนที่ตอบถกู ในกลุ่มตา่ ������ แทน จานวนนักเรียนในกลมุ่ สงู หรือกลุ่มตา่ 2.4 การหาค่าความเช่อื ม่นั ของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน โดยคานวณจากสูตร K – R 20 rtt = n {1 − ∑stp2q} n−1 เมื่อ rtt แทน ค่าความเชื่อมนั่ ของแบบทดสอบ แทน จานวนข้อของแบบทดสอบทง้ั ฉบับ n แทน สัดส่วนของผู้ที่ตอบถกู ในแตล่ ะข้อ (จานวนคนท่ีตอบถูก) p จานวนคนท้ังหมด q แทน สดั สว่ นของผทู้ ตี่ อบผดิ ในแต่ละข้อ (1 - p) st2 แทน คะแนนความแปรปรวนของแบบทดสอบทั้งฉบับ
35 3. สถติ ทิ ่ใี ชท้ ดสอบสมมติฐาน 3.1 การทดสอบสมมติฐานท่ีผู้เรียนท่ีเรียนด้วยชุดกิจกรรม เรื่อง ทักษะการจาแนกประเภท มีผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นหลงั เรียนสูงกว่ากอ่ นเรยี น โดยใชค้ ่าสถิ ิติ t-test for Dependent Sample เมอ่ื t D̅ t = sD̅ D̅ แทน คา่ ท่ใี ชพ้ จิ ารณา t-test for Dependent Sample sD̅ แทน คา่ เฉล่ยี ของคะแนนผลต่างทเี่ ข้าคู่มอื แทน สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานของคะแนนผลตา่ งท่ีเขา้ คู่กัน 5.6 สรุปผลการวจิ ยั หลังจากนาชุดกิจกรรม เร่ือง การย่อยอาหารของสัตว์ ท่ีมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ไป ทดลองใช้กับนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย พบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรยี นหลังเรียนสงู กวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .05 5.7 อภิปรายผล ก า ร วิ จั ย ค รั้ ง น้ี มี วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ เ พ่ื อ พั ฒ น า ผ ล สั ม ฤ ท ธ์ิ ท า ง ก า ร เ รี ย น วิ ช า ทั ก ษ ะ ก ร ะ บ ว น ก า ร ท า ง วิทยาศาสตร์ เร่ือง ทักษะการจาแนกประเภท ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 - 3 ที่เลือกเรียนวิชาเลือกใน รายวชิ าทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 ที่ได้รับการจัดการเรยี นรู้ด้วยชุด กิจกรรม จากการวิจัย พบว่า หลังเรียนโดยใช้ชดุ กิจกรรม เร่ือง ทักษะการจาแนกประเภท ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงกวา่ ก่อนเรยี น ซ่ึงเปน็ ไปตามสมมติฐานท่กี าหนดไว้ เหตุทเ่ี ป็นเช่นน้อี าจเนือ่ งมาจากชุดกิจกรรม ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นได้ผ่านการตรวจสอบจากผู้เช่ียวชาญทั้งใน ส่วนของเนื้อหา การใช้ภาษา และกิจกรรมท่ีให้ ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ มีการเน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกใช้กระบวนการคิดจนมีความรู้ความสามารถ ซ่ึงสอดคล้องกับ งานวิจัยของอาคม ขุ่นด้วง (2539 : 89-90) ได้ศึกษาพบว่า หลังจากนักเรียนได้ใช้ชุดการสอนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และความคงทนในการเรยี นรใู้ นกลุ่มสรา้ ง เสริมประสบการณ์ชวี ิต เร่ือง พืชและสัตว์สงู กวา่ นักเรียนทไ่ี ดร้ บั การเรียนรู้แบบปกติ และงานวจิ ัยของเสาวภา สมวิวัฒนกุล (2541 : บทคัดย่อ) ยังศึกษาพบว่า หลังจากนักเรียนใช้ชุดการเรียนการสอนพัฒนาทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ นักเรียนมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สูงข้ึน นอกจากน้ีการใช้ภาษาใน การสื่อสารระหว่างผู้เรียนและผู้สอนมีความชัดเจนเข้าใจได้ตรงกัน จนประสบความสาเร็จตามความสามารถ ของตนเองและบรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งตรงกับแนวคิดของสมบูรณ์ ชิตพงษ์ และคนอื่นๆ (2540 : 6-7) ซ่ึงกล่าวไวว้ า่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเปน็ ความสามารถทางสมองดา้ นการคิด (Thinking) ทแ่ี สดงออกเป็น 6 พฤติกรรม ได้แก่ ความรู้ ความจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ และการสังเคราะห์ ซึ่งสอดคลอ้ ง กับงานวิจัยของวิวาส (Vivas. 1985 : 603) ได้ศึกษาพบว่า นักเรียนท่ีเรียนโดยใช้ชุดการสอนเก่ียวกับการรับรู้
36 ทางความคิดและเจตคติต่อวิทยาศาสตร์สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนตามปกติ ในส่วนการเรียนการสอนที่ เน้นให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทาให้ผู้เรียนได้พัฒนาพฤติกรรมด้านความรู้ ความสามารถพ้ืนฐานทางวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ได้แสดงความคิดเห็นรว่ มกนั จนเกิดความรู้ ความเข้าใจสมารถนามวลประสบการณ์ตา่ งๆ ไปใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ในชีวิตประจาวนั ซ่ึงสอดคลอ้ งกับงานวิจัย ของวนิดา อยู่ยืน (2539 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาพบว่าหลังจากนักเรียนท่ีได้รับการสอน โดยใช้ชุดกิจกรรม วทิ ยาศาสตร์มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์สูงกว่าการสอนตามคู่มือครูและงานวิจัยของบรรณรักษ์ แพงถิ่น (2539 : 68) ยังศึกษาพบว่า นักเรียนที่เรียนโดยใช้ชุดการสอนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความ คงทนในการเรียนสูงกว่านักเรียนท่ีเรียนตามแบบปกติและยังสอดคล้องกับงานวิจัยของรัตนะ บัวรา (2540 : 102) พบว่า หลังจากนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดการเรียนด้วยตนเอง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์และความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์สูงข้ึน และยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ ประพฤติ ศีลพิพัฒน์ (2540 : 68) ได้ศึกษาพบว่า หลังจากนักเรียนได้ใช้ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์แล้วมี ความสามารถด้านความคิดทางวิทยาศาสตร์สูงกวา่ นักเรียนท่ีเรยี นโดยครูเปน็ ผู้สอน และงานวิจัยของจิราภรณ์ เปง็ วงศ์ (2547 : ออนไลน์) ยงั ศึกษาพบว่า หลงั จากนักเรยี นท่ไี ด้รบั การสอนโดยใช้ชุดกิจกรรม เร่ือง ทักษะการ จาแนกประเภทมผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นสูงขน้ึ สาหรับชดุ กจิ กรรม เรื่อง ทักษะการจาแนกประเภทท่ีพัฒนาข้ึน ทาให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ต่างๆ สอดคล้องตามแนวคิดของทิชเชอร์ และคณะ (สุวัฒน์ นิยมค้า. 2531 : 408 ; อา้ งอิงจาก Tisher ; et al. 1972 : 110-111) โดยเรียนรจู้ ากประสบการณ์ทดแทนคาพูดและสญั ลักษณ์ คือ การท่ีนักเรียนได้ศึกษาใบความรู้ ทาให้นักเรยี นได้เรียนรู้ประสบการณ์จากรปู ธรรมและนามธรรม ส่งผลให้ นกั เรยี นมผี ลการเรยี นร้วู ิชาชีววทิ ยาดีขึน้ จากเหตุผลท่ีกล่าวมา จึงเป็นการสนบั สนนุ ผลการวจิ ัย ซึ่งพบวา่ หลังจากนกั เรียนได้รับการสอนโดยใช้ ชดุ กิจกรรม เรือ่ ง ทกั ษะการจาแนกประเภทแล้วนักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์หลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรยี น 5.8 ข้อเสนอแนะ 5.8.1 ข้อเสนอแนะในการนาผลการวจิ ัยไปใช้ 1.1 ก่อนนาชุดกิจกรรม เร่ือง ทกั ษะการจาแนกประเภทไปใชใ้ นการเรียนการสอน ครูผู้สอนควรศึกษา รายละเอียดของชุดกิจกรรม เพ่ือทาความเข้าใจและเตรียมความพร้อมทั้งด้านกิจกรรมการเรียนและส่ือวัสดุ อปุ กรณ์ท่ใี ช้ในกิจกรรม 1.2 ขณะนกั เรียนปฏบิ ัติกิจกรรมครูผูส้ อนควรดูแลอย่างใกลช้ ิด เพือ่ คอยแนะนา ชแ้ี นะแนวทางในการ ปฏบิ ตั กิ จิ กรรม 1.3 ครูผู้สอนควรแนะนาและกระตุ้นให้นักเรียนนาหลักการ่ีได้เรียนรู้จากการทากิจกรรมไปศึกษา ค้นคว้า และนาไปใชใ้ นชีวิตประจาวัน
37 1.4 ผู้สอนสามารถนากิจกรรมไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรสถานศึกษาในกลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยปรับให้เหมาะสมกับระดับช่วงชั้นของผู้เรียนและสภาพของ สถานศกึ ษา 1.5 เวลาทใี่ ช้ในการทากิจกรรม ผ้สู อนอาจยดื หยุ่นได้ตามความเหมาะสมของระดับความสามารถของ นกั เรยี นและระยะเวลาของกจิ กรรม แตไ่ มค่ วรมากเกินไปอาจจะทาให้นกั เรียนเกิดความเบอื่ หนา่ ยได้ 1.6 จากการสงั เกตพฤติกรรมของผู้เรยี นระหวา่ งใช้ชุดกิจกรรม เร่ือง ทกั ษะการจาแนกประเภท พบวา่ ผ้เู รียนมีความต้งั ใจและกระตอื รอื รน้ ในการทางาน และตอ้ งการสร้างงานใหม้ ีคุณภาพมากท่สี ดุ ดังนั้นผู้สอนควร มีการเสริมแรงทางบวก เพอ่ื เป็นกาลงั ใจใหแ้ กผ่ ู้เรียน ทาใหผ้ ู้เรียนเกดิ ความพงึ พอใจและทางานอย่างมีความสุข ซงึ่ สอดคลอ้ งกับแนวคดิ ของจันทรเ์ พญ็ เชอ้ื พานชิ (2525 : 320-328) ได้กลา่ ววา่ การเสริมแรง เปน็ เทคนิคการ สอนท่ีใช้หลักการเรียนรู้ทฤษฎีการวางเงื่อนไขเป็นการให้สิ่งเร้ากับผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมใด พฤตกิ รรมหน่งึ ออกมา 5.8.2 ขอ้ เสนอแนะในการทาวิจัยครั้งตอ่ ไป 2.1 ควรพัฒนาชุดกิจกรรม เร่ือง ทักษะการจาแนกประเภทในระดับช่วงชั้นอ่ืนๆ โดยปรับเนื้อหาและ กิจกรรมให้มีความยากง่ายและเหมาะสมกบั ชว่ งชัน้ ของนักเรยี น 2.2 ควรศึกษาผลการเรียนรู้จากการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมกับตัวแปรอ่ืนๆ เช่น ทักษะปฏิบัติ พฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม และความคิดสรา้ งสรรค์ 2.3 ควรมีการศกึ ษาผลการเรียนรู้ดา้ นคามรู้ จากการทาแผนที่ความคิด เพื่อสง่ เสรมิ ให้นกั เรยี นพัฒนา ทกั ษะในการคดิ และการจัดระเบียบทางการคิด สง่ เสรมิ อิสระในทางความคดิ ของนักเรียน
38 บรรณานกุ รม จิรพรรณ ทะเขยี ว. (2543). การเปรียบเทยี บทกั ษะภาคปฏิบตั ิทางวิทยาศาสตรแ์ ละผลสมั ฤทธิ์ ทางการเรียน วชิ าวทิ ยาศาสตรส์ าหรบั นักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 ทีส่ อนโดยใช้ ชดุ กจิ กรรมอุปกรณ์ วทิ ยาศาสตร์กับการสอนตามคู่มือครู. ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. (การมัธยมศึกษา). กรงุ เทพฯ: บัณฑิต วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ. ถา่ ยเอกสาร. จิราภรณ์ เปง็ วงศ์. (2547). ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาวิชาวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ท่ีได้รับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ โดยเสริมกิจกรรมการ แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การมัธยมศึกษา). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ. ถ่ายเอกสาร. จันทร์เพ็ญ เชื้อพานิช. (2525). หน่วยท่ี 2 สมรรถภาพของครูวิทยาศาสตร์และหน่วยท่ี 7 เทคนิคการสอน วิทยาศาสตร์. เอกสารการสอนชุดวิชาการการสอนวิทยาศาสตร์. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. กรุงเทพฯ: ยูไนเตด็ โปรดกั ช่ัน ทศิ นา แขมมณี. (2534). คมู่ อื ครรู ปู แบบการฝึกทกั ษะการทางานกลุ่มสาหรับนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 5 กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย นุศรา เอี่ยมนวรัตน์. (2542). การเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนและเจตคตติ อ่ สิ่งแวดล้อมของนักเรียน ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชดุ กจิ กรรมสง่ิ แวดล้อมแบบยัง่ ยนื กบั การสอน โดย ครูเ ป็น ผู้ส อน . ปรญิ ญานพิ นธ์ กศ.ม. (การมธั ยมศึกษา). กรงุ เทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. ถา่ ยเอกสาร. เนื้อทอง นายี่. (2544). ผลการใช้ชุดกิจกรรมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์กับการสอนโดยครูเป็น ผ้สู อน. ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม. (การมัธยมศกึ ษา). กรงุ เทพฯ: บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยศรีนค ริ นทรวโิ รฒ. ถา่ ยเอกสาร. ประเวศ วะสี. (2543). ปฐมกถา. ในปฏิรูปการเรียนรู้ ผ้เู รียนสาคัญที่สุด. คณะอนกุ รรมการปฏิรูปการเรียนรู้. กรงุ เทพฯ: คุรสุ ภาลาดพรา้ ว. พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (2529). การสร้างและพัฒนาแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์. กรุงเทพฯ : สานักทดสอบทาง การศกึ ษาและจิตวิทยา มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ. พิชิต ฤทธ์จิ รญู . (2544). ระเบียบวธิ ีวิจยั ทางสงั คมศาสตร์. กรุงเทพฯ : ศนู ย์หนังสือราชภัฏพระนคร.
39 รัตนะ บัวรา. (2540). การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และความสามารถใน การ แก้ปญั หาทางวทิ ยาศาสตรข์ องนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ท่ไี ดร้ บั การสอนโดยใช้ ชุดการเรียน ดว้ ยตนเองกบั การสอนตามคมู่ อื ครู. ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม. (การมัธยมศึกษา). ก รุ ง เ ท พ ฯ : บั ณ ฑิ ต วิทยาลัย มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ. ถา่ ยเอกสาร. ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2536). เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งท่ี 3. กรุงเทพฯ: ศูนย์ สง่ เสริมวชิ าการ ภพ เลาหไพบูลย์. (2542). การสอนวทิ ยาศาสตร์. พิมพ์ครง้ั ที่ 3. กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นพานชิ . วชิ ยั วงศใ์ หญ่. (2525). พฒั นาหลักสตู รและการสอนแนวใหม่. กรงุ เทพฯ: ร่งุ เรอื งการพมิ พ์. สุนันทา สุนทรประเสริฐ. (2543). ปฏิรูปการเรียนรู้ ปฏิรูปการศึกษา. ชมรมพัฒนาความรู้ด้านระเบียบ กฎหมาย. เสาวนีย์ สิกขาบัณฑิต. (2528). เทคโนโลยีทางการศึกษา. กรุงเทพฯ: สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนอื . อาคม ขุ่นดว้ ง. (2539). การศึกษาเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวิชาวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์และความคงทนในการเรยี นรู้ ในกลุม่ สร้างเสริม ประสบการณ์ชีวิต เรื่อง พืช และสัตว์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ท่ีเรียนโดยใช้ชุดการสอนกับการสอนตามปกติ. วิทยานพิ นธ์ ศศ.ม. (การประถมศึกษา). ขอนแก่น: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ถ่าย เอกสาร.
40 ภาคผนวก
41 ผลการวิเคราะห์คา่ คะแนนผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวิชาทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ก่อนเรียน-หลงั เรียน และคา่ คะแนนความกา้ วหน้าของนักเรยี นทไ่ี ด้รับการจดั กิจกรรม การเรยี นรู้ โดยใชช้ ุดกิจกรรม เรอื่ ง ทกั ษะการจาแนกประเภท ลาดับ ชอื่ -สกลุ X1 X2 X1-X2 (คะแนนก่อนเรียน) (คะแนนหลังเรยี น) (ความก้าวหนา้ ) 1 เด็กหญงิ ชนิภา ศักดิช์ นิ ธาดากุล 2 เด็กหญิงสุทธิกา บรบิ ทคุณธรรม 6 17 11 3 เด็กหญงิ รตั นา ภูมอิ นันตพ์ นาไพร 9 17.5 8.5 4 เดก็ หญิงดาริน เซง็ ยะ 6 18 12 5 เด็กหญิงอโนมา อัตตะแจ่มใส 8 19 11 6 เด็กหญิงสุณสิ า มานะวรศกั ด์ิ 7 18.5 11.5 7 เด็กหญิงแสงระวี มงคลเลศิ นภา 7 16 9 8 เดก็ หญงิ จติ รลดา กญั ญาเกดิ กลุ 7 18 11 9 เดก็ หญิงณฐั วรา ขจรสภุ าพกร 5 18 13 10 เด็กหญงิ ราชพฤกษ์ วิชยคาม 8 19 11 11 เดก็ หญงิ ณชิ า กูนะ 9 20 11 12 เดก็ หญิงวนชั รพร ฤทัยกูลมนั่ คง 7 18 11 13 เดก็ หญงิ ปาลกิ า พนาใสสุวรรณ 7 18 11 14 เด็กหญิงปาริษา พนาใสสวุ รรณ 9 18 9 ค่าเฉลย่ี ���̅��� 8 17 9 คา่ สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน S.D. คา่ สถิตทดสอบ t 7.44 17.88 10.44 1.21 0.97 1.38 *7.58
42 ภาพกจิ กรรม
43
Search
Read the Text Version
- 1 - 47
Pages: