อ ง ค์ ค ว า ม รู้ เทคนิคและวิธีการเก็บข้อมูลชุมชน โครงการจัดการความรู้ของวิทยาลัยชุมชนอุทัยธานี ดร.อภิญญา จงพัฒนากร และคณะ วิทยาลัยชุมชนอุทัยธานี สถาบันวิทยาลัยชุมชน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
1 งานชุมชนคืองานอะไร การทำงานชุมชนก็ไมใ่ ช่เรื่องง่ายดว้ ยการทำงานกบั ชุมชนคือการทำงานกับกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในอาณาเขต บริเวณเดียวกัน พื้นที่เดียวกันที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด มีฐานะและอาชีพที่คล้ายคลึงกัน มีวิถีชีวิต การใช้ชีวิต ร่วมกัน และมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้น ผู้เข้าไปทำงานกับชุมชนต้องเข้าใจชุมชน ต้องมีเทคนิค วิธีการ และเครื่องมือศึกษาชุมชนที่ดีที่ทำให้การศึกษาชุมชนมีวิธีการที่ชัดเจน สร้างความเข้าใจในวิถีของชุมชน ด้วยงาน ชุมชนคือหัวใจของการปรับกระบวนทัศน์ ปรับทัศนคติ วิธีคิดและแบบแผนการปฏิบัติ การปรับกระบวนทัศน์ใน ระดบั พน้ื ฐานนั้นต้องการการเรียนรูท้ ี่มิใช่การจดจำหรือใช้เทคนคิ เป็นตัวตงั้ แต่ตอ้ งเป็นกระบวนการท่ีใช้ความเป็น มนุษย์เป็นหัวใจของการเรียนรู้ การที่มนุษย์ได้เรียนรู้ระหว่างกันอย่างคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์น้ัน เป็นกระบวนการเรียนร้ทู ีย่ กระดับความคดิ และจติ ใจ ซง่ึ ไม่เพียงแต่ทำใหเ้ กิดความเขา้ ใจอยา่ งลกึ ซงึ้ เทา่ นั้น ยังทำให้ เกดิ ความปิติสุขจากการเรียนรู้ดว้ ย และการเรยี นรู้ลกั ษณะนี้จะเกดิ ได้ดีท่สี ดุ จากการลงทำงานร่วมกับชุมชน วธิ ีการและปัญหาการทำงานชมุ ชนท่ีผ่านมา การทำงานชุมชนทีผ่ ่านมา พบวา่ การทำงานทเี่ ป็นอยมู่ รี ูปแบบของข้ันตอนและวธิ ีการ คอื 1. ขั้นเตรยี มการ • เตรียมเจ้าหน้าที่ มีการประชุมชี้แจง ทำความเข้าใจ เตรียมใจ และให้ความรู้ เพื่อเตรียมความ พร้อมใหก้ บั เจ้าหนา้ ท่ี • เตรยี มชุมชน เชน่ แนะนำตัวเจา้ หน้าที่ พบและชแี้ จงผู้นำชมุ ชนสร้างสัมพนั ธภาพในชมุ ชน ฯลฯ เทคนคิ และวธิ ีการเกบ็ ขอ้ มูลชมุ ชนในโครงการจัดการความรู้ของวิทยาลยั ชมุ ชนอทุ ยั ธานี 1
2 2. ประเมินสภาพชมุ ชน • ทำแผนทีช่ มุ ชน • เก็บรวมรวมข้อมูลพื้นฐาน เช่น อายุ เพศ ภาวะสุขภาพ อานามัยแม่และเด็ก อนามัย สิ่งแวดล้อม ทำ family folder • จดั ทำฟอรม์ และสำรวจปญั หาชุมชน 3. วเิ คราะหป์ ญั หา • รวบรวมปญั หา • วิเคราะหป์ ญั หาร่วมกบั ชมุ ชน 4. จัดลำดับความสำคญั ของปญั หา • จดั ทำเกณฑ์การจัดลำดับความสำคญั และวเิ คราะหต์ ามเกณฑ์ • ให้ชุมชนเป็นผเู้ ลือกปญั หา โดยเจา้ หน้าท่ีทำข้อมลู จรงิ เก่ียวกบั ปัญหาท่รี ะบแุ ต่ละหวั ข้อ 5. จดั ทำโครงการ • เจ้าหนา้ ทแี่ ละชาวบา้ นรว่ มกันเขียนโครงการเพอ่ื แกป้ ัญหาที่พบ • เสนอโครงการเพ่อื อนุมัติ 6. ดำเนินการตามโครงการ • กิจกรรมโครงการแลว้ แต่สภาพปัญหา 7. ประเมินผลโครงการ • ประเมินผลตามวตั ถปุ ระสงคแ์ ละกจิ กรรม ตามแนวทางเกณฑ์ชว้ี ัด 8. ปรับโครงการใหเ้ หมาะสมตามผลทีไ่ ด้จากการประเมนิ โดยทุกข้ันตอนเหล่านจ้ี ะต้องเน้นการมี ส่วนร่วมของชุมชน เทคนิคและวธิ ีการเกบ็ ข้อมลู ชมุ ชนในโครงการจดั การความร้ขู องวิทยาลัยชุมชนอุทยั ธานี 2
3 ขน้ั ตอนและวธิ กี ารทำงาน 1.ข้นั เตรียมการ 2. ประเมินสภาพชุมชน - เตรียมเจา้ หนา้ ท่ี - เตรียมชุมชน - ทาแผนที่ชุมชน 8. ปรับโครงการ - รวบรวมขอ้ มูล พนื้ ฐาน - ประเมินผลตาม วตั ถุประสงค์และ การมี 3. วเิ คราะห์ปญั หา กิจกรรมตามแนวทาง ส่วนร่วม -รวมรวมปญั หา เกณฑ์ช้วี ัด 6. ดาเนนิ วิเคราะห์ปัญหาร่วมกบั ตามโครงการ ชุมชน 7. ประเมนิ ผล โครงการ 4. จดั ลาดับความสาคญั - จดั ทาเกณฑ์ และวเิ คราะห์ กิจกรรมโครงการ แล้วแตส่ ภาพ ตามเกณฑ์ ปญั หา - ชมุ ชนเปน็ ผู้เลอื กปญั หาโดย เจา้ หนา้ ทไ่ี ม่ช้นี า 5. จัดทาโครงการ - เจ้าหนา้ ที่และชาวบา้ นร่วมกัน - เขียนโครงการเพอ่ื แก้ปญั หา - เสนอโครงการเพอ่ื อนมุ ตั ิ จากตัวอย่างที่ยกมาจะเห็นได้ว่าการทำงานชุมชนที่ผ่านมามักจะมีขั้นตอนและวิธีการที่คล้ายกัน คือ เตรียมคน เตรยี มระบบให้พร้อมก่อนลงชุมชนโดยต้องทำการสำรวจและหาข้อมลู เพื่อให้รู้จักชมุ ชนมากข้ึน จากนั้น จัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องการศึกษาในชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่มักมุ่งเน้นไปที่การค้นหาปัญหาของชุมชนเป็น หลักและทำโครงการที่จะแก้ปัญหานั้น ๆ ซึ่งการลงไปดำเนินการก็จะมีการติดตามประเมินผลและปรับเปลี่ยน แผนการทำงานให้เหมาะสมอยเู่ ปน็ ระยะ ๆ อย่างไรก็ตาม แม้วิธีการที่กล่าวมาข้างต้นจะปฏิบัติสืบต่อกันมาจนเป็นระเบียบแบบแผนของการทำงาน ชุมชน แต่หากพิจารณาผลการทำงานที่ผ่านมาจะพบว่า วิธีการดังกล่าวยังมีข้อจำกัดซึ่งทำให้การทำงานชุมชนไม่ ประสบความสำเร็จเท่าทค่ี วร เทคนคิ และวธิ กี ารเก็บข้อมูลชมุ ชนในโครงการจัดการความรขู้ องวิทยาลยั ชุมชนอุทัยธานี 3
4 ปญั หาการทำงานในชุมชนที่ผ่านมาสามารถสรุปออกมาดงั นี้ 1. เห็นแตป่ ัญหาไมเ่ หน็ ศกั ยภาพของชมุ ชน เจ้าหน้าที่ที่ลงไปทำงานต้องศึกษาชุมชนมักเน้นการค้นหาปัญหาของชุมชนเป็นหลัก ทำให้มองไม่เห็ น ศักยภาพของชุมชน ถ้าเปลี่ยนวิธศี กึ ษาใหม่โดยให้ลองค้นหาศักยภาพ ของชุมชน โดยให้ชาวบา้ นพดู คยุ วา่ พวกตนมี ศกั ยภาพอะไรบ้าง การทำงานชมุ ชนจะเปลย่ี นรูปโฉมไปจากเดิม เพราะการมองเห็นศักยภาพของตนเองและชุมชน จะทำให้ชมุ ชนมพี ลัง มคี วามคิดสรา้ งสรรค์และไมร่ ู้สกึ หมดหวัง 2. เหน็ แตต่ วั เลขไม่เห็นความเปน็ มนุษย์ เวลาชุมชนทำงานเจ้าหน้าที่มักคุ้นเคยกับการสำรวจเชิงสถิติ เช่น มีส้วมกี่เปอร์เซ็นต์มีโอ่งก่ี เปอร์เซ็น มากกว่าการสัมผัสเร่ืองราวชวี ิตของผู้คนในชุมชน ซงึ่ ทผี่ า่ นมาข้อมูลและเครื่องมือเหลา่ น้ันมจี ำนวนมากแล้ว แต่สิ่ง ทย่ี งั ขาดเหลือคือเครอื่ งมือสัมผัสชวี ิตคนเพราะการสัมผัสชวี ิตผู้คนในชุมชนจะช่วยทำให้เกิดความละเอียดอ่อนและ มองชาวบา้ นด้วยหัวใจของความเป็นมนษุ ยม์ าขนึ้ 3. เน้นผลลพั ธม์ ากกว่ากระบวนการเรียนรวู้ ถิ ชี ุมชน การลงทุนชุมชนที่ผ่านมามักเน้นการเก็บข้อมูล จึงทำให้สนใจที่จะให้ได้ข้อมูลตามที่วางแผนไว้ว่าจะเก็บ มากกว่าสนใจการเรียนรู้วิถีชุมชน เช่น เน้นการออกแบบสอบถามให้ได้ข้อมูลครบ แต่ไม่สนใจกระบวนการสร้าง ความสัมพันธ์และเรียนรู้ชีวิตของชาวบ้านโดยลืมไปว่า เป้าหมายที่แท้จริงของการลงชุมชนคือการเรียนรู้และจดั ความสัมพนั ธ์ของเจ้าหน้าทช่ี ุมชน ทำใหเ้ จา้ หนา้ ทเ่ี กดิ ความเขา้ ใจและชาวบา้ นเกดิ ความสนิทสนมไว้วางใจ (trust) 4. ข้อมลู และทกั ษะการทำงานชุมชนเป็นสว่ นตัว มีเจ้าหน้าที่ท่ีรจู้ ักชุมชนดเี ป็นอยา่ งมาก เจ้าหนา้ ท่เี หล่าน้ีมักทำงานกับชุมชนต่อเน่ืองมาเป็นเวลานานและ รู้จักชาวบ้านเป็นอย่างดี แต่ทักษะและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานกับชุมชนมักเป็นข้อมูลส่วนบุคคล และ ไม่สามารถถ่ายทอดหรอื แบ่งปนั ข้อมลู กับคนอื่นได้ เพราะไม่มีการจัดรวบความรู้และวธิ ีการท่ชี ัดเจนและถ่ายทอดได้ 5. ขอ้ มลู ไมเ่ ชือ่ มโยงกนั ในการศกึ ษาชุมชนทผ่ี า่ นมา การเกบ็ ขอ้ มลู จะแยกเปน็ ส่วน ๆ เชน่ รจู้ ักครอบครัวนีเ้ พยี งครอบครัวเดียวไม่ เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับครอบครัวอื่น รู้จักปัญหาชุมชนในมิติเดียวคือมิติปัญหาสาธารณสุข ไม่มีมิติทางสังคมอื่น ๆ เลย หรอื ไมม่ คี วามเข้าใจว่าชุมชนมีเร่ืองอ่ืนอยู่ดว้ ย ทำให้ไมส่ ามารถเชื่อมโยงปัญหาท่ีพบในเร่ืองอ่ืน ๆ ได้ และเห็น ผูค้ นในชุมชนแยกขาดจากกันโดยมองไม่เหน็ ความเชอ่ื มโยงหรือความสัมพนั ธข์ องคนท้ังชมุ ชน เทคนคิ และวิธกี ารเก็บขอ้ มลู ชมุ ชนในโครงการจดั การความร้ขู องวิทยาลัยชมุ ชนอุทยั ธานี 4
5 จากปญั หาทกี่ ลา่ วมาขา้ งต้น แสดงให้เห็นว่าการทำงานชมุ ชนในรปู แบบทเ่ี ป็นอยูย่ ังขาดความสมบูรณ์ ในตวั เอง แตไ่ มไ่ ดห้ มายความว่าวธิ ีการที่ใช้อยู่น้จี ะไม่มีประโยชน์หรือเป็นวิธีที่ผดิ เพยี งแต่ต้องการวิธีการหรือ เครอื่ งมอื ใหม่ ๆ ท่จี ะเข้ามาเป็นสว่ นเสรมิ ในการทำงานชมุ ชนทีม่ ีความสมบูรณม์ ากข้นึ ความเคยชินคอื ขอ้ จำกัดที่สำคญั อาจกล่าวได้ว่า ท่ผี า่ นมามเี จา้ หน้าท่จี ำนวนไม่นอ้ ยทเ่ี ร่ิมต้นทำงานชมุ ชนด้วยใจอยู่ก่อนแลว้ แต่การทำงาน กับชุมชนยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เจ้าหน้าที่บางคนจึงเกิดความท้อแท้หมดกำลังใจ มีความรู้สึกว่า ชาวบ้านไมส่ นใจที่จะให้ความร่วมมือ หรอื ขาดความเข้าใจและความกระตือรือรน้ ทำใหง้ านชมุ ชนทำได้ด้วยความลำบาก หากพิจารณาตันเหตขุ องปัญหาดังกล่าวจากประสบการณ์การลงชุมชนท่ีผ่านมาจะพบว่า ต้นเหตุท่ีแท้จริง มาจากเจ้าหน้าที่หลายคนยังคงใช้ความคิดและประสบการณ์การทำงานบางอย่างหรือความเคยชินของตนเองอยู่ การศึกษาชมุ ชนจึงกลายเป็นเร่ืองยากก่อนที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า เราจำเป็นต้องหยดุ เพ่ือทบทวนกันว่าการทำงาน ชุมชนที่ผ่านมามีจุดบกพร่องหรือจุดด้อยอยู่ตรงไหน เพื่อที่เราจะได้ช่วยกันแก้ไขจุดบกพร่อง หรือ จุดที่เราเคยทำ ผิดพลาด และสร้างความเขา้ ใจท่ีถกู ตอ้ งในการศกึ ษาขุมชนต่อไป มิจฉาทิฐิ 4 (The Four Fallacies): ความคดิ ทผ่ี ดิ พลาดในการทำงานกับชุมชน \"มิจฉา แปลว่า ผดิ พลาดหรือไม่ถกู ตอ้ ง ทฐิ ิ คือ ทฤษฎี มจิ ฉาทิฐิ รวมความแล้วแปลว่า ความคดิ หรอื ทฤษฎีท่ผี ดิ \" ความคิดที่ผิดพลาด 4 ประการหรือมิจฉาทิฐิ 4 นี้เป็นบทสรุปของความล้มเหลวในงานสาธารณสุขที่ผ่าน มา ที่ Steven Polgar นกั ระบาดวทิ ยาสงั คม (social epidemiologist) ได้คน้ พบ Steven Polgar ไดท้ ำการศกึ ษา ทบทวนแผนงานโครงการด้านสาธารณสุขในชุมชนจากทั่วโลก แล้วพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนได้ข้อสรุปว่า แผนงานโครงการด้านสุขภาพในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนั้น ประสบความล้มเหลว เพราะมีจุดอ่อนจากความคิดที่ ผดิ พลาดท่คี ล้ายคลึงกนั 4 ประการ ซ่งึ เขาเรียกว่า 'The Four Fallacies\" (fallacies = wrong ideas) คือ เทคนิคและวิธกี ารเก็บขอ้ มูลชมุ ชนในโครงการจัดการความรู้ของวิทยาลยั ชมุ ชนอทุ ยั ธานี 5
6 (1) มิจฉาทฐิ ทิ ีว่ า่ ด้วยภาชนะวา่ ง (The Fallacy of Empty Vessel) การมองชุมขน \"เปรียบเสมือนกับภาชนะวา่ งเปลา่ ทไี่ ม่มีอะไรอยูข่ า้ งในเลย\" ชุมขนตอ้ งเป็นฝา่ ยรอรับ ความช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการ หรือ องค์กรภายนอกที่จะนำความรู้ทางเทคโนโลยีและการแพทย์สมัยใหม่ ตลอดจนอุปกรณ์ เครื่องมือ และระเบียบวิธีการจัดการต่าง ๆ เข้าไปให้ ซึ่งนักพัฒนาจากภายนอกจะเป็นผู้ไป กำหนดให้ทุกอย่างโดยไม่ได้ดูว่าชุมชนมีศักยภาพหรือทุนทางสังคมอะไรอยู่บ้าง ผู้ทำงานกับชุมชนต้องมองหาทุน หรือศักยภาพของชุมชนก่อนลงมอื ร่วมกันพัฒนา ตอ่ ไปนี้เป็นตวั อยา่ งการมองชมุ ชนแบบภาชนะวา่ งเปล่า ยายเบา ศาลางาม หมู่บ้านตากลางเป็นชุมชนชาวกวยที่มีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ชาวบ้านตากลางมีความ ชำนาญในอาชีพควาญช้างสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคนที่ตั้งหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างจากตัวอำเภอกว่า 20 กิโลเมตร นอกจากภายในหมู่บ้านจะมีช้างกว่า 70 เชือกซึ่งมีความสำคัญต่อชีวิตคนในหมู่บา้ นแล้ว ยังมีคุณยายคนหนึ่งซ่ึงเปน็ บุคคลที่มีความสำคัญต่อชีวิดคนในหมู่บ้าน เพราะแกเป็นหมอตำแยมาตั้งแต่สาวจนแก่ทำคลอดให้หญิงในหมู่บ้าน มากวา่ 3 รุ่น นบั รวมเด็กทเ่ี กิดดว้ ยมือของแกแลว้ ไม่นอ้ ยกวา่ 100 คน คณุ ยายคนน้ีชอ่ื ยายเบา ศาลางาม หลังทำคลอดเสร็จทุกครั้ง ยายเบาจะคอยดูแลและประกอบพิธกี รรมตามความเชื่อท้องถิ่น รวมทั้งจดั พิธีอยู่ ไฟให้แกแ่ ม่ลูกอ่อนจนทั้งคู่มสี ุขภาพแข็งแรง ซ่ึงหลงั จากเสร็จส้นิ พิธีการต่างๆ แล้ว ทางฝา่ ยครอบครัวแม่ลูกอ่อนก็จะ จัดให้มีพิธีบูชาคุณแม่หมอโดยพายายเบามานั่งบนเก้านี้น้ำผสมขมิ้นมารดให้ยายเบาพร้อมกับแต่งผ้าขาว ผ้าไหม ข้าวสาร ข้าวเปลือก ดอกไม้ ธปู เทียน และขันธ์ 5 มาเป็นเครอ่ื งบูชาเบาจงึ เปน็ ทีเ่ คารพนับถือของชาวบ้านมาก นายแพทย์โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ได้เล่าถึงประสบการณ์การไปทำงานในชุมชนชาวกวยที่บ้านตากลางว่า ตลอดระยะเวลา 15 เดือนที่ลงทำการศึกษาทางมานุษยวิทยาที่หมู่บ้านนี้ ไม่เคยเห็นเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุขไปหายาย เบา เพื่อคุยหรือบอกแกว่า \"นี่ยาย หนูมารับผิดชอบเรื่องอนามัยแม่และเด็กในหมู่บ้านนี้ถ้ายายรู้ว่ามีคนท้องช่วย แนะนำให้ไปหาหนู หนจู ะได้ชว่ ยดู หรอื ขอใหย้ ายช่วยบอกขา่ วแม่เดก็ ที่ยายทำคลอดให้พาลูกไปฉีดวัคซนี \" นายแพทย์ โกมาตร กล่าวว่า \"นี่ไม่ได้ หมายความว่าหมออนามัยเป็นคนไม่ดีความจริงหมออนามัยที่อยู่ที่นี่เป็นคนดีมากและ ชาวบ้านก็รักหมออนามัย เพราะเป็นคนหน้าไม่งอ รอไม่นานบริการดี วจีไพเราะ แต่ที่เป็นเช่นนี้เพราะในระบบงาน ชุมชนที่เป็นอยู่ งานทกุ อยา่ งถกู กำหนดบนพ้นื ฐานของการมองชมุ ชนเหมือนภาชนะว่าง\" เทคนิคและวิธีการเก็บข้อมูลชุมชนในโครงการจัดการความรขู้ องวิทยาลัยชมุ ชนอุทยั ธานี 6
7 ตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นว่า เมื่อราชการหรือองค์กรต่าง ๆ มองชุมชนเป็นเสมือนภาชนะที่ว่างเปล่า ยายเบาจึงไม่มีตัวตนอยู่ในความคิดของเจ้าหน้าที่ และอันที่จริงนอกจากยายเบาแล้ว ภายในชุมชนแห่งนี้ยังมีทุน ทางสังคมท่ีมีคุณค่าอกี มากมายทเ่ี จ้าหนา้ ทม่ี ักมองไม่เห็น เชน่ หมอยาพ้นื บา้ น หมอประกอบพธิ ีกรรมตามความเช่ือ พื้นบ้าน สวนป่าสมุนไพรของหมู่บ้าน หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลต่อสุขภาพ บุคลากรและทรัพยากรเหล่าน้ี จัดเป็นทุนทางสังคมที่สำคัญและสามารถนำมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ต่องานสาธารณสุขได้ ถ้าหากเจ้าหน้าท่ี มองเหน็ คุณค่าของส่ิงท่ีมีอยู่และสรา้ งงานจากฐานเดมิ ทมี่ ีอยู่แลว้ ในชมุ ขน การทำงานสาธารณสุขกับชุมชนก็จะง่าย และประสบความสำเร็จมากขึ้น เพราะคนอย่างยายเบาอาจเป็นกลไกสำคัญในการทำงานด้านอนามัยแม่และเด็ก มากกว่าอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม ) หรือ ศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน(ศสมช ) แต่ที่ผ่านมา มักเหน็ ชมุ ชนแต่ความว่างเปล่า การพฒั นางานชุมขนใหง้ อกงามจากรากฐานหรือทนุ ทางสังคมเดมิ ของชุมชนจงึ ไมม่ ี (2) มจิ ฉาทฐิ ทิ ่ีมองปัญหาสุขภาพแบบแยกส่วน (The Fallacy of Separate Capsule ) คือการมองชุมชนแบบขาดการเชื่อมโยง เน้นการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องแยกเป็นส่วน ๆ โดยไม่มองปัจจัย แวดล้อมท่ีส่งผลเชื่อมโยงถึงกัน ตัวอย่างเช่น เรื่องโภชนาการ ถ้าตราบใดเจ้าหน้าที่ยังคงปฏิบัติงานตามแบบของ ตนเอง นั่นคือ การตัดตอนมาทำแบบแยกส่วน เช่น กรณีเด็กขาดสารอาหาร ก็มุ่งเน้นเฉพาะการให้ความรู้ด้าน โภชนาการ (โภชนศึกษา) ตั้งกองทุนอาหารเสริม รวมทั้งรณรงค์ให้แม่บ้านมาทำอาหารเสริมให้เด็กรับประทาน ลักษณะเช่นนีเ้ ป็นการตัดตอนปัญหาจากเหตุปัจจัยอื่น ๆ ในชีวติ ชาวบา้ นทีท่ ำใหเ้ กิดภาวะทพุ โภชนาการในเดก็ ข้นึ เพราะเรื่องการขาดอาหารนั้นเป็นปัญหาที่สัมพันธ์กับฤดูกาลระบบอาหารของท้องถิ่น และวิถีชีวิตของชาวบ้าน เช่น เมอื่ ถงึ ฤดูฝนน้ำทา่ อุดมสมบรู ณ์เด็กลูกหลานชาวบ้านกม็ ักจะอ้วนท้วน ครน้ั ถึงฤดแู ลง้ พ่อแม่อาจต้องไปทำงาน ต่างถิ่น เช่น หากพ่อแม่ไปรับจา้ งตัดอ้อยที่เมืองชลบุรี ทิ้งลูกไว้ให้คุณตา-คุณยายดูแลเด็กก็จะผอม หรือเรื่องแหลง่ อาหารธรรมชาติที่อยู่ในป่าชุมชนใกล้หมู่บ้านซึ่งเป็นแหล่งอาหารธรรมชาติที่สำคัญ หากแหล่งอาหารดังกล่าวถูก นายทนุ บกุ รกุ เพื่อปลกู ป่ายูคาลปิ ตสั กจ็ ะทำใหร้ ะบบอาหารของท้องถ่นิ ขาดความม่ันคง จะเห็นไดว้ า่ เมื่อสภาวะอาหารมคี วามสัมพนั ธ์กบั เรอ่ื งเศรษฐกจิ การเมืองวา่ ด้วยการผลิตและการกระจาย อาหาร ความมั่นคงของระบบอาหาร ความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศวิทยา หรือแม้แต่เรื่องการถือ ครองที่นาทำกินของซาวบ้าน ถ้าเรายังใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ แก้ปัญหาแบบแยกส่วน เช่น ให้โภชนศึกษา กบั การตงั้ กองทนุ อาหารเสริมขา้ ว ถวั่ งา เด็กเหล่านย้ี ังคงหนีไม่พ้นภาวะขาดสารอาหารเหมือนเชน่ เคย เทคนคิ และวธิ ีการเก็บข้อมลู ชมุ ชนในโครงการจัดการความรู้ของวิทยาลัยชมุ ชนอุทยั ธานี 7
8 (3) มิจฉาทฐิ ิท่มี องชมุ ชนเสมือนว่ามีองค์กรเดียว (The Fallacy of SinglePyramid) เม่ือลงไปเกีย่ วข้องกบั องค์กรชุมชน เรามกั จะนึกถึงองค์กรหรือผู้นำท่ีเปน็ ทางการอย่างเดยี ว เช่น องค์การ บริหารส่วนตำบล (อบต. ) ผู้ใหญ่บ้าน (ผญ.บ.) กรรมการหมู่บ้าน(กม.) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม. ) และศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน(ศสมช.) องค์กรหรือผู้นำธรรมชาติอื่น ๆ นั้นเรามักไม่ได้ให้ความสนใจ ในการทำงานเราจึงเก่ียวข้องอยู่เฉพาะกับองค์กรทางการเหล่านี้ องค์กรอื่น ๆ จึงไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ขาดความเข้มแขง็ ทา้ ยทส่ี ดุ ก็เหลือแต่องค์กรทางการเป็นพีระมดิ อนั เดยี วโดด ๆ แตใ่ นวถิ ชี ีวิตจรงิ ของชาวบ้านมักมี กลมุ่ ที่รวมตวั กนั เองตามธรรมชาติ เช่น กลุ่มผู้สูงอายุท่ีถอื ศีลอยู่ในวดั ชว่ งเข้าพรรษา กลุม่ คนเลี้ยงวัว กลุ่มแม่บ้านท่ี รวมตัวกันไปปลูกแตงในฤดูแล้งกลุ่มพ่อบ้านที่รวมตัวกันไปทำงานต่างถิ่น หรือแม้แต่คณะกรรมการผ้าป่า กลุ่ม ศรัทธาวัดหรือกลุ่มเล่นแชร์ ซึ่งล้วนแต่เป็นองค์กรขุมชนลักษณะหนึ่ง แต่เรามักไม่ได้ให้ความสนใจกับองค์กรที่ไม่ เป็นทางการเหลา่ นี้ ทำใหเ้ ราเห็นศกั ยภาพของชุมชนอย่างจำกัด (4) มจิ ฉาทิฐทิ มี่ องชมุ ชนทกุ ชุมชนเหมือนกนั หมด (The Fallacy of Interchangeable Face) มีรากฐานมาจากความคิดที่ว่า \"หากแผนงานโครงการหนึ่งทำสำเร็จในที่หนึ่งก็สามารถขยายผลไปทำในท่ี อ่ืน ๆ ได้ทวั่ ประเทศ\" เช่น สหกรณ์ยา ทปี่ ระสบความสำเร็จในภาคอีสานก็ถูกขยายไปเป็นนโยบายท่ีดำเนินการทั่ว ประเทศ ซึ่งทำให้ไม่ได้ผลในภาคให้เนื่องจากสภาพทางกายภาพ ทางสังคม วัฒนธรรม รวมทั้งการเมืองที่แตกต่าง ออกไปอย่างสิ้นเชิง หรือ นโยบายทำหมันวันเฉลิมเมื่อหลายปีก่อน กำหนดให้รณรงค์ทำหมันในวันที่ 5 ธันวาคม พร้อมกัน ปรากฏว่าแผนงานนี้ประสบความสำเร็จเฉพาะในเมือง ส่วนในชนบทโดยเฉพาะหมู่บ้านที่มีอาชีพทำนา จะประสบความสำเร็จจำกัด เนื่องจากช่วงดันเดือนธันวาคมเป็นฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตในนาของขาวบ้านพอดี หากหัวหน้าครอบครัวมาทำหมัน งานเกย่ี วข้าวในนากจ็ ะไม่ลุลว่ ง มเี จ้าหนา้ ที่สาธารณสุขบางแห่งหันไปชักชวนคน เฒา่ คนแกม่ าทำหมันเพ่ือให้ได้ผลงานตามเปา้ หมายก็มี มิจฉาทิฐิทั้ง 4 ประการนี้ Steven Polgar สรุปไว้เมื่อปี 1963 หรือเกือบ 4 ทศวรรษที่ผ่านมา เมื่อนำมา วิเคราะห์สาธารณสุขไทย จะพบว่ายังคล้ายๆ กับที่ทำอยู่ในปัจจุบันเป็นเรื่องที่ให้ตระหนักไว้ว่าปัญหาการทำงาน สาธารณสุขมลี ักษณะของการทำผิดซ้ำซากอยูโ่ ดยมีการเรียนร้จู ากความผดิ พลาดน้อย เทคนคิ และวธิ ีการเก็บข้อมลู ชุมชนในโครงการจัดการความร้ขู องวิทยาลัยชุมชนอุทัยธานี 8
9 ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นปัญหาเรื่องมิจฉาทิฐิหรือทฤษฎีที่ผิดในการมองชุมชนมิจฉาทิฐิทั้ง 4 ประการน้ี จำเป็นต้องหมั่นนำมาตรวจสอบการทำงานของเราอยู่เสมอเพือ่ ไม่ให้เกิดความผดิ พลาดซ้ำซาก และการที่จะทำให้ เราก้าวพันความผิดพลาดช้ำซากไปได้นั้น จำเป็นต้องมีวิธีการศึกษาทำความเข้าใจชุมชนให้ลึกซึ้ง และสามารถ เชื่อมโยงหรอื มิติตา่ งๆ ของชุมชนกับงานสาธารณสุขให้เป็นองคร์ วมและผสมผสานละในการที่จะทำเช่นนั้นได้ เรา จำเปน็ ต้องมี \"เครือ่ งมือ\" ท่ีช่วยให้งานศกึ เขา้ ใจชมุ ชนมีประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น เคร่อื งมอื ที่จะเสนอต่อไปน้ีเป็นส่ิงที่ จะชว่ ยให้งานชุมชนเป็นงานท่สี ามารถทำได้ \"งา่ ย ได้ผล และสนุก\" เทคนคิ และวิธีการเก็บข้อมลู ชมุ ชนในโครงการจัดการความรู้ของวิทยาลยั ชมุ ชนอทุ ยั ธานี 9
10 แบบฝกึ หดั : คู่มือการทำงานชุมชนนีเ้ หมาะสมกบั คุณอย่างไร ใหใ้ ส่เครือ่ งหมาย √ ลงในชอ่ งที่คุณเคยทำ และเมือ่ ทำเสรจ็ เรยี บรอ้ ยแล้วดเู กณฑ์การให้คะแนนในหน้าถัดไป พฤติกรรม ประจำ บางครัง้ ไม่เคย 1. ไม่ค่อยได้เตรยี มตวั ขาดการวางแผนกอ่ นลงชุมชน 2. นัดประชุมชาวบ้าน ตามเวลาท่คี ุณสะดวก 3. ไปคยุ เฉพาะบา้ นผใู้ หญบ่ า้ น, อสม, หรอื ชาวบ้านท่ีเคยร้จู ัก 4. ลงชมุ ชนด้วยชดุ ฟอร์มของเจา้ หนา้ ทส่ี าธารณสุข 5. เก็บข้อมูลชุมชนโดยการใช้แบบสำรวจท่ีเปน็ ทางการ 6. ถามเฉพาะเรอื่ งสุขภาพ ไมใ่ ส่ใจปญั หาอ่นื ๆ ของชาวบา้ น 7. คยุ กบั ซาวบ้านโดยไม่ไดจ้ ดบนั ทึกขอ้ มูล 8. ข้อมูลทไ่ี ด้มาไม่รจู้ ะเอาไปใชอ้ ย่างไร 9. ร้สู ึกมชี อ่ งวา่ ง ในการปฏสิ มั พนั ธ์กับขาวบา้ น 10.เอ...ผนู้ ำชุมชนทกุ ๆ เรอ่ื งมกั เปน็ คนเดมิ ๆ 11.มขี ้อขดั แย้งกับชมุ ชน เพราะซาวบ้านขาดความรคู้ วามเข้าใจ 12.รู้สึกวา่ ซาวบา้ นขาดการมสี ว่ นร่วมในกิจกรรมสุขภาพต่าง ๆ 13.ขาดการเก็บขอ้ มูลชมุ ชนอย่างตอ่ เนอ่ื ง 14.ไม่สามารถเข้าร่วมกจิ กรรมกบั ชาวบ้านเพราะไมม่ ีเวลา 15.ขาดทกั ษะในการพูดคยุ กบั ซาวบ้าน 16.ไม่ชอบคุยกับซาวบ้านเพราะชาวบ้านตอบคำถามไม่ตรงประเดน็ 17.คิดวา่ งานชมุ ชนเปน็ งานทีย่ ากและให้ประโยชนน์ อ้ ย 18.รสู้ กึ ท้อแท้ เบ่อื หน่าย กบั งานชุมชน 19. เข้าชมุ ชนเฉพาะเม่ือมกี จิ กรรมตอ้ งทำ เช่น เย่ียมบา้ น มีงานรณรงค์ หรอื ฉดี วัคซีน 20. ข้อมูลชุมชนทมี่ ีอยู่เปน็ ข้อมูลทีใ่ ช้ในระบบรายงาน นับรวมแต่ละช่องจากข้อ 1 – 20 เกณฑก์ ารให้คะแนน ทำประจำ = 1 คะแนน, บางครง้ั = 2 คะแนน, ไมเ่ คยทำ = 3 คะแนน 10 ลองรวมคะแนนของทกุ ช่องแล้วดูซิว่า คู่มือการเรียนรวู้ ถิ ีชุมชนนเ้ี หมาะกับคุณอยา่ งไร เทคนคิ และวธิ ีการเก็บขอ้ มูลชมุ ชนในโครงการจดั การความรขู้ องวิทยาลัยชุมชนอทุ ยั ธานี
11 คะแนน 1-20 การเรยี นรู้วถิ ีชุมชนและเครื่องมือการทำงานชุมชนและเครอื่ งมือการทำงานชมุ ชน เป็นสงิ่ ท่ีจะช่วย คุณได้มาก เพราะขณะนี้ คุณรู้สึกแยก่ บั การทำงานกับชุมชน ถา้ ปล่อยไวน้ านคงจะทำงานอยา่ งไมม่ ีความสขุ เครื่องมือการทำงานของชมุ ชนทจ่ี ะไดเ้ รยี นรตู้ ่อไปนี้ จะเป็นประโยชนก์ ับคุรมากทส่ี ุดเพราะจะช่วยใหค้ ุณมที ักษะ และแนวทางการทำงานทีช่ ดั เจน ง่าย ไดผ้ ล และสนุก คะแนน 21-40 ใครทีไ่ ด้ระดบั คะแนนช่วงนี้ เข้าใจไดว้ ิธกี ารลงศกึ ษาชุมชนระดับหนงึ่ การทำงานของคุณทำใหก้ าร ลงศึกษาชุมชนไม่เปน็ เร่ืองยากที่หน้าเบื่อ เครอื่ งมือการทำงานของชุมชนทีจ่ ะไดเ้ รียนรู้ตอ่ ไปน้ีจะช่วยให้การลง ชุมชนมปี ระสทิ ธภิ าพมากข้ึน ทำให้ร้จู กั ชุมชนไดร้ วดเรว็ และลึกซ้งึ ภายในเวลาไมเ่ กนิ 1เดือน คะแนน 41-60 คุณทำงานชุมชนด้วยใจและสามารถเป็นแบบอยา่ งทดี่ ีของเพื่อนรว่ มงานในการลงศึกษาชมุ ชน เคร่ืองมอื ทำงานชุมชนท่จี ะได้เรยี นรตู้ อ่ ไปน้ี จะช่วยให้ปรสบการณืของคุณมรี ะบบมากข้ึนและสามารถประมวล ประสบการณ์และถ่ายทอดและเป้นพ่ีเลี้ยงที่ดีสำหรับเพื่อน ๆ นอ้ ง ๆ ทต่ี อ้ งการคำชี้แนะต่อไป เทคนิคและวิธีการเกบ็ ขอ้ มลู ชมุ ชนในโครงการจดั การความรู้ของวิทยาลยั ชมุ ชนอทุ ัยธานี 11
12 เทคนิคและวิธกี ารเก็บขอ้ มูล เทคนคิ การเก็บข้อมูลชุมชน การปรับทัศนคติ วิธีคิดและแบบแผนการปฏิบัติของระบบการทำงาน ต้องนำกระบวนการที่ใช้ความเป็น มนุษย์เป็นหัวใจของการเรียนรู้ การที่มนุษย์ได้เรียนรู้ระหว่างกันอย่างคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์น้ัน เปน็ กระบวนการเรยี นรทู้ ย่ี กระดับความคิดและจิตใจ ซ่ึงไม่เพียงแต่ทำใหเ้ กดิ ความเข้าใจอยา่ งลกึ ซง้ึ เท่าน้ัน ยังทำให้ เกิดความปิติสุขจากการเรียนรู้ด้วย และการเรียนรู้ลักษณะนี้จะเกิดได้ดีที่สุดจากการลงทำงานร่วมกับชุมชน นอกจากนี้ การทำงานกับชุมชนจะประสบความสำเร็จได้ต้องได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย รวมทั้งเจ้าหน้าท่ี หรือผู้ทำงานต้องมีใจรักในการทำงาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องสร้างระบบระบบงานที่เอื้อต่อการทำงานชุมชน และผู้บรหิ ารต้องเล้งเหน็ ความสำคัญ เล็งเห็นความสำคัญและให้การสนบั สนุนอย่างจริงจัง ผู้ปฏิบัตงิ านต้องเรียนรู้ อย่างต่อเนื่องโดยต้องสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในองค์กร ผู้ปฏิบัติงานต้องเข้าไปฝังตัวในชุมชนหรือสร้าง ความสัมพนั ธ์ สรา้ งความมสี ว่ นรว่ มอย่างต่อเนื่องในทุกกจิ กรรมท่ีเกิดข้ึนในชุมชน เนน้ การตง้ั เปา้ หมายทำเพื่อสร้าง การเปลี่ยนแปลงให้กับคนในชุมชนในทางที่ดีขึ้น และสิ่งที่พึงระลึกเสมอคือ ถ้าคิดที่จะทำงานกับชุมชนไม่ควร เร่ิมต้นด้วยเหตุผลหรือข้ออ้าง แต่ควรเริ่มด้วยใจศรัทธาที่จะทำงานที่เราเห็นว่ามีคุณค่าและเชื่อมั่นว่าการทุ่มเท ให้กับงานชุมชนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม ที่สำคัญต้องสร้างศรัทธาให้กับคนในชุมชน มีการเตรียมคน เตรียมชุมชน แตส่ งิ่ แรกท่เี ราตอ้ งเตรียมความพร้อมก่อนลงชุมชน คือ ใจรักและเห็นความสำคัญของการทำงานชมุ ชน นอกจากนี้ผู้ปฏิบัติงานจะต้องทำการศึกษา วิเคราะห์ บริบทชุมชน และสภาพการณ์ของชุมชนและ การเตรียมตัวก่อนเข้าพื้นที่ศึกษา เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการวางแผนดำเนินการ และต้องเตรียมชุมชน ติดต่อผู้นำ ปราชญ์ชุมชนในพื้นที่ เพื่อชี้แจงวัตถุประสงค์ในการเข้ามาทำงาน เพื่อสร้างความเข้าใจและเห็น ความสำคญั ของการดำเนนิ การ อันนำไปสูก่ ารสร้างความรว่ มมือในการร่วมดำเนินการ และการสอบถามสมาชิกใน ชุมชน หน่วยงานหรืองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อสามารถระบุกลุ่มเป้าหมายที่มีส่วนเกี่ยวข้องและมีความสำคัญต่อ การเข้ามามีส่วนร่วมการดำเนินงาน แล้วจึงทำการเข้าไปแนะนำตัว ชี้แจงวัตถุประสงค์ วิธีการดำเนิน สร้างความ ตระหนกั และเห็นความสำคัญในบทบาท และการขอความรว่ มมือในการเขา้ รว่ มงานในครั้งนี้ การเตรยี มคน ชี้แจง โครงการทำความเข้าใจเตรียมความคิดกับทีมงานซึ่งส่วนหนึ่งเป็นคนในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการเก็บข้อ มูล เพื่อสร้างความเข้าใจให้ตรงกันตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินงาน การทำความเข้าใจข้อคำถาม จากแบบสำรวจ และแบบสอบถามตลอดจนเทคนคิ การสัมภาษณ์ การบนั ทึกขอ้ มูลก่อนลงพ้ืนทจ่ี ดั เก็บข้อมลู จรงิ เทคนคิ และวิธีการเก็บขอ้ มลู ชุมชนในโครงการจัดการความรู้ของวิทยาลยั ชุมชนอุทัยธานี 12
13 วิธีการเก็บขอ้ มลู ชุมชน ทีผ่ ่าน การเข้าไปศกึ ษาหรือเก็บข้อมูลในชมุ ชน การเขา้ ไปในชมุ ชนมักถูกมองวา่ เปน็ เรื่องยาก ซับซ้อนและ ใช้เวลานาน เนอื่ งจากขาดองคค์ วามรู้ท่ชี ดั เจน และขาดเครื่องมอื ทมี่ ปี ระสิทธิภาพพอทจ่ี ะเป้นแนวทางสำหรับลงไป ศึกษาและเก็บข้อมูลในชุมชน การเข้าไปในชุมชนแล้วไม่รู้ว่าจะทำอะไรจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่มักจะเกิดขึ้น ดังนั้น เจ้าหน้าที่หรือผู้รบั ผดิ ชอบให้ทำงานกับชุมชนต้องมีเครือ่ งมือการเก็บข้อมูลที่ดี สามารถศึกษาชุมชนในเชงิ ลึกและ สามารถปรับประยุกต์เครื่องมือไดต้ ลอดการทำงาน ในการศึกษาและเก็บข้อมูลชุมชนครั้งนี้ ผู้รวบรวมข้อมูลขอนำ ปฏิทินชุมชนและประวัติศาสตร์ชุมชม (Time line) ด้วยเป็นเครื่องมือทำให้เราได้เรียนรู้วิถีชีวิตและ ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชุมชน สามารถเอามาวางแผนการทำงานระหว่างเจ้าหน้าที่กับชุมชนได้เป้นอยา่ งดี โดยเปา้ หมาย รายละเอยี ดการใช้มดี ังน้ี ➢ ปฏทิ นิ ชุมชน ปญั หาที่พบในการทำงานชุมชน ปัญหาสำคัญประการหนึง่ ของการทำงานชุมชน เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ยืดเอาเวลาการทำงาน ของระบบราชการเป็นตัวตั้งทำให้หลายครั้งการกำหนดเวลาของกิจกรรมต่าง ๆ จะไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของ ชุมชน บางคร้ังไปถงึ ชุมชนแลว้ เจอแตค่ นแก่และเด็กอยบู่ า้ นหรือเจอชาวบ้านแต่ไมว่ า่ งคุยดว้ ยเพราะง่วนอยู่กับงาน การลงไปเก็บข้อมูลในชุมชนจึงไม่ได้อะไรคืบหน้า หรือไม่สามารถดำเนินงานตามแผนการทำงานที่วางเอาไว้ได้ การเรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชนจะช่วยให้เรารู้จังหวะและวงจรการทำงานของชาวบ้านและช่วยให้จัดทำแผนงาน โครงการใหส้ อดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน เครอื่ งมอื สำคัญของกรเรียนร้จู ังหวะของชวี ิตและวิถีชุมชนคือการทำ ปฏิทนิ ชุมชน เปา้ หมายสำคญั ของเครื่องมือ 1. สรา้ งความเข้าใจในวถิ ีชีวติ ของชาวบา้ น เคร่ืองมือนี้จะทำให้รวู้ า่ ในแตล่ ะรอบปี รอบเดือน หรือในแตล่ ะวัน ชาวบา้ นทำอะไร อย่างไร และเม่ือไร การเรียนร้สู งิ่ เหล่านจ้ี ะชว่ ยให้เรารูจ้ งั หวะชวี ิต 2. เปน็ จดุ เร่ิมตน้ ชองการสรา้ งความสำพันธท์ ดี่ ีกับชุมชน เพราะการรจู้ ักจังหวะและวถิ ีชมุ ชนคือ การรจู้ กกาลเทศะในชวี ติ ชาวบา้ น เมอ่ื เราเขา้ หาชาวบ้านได้ถกู จังหวะชาวบ้านจะเกดิ ความร้สู กึ ทด่ี ีและมีความ ไว้วางใจตอ่ กนั มากขึน้ เทคนคิ และวิธกี ารเก็บข้อมูลชุมชนในโครงการจัดการความรขู้ องวิทยาลยั ชมุ ชนอุทัยธานี 13
14 3. ช่วยให้การวางแผนชุมชนดีขึ้น เพราะจะทำให้เราสามารถจัดตารางการการทำงานที่จะ สอดคล้องกับวถิ ชี ีวิตของชาวบ้านได้ และเมื่อเข้าไปหมู่บ้านก็สามารถปฏิบัตงิ านอย่างเหมาะสมและถูกจังหวะเวลา ซึ่งจะช่วยส่งผลระยะยาวให้การทำงานในระบบบริการสาธารณสุขมปี ระสิทธภิ าพและเข้าถึงประชาชนเพ่ิมย่งิ ข้นึ ด้วย ปฏิทินชุมชนคืออะไร ปฏิทินชุมชน คือ การเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวบ้านว่า ในแต่ละปี แต่ละเดือน หรือในแต่ละวัน ชมุ ชนมกี จิ กรรมอะไรบ้าง อะไรทเ่ี กดิ ขนึ้ และเก่ียวข้องกับชวี ติ ประจำวนั ของชาวบา้ นอย่างไร ทั้งการประกอบอาชีพ ต่างๆซึ่งในแตล่ ะชุมชนก็จะมวี ิถีชีวิตที่แตกต่างกนั ออกไป หากชมุ ชนทป่ี ระกอบอาชีพทำนา วถิ ีชีวิตหลักก็ผูกพันอยู่ กับการทำงานซึ่งเริมตั้งแต่ฤดูฝน ซึ่งสิ้นสุดฤดูการเก็บเกี่ยว พอหมดช่วงการทำนาชาวบ้านก้จะมีกิจกรรมต่าง ๆ ทำต่อ ซึ่งเราจะต้องศึกษาให้ทราบว่าเขาทำอไรบ้างในช่วงนั้น เช่นบางส่วนของคนในหมู่บ้านอาจจะเดินทางไป รับจ้างที่ต่างจงั หวัด เช่น ไปรับจ้างเป้นลูกกุลีทำสวนยางที่ปักษ์ใต้ พอถึงช่วงสงกรานต์ก็จะกลับมารวมญาติกันอีก ครั้ง งานบุญงานประเพณีต่างๆ ที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นในเวลาใดบ้าง ต้องเก็บรายละเอียดข้อมูลเหล่านี้มาให้หมด เพอื่ จะนำมาช่วยวางแผนในการทำงานตอ่ ไป แนวทางการศึกษาปฏิทินศึกษาชมุ ชน ในการศกึ ษาปฏทิ นิ ชมุ ชน สามารถศกึ ษาชุมชนไดใ้ น 2 ลักษณะ คือ (1) ปฏทิ นิ ทางเศรษฐกิจ เมื่อเราเข้าไปในบ้าน สามารถใช้วิธีสังเกตและพูดคุยกับชาวบ้านบ่อยๆ และเขียนรายละเอียด แจกแจงได้ว่า อาชีพในหมู่บา้ นมีกแ่ี บบ เดือนไหน ชาวบา้ นลงนา ถึงประมาณเดอื นไหนท่ีเริม่ เก็บเก่ยี ว เดอื นไหนไป ทำงานต่างถ่ิน ที่พวกทไี่ ปลงเรือประมงทภ่ี าคตะ ไปเมื่อไร จะกลบั ช่วงไหน จากการรกั ษาและเก็บข้อมูลในลักษณะ น้จี ะทำให้เราเหน็ ชีวิตชมุ ชนวา่ มีหลายแบบหลายลักษณะ หลงั จากไดข้ ้อมลู ชุดนี้มาจะวิเคราะห์เรื่องนี้อะไรก็ง่ายข้ึน มาก เพราะเรารู้เวลา จังหวะชีวิตของเขาเป็นภาพรวม เช่น มองเห็น แง่มุมทางระบาดวิทยาของปัญหาสุขภาพ เพราะร้วู า่ ตัวแปรที่เกยี่ วข้องกบั เวลา สถานท่ี คนแสดงเป็นแบบแผนออกมาใหเ้ ห็น เทคนคิ และวธิ ีการเกบ็ ข้อมูลชุมชนในโครงการจดั การความร้ขู องวิทยาลัยชุมชนอุทยั ธานี 14
15 ตัวอยา่ ง 1 ในรอบปีชาวเขาเผ่ามง้ ทำมาหากนิ อะไร? (ข้อมลู จากหม่บู ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดตาก) ชาวม้งส่วนใหญ่มีอาชพี ทำการเกษตรเปน็ หลัก โดยนยิ มปลกู พืชเศรษฐกจิ ในแต่ละฤดกู าล ดังนี้ ช่วงฤดูฝน พฤษภคม-มิถุนายน ปลูกมันอะลู (มันฝรั่ง) ไว้ขาย ปลูกข้าวกิน แล้วก็ยังีอาชีพของปลาขาย ของป่าที่เป็นสินค้าหลักของชุมชนคือ หน่อไม้ กลุ่มที่ไปหาหน่อไม้จะเป็นกลุ่มม้งที่ยากจนไม่มีที่ดินทำกิน หรือมี ที่ดินไม่พอต่อการทำมาหากิน หรือกลุ่มแรงงานรับจ้างชาวกระเหรี่ยง คนเล่านี้จะไปขุดหน่อไม้จากบนเขาสูง คน หนึ่งๆ จะหาหน่อใม้ได้ประมาฯ50-100กิโลกรรมต่อวัน แล้วนำไปขายให้คนในหมู่บ้านที่รับซท้อในราคา กิโลกรัม ละ 1.75บาท เพอ่ื ไปขายส่งทโี่ รงงานหน่อไมอ้ ัดกระปอ้ งในอำเภอแม่สอด ชว่ งฤดูหนาว กนั ยายน-ตุลาคม ปลูกกะหลำ่ ปลี และมะเขือเทศ ช่วงหน้าแล้ง มนี าคม-เมษายน จะนิยมปลูกขา้ วโพด การทำการเกษตรในแต่ละฤดมู แี รงงานรับจ้างส่วนใหญเ่ ปน็ ชาวกะเหร่ยี งและพม่า นอกจากน้ยี ังมีท่ีมอี าชีพ ขับรถไถรับจ้างปรับไร่นา คนที่มีรถยนต์ก็จะรับจ้าขนส่งเล็กๆ น้อยๆ หรือรับ-ส่งคนงานไปในไร่ และรับจ้างขน น้ำมนั สำหรบั ฉีดพ่นยาในไร่ผกั หลงั ฤดเู กบ็ เกี่ยว หรือเสรจ็ จากงานบ้านและไรน่ า กล่มุ สตรีทเี่ ป็นทางการคือกลมุ่ ศลิ ปาชพี ในพระบรม ราชนิ ปู ถัมภ์ จะปักผ้าใยกัญชง ส่งให้กับโครงการศลิ ปาชพี ในราคาผนื ละ 800-1,500 บาท กลุ่มรบั จา้ งปักผา้ ภายในหม่บู ้าน จะมีกล่มุ สตรีในหมู่บ้านที่มฝี มี ือปักผ้า จะรับจ้างปักผา้ ของคนท่ีมีฐานะใน หมบู่ าั นท่ีไม่มเี วลาปกั เอง โดยผ้วู า่ จา้ งจะซือ้ วสั ดุมาเองและกำหนดลายท่ีต้องการ ผู้รบั จา้ งจะปักตามลายท่ีกำหนด มา โดยคดิ คา่ จา้ งตามจำนวนดอกหรือลายผา้ เช่น ปกั ดาว ดวงละ 25 บาท เป็นตน้ นอกจากน้นั กม็ ีอาชีพรับสีข้าว 2 ราย มรี ายได้จากการรบั สีข้าว ไดร้ ำและแกลบสำหรับเล้ียงหมู ผู้ท่นี ำข้าว มาสีจะต้องจา่ ยค่าสปี ระมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนข้าวท่ีนำมาสี เทคนคิ และวิธกี ารเก็บขอ้ มูลชมุ ชนในโครงการจดั การความรู้ของวิทยาลัยชุมชนอุทยั ธานี 15
16 อาชีพท่ีทำหมนุ เวียนตลอดปี (1) ค้าขายรายย่อย สนิ ค้ามากน้อยปรับไปตามกำลังซื้อ ซึ่งมีลูกคา้ หลักของร้านคือคนงานพม่าและ กะเหรย่ี งเพราะช่วงฤดูกาลเพาะปลกู แรงงานต่างด้าวเขา้ มาอาศยั ในชุมขนมาก รา้ นคา้ กจ็ ะสง่ั ของเข้า มาขายมาก ภายในชมุ ชนมรี ้านคา้ ขายของชำท้ังส้นิ 6 รา้ น มสี ินค้าทุกอยา่ ง รวมท้งั อาหารสด-แหง ยา รกั ษาโรค (2) ส่วนอาชพี เสรมิ ได้แก่ • เลยี้ งหมูสำหรับขายแลว้ ใชไ้ หวผ้ ใี นวนั ปีใหมม่ ้ง ช่วงประมาณเดือนสาม • เลีย้ งววั เนื้อเป็นฝูงตามภูเขา ฝงู ประมาณ 5-30 ตัวประมาณ 31.4 เปอรเ์ ซ็นต์ ของประชากร • เล้ียงววั ชนสำหรับไปชนพนันแข่งขัน ประมาณ 7-10 ครอบครัวๆ ละ 2 ตัว ถ้าหากวัวชนะเจา้ ของ จะได้รางวัล และเปอร์เซน็ ตามเงนิ เดิมพัน • รับจ้างตมี ดี คนท่ีมอี าชพี ในชุมชนมี 5 ราย รายได้ไมแ่ น่นอน ข้ึนอยกู่ บั ความขยันของคนตี และ ความตอ้ งการของตลาด แตล่ ะดา้ มจะมีราคาระหวา่ งเล่มละ 50-250 บาท • มี 1 ครอบครวั ทป่ี ระกอบกจิ การรถโดยสารวิง่ รบั สง่ ระหวา่ งหมู่บ้านกับตลาดแมส่ อดไปกลับวันละ หลายเทีย่ ว จะเห็นได้ว่าการแจกแจงปฏิทินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของชุมชน ดังตัวอย่างข้างต้นช่วยให้เราสามารถ เขา้ ใจระบบเศรษฐกิจของชุมชนไดด้ ยี ่ิงขน้ึ ซ่ึงวถิ ชี วี ิตของชาวม้งกเ็ ปน็ อกี วถิ ีชวี ิตหน่ึงท่นี ่าสนใจ และแตกตา่ งออกไป จากวิถีชีวิตของชุมชนอื่นในหลายๆ ด้านด้วยกัน เพราะปัจจัยหลายด้าน ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องและส่งผลกระทบต่อ วิถีชีวิตของพวกเขาให้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากระบบการผลิตผูกอยู่กับระบบทุนนิยม คือการ เพาะปลูกเชิงเดี่ยวป้อนตลาด ต้องเกี่ยวข้องกับสารเคมีและเกี่ยวข้องกับการจ้างแรงงานต่างด้าวชาวพม่าหรือกระ เหรี่ยง การพยายามทำความเข้าใจระบบหรือวิถีชีวิตในลักษณะนี้จะช่วยให้การวางแผนสาธารณสุขได้สอดคล้อง จังหวะเวลาของชุมชน เช่น วางแผนติดตามเรื่องโรคระบาดที่มาจากแรงงานต่างด้าวด้วยการหาวิธีเฝ้าระวังและ หาทางรบั มอื ได้ทันเหตุการณ์ หรอื อาจวางแผนการให้ควารู้ในการระมัดระวงั เร่ืองการใช้สารเคมีเน่ืองจากเน่ืองจาก พนื้ ท่ีมีการใช้ยาฆา่ แมลงมีจำนวนมาก เปน็ ต้น เทคนคิ และวิธีการเก็บข้อมูลชุมชนในโครงการจัดการความร้ขู องวิทยาลัยชมุ ชนอุทยั ธานี 16
17 (2) ปฏิทินทางวัฒนธรรม/สังคม เป็นการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี หรือพิธีการสำคัญที่เป็นส่วนหนึ่งของวิถี ชีวติ คนใยชมุ ชนนั้นๆ และมอี ิทธิพลตอ่ ความคิดความเช่ือท่ีส่งต่อกนั มาตัง้ แต่อดีตสปู่ ัจจบุ นั เชน่ ชาวบ้านอีสานมี่ส่ิง ท่ีเรียกวา่ เป็นจารตี 12 เดอื น ซงึ่ เราตอ้ ไปดูว่าเกิดขนึ้ ช่วงไหนบ้าง อยา่ งไร เช่น วนั สงกรานต์ วันเขา้ พรรษา งานบุญ เผวส แห่บั้งไฟ กิจกรรมเหล้านี้เป็นกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเราจะสามารถสังเกตการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของผู้คน อย่างเขา้ ใจและชัดเจนยงิ่ ขนึ้ ตวั อยา่ งที่ 2 ปฏทิ นิ ทางวฒั นธรรมของชาวมุสลมิ ที่จงั หวัดกระบี่ (ยกตัวอยา่ งบางประเพณี) เดือนยี่ มีพิธีทำบุญบ้าน หรือพิธีส่งเรือ หริโต๊ะหลาบาหลา หลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จจะถึงฤดูลมมรสุม ตะวันออกเฉียงเหนอื ซึ่งมกี ำลงั พัดแรง พิธีนี้มีขึ้นเพื่อขับไล่ผีและสิง่ ชั่วร้ายให้ออกจากหมู่บ้านไป มี 3แบบ ด้วยกัน คือส่งทางน้ำคือเรอื ส่งทางบกคอวางของพลที ี่ทาง และส่งทางอากาศ คือทำเป็นว่าวและตัดเชือกให้ขาดไป แต่พิธี สำคัญของชาวบ้านที่นจี่คือพิธีส่งเรือ (พิธีนี้ทำครั้งสุดท้ายเมื่อ 20 ปีก่อน แต่ปัจจุบันชาวบ้านเลิกทำพิธีนี้เพราะ คลายความเชอื่ เร่ืองผีกันลงไปมาก) เดือนรอมาฎอน คอื เดือนแห่งการถือศลี อด การมขี อ้ กำหนดใหม้ สุ ล่ิมทุกคนทม่ี ีอายเุ กนิ 15 ปีต้องปฏิบัติใน เดือนรอมาฎอน โดยห้ามกินห้ามดืมตั้งแต่พริอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก เป็นการฝึกให้ชาวมุสลิมนึกถึงความ ทรมานจากความหวิ โหย ฝึกความอดทนเพื่อจะได้เข้าใจถึงคนอดอยาก ซึ่งมุสลิมทีด่ ีต้องเผื่อแผค่ นยากจนเหล่านั้น และเป็นการฝกึ ใหม้ ีความอดทนและงดเวน้ จากการทำผดิ บาปตา่ งๆ ดว้ ยการสำรวมถอื ศลี ดว้ ย วันราญอฟติ ตรีห์ (ราญอปอซอ) หรือการออกบวชเปน็ การฉลองหลังจากออกบวชในเดือนถือศีลอดโดยจะ มวี ิธี 3 วัน ชาวมสุ ลมิ จะหยุดกิจกรรมใดๆ ทัง้ หมด เพ่ือฉลองเทศกาลน้ี วันแรกจะมีวิธกี ารละหมาดรวมกนั ทั้งชุมชน ทง้ั หญิงและชายในมัสยดิ (เป็นวันพเิ ศษที่อนญุ าตให้ผหู้ ญงิ ไปละมาดรวมกับผู้ชายท่ีมัสยิดไดแ้ ต่ต้องมีผา้ ก้ันเป็นแบ่ง สดั สว่ นไม่ปะปนกัน) เทคนิคและวธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มลู ชุมชนในโครงการจดั การความรู้ของวิทยาลัยชุมชนอทุ ัยธานี 17
18 สว่ นอีก 2 วนั ทีเ่ หลือจะมกี ารทำขนมต้มใบกะพ้อ และแกงไก่เพ่ือเปน้ ของฝากเมื่อไปเยีย่ มยาติ แล้วการ ช่วยกันทำความสะอาดกุโบ (สุสาน) และเยยี่ มกโุ บของบรรพบุรษุ ด้วย ในปัจจบุ ันวันที่ 3 หรือในวนั ที่ 2-3 วนั ตดิ ต่อกันน้นั จะเป็นวนั เทีย่ วของท้ังครอบครัว ถดั จากวนั ราญอฟติ ตรีห์ไป 3 เดอื นกับ 10 วัน จะเปน็ ปไรเพณรี าญอฮจั ญีย์ เปHนการฉลองการไปแสวงบุญท่ี นครเมกกะ ประเทศซาอุดอิ าระเบีย ถงึ แม้ไม่จำต้องไปเมกะกนั ทุกคนแต่ก็ถอื ว่าชว่ งเวลาน้ีเปน็ วันหยุดเพือ่ ฉลอง การทำพิธีฮัจญ์ ที่นครเมกกะ ซึง่ มุสลิมทว่ั โลกก็ต้องทำพิธีละมาดพร้อมกนั ด้วยผ้ทู ี่ต้องการไปทำพฮี จั ญ์จะต้อง เดนิ ทางล่วงหนา้ ถึง 1 เดือน เพอ่ื ไปเตรียมตัวที่ซาอุดอิ าระเบีย สว่ นผทู้ ี่อยู่บา้ นจะไปทำละหมาดท่ีมสั ยดิ ดว้ ย หลังจากพิธีราญอฮจั ญีย์ จะเปน็ พิธเี มาลิต เปน็ ลักษณะคลา้ ยการฉลองปใี หม่ของชาวมุสลมิ เนอ่ื งจากวนั เมาลิต คอื วนั เกดิ ของทา่ นนบมี ูฮัมหมัด ชาวมสลมิ ไปละหมาดรวมกันทีม่ ัสยิดเพื่อรำลึกทา่ น นบี และในทกุ ปจี งั หวัดกระบ่ี จะจัดงานวนั เมาลติ ท่ีศาลากลางจังหวัดเพือ่ เพื่อให้ชาวมุสลมิ ไปชมุ นมุ ทำพีกันทีน่ ั่น *การนับเดอื นเปน็ การอาศัยปฏิทนิ ตามจนั ทรคติซ่งึ จะไม่ตรงกันในแต่ละปี นอกเหนือจากการทำปฏทิ ินโดยใชว้ งจรของปีที่แล้ว เรายังสามารถทำโดยใช้ “วงจรของชีวติ ” ได้อีกดว้ ย ซ่ึงจะชว่ ยให้เราได้รายละเอยี ดและเข้าใจชีวติ ของชาวบา้ นมากขนึ้ เชน่ ปฏิทนิ ของครอบครัวลุงมา ดังตัวอยา่ ง ตอ่ ไปนี้ เทคนคิ และวิธีการเกบ็ ข้อมลู ชุมชนในโครงการจัดการความรู้ของวิทยาลยั ชมุ ชนอุทัยธานี 18
19 ตัวอย่าง 3 ปฏิทินชวี ิตของลงุ มา เดือนอ้าย ลงุ มาเกยี่ วขา้ วนวดขา้ วเสร็จ ขนขา้ วขึ้นย้งุ ลกู หลานก็จะต้องเตรียมตวั ไปรับจ้างทำงานในเมืองลุง มากอ็ ยบู่ ้าน เลยี้ งวัว ป้าทนภรรยาคนขยนั เริม่ เตรยี มซื้อดว้ ยมาไว้ทอผ้า ทำเครือ่ งนอน แลว้ ก็มาปลูกกสมุนไพรเป็น อาชพี เสรมิ นอกจากนั้นในหนา้ นก้ี เ็ ปน็ ชว่ งเกบ็ กระเจ๊ียบ เสลดพงั พอนมาตากแหง้ เอาไปส่งขายได้อกี เดือนยี่ เป็นกิจกรรมที่ต่อเนื่องจากเดือนอ้าย ป้ามนเริ่มทอผา้ เมื่อทอเสร็จก็เอามาตดั เย็บเป็นทีน่ อน หมอน ปลอกนวม เตรียมไว้ยัดนุ่น (บ้านอื่นที่ตัดต้นนกกไว้ ก็จะเอามาเตรียมมาทอเป็นเสื่อ คนที่มีฝีมอจักสานก็จักตอก สาน ตะกรา้ กระบงุ กลอ่ งขา้ ว ไวใ้ ช้ในครอบครวั ผลติ ของใช้ในครอบครัวเท่านน้ั ยังไม่มีใครผลติ แล้วนำไปจำหน่าย) เดือนสาม กิจกรรมต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว เมื่อลุงมาทำงานฝีมือเล่านั้นเสร็จแล้ว ลุงมาก็เริ่มจะปลูกถั่วลิสง ข้าวโพด โดยไถดินกกลบต่อซังข้าวแห้งในที่นาหลังฤดุเก็บเกี่ยวเพาะปลูกพืชเหล่านั้น ป้ามลจัดแจงทำเครื่องนอน โดยการยัดนุ่น ยัดหมอน (นุ่นเก็บไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว) มีงานบุญเดือนสามเรียกว่า “งานบุญจ่ี” เป็นงานบุญเปิดบ้าน ทำบญุ กลางบ้านประจำปี ลูกหลานทีไ่ ปทำงาทอี่ นื่ กลับมาเย่ยี มบา้ นซื้อของฝาก ซื้อเสื้อผ้าใหม่มาให้พ่อแม่ เดอื นสี่ ลงุ มาและคนอ่นื ๆ ทป่ี ลูกถว่ั ปลูกข้าวโพดจะต้องดูแลพืชผลอยา่ งสม่ำเสมอ เพราะอากาศร้อนแห้งเล้ง เดือนนี้ในชุมชนรวมทั้งลุงมาร่วมงานบญุ เดือนสี่ที่เรียกวา่ “บุญเผวส” ทุกคนร่วมกันทำบุญ ฟังเทศน์ที่วัด มีเทศน์ มหาชาตดิ ว้ ย เดือนห้า อากาศร้อนมาก ไม่มีกิจกรรมพิเศษไปจากงานที่ปฏบิ ัติประจำ มีงานบุญ “บุญสงกรานต์”ลกู หลาน ทป่ี ทำงานทอี่ ืน่ จะจดั กองผ้าป่า มาถวาย สรงนำ้ พระ สรงนำ้ คนแก่ มมี หรสพและการเลน่ ชาวบ้านจะกินเหลา้ เมายา เล่นการพนนั ส่วนถวั่ ลสิ งและข้าวโพดทป่ี ลูกไว้เริ่มเกบ็ เกี่ยวได้ เดือนเจ็ด ไถดะ ไถอดุ กลบฟาง ปรบั ทนี่ า เพอื่ เตรยี มปกั ดำ บางสว่ นก็ปกั ดำตงั้ แตช่ ว่ งนี้ เดอื นแปด-เก้า ปักดำนาตลอดชว่ งน้ี เสรจ็ ของตัวเองไปช่วยนาคนอนื่ หรือไปรับจา้ งคนอนื่ ๆ เดือนสิบ ข้าวตั้งท้อง เตรียมวางแผนเก็บเกี่ยว ซ่อมแซมอุปกรณ์ที่จะใช้ในการเก็บเกี่ยว เวลาว่างก็ลงหนอง หาปลาทำปลาร้า จับกบ จับเขียดกิน เดอื นสบิ เอ็ด เร่ิมเกบ็ เกยี่ วทำข้าวเม่า เดอื นสิบสอง-เดอื นอ้าย กจิ กรรมเกบ็ เก่ียวผลผลิต เก่ียวข้าว นวดข้าว ฟาดขา้ ว สีขา้ ว เทคนิคและวิธกี ารเก็บขอ้ มูลชุมชนในโครงการจดั การความร้ขู องวิทยาลยั ชุมชนอุทยั ธานี 19
20 จะเห็นได้ว่าการรู้ปฏิทนิ ชีวิตของลงุ มายังตวั อย่างข้างตน้ ไม่ได้ทำให้เรารับรู้จงั หวะชีวติ ของลงุ มา เพียงคนเดียว เพราะจังหวะของลุงมามีความเก่ียวข้องกบั วิถที างดา้ นเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของชุมชนซ่ึงทับซ้อน เป็นภาพใหญข่ องชุมชนโดยรวมอย่างแยกจากกันไมอ่ อก นอกจากศกึ ษาปฏิทนิ ชีวิตในรอบปขี องคนแลว้ เรายังอาจ ศึกษาวงจรชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายว่ามีกิจกรรมหรือแบบแผนปฏิบัติตนในแต่ละช่วงอย่างไร เช่นประเพณีการเกิด ศึกษาใหเ้ หน็ ว่าใครทำอะไร หมอตำแยมีกจิ กรรมอะไรบ้าง หรอื จะเปน็ งานแต่ง งานบวชนาค หรอื งานอะไรก็ตามท่ี เกิดขึ้นในวงจรชีวิตของผู้คน การได้เห็นวงจรชีวิตเหล่านี้ จะช่วยให้เราได้เห็นและรู้จักโลกของชาวบ้านเพิ่มขึ้นอีก มากมาย ได้รู้ว่าเราจะพบปะพูดคุยในเวลาใดจึงเหมาะสม เช่น ถ้ารู้ช่วงเวลานีน้ าชุมชนมีงานบุญ หรืองานเทศกาล แล้วหาเวลาไปร่วมงานกับเขาบ่อยๆ ชาวบ้านก็จะรู้สึกคุ้นเคยกับเราจนยอมรับเราเป็นสมาชิกคนหนึ่งของชุมชน รวมทัง้ ชว่ ยใหร้ สู้ กึ ออ่ นไหวเละเข้าใจเรอ่ื งราวของชาวบา้ นเพ่ิมข้ึน นอกจากนี้การเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชนอาจช่วยให้ราสังเกตสภาวะความเป็นผู้นำใน ชุมชนง่ายขึ้น หรืออาจมองเห็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจในชุมชนว่าเป็นอย่างไรผู้นำคนไหนได้รับการยอมรับมาก หรือน้อย ซึ่งสิ่งเหล้านี้มักจะแสดงออกผ่านกิจกรรมทางวัฒนธรรมของชุมชน เพราะฉะนั้นการเข้าปเป็นส่วนหนึ่ง ของชุมชนจำเป็นต้องรู้จกั ปฏทิ ินของชุมชนและเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวในกาลเทศะที่เหมาะสม เพราะหากเราไม่ สนใจเข้าร่วม กิจกรรมสาธรณของเขาไม่มีชีวิตสาธารณะร่วมกันกับเขา ความสัมพันธ์ก็จะช่วยเกื้อกูลการทำงาน หรือการวางแผนการทำงานก็จะเกดิ ขึน้ ได้ยาก ประโยชนก์ ารนำไปใช้ ประยุกตส์ งู สดุ ของการนำไปศกึ ษาปฏิทินชมุ ชนคอื การทำงานสุขภาพเชิงรุก แม้วา่ การทำงาน สขุ ภาพเชงิ รกุ จะถกู ระบุวา่ เป็นภาระกิจสำคญั ของบรกิ ารสุขภาพระดับประปฐมภูมิ แตก่ ารทำงานเชิงรกุ จะเกิด ไมไ่ ด้เลย หาเราไมร่ ้ปู ฏทิ นิ ชมุ ชน ซ่ึงจากตัวอย่างขางตน้ สะท้อนให้เหน็ ว่า การรู้จักจังหวะชีวิตขอฃชาวบา้ น ทำให้ เรารวู้ า่ จะทำงานสุขภาพเชงิ รุกอย่างไร ยกตวั อยา่ งเชน่ กรณีลงุ บญุ มาพอ่ ของเด็กชายอายุ 4 ขวบ ช่ือ บญุ ชู ลงุ มาเปน็ ชาวนาท่ตี อ้ งอพยพ ไปทำงานตัดอ้อยที่เมืองกาญจน์ เมื่อเรารู้ว่าลุงมาจะไปตัดอ้อยในฤดูแล้งโดยจะไปทั้งสามีภรรยา ในช่วงเดือน มีนาคม-เมษายน และจะกลับมาก็ต่อเมื่อเข้าฤดูทำนาเดือนกรกฎาคม เราก็จะรู้ทันทีว่างานสุขภาพเชิงรุกเป็น อย่างไร เพราะเรารู้จกั จังหวะชวี ิต เทคนิคและวธิ ีการเก็บข้อมูลชุมชนในโครงการจดั การความรูข้ องวิทยาลัยชุมชนอุทยั ธานี 20
21 ของลุงมาทีเ่ ราจะตอ้ งรกุ เช่น เดือนกรกฎาคมลงุ มากบั ภรรยาจะตอ้ งมาจากเมืองกาญจน์เราต้องไปดทู ันทีวา่ ทั้งคู่ กับจากรับจ้างตัดอ้อยตดิ เช้ือมาเลหรือปล่า ไม่เพยี งแตเ่ ทา่ นัน้ เรายังรอู้ ีกวา่ บุญชลู ูกมาจะต้องอยู่กับยายซงึ่ อายุ มาก ในชว่ งทีล่ ุงมาและภรรยาไปรบั จ้างตัดอ้อย มกั จะดไู ม่ถัว่ ถึง เดอื นมีนาคมถงึ เดือนกรกฎาคมจงึ เปน็ ชข่วงทีเ่ รา ต้องเฝ้าระวงั ภาวะโภชนาการ ของบญุ ชดู ้วย นเี่ ป็นรปู แบบของการทำงานสุขภาพเชิงรุกจากการร้จู กั ปฏิทินชีวิต ของชมุ ชน การมีความเชื่อมโยงระหว่างระบาดวทิ ยากบั ปฏิทินชุมชนจะชว่ ยให้เราเข้าใจมิตขิ องเวลาในเรื่อง สขุ ภาพได้ดเี ละทำงานเชงิ รุกได้งา่ ยขึน้ เช่น เชน่ ช่วงท่ชี าวมสุ ลมิ กลบั จากไปรว่ มพิธีฮจั ญ์ทซ่ี าอุดิอาระเบียก็ต้องไป เยย่ี มเยียนดูวา่ ปว่ ยโรคอะไรหรอื ไม่ หรือช่วงเดือนตลุ าคมซ่งึ พายุเขา้ ทีฝ่ ังอนั ดามนั ครอบครัวชาวอีสานท่ีมีอาชีพไป ลงเรอื ประมงรบั จ้างจบั ปลาจะกลับมาเย่ยี มบา้ น เพราะทะเลมพี ายุเขา้ เรือหาปลาไมส่ ามารถออกหาปลาได้เราควร เข้าไปดูว่าครอบครัวประมงเหล่านี้ติดเอดส์บ้างหรือเปลา่ หรือให้คำแนะนำด้านสุขภาพ เรื่องการป้องกันโรงเอดส์ เพราะเปน็ ช่วงเวลาท่เี หมาะสมสำหรับการให้ความรู้ในเรือ่ งน้ี กรณีที่เป็นประสบการณ์เมื่อลงชุมชนที่อำเภอด่าซ้าย เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน คือชีวิตของยายหนู หลาดซึ่งเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่ยากจนเพราะแกไม่มีที่นาทำกินในหมู่บ้านที่สำคัญยายหนูหลาดเป็นผู้ป่วย เบาหวานทข่ี น้ึ ทะเบยี นไว้ท่โี รงพยาบาลเม่ือศกึ ษาปฏิทนิ ของชีวติ ของยายหนหู ลาดก็พบว่า ยายหนหู ลาดจะตอ้ งเดิน เท้าวนั ละสองช่วั โมงตอนเช้าเพื่อไปทำไร่ภูเขา เมือ่ เดินเท้าจนถึงท่ีนาบนภูเขา แกจะตอ้ งออกแรงขดุ หลุมเพ่ือหยอด เมด็ ข้าวตลอดทัง้ วัน ถงึ ตอนเย็นกจ็ ะตอ้ งเดินกลบั สอฃช่ัวโมงกว่าจะมาถงึ บา้ นเม่ือเรารปู้ ฏิทนิ ชวี ิตของแกเช่นน้ี พอ ถึงเดือนมิถุนายนซึ่งจะถึงฤดูทำข้าวไร่ เราควรจะแวะไปเยี่ยมยายหน๔หลาด เพื่อจะดูไห้มั่นใจว่าเวลาที่ยายหนู หลาดเขา้ ป่าปทำข้าวไร่ ในตะกรา้ หมากของแก่ นอกจากจะมีหมากมีพลแู ล้วยังต้องมีลกู อมติดตวั ไวด้ ว้ ย เพราะเรา รู้ว่าคนเปน็ เบาหวานนัน้ ถา้ ทำงานหนักอาจจะเกิดภาวะน้ำตาลในเลอื ดต่ำและช็อคได้ เรารู้ว่าชว่ งเดินกรกฎาคมถึง เดือนกันยายนเป็นช่วงเวลาทีย่ ายหนูหลาดจะต้องทำงานหนักที่สุดในรอบปีเพราะต้องเดินสองชั่วโมงตอนเข้าเพอ่ื ทำงานหนักตลอดวนั และเดินกลับอีกสองชวั่ โมงตอนเย็น อาจทำให้เกิดภาวะนำ้ ตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ได้ เรายงั ต้องคุยกับลูกสาวคนสดุ ท้องซง่ึ เป็นลูกคนเดี่ยวท่ีอยู่กบั ยายหนหู ลาด ใหม้ ่นั ใจว่าลูกสาวจะต้องระมัดระวัง มากข้นึ ในช่วงหน้ี เทคนคิ และวิธีการเกบ็ ขอ้ มูลชมุ ชนในโครงการจัดการความรขู้ องวิทยาลยั ชมุ ชนอทุ ยั ธานี 21
22 การรู้จกั ปฏิทินชุมชนยังอาจจะอาจจะใช้ในเชิงป้องกนั ควบคุมโรค ทเ่ี กดิ จากการเคล่ือนย้ายประชากรใน บางพื้นที่ ซึ่งอาจมีแรงงานผิดกฎหมายเข้ามาทำงานอยู่ ประสบการณืจากการศึกษาแรงงายชายแดนในหมู่บ้าน เล็กๆ ที่จังหวัดจาก พบว่ามีชาวกระเหรี่ยงกับชาวพม่าเข้ามารับจ้างทำสวนผักถึง 250 คน แรงงานเหล่าน้ี เคลือ่ นยา้ ยเข้า ๆ ออก ๆ เป็นฤดกู าล นอกจากน้ันกจิ กรรมสาธารณะตา่ ง ๆ เชน่ งานบญุ งานบวช ก็จะเป็นโอกาส ใหเ้ ราเข้าไปใช้ประโยชน์กับการรวมกลุ่มกิจกรรมท่ีมผี ู้คนเข้ามาร่วมกันมาก เพ่อื จะใหป้ ระโยชน์สำหรับการรณรงค์ ตา่ ง ๆ ทั้งยงั เป็นโอกาสในการศึกษาองค์กรชุมชนหรือ (organizations in action) อีกด้วย ตัวอย่างท่ี 1 ปฏิทนิ ชุมชนทัพคลา้ ย เทคนคิ และวธิ ีการเกบ็ ข้อมูลชมุ ชนในโครงการจัดการความรขู้ องวิทยาลยั ชมุ ชนอุทัยธานี 22
23 ตัวอยา่ งที่ 2 ปฏทิ ินชุมชนบา้ นผาทง่ั เทคนคิ และวธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มูลชมุ ชนในโครงการจัดการความร้ขู องวิทยาลยั ชุมชนอทุ ยั ธานี 23
24 ➢ ประวตั ศิ าสตร์ชุมชน ปญั หาที่พบในการทำงานชุมชน ความรู้ความเข้าใจเชิงประวัติศาสตร์เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราเข้าถึงใจถึงความเป็นมาของชุมชน ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคญั ทีจ่ ะช่วยให้เราเข้าใจโลกของชาวบ้านมากยิ่งขึ้น โยทั่วไปเจา้ หน้าทีส่ ารธารณสุขมักไม่สนใจประ วตั ติศาสตรข์ องชุมชนทำใหท้ ราบถงึ ประสบการณ์ร่วมกันขอฃชุมชนที่มสี ่วนกำหนดความรูส้ ึกนึกคิดของชาวบ้านได้ ดังเช่น เคยมีการเกิดโรคระบาดชนิดหนึง่ ในชุมชนแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเมื่อสืบสวนจนถึงท่ีสุดก็พบว่าโรคที่ เกิดขึ้นนั้นเกิดจากสารเคมี การมีข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์อาจทำให้เราเข้าใจเหตูปัจจัยต่าง ๆ ท่ีทำให้เกิด ปรากฏการณ์ในชุมชนไดด้ ี นอกจากนี้ประวัติศาสตร์ชุมชนยงั ชาวยใหเ้ ราเข้าใจควาสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ในชุมชนได้ ชุมชน บางแห่งมีประวัติศาสตร์ที่ขัดแย้งและต้องต่อสู้กับอำนาจรัฐ บางแห่งมีประสบการณ์ที่เจ็บผปวดจากหน่วยงาน ราชการที่ไม่สามารถก้ไขปัญหามให้ได้ ในขณะที่ชุมชนบางแห่งมีความประทับใจกับเจ้าหนาที่ที่เคยมาทำงานกับ ชุมชน หรือชุมชนบางแห่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพราะมีโรงงานมาตั้ง ประวัตติศาสตร์เหล่านี้จะช่วยให้ เราเข้าใจโลกของชาวบ้านมากขึ้น ซึ่งการไม่เข้าใจประวัตติศาสตร์ชุมชนอาจทำให้การตีความปรากฏการณ์ชุมชน บางอย่างคลาดเคลื่อน ไม่ตรงกับตวามเป็นจริง และคลาดเคลื่อนจากประสบการณ์ในอดีตของชุมมชน เป็นอุปสรรคในการวางแผนทำงานร่วมกับชุมชน เพื่อให้รู้จักชุมชนมากขึ้น และถ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชน อย่างละเอียด ลึกซึ้ง และตรงกับความเป็นจริงแล้ว จะสามารถมองชุมชน อย่างเห็นความเปลี่ยนแปลง และสามารถประเมนิ ปัญหาของชุมชน จากประวัตศิ าสตร์ชมุ ชนท่ีเราศกึ ษาได้ เปา้ หมายสำคญั ของเครื่องมือ 1. เขา้ ใจความเปน็ มาของเรื่องราวตา่ ง ๆ ในชุมชนไดด้ ีขน้ึ 2. ลดอคตสิ ่วนตวั ท่จี ะไปตดั สินเร่อื งราวตา่ ง ๆ ในชุมชน 3. ลดชอ่ งว่างในการตัดติดต่อสัมพนั ธ์กับชุมชน เทคนิคและวิธกี ารเก็บข้อมลู ชมุ ชนในโครงการจัดการความรู้ของวิทยาลัยชุมชนอทุ ัยธานี 24
25 ประวตั ศิ าสตร์ชุมชนคืออะไร? การศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชน คือ การศึกษาถึงเรื่องราวความเป็นมาของชุมชนใน ด้านต่าง ๆ ท้ังทาง เศรษฐกจิ สังคม วัฒนธรรม และการเมอื ง ซง่ึ มคี วามสำคัญมากในการทำงานชมุ ชน เพราะจะช่วยทำให้เรา เขา้ ใจถึงทม่ี าที่ไปของปรากฎการณต์ า่ ง ๆ ทเี่ กิดขึน้ ในชมุ ชน เกดิ ความรู้สึกรว่ มกบั ชุมชนได้ รวมทง้ั ลดอคติส่วนตัวท่ี จะเข้าไปตัดสินเรื่องราวหรือปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ท่เี กดิ ขนึ้ ในชุมชน และข้อมลู ท่ีได้ยงั สามารถกำหนดแผนงานหรือ จุดหมายของงานได้อยา่ งถูกต้อง เมื่อได้ศึกษาประวัตติศาสตร์ชุมชนอย่างลึกซึ้ง เราจะได้เห็นภาพรวมของรวมของชุมชนชัดเจน มากยิ่งขึ้น ได้เข้าใจเรื่องมิติเวลาของชุมชน ว่าเหตุการณ์แต่ละช่วงมีอะไรเกิดขึ้นบ้างโดยพาะความเปลี่ยนแปลงท่ี เกิดขึ้นในชุมชนชนเหล่านั้นได้ส่งผลกระทบต่อคน และสิ่งแวดล้อมจากอดีตจนถึงปัจจุบันอย่างไร และเมื่อใดก็ ตามทีเ่ รามีความเขา้ ใจสภาพความเป็นชมุ ชนอย่างท่ีเป็นอยู่ ได้เห็นวิถชี ีวติ ของเขาว่ามีความเปน็ ใอยา่ งไร ความรู้สึก ของเราต่อชุมชนก็จะเปลี่ยนไป เข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ในชุมชนชัดเจนมากกว่าเดิม รวมทั้งเข้าใจความรู้สึกนึกคิด ของชาวบ้านมากข้ึนเช่นเดียวกัน การเข้าใจมิติทางประวัตติศาสตร์เช่นนี้เองที่ช่วยกันทำให้เรามองเห็นว่า จุดไหนเป็นสาระที่ควรใส่ใจ จุดไหนเป็นลักษณะซึ่งแก้ไขอะไรไม่ได้ และต้องหันไปแสวงหาวิธีการอื่น ๆ ที่จะได้ผลมากกว่าแทน นี่คือการทำ ความเข้าใจประวัติศาสตร์ชุมชน ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เรารู้ว่าปัญหาของชุมชนเป็นอย่างไรเท่านั้น ยังทำให้เข้าใจว่า ปญั หาตา่ ง ๆ เหล่านน้ั มีทม่ี าอยา่ งไร ประสบการณจ์ ากการศึกษาประวตั ิศาสตรช์ ุมชน ประวตั ศิ าสตร์ชมุ ชน ทำให้เราเห็นภาพชุมชนได้ชัดเจนขึน้ ว่าชุมชนเปน็ ผลผลผลติ ของระยะเวลา ในการเข้าใจเรื่องมิติเวลาของชุมชนจะช่วยให้เรารู้จักชุมชน และเข้าใจชุมชนในสภาพที่เป็นอยู่มากยิ่งขึ้น และ เม่อื ไรทีเ่ ราไดเ้ ห็นชุมชนอย่างท่เี ปน็ อยู่ เรากจ็ ะเปลยี่ นความรสู้ ึกของเรากบั ชุมชนได้ ยกตัวอยา่ งเช่น ถา้ เราไปชมุ ชน สลัมในครั้งแรกเราอาจเบื่อและรำคาญเพราะมีสภาพไม่น่าดู แต่ถ้าเราไปศึกษาถึงประวัติศาสตร์ของชุมชนแห่งน้ี ความรู้สึกของเราจะเปล่ียนไป เพราะเมอ่ื เราได้รู้ ประวัตศิ าสตรข์ องชุมชน เราจะมองอะไรกวา้ งขึ้น เข้าใจเร่ืองราว ตา่ ง ๆ ไดช้ ัดเจนมากกวา่ เดิมและทสี่ ำคัญเราจะเกดิ ความเข้าใจและเขา้ ไปนั่งในโลกของชาวบา้ นมากขึ้น เทคนคิ และวธิ ีการเก็บขอ้ มลู ชุมชนในโครงการจดั การความรขู้ องวิทยาลัยชุมชนอทุ ัยธานี 25
26 ตวั อย่าง: ประวตั ิศาสตรช์ มุ ชน ประวตั ศิ าสตรบ์ า้ นจดั สรร ทุกชุมชนไม่ว่าจะเป็นชนบทหรือในเมืองล้วนมีประวัติศาสตร์ การศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชนจึงไม่ จำเป็นต้องศึกษาเฉพาะชุมชนที่มีประวัติการตั้งถิ่นฐานมายาวนานมาเป็นชุมชนในชนบท การทำความเข้าใจ ประวัติศาสตร์ของแตล่ ะชุมชน แม้เพียงชว่ งเวลาสัน้ ๆ ก็ยังสามารถทำให้เข้าใจลักษระความเป็นอยูห่ รือปัญหาของ ชุมชนได้ดีขึ้น ดังเช่น การศึกษาประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านจดั สรรแห่งหน่ึงในกรงุ เทพฯ พบว่าหมู่บ้านแหง่ นนี้แบ่ง ระยะเวลาการสร้างออกเป็นช่วง คือ ในช่วงเฟสแรกของการก่อตั้งหมู่บ้านปีพ2527 บริษัทพัฒนาที่ดินได้กำหนด กลุ่มผู้อยู่อาศัยเป็นกลุ่มตลาดล่างบคือฐานะทางเศรษฐกิจค้อนข้างต่ำประกอบอาชีพหาเช้ากินค่ำ ดังนั้น ลักษระ บา้ นทส่ี ร้างจงึ เปน็ บา้ นเดี่ยวชนั้ เด่ยี ว หรอื ทาวเฮา้ ส์ชั้นเดียว ต่อมาในปี พ.ศ. 2534 เมทื่อเศรษฐกิจดีขึ้น บริษัทฯจึงสร้างบานในเฟสสองชั้นเดียวสองชั้น 60 ตารางวา ขึ้นไป ราคา 3-5 ล้านบาท กลุ่มเป้าหมายจึงเป็นชั้นกลาง ฐานะดี พอถึงเฟสสาม ทางบริษัทได้สร้างบ้านหรูหรา ราคาหลังละประมาณ 6-10 ล้านบาทขึ้นไป ในจำนวนบ้านทั้งหมด 1,200 หลังคาเรือน ที่เหลือเป็นเฟสสองและ สาม ดงั น้นั เม่อื ถงึ เวลาเลอื กตง้ั กรรมการหมู่บ้าน ผู้อาศยั ในบา้ นเฟสสองและสามซ่ึงเป็นกลุ่มท่ีมบี านะขอ้ นขา้ งดี จึง ไดร้ ับเลอื กบริหารหม่บู ้าน ปญั หาหมบู่ ้านแห่งนค้ี ืออุดมคติของคนในชมุ ชนต่างกนั กลา่ วคือครอบครัวของหมู่บ้านเฟสแรกทปี่ ระกอบ อาชีพหาเช้ากินค่ำโดยการค้าขาย บางคนลื้อฝาบ้านรั้วบ้านออกเพื่อขายไก่ย่าง ส้มตำขายของชำ ขายผลไม้ มี รถเข็นขายน้ำเต้าหู้จอดอยู่หน้าบ้าน เพราะต้องเข็นไปขายที่ตลาดสนในตอนเช้า ทำให้ สภาพหมู่บ้านในเฟสนี้ไม่ เรยี บร้อยและสกปรก สว่ นคนช้นั กลางท่ีอาศัยอยู่ในเฟสสองและสามตอ้ งการให้ ชุมชนสะอาด เป็นระเบียบเรีบยร้อย และมีธรรมชาติท่ีร่มรื่น ไม่พลุกพล่าน และมีความปลอดภัย ดังนั้น ชาวบ้าร ในเฟสแรกจึงมคี วามขดั แย้งทางชนชัน้ แยง้ ทางชนชัน้ กับกรรมการหม่บู า้ นซงึ่ สว่ นใหญ่เป็นผู้มฐี านะดี จากลักษณะชุมชนชุมชนดังที่กล่าวมา ถ้าเราต้องไปทำกิจกรรม โดยเข้าใจประวัติศาสตร์ชุดนี้ก่อน เราก็จะ เห็นได้ชัดว่าหากเราทำกิจกรรมผา่ นกรรมการหมู่บ้านเพียงฝ่ายเดียว เราจะไม่ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านที่อยู่ ในเฟสแรก เพราะกลุ่มนี้มักจะถูกกรรมการหมู่บ้านว่ากล่าวตักเตือน หรือปรับเงินเนื่องจากทำผิดระเบียบในเรื่อง การรกั ษาความอาดเรยี บร้อย ความสงบรม่ ร่ืนของหมูบ่ า้ น แต่ถ้าเรากระจายกิจกรรมผา่ นท้งั สองกลุม่ เรากจ็ ะได้รับ ความร่วมมือจากชาวบ้านท้งั หมูบ่ า้ น เทคนิคและวิธกี ารเกบ็ ข้อมูลชุมชนในโครงการจัดการความร้ขู องวิทยาลยั ชมุ ชนอทุ ยั ธานี 26
27 จะเห็นได้ว่าการศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชนไม่จำเป็นต้องเป็นประวัตติศาสตร์ที่ยาวนานหรือ ยิ่งใหญ่แต่อย่างไร จากตัวอย่างหมู่บ้านจัดสรรที่ยกมาข้างต้น ถ้ามองโดยทั่วไปหมู่บ้านจัดสรรคงไม่น่าจะมี ประวตั ิศาสตร์อะไรสำคัญ คงจะมีแค่เพียงวา่ บริษัทจัดสรรแห่งหนึ่งมาซ้ือท่ีแล้วมาปลูกบ้านขาย จากนั้นมี่คนมาซื้อ บ้านและมาเข้าอยู่ จบเพียงแค่น้ีแต่เม่ือเขา้ ไปศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชนจริง ๆ กลบั พบว่าประวัตศิ าสตร์ของชุมชน แม้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็จะได้สะท้อนปัญหาและเห็นสถานะของหมู่บ้านได้อย่างชัดเจนขึ้นทำให้เราสามารถวาง แผนการทำงานต่อไปได้ เช่น หากต้องรณรงค์โครงการจำกัดยุ่งลาย ผ่านกรรมการหมู่บ้าน ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใน เฟสแรกประมาณ 200 หลงั คาเรอื นอาจไมไ่ ด้รบั ขา่ วสาร ไมอ่ ยากทีไ่ มเ่ ต็มใจมาเข้าร่วมกิจกรรม เพราะความขดั แย้ง ท่ีเราได้เรียนรจู้ ากการศกึ ษาประวตั ิศาสตรช์ มุ ชน ดงั น้ันเราต้องวางแผนการทำงานให้ครอบคลุมทุกกลุ่มการทำงาน ชุมชนจึงประสบความสำเร็จมากยง่ิ ขึน้ จากตวั อยา่ งที่ยกทจี่ ะเห็นได้ชัดวา่ ประวตั ศิ าสตรช์ มุ ชนมิได้เป็นแค่เคร่ืองมือทีส่ ะท้อนเรื่องราว ของชมุ ชนเฉพาะชว่ งเวลาที่ผ่านมาเทา่ นั้น แต่ยังสะท้อนความรูส้ กึ นกิ คิดของชาวบา้ นตอ่ เร่ืองราวต่าง ๆ ในปจั จุบนั อกี ดว้ ย ซ่ึงถ้าเราไม่ได้ไปศึกษาดว้ ยตวั เองแต่ศึกษาเฉพาะข้อมลู เอกสารราชการ หรอื จากหน่วยงานพัฒนาเอกชน ข้อมลู ที่ได้อาจจะแตกต่างไปจากข้อมูลของชาวบา้ น ดงั น้นั การศึกษาประวตั ิศาสตร์ชมุ ชนจงึ เปน็ เคร่อื งมือสำคญั ท่ี สำคญั ทีจ่ ะช่วยให้เราเขา้ ใจชุมชนในมติ ทิ ่ีลกึ ซง้ึ และทำงานกับชมุ ชนดว้ ยความเข้าใจชมุ ชนอย่างท่เี หน็ และเป็นอยู่ มากยิ่งข้ัน แนวทางการศกึ ษาประวัติศาสตรช์ ุมชน ในการศกึ ษาประวัตศิ าสตร์ชุมชนเพ่ือสร้างความเข้าใจให้รอบด้าน เราควรท่จี ะศึกษาข้อมลู ใน หลายมติ ิ ท้งั มิติทางประวัติศาสตรเ์ ศรษฐกิจ ประวตั ศิ าสตร์การเมือง ประวตั ิศาสตร์สังคม ประวัติศาสตร์วฒั นธรรม และประวัตศิ าสตร์สาธารณสุข ซงึ่ มแี นวทางในการหาขอ้ มูลในด้านต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี้ ตัวอยา่ ง: ประเด็นคำถามทางประวัตศิ าสตร์ 1. ประวัติศาสตรส์ งั คมวัฒนธรรม 1) ประวัติความเปน็ มาของชมุ ชนเป็นอย่างไร ใครเปน็ ผ้กู ่อต้งั ชมุ ชน การขยายตวั ของชมุ ชนมี ลกั ษณะใด มีการอพยพเคลื่อนยา้ ยประชากรในชมุ ชนหรือไม่ อย่างไร 2) ชมุ ชนมีประเพณปี ฏิบตั ใิ นอดีตอย่างไร เทคนิคและวธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มลู ชุมชนในโครงการจัดการความรู้ของวิทยาลัยชมุ ชนอุทัยธานี 27
28 3) เหตุการณ์สำคัญ ๆ ในชุมชนที่ผ่านมามีอะไรบ้าง มีรายละเอียดอย่างไร อาทิเช่น วัดและ โรงเรยี นสรา้ งต้งั แต่เมือ่ ไร ถนน ไฟฟ้า น้ำประปา เรมิ่ เขา้ มาในหมู่บ้านต้งั ตาเมอื่ ไร หรอื ท่ีมาของหมู่บา้ นถูกกวาดซื้อ ไปทำสนามกอล์ฟตั้งแต่เมื่อไร หลังจากสร้างสนามกอล์ฟเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรต่อจำนวนประชากรและ อาชีพของคนในชุมชนบา้ ง เปน็ ตน้ 4) ประสบการณ์งานพัฒนาที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ทั้งงานพัฒนาภาครัฐ ภาคเอกชนและภาค ประชาชน (มีต้นกำเนิดมาอย่างไร เป้าหมาย กลุ่มอะไร กิจกรรม การดำเนินงาน มีกระบวนการอย่างไร ผลกระบวนการด้านคุณภาพและปรมิ าณ) 5) การสร้างความสัมพันธแ์ ละการแก้ไขความขัดแยง้ ของคนภายในชุมชนเป็นอยา่ งไรทำอย่างไร 6) ที่ผ่านมามีการจัดจั้งองค์กรณืชุมชนหรือไม่ การสร้าวองค์กรชุมชนประกอบอะไรมีบทบาท และพัฒนาการทางสังคมอย่างไร เช่น การแกป้ ัญหาความขัดแย้ง 7) ประสบการณ์ในการเรยี นรู้ของชุมชนเปน็ อย่างไร หรือมีการแลกเปล่ียนระหว่างชมุ ชน อยา่ งไรบ้างในอดีต (เชน่ การไปมาหาสู่) 8) ใครเปน็ ผู้มีบทบาทต่อชุมชนหรอื บคุ คลทนี่ ่าสนใจ เขามีบทบาทอยา่ งไร (เล่าพฒั นาการ) และ สมาชกิ ในชมุ ชนเองมคี วามผกู พันกันแบบไหน อย่างไร มีอะไรยึดเหนยี่ ว 2. ประวตั ศิ าสตร์เศรษฐกิจ 1) อาชพี ของชุมชนในอดีตเปน็ อย่างไร ภายในชุมชนมีการผลิตอะไรบา้ ง เช่น ผลิตเครื่องจักรสาน ผ้าทอพืน้ บา้ นเกบ็ ของปา่ ขายเป็นต้น 2) ปัจจัยการดำรงชีวิตทีส่ ำคัญ (ปัจจัยสี่) มาจากแหล่งใด ความสัมพันธ์ทางการผลติ (การซื้อขาย แลกเปลีย่ น หรอื ช่วยเหลือกัน) ในชุมชนเป็นอย่างไร 3) รูปแบบการผลิตและความสัมพันธ์ทางการผลิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้างและมี วิวัฒนาการความเป็นอย่างไร 4) ทรัพยากรธรรมชาติ (ป่าชุมชน ที่ดิน ฯลฯ) ต้นทุนทางสังคมมีความสำคัญต่อการพึ่งต้นเองของ ชมุ ชนอย่างไรบ้าง มีการครอบครองในลกั ษณะใด หรอื ผูกพันในลกั ษณะใด ท่ีผ่านมามกี ารเปลย่ี นแปลงอยา่ งไรบ้าง 5) มีกติกา กฎเกณฑ์อย่างไร (ทั้งที่เป็นประเพณีปฏิบัติเดิม และที่การจัดตั้งขึ้น) ต่อการจัด ความสมั พนั ธใ์ นการจัดสรรหรอื ใช้ประโยชน์ และการแลกเปลย่ี นในชุมชนอย่างไร เทคนิคและวธิ กี ารเก็บขอ้ มลู ชมุ ชนในโครงการจดั การความรู้ของวิทยาลัยชุมชนอุทัยธานี 28
29 3.ประวัตศิ าสตร์การเมือง 1) ผนู้ ำชมุ ชนทั้งทีเ่ ปน็ แนวทางการและไมเ่ ปน็ ทางการตัง้ แต่อดีตจนถงึ ปจั จุบัน มใี ครบ้างทำอะไร กบั ชมุ ชนบ้าง 2) ในอดีตชาวบ้านมคี วามรู้สึกนึกคดิ อย่างไรกับรัฐ/ราชการ และต่อนักการเมือง 3) ทผี่ า่ นมามหี น่วยงานรฐั เขา้ มาทำงานกับชาวบา้ นในบา้ นใดบา้ ง 4) เคยมีปญั หาความขดั แย้งรพหว่างกบั ชาวบา้ นกบั กลไกของภาครฐั หรอื ไม่ อย่างไร (เช่น การ รอ้ งเรยี น การประทว้ ง) 5) มีกลุ่มหรือองค์กรภายนอกอะไรบ้างท่เี ขา้ มาทำงานกบั ชุมชน มีรปู แบบและเนื้อหาการทำงาน อยา่ งไร 6) ความสมั พันธ์ระหว่างชมุ ชนกบั สถาบนั องค์กรภายนอก องค์กรรัฐ หรืออน่ื ๆ ทีเ่ ขา้ มา เก่ยี วข้อง 4. ประวตั ิศาสตรส์ าธารณสขุ 1) สขุ ภาพขของชาวบ้านในอดีตเป็นอยา่ งไร มีโรคภัยไข้เจ็บอะไรบ้างที่มักพบบ่อยในอดีตและ ชาวบา้ นใชช้ วี ิตการใดในการแก้ปัญหา 2) การแพทย์สมัยใหมเ่ รม่ิ เช้ามาในชมุ ชนเมื่อใด ในรูปแบบใด ชาวบา้ นรูส้ กึ อยา่ งไรตอ่ การแพทย์ สมัยใหม่ 3) ระบบบริการสารณสุขที่เป็นอยู่ปจั จบุ นั มคี วามเป็นมาอย่างไร เทคนิคและวิธีการเกบ็ ข้อมูลชุมชนในโครงการจดั การความรขู้ องวิทยาลัยชมุ ชนอทุ ัยธานี 29
30 ตวั อยา่ งประวตั ิศาสตร์เก่ียวกบั อาชีพของคนในชุมชน ตวั อยา่ งประวตั ศิ าสตร์เกี่ยวกับความเป็นมาของชุมชนทัพคลา้ ย 30 เทคนคิ และวธิ ีการเกบ็ ข้อมลู ชมุ ชนในโครงการจัดการความรขู้ องวิทยาลัยชุมชนอทุ ัยธานี
31 ท่ีมาของแหลง่ ความรู้ กาญจนา แก้วเทพ.(2562). การวเิ คราะห์สังเคราะหใ์ นงานวจิ ัยเพ่ือทอ้ งถน่ิ (เล่ม 1). สมทุ รสงคราม : สรา้ งสรรค์ ปญั ญา. กาญจนา แกว้ เทพ.(2562). เครื่องมือชนั้ ตน้ ของการวเิ คราะห์สงั เคราะห์ในงานวิจัยเพื่อท้องถิน่ (เล่ม 2). สมุทรสงคราม : สร้างสรรคป์ ัญญา. โกมาตร จงึ เสถียรทรัพยแ์ ละคณะ. (2546). วถิ ชี ุมชน คู่มอื การเรียนรู้ทีท่ ำให้งานชมุ ชนงา่ ย ไดผ้ ล และสนกุ . นนทบรุ ี : บรษิ ทั ดไี ซร์ จำกัด. มลู นธิ ิแมฟ่ ้าหลวงในบรมราชูอุปถัมภ.์ (2555). แนวทางพัฒนาตามตำราแม่ฟา้ หลวง เรอื่ งการสร้างทีมพัฒนาใน พนื้ ที่เปา้ หมาย. กรุงเทพฯ : มูลนิธิ วิทยาลัยชุมชนอุทยั ธานี (2565). การจัดการความรขู้ องวิทยาลัยชมุ ชนอุทัยธานี ปี 2565. ถอดบทเรยี นจากการ จัดกจิ กรรมการสรา้ งและแสวงหาความรู้ 26-27 เมษายน 2565. เทคนิคและวิธีการเกบ็ ข้อมูลชมุ ชนในโครงการจัดการความรู้ของวิทยาลัยชมุ ชนอุทยั ธานี 31
32 ผู้รบั ผดิ ชอบโครงการ 1. ดร.อภญิ ญา จงพัฒนากร 2. นายสุรศักดิ์ ลิ้มวีระประจักษ์ 3. นางกนกวรรณ ลิ้มวีระประจกั ษ์ 4. นางนิรัชรา จันทรศร 5. นายจรูญศักด์ิ ขุนวิเศษ 6. นางสาววิราวรรณ ธีประลา 7. นางสาวณัฐฐาน์ อน้ ทอง 8. นางสาวณัฎฐญ์ า เทพเภา 9. นางสาวจงรกั วลิ าวงค์ 10. นางธวัลรัตน์ ปานาง 11. นายเสมอ จันทร 12. นายภูมินพิ ัฒน์ นิตโชติ 13. นายภวู ดล ยอดเพช็ ร 14. นางสาวณฐั กานต์ แสนคำ 15. นางบรรณารกั ษ์ นพคุณ 16. นางสาวมยุรี นพคณุ 17. บุคลากรด้านการศึกษาวทิ ยาลยั ชมุ ชนอทุ ัยธานี เทคนคิ และวธิ กี ารเก็บขอ้ มลู ชมุ ชนในโครงการจัดการความรู้ของวิทยาลยั ชุมชนอทุ ยั ธานี 32
33 ภาคผนวก เทคนคิ และวธิ ีการเก็บขอ้ มูลชมุ ชนในโครงการจัดการความรู้ของวิทยาลัยชุมชนอุทยั ธานี 33
34 การประชมุ เพอ่ื การค้นหาความรู้/การบง่ ช้ีความรู้ในวนั ท่ี 22 มีนาคม 2565 สรุปเรอ่ื งทีจ่ ะจดั เก็บองค์ความรูค้ อื “เทคนคิ และวกี ารเกบ็ ขอ้ มูลชุมชน” เทคนคิ และวธิ ีการเกบ็ ข้อมูลชมุ ชนในโครงการจัดการความรขู้ องวิทยาลัยชุมชนอทุ ยั ธานี 34
35 โครงการดำเนนิ การจดั การความรู้ เทคนคิ และวธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มลู ชมุ ชนในโครงการจดั การความรูข้ องวิทยาลัยชุมชนอทุ ยั ธานี 35
36 แผนการดำเนนิ งาน เทคนคิ และวธิ กี ารเกบ็ ข้อมลู ชมุ ชนในโครงการจดั การความรูข้ องวิทยาลัยชุมชนอทุ ยั ธานี 36
37 กจิ กรรมการสรา้ งและแสวงหาความรู้ในวนั ที่ 26 เมษายน 2565 เรอ่ื งเทคนคิ และวธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มูลชมุ ชน ทดสอบความรเู้ ดิม 37 เทคนิคและวธิ กี ารเก็บขอ้ มูลชมุ ชนในโครงการจัดการความรู้ของวิทยาลัยชมุ ชนอทุ ยั ธานี
38 วทิ ยากรถา่ ยทอดความรู้ 38 เทคนคิ และวธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มลู ชมุ ชนในโครงการจัดการความรู้ของวิทยาลยั ชมุ ชนอุทัยธานี
39 การจัดกจิ กรรมเพ่ือแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ในประเดน็ ทีเ่ ลือกในวันท่ี 26 เมษายน 2565 เขา้ ฐานรับความรู้ เร่อื งเทคนคิ และวิธกี ารเกบ็ ขอ้ มลู ชุมชน เทคนิคและวิธกี ารเก็บขอ้ มูลชุมชนในโครงการจัดการความรขู้ องวิทยาลยั ชมุ ชนอุทยั ธานี 39
40 ชี้แจงการนำองค์ความรู้ไปใชห้ รือพฒั นาการปฏบิ ัติงานจริง การวางแผนนำองคค์ วามรู้ไปใชล้ งพนื้ ที่ 40 เทคนิคและวิธกี ารเก็บข้อมลู ชุมชนในโครงการจัดการความร้ขู องวิทยาลยั ชุมชนอทุ ัยธานี
41 การนำองคค์ วามรไู้ ปพฒั นาบุคลากรในวิทยาลยั ชุมชน เพื่อนำไปใช้หรือพฒั นาการปฏบิ ัติงานจริง วันท่ี 27 เมษายน 2565 ณ ชุมชนบ้านผาท่ัง เทคนคิ และวิธกี ารเกบ็ ข้อมลู ชุมชนในโครงการจดั การความรู้ของวิทยาลัยชมุ ชนอุทยั ธานี 41
42 บุคลากรลงพนื้ ทส่ี ำรวจปญั หาและความตอ้ งการของชมุ ชนโดยการนำองค์ความรู้เรอื่ งเทคนิคและ วิธีการเก็บข้อมลู ชุมชนไปทดลองใชจ้ รงิ กบั ชมุ ชนวนั ที่ 27 เมษายน 2565 ณ ชมุ ชนทัพคล้าย เทคนิคและวธิ ีการเกบ็ ข้อมูลชุมชนในโครงการจัดการความรขู้ องวิทยาลัยชุมชนอุทยั ธานี 42
43 บคุ ลากรลงพื้นทส่ี ำรวจปญั หาและความต้องการของชุมชนโดยการนำองคค์ วามรู้เรอื่ งเทคนิคและวิธกี ารเก็บ ข้อมูลชุมชนไปทดลองใชจ้ ริงกับชุมชนวนั ท่ี 27 เมษายน 2565 ณ กลุ่มผปู้ ลกู ยาง อำเภอบ้านไร่ เทคนิคและวธิ ีการเกบ็ ขอ้ มลู ชุมชนในโครงการจดั การความร้ขู องวิทยาลยั ชมุ ชนอทุ ัยธานี 43
44 การสรุปบทเรยี นและความรู้ท่ไี ดร้ บั จากการลงพื้นทีจ่ ริง การสรปุ บทเรยี นแตล่ ะกลุม่ 44 เทคนคิ และวธิ กี ารเกบ็ ข้อมูลชุมชนในโครงการจดั การความร้ขู องวิทยาลยั ชุมชนอทุ ยั ธานี
45 การสรปุ บทเรยี นภาพรวม 45 เทคนคิ และวธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มูลชมุ ชนในโครงการจดั การความรู้ของวิทยาลยั ชมุ ชนอทุ ัยธานี
46 การจดั การความรู้ให้เปน็ ระบบและการประมวลและกลั่นกรองความรู้ เทคนคิ และวิธกี ารเก็บข้อมูลชุมชนในโครงการจัดการความรขู้ องวิทยาลัยชมุ ชนอทุ ัยธานี 46
47 เทคนิคและวิธกี ารเกบ็ ขอ้ มลู ชมุ ชนในโครงการจัดการความรู้ของวิทยาลัยชมุ ชนอทุ ัยธานี 47
48 การเข้าถึงความรู้ การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรทู้ ้งั องคก์ รในวันท่ี 28 มิถนุ ายน 2565 เทคนคิ และวิธีการเกบ็ ขอ้ มูลชมุ ชนในโครงการจัดการความรู้ของวิทยาลยั ชุมชนอุทัยธานี 48
49 การเข้าถึงความรู้ การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ท้งั องคก์ รในวันท่ี 28 มิถนุ ายน 2565 เทคนคิ และวิธีการเกบ็ ขอ้ มูลชมุ ชนในโครงการจัดการความรู้ของวิทยาลยั ชุมชนอุทัยธานี 49
Search