การสอนภาษาไทยตามแนวทางขอ้ สอบ PISA-Like และ O-NETสาขาวิชาภาษาไทย คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ลาปาง การสอนภาษาไทยตามแนวขอ้ สอบ PISA-LikeและO-NET โมดูลท่ี ๑ ความเขา้ ใจเบ้อื งตน้ เก่ยี วกบั การทดสอบแบบ PISA และ O-NET
โมดูลท่ี ๑ ความเขา้ ใจเบ้อื งตน้ เก่ยี วกบั การทดสอบแบบ PISA และ O-NET วาทติ ธรรมเช้อื ๑ความนา โมดูลท่ี ๑ น้ีมคี วามมงุ่ หมายเพอ่ื สรา้ งความรูแ้ ละความเขา้ ใจพ้นื ฐานเก่ยี วกบั การทดสอบแบบ PISA และ O-NETไดแ้ ก่ ความเป็นมาของโครงการ PISA และการทดสอบระดบั ชาติ O-NET เม่อื ผูเ้ ขา้ อบรมจบโมดูลน้ีแลว้ ผูเ้ ขา้ อบรมสามารถอธบิ ายความสาคญั ลกั ษณะ ทงั้ สามารถสรุปรูปแบบการทดสอบต่างๆได้๑. ความเป็นมาของโครงการ PISA โครงการ PISA หรือช่ือเต็มคือ Programme for International Student Assessment เป็นโครงการประเมนิ ผลนกั เรียนร่วมกบั นานาชาติ ซ่งึ เป็นการประเมนิ ผลโดยองคก์ ารเพ่ือความร่วมมอื ทางเศรษฐกิจและการพฒั นา(Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ OECD) มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ประเมนิ คุณภาพระบบการศึกษาในการเตรยี มความพรอ้ มใหป้ ระชาชนมศี กั ยภาพหรอื ความสามารถพ้นื ฐานทจ่ี าเป็นต่อการดารงชวี ติ ในโลกท่ีมกี ารเปลย่ี นแปลง โดยมงุ่ เนน้ การประเมนิ เก่ยี วกบั การใชค้ วามรูแ้ ละทกั ษะในชีวติ จริงมากกว่าการเรียนรูต้ ามหลักสูตรในโรงเรยี นซง่ึ มปี ระเทศทเ่ี ขา้ ร่วมโครงการมากกวา่ ๗๐ ประเทศ โครงการ PISA ประเมนิ สมรรถนะหรือเรียกว่า Literacy ทง้ั หมด ๓ ดา้ น คือ การรูเ้ ร่ืองการอ่าน (ReadingLiteracy) การรูเ้ ร่ืองคณิตศาสตร์ (Mathematical Literacy) และการรูเ้ ร่ืองวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy)ประเทศไทยเขา้ ร่วมโครงการวจิ ยั น้ีตงั้ แต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๓ (PISA ๒๐๐๐) และดาเนินการต่อเน่ืองมาใน PISA ๒๐๐๓, PISA๒๐๐๖, PISA ๒๐๐๙ และ PISA ๒๐๑๒ โดยจดั การประเมนิ ต่อเน่ืองทุกสามปี ปจั จุบนั ประเทศไทยอยู่ในระยะท่ี ๓ หรือเรยี กว่า PISA ๒๐๑๘ การประเมนิ ผลของโครงการ PISA นน้ั เนน้ ท่กี ลุ่มเป้าหมาย คือ นกั เรียนท่มี อี ายุ ๑๕ ปีข้นึ ไป หรือตง้ั แต่ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาชนั้ ปีท่ี ๑ ข้นึ ไป จากทกุ สงั กดั ทวั่ ประเทศ ประเทศไทยไม่ใช่สมาชกิ OECD แต่สมคั รเขา้ ร่วมโครงการในฐานะประเทศร่วมโครงการ (Partner countries)เพ่อื ตอ้ งการตรวจสอบคุณภาพของระบบการศึกษา และสมรรถนะของนกั เรียนวยั จบการศึกษาภาคบงั คบั ของชาติเก่ยี วกบั ๑ อาจารยป์ ระจาสาขาวชิ าภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลาปาง รองผูอ้ านวยการสานกั ศิลปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลาปาง ๑
ความรูแ้ ละทกั ษะท่จี าเป็นสาหรบั อนาคต โดยใชม้ าตรฐานของประเทศท่พี ฒั นาแลว้ เป็นเกณฑช์ ้ีวดั ผลสมั ฤทธ์ิจากการทาแบบทดสอบและขอ้ มูลเก่ียวกบั ตวั นกั เรียน รวมทง้ั ขอ้ มูลนโยบาย การบริหารจดั การ และการจดั การเรียนการสอนจากผูบ้ ริหารของโรงเรียนทาใหไ้ ดข้ อ้ มูลคุณภาพการศึกษาของประเทศทง้ั น้ีเพ่ือนาไปสู่การประเมินและพฒั นานโยบายทางการศึกษาการพฒั นาหลกั สูตร การพฒั นาครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมไปถงึ การจดั การเรยี นการสอนของประเทศใหม้ ีคุณภาพทดั เทยี มกบั นานาชาติต่อไป สาหรบั หน่วยงานท่ดี าเนินงานเก่ียวกบั โครงการ PISA นน้ั ไดม้ อบหมายใหส้ ถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธิการ เป็นผูด้ าเนินโครงการ PISA ในประเทศไทย โดยประสานความร่วมมอื กบัหน่วยงานภายนอกทง้ั ในและต่างประเทศเพ่อื ใหก้ ารดาเนินงานเป็นไปอย่างเตม็ ประสทิ ธภิ าพและบรรลุเป้าหมาย สาหรบั การดาเนินงานภายในประเทศ สสวท. ไดแ้ ต่งตง้ั คณะกรรมการระดบั ชาติ ซ่งึ ประกอบไปดว้ ยผูแ้ ทนจากสานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธกิ าร สานกั งานเลขาสภาการศึกษา สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน สานกั งานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนสานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สานกั การ ศึกษากรุงเทพมหานคร และสานกั ประสานและพฒั นาการจดั การศึกษาทอ้ งถน่ิ กรมการปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ กระทรวงมหาดไทยโดยมบี ทบาทหนา้ ทใ่ี นการใหค้ าปรกึ ษา ขอ้ เสนอแนะ และตดิ ต่อประสานงานกบั โรงเรยี นกลมุ่ ตวั อยา่ ง๒. การทดสอบระดบั ชาติ O-NET การทดสอบทางการศึกษาระดบั ชาตขิ นั้ พ้นื ฐานหรอื Ordinary National Educational Test (O-NET) คือการทดสอบทางการศึกษาระดบั ชาตขิ น้ั พ้นื ฐาน เป็นการทดสอบเพ่อื วดั ความรูแ้ ละความคิดของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี๖ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๓ และชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ ประเมนิ ตามมาตรฐานการเรียนรูใ้ นหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ จานวน ๕๑ มาตรฐานการเรยี นรู้ ครอบคลุม ๕ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ไดแ้ ก่ ภาษาไทยคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม และภาษาองั กฤษ ส่วนวตั ถุประสงค์ O-NET คือเพ่อื ทดสอบความรูแ้ ละความคิดของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี ๖ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๓ และชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ประการต่อมา คือ เพ่อื นาผลการทดสอบไปใชเ้ ป็นองคป์ ระกอบหน่ึงในการจบการศึกษา ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ อกี ประการหน่ึง คือ เพอ่ื นาผลการทดสอบไปใชใ้ นการปรบั ปรุงคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรยี นรวมทงั้ เพอ่ื นาผลการทดสอบไปใชใ้ นการประเมนิ ผลการเรยี นรูข้ องนกั เรียนระดบั ชาติ และประการสุดทา้ ยเพ่อืนาผลการทดสอบไปใชใ้ นวตั ถปุ ระสงคอ์ ่นื ซ่งึ เป็นการทดสอบความรูท้ างการศึกษาในระดบั ชาตขิ น้ั พ้นื ฐานของผูเ้รยี นทุกคนทุกสงั กดั ท่ีกาลงั ศึกษาในชนั้ ปีสุดทา้ ย คือ ป.๖ ม.๓ และม.๖ ดาเนินการโดย สถาบนั ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ ๒
(องคก์ ารมหาชน) หรอื สทศ. หรอื NIETS ปจั จุบนั (พ.ศ. ๒๕๖๑) นกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี ๖ และ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๓ไดล้ ดการสอบวชิ าสงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ส่วนกลมุ่ สาระการเรยี นรูอ้ น่ื ยงั คงสอบเหมอื นเดมิ๓. ความสมั พนั ธร์ ะหว่างโครงการ PISA และ การทดสอบระดบั ชาติ O-NET โครงการ PISA และการทดสอบระดบั ชาติ O-NET มีความสมั พนั ธก์ นั อยู่ประการหน่ึง คือ O-NET มีการปรบั เปลย่ี นรูปแบบของแบบทดสอบใหม้ ลี กั ษณะเป็น PISA มากข้นึ กล่าวคือ ตงั้ แต่เดอื นกุมภาพนั ธ์ พ.ศ.๒๕๕๙ เป็นตน้ไป สทศ.จะไดร้ ่วมกบั สพฐ. สสวท. และหน่วยงานทเ่ี ก่ยี วขอ้ งจดั ทาขอ้ สอบ O-NET ทเ่ี นน้ การวดั สมรรถนะของผูเ้รยี นในแต่ละช่วงชน้ั ว่ามีความเขา้ ใจมากนอ้ ยเพียงใด และรูจ้ กั นาไปใช้ ไม่ใช่เพียงแต่ท่องจา ซ่ึงการจดั ทาขอ้ สอบ O-NET น้ีจะดาเนินการตามกรอบแนวคิดในการวดั สมรรถนะผูเ้รียนแบบเดยี วกบั PISA ทงั้ ระดบั ประถมศึกษาปีท่ี ๖ มธั ยมศึกษาปีท่ี๓ และมธั ยมศึกษาปีท่ี ๖ อาจกลา่ วโดยสรุปไดว้ ่า การทดสอบระดบั ชาติ O-NET มกี ารปรบั เปลย่ี นการสอบจาก ๘ กลุ่มสาระการเรียนรูม้ าเป็น ๕ กลุ่มสาระการเรียนรู้ และปรบั เปล่ยี นรูปแบบของขอ้ สอบเป็นแบบ PISA สาหรบั เป้าหมายในปีพ.ศ. ๒๕๖๑ นกั เรยี นจะตอ้ งไดค้ ะแนน O-NET รอ้ ยละ ๕๐ จาก ๕ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ และมคี ะแนนทดสอบแบบ PISAอยูท่ ่ี ๕๐๐ คะแนนจาก ๓ สมรรถนะ จากท่กี ล่าวมาในขา้ งตน้ อาจทาใหเ้หน็ ภาพของความสมั พนั ธร์ ะหว่างทงั้ ๒ โครงการ ดงั น้ี ประการแรก โครงสรา้ งของการทดสอบ O-NET มี ๕ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ คอื ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตรแ์ ละสงั คมศึกษาศาสนา และวฒั นธรรม ส่วนการทดสอบ PISA มี ๓ สมรรถนะ คือ การรูเ้ ร่ืองการอ่าน การรูเ้ ร่ืองคณิตศาสตร์ และการรู้เร่อื งวทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ จะเห็นความทบั ซอ้ นโครงสรา้ งของแบบทดสอบทง้ั ๒ โครงการ คือ การรูเ้ ร่อื งการอ่าน (PISA) อยู่ในกลุม่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย (O-NET) การรูเ้ ร่อื งคณิตศาสตร์ (PISA) อยู่ในกลุ่มสาระการเรยี นรูค้ ณิตศาสตร์ (O-NET)และการรูเ้รอ่ื งวทิ ยาศาสตร์ (PISA) อยูใ่ นกลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ (O-NET) (จะอธบิ ายในโมดูลถดั ไป) ฉะนน้ั การจดั การเรียนรูต้ ามแนวขอ้ สอบ PISA และ O-NET จึงตอ้ งทาใหม้ ีความสอดคลอ้ งเพ่ือใหผ้ ูเ้ รียนสามารถเรยี นรูแ้ ละนาไปใชใ้ นอนาคตได้ ซง่ึ อาจสรุปดว้ ยแผนภาพองคป์ ระกอบการจดั การเรยี นรูด้ งั น้ี หลกั สูตรการวดั ผล การจดั การประเมนิ ผล เรียนรู้ ๓
๔. PISA ประเมนิ อยา่ งไร แบบทดสอบของ PISA มคี วามน่าสนใจและทา้ ทาย โดยมหี ลากหลายสถานการณ์ในชีวิตจริงใหน้ กั เรียนอ่านในหน่ึงสถานการณ์อาจมหี ลายคาถามและหลากหลายรูปแบบในการตอบคาถาม ไดแ้ ก่ เลือกตอบ เขยี นตอบสน้ั ๆ หรืออธิบายเหตุผล ในการประเมนิ ท่ผี ่านมา นกั เรยี นจะทาขอ้ สอบในเล่มแบบทดสอบ แต่สาหรบั PISA ๒๐๑๕ มรี ูปแบบการประเมนิ ท่เี ปล่ยี นไป โดยนกั เรียนตอ้ งใชค้ อมพิวเตอรใ์ นการทาแบบทดสอบ โดยคลกิ เลอื กตอบพมิ พค์ าตอบ ใชเ้ มาสล์ ากและวางคาตอบ หรือคลิกเลอื กคาตอบจากรายการท่ีกาหนดให้ การประเมินของ PISA ใชเ้ วลาสองชวั่ โมงในการทาแบบทดสอบ และใชเ้วลาอกี ประมาณหน่ึงชวั่ โมงเพอ่ื ตอบแบบสอบถามเกย่ี วกบั ตวั นกั เรียนและการเรยี น๕. การรูเ้ รอ่ื งการอา่ นของ PISA การอ่านเป็นกระบวนการเร่มิ ตน้ ของการเรยี นรู้ และเป็นการขยายความรูแ้ ละทกั ษะทแ่ี ต่ละบคุ คลพฒั นาข้นึ เพอ่ื ใช้ในการเรยี นรูต้ ลอดชวี ติ สว่ นการรูเ้ร่อื งการอ่าน (Reading Literacy) หมายถงึ ความสามารถทจ่ี ะทาความเขา้ ใจเก่ยี วกบั สง่ิท่ไี ดอ้ ่าน สามารถนาไปใช้ สะทอ้ นออกมาเป็นความคิดเห็นของตนเอง และมคี วามรกั และผูกพนั กบั การอ่านเพ่ือพฒั นาความรู้ ศกั ยภาพ และการมสี ่วนร่วมในสงั คม ในแบบทดสอบของ PISA นกั เรยี นจะไดอ้ ่านเน้ือเร่อื งจากสอ่ื สง่ิ พมิ พแ์ ละสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนิกสใ์ นรูปแบบทห่ี ลากหลายการท่ีจะอ่านและทาความเขา้ ใจในเร่ืองท่ีอ่านอย่างลึกซ้ึงไดน้ นั้ ตอ้ งอาศยั สมรรถนะการอ่านทง้ั สามดา้ น ทงั้ การคน้ หาสาระสาคญั การทาความเขา้ ใจและตีความเน้ือเร่ือง และการประเมินส่ิงท่ีไดอ้ ่าน ซ่ึงในบางครง้ั ตอ้ งนาความรูอ้ ่ืนๆนอกเหนือจากเน้ือเร่อื งมาเช่อื มโยงกบั สาระสาคญั ภายในเร่อื งทไ่ี ดอ้ ่านแลว้ มาพจิ ารณาร่วมกนั และสะทอ้ นสง่ิ ทไ่ี ดอ้ ่านออกมาตามความคดิ ของตนอยา่ งสมเหตสุ มผล ๕.๑ สมรรถนะการอา่ น PISA คาดหวงั ใหน้ กั เรยี นแสดงความสามารถในการอ่าน ดงั น้ี ๕.๑.๑ การเขา้ ถงึ และคน้ คืนสาระ ผูเ้ รียนจะสามารถรูข้ อบเขตของขอ้ มูลว่า ขอ้ มลู ท่เี ราตอ้ งการอยู่ในตาแหน่งใดของเร่อื งทอ่ี ่าน และจาแนกความเหมอื นและความแตกต่างของขอ้ มลู ทม่ี อี ยูใ่ นเน้ือเร่อื ง ๕.๑.๒ การบูรณาการและตคี วาม ผูเ้ รยี นจะสามารถแสดงความเขา้ ใจโดยสามารถระบคุ วามสาคญั หรือจุดประสงคข์ องเร่อื ง อีกทงั้ เช่ือมโยงส่วนต่างๆ ของขอ้ มลู ท่หี ลากหลาย เพ่อื ทาใหเ้ กิดความเขา้ ใจเร่ืองท่อี ่าน และตีความเน้ือเร่อื งเพอ่ื นาไปสูค่ วามเขา้ ใจในสง่ิ ทอ่ี ่านไดล้ กึ ซ้งึ ยง่ิ ข้นึ ๕.๑.๓ การสะทอ้ นและการประเมนิ ผูเ้ รียนจะสามารถวเิ คราะหเ์ น้ือเร่ือง รูปแบบ และวธิ ีการเขยี นของเรอ่ื งทอ่ี ่านและสามารถประเมนิ แสดงความคิดเหน็ และใหข้ อ้ โตแ้ ยง้ จากมมุ มองของตนเองได้ ๔
๕.๒ กรอบการประเมนิ การรูเ้ ร่อื งการอา่ นของ PISA ๕.๒.๑ การใชเ้ ฉพาะเน้ือหาภายในเร่ืองท่อี ่าน ซ่งึ ในขนั้ ตอนน้ีผูเ้ รียนจะตอ้ งใช้ ๒ สมรรถนะเพ่อื แสดงความสามารถในการอ่าน คือ การเขา้ ถงึ และคน้ คืนสาระ และการบูรณาการและการตคี วาม กล่าวคือ การเขา้ ถงึ และคน้ คืนสาระ ผูเ้ รียนจะตอ้ งคน้ หาสาระสาคญั ของเน้ือความใหไ้ ด้ การคน้ หาสาระสาคญั หมายถงึ การอ่านเพ่อื จบั ใจความสาคญัผูเ้รยี นแต่ละระดบั มคี วามสามารถจบั ใจความสาคญั ทแ่ี ตกต่างกนั เช่น ระดบั ประถมศึกษาปีท่ี ๓ สามารถบอกไดว้ ่า ใคร ทาอะไร ทไ่ี หน สว่ นระดบั ประถมศึกษาปีท่ี ๖ จะสามารถบอกเพม่ิ ไดว้ า่ ใคร ทาอะไร ทไ่ี หน และอยา่ งไร ไดเ้ป็นตน้ ส่วน การบูรณาการตีความนนั้ หมายถึง การสรา้ งความเขา้ ใจภาพรวม และการตีความเน้ือเร่ือง คือผูเ้รยี นตอ้ งสามารถบอกไดว้ ่า เน้ือเร่อื งทง้ั หมดนนั้ มคี วามมงุ่ หมายใด (อาจบอกถงึ ความมงุ่ หมายของการแต่ง บอกความรูส้ กึของผูเ้ขยี น) และสามารถตคี วามเน้ือเร่อื งได้ ๕.๒.๒ การดึงความรูน้ อกเน้ือเร่ืองเขา้ มาใชด้ ว้ ย คือ ผูเ้ รียนตอ้ งใชส้ มรรถนะการสะทอ้ นและประเมินเพ่อื สะทอ้ นและประเมนิ เน้ือหาสาระได้ และเพ่อื สะทอ้ นและประเมนิ รูปแบบและวธิ ีการเขยี น ในส่วนน้ีผูเ้ รยี นตอ้ งสา มารถบอกวธิ กี ารเขยี นหรอื รูปแบบการเขยี นทจ่ี ะนาไปสูก่ ารประเมนิ คุณค่าของเน้ือเร่อื ง ๕
กจิ กรรมท่ี ๑ การเปรยี บเทยี บ กบั สาระการเรยี นตวั ช้ีวดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลางสาระท่ี ๑ การอา่ นมาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอ่านสรา้ งความรูแ้ ละความคิดเพอ่ื นาไปใชต้ ดั สนิ ใจ แระดบั ชน้ั ตวั ช้ีวดัป.๑ ๓. ตอบคาถามเก่ยี วกบั เรอ่ื งทอ่ี ่าน ๔. เลา่ เร่อื งย่อจากเรอ่ื งทอ่ี ่าน ๕. คาดคะเนเหตกุ ารณจ์ ากเรอ่ื งทอ่ี ่าน ๗. บอกความหมายของเครอ่ื งหมาย หรอื สญั ลกั ษณ์สาคญั ทม่ี กั พบเหน็ ใ ชวี ติ ประจาวนั
การสอนภาษาไทยตามแนวทางขอ้ สอบ PISA-Like และ O-NETบความสอดคลอ้ งหลกั สูตรกลมุ่ แกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑นรูภ้ าษาไทยกบั เกณฑก์ ารจาแนกระดบั ความรูแ้ ละทกั ษะการอา่ นของ PISAแกป้ ญั หาในการดาเนินชวี ติ และมนี ิสยั รกั การอ่าน กลยุทธก์ ารอา่ น PISA สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง เน้ือหาการอา่ น ตามหลกั สูตร การอ่านจบั ใจความจากส่ือ - การอ่านจบั ต่างๆ เช่น นิทาน เร่ืองสน้ั ๆ ใจความสาคญั บทร้องเล่นและบทเพล ง - การคาดคะเน เร่ืองราวจากบทเรียนในกลุ่ม จากเรอ่ื งทอ่ี ่าน สาระการเรียนรูภ้ าษาไทยและ กลมุ่ สาระการเรยี นรูอ้ น่ืใน การอ่านเคร่ืองหมายหรือ - การอ่านแปล สัญลักษณ์ ประกอบด้ว ย ความ ตคี วาม เคร่ืองหมายสญั ลกั ษณ์ต่างๆ ท่ีพบเห็นในชีวิตประจาวัน เคร่ือ งหมา ยแสด งคว า ม ปลอดภยั และแสดงอนั ตราย
ระดบั ชน้ั ตวั ช้ีวดัป.๒ ๓. ตง้ั คาถามและตอบคาถามเก่ยี วกบั เร่อื งทอ่ี ่าน ๔. ระบใุ จความสาคญั และรายละเอยี ดจากเร่อื งทอ่ี ่าน ๕. แสดงความคิดเหน็ และคาดคะเนเหตกุ ารณจ์ ากเร่อื งทอ่ี ่าน ๗. อ่านขอ้ เขยี นเชงิ อธิบาย และปฏบิ ตั ิตามคาสงั่ หรอื ขอ้ แนะนา
สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง เน้ือหาการอา่ น กลยทุ ธก์ ารอา่ น ตามหลกั สูตร PISA การอ่านจบั ใจความจากส่ือ - การตอบคาถามต่างๆ เช่น นิทาน เร่ืองเล่าสนั้ จากเรอ่ื งทอ่ี ่านๆ - การอ่านจบับทเพลงและบทรอ้ ยกรอง ใจความสาคญัง่ายๆเร่ืองราวจากบทเรียนใน - การอ่านเพอ่ืกลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทย แสดงความและกลุ่มสาระการเรียนรูอ้ ่ืน คิดเหน็ขา่ วและเหตกุ ารณป์ ระจาวนั การอ่านขอ้ เขียนเชิงอธิบาย - ขอ้ คดิ และและปฏิบัติตามคาสัง่ หรือ ประโยชนท์ ่ไี ดจ้ ากขอ้ แนะนา การใช้สถานท่ี การอ่านสาธารณะ คาแนะนาการใช้เคร่ืองใชท้ ่ีจาเป็นในบา้ นและในโรงเรยี น ๗
ระดบั ชน้ั ตวั ช้ีวดัป.๓ ๓. ตงั้ คาถามและตอบคาถามเชิงเหตผุ ลเก่ยี วกบั เร่อื งทอ่ี ่าน ๔. ลาดบั เหตกุ ารณแ์ ละคาดคะเนเหตกุ ารณจ์ ากเร่อื งทอ่ี ่านโดยระบเุ หตผุ ล ประกอบ ๕. สรุปความรูแ้ ละขอ้ คดิ จากเร่ืองทอ่ี ่านเพอ่ื นาไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ๗. อ่านขอ้ เขยี นเชงิ อธิบายและปฏบิ ตั ติ ามคาสงั่ หรอื ขอ้ แนะนา ๘. อธบิ ายความหมายของขอ้ มลู จากแผนภาพ แผนท่ี และแผนภมู ิ
สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง เน้ือหาการอา่ น กลยุทธก์ ารอา่ น ตามหลกั สูตร PISAการอ่านจบั ใจความจากส่ือ - การอ่านจบัล ต่างๆ เช่น นิทานหรือเร่ือง ใจความสาคญัเก่ยี วกบั ทอ้ งถน่ิ เร่ืองเล่าสนั้ ๆ - การอ่านประเมนิบทเพลงและบทรอ้ ยกรอง ค่าบทเรียนในกลุ่มสาระการ - การอ่านในเรียนรูอ้ ่ืน ข่าวและเหตุการณ์ ชวี ติ ประจาวนัในชีวิตประจาวนั ในทอ้ งถ่ินและชมุ ชนการอ่านขอ้ เขียนเชิงอธิบาย - ขอ้ คิดและและปฏิบัติตามคาสัง่ หรือ ประโยชนท์ ่ไี ดจ้ ากขอ้ แนะนา คาแนะนาต่างๆ ใน การอ่านชีวิตประจาวนั ประกาศ ป้ายโฆษณา และคาขวญัการอ่านขอ้ มลู จาก - การอ่านแปลแผนภาพ แผนท่ี และแผนภมู ิ ความและตคี วาม ๘
ระดบั ชน้ั ตวั ช้ีวดัป.๔ ๓. อ่านเรอ่ื งสนั้ ๆ ตามเวลาทก่ี าหนดและตอบคาถามจากเร่อื งทอ่ี ่าน ๔. แยกขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ คิดเหน็ จากเร่อื งทอ่ี ่าน ๕. คาดคะเนเหตุการณจ์ ากเร่อื งทอ่ี ่านโดยระบเุ หตผุ ลประกอบ ๖. สรุปความรูแ้ ละขอ้ คดิ จากเร่อื งทอ่ี ่าน
สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง เน้ือหาการอา่ น กลยุทธก์ ารอา่ น ตามหลกั สูตร PISA การอ่านจบั ใจความจากส่ือ - การอ่านจบัต่างๆ เช่น เร่ืองสน้ั ๆ เร่ือง ใจความสาคญัเล่าจากประสบการณ์ นิทาน - การอ่านชาดกบทความ บทโฆษณา วเิ คราะห์ วจิ ารณ์งานเขยี นประเภทโนม้ นา้ วใจ - การอ่านอย่างมี วจิ ารณญาณ - การอ่านสรุป ความ ๙
ระดบั ชน้ั ตวั ช้ีวดัป.๕ ๔. แยกขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ คดิ เหน็ จากเรอ่ื งทอ่ี ่าน ๕. วเิ คราะหแ์ ละแสดงความคิดเหน็ เก่ยี วกบั เรอ่ื งทอ่ี ่านเพอ่ื นาไปใช้ ในก ดาเนินชวี ติ ๖. อ่านงานเขยี นเชงิ อธบิ าย คาสงั่ ขอ้ แนะนา และปฏบิ ตั ิตาม ๗. อ่านหนงั สอื ทม่ี คี ุณค่าตามความสนใจอย่างสมา่ เสมอและแสดงความค เก่ยี วกบั เร่อื งทอ่ี ่าน
สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง เน้ือหาการอา่ น กลยุทธก์ ารอา่ น PISA ตามหลกั สูตรการอ่านจบั ใจความจากส่ือ - การอ่านจบัการ ต่ า ง ๆ เ ช่ น ว ร ร ณ ค ดีใ น ใจความสาคญับทเรียนบทความ บทโฆษณา - การอ่านงานเขียนประเภทโนม้ นา้ วใจ วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ขา่ วและเหตกุ ารณป์ ระจาวนั - การอ่านอย่างมี วจิ ารณญาณก า ร อ่ า น ง า น เ ขีย น เ ชิ ง - ขอ้ คดิ และอธิบาย คาสงั่ ขอ้ แนะนา และ ประโยชนท์ ่ไี ดจ้ ากปฏิบตั ิตาม เช่น การใช้ การอ่านพจนานุ กรม การใช้วัส ดุ - การอ่านในอุปกรณ์ การอ่านฉลากยา ชวี ติ ประจาวนัคู่มอื และเอกสารของโรงเรียนท่ี เ ก่ี ย ว ข้อ ง กับ นัก เ รี ย นขา่ วสารทางราชการคดิ เหน็ การอ่านหนังสือตามความ - การอ่านประเมนิสนใจ เช่น หนงั สอื ทน่ี กั เรียน ค่าสนใจและเหมาะสมกับวัย - การอ่านเพอ่ืหนังสือท่ีครูและนักเรียน แสดงความกาหนดร่วมกนั คิดเหน็ ๑๐
ระดบั ชน้ั ตวั ช้ีวดัป.๖ ๓. อ่านเรอ่ื งสน้ั ๆ อยา่ งหลากหลาย โดยจบั เวลาแลว้ ถามเก่ยี วกบั เรอ่ื งท ๔. แยกขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ คิดเหน็ จากเร่อื งทอ่ี ่าน ๕. อธบิ ายการนาความรูแ้ ละความคิด จากเรอ่ื งทอ่ี ่านไปตดั สนิ ใจแกป้ ญั ห การดาเนินชวี ติ ๖. อ่านงานเขยี นเชงิ อธิบาย คาสงั่ ขอ้ แนะนา และปฏบิ ตั ติ าม ๗. อธบิ ายความหมายของขอ้ มลู จากการอ่านแผนผงั แผนท่ี แผนภมู ิ แ กราฟ
สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง เน้ือหาการอา่ น กลยทุ ธก์ ารอา่ น PISA ตามหลกั สูตรทอ่ี ่าน - การอ่านจบั ใจความจากส่อื - การอ่านจบัต่างๆ เช่น เร่ืองสนั้ ๆ นิทาน ใจความสาคญัหา ใน และเพลงพ้นื บา้ น บทความ - การอ่านเรว็พระบรมราโชวาท สารคดี - การอ่านอย่างมีเรอ่ื งสนั้ งานเขยี นประเภท วจิ ารณญาณโนม้ นา้ ว บทโฆษณา ข่าว - การอ่านเพอ่ื การและเหตกุ ารณส์ าคญั ประเมนิ ค่า- การอ่านเรว็ก า ร อ่ า น ง า น เ ขีย น เ ชิ ง - ขอ้ คิดและอธิบาย คาสงั่ ขอ้ แนะนา และ ประโยชนข์ องสง่ิ ท่ีปฏิบตั ิตามการใชพ้ จนานุกรม อ่านก า ร ป ฏิบัติ ต น ใ น ก า ร อ ยู่ร่วมกนั ในสงั คมขอ้ ตกลงในการอยู่ร่วมกนั ในโรงเรยี น และการใชส้ ถานท่ีสาธารณะในชมุ ชนและทอ้ งถน่ิและ การอ่านขอ้ มูลจากแผนผงั - การอ่านแปลแผนท่ี แผนภมู ิ และกราฟ ความและตคี วาม ๑๑
๘. อ่านหนงั สอื ตามความสนใจ และอธบิ ายคุณค่าทไ่ี ดร้ บั
การอ่านหนงั สอื ตามความ - ขอ้ คิดและสนใจ เช่น หนงั สือท่ีนกั เรียน ประโยชนข์ องสง่ิ ท่ีสนใจและเหมาะสมกับวัย อ่านหนงั สืออ่านท่ีครูและนกั เรียนกาหนดร่วมกนั ๑๒
ระดบั ชน้ั ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นร ม.๑ ๒. จบั ใจความสาคญั จากเร่อื งทอ่ี ่าน การอ่านจับใจค ๓.ระบุเหตุและผล และขอ้ เท็จจริงกับ ต่ า ง ๆ เ ช่ น เ ร่ื ขอ้ คดิ เหน็ จากเร่อื งทอ่ี ่าน ประสบการณ ๔.ระบุและอธิบายคาเปรียบเทียบ และคาท่ีมี บ ท ส น ท น า นิ หลายความหมายในบรบิ ทต่างๆ จากการอ่าน วรรณคดีในบทเรีย ๕. ตีความคายากในเอกสารวิชาการ โดย เชงิ สรา้ งสรรค์ บทค พจิ ารณาจากบรบิ ท บนั เทงิ คดี เอกสาร ๖. ระบุขอ้ สงั เกตและความสมเหตสุ มผลของ มีคา ประโยค แล งานเขยี นประเภทชกั จูง โนม้ นา้ วใจ ต้องใช้บริบทช่ ว ความหมาย งานเ ชกั จูง โนม้ นา้ วใจเช ๗. ปฏบิ ตั ิตามคู่มอื แนะนาวธิ กี ารใชง้ านของ ก า ร อ่ า น แ ล ะ เครอ่ื งมอื หรอื เครอ่ื งใชใ้ นระดบั ทย่ี ากข้นึ เอกสารคู่มอื ๘. วเิ คราะหค์ ุณค่าท่ไี ดร้ บั จากการอ่านงาน การอ่านหนังส เขยี นอย่างหลากหลายเพอ่ื นาไปใชแ้ กป้ ญั หา สนใจ เช่น หนงั ในชวี ติ สนใจและเหมาะสม
รูแ้ กนกลาง เน้ือหาการอา่ นตามหลกั สูตร กลยุทธก์ ารอา่ น PISAความจากส่ือ - การอ่านจบั ใจความสาคญั อ ง เ ล่ า จ า ก - การอ่านอยา่ งมวี จิ ารณญาณณ์ เ ร่ื อ ง ส้ั น - การอ่านตคี วาม ทานชาดก ยน งานเขียน ความ สารคดีรทางวชิ าการท่ี ละขอ้ ความท่ี ว ย พิ จ า ร ณ าเขียนประเภทชงิ สรา้ งสรรค์ะ ป ฏิบัติต า ม - ขอ้ คิดและประโยชนท์ ไ่ี ดจ้ าก การอ่าน - การอ่านในชวี ติ ประจาวนัสือตามความ - การอ่านวเิ คราะห์งสือท่ีนกั เรียน - ขอ้ คดิ และประโยชนท์ ไ่ี ดจ้ ากมกบั วยั การอ่าน ๑๓
ระดบั ชน้ั ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นร ม.๒ ๒. จบั ใจความสาคญั สรุปความ และอธบิ าย การอ่านจับใจค รายละเอยี ดจากเร่อื งทอ่ี ่าน ต่างๆ เช่น วรรณค ๓. เขยี นผงั ความคิดเพอ่ื แสดงความเขา้ ใจใน บทความ บันทึก บทเรยี นต่างๆ ทอ่ี ่าน บทสนทนา บทโ ๔. อภปิ รายแสดงความคิดเหน็ และขอ้ โตแ้ ยง้ เขยี นประเภทโนม้ น เก่ยี วกบั เรอ่ื งทอ่ี ่าน ๕. วเิ คราะหแ์ ละจาแนกขอ้ เทจ็ จรงิ ขอ้ มลู - งานเขียนหรือบท สนบั สนุน และขอ้ คดิ เหน็ จากบทความทอ่ี ่าน ขอ้ เทจ็ จรงิ ๖. ระบขุ อ้ สงั เกตการชวนเชอ่ื การ โนม้ นา้ ว - เร่อื งราวจากบท หรอื ความสมเหตสุ มผลของงานเขยี น สาระการเรียนรูภ้ กลมุ่ สาระการเรยี น ๗. อ่านหนงั สอื บทความ หรอื คาประพนั ธอ์ ยา่ ง การอ่านตามควา หลากหลาย และประเมนิ คุณค่าหรอื แนวคิดท่ี หนงั สืออ่านนอกเว ไดจ้ ากการอ่าน เพอ่ื นาไปใชแ้ กป้ ญั หาในชวี ติ นกั เรียนสนใจและ วยั หนงั สอื อ่านทค่ี กาหนดร่วมกนั
รูแ้ กนกลาง เน้ือหาการอา่ นตามหลกั สูตร กลยทุ ธก์ ารอา่ น PISAความจากส่ือ - การอ่านจบั ใจความสาคญัคดใี นบทเรยี น - การอ่านสรุปความกเหตุการณ์ - การอ่านเพอ่ื แสดงความโฆษณา งาน คิดเหน็นา้ วใจ - การอ่านเพอ่ื วจิ ารณ์ - การอ่านอย่างมวี จิ ารณญาณ ทความแสดง - การอ่านวนิ ิจสารทเรียนในกลุ่มภาษาไทยและนรูอ้ ่นื ามสนใจ เช่น - การอ่านเพอ่ื ประเมนิ ค่า วลาหนงั สือท่ี - ขอ้ คิดและประโยชนท์ ไ่ี ดจ้ ากะเหมาะสมกบั การอ่านครูและนกั เรยี น ๑๔
ระดบั ชน้ั ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นร ม.๓ ๒. ระบคุ วามแตกต่างของคาท่มี คี วามหมาย การอ่านจบั ใจค โดยตรงและความหมายโดยนยั ต่างๆ เช่น วรรณค ๓. ระบุใจความสาคญั และรายละเอียดของ ข่ า ว แ ล ะ เ ห ตุ ก ขอ้ มลู ทส่ี นบั สนุนจากเร่อื งทอ่ี ่าน บทความ บนั เทิง ๔. อ่านเร่ืองต่างๆ แลว้ เขียนกรอบแนวคิด สารคดีเชิงประวตั ิ ผงั ความคิด บนั ทกึ ย่อความและรายงาน เขยี นเชงิ สรา้ งสรรค ๕. วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และประเมนิ เร่อื งท่อี ่าน บทเรียนในกลุ่มสา โดยใชก้ ลวิธีการเปรียบเทียบเพ่ือใหผ้ ูอ้ ่าน ภาษาไทย และก เขา้ ใจไดด้ ขี ้นึ เรยี นรูอ้ ่นื ๖. ประเมินความถูกตอ้ งของขอ้ มลู ท่ใี ช้ สนบั สนุนในเร่อื งทอ่ี ่าน ๗. วิจารณ์ความสมเหตุสมผล การลาดบั ความ และความเป็นไปไดข้ องเร่อื ง ๘. วเิ คราะหเ์ พ่อื แสดงความคิดเหน็ โตแ้ ยง้ กบั เรอ่ื งทอ่ี ่าน ๙. ตีความและประเมินคุณค่าและแนวคิดท่ี การอ่านตามควา ไดจ้ ากงานเขยี นอย่างหลากหลายเพ่อื นาไปใช้ หนงั สืออ่านนอกเ แกป้ ญั หาในชวี ติ อ่านตามความสนใ ของนักเรียน หนงั และนกั เรยี นร่วมกนั
รูแ้ กนกลาง เน้ือหาการอา่ นตามหลกั สูตร กลยุทธก์ ารอา่ น PISAความจากส่ือ - การอ่านจบั ใจความสาคญัคดใี นบทเรยี น - การอ่านวเิ คราะห์ วนิ ิจสาร า ร ณ์ ส า คัญ - ขอ้ คิดและประโยชนท์ ไ่ี ดจ้ าก งคดี สารคดี การอ่าน ตานาน งาน - การอ่านวจิ ารณ์ค์ เรอ่ื งราวจาก - การอ่านประเมนิ ค่าาระการเรียนรู ้กลุ่มสาระการามสนใจ เช่น - การอ่านตคี วาม ประเมนิ ค่าเวลา หนังสือ - ขอ้ คดิ และประโยชนท์ ไ่ี ดจ้ ากใจและตามวยั การอ่านงสืออ่านท่ีครูนกาหนด ๑๕
ระดบั ชน้ั ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรม.๔-ม.๖ ๒. ตคี วาม แปลความ และขยายความเร่อื งท่ี การอ่านจบั ใจค อ่าน ต่ า ง ๆ เ ช่ น ข่าว ๓. วิเคราะหแ์ ละวิจารณ์เร่ืองท่ีอ่านในทุกๆ ส่ิงพิมพ์ ส่ืออิเล็กท ดา้ นอย่างมเี หตผุ ล แหล่งเรียนรูต้ ่าง ๔. คาดคะเนเหตุการณ์จากเร่ืองท่อี ่าน และ บ ท ค ว า ม นิ ท า ประเมินค่าเพ่ือนาความรู้ ความคิดไปใช้ นวนิยาย วรรณก ตดั สนิ ใจแกป้ ญั หาในการดาเนินชวี ติ วรรณคดใี นบทเรยี ๕. วิเคราะห์ วิจารณ์ แสดงความคิดเห็น สารคดี บันเทิงค โตแ้ ยง้ กบั เร่ืองท่อี ่าน และเสนอความคิดใหม่ พร ะบ รม รา โ ชว อย่างมเี หตผุ ล คาบรรยาย คาส ๖. ตอบคาถามจากการอ่านประเภทต่างๆ ก ร อ ง ร่ ว ม ส มัย ภายในเวลาทก่ี าหนด บทอาเศียรวาท คา ๗. อ่านเร่ืองต่างๆ แลว้ เขยี นกรอบแนวคิดผงั ความคดิ บนั ทกึ ยอ่ ความ และรายงาน ๘. สงั เคราะหค์ วามรูจ้ ากการอ่านส่อื ส่ิงพิมพ์ ส่ืออิเล็กทรอนิกสแ์ ละแหล่งเรียนรูต้ ่างๆ มา พฒั นาตน พฒั นาการเรยี น และพฒั นาความรู้ ทางอาชพี
รูแ้ กนกลาง เน้ือหาการอา่ นตามหลกั สูตร กลยทุ ธก์ ารอา่ น PISAความจากส่ือ - การอ่านจบั ใจความสาคญั ส า ร จ า ก ส่ือ - การอ่านตีความ แปลความทรอนิกสแ์ ละ ขยายความ ๆ ในชุมชน - การอ่านวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ น เ ร่ื อ ง สั้น - การตอบคาถามจากการอ่านกรรมพ้ืนบา้ น - การอ่านเชงิ สรา้ งสรรค์ยน บทโฆษณา - การอ่านเพอ่ื ประเมนิ คุณค่าคดี ปาฐกถา - การอ่านอยา่ งมวี จิ ารณญาณวาท เทศนาสอน บทรอ้ ยย บทเพลง าขวญั ๑๖
การสอนภาษาไทยตามแนวทางขอ้ สอบ PISA-Like และ O-NET กจิ กรรมท่ี ๒ แผนผงั ความคิดสรุปเน้ือหา “การอา่ น” ทส่ี อดคลอ้ งกบั หลกั สูตรการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน
๕.๔ การแกป้ ญั หาแบบร่วมมือ (Collaborative Problem Solving) สมรรถนะการแกป้ ญั หาแบบร่วมมอืหมายถึง ความสามารถของบุคคลในการเขา้ ร่วมกระบวนการแกป้ ญั หาของกลุ่มไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ โดยการแบ่งปนัความเขา้ ใจท่มี แี ละรวบรวมความรู้ ทกั ษะ และความพยายามเขา้ ดว้ ยกนั เพ่อื แกป้ ญั หา สมรรถนะดา้ นการแกป้ ญั หาแบบร่วมมอื PISA คาดหวงั ใหน้ กั เรยี นแสดงความสามารถดา้ นแกป้ ญั หาแบบร่วมมอื ดงั น้ี ๕.๔.๑ การสรา้ งและรกั ษาความเขา้ ใจท่มี รี ่วมกนั หมายถึง การรูแ้ ละเขา้ ใจขอ้ มูลสาคญั รวมทงั้ จุดแขง็และจุดอ่อนท่ีสมั พนั ธก์ บั งานท่ีตนเองและเพ่ือนร่วมกลุ่มมี ทงั้ ยงั ส่ือสารขอ้ มูล ติดตาม แกไ้ ขและรกั ษาความเขา้ ในท่ีมีร่วมกนั ตลอดการทาภารกจิ ๕.๔.๒ การเลอื กวธิ ีการดาเนินการทเ่ี หมาะสมในการแกป้ ญั หา หมายถงึ เขา้ ใจปญั หาและรูแ้ นวทางการแกป้ ญั หาท่เี หมาะสมเพ่อื ใหบ้ รรลุเป้าหมาย และมกี ารส่อื สารในกลุม่ ระหว่างการทางานร่วมกนั โดยใชก้ ารอธบิ าย อภปิ รายการต่อรอง การใหเ้หตผุ ล และการโตแ้ ยง้ ทง้ั ยงั ตอ้ งดาเนินการตามแผนทว่ี างไวร้ ่วมกนั ตามบทบาทหนา้ ทข่ี องตน ๕.๔.๓ การสรา้ งและรกั ษาระเบยี บของกลุ่ม หมายถึง เขา้ ใจบทบาทหนา้ ท่ีของตนและเพ่ือนร่วมกลุ่มรวมทง้ั เฝ้ าติดตาม และรกั ษากฎระเบียบท่มี ีร่วมกนั รวมถงึ การส่ือสารและถ่ายทอดขอ้ มูลท่ีสาคญั ตลอดจนปญั หาและอปุ สรรคทเ่ี กดิ ข้นึ กบั เพอ่ื นร่วมกลมุ่ กรอบการประเมินการแกป้ ญั หาแบบร่วมมือ ๑๘
แผนภาพดา้ นบนแสดงใหเ้ ห็นว่า พ้นื ฐานของนกั เรียน ทกั ษะการทางานแบบร่วมมอื ทกั ษะการแกป้ ญั หา รวมทง้ัความสามารถทางสงั คมมสี ่วนสาคญั ทท่ี าใหเ้กดิ สมรรถนะการแกป้ ญั หาแบบร่วมมอื ในแบบทดสอบของ PISA นกั เรียนตอ้ งใชส้ มรรถนะเหล่าน้ีแก่ปญั หาในสถานการณท์ ่อี าจเกิดข้นึ ทงั้ ในและนอกโรงเรยี น โดยสถานการณจ์ ะกาหนดเป้าหมาย และเง่อื นไขของภารกิจไว้ นกั เรียนตอ้ งทาภารกิจดงั กล่าว โดยทาความเขา้ ใจกบั สถานการณ์ภายในภารกิจท่ีไดร้ บั มอบหมายรูบ้ ทบาทหนา้ ท่ีของตนและเพ่ือน แลว้ ส่ือสารแบ่งปนั ขอ้ มูลและร่วมกนั แกป้ ญั หากบั เพ่อื นร่วมใหส้ าเร็จ รูปแบบของการสอ่ื สารในแบบทดสอบเป็นลกั ษณะของการแชท (Chat) โตต้ อบกนั กบั เพอ่ื นร่วมกลมุ่ ซง่ึ เป็นบคุ คลสมมตใิ นคอมพวิ เตอร์ จากกรอบการประเมนิ ขา้ งตน้ เหน็ ไดว้ ่ามปี จั จยั หลกั ๒ ประการ คือ พ้นื ฐานของนกั เรยี นและทกั ษะของนกั เรียนซง่ึ มรี ายละเอยี ดดงั ต่อไปน้ี ๑. พ้ืนฐานของนักเรียน คือ ความรูท้ ่ีมีของนักเรียน ไดแ้ ก่ ความรูด้ า้ นการอ่าน การเขียน คณิตศาสตร์สง่ิ แวดลอ้ ม และวทิ ยาศาสตร์ เป็นตน้ ซง่ึ มผี ลมาจากบคุ ลกิ ลกั ษณะของนกั เรียนหลายประการดว้ ยกนั เช่น อารมณ์ เจตคติประสบการณ์ และความรู้ ๒. ทกั ษะของนกั เรียน คือ ทกั ษะการทางานแบบร่วมมอื และทกั ษะการแกป้ ญั หา สาหรบั ทกั ษะการทางานแบบร่วมมอื นนั้ นกั เรียนจะตอ้ งสรา้ งความเขา้ ใจร่วมกนั การมองมมุ มองของผูอ้ ่นื การอธิบาย การเขา้ ถงึ ผูฟ้ งั การประสานงานการโตแ้ ยง้ ดว้ ยเหตผุ ล การทาตามบทบาทหนา้ ท่ี และการมกี ฎระเบยี บต่อกนั ส่วนทกั ษะการแกป้ ญั หา นกั เรียนจาเป็นตอ้ งมีการสารวจและทาความเขา้ ใจ การนาเสนอและคิดหาวธิ ี การวางแผนและดาเนินการและการตดิ ตามและสะทอ้ นความเหน็ ปจั จยั หลกั ทง้ั ๒ ประการน้ีเอง PISA จึงนามาประยุกตโ์ ดยเนน้ ใหน้ กั เรียนใชส้ มรรถนะแกป้ ญั หาแบบร่วมมอืประกอบไปดว้ ย ๓ สมรรถนะ ๔ บรบิ ท ดงั น้ี บรบิ ท / สมรรถนะ การสรา้ งและเกบ็ รกั ษา การเลอื กวธิ ดี าเนินการท่ี การสรา้ งและรกั ษาระเบยี บลกั ษณะเฉพาะของงาน ความเขา้ ใจท่มี ีร่วมกนั เหมาะสมในการแกป้ ญั หา ของกล่มุโครงเรอ่ื งของปญั หา รูแ้ ละเขา้ ใจขอ้ สนเทศอย่าง เขา้ ใจปญั หา รูแ้ นวทาง และ นักเรียนตอ้ งมีขอ้ สนเทศ ชดั เจน จากเพ่ือนร่วมกลุ่ม อ า จ จ า เ ป็ น ต้อ ง ค้น ห า ของตนเอง และตอ้ งยอมรบั มาประกอบกันเพ่ือใหท้ า เพ่ิม เติม ส าม า ร ถเ ลือ ก ขอ้ สนเทศของเพ่ือนร่วม ภารกจิ ต่อไปได้ แนวทางท่ีเหมาะสมกบั การ กลมุ่ ดว้ ย แกป้ ญั หาได้ เป็ นโครงเร่ืองท่ีมีความ การส่ือสารระหว่างการ การปฏิสัมพันธ์รู ปแบบ เ ข้า ใ จ ร่ ว ม กั น เ ช่ น ทางานร่วมกนั อาจเป็นการ ต่ า ง ๆ เ พ่ื อ ท า ใ ห้เ กิ ด สถานการณ์จากหอ้ งเรียน อภปิ ราย การต่อรอง การให้ กระบวนการนาไปสู่การ ในโรงเรียนหรือชีวิตจริง เหตผุ ล และการโตแ้ ยง้ ตดั สนิ ใจ นอกโรงเรยี น ๑๙
บริบท / สมรรถนะ การสรา้ งและเกบ็ รกั ษา การเลอื กวธิ ีดาเนินการท่ี การสรา้ งและรกั ษาระเบยี บการสอ่ื สารจากเน้ือเรอ่ื ง ความเขา้ ใจท่มี รี ่วมกนั เหมาะสมในการแกป้ ญั หา ของกลมุ่องคป์ ระกอบของกล่มุ นักเรียนสามารถบอกจุด ขอ้ สนเทศทใ่ี หอ้ าจมปี รมิ าณ ดาเนินการตามแผนท่วี างไว้ แขง็ หรอื จดุ อ่อนขอ้ สนเทศท่ี ม า ก ห รื อ น้ อ ย ห รื อ ร่วมกนั สมั พนั ธก์ บั งานของตน สอดคลอ้ งกบั ชีวิตจริงของ นกั เรยี นมากนอ้ ยต่างกนั ในแต่ละภารกิจกาหนดใหม้ ี ก า ร ส่ื อ ส า ร ห รื อ ก า ร การอธิบาย อภิปราย การ จ า น ว น ส ม า ชิก ใ น ก ลุ่ ม ปฏิสมั พนั ธ์กันในรูปแบบ ต่อรอง การใหเ้ หตุผล และ ต่างกัน และแต่ละคนมี ต่างๆ การโตแ้ ยง้ สถานภาพและบทบาท หนา้ ทต่ี ่างกนั ดว้ ย ๒๐
Search
Read the Text Version
- 1 - 32
Pages: