ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร |๑THAI FOR COMMUNICATION บทท่ี ๑ บทนาความสาคญั ของภาษา ภาษาเป็นผลิตผลทางวัฒนธรรมของมนุษย์อย่างหน่ึง มนุษย์สร้างภาษาขึ้นมาเพื่อใช้ส่ือสารและทาความเข้าใจระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ภาษาของมนุษย์ในยุคเร่ิมแรกนั้นอาจเป็นภาษาเดียวกัน แต่เมื่อมีการอพยพย้ายถ่ินฐานอาจเน่ืองมาจากพิษภัยทางธรรมชาติ หรือสภาพภูมิประเทศท่ีเปลี่ยนแปลงไปจึงทาให้มนุษย์มีภาษาที่แตกต่างกนั ไป จากเหตุผลดงั กล่าวจงึ ทาใหม้ นษุ ย์มีภาษาอยา่ งมากมายตามถนิ่ ท่ีอยขู่ องตน ภาษาช่วงแรกของมนุษย์จึงใช้เสียงเพ่ือการส่ือสาร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ มนุษย์ใช้เสียงส่ือความหมายฉะนั้น การศึกษาเสียงพูดของมนุษย์จึงช่วยทาให้เข้าใจความคิด ความรู้สึก และความต้องการของมนุษย์ด้วยกันเมอ่ื แตล่ ะภาษาพัฒนาตนเองจนมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองแล้ว จึงเรยี กช่อื ภาษาตามถิ่นที่อยูห่ รือตามกลุม่ ชนของตน เช่น ภาษาไทย ใช้กับ กลุ่มคนไทย ภาษาอังกฤษ ใช้กับ กลุ่มคนอังกฤษ เป็นต้น ดังนั้นการศึกษาภาษาท่ีแตกต่างจากตนจึงช่วยให้เข้าใจกลุ่มชนตา่ งๆได้ด้วย สาหรบั บทนี้จะกลา่ วถึง ธรรมชาติทัว่ ไปของภาษาและลักษณะภาษาไทย เพอื่ แนวทางการศกึ ษาภาษาทใ่ี ชส้ อ่ื สารกันในปจั จุบันความหมายของภาษาตารางที่ ๑ นกั ศึกษาลองพจิ ารณาขอ้ ความต่อไปนว้ี ่าเป็น “ภาษา” หรือไม่ ข้อความ เป็น ไม่เป็น๑. ครูประจาชนั้ กวกั มือเรียกเด็กชายธนภทั รให้รบี มาเขา้ แถว๒. “บตั รเตมิ เงนิ ” เปน็ คาประสมท่ีใชก้ นั มานานแลว้๓. ณริ ินไม่สามารถออกเสียง / s / ไดเ้ น่อื งจากไม่ไดเ้ ปน็ เสียงสาคัญในภาษาไทย๔. คุณแม่เลา่ เรอื่ งลกู สาวใหเ้ พื่อนบ้านฟงั อย่างจรงิ จงั๕. อดุลยส์ ง่ สายตาบอกสาวโต๊ะข้างๆ๑ สาขาวชิ าภาษาไทย คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ลาปาง
ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร ส่ื อ ส า ร |๒THAI FOR COMMUNICATION เป็น ไมเ่ ปน็ ขอ้ ความ๖. สัญญาณไฟเขยี ว หมายถึง ให้รถขบั เคลื่อนได้๗. เสยี งหมาหอนยามคา่ คนื แสดงวา่ คนื นี้ผีจะมา๘. มณั ฑนาสวมแหวนทนี่ ิ้วนางข้างซ้ายเพื่อบอกว่าเธอแตง่ งานแลว้๙. แกดีใจหลัง่ ถงั่ น้าตา ลบู หลงั ลูบหนา้ ดว้ ยปรานี๑๐. พอสบพักตรเ์ ณรพยักทนั ใด ดว้ ยน้าใจผกู พันกระสนั หา ตัวอย่างข้างต้น “เป็น” ภาษาทั้งหมด เน่ืองจาก “ภาษาในความหมายอย่างกว้าง หมายถึง ส่ิงท่ีใช้แสดงออกเพื่อการส่ือความหมาย ภาษาในความหมายนี้มีความหมายรวมถึง ภาษาพูดของมนุษย์ สัญญาณ เสียงธรรมชาติ และภาษาท่าทางต่างๆด้วย” อย่างไรก็ตาม นักภาษาศาสตร์บางกลุ่มให้ความเห็นที่น่าสนใจ คือ ทุกภาษาของมนุษย์ใช้เสียงเพื่อการส่ือความหมาย อีกทงั้ บางภาษา เช่น ภาษาปากะญอ และภาษาอูรูวาตู เป็นตน้ ใช้เสียงเพอื่ การสื่อความหมายแต่กลับไม่มีตัวอักษรใช้ ฉะนั้น นักภาษาศาสตร์กลุ่มนี้จึงเสนอให้ศึกษาภาษาในความหมายอย่างแคบ ซึ่งหมายถึง ภาษาพดู ของมนุษย์เท่านั้น จากตัวอย่างตารางที่ ๑ เมื่อพิจารณาแล้วพบว่า สามารถจาแนกภาษาออกเป็น ๒ ประเภท คือ ประเภทแรก ได้แก่ หมายเลข ๒ , ๓ , ๔ ซ่ึงมีลักษณะใช้เสียงพูดของมนุษย์เพ่ือการส่ือความ ลักษณะเช่นน้ีเรียกว่า“วัจนภาษา” และประการท่ีสอง ได้แก่ หมายเลข ๑ , ๕ , ๖ , ๗ , ๘ , ๙ , ๑๐ ซ่ึงมีลักษณะไม่ใช้เสียงพูดของมนษุ ยเ์ พ่ือการสื่อความแต่กลับใชภ้ าษาท่าทาง สายตา รวมทั้งสญั ญาณเพือ่ การสื่อความแทน ลกั ษณะเช่นนี้เรียกว่า“อวจั นภาษา” ซ่งึ จะไดก้ ลา่ วอยา่ งละเอียดในหวั ขอ้ ถัดไป๒ สาขาวิชาภาษาไทย คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏลาปาง
ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร ส่ื อ ส า ร |๓THAI FOR COMMUNICATIONประเภทของภาษา ดังท่ีกล่าวมาแล้วหัวข้อความหมายของภาษา ว่าภาษามี ๒ ประเภท คือ วัจนภาษา (ภาษาท่ีใช้เสียงพูดของมนุษย์เพอ่ื การสื่อความ) และอวัจนภาษา (ภาษาที่ไม่ใช้เสียงพูดของมนษุ ย์เพ่ือการส่ือความ) การเขา้ ใจประเภทของภาษาน้นั จะทาให้เขา้ ใจวจั นกรรมในการสอ่ื สารดว้ ย๑ ๑. วัจนภาษา หมายถึง ภาษาท่ีใช้เสียงพูดของมนุษย์เพ่ือการสื่อความ ภาษาพูดในท่ีนี้ยังหมายรวมถึงภาษาเขียนอีกด้วย กล่าวคือ ภาษาเขียนเกิดจากการประมวลผลจากเสียงพูดที่เกิดข้ึนภายในความคิดแล้วแสดงออกมาทางรูปสญั ลกั ษณ์ คือ ตวั อักษร น่ันเอง ฉะน้นั ภาษาเขยี นจึงอาจเรยี กว่า วจั นภาษา อีกอยา่ งหนง่ึ ดว้ ย ๒. อวัจนภาษา หมายถึง ภาษาท่ีไม่ใช้เสียงพูดของมนุษย์เพื่อการสื่อความ อวัจนภาษาจึงหมายรวมถึงสัญลักษณ์ สญั ญาณ สถานท่ี สายตา และคาบรบิ ท อวัจนภาษาแบง่ ออกเปน็ ๗ ประเภท ดังน้ี ๒.๑ เนตรภาษาหรือนัยน์ภาษา คอื ภาษาที่มาจากสายตา การใช้สายตาเป็นวิธีการส่ือความอย่างหน่ึงของมนุษย์ เชน่ การส่งสายตาเพ่อื บอกเลศนัยบางอย่างให้กบั ผรู้ บั สาร เป็นต้น ๒.๒ อาการภาษา คือ ภาษาท่ีมาจากอาการท่าทาง อาการภาษาน้ีจะแสดงออกมาเป็นอากปั กริ ิยา ทา่ ทางต่างๆ เช่น การยกนิว้ การผายมือ การพยกั หนา้ และการเคลอื่ นไหวรา่ งกาย เปน็ ต้น ๒.๓ สัมผัสภาษา คือ ภาษาที่มาจากการสัมผัส เช่น การโอบกอด การจูบ และการลูบไล้เป็นต้น สัมผัสภาษาจึงไม่ใชเ่ พียงแต่การแสดงออกทางสีหน้าเท่านั้นแต่ยังต้องสัมผัสเพ่ือแสดงนัยบางประการ เช่นเพื่อนรอ้ งไห้เสียใจเนือ่ งจากอกหกั นกั ศึกษาจงึ เข้าไปกอดเพื่อใหก้ าลังใจ ๒.๔ กาลภาษา คือ ภาษาที่เกี่ยวข้องกับเวลา เวลาสามารถสื่อความหมายต่างๆได้ เพราะเก่ียวเนื่องกับความคิด ความเชื่อ ประเพณีและวัฒนธรรมของกลุ่มชนนั้นๆด้วย เช่น การโทรศัพท์ในยามวิกาลแสดงว่ามีเหตุจาเป็นหรือต้องการความช่วยเหลือ เนื่องด้วยกลุ่มชนต่างๆเข้าใจตรงกันว่า เวลากลางคืนเป็นเวลาส่วนตวั ฉะนั้น ผูท้ ่ีโทรศพั ท์ไปหาจงึ ตอ้ งการความช่วยเหลือ เปน็ ตน้ ๒.๕ เทศภาษา คือ ภาษาท่ีเกยี่ วขอ้ งกับพื้นท่ี (ซง่ึ ตรงกบั คาวา่ Space ไม่ใช่ Place) หรือกลา่ วอีกนัยหน่ึง คือ ระยะห่างต่างๆ ย่อมสื่อความหมายแตกต่างกันด้วย เช่น บริเวณหน้าช้ันเรียนเป็นพื้นที่ของครู ดังน้ันเมอื่ มีผู้มายนื หนา้ ห้อง นกั ศกึ ษาจึงเข้าใจได้ทันทวี า่ ผู้นัน้ คือ ครู เปน็ ต้น ๒.๖ วัตถุภาษา คือ ภาษาที่ใชว้ ัตถุส่ิงของ เครื่องใช้ กายแต่งกาย เพ่ือสื่อความหมาย เช่น การใช้โทรศัพทม์ อื ถือแบบสมารต์ โฟน หรอื แม้แต่การเลอื กสเี ส้อื ผา้ กส็ ามารถสื่อถงึ ความคดิ ความรู้สึกของมนษุ ยไ์ ด้ ๒.๗ ปรภิ าษา (ปรภิ าษา) การสอื่ ความหมายด้วยเสยี งต่าง ๆ (ทีไ่ มใ่ ช่เสียงพูด) การใช้เสยี งสูงตา่ดังเบา ทมุ้ แหลม สนั้ ยาวต่างกนั ยอ่ มส่ือความหมายได้ เช่น เสียงรงิ โทนโทรศพั ท์มอื ถอื หรอื เสยี งหมาหอน เป็นตน้ ๑ วัจนกรรม ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Speech acts หมายถึง ความสัมพันธ์การกระทาระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารวัจนกรรม มีทั้งหมด ๒ แบบ คือ วัจนกรรมตรง มีลกั ษณะรูปภาษาและความหมายสัมพันธก์ ันโดยตรง เช่น นง่ั ลง เปดิ พัดลม และหิวข้าว เปน็ ตน้ ส่วนวจั นกรรมออ้ มหรอื วจั นกรรมปฏบิ ตั ิ มีลกั ษณะรูปภาษาและความหมายไม่สมั พันธ์กนั อาจเปน็ การสญั ญา หรือกล่าวโดยอ้อมเพื่อให้เกิดผลอีกทางหน่ึง เช่น ห้องน้ีร้อนจัง ผู้ส่งสารไม่ได้มีจุดประสงค์แจ้งให้ทราบเพียงอย่างเดียวแต่กลับมีจดุ ประสงคใ์ ห้เปดิ พดั ลมเพอื่ ระบายความร้อน เปน็ ต้น๓ สาขาวชิ าภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั ลาปาง
ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร |๔THAI FOR COMMUNICATIONภาษากับความคิดมนุษย์ ๑. ความคิดของมนษุ ยจ์ ากภาษา “ภาษาสามารถสะท้อนความคิดของมนุษย์ได้” คากล่าวนี้แสดงให้เห็นว่ารูปภาษาที่มนุษย์ใช้กันสามารถสะทอ้ นถึงความคิดของมนษุ ย์ได้ นักศกึ ษาลองพจิ ารณาขอ้ ความตอ่ ไปนวี้ ่ามเี จตนาเพอื่ อะไร๑. วันน้อี ากาศรอ้ นจัง ห้องนก้ี ็ร้อนอบอ้าวดว้ ย๒. ถา้ อาจารยถ์ าม อยา่ บอกนะว่าฉนั ไปไหน๓. ช่วยถอดรองเทา้ ออกได้ไหม๔. โรงงานถา่ นหนิ แหง่ นี้ มกี าลังผลติ เทา่ ไหร่๕. อะไรเหน่อื ยกว่าการเล้ียงลูกเป็นไมม่ ี๖. ถ้าเธอจะเลือกเขา ฉนั ก็จะไปเอง๗. มพี ระราชธดิ ายาใจ เอาไว้แตง่ ตัวไว้ยัว่ ชาย๘. สูงระหงทรงเพียวเรียวรดู งามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาปา๋ ข้อความดังกล่าวเห็นได้ว่า เมื่อแบ่งตามเจตนาของการส่งสารพบ ๓ ความมุ่งหมาย คือ ประการแรกเจตนาแจ้งให้ทราบ ได้แก่ หมายเลข ๕ , ๖ , ๗ , ๘ เป็นต้น ประการถัดมา คือ เจตนาถามให้ตอบ กล่าวคือ ผู้ส่งสารมีเจตนาถามใหผ้ ู้รับสารตอบ ได้แก่ หมายเลข ๔ เป็นต้น สว่ นประการสุดท้าย คือ เจตนาบอกให้ทา คือ การสั่งให้ทา หรือขอร้อง ได้แก่ ๑ , ๒ , ๓ เป็นต้น ข้อสังเกตประการหนึ่ง คือ รูปประโยคคาถามหรือรูปประโยคขอร้องกลับไม่ได้มีเจตนาตามรูปประโยค ลักษณะเช่นน้ีเรียกว่า “วัจนกรรมปฏิบัติ” หรือ “วัจนกรรมอ้อม” กล่าวคือผู้ส่งสารมีเจตนาอีกความมุ่งหมายหนึ่งที่ไม่ตรงตามรูปประโยค ฉะน้ัน การท่ีจะเข้าใจความคิดของมนุษย์จึงไม่สามารถพจิ ารณาจากรปู ประโยคเพียงประการเดียว แต่ตอ้ งพิจารณาจากเจตนาของผสู้ ง่ สารอกี ด้วย เหตุท่ีมนุษย์ใช้รูปประโยคที่แตกต่างจากเจตนาของตนเองนั้นอาจเป็นเพราะปัจจัยภายในของมนุษย์เองเช่น ผู้ส่งสารอยู่ในสถานภาพท่ีไม่สามารถสั่งให้ผู้รับสารปฏิบัติตามได้จึงต้องใช้วัจนกรรมอ้อม อาจเป็นการพูดขอรอ้ งหรือพดู เปรยี บเปรยเพ่ือให้ผรู้ ับสารปฏิบตั ติ ามตัวอย่างท่ี ๑ นักศึกษาต้องการใหอ้ าจารย์ลงนามในใบถอนกระบวนวิชานกั ศกึ ษาจะต้องใช้สานวนว่า “ขอความกรณุ าอาจารยเ์ ซน็ ใบดรอปให้หน่อยนะครบั ” ตวั อย่างท่ี ๒ กรณที พ่ี นกั งานตอ้ งการใหผ้ ้จู ดั การปรับข้ึนเงินเดือน พนักงานจะตอ้ งใช้ว่า “ผมเองทางานที่มานานและตั้งใจทาเป็นอย่างย่ิง ผู้จัดการพอจะมีโบนสั เล็กๆน้อยๆใหเ้ ปน็ กาลงั ใจไหมครับ”๔ สาขาวิชาภาษาไทย คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏลาปาง
ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร ส่ื อ ส า ร |๕THAI FOR COMMUNICATION ลักษณะดังกล่าวนี้เองเรียกว่า “วัจนกรรมอ้อม” เห็นได้ว่าผู้ส่งสารมีสถานภาพที่ต่ากว่าผู้รับสาร แต่มีเจตนาการส่งสารแบบประโยคบอกให้ทา ด้วยสถานภาพที่ต่ากว่าจึงไม่สามารถใช้รูปประโยคลักษณะบอกให้ทาได้โดยตรง จงึ ตอ้ งใชร้ ูปประโยคแบบออ้ มแตม่ ีความมุ่งหมายเดยี วกนั กล่าวโดยสรุป มนุษย์ใช้ภาษาเพื่อส่ือสารความคิดของตนด้วย ๒ วิธีการ คอื วจั นกรรมตรง และวจั นกรรมออ้ ม สว่ นการเลอื กใช้ภาษานนั้ ขน้ึ อย่กู ับสถานการณ์ สภานภาพ บทบาท รวมถงึ กาลเทศะด้วย ๒. อิทธพิ ลทางภาษาตอ่ ความคดิ ของมนุษย์ ภาษา เป็นวัฒนธรรมอย่างหน่ึงซ่ึงเป็นผลิตผลทางความคิดของมนุษย์ อาจกล่าวได้ว่า “ภาษาเป็นเครื่องมือท่ีมนุษย์สร้างไว้รับใช้ และ/หรือสนองความต้องการของตน” เนื่องจากมนุษย์ใช้ภาษาถ่ายทอดความรู้สึกนึกคดิ รวมทั้งกาหนดอนาคตอีกด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ภาษาจะเป็นเพยี งเครอื่ งมือของมนุษย์เท่านั้น แต่มนุษยก์ ลับมคี วามรสู้ กึ นกึ คดิ วา่ “ภาษาสามารถควบคมุ มนษุ ยไ์ ดด้ ว้ ย” เช่นกัน ดงั จะกล่าวรายละเอียดในลาดบั ถดั ไป ๒.๑ ภาษากับวัฒนธรรมของมนษุ ย์ ภาษา เป็นเอกลักษณ์ประจากลุ่มชน มนุษย์สามารถแยกกลุ่มชนออกจากกันได้ด้วยภาษาทางหน่ึง เช่น ภาษาไทลื้อ ใช้ในกลุ่มวัฒนธรรมลื้อ ภาษายวน ใช้ในกลุ่มวัฒนธรรมไทยวน ภาษาเมี้ยน ใช้ในกลุ่มวัฒนธรรมของเม้ียน เป็นตน้ ไม่เพียงเท่าน้ัน ภาษายังสามารถสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของกลุ่มชนนั้นๆด้วย ดังนั้นการศึกษาภาษากับวัฒนธรรมจึงมีวิธีการศึกษาหลากหลายมุมอง สาหรับในที่นี้จะกล่าวถึงการศึกษาภาษากับวัฒนธรรมในลักษณะของ “วัฒนธรรมท่ีปรากฏในภาษา” เพื่อให้สอดรับกับคากล่าวที่ว่า “ภาษาแสดงเอกลักษณ์และวฒั นธรรมของชาติน้ันๆ” การใชภ้ าษาของแต่ละกลุ่มชนยังข้นึ อยู่กับปัจจัยทางบริบทของวฒั นธรรมนน้ั ๆด้วย หากพิจารณาเบ้ืองต้นเร่ือง “คาทักทาย” ของชนชาติต่างๆจะพบว่า คาทักทายเหล่าน้ันมักจะเก่ียวข้องกับความคิดทางวัฒนธรรมด้วย ในท่ีน้ีจะขอยกตัวอย่างคาทักทายท่ีใช้อย่างเป็นทางการของบางชนชาติ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนขึน้ คาทักทายภาษาต่างๆ ภาษาไทย ใช้ สวัสดี ภาษาลาว ใช้ สะบายดี ภาษาเขมร ใช้ ซัวสได ภาษาพม่า ใช้ มิงกะลาบ่า๕ สาขาวชิ าภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏลาปาง
ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร |๖THAI FOR COMMUNICATION เม่ือพิจารณาท้ัง ๔ ภาษา พบว่า คาทักทายท้ัง ๔ ภาษาไม่ได้ใช้ภาษาของตนเองเพ่ือสื่อความหมาย อาจด้วยเหตุผล ๒ ประการ คือ ประการแรก อานาจของรัฐที่มีอานาจมากกว่าส่งผลกระทบทางความคิดของกลุ่มชนที่มีอานาจน้อยกว่า เช่น ภาษาลาว ใช้คาว่า “สะบายดี” ซ่ึงเป็นคาภาษาเขมร มาจากคาว่า“ซาบาย” ส่วน ภาษาไทย ภาษาเขมร และภาษาพม่า ใช้ภาษาบาลีมาเป็นคาทักทาย สวัสดี และซัวสได มาจากภาษาบาลี คาว่า “สวสฺตี” ส่วน มิงกะลาบ่า มาจากภาษาบาลี คาว่า “มงคล” เห็นได้ว่า คาทักทายของภาษาไทยภาษาเขมรและภาษาพม่า ล้วนมาจากภาษาบาลีซ่ึงมีอิทธิพลมากในกลุ่มชนท่ีนับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลกั อาจกล่าวโดยสรุป การใช้ภาษาของแต่ละกลุ่มชน อาจมาจากเหตุผล ๒ ประการ ได้แก่ เหตุผลทางอานาจของรฐั และเหตผุ ลทางศาสนา ซ่งึ เหตุผลท้ังสองประการจัดอยูเ่ ปน็ วฒั นธรรมอยา่ งหนึ่งดว้ ย ส่ิงท่ีน่าสนใจและเป็นข้อสังเกตทางภาษาประการหน่ึง คือ ความหมายของคาทักทาย ที่แสดงให้เห็นถึงมโนทัศน์ของคนในสังคมน้ันๆด้วย เช่น ภาษาไทย ศาสตราจารย์ พระยาอนุมานราชธน ได้เสนอให้ใช้คาว่า“สวสั ดี” เปน็ คาทักทายเพราะนาคาน้มี าจากภาษาบาลี หมายถึง “ความดีงาม, ร่งุ เรอื ง” ภาษาเป็นเคร่ืองมือที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างมีระบบเพื่อสื่อความเข้าใจแทนปรากฏการณ์ ความคิดความรู้สึก และวัตถุที่รายล้อม ภาษาเป็นหัวใจของการสื่อสารทั้งภาษาที่ต้องอาศัยถ้อยคาที่ เรียกว่า วัจนภาษาได้แก่ตัวอักษรและเสียงพูดท่ีมนุษย์ตกลงกันใช้แทนสิ่งของ ความคิด การกระทา และปรากฏการณ์อื่นๆสรุปแล้ว วัจนภาษา คือ ภาษาพูดและภาษาเขียนน่ันเอง นอกจากน้ียังมีภาษาที่ไม่ต้องอาศัยถ้อยคาเรียกว่าอวัจภาษาเป็นภาษาที่แสดงออกทางกิริยาอาการต่างๆเรียกว่า ภาษาท่าทาง ภาษาวัตถุและสภาพแวดล้อมเช่น เสื้อผ้าเคร่ืองแต่งกายบอกให้รู้ถึงเพศ รสนิยม สภาพอารมณ์และวัฒนธรรมทางสังคม ภาษาสัญลักษณ์ไดแ้ ก่ ทางมา้ ลาย สญั ญาณไฟจราจร สญั ญาณต่างๆ บนทอ้ งถนน เหล่านีเ้ ป็นตน้ความสาคญั ของการใชภ้ าษา ความสาคญั ของการใช้ภาษาสรุปได้ ๒ ประการ คือ ๑. กระบวนการสอ่ื สารภาษาเป็นเครื่องมือสาหรับการสื่อสารความคิด ความรู้สึก ความต้องการต่างๆ การใช้ภาษากับการส่ือสารจึงมีความสัมพันธ์กันมาก การส่ือสารเป็นกระบวนการที่ความคิดหรือข่างสารถูกส่งจากแหล่งสารไปยังผู้รับสารด้วยเจตนาที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางประการของผู้รับสาร ซึ่งอาจเป็นการกระทาต่อบุคคลอื่น ปฏิสัมพันธ์กบั บุคคลอน่ื และปฏิกริยาตอ่ บุคคลอ่นื หรอื อยา่ งใดอยา่ งหน่งึ การใช้ภาษาเปน็ ปจั จัยสาคัญย่ิงประการหนง่ึ ในกระบวนการสอื่ สาร ภาษาที่ใชใ้ นการส่อื สารอาจจะเปน็วัจนภาษา ได้แก่ ภาษาพูด ภาษาเขียน หรืออาจเป็นอวัจนภาษา ได้แก้ ท่าทาง สัญญ าณต่างๆ ถ้าหากผู้ส่งสารและผู้รับสารสามารถใช้ภาษาได้ถูกต้องเหมะสมแล้ว การส่ือสารก็มีประสิทธิภาพสูงแต่ถ้าใช้ภาษาไม่เหมะสม การสอื่ สารนน้ั ก็ไดผ้ ลต่าหรือไมป่ ระสบความสาเร็จ เชน่ ตัวอย่างต่อไปนี้๖ สาขาวิชาภาษาไทย คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ลาปาง
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร |๗THAI FOR COMMUNICATION ก.นายจ้างกับลกู จ้าง นายจ้าง : ตอ้ ย เอาผา้ นีไ่ ปซกั ที ลูกจ้าง : ค่ะ คุณนาย นายจา้ ง : เวลาซักระวงั ใหด้ ีนะ ตวั สีแดงมนั ชอบตก ลูกจา้ ง : ไม่เปน็ ไรค่ะคณุ นาย หนูจะเอาไมห้ นีบ หนบี ใหแ้ นน่ ๆ การใช้ภาษาในตวั อยา่ งน้มี ีปัญหาในการสอื่ สาร เพราะผสู้ ือ่ สารใช้ปญั หากากวมซ่ึงตคี วามหมายได้หลายอย่างข. นักวชิ าการกบั เกษตรกร นกั วิชาการ : สรปุ แลว้ การทจี่ ะเพมิ่ ผลผลติ ทางการเกษตร เช่น ถั่วเหลืองน้เี ราจะตอ้ งร้จู ักนาเอา เทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ เกษตรกร : เดี๋ยวพ่อหนมุ่ ไอเ้ ทคโนโลยีใหม่ๆ นะ มนั กโิ ลเท่าไหร่ตัวอยา่ ง ข มีปัญหาในการสือ่ สาร เพราะผูส้ ่งสารใช้ภาษายากเกินไป ไม่เหมาะกบั บุคคลค. นักท่องเทยี่ วกับชาวบ้าน นกั ทอ่ งเที่ยงจากกรงุ เทพฯ ไปเทย่ี วภาคใต้ เหน็ คณุ ลงุ คนหนงึ่ จงู จกั รยานมลี ิงซอ้ นท้ายจงึ ร้องถามวา่ นักท่องเท่ยี ว : ลุงครับจะเอาลิงไปไหน ลงุ : เอาไปรกั ษา นกั ท่องเที่ยว : ลงิ เปน็ อะไรครบั ลงุ : เปล่า นกั ทอ่ งเที่ยว : อา้ ว แล้วลุงจะเอาไปรกั ษาทาไม ลุง : จะเอาไปรักษา นักทอ่ งเทย่ี ว : ??? ตัวอย่าง ค การส่ือสารมีปัญหา เพราะผู้รบั สารไม่เขา้ ใจภาษาถิน่ ซ่งึ ภาษาถ่นิ ไทยถิน่ ใต้ รกั ษา หมายถงึเลี้ยง เก็บ รักษา ในการสื่อสารแต่ละคร้ัง จะต้องอาศัยความรู้ ความสามารถ และทักษะในการใช้ภาษาของผู้สื่อสารอย่างยง่ิ ซ่งึ ผู้ส่ือสารต้องระมัดระวังในการใช้ภาษาให้ถกู ต้องเหมาะสม เพ่ือใหก้ ารสื่อสารของคนบรรลผุ ลตามทต่ี อ้ งการ๗ สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลาปาง
ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร |๘THAI FOR COMMUNICATION ๒. สะทอ้ นใหเ้ หน็ ลกั ษณะของภาษาและสังคม นอกจากการใชภ้ าษาจะเปน็ เครือ่ งมือในการสอื่ สารแล้ว การใช้ภายังสะท้อนใหเ้ หน็ ลักษณะภาษาท่ใี ช้ในสงั คม และสะท้อนใหเ้ หน็ สภาพสังคมของผูใ้ ช้ภาษาแต่ละภาษาอีกด้วย เชน่ ๒.๑ ความแตกตา่ งกนั ในภาษา ในสังคมไทยทุกคนใช้ภาษาไทย แต่การใช้ภาษาไทยของคนไทยแตกต่างกันไป ดงั น้ี ๒.๑.๑ ใชภ้ าษาแตกต่างกันตามถิ่นที่อยู่ ซ่งึ เรยี กกนั ว่า ภาษาถิ่น เช่น ผู้พูดภาษาไทยถ่ินอบุ ลราชธานี พดู ภาษาไทยแตกตา่ งจากผพู้ ดู ภาษาไทยถิ่นลาปาง เปน็ ตน้ ๒.๑.๒ การใช้ภาษาแตกตา่ งกันตามสงั คม ซึ่งเรยี กกันว่า ภาษาสังคม เช่น ในสังคมของผู้มีการศึกษาใช้คาว่า พฤติกรรม ปัจเจกบุคคล ความคิดรวบยอด แต่ในสังคมของผู้ด้อยการศึกษาไม่มีใช้ ในสังคมวัยรุ่นนิยมใช้คาแสลง เช่น ชิวชิว เด็กแนว แต่ในสังคมวัยสูงอายุ ไม่ใช้ ในสังคมของผู้หญิงใช้คาว่า นะยะ ว้าย คะดฉิ นั แต่ในสงั คมของผ้ชู ายไม่ใช้ เปน็ ตน้ นอกจากน้ีผู้ใช้ภาษาต่างก็มุ่งหวังให้การใช้ภาษาของตนสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพดงั นั้นจึงพยายามคิดหารูปแบบการใช้ภาษาให้เหมาะสมตรงกับวตั ถุประสงคใ์ นหนา้ ทีก่ ารงานตามทีต่ นต้องการ จนเป็นสาเหตุหน่ึงที่ทาให้การใช้ภาษาในสังคมมีหลายรูปแบบ และเป็นการใช้ภาษาเฉพาะกิจประเภทต่างๆ ขึ้น เช่นภาษาในวงการโฆษณา ซ่ึงมีวัตถปุ ระสงค์ในการสรา้ งสรรค์ผลงานโฆษณาออกสู่สาธารณชนดว้ ยวตั ถุประสงค์ ๔ ขอ้คอื หยุดให้คนสนใจโฆษณาชนิ้ น้ัน เร่ืองน้ัน ช้ีให้คนเห็นผลประโยชน์ที่จะไดร้ ับ สร้างความอยากได้ และเร่งเร้าการปฏิบัติให้ซ้ือ หรือใช้บริการ ดังน้ันการใช้โฆษณาจึงแหวกแนวไปจากภาษาที่ใช้ในสถานศึกษาหรือภาษาตามหลักภาษา เช่น ใชว้ า่ “ความสขุ ทคี่ ณุ ดม่ื ได้” “เลก็ ดรี สโต” “เบยี ร์สดรสดัง” เปน็ ตน้ ความแตกต่างกันในภาษาน้ีมีสาเหตุมากจากคนท่ีอยู่ในสังคมเดียวกัน มี อาชีพ เพศ วัยการศึกษา และสถานภาพทางสังคมแตกตา่ งกัน ผใู้ ช้ภาษาจงึ แสดงความแตกต่างเหลา่ นอ้ี อกมาในการใช้ภาษา ๒.๒ ภาษามีการเปลีย่ นแปลง ภาษาที่ยังมผี ้ใู ช้อย่ใู นชีวติ ประจาวนั จะต้องมกี ารเปลย่ี นเปลงอย่เู สมอ ซึ่งการเปล่ียนแปลงน้นัมิใช่การเปล่ียนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือโดยฉับพลัน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงในลักษณะวิวัฒนาการ(EVOLUTION) ซึ่งหมายความว่า มีบางส่วนของภาษาที่คงท่ีและบางส่วนท่ีมีการเปล่ียนแปลงไปตามกาลเวลาในช่วงเวลาท่ีใกล้เคียงกัน ส่วนท่ีเปลี่ยนแปลงก็มีน้อยจนอาจไม่เป็นท่ีสังเกตในช่วงเวลาที่ห่างกันมาก ส่วนที่เปลี่ยนแปลงกม็ มี ากจนสามารถสงั เกตเห็นไดช้ ดั ถ้าพิจารณาการใช้คาในภาษาไทยจะพบว่าการใช้คาในภาษาไทยท่ีเปล่ียนแปลงไป ๓ ลักษณะดังนี้ ๒.๒.๑ คาบางคาเคยใช้ในสมัยก่อน แต่ปัจจุบันไม่มีใช้ เช่น คาว่า เผือ ปั่ว โอยทานซึง่ เคยใชใ้ นสมยั สโุ ขทัยแต่ปจั จบุ นั ไม่มีใช้๘ สาขาวิชาภาษาไทย คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ลาปาง
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร |๙THAI FOR COMMUNICATION ๒.๒.๒ คาบางคาในสมัยก่อนใช้ในความหายอย่างหนึ่ง แต่ในปัจจุบันใช้ในความหมายที่แตกต่างกันไป เช่น แพ้ในสมัยสุขัย จากข้อความในหลักศิลาจารึกหลักที่ ๑ ที่ว่า “ตน กู พุ่ง ช้าง ขุนสามชน ตัวช่อื มาสเมอื ง แพ้ ขุนสามชน พ่ายหนี” ในประชุมศลิ าจารกึ ภาค ๑ อธิบายความหมายของ “แพ้” วา่ หมายถึง ชนะ(สานกั นายกรัฐมนตรี,๒๕๒๑: ๒๗) แต่ในปัจจุบันคาว่าแพ้มีความหมายตรงกันข้าม คือหมายถึงไม่ชนะ และถ้าพิจารณาคาในหนังสืออักขราภิธานศัพท์ ของหมอบรัดเลย์ ซึ่งพิมพ์คร้ังแรกเม่ือ พ.ศ. ๒๔๑๖ จะพบว่า มีคาหลายคาท่ีมีความหายแตกตา่ งจากปัจจบุ นั เช่น ก้หู นี้ หมายถึง ใชเ้ งินให้เขาจนพ้นหนี้ กยู้ มื หมายถึง เอาเงินเขา้ มาใช้แล้ว เอาของน้นั ไปส่งคืนเขา ชอบกล หมายถงึ ชอบตอ้ งด้วยชั้นเชิง เขา้ ที ๒.๒.๓ มีคาใหม่เกิดขึ้น “คาศัพท์ในภาษานั้นมีคาใหม่เกิดข้ึนตลอดเวลาเพื่อรองรบั สิ่งท่ีเกิดขึ้นใหม่ในสังคมไทย” ภาษาเปล่ียนไปพรอ้ มๆกับสังคม และเป็นการเปลี่ยนแปลงท่ีควบคู่กันไป เราจะไม่พบว่าสังคมเปล่ียนโดยภาษาไม่เปล่ียน สังคมไทยโบราณไม่มีไฟฟ้า น้าประปา โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ คาศัพท์ดังกล่าวนี้ไม่มอี ยู่ในภาษาต่อมาเม่อื สังคมมสี ง่ิ เหล่าน้ี ในภาษากม็ ีคาเหล่าน้ี(วไิ ลวรรณ ขนิษฐานันท์,๒๕๒๖: ๓๗) แต่อย่างไรก็ตาม การท่ีภาษามีคาใหมเ่ กดิ ข้ึนน้ันเป็นเพราะ “ภาษาตอ้ งปรับตวั ให้เขา้ กับวัฒ น ธรรม ของแต่ ละยุคสมั ย เม่ือมีส่ิงให ม่เกิดข้ึน ภ าษ าก็ต้องป รับ สิ่งให ม่ๆ ใน วัฒ น ธรรมด้วย ”(อมรา ประสิทธิ์รัฐสนิ ธุ์,๒๕๒๙:๒๕) จากการใช้ภาษาของคนในสังคมได้สะท้อนให้เห็นว่าภาษามีความแตกต่างกันนั้นย่อมสะท้อนให้เห็นภาพสังคมผู้ใช้ภาษาน้ัน ว่ามีโครงสร้างทางสังคมแตกต่างกัน และลักษณะของภาษาที่มีการเปล่ียนแปลงอยู่เสมอ ย่อมสะท้อนให้เห็นสภาพสังคมผู้ใช้นั้นว่า สภาพสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปซึ่งอาจกล่าวได้ว่า การใช้ภาษาสะท้อนให้เห็นภาษาและสภาพสังคมของผู้ใช้ภาษาและสังคมของผู้ใช้ภาษา เป็นเคร่ืองกาหนดลักษณะการใช้ภาของคนในสังคม ดงั น้ัน การใช้ภาษานอกจากจะมีความสาคัญในกระบวนการส่ือสาร ในฐานะเป็นเครอื่ งมือในการสอื่ สารแล้ว การใช้ภาษายงั สะท้อนใหเ้ ห็นลกั ษณะของภาษา และสภาพของสงั คมผู้ใชภ้ าษาอีกดว้ ย๙ สาขาวชิ าภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏลาปาง
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๐THAI FOR COMMUNICATIONสภาพปัญหาการใช้ภาษา สภาพปัญหาการใช้ภาษาไทยท่ีพบในชีวิตประจาวันและในส่ือสารมวลชน อาจกาหนดเป็น ๒ ลักษณะคอื ปัญหาดา้ นการส่ือสาร ปัญหาด้านกฎเกณฑ์ทางภาษา ๑. ปญั หาด้านการส่อื สาร การใช้ภาษาท่ีเป็นปัญหาด้านการสื่อสารระหว่างผุ้ส่งสารกับผู้รับสาร มักมีสาเหตุมาจากการใช้ภาษาท่ีไม่กระจ่าง และการใช้ภาษากากวม ๑.๑ การใช้ภาษาท่ีไม่กระจ่าง คือ การใช้ภาษาท่ีมีความหายไม่แน่นอน ผู้รับสารไม่ทราบความหมายทีช่ ดั เจน เช่น - พอ่ แมฉ่ นั มีลูกหลายคน คาว่า “หลายคน” ไมท่ ราบแน่นอนว่ามีก่ีคน ควรระบุจานวนให้ชัดเจนว่า มีลูกก่ีคน ๓ คน หรือ๕ คน เป็นตน้ - ฉนั จะไปต่างจงั หวัดหลายวัน คาว่า “ต่างจังหวดั ” และ “หลายวัน” ของผู้รับสารอาจไมต่ รงกับผู้ส่งสาร เพราะผู้ส่งสารไม่ระบุใหช้ ัดเจนว่าเป็นจงั หวัดไหน ๑.๒ การใช้ภาษากากวม คือการใช้ภาษาที่สามารถตีความหายได้หลายอย่าง ซึ่งผู้รับสารกับผสู้ ง่ สารอาจตีความหมายไมต่ รงกัน เชน่ - ในวันขน้ึ ปใี หม่ ผจู้ ัดการแจกของเดก็ จานวนมาก ข้อความนี้สามารถตีความหมายได้ ๒ อย่างคือ ผู้จัดการแจกของจานวนมากให้แก่เด็ก และเด็กรบั ของแจกจากผู้จัดการน้ันมจี านวนมาก - สารวัตส่ังห้ามยา้ ยผูถ้ กู จับกมุ ในเวลากลางคืน ข้อความนี้สามารถตีความหายได้ ๓ อย่าง คือ สารวัตส่ังเมื่อกลางคืนว่า ห้ามย้ายผู้ถูกจับกุมสารวัตรมีคาสั่งห้ามไม่ให้ย้ายเฉพาะผู้ที่ถูกจับกุมในเวลากลางคืน ส่วนผู้ท่ีถูกจับกุมกลางวันนั้นย้ายได้ สารวัตรมีคาสง่ั ในเวลากลางคืนห้ามยา้ ยผ้ถู กู จบั กุม ๒. ปัญหาดา้ นกฎเกณฑท์ างภาษา การใช้ภาษาที่เป็นปัญหาด้านกฏเกณฑ์ทางภาษา ได้แก่ การใช้ภาษาผิดไปจากกฎเกณฑ์ทางภาษาแต่ภาษาทใ่ี ช้น้นั ยงั พอสอ่ื สารเขา้ ใจกันได้ หรือผสู้ ื่อสารยังพออาศัยข้อความแวดล้อตีความไดต้ รงกัน เชน่ ๒.๑ การออกเสียงพยัญชนะ สระ ไม่ถูกต้องตามหลกั ลักษณะทางเสียงของภาษาไทย ตัวอย่างเสยี งที่เป็นปัญหา เช่น ออกเสยี งพยญั ชนะ /ร/ เป็น /ล/ เช่น โรงเรยี น เป็น โลงเลียน ออกเสยี งพยัญชนะควบกลา้ ไม่ได้ เช่น๑๐ สาขาวิชาภาษาไทย คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั ลาปาง
ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๑THAI FOR COMMUNICATION ปราชญ์ เป็น ปาด กลม เป็น กม ความ เป็น ฟาม หรอื คาม ออกเสียงสระบางเสียงไมไ่ ด้ มักพบในกรณที ี่ผูพ้ ูดใช้ภาษาไทยถ่ินอื่น แล้วมาใช้ภาษาไทยถิ่นกลางเชน่ ผู้พดู ภาษาไทยถนิ่ เหนอื และถิน่ อสี าน มักออกเสียงสระ เออื เป็น เอีย เปน็ ต้น ๒.๒ การอ่านคาไม่ถูกต้อง การอ่านคาในภาษาไทย ให้ยึดหลักเกณ ฑ์การอ่านตามท่ีราชบัณฑติ ยสถานกาหนด แต่มกั พบอยู่เสมอว่า มีผูอ้ ่านคาเดียวกันแตกต่างกัน เช่น อ่านคาวา่ ประวตั ิศาสตร์ เป็นประ – หวัด – ติ – สาด บ้าง เป็น ประ – หวัด - สาด บ้าง เป็นตน้ ดังน้ันเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดยี วกนั ในการอ่านคาในภาษาไทย จึงให้ยึดหลักการอ่านคาตามราชบัณฑิตยสถานกาหนด นอกจากนี้ปัญหาในการอ่านยังพบในลกั ษณะของการแบง่ วรรคตอนไม่ถกู ต้องอีกดว้ ย ๒.๓ การเขยี นคาไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ในการเขียนคาในภาษาไทยก็เช่นเดียวกับการอ่านคาคือ ให้เขียนตามหลักเกณฑ์ท่ีราชบัณฑิตยสถานกาหนด เช่น ให้เขียนคาดังต่อไปน้ี โควตา สะดวก สังเกตอุดมการณ์ แต่มักพบอยู่เสมอว่ามีผู้เขียน เขียนแตกต่างไปเป็น โควต้า สดวก สังเกตุ อุดมการ เป็นต้น นอกจากน้ีปัญหาในการเขียนยังพบในลกั ษณะการวางรปู วรรณยกุ ต์และสระไม่ถกู ต้องด้วย ๒.๔ การใช้ภาษาไมถ่ ูกต้องและไม่เหมาะสม เชน่ - ใชค้ าบุพบทไมถ่ กู ตอ้ ง เชน่ มีขา่ วของดาราปรากฏบนหนังสอื พิมพ์ฉบบั วันนี้(ควรใช้ใน) - ใช้คาลักษณนามไม่ถูกต้อง เช่น ๓ โจรปลน้ รา้ นทอง (ควรเป็น โจร ๓ คนปลน้ ร้านทอง) - ใช้คาไม่เหมาะสม เชน่ - หมตู วั น้ีโปรดข้าวฟ่างมาก (ควรใช้ ชอบ) - เจา้ อาวาสทา่ นปว่ ยมานานหลายเดือนแล้ว (ควรใช้ อาพาธ) - เขาดีใจท่ีตอ้ งไปเที่ยวเชียงใหม่วันพรงุ่ นี้ (ควรใช้ ได้) - ทุกวนั นี้สตรีมีสิทธเิ ท่าเทยี มผ้ชู าย (ควรใช้ สตรีค่กู บั บุรษุ และใช้ ผู้หญิงคูก่ บั ผชู้ าย) - - ใชป้ ระโยคไม่กะทดั รัด เชน่ - หลังจากทาการสอบคัดเลือกนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว วิทยาลัยจะทาการประกาศผลการสอบ (ควรตดั ทาการ ออก) สภาพปัญหาการใช้ภาษาดังกล่าวนี้ เป็นปัญหาท่ีผู้ใช้ภาษาควรระวังไม่ให้เกิดข้ึน เพราะนอกจากจะก่อให้เกิดปญั หาการสื่อสารเขา้ ใจไม่ตรงกันแลว้ ยังอาจแสดงให้เห็นว่าเปน็ ผทู้ ่ีขาดความรคู้ วามสามารถในการใช้ภาษาอีกดว้ ยความรเู้ บือ้ งต้นเกี่ยวกบั การสอ่ื สาร๑๑ สาขาวิชาภาษาไทย คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ลาปาง
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร | ๑๒THAI FOR COMMUNICATIONการสอ่ื สาร เป็นธรรมชาติอยา่ งหนึง่ ของสัตว์โลก เนอ่ื งมาจากความตอ้ งการทางชวี ภาพและกายภาพต่างๆของสัตว์สังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคมประเภทหนึ่งจึงต้องใช้การสื่อสารเพื่อสนองความต้องการของตน กล่าวอีกนัยหนง่ึ คอื การส่อื สารเป็นการตดิ ต่อระหวา่ งกนั (ปฏสิ ัมพนั ธก์ ัน) ซ่ึงถอื ว่าเป็นกระบวนทางสงั คมประการหน่ึงด้วยไม่เพียงเท่านั้น การสื่อสารยังจาเป็นอย่างย่ิงเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ อาจพอสรุปเป็นได้ ๓ ประการดังน้ี ประการแรก การส่ือสารมีความสาคัญในด้านปัจจัยสี่ ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่มและยารักษาโรคหากมนุษย์ไม่ใช้การสื่อสารแล้วย่อมจะสนองปัจจัยสี่ได้ยากยิ่ง ประการถัดมา การส่ือสารมีความสาคัญในด้านกิจกรรมทางการเมือง และประการสุดท้าย การสื่อสารมีความสาคัญเป็นอย่างมากในด้านกระบวนการถ่ายทอดความคิดมนุษย์ ดังท่ีได้กล่าวไว้ในหัวข้อภาษากับความคิดมนุษย์ อน่ึง การสื่อสารในปัจจุบันยังมีความสาคัญเก่ียวกับเศรษฐกจิ และสังคมหรอื เพือ่ ใช้สร้างความสมั พันธร์ ะหว่างประเทศอีกดว้ ย ๑. ความหมายของการสื่อสาร การส่ือสาร ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Communication” อันหมายถึง การส่ือความรู้สึกนึกคิดจากบุคคลหน่ึงไปสู่อีกบุคคลหน่ึง มนุษย์ใช้วัจนภาษาและอวัจนภาษาเพ่ือแสดงออกความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ อาจกล่าวได้ว่า“การสื่อสารเป็นกระบวนการถ่ายทอดความคิดของมนุษย์โดยผู้ส่งสารจะส่งสารผ่านสื่อต่างๆ ไปยังผู้รับสารเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเข้าใจทต่ี รงกัน” ๒. องค์ประกอบของการส่ือสาร คาว่า “องค์ประกอบ” หมายถึง การประกอบกันเข้าอย่างกลมกลืนของส่วนต่างๆ ตั้งแต่สองอย่างข้ึนไปจนกลายเป็นสิง่ ทส่ี มบรู ณ์ (อรประพิณ กิตตเิ วชและวชิ าติ บรู ณะประเสรฐิ สขุ ,๒๕๕๔ : ๘) สาหรับองค์ประกอบของการส่อื สารนน้ั สามารถจาแนกได้ ๔ ประการ ดงั นี้ ๒.๑ ผู้ส่งสาร (Sender) หมายถึง บุคคลท่ีต้องถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตนไปสูผ่ ู้รับสาร โดยมีความคาดหวังใหเ้ กดิ ผลกระทบอย่างใดอยา่ งหนึ่งแก่ผู้รับสาร ๒.๒ ผู้รับสาร (Reciever) หมายถึง บุคคลที่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้รับสาร อาจเกิดจากความเข้าใจโดยตรงหรอื เกิดจากการตคี วามกไ็ ด้ ๒.๓ สาร (Message) หมายถึง เรือ่ งราวท่ีมีความหมาย หรือสิ่งต่าง ๆ ที่อาจอยู่ในรูปของข้อมูลความรู้ ความคิด ความต้องการ อารมณ์ ฯลฯ ซึ่งถ่ายทอดจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารให้ได้รับรู้ และแสดงออกมาโดยอาศัยภาษาหรือสัญลักษณ์ใด ๆ ที่สามารถทาให้เกิดการรับรู้ร่วมกันได้ เช่น ข้อความท่ีพูด ข้อความท่ีเขียน บทเพลงที่รอ้ ง รูปทว่ี าด เรอ่ื งราวท่อี า่ น ท่าทางทสี่ ่อื ความหมาย เป็นตน้ สารมีลักษณะดงั ตอ่ ไปนี้ ก. รหสั สาร (Message code) ได้แก่ ภาษา สญั ลักษณ์ หรือสัญญาณทมี่ นษุ ยใ์ ช้เพ่ือแสดงออกแทนความรู้ ความคดิ อารมณ์ หรอื ความรู้สึกตา่ ง ๆ ข. เน้ือหาของสาร (Message content) หมายถึง บรรดาความรู้ ความคิดและประสบการณ์ทีผ่ ู้ส่งสารตอ้ งการจะถ่ายทอดเพ่ือการรบั รู้ร่วมกัน แลกเปลี่ยนเพ่อื ความเข้าใจรว่ มกนั หรือโต้ตอบกัน๑๒ สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลาปาง
ภ า ษ า ไ ท ย เ พ่ื อ ก า ร ส่ื อ ส า ร | ๑๓THAI FOR COMMUNICATION ค. การจัดสาร (Message treatment) หมายถึง การรวบรวมเนือ้ หาของสาร แล้วนามาเรียบเรียงให้เปน็ ไปอยา่ งมรี ะบบ เพ่อื ให้ได้ใจความตามเน้ือหา ทต่ี ้องการดว้ ยการเลือก ใช้รหัสสารท่ีเหมาะสม๒.๔ สื่อ (Chanel) หมายถึง ช่องทางเพ่ือการส่ือสาร โดยทั่วไปอาจเข้าใจเพียงว่าเป็นวิทยุกระจายเสียง หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร แท้จริงแล้ว “ส่ือ” มีความหมายกว้างกว่าท่ีคนโดยท่ัวไปเข้าใจกล่าวคือ ส่ือเป็นรูปสัญลักษณ์ หรือรูปท่ีปรากฏเป็นตัวกลาง (medium) ที่ใช้สื่อสาระต่างๆ จากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร (สุโขทัยธรรมาธิราช,๒๕๓๗ : ๕๓) นักวิชาการหลายท่านได้แบ่งส่ือออกตามเกณฑ์ต่างๆ ไว้(สถาบันราชภฏั สวนดุสิต, ๒๕๔๖ : ๖ ) ดังตารางดงั ตอ่ ไปนี้ เกณฑก์ ารแบง่ ประเภทของสอ่ื ตวั อย่าง๑. แบง่ ตามวธิ ีการเข้า และ สอ่ื วัจนะ (verbal)ถอดรหัส สื่ออวจั นะ (nonverbal) คาพูด ตวั เลข สหี น้า ทา่ ทาง นา้ เสียง๒. แบ่งตามประสาทการรับรู้ ส่ือท่รี บั รู้ดว้ ยการเห็น หนังสอื พิมพ์ รปู ภาพ สอ่ื ท่รี บั รูด้ ว้ ยการฟงั สอ่ื ทร่ี ้ดู ้วยการเห็นและการฟงั นิตยสาร เทป วทิ ยุ๓. แบง่ ตามระดบั การสือ่ สาร หรอื สอ่ื ระหวา่ งบุคคล โทรทัศน์ ภาพยนตร์จานวนผู้รับสาร สือ่ ในกลมุ่ วดี ทิ ัศน์ สื่อสารมวลชน โทรศัพท์ จดหมาย สื่อด้ังเดิม ไมโครโฟน โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์๔. แบ่งตามยุคสมยั สื่อร่วมสมัย เสียงกลอง ควันไฟ สื่ออนาคต โทรศพั ท์ โทรทัศน์ เคเบลิ วดี โิ อเทกซ์ สื่อธรรมชาติ อากาศ แสง เสยี ง สอ่ื มนษุ ย์หรือส่อื บุคคล คนส่งของ ไปรษณยี ์ โฆษก หนังสือ นิตยสาร ใบปลวิ๕. แบง่ ตามลักษณะของส่ือ สื่อส่ิงพมิ พ์ วิทยุ วดี ิทศั น์ สอ่ื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ ศิลาจารึก สอื่ พนื้ บ้าน หนงั สือ ใบข่อย ส่ือระคน จดหมายเวียน โทรศัพท์๖. แบง่ ตามการใชง้ าน สื่อสาหรับงานทัว่ ไป วารสาร จดุ สาร วดี ิทัศน์ สื่อเฉพาะกจิ๗. แบ่งตามการมสี ว่ นรว่ ม การพดูของผู้รบั สาร สอ่ื รอ้ น การอ่าน สือ่ เยน็๑๓ สาขาวชิ าภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ลาปาง
ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร ส่ื อ ส า ร | ๑๔THAI FOR COMMUNICATION ๓. อปุ สรรคการส่อื สาร การส่ือสารท่ีไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้น้ัน อาจมาจากปัจจัยต่างๆด้วยกัน ซึ่งอาจเรียกได้ ว่า“เป็นปัญหาของการสื่อสาร” หรือ “อุปสรรคของการสื่อสาร” มนุษย์ใช้ภาษาเพ่ือสื่อความหมายท้ังทางตรงและทางอ้อม ส่วนผู้รับสารจะเข้าใจหรือไม่น้ันก็ถือได้ว่า เป็นอุปสรรคของการส่ือสาร เช่นกัน ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงอปุ สรรคของการสอื่ สารเพอื่ ใหเ้ กดิ แนวความคดิ เก่ียวกับการแก้ไขในลาดับต่อไป ก. ปัจจัยภายใน หมายถึง สาเหตุท่ีมาจากภายในองค์ประกอบของการสื่อสารเองทั้ง ผู้ส่งสารผูร้ บั สาร สารและสอ่ื เชน่ ๑) ความบกพร่องของผู้ส่งสาร ได้แก่ ผู้ส่งสารขาดคุณสมบัติบางประการ เช่น อุปกรณ์ในชอ่ งปากไม่สมบรู ณ์ ความอคติของผสู้ ่งสาร และความเข้าใจผดิ เกีย่ วกบั สารน้นั ๆ เปน็ ตน้ ๒) ความบกพร่องของสาร ได้แก่ ความยากง่ายของสารท่ีส่ง ความซับซ้อนของสารและสารทีก่ ากวม เป็นต้น ๓) ความบกพร่องของสื่อหรือช่องทางการสื่อสาร ได้แก่ ความเส่ือมโทรมของสื่อสอ่ื ไมท่ นั สมัย และส่อื มอี ย่อู ย่างจากัด เป็นต้น ๔) ความบกพร่องของผู้รับสาร ได้แก่ ผู้รับสารขาดความรู้ความเข้าใจของสารความมอี คตขิ องผรู้ ับสาร และความผดิ ปกตขิ องอปุ กรณ์การรบั สาร เช่น หหู นวก หูตึง หรอื ตาบอด เปน็ ตน้ ข. ปัจจัยภายใน หมายถึง สาเหตุที่มาจากค่านิยม ความเช่ือ วัฒนธรรม สังคม รวมถึงสภาพแวดล้อม และปรากฏการณธ์ รรมชาติ ซง่ึ มีผลกระทบต่อกระบวนการส่ือสารท้งั ผ้สู ่งสาร ผรู้ ับสาร สารและสื่อเช่น ๑) ความบกพร่องของผู้ส่งสาร ได้แก่ เสียงดังจากภายนอกทาให้ผู้ส่งสารไม่สามารถส่งสารได้ เปน็ ต้น ๒) ความบกพร่องของสาร ได้แก่ ค่านิยมของคนในสังคมที่ทาใหส้ ารล่าสมัยหรือทาให้ไม่เข้าใจสาร เช่น คนไทยภาคกลางเรียกเวลา ๐๘.๐๐ น. ว่า สองโมง ส่วน สองโมงของคนไทยภาคเหนือกลับหมายถึง ๑๔.๐๐ น. เป็นต้น ๓) ความบกพรอ่ งของสื่อหรอื ช่องทางการส่ือสาร ได้แก่ ความลบเลือนของป้ายประกาศจึงทาใหใ้ จความของสารเสียไป เป็นตน้ ๔) ความบกพร่องของผู้รับสาร ได้แก่ สภาพอากาศหรือบรรยากาศที่มีผลต่อร่างกายจึงทาให้ไมพ่ ร้อมต่อการรับสาร เปน็ ต้น๑๔ สาขาวิชาภาษาไทย คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลาปาง
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: