บทท่ี 15 ระบบหมุนเวียนเลอื ด ระบบนา้ เหลือง และระบบภมู คิ มุ้ กัน ผลการเรียนรู้ • สบื คน้ ข้อมลู อธบิ าย และเปรยี บเทยี บระบบหมนุ เวียนเลอื ดแบบเปิดและระบบหมุนเวยี นเลือดแบบปิดได้ • สงั เกต และอธิบายทิศทางการไหลของเลือด และการเคลอื่ นทขี่ องเซลล์เมด็ เลือดในหางปลา และสรปุ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างขนาดของหลอดเลอื ดกบั ความเรว็ ในการไหล ของเลอื ดได้ • อธบิ ายโครงสรา้ งและการทางานของหวั ใจและหลอดเลือดในมนุษย์ได้ • สงั เกต และอธบิ ายโครงสรา้ งหวั ใจของสตั วเ์ ลย้ี งลูกด้วยนา้ นม ทิศทางการไหลของเลอื ดผา่ นหวั ใจของมนุษย์ และเขยี นแผนผังสรปุ การหมุนเวยี นเลือดของมนษุ ยไ์ ด้ • สืบคน้ ข้อมลู ระบุความแตกตา่ งของเซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดง เซลล์เมด็ เลอื ดขาว เพลตเลต และพลาสมาได้ • อธบิ ายหมู่เลอื ดและหลกั การใหแ้ ละรับเลือดในระบบ ABO และระบบ Rh ได้ • อธิบาย และสรุปเกี่ยวกบั ส่วนประกอบและหนา้ ทีข่ องน้าเหลอื ง รวมทง้ั โครงสร้างและหนา้ ที่ของหลอดนา้ เหลือง และตอ่ มน้าเหลืองได้ • สืบคน้ ข้อมูล อธบิ าย และเปรียบเทียบกลไกการตอ่ ต้านหรอื ทาลายสง่ิ แปลกปลอมแบบไมจ่ าเพาะและแบบจาเพาะได้ • สืบค้นขอ้ มลู อธบิ าย และเปรียบเทยี บการสรา้ งภมู คิ ุ้มกันกอ่ เองและภมู ิค้มุ กนั รบั มาได้ • สืบคน้ ข้อมลู และอธิบายเกย่ี วกบั ความผิดปกตขิ องระบบภูมิคมุ้ กนั ที่ทาให้เกดิ เอดส์ ภูมิแพ้ การสรา้ งภูมติ ้านทานตอ่ เนอ้ื เย่อื ตนเองได้
ระบบหมุนเวียนเลอื ดแบบเปดิ • เลือดไม่ไดไ้ หลเวียนอยใู่ นหลอดเลือดตลอดเวลา หัวใจ • เลือดออกจากหลอดเลือดเข้าสู่ฮีโมซีล ซ่ึงอยู่รวมกับของเหลวอื่น ๆ หลอดเลือดด้า หลอดเลอื ดแดง (น้าเหลอื ง) เรยี กวา่ ฮโี มลมิ ฟ์ • พบในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในไฟลัมอาร์โทรโพดาและมอลลัสกา ชอ่ งว่างภายในล้าตัว (ยกเวน้ หมกึ หมึกยกั ษ์ และหอยงวงช้าง) แมลง หอยฝาเดยี ว หวั ใจ หัวใจ หลอดเลือด หลอดเลอื ดเอออรต์ า ทิศทางการไหลของเลอื ด ฮโี มซลี
ระบบหมุนเวียนเลอื ดแบบปดิ หลอดเลอื ดแดง หวั ใจ เนอื เย่ือ เลอื ดไหลเวียนอยู่ในหลอดเลอื ดตลอดเวลา มีหวั ใจสูบฉีดเลือดไปยังหลอดเลอื ดต่าง ๆ ทวั่ รา่ งกาย พบในไสเ้ ดือนดนิ และสตั ว์มีกระดูกสนั หลงั (มีจ้านวนหอ้ งหัวใจแตกต่างกัน) ไสเ้ ดอื นดิน หลอดเลือดด้า หลอดเลอื ดดา้ นบนลา้ ตัว หัวใจเทยี ม หลอดเลือดดา้ นลา่ งลา้ ตวั
ระบบหมุนเวยี นเลอื ดแบบปิด สตั วส์ ะเทนิ น้าสะเทนิ บก : หวั ใจ 3 ห้อง ปลา : หัวใจ 2 หอ้ ง หัวใจหอ้ งล่าง เหงอื ก ปอดหรอื ผิวหนงั หวั ใจหอ้ งบน หัวใจห้องบนขวา หวั ใจห้องบนซา้ ย ส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกาย ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หัวใจห้องล่าง
ระบบหมนุ เวียนเลอื ดแบบเปดิ จระเข้ สัตว์ปีก และสตั วเ์ ลยี งลกู ด้วยน้านม : หัวใจ 4 ห้องสมบรู ณ์ สัตวเ์ ลือยคลาน (ยกเว้นจระเข้) : หวั ใจ 4 หอ้ งไมส่ มบรู ณ์ ปอด ปอด หัวใจห้องบนขวา หัวใจหอ้ งบนขวา หัวใจห้องบนซ้าย หัวใจหอ้ งบนซา้ ย หวั ใจหอ้ งล่างขวา หวั ใจหอ้ งลา่ งขวา หัวใจหอ้ งล่างซา้ ย หวั ใจห้องล่างซา้ ย แผ่นกันไม่สมบรู ณ์ สว่ นต่าง ๆ ของร่างกาย ส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย
ระบบหมุนเวียนเลือดของมนุษย์ หัวใจห้องบนซ้าย (lft atrium) รบั เลอื ดทีม่ ี O2 สูงจากปอดกลบั เขา้ สหู่ วั ใจ หวั ใจ ทางหลอดเลือดพลั โมนารีเวน หัวใจหอ้ งบนขวา (right atrium) ลินเอออร์ตกิ เซมิลนู าร์ (aortic semilunar valve) รับเลือดทมี่ ี O2 ต่าจากสว่ นต่างๆ ของร่างกายเข้าสู่หัวใจ ก้นั หวั ใจหอ้ งล่างซา้ ยกับหลอดเลอื ดเอออรต์ า ทางหลอดเลือดซพู เี รียเวนาคาวาและอินฟเี รยี เวนาคาวา ลินไบคสั ปิด (bicuspid valve) ลินพัลโมนารเี ซมิลูนาร์ (pulmonary semilunar valve) ก้ันหวั ใจห้องบนซา้ ยและหอ้ งล่างซา้ ย กั้นหวั ใจหอ้ งลา่ งขวากบั หลอดเลือดพัลโมนารอี ารเ์ ตอรี มีลกั ษณะเป็นแผ่นบาง 2 ช้นิ ประกบกนั ลินไตรคสั ปิด (tricuspid valve) หวั ใจหอ้ งล่างซา้ ย (left ventricle) ก้ันหัวใจห้องบนขวากับหอ้ งล่างขวา รบั เลือดที่มแี กส๊ O2 สูงจากหัวใจห้องบนซ้าย มลี ักษณะเป็นแผ่นบาง 3 ชิ้น ประกบกัน ส่งไปสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกายทางหลอดเลอื ดเอออรต์ า หัวใจห้องลา่ งขวา (right ventricle) รบั เลือดที่มี O2 ต่าจากหวั ใจหอ้ งบนขวา สง่ ไปแลกเปลีย่ นแกส๊ ที่ปอดทางหลอดเลือดพัลโมนารีอารเ์ ตอรี
ระบบหมุนเวยี นเลือดของมนษุ ย์ การหมุนเวยี นเลอื ดผ่านหวั ใจ 1 เลือดทม่ี ี O2 เข้าสู่หัวใจหอ้ งบนขวา ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย (ศรี ษะและแขน) 4 หลังการแลกเปลย่ี นแก๊ส เลอื ดท่ีมี O2 สูง ทางหลอดเลอื ดซูพีเรียเวนาคาวาและอนิ ฟีเรยี เวนาคาวา ปอดขวา 1 6 ปอดซา้ ย จากปอดกลบั เขา้ สูห่ ัวใจห้องบนซ้าย 2 35 ทางหลอดเลอื ดพลั โมนารีเวน 2 หวั ใจห้องบนขวาบีบตัว เลอื ดไหลผ่านลนิ ไตรคัสปดิ 4 4 5 หัวใจหอ้ งบนซ้ายบีบตัว เลือดไหลผา่ นลนิ ไบคัสปดิ ลงสู่หัวใจหอ้ งล่างขวา ลงส่หู ัวใจห้องล่างซ้าย 3 หวั ใจหอ้ งล่างขวาบบี ตวั เลอื ดไหลผา่ นลินพลั โมนาร-ี 1 6 หวั ใจห้องลา่ งซา้ ยบีบตัว เลือดไหลผา่ นลินเอออร์ตกิ - 6 เซมลิ ูนาร์เขา้ สหู่ ลอดเลอื ดพลั โมนารอาร์เตอรเี พอื่ ไป เซมิลูนารเ์ ขา้ สู่หลอดเลือดเอออร์ตาสง่ ไปสว่ นต่าง ๆ แลกเปลย่ี นแกส๊ ทป่ี อด ส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย (ลาตวั และขา) ของรา่ งกาย การไหลเวียนของเลือดที่มีปรมิ าณ O2 ต้่า CO2 สงู การไหลเวยี นของเลือดท่ีมีปรมิ าณ O2 สงู CO2 ต่้า
ระบบหมนุ เวยี นเลือดของมนษุ ย์ หลอดเลือด หลอดเลอื ดแดง (artery) หลอดเลือดดา้ (vein) มคี วามยืดหยนุ่ สูง มีความยืดหย่นุ ค่อนข้างต่า้ มีผนงั หนา มีแรงดันในหลอดเลือดคอ่ นข้างต้า่ มีช่องว่างภายในหลอดเลือดน้อย ท้าให้มี มีลินภายในหลอดเลือดป้องกันการไหล แรงดันสงู และคงที่ ย้อนกลับ ท้าหน้าที่ล้าเลียงเลือดท่ีมีปริมาณ O2 สูง ท้าหน้าที่ล้าเลียงเลือดที่มีปริมาณ O2 ต่้า จากหัวใจไปยังหลอดเลือดแดงต่าง ๆ จากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายกลับเข้าสู่ (ยกเวน้ พัลโมนารีอาร์เตอรีล้าเลียงเลือดท่ี มปี ริมาณ O2 ตา้่ ) หัวใจ (ยกเว้นพัลโมนารีเวนล้าเลียงเลือด ทีม่ ปี ริมาณ O2สูง) หลอดเลอื ดฝอย (capillary) มีผนงั บางมาก ความดนั ภายในหลอดเลือดสงู กวา่ หลอดเลือดด้า แต่ตา่้ กวา่ หลอดเลอื ดแดง เชื่อมตอ่ ระหว่างหลอดเลือดแดงฝอยกับหลอดเลอื ดด้าฝอย ท้าหน้าที่แลกเปล่ยี นแก๊ส สารอาหาร และของเสยี ต่าง ๆ
ระบบหมุนเวียนเลอื ดของมนุษย์ เซลลเ์ มด็ เลือด เลอื ด น้าเลอื ด (plasma) เซลล์เมด็ เลอื ดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลอื ด (red blood cell) (white blood cell) (platelet) • มีรูปร่างกลมแบบ ตรงกลางเว้า ไม่มี • มรี ูปรา่ งกลม • ลกั ษณะเป็นแผน่ เล็ก มรี ปู ร่างไม่แนน่ อน นิวเคลยี ส • มีนิวเคลียสกลมขนาดใหญ่ หรอื เปน็ พู • มีอายุ 7-10 วัน ถูกสร้างจากไขกระดูก • มีอายุ 2-3 วนั • ภายในเซลล์มเี ฮโมโกลบนิ • ทาหนา้ ท่ปี ้องกนั และทาลายเชอ้ื โรคหรือ ถกู ทาลายท่มี า้ ม • มีอายุ 100-120 วัน ถูกสร้างจาก • ช่วยทาใหเ้ ลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล สิ่งแปลกปลอมทีเ่ ขา้ สรู่ ่างกาย • ประกอบด้วยน้า โปรตีน (อัลบูมิน โกลบูมิน ไขกระดูกแดง ถกู ทาลายที่ตบั และม้าม • แบ่งออกเป็นกล่มุ แกรนโู ลไซต์ (นิวโทรฟลิ ไฟบรโิ นเจน โพรทรอมบิน) และสารอ่ืน ๆ • ทาหน้าที่ลาเลียงแก๊สออกซิเจนไปยัง อโี อซิโนฟิล เบโซฟิล) และอะแกรนูโลไซต์ • ทาหน้าท่ีเป็นตัวทาละลาย ลาเลียงสารอาหาร สว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย (ลมิ โฟไซต์ โมโนไซต์) แร่ธาตุ ฮอร์โมน เอนไซม์ และของเสียไปยัง อวัยวะเป้าหมาย ทาให้เกิดความดันเลือด ช่วย นวิ โทรฟิล อโี อซิโนฟิล เบโซฟิล รั ก ษ า ส ม ดุ ล ก ร ด - เ บ ส แ ล ะ อุ ณ ห ภู มิ ภ า ย ใ น รา่ งกาย ลิมโฟไซต์ โมโนไซต์
ระบบหมุนเวียนเลอื ดของมนษุ ย์ การท้างานของเกลด็ เลือดเม่อื เกิดบาดแผล เกลด็ เลือด เมื่อเกิดบาดแผล เกล็ดเลือดจะเคล่ือนท่ีมายัง บริเวณหลอดเลือดท่ีฉีกขาด ซ่ึงปล่อยสารบาง 1 ชนดิ ทาให้เกล็ดเลือดมารวมตัวกันและอุดบริเวณ บาดแผล เ ก ล็ ด เ ลื อ ด ป ล่ อ ย เ อ น ไ ซ ม์ ทรอมโบพลาสตนิ ท ร อ ม โ บ พ ล า ส ทิ น ม า ก ร ะ ตุ้ น ท ร อ ม บิ น ก ร ะ ตุ้ น ใ ห้ ไ ฟ บ ริ โ น เ จ น ใ ห้ โ พ ร ท ร อ ม บิ น ใ ห้ เ ป ล่ี ย น เ ป็ น 2 วติ ามนิ K + Ca2+ เปล่ียนเป็นไฟบริน ซ่ึงจะสานตัวเป็น ทรอมบิน โดยทางานร่วมกับ ตาข่ายและอุดบริเวณบาดแผลป้องกัน แคลเซียมไอออนและวิตามินเค โพรทรอมบิน ทรอมบิน การไหลของเลือด ในเลือด ไฟบริโนเจน 3 ไฟบริน
หมเู่ ลือดและการให้เลอื ด หม่เู ลือดระบบ ABO : แบง่ ตามชนดิ แอนติเจนบนผิวเซลล์เมด็ เลอื ดแดง แบง่ เป็นหมู่เลือด 4 หมู่ ไดแ้ ก่ A B O และ AB หมเู่ ลอื ด A B AB O เซลล์เมด็ เลอื ดแดง ข้อคา้ นึง ผูใ้ ห้เลือดหา้ มมแี อนตเิ จน แอนตบิ อดใี นพลาสมา แอนตบิ อดี B แอนติบอดี A แอนตบิ อดี A ชนิดเดียวกับแอนติบอดขี อง และ ผรู้ ับเลือด เพราะจะทาให้ แอนติเจนบนผิว เลือดตกตะกอน และอาจ เซลล์เม็ดเลือดแดง แอนตบิ อดี B เสยี ชีวติ ได้ แอนติเจน A แอนติเจน B แอนติเจน AB
หม่เู ลือดและการให้เลอื ด หม่เู ลอื ดระบบ Rh : แบง่ ตามแอนติเจน Rh แฟกเตอร์ ดงั นี - หมู่ Rh+ เปน็ กล่มุ ท่มี ีแอนตเิ จน Rh บนผวิ เซลลเ์ มด็ เลือดแดง - หมู่ Rh- เป็นกลมุ่ ทไี่ มม่ แี อนตเิ จน Rh บนผวิ เซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดง ข้อคา้ นึง พ่อ Rh+ แม่ Rh- 4 Rh แฟกเตอร์สามารถถ่ายทอด 12 3 ทางพันธกุ รรมได้ และตอ้ ง คานงึ ถึงเป็นอย่างยง่ิ สาหรับ ครรภแ์ รก เซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดงของ ร่างกายแมส่ ร้าง หากตังครรภท์ ีส่ อง กรณกี ารตง้ั ครรภ์ ทารกมหี มูเ่ ลือด Rh+ ทารกเข้าสูก่ ระแสเลอื ด แอนตบิ อดีต่อตา้ น Rh+ แอนตบิ อดีที่ต่อตา้ น Rh+ เชน่ มารดาเปน็ Rh+ ของแม่ จากแม่จะเข้าสู่ทารก บดิ าเปน็ Rh- ทา้ ใหท้ ารกเสยี ชีวิต และทารกเป็น Rh+
ระบบนา้ เหลอื ง อวยั วะ นา้ เหลอื ง นา้ เหลือง ของเหลวท่ีซึมผ่านผนังหลอดเลือดฝอย มีบทบาทในการต่อต้านเชื้อโรคหรือส่ิงแปลกปลอมท่ีเข้าสู่ ออกมาอยู่ระหว่างเซลล์ หรือรอบ ๆ เซลล์ ร่างกาย ประกอบด้วยต่อมน้าเหลือง ต่อมทอนซิล ม้าม ทาหน้าท่ีเป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนสารต่าง ๆ และต่อมไทมัส ระหว่างเซลล์กบั หลอดเลือดฝอย หลอด มีองค์ประกอบคล้ายพลาสมา แต่มีโปรตีน โมเลกุลเลก็ กวา่ นา้ เหลอื ง กระจายอยู่บริเวณต่างๆ ท่ัวร่างกาย ภายในมีลิ้นทาหน้าท่ี ป้องกันการไหลยอ้ นกลบั ของน้าเหลือง
ระบบน้าเหลือง ต่อมทอนซลิ (tonsil gland) อวยั วะน้าเหลอื ง ต่อมนา้ เหลือง 2 ตอ่ ม อยู่ในชอ่ งปาก ภายในมีเซลลเ์ มด็ เลือดขาวชนดิ ลมิ โฟไซต์ ตอ่ มไทมสั (thymus gland) ทาลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ทางเดินหายใจและ อวยั วะนา้ เหลอื งทเี่ ปน็ ต่อมไรท้ ่อ สร้างเซลลเ์ มด็ เลอื ดขาวชนดิ ลมิ โฟไซต์ ทางเดนิ อาหาร ทาลายเช้อื โรคและส่งิ แปลกปลอมทเ่ี ขา้ สรู่ ่างกาย มา้ ม (spleen) ตอ่ ต้านอวยั วะทไ่ี ด้รบั การปลูกถา่ ย อวยั วะนา้ เหลืองทม่ี ีขนาดใหญ่ทสี่ ุด ตอ่ มน้าเหลอื ง (lymph node) ทาหน้าท่ีสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดโมโนไซต์ พบตลอดทางเดนิ ของนา้ เหลอื ง ภายในมีเซลลเ์ มด็ เลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ และลิมโฟไซต์ ทาหน้าท่กี รองนา้ เหลือง ทาลายแบคทเี รยี ทาลายเซลล์เมด็ เลอื ดแดงท่ีหมดอายุ ส่ิงแปลกปลอม และเซลลเ์ มด็ เลือดขาวที่หมดอายุ
ระบบภมู คิ มุ้ กันแบบไม่จา้ เพาะ ผวิ หนัง (skin) การตอ่ ต้านทางกายวิภาค มีสารเคราตนิ ป้องกันเชอื้ โรคและส่งิ แปลกปลอมเขา้ สรู่ า่ งกาย มีตอ่ มเหง่ือและตอ่ มไขมนั หลั่งสารที่ทาใหผ้ วิ หนังมสี ภาพเปน็ กรด เยอ่ื เมือก (mucous) ซงึ่ ไม่เอือ้ ต่อการเจรญิ ของเชอ้ื จลุ นิ ทรยี ์ ดักจบั เชือ้ โรคและสง่ิ แปลกปลอมด้วยการเคลือบ มีความชมุ่ ช่ืนตา่ ทาให้จุลินทรยี ข์ าดความชมุ่ ชื่นและตาย มซี เิ ลียทาหน้าท่ีพัดโบกเช้ือโรคและส่ิงแปลกปลอม ให้เคล่ือนเข้าสู่ท่อลมและขับออกด้วยการไอ จาม หรอื เสมหะ
ระบบภมู ิคุ้มกนั แบบไม่จ้าเพาะ น้าตา การต่อตา้ นทางสารเคมีในรา่ งกาย สร้างจากต่อมนา้ ตา มเี อนไซมไ์ ลโซไซมท์ ่สี ามารถทาลายผนังเซลล์ น้าลาย ของแบคทเี รยี สร้างจากต่อมนา้ ลาย (ขา้ งกกหู ใต้ลนิ้ ไต้ขากรรไกร) มเี อนไซม์ไลโซไซมท์ ีส่ ามารถทาลายจลุ ินทรีย์บางชนดิ เหงื่อ มฤี ทธเ์ิ ป็นเบส ช่วยยบั ย้งั การเจรญิ ของจุลนิ ทรยี ์บางชนิด สรา้ งจากต่อมเหงือ่ ทอี่ ยใู่ นผิวหนังช้ันหนังกาพรา้ นา้ ยอ่ ย มีฤทธ์ิเป็นกรด สามารถทาลายแบคทีเรียและ กรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะอาหาร เช้อื ราบางชนิด มีฤทธิ์เปน็ กรด สามารถทาลายแบคทีเรียตา่ ง ๆ และไวรสั ทไี่ มม่ ผี นังหุ้ม
ระบบภมู คิ มุ้ กนั แบบไม่จา้ เพาะ การกลืนกนิ ของเซลล์ 1 เชือโรคเขา้ สู่ร่างกาย เชอื โรค 1 2 เซลล์เม็ดเลอื ดขาวเคล่อื นทเี่ ขา้ หาและกลนื กินเชอื โรคโดยวธิ ฟี าโกไซโทซิส กลายเป็นฟาโกโซมท่ีมเี ชือโรคอยภู่ ายใน 2 ฟาโกโซม ไลโซโซม 3 3 ไลโซโซมในเซลลเ์ มด็ เลือดขาวเคล่อื นท่ีมารวมกบั ฟาโกโซม 4 6 4 เอนไซมใ์ นไลโซโซมเขา้ ย่อยสลายเชือโรคในฟาโกโซม 5 5 ฟาโกโซมหลังการย่อยสลายประกอบด้วยซากของเชอื โรค 6 เซลลเ์ ม็ดเลือกขาวปล่อยซากของเชือโรคออกนอกเซลล์
ระบบภมู คิ มุ้ กันแบบจ้าเพาะ ระบบภูมิคุ้มกนั จากเซลล์ ระบบภมู คิ ุม้ กันจากกระแสเลือดและสารคัดหลัง่ ลมิ โฟไซต์ชนิดเซลลท์ ี แบง่ ออกเป็น 3 ชนิด ลิมโฟไซต์ชนิดเซลล์บี เปล่ียนเป็นเซลล์พลาสมา (plasma cell) ทำหน้ ำท่ี เซลล์ทีผู้ช่วย (helper T cell) ท้าหน้าที่สร้างสาร กระตุ้นเซลล์บใี หส้ รา้ งแอนตบิ อดี สรา้ งแอนติบอดที ้าลายแอนตเิ จน เปล่ียนเป็นเซลล์เมมอรี (memory cell) ทำหน้ำท่ี เซลล์ทีท้าลายสิ่งแปลกปลอม (cytotoxic T cell) ทา้ หนา้ ทท่ี ้าลายแอนตเิ จนทเี่ ขา้ สู่รา่ งกาย จดจ้าชนิดของแอนติเจนทีเ่ ขา้ ส่รู า่ งกาย เซลล์ทีกดภูมิคุ้มกัน (suppressor T cell) ท้าหน้าที่ ควบคุมการท้างานของเซลล์บี เซลล์ทีผู้ช่วย และ เซลลท์ ที า้ ลายสิ่งแปลกปลอมให้อยใู่ นภาวะสมดุล
ระบบภมู ิค้มุ กันแบบจ้าเพาะ 2 เซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาวชนิดลมิ โฟไซต์เขา้ ทาลายเชื้อโรค ทาให้แอนตเิ จนของเชื้อโรคปรากฏบน 3 ผิวเซลลฟ์ าโกไซต์ และส่งสญั ญาณกระตุน้ เซลลเ์ มด็ เลอื ดขาวลมิ โฟไซต์ชนดิ เซลล์ทีผชู้ ว่ ย เชอื โรค เซลล์ทผี ชู้ ว่ ย 1 เม่อื เชื้อโรคเขา้ สู่รา่ งกาย ซ่งึ ผวิ เซลลข์ อง เซลลเ์ มมอรี เช้ือโรคจะมีสารแอนติบอดีอยู่ แอนติเจน ลมิ โฟไซต์ เซลล์ทผี ู้ชว่ ย เซลล์พลาสมา เซลลท์ ผี ู้ชว่ ยส่งสัญญาณต่อไปยังเซลลบ์ ี 4 แอนติบอดีเข้าทาลายเชื้อโรค และเซลล์พลาสมา ใหพ้ ฒั นาเป็นเซลล์พลาสมาและสรา้ งแอนติบอดี บางเซลล์พัฒนาเป็นเซลล์เมมอรีจดจาชนิดของ แอนติเจน หากได้รับแอนติเจนชนิดเดิม แอนติบอดี เซลล์บี แอนติบอดี ทีม่ ีอย่เู ขา้ ทาลายเชอ้ื โรคไดท้ นั ที
กลไกการสร้างภมู คิ ุม้ กัน ภูมคิ ุ้มกันก่อเอง ภูมิคมุ้ กันรบั มา ภมู คิ มุ้ กันที่รา่ งกายสรา้ งขึ้นเม่อื ถกู กระตุ้นด้วยแอนติเจนหรือส่ิงแปลกปลอม ภูมิคุ้มกันท่ีให้กับร่างกายโดยตรงเพื่อต่อต้านเชื้อโรคหรือส่ิงแปลกปลอม จากภายนอก อยา่ งทันที ได้แก่ วัคซีน (เชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสที่ถูกทาให้ตายหรืออ่อนฤทธิ์) และ เรียกภูมคิ ุ้มกันว่า ซีรัม ซง่ึ เปน็ แอนติบอดที ส่ี กดั ได้จากสัตว์ ทอกซอยด์ (สารพษิ ของแบคทเี รยี ท่ที าให้หมดพิษ) ขอ้ เปรียบเทยี บ ภมู คิ มุ้ กันกอ่ เอง ภูมคิ ุ้มกนั รับมา ระยะเวลาในการออกฤทธิ์ การให้ภมู ิคมุ้ กนั เกิดข้ึนอย่างช้า ๆ ภายหลังการได้รับแอนติเจน (7-14 วัน) เกดิ ขน้ึ ทนั ทภี ายหลังได้รบั แอนตเิ จน ระยะเวลาในการคมุ้ กนั โรค ความเหมาะสมในการใชง้ าน ใหภ้ มู คิ ุ้มกนั กอ่ นการเกดิ โรค ให้ภมู คิ ุม้ กนั หลังการเกิดโรค มีระยะเวลาในการค้มุ กนั โรคหลายปี มีระยะเวลาในการค้มุ กนั ชว่ งสั้น ๆ อาจเพยี งรายสปั ดาห์ เหมาะสมกบั ผูท้ ีส่ ามารถสร้างภูมคิ มุ้ กันไดด้ ว้ ยตนเอง เหมาะสมกับผู้ท่ีไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ มีความ บกพร่องของระบบภมู ิค้มุ กนั หรือได้รบั เชอื้ โรคทรี่ นุ แรง
ความผิดปกตขิ องระบบภมู ิคมุ้ กัน แอนตเิ จนทท่ี า้ ใหเ้ กิดโรคภูมิแพ้ เรยี กว่า สารก่อภูมแิ พ้ เช่น โรคภมู ิแพ้ โรคที่เกดิ จากการท่ีระบบภูมิคุ้มกันมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อ แอนติเจนบางชนิดรนุ แรงและก่อใหเ้ กิดอนั ตรายตอ่ รา่ งกาย เช่น ไรฝุ่น เชือราในอากาศ ขนสัตว์ มีอาการจามอยา่ งรุนแรง มผี นื่ ขึนบริเวณผิวหนัง เกสรดอกไม้ อาหารทะเล โดยปกตโิ รคภูมแิ พจ้ ะไมแ่ สดงอาการ หากไม่ได้สัมผสั กับสารกอ่ ภูมแิ พ้ คนท่ีมีอาการแพ้รุนแรงมักนิยมใช้ยาแอนตฮิ ิสตามนี (anti-histamine) หรือยาแก้แพ้ ชว่ ยบรรเทาอาการให้ลดลง
ความผิดปกติของระบบภูมิคมุ้ กัน โรคแพ้ภมู ิคมุ้ กันตนเอง โรคท่ีเกิดจากระบบภมู คิ ุ้มกนั ต่อตา้ น หรอื ทา้ ลายเซลลแ์ ละอวยั วะตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย ท้าให้เกิดอาการอกั เสบตามอวัยวะต่าง ๆ ระบบผิวหนังและเยื่อเมอื ก : ผมรว่ ง มีผน่ื แดง ระบบประสาท : ปวดศีรษะ ชัก ซึม สับสน สูญเสีย บรเิ วณใบหน้าทม่ี ลี ักษณะเฉพาะ หรืออาจเกิด ความทรงจา ชาตามแขนขาหรือเป็นอัมพาต บางราย บรเิ วณลาตัว แขน ขา อาจมอี ารมณ์แปรปวนและอาการทางจิต ระบบเลอื ด : เซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทาลาย เซลล์ ระบบหัวใจและหลอดเลือด : มีการอักเสบท่ีเย่ือหุ้ม เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่า มีเลือดออก หัวใจและปอด อาจมีกล้ามเน้ือหัวใจอักเสบข้ันรุนแรง บริเวณไรฟัน เป็นจ้าเลือดบริเวณผิวหนังเวลาถูก หรืออาจทาใหเ้ กดิ หัวใจลม้ เหลว กระแทกไม่รนุ แรง ระบบทางเดินอาหาร : ปวดท้องอย่างรุนแรงและ ระบบไต : ปริมาณโปรตนี ในปสั สาวะมากกว่าปกติ เฉียบพลัน ซ่ึงเป็นผลมาจากตับอ่อนอักเสบหรือลาไส้ ปัสสาวะเป็นฟอง มีเลือดปน มีอาการตัวบวม ขาดเลือด เน่ืองจากการอดุ ตนั บรเิ วณหลอดเลอื ดแดง ความดันเลือดสูง ซ่ึงอาจทาให้เกิดไตอักเสบข้ัน รุนแรงและไตวายได้ ระบบขอ้ และกล้ามเนือ : ปวดข้อ อักเสบบริเวณข้อเล็ก อาจมีอาการกล้ามเนื้ออกั เสบและกล้ามเนอ้ื ออ่ นแรง * ไม่มียารกั ษาใหห้ ายขาด ผู้ป่วยตอ้ งรกั ษาอยา่ งตอ่ เนื่องและปฏบิ ัติตามคา้ แนะนา้ ของแพทย์อยา่ งเคร่งครัด
ความผิดปกติของระบบภมู คิ ุม้ กัน โรคภมู คิ มุ้ กันบกพร่อง โรคท่ีเกดิ จากการตดิ เชอื ไวรสั HIV (human immunodeficiency virus) เขา้ ทา้ ลายเซลลเ์ ซลล์ทีผู้ชว่ ย 1 ร่างกายได้รับเช้อื ไวรสั HIV ทา้ ใหร้ ะบบภูมคิ มุ้ กนั ทา้ งานไดอ้ ยา่ งไมม่ ีประสิทธภิ าพ 3 1 2 ไวรัส HIV จบั กบั เซลล์เจ้าบ้านและปลอ่ ย 4 RNA ของไวรสั RNA ซ่ึงเปน็ สารพันธกุ รรมเข้าสู่เซลลเ์ จา้ บา้ น 5 DNA ของไวรัส 2 ไวรัส HIV 3 เอนไซม์รีเวอร์สทรานสคริปเทส (reverse transcriptase 6 DNA enzyme) เปล่ียน RNA ของไวรัสเป็น DNA โดยใช้นิวคลี- ของเซลล์เจ้าบา้ น โอไทด์ของเซลล์เจ้าบา้ น ไวรัสตวั ใหมแ่ ละโปรตนี 4 DNA ของไวรสั HIV รวมตัวกบั DNA ของเซลลเ์ จา้ บา้ น และมีการสงั เคราะห์ โปรตีนในส่วนทเี่ ป็นสารพนั ธุกรรมของไวรสั แทรกอยู่ 5 โปรตีนท่ีสังเคราะห์ขึ้นถูกตัดแยกเอาโปรตีนท่ีเป็นส่วนประกอบของไวรัสและนามาสร้าง ไวรัส HIV ตัวใหม่ 6 ไวรสั HIV ใชผ้ นงั ของเซลล์เจ้าบ้านสร้างผนังของไวรัสและแยกออกจากเซลล์เจ้าบ้าน แล้วแพร่กระจายไป ยังเซลล์อ่ืน ๆ ทาใหม้ ีการเพ่มิ จานวนอยา่ งรวดเร็ว
ความผิดปกติของระบบภมู คิ มุ้ กนั โรคภมู ิคมุ้ กันบกพร่อง (การเปล่ยี นแปลงปรมิ าณเซลลต์ ่าง ๆ) ช่วงแรก (0-2 ปี) ร่างกายสรา้ งเซลล์ทีผ้ชู ว่ ยกระตุ้นเซลลบ์ ใี หส้ ร้างแอนติบอดี ท้าให้ มีเซลลท์ ผี ้ชู ่วยและแอนติบอดปี ริมาณมาก แตเ่ ชอื ไวรัสมปี ริมาณ ลดลงอย่างรวดเรว็ ชว่ งหลงั (ตงั แต่ปีที่ 3) เชอื ไวรสั HIV เพมิ่ จา้ นวนกลับขนึ มา และเขา้ ทา้ ลายเซลล์ทีผู้ช่วย ซ่งึ เป็นเซลลเ์ ป้าหมาย ทา้ ให้เซลลท์ ีมีปรมิ าณลดลดลงอยา่ งรวดเรว็ การตดิ ตอ่ เพศสมั พนั ธ์ เลอื ด แมส่ ู่ลูก
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: