2หน่วยการเรยี นรู้ท่ี โครงสร้างและหน้าท่ีของพชื ดอก ผลการเรียนรู้ • อธิบายเกี่ยวกับชนิดและลกั ษณะของเนอื้ เยอื่ พืช และเขียนแผนผังเพอื่ สรปุ ชนิดของเนอ้ื เยอ่ื พืช • สังเกต อธบิ าย และเปรียบเทยี บโครงสรา้ งภายในของรากพชื ใบเล้ียงเดยี่ วและรากพืชใบเลี้ยงคูจ่ ากการตัดตามขวาง • สงั เกต อธบิ าย และเปรียบเทยี บโครงสรา้ งภายในของลาตน้ พชื ใบเลี้ยงเด่ียวและลาต้นพืชใบเลย้ี งคู่จากการตัดตามขวาง • สังเกต และอธิบายโครงสรา้ งภายในของใบพืชจากการตัดตามขวาง • สืบคน้ ข้อมูล สังเกต และอธบิ ายการแลกเปลย่ี นแก๊สและการคายน้าของพืช • สบื ค้นข้อมลู และอธิบายกลไกการลาเลยี งนา้ และธาตุอาหารของพืช • สืบค้นขอ้ มลู อธบิ ายความสาคัญของธาตอุ าหาร และยกตัวอย่างธาตอุ าหารท่ีสาคัญที่มผี ลต่อการเจรญิ เตบิ โตของพชื • อธบิ ายกลไกการลาเลียงอาหารในพชื
เนอ้ื เย่อื พืช เนือ้ เย่ือเจรญิ (meristematic tissue) เนอื้ เยอ่ื เจรญิ ประกอบดว้ ยเซลลเ์ จรญิ ท่ีมีนิวเคลยี สขนาดใหญ่ สามารถคงคณุ สมบัตกิ ารแบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ ได้ตลอดชีวติ แบง่ ออกได้เปน็ 3 ชนิด ดังนี้ เน้ือเยือ่ เจรญิ ส่วนปลาย เนือ้ เยอ่ื เจริญเหนอื ข้อ เนอ้ื เยือ่ เจรญิ ด้านขา้ ง (apical meristem) (intercalary meristem) (lateral meristem)
เนื้อเย่อื พืช เนื้อเย่ือเจริญส่วนปลาย (apical meristem) การเจรญิ ของเน้ือเยอื่ เจริญสว่ นปลาย เปน็ การเจรญิ แบบปฐมภูมิ ทาให้ส่วนต่างๆ ของพืชยาวเพม่ิ ขึ้น เน้ือเยื่อเจริญปลายยอด เนอื้ เยื่อเจรญิ ปลายราก ถา้ พบบริเวณยอดพชื เรยี กว่า เนอื้ เย่อื เจรญิ ปลายอด ถ้าพบบรเิ วณปลายราก เรียกวา่ เนอื้ เยอื่ เจรญิ ปลายราก
เน้อื เยื่อพชื เนื้อเยื่อเจริญเหนอื ข้อ (intercalary meristem) เน้อื เย่ือเจรญิ เหนอื ข้อ เป็นการเจรญิ แบบปฐมภูมิ ทาให้บริเวณข้อของพืชยืดยาวเพ่ิมขน้ึ เนอ้ื เย่ือเจรญิ เหนือขอ้ พบอยู่ระหว่างข้อตรงบริเวณเหนือข้อล่าง ข้อหรือปลอ้ งบริเวณนจี้ ะแบง่ เซลลไ์ ดย้ าวนานกวา่ บริเวณอื่น ส่วนใหญ่มกั พบในพชื ใบเลี้ยงเด่ยี ว เชน่ หญา้ ข้าว ขา้ วโพด ไผ่
เน้อื เยอื่ พืช เนอื้ เยือ่ เจริญดา้ นขา้ ง (lateral meristem) เนื้อเยอื่ เจรญิ ดา้ นขา้ งเปน็ เนื้อเย่ือท่ีอยู่ในแนวขนานกบั เสน้ รอบวง เรยี กว่า แคมเบยี ม ซ่ึงเป็นเนอ้ื เยอื่ ที่มีการเจรญิ แบบทุติยภมู ิ ทาให้ลาตน้ หรือรากพืชมขี นาดเส้นผา่ นศูนยก์ ลางเพิ่มขนึ้ คอร์กแคมเบียม พบในชั้นเอพเิ ดอร์มิส เน้ือเยอ่ื เจรญิ ด้านขา้ ง วาสคิวลารแ์ คมเบยี ม อยรู่ ะหวา่ งเน้อื เยื่อทอ่ ลาเลยี งน้าและทอ่ ลาเลยี งอาหาร
เน้ือเยอ่ื พชื เนื้อเย่อื ถาวร (permanent tissue) เน้อื เยือ่ ถาวรมหี ลายชนดิ แตล่ ะชนดิ พัฒนาและเปลีย่ นสภาพมาจากเน้อื เย่ือเจรญิ โดยเนอื้ เยือ่ ถาวรแบ่งไดเ้ ปน็ 3 ระบบ ดงั น้ี ระบบเน้อื เยือ่ ผวิ ระรบะบบบเเนนอ้ือื้ เเยยอ่ื ่อื ผพิวนื้ ระบบเน้ือเย่อื ท่อลาเลยี ง
เนอ้ื เยอ่ื พืช ระบบเนื้อเย่อื ผิว เอพิเดอรม์ สิ เอพเิ ดอรม์ ิส เปน็ เนือ้ เยอื่ ท่อี ยู่รอบนอกสดุ ของสว่ นตา่ ง ๆ ของพืช สว่ นใหญ่เปน็ เซลล์ผวิ ที่เรียงตวั กนั เพยี งช้นั เดียว เซลลค์ ุม ชน้ั เอพเิ ดอร์มสิ บริเวณผวิ ใบจะพบเซลล์คุม ทมี่ ีรปู รา่ งคลา้ ยไตหรอื เมลด็ ถั่วแดง รปู ากใบ ชัน้ เอพเิ ดอรม์ ิสในรากพชื ประกอบดว้ ยเซลลผ์ ิวและเซลลข์ นราก แตไ่ ม่พบเซลล์คุม
เน้อื เยอื่ พืช ระบบเนื้อเยอื่ ผิว เพริเดริ ม์ เกดิ จากการแบง่ ตัวของเนือ้ เยอ่ื บริเวณเส้นรอบวงของรากและลาต้น เพริเดริ ม์ ประกอบดว้ ยกล่มุ เซลลช์ นั้ นอกสุด คือ คอร์ก หรือเฟลเลม ชั้นถดั มา คือ คอร์กแคมเบยี มหรอื เฟลโลเจน และชั้นในสุด คือ เฟลโลเดิรม์ พบในพืชท่มี ีอายุมาก
เนื้อเย่อื พืช ระบบเน้อื เยอ่ื พนื้ พาเรงคมิ า ประกอบดว้ ยเซลลพ์ าเรงคิมา เปน็ เซลล์ทีม่ ีชีวิต สว่ นใหญม่ ีรูปรา่ งค่อนข้างกลม ภายในมีแวคิวโอลขนาดใหญ่ มีผนังเซลลป์ ฐมภูมทิ ีม่ ีความหนาบางสม่าเสมอกนั ทง้ั เซลล์ พบในบริเวณที่แตกตา่ งกัน อาจมีสว่ นประกอบแตกต่างกัน จึงมีหนา้ ท่ีท่ี หลากหลาย เช่น สังเคราะหด์ ว้ ยแสง สะสมอาหารหรอื สารต่าง ๆ ท่ีจาเป็น ต่อการดารงชีวิตของพชื
เนื้อเย่อื พชื ระบบเน้ือเยื่อพน้ื คอลเลงคมิ า เปน็ เนอ้ื เยอ่ื ท่ใี ห้ความแขง็ แรงแกโ่ ครงสรา้ งพชื พบมากบรเิ วณใต้ชั้นเอพิเดอร์มสิ ของลาตน้ ก้านใบ และแผน่ ใบ ประกอบดว้ ยเซลล์ท่เี รียกวา่ เซลล์คอลเลงคิมา ซงึ่ เป็นเซลลท์ ี่มีชีวติ มลี กั ษณะคลา้ ยกับเซลล์พาเรงคิมา แต่มผี นงั เซลลป์ ฐมภูมิคอ่ นข้างหนา และมคี วามหนาบางไมส่ มา่ เสมอกัน
เนื้อเยอ่ื พืช ระบบเน้ือเยือ่ พื้น สเกลอเรงคมิ า ทาหน้าที่ช่วยพยงุ และใหค้ วามแขง็ แรงแกส่ ่วนตา่ งๆ ของพืช ประกอบดว้ ยเซลลท์ ่ีเรยี กวา่ เซลล์สเกลอเรงคิมา ซง่ึ เป็นเซลลท์ ่ไี ม่มชี วี ิต มที ้ังผนงั เซลลป์ ฐมภูมิและผนงั เซลลท์ ุตยิ ภูมทิ คี่ ่อนข้างหนา จาแนกออกได้เป็น 2 ชนิด ตามลักษณะรูปร่างของเซลล์ ได้แก่ เซลล์เส้นใยหรือไฟเบอร์ และสเกลอรีด
เน้อื เยอื่ พชื ระบบเน้ือเยื่อทอ่ ลาเลยี ง ไซเล็ม ประกอบด้วยเซลล์ที่ทาหน้าทลี่ าเลยี งนา้ ได้แก่ เวสเซล และเทรคดี และเซลล์อน่ื ๆ ได้แก่ พาเรงคมิ า ไฟเบอร์ เป็นเซลลท์ มี่ ีรปู ร่างยาว ส่วนปลายคอ่ นข้างแหลม ทาหนา้ ที่ลาเลียงน้าและธาตอุ าหารจากรากไปยังสว่ นต่างๆ
เนื้อเยือ่ พชื ระบบเนื้อเยอ่ื ท่อลาเลยี ง โฟลเอม็ ประกอบดว้ ยเซลล์ท่ที าหน้าทล่ี าเลียงอาหาร ได้แก่ ซีฟทิวบ์ ซ่งึ มเี ซลล์ คอมพาเนยี นท่ีภายในมีนิวเคลียสควบคมุ การทางาน และมเี ซลลอ์ นื่ ๆ ไดแ้ ก่ พาเรงคิมา ไฟเบอร์ เป็นเซลล์ท่ีมชี วี ิต มรี ปู ร่างของเซลล์เปน็ ทรงกระบอก ทาหน้าท่ีลาเลียงอาหารทไ่ี ด้จากกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง
โครงสร้างและหน้าท่อี วยั วะของพชื ใบ ทาหน้าที่ผลติ อาหารโดยกระบวนการ สงั เคราะหด์ ว้ ยแสงและคายนา้ ลาต้น ทาหน้าท่ลี าเลยี งน้า ธาตุอาหาร และอาหาร ไปส่สู ่วนต่างๆ และช่วยพยุงลาตน้ ราก ทาหน้าทีด่ ูดน้าและธาตอุ าหารที่อย่ภู ายในดิน
โครงสร้างและหน้าทอี่ วยั วะของพชื โครงสรา้ งภายในของรากพชื พืชใบเลีย้ งคู่ พชื ใบเลี้ยงเด่ยี ว ไซเลม็ โฟลเอม็ 2 3 1 1 เอพเิ ดอร์มสิ เป็นเน้อื เยอ่ื ที่อยูน่ อกสดุ เซลลจ์ ะเรียงตวั เป็นแถวเดยี ว บางเซลลเ์ ปลย่ี นเปน็ ขนราก ทาหน้าทีด่ ดู นา้ และธาตุอาหาร 2 คอร์เทกซ์ เป็นบริเวณที่อย่ถู ดั จากเอพิเดอร์มิส ส่วนใหญ่เปน็ เนือ้ เย่ือพาเรงคมิ า และมชี ้นั เอนโดเดอร์มสิ ที่มแี ถบแคสพาเรยี น 3 สตีล เป็นบรเิ วณทีอ่ ยู่ถดั จากคอร์เทกซ์ ประกอบดว้ ย เพริไซเคลิ มดั ทอ่ ลาเลยี ง พธิ
โครงสรา้ งและหน้าทอี่ วยั วะของพชื โครงสรา้ งภายในของลาตน้ พชื ใบเล้ียงเดีย่ ว ไซเลม็ พืชใบเลี้ยงคู่ โฟลเอม็ โฟลเอ็ม ไซเลม็ ข้อแตกต่างระหว่างลาตน้ พืชใบเลย้ี งเดีย่ วและลาต้นพชื ใบเลี้ยงคู่ 1 กลมุ่ ท่อลาเลียงจะกระจายท่ัวไปในเน้ือเย่ือพื้น 1 กลมุ่ ทอ่ ลาเลยี งจะเรียงเป็นระเบียบในแนวรัศมี 2 ส่วนใหญ่ไม่พบเน้อื เย่อื เจรญิ วาสควิ ลารแ์ คมเบียม 2 มเี น้อื เยอื่ เจริญวาสควิ ลาร์แคมเบียมระหวา่ งโฟลเอ็ม 3 เนอ้ื เย่ือพธิ จะพบกลุ่มท่อลาเลยี งกระจายอยู่เต็ม 3 เห็นขอบเขตของเนอื้ เย่ือพธิ อย่างชัดเจน 4 สว่ นใหญ่ไม่มีการเจรญิ เติบโตทตุ ิยภูมิ 4 พิธจะถูกแทนที่ด้วยไซเล็ม เม่อื มีการเจรญิ เติบโตทตุ ิยภมู ิ
การแลกเปลย่ี นแก๊สและการคายน้าของพชื กลไกการเปิด-ปดิ ของปากใบ ปากใบเปิด H2O H2O H2O H2O ปากใบปดิ H2O H2O H2O H2O H2O H2O โพแทสเซียมไอออนแพรเ่ ขา้ สเู่ ซลล์คมุ โพแทสเซียมไอออนแพร่ออกจากเซลล์คุม ความเขม้ ขน้ ของสารละลายภายในเซลล์คมุ สงู ความเขม้ ขน้ ของสารละลายภายในเซลล์คมุ ต่า นา้ จงึ ออสโมซสิ เขา้ สเู่ ซลลค์ มุ นา้ จึงออสโมซิสออกจากเซลล์คุม
การลาเลียงนา้ และธาตุอาหารของพืช แบบอโพพลาสต์ น้าในดินจะเข้าสู่รากผ่านช้ันคอร์เทกซ์ของรากไป แบบซิมพลาสต์ น้าจะเคล่ือนผ่านเซลล์หน่ึงผ่านไปอีกเซลล์หน่ึง จ น ถึ ง ช้ั น เ อ น โ ด เ ด อ ร์ มิ ส โ ด ย น้ า จ ะ ผ่ า น จ า ก เ ซ ล ล์ ห นึ่ ง ไ ป ยั ง ทางไซโทพลาซึมท่อลาเลียง พลาสโมเดสมาตา และเย่ือหุ้มเซลล์ อกี เซลลห์ นงึ่ ทางผนงั เซลล์ หรอื ผา่ นทางช่องว่างระหวา่ งเซลล์ ผ่านชนั้ เอนโดเดอรม์ ิสกอ่ นเขา้ สู่ท่อลาเลียงไซเล็มตอ่ ไป
การลาเลียงอาหารของพชื 1 แหลง่ สรา้ ง หรอื ใบสงั เคราะห์ดว้ ยแสง สร้างอาหารประเภทน้าตาล ซฟี ทวิ บ์ตน้ ทาง 2 นา้ ตาลท่พี ืชสรา้ งขน้ึ จะถูกลาเลยี งเข้าสู่ซีฟทิวบ์ ในรูปของน้าตาล ซโู ครส ดว้ ยกระบวนการแพรแ่ บบแอกทฟี ทรานสปอรต์ ทาให้ความ ไซเลม็ โฟลเอ็ม 2 1 เข้มขน้ ของสารละลายซูโครสบริเวณซฟี ทิวบต์ น้ ทางสูงขึ้น เซลลค์ อม- แหลง่ สร้าง 3 น้าที่อยภู่ ายในท่อไซเลม็ จึงออสโมซิสเขา้ สซู่ ฟี ทิวบ์ต้นทางช่วยลาเลียง สารละลายซูโครสไปยงั แหลง่ ใช้ นา้ พาเนียน 4 นา้ ตาลซูโครสจะแพรแ่ บบแอกทฟี ทรานสปอรต์ เข้าสู่เนอ้ื เย่ือพืช หรอื 3 บริเวณแหล่งใช้ ทาให้ความเข้มขน้ ของสารละลายซโู ครสบริเวณ ซีฟทวิ บป์ ลายทางตา่ ลง โมเลกลุ น้าตาลซโู ครส 5 นา้ ทอี่ ยภู่ ายในซฟี ทิวบ์ปลายทางจึงออสโมซิสออก เข้าสู่ท่อไซเลม็ 4 5 น้า เซลลค์ อม- แหล่งใช้ พาเนียน ซีฟทวิ บ์ลายทาง
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: