วชิ าฟสกิ ส O-NET อาจารยป ยะวฒั น วริ ชั วฒั นกลุ
วิชาฟิสิกส์ (วิทยาศาสตร์ 05) หน้า 1 แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน 1. แผ่นโลหะคู่ขนานถูกตอ่ เข้ากับเครอ่ื งจ่ายไฟฟา้ กระแสตรงทำใหเ้ กดิ สนามไฟฟ้าสม่ำเสมอ ยิง อนภุ าคซง่ึ มีประจุเข้ามายงั บริเวณแผ่นโลหะคขู่ นานจนเกดิ วถิ กี ารเคล่อื นทดี่ งั ภาพ ขอ้ ใดสรุป ถกู ต้องเกีย่ วกับชนดิ ประจแุ ละศกั ยไ์ ฟฟ้าของแผ่นโลหะท้งั แผน่ บนและแผน่ ลา่ ง ชนดิ ประจุ ศักย์ไฟฟา้ แผน่ โลหะแผน่ บน ศกั ย์ไฟฟา้ แผน่ โลหะแผน่ ลา่ ง 1 บวก สงู ต่ำ 2 บวก ตำ่ สงู 3 ลบ สงู ต่ำ 4 ลบ ศนู ย์ ตำ่ ตอบ. 1 เสน้ แรงไฟฟ้าดังภาพโจทย์ มที ศิ “พงุ่ ลง” จากหลักสนามไฟฟ้ามที ศิ พ่งุ ออกจากขว้ั บวก (ศักย์ไฟฟ้าสูง) ไปยงั ขั้วลบ (ศกั ยไ์ ฟฟ้าต่ำ) ทำใหท้ ราบว่า แผน่ โลหะคูข่ นานแผน่ บนมศี กั ยไ์ ฟฟา้ สูงกว่าแผ่นลา่ ง พจิ ารณาทิศการเบนของอนภุ าคซึ่งมปี ระจุที่ถูกยิงเข้ามาในสนามไฟฟา้ ประจจุ ะเคลอ่ื นทใี่ น บรเิ วณท่มี สี นามไฟฟ้า โดยหลัก “ประจบุ วกเคล่ือนทีต่ ามสนามฯ และประจลุ บเคลอ่ื นทส่ี วนสนามฯ” ทำใหท้ ราบว่าอนุภาคดังกล่าวมปี ระจเุ ปน็ บวก เน่อื งจากถูกแรงกระทำใหเ้ คลือ่ นทีเ่ บนลงตามทิศ
ฟิสิกส์ฟารม์ วิทยาศาสตร์ (ฟิสิกส์) O-NET PHYXERCISE สนามของแรง 1. โดยปกติแลว้ พ้ืนผิวโลกมสี ภาพเปน็ กลางทางไฟฟา้ เนอ่ื งจากประจุไฟฟ้าบวกและลบมีจำ�นวนเทา่ ๆ กนั แตใ่ นชว่ งท่ี เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง บริเวณฐานเมฆจะมปี ระจไุ ฟฟา้ ลบอยู่เปน็ จำ�นวนมากดังภาพ แรงไฟฟ้าและสนามไฟฟ้าจาก ฐานเมฆจะทำ�ให้พนื้ ผิวโลกท่อี ยใู่ ตฐ้ านเมฆไมเ่ ปน็ กลางทางไฟฟา้ ประจุลบ ฐานเมฆ จดุ X พ้ืนผวิ โลกใต้เมฆ จากภาพ ทศิ ทางของสนามไฟฟ้าระหว่างฐานเมฆกับพน้ื ผิวโลกใต้เมฆเปน็ อยา่ งไร และถา้ นำ�อนภุ าคทีม่ ปี ระจไุ ฟฟา้ ลบตวั หน่ึงไปไว้ที่จุด X จะมีแรงไฟฟ้าจากฐานเมฆกระทำ�ต่ออนุภาคดงั กล่าวหรือไม่ อยา่ งไร ทิศทางของสนามไฟฟา้ แรงไฟฟา้ 1. เข้าหาเมฆ ไม่มี เพราะมีประจุไฟฟ้าลบเหมอื นกนั 2. เขา้ หาเมฆ มี โดยมีทศิ ทางออกจากเมฆ 3. ออกจากเมฆ ไมม่ ี เพราะมีประจไุ ฟฟา้ ลบเหมอื นกัน 4. ออกจากเมฆ มี โดยมีทิศทางเขา้ หาเมฆ 5. ออกจากเมฆ มี โดยมีทศิ ทางออกจากเมฆ 2. จุด A และ B อยูภ่ ายในเสน้ สนามไฟฟา้ ท่ีมีทิศตามลกู ศรดงั รูป ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้ถกู ต้อง AB 1. วางประจุลบลงที่ A ประจุลบจะเคลอื่ นไปท่ี B 2. วางประจบุ วกลงท่ี B ประจุบวกจะเคลื่อนท่ีไปที่ A 3. สนามไฟฟา้ ที่ A สูงกว่าสนามไฟฟา้ ท่ี B 4. สนามไฟฟ้าท่ี A มีคา่ เทา่ กับสนามไฟฟา้ ท่ี B 7PhysicsFarm
ฟิสิกส์ฟาร์ม วทิ ยาศาสตร์ (ฟิสกิ ส)์ O-NET 3. วางแทง่ แม่เหลก็ 2 แท่ง ในตำ�แหนง่ ดงั ท่ีกำ�หนดในภาพ จากน้ัน ยงิ อเิ ล็กตรอนเขา้ ไปทต่ี รงกลางระหว่างแทง่ แมเ่ หลก็ ท้ังสองในทิศพุ่งเข้าและต้ังฉากกบั ระนาบของกระดาษ พบวา่ อิเล็กตรอนเบนไปทางดา้ นบน กำ�หนดให้ แทน อเิ ลก็ ตรอนทก่ี ำ�ลังเคลื่อนท่พี ่งุ เขา้ และตงั้ ฉากกบั ระนาบของกระดาษ แทน ตำ�แหน่งทีส่ ามารถวางแทง่ แม่เหล็กได้ บน B ซา้ ย A C ขวา D ล่าง จากขอ้ มูล สนามแม่เหล็กมที ิศทางใด ขั้วเหนือและขว้ั ใตข้ องแทง่ แม่เหล็กคือตำ�แหน่งใด ทศิ ท างของส นามแม่เหลก็ ตำ�แหนง่ ข้ัวแมเ่ หล็ก 1. จาก A ไปหา C ข้วั เหนือ ขัว้ ใต้ 2. จาก A ไปหา C 3. จาก B ไปหา D C A 4. จาก B ไปหา D A C 5. จาก C ไปหา A B D D B A C 4. ในรูปซ้าย A และ B คอื เสน้ ทางการเคลือ่ นทขี่ องอนุภาค 2 อนภุ าคท่ีถกู ยิงมาจากจุด P ไปทางขวาเข้าไปในบริเวณ ทม่ี ีสนามแม่เหล็ก (ดรู ปู ซา้ ย) ถ้านำ�อนภุ าคทงั้ สองไปวางลงในบริเวณท่มี ีสนามไฟฟ้าดงั รูปขวา จะเกิดอะไรขน้ึ (ด แทนสนามแม่เหลก็ ทม่ี ีทิศพุ่งเขา้ และตั้งฉากกับกระดาษ) สนามไฟฟ้า 1. A เคล่ือนที่ไปทางขวา ส่วน B เคลือ่ นที่ไปทางซ้าย 2. A เคล่อื นท่ีไปทางซ้าย สว่ น B เคลื่อนท่ีไปทางขวา 3. ท้ัง A และ B ต่างก็เคล่ือนท่ีไปทางขวา 4. ท้งั A และ B ตา่ งกเ็ คล่อื นทไ่ี ปทางซา้ ย 8www.PhysicsFarm.org
ฟสิ กิ สฟ์ าร์ม วทิ ยาศาสตร์ (ฟสิ กิ ส)์ O-NET 5. ถ้าสมมติในอนาคตแรงนวิ เคลยี รห์ ายไปจากธรรมชาติ “ทกุ อะตอมจะไม่สามารถคงสภาพอะตอมได”้ คำ�กล่าวขา้ งตน้ ถูกต้องตามหลักการของแรงในธรรมชาตหิ รอื ไม่ เพราะเหตใุ ด 1. ถูกต้อง เพราะจะไม่มีแรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งโปรตอนและนิวตรอนที่ทำ�ให้มนี ิวเคลยี ส 2. ถกู ตอ้ ง เพราะจะไม่มีแรงทีท่ ำ�หน้าท่ีดึงดูดระหว่างนวิ ตรอนกับอเิ ล็กตรอนท่อี ยูร่ อบๆ 3. ไม่ถูกตอ้ ง เพราะยังมแี รงยดึ เหนี่ยวระหว่างนวิ คลีออนที่ทำ�ใหม้ นี วิ เคลียส 4. ไมถ่ กู ต้อง เพราะยังมแี รงไฟฟ้าระหว่างโปรตอนกับอิเล็กตรอนท่ีอยู่รอบๆ ให้คงสภาพอะตอมได้ 5. ไมถ่ ูกตอ้ ง เพราะยงั มีแรงโนม้ ถ่วงกระทำ�ระหว่างโปรตอน นวิ ตรอนและอเิ ลก็ ตรอนให้คงสภาพอะตอมได้ 6. พิจารณาความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสนามโนม้ ถ่วงของโลกกบั ความสงู จากพืน้ ผวิ โลกดังกราฟต่อไปน้ี สน ามโน้มถว่ ง (N/kg) 12.0 10.0 8.0 6.0 4.0 2.0 ความสงู จาก 0 5,000 10,000 15,000 20,000 พ้นื ผวิ โลก (km) ขอ้ ความตอ่ ไปน้กี ลา่ วถูกต้องตามหลักการของสนามโนม้ ถว่ งใชห่ รอื ไม่ ใช่ หรอื ไม่ใช่ ข้อความ ใช่ / ไมใ่ ช่ 43.1 แรงโนม้ ถ่วงของโลกทีก่ ระทำ�ตอ่ วัตถุทีม่ ีมวล 6 กิโลกรัม ซ่งึ อยทู่ คี่ วามสูงจากพืน้ ผิวโลก ใช่ / ไม่ใช่ 5,000 กิโลเมตร มคี า่ เป็นครง่ึ หน่ึงของนาํ้ หนกั ของวัตถนุ ัน้ ทีพ่ ้ืนผวิ โลก ใช่ / ไมใ่ ช่ 43.2 ถ้าทดลองปล่อยวัตถุทม่ี มี วล 2 กโิ ลกรัม ให้ตกแบบเสรีแล้ววตั ถุเริ่มต้นเคลอ่ื นที่ด้วย ความเรง่ โนม้ ถ่วง 2.0 เมตรตอ่ วินาท2ี แสดงว่า วัตถถุ กู ปล่อยจากความสูงจากพื้นผิวโลก 7,500 กิโลเมตร 43.3 ถ้านกั บนิ อวกาศคนหนึ่งสามารถลอยตัวอยู่ในยานอวกาศที่กำ�ลงั โคจรรอบโลกที่ความสงู จากพ้นื ผิวโลก 350 กิโลเมตร แสดงวา่ แรงโนม้ ถว่ งของโลกทกี่ ระทำ�ตอ่ นักบนิ อวกาศคน ดังกล่าวมคี า่ เทา่ กบั ศูนย ์ 9PhysicsFarm
ฟสิ กิ ส์ฟารม์ วิทยาศาสตร์ (ฟสิ กิ ส)์ O-NET 2. การเคลือ่ นทแี่ นวตรง ปริมาณการเคลือ่ นที่ ปรมิ าณ ใกล-้ ไกล (m) เรว็ -ช้า (m/s) เร่ง (m/s2) สเกลาร์ ระยะทาง s (คิดตามจรงิ ) อvตั ร=าเรstว็ v อัตราเรง่ a (ขนาดonly) คvวา=มเรstว็ ขนาดของความเรง่ การกระจดั s เวกเตอร์ (start stop) v aคว=ามเร∆ง่tv a (ขนาด+ทศิ ) FREEFALL การตกอิสระของวตั ถภุ ายใตแ้ รงดงึ ดูดของโลก คอื การเคลอ่ื นทตี่ ามแนวตรงในแนวดงิ่ โดยมีแรงโน้มถ่วงของโลก กระทำ� เพยี งแรงเดียวตลอดการเคลือ่ นที่ เง่ือนไข วตั ถตุ ้องเคลือ่ นท่ีโดยไมม่ ีแรงภายนอก ท�ำใหเ้ กดิ (เชน่ จากเคร่อื งยนต/์ เช้อื เพลิง) มากระท�ำ ปลอ่ ยลง โยนขึ้น ทกุ ๆ 1 วนิ าที ทุกๆ 1 วินาที ความเร็วเพิ่มข้นึ 10 m/s ความเร็วลดลง10 m/s สรุป ทุกๆ 1 วนิ าที ขนาดความเรว็ จะเปลี่ยนไป 10 m/s 10www.PhysicsFarm.org
ฟิสิกส์ฟาร์ม วทิ ยาศาสตร์ (ฟสิ ิกส์) O-NET PHYXERCISE การเคล่ือนท่ีแนวตรง พิจารณาขอ้ มลู ต่อไปน้เี พื่อใชใ้ นการตอบคำ�ถามข้อ 1-2 1. โดยลูกบอลขน้ึ ในแนวดิ่งบนพน้ื ผิวโลก ลกู บอลเร่มิ เคล่ือนทีจ่ ากจดุ A ขึ้นไปถงึ จุด B ซึง่ อยู่สูงจากจุด A 1.225 เมตร โดยใชเ้ วลา 0.5 วินาที แล้วเคลื่อนทล่ี งถงึ จุด A อีกครั้ง จุด B 1.225 m จดุ A การเคล่อื นทข่ี องลกู บอลจากจดุ A ไปจุด B แล้วกลับมายงั จุด A อกี ครั้ง มขี นาดการกระจดั เท่าใดและมขี นาดของ ความเร็วเฉล่ียเท่าใด ขนาดการกระจดั (m) ขนาดความเร็วเฉล่ีย(m/s) 1. 0 0 2. 0 1.225 3. 0 2.450 4. 2.450 0 5. 2.450 2.450 2. ข้อความใดกล่าวถงึ การเคลื่อนทข่ี องลูกบอลได้ถูกตอ้ ง 1. ขณะขนึ้ จากจดุ A ไปจดุ B ความเร่งมีทศิ ทางข้นึ 2. ขณะขึ้นจากจดุ A ไปจุด B ความเรว็ มีขนาดเพมิ่ ข้นึ อย่างต่อเนอ่ื ง 3. ขณะอยู่ทจ่ี ดุ B ความเรง่ เป็นศูนย์ 4. ขณะลงจากจดุ B ไปจดุ A ความเรง่ มีขนาดลดลงอย่างตอ่ เนื่อง 5. ขณะลงจากจุด B ไปจดุ A ความเร็วมที ศิ ทางลง 3. จกั รยานคันหนง่ึ ขณะกำ�ลงั วง่ิ ดว้ ยความเรว็ 12 เมตรตอ่ วนิ าที คนขี่กเ็ บรก ทำ�ให้รถวง่ิ ช้าลงวนิ าทลี ะ 3 เมตรต่อวินาที นานกีว่ นิ าทีรถจึงจะหยุด 1. 2.5 2. 4.0 3. 11.0 4. 15.0 11PhysicsFarm
ฟสิ ิกส์ฟาร์ม วทิ ยาศาสตร์ (ฟสิ กิ ส)์ O-NET 12www.PhysicsFarm.org
ฟสิ ิกสฟ์ าร์ม วิทยาศาสตร์ (ฟิสกิ ส์) O-NET การวิเคราะหค์ วามเรว็ v1y v1 C vx α vx D vx α B v2y v2 ∆y usinq u A q ucosq = vx ∆x E vx q vy v ความเรว็ มีทศิ ลพั ธต์ ามแนวเส้นสมั ผสั แกน x : ความเร็วคงที่ ux = ucosθ = vx คงทต่ี ลอดการเคลื่อนท่ี แกน y : มคี วามเร่ง (g) uy = usinθ แต่ vy ความvเyรว็ เปลย่ี vนลัพไปธ์ ตลอด vลพั ธ์ = vx2 + vy2 โดย vลัพธ์ มีทศิ ตามแนวเสน้ สมั ผัส α vx ทรี่ ะดบั ความสงู เดียวกัน ขนาดของความเรว็ มคี ่าเทา่ กนั แvvลyxะ มมุ ท่คี วามเรว็ ทง้ั สองทำ� กับ แกนราบจะมขี นาดเทา่ กนั ดว้ ย (หามุม α โดย α = tan–1 ทจ่ี ุดน้นั ) ทีจ่ ดุ สูงสดุ vy = 0 ; vx ≠ 0 vลัพธ์ ≠ 0 ตัวอย่าง t=1s vyt == 2 s vy = C vx = t=0s B vx = g D vxt == 3 s uy = 20 m/s u = 20 2 m/s vy = A 45 ux = t=4s vx = E x1 x2 vy = 13PhysicsFarm
ฟิสิกส์ฟาร์ม วทิ ยาศาสตร์ (ฟิสกิ ส)์ O-NET PHYXERCISE การเคล่ือนที่แบบโพรเจคไทล์ 1. ยิงวตั ถุ A B และ C ข้นึ จากพน้ื ที่ตำ�แหน่งเดยี วกนั ทำ�มมุ กบั พื้น 20 องศา 45 องศา และ 70 องศา ตามลำ�ดบั พบว่า วัตถุทั้งสามชน้ิ มเี ส้นทางการเคล่อื นทเี่ ป็นดงั ภาพ และตกถงึ พ้นื ท่ีตำ�แหน่งเดยี วกัน กำ�หนดให้ ไม่ต้องพิจารณาแรงต้านของอากาศ วัตถุ C วัตถุ B วตั ถุ A ข้อความใดกล่าวถูกตอ้ ง 1. วตั ถุ C เคล่อื นทีด่ ว้ ยความเร่งมากที่สดุ 2. วัตถุ A และ C มขี นาดของความเรว็ ตน้ เท่ากัน 3. วัตถุ A มขี นาดของความเรว็ ตน้ นอ้ ยกวา่ วัตถุ B 4. วตั ถุทง้ั สามช้ินมคี วามเรว็ ในแนวระดับไม่คงตวั ตลอดการเคล่อื นที่ 5. ที่จดุ สูงสุดของวตั ถุแต่ละชน้ิ วตั ถุ C มคี วามเรว็ ในแนวดงิ่ มากที่สดุ 2. วตั ถุ A และ B ขนาดเท่ากัน แต่มวลไมเ่ ท่ากนั ถา้ ปล่อยใหว้ ตั ถุ A ตกอย่างเสรี สว่ น วัตถุ B ถกู ขวา้ งออกไปในแนว ราบจากท่สี ูงระดบั เดยี วกบั A ดังรูป ตวั เลอื กใดถูกตอ้ ง 1. แรงท่กี ระทำ�กับวัตถุ B มากกวา่ วตั ถุ A 2. ความเรง่ ของวัตถุ A น้อยกวา่ วัตถุ B 3. ความเรว็ ของวัตถุ A และ B ที่ระดับเดยี วกันมคี ่าเท่ากนั 4. เวลาตง้ั แต่เรม่ิ จนกระทง้ั วตั ถุทงั้ สองกระทบพื้นมีค่าเท่ากัน 14www.PhysicsFarm.org 57
ฟสิ ิกส์ฟารม์ วทิ ยาศาสตร์ (ฟสิ ิกส์) O-NET PHYXERCISE ปฏกิ ิรยิ านิวเคลยี ร์ และ ครึ่งชวี ิต 1. พิจารณาปฏกิ ิริยานวิ เคลยี ร์ต่อไปน้ี 49Be + 24He 126C + 10X กำ�หนดให้ มวลรวมของนวิ เคลียสกอ่ นเกิดปฏิกริ ยิ านวิ เคลยี ร์ เท่ากับ 21.61×10(-27) กโิ ลกรมั มวลรวมของนิวเคลียสกอ่ นเกดิ ปฏกิ ริ ิยานิวเคลียร์ เทา่ กบั 21.60×10(-27) กโิ ลกรมั อัตราเรว็ ของแสงในสญุ ญากาศ เทา่ กบั 3×108 เมตรตอ่ วินาที ขอ้ ความใดกลา่ วถูกตอ้ ง 1. 1100XX มีมวลเปน็ ศูนย์ 2. มีประจไุ ฟฟา้ บวก 3. ปฏิกิรยิ านวิ เคลียร์น้ีเป็นนวิ เคลยี รฟ์ ิชชนั 4. พลังงานที่ได้จากปฏกิ ริ ยิ านิวเคลยี ร์ เท่ากบั 9×10(-13) จลู 5. มวลรวมของนิวเคลียสหลังเกิดปฏกิ ิริยานวิ เคลียร์ มคี า่ ลดลง 0.01 กโิ ลกรัม 2. เมอื่ วันที่ 1 มกราคม 2563 พบสารกัมมันตรังสชี นดิ หนง่ึ 8,000 มลิ ลิกรมั ตอ่ มา วนั ที่ 5 มกราคม 2563 มสี ารกมั มนั ตรงั สชี นิดน้ี เหลอื อยู่เพียง 500 มลิ ลิกรัม จากขอ้ มูล สารกมั มนั ตรังสีดังกลา่ วมีค่าคร่ึงชีวิตเท่าใด และวันที่ 7 มกราคม 2563 จะเหลอื สารกัมมันตรังสเี ทา่ ใด คร่ึงชีวิต(ชัว่ โมง) สารกมั มนั ตรังสี ณ วันท่ี 7 มกราคม 2563 (mg) 1. 24 62.5 2. 24 125.0 3. 24 250.0 4. 30 125.0 5. 30 250.0 15PhysicsFarm
วิชาธรณีวิทยา/ดาราศาสตร์ (วิทยาศาสตร์ 05) หน้า 1 แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน 1. อลั เฟรด เวเกเนอร์ เปน็ ผู้ทต่ี ง้ั สมมตฐิ านว่าผืนแผ่นดนิ ทง้ั หมดบนโลก แตเ่ ดมิ เปน็ ผืนแผ่น เดียวกันหมด ตอ่ มาไดแ้ ยกออกจากกันเป็นสองมหาทวปี ใหญ่ ขอ้ ใดคือชอื่ แผ่นดิน และมหา ทวีปดงั กล่าวทถ่ี กู ตอ้ ง แผน่ ดนิ สองมหาทวีป 1 พันเจีย ลอเรเซยี / กอนดว์ านา 2 แพนธาลัสซา พนั เจีย / ลอเรเซีย 3 เนอรว์ านา พันเจยี / กอนดว์ านา 4 แพนธีออน พนั เจยี / แพนธาลัสซา ตอบ. 1 ตามทฤษฎที วีปเล่ือนของอลั เฟรด เวเกเนอร์ แผน่ ดินทัง้ หมดบนโลกเคยรวมเป็นผืนแผน่ ดนิ เดียวกนั เรียกวา่ พนั เจีย (Pangaea) ต่อมาไดแ้ ตกออกเปน็ สองมหาทวปี ใหญ่ คือ ลอเรเซีย ทางตอน เหนอื และกอนด์วานา ทางตอนใต้ จากนน้ั จะไดแ้ ตกออกมาเปน็ ทวปี ต่างๆ ดังปรากฏในปจั จุบัน
วิชาธรณีวิทยา/ดาราศาสตร์ (วิทยาศาสตร์ 05) หน้า 4 4. ดาวเทียมส่อื สาร A โคจรรอบโลกทรี่ ะดบั ความสูงจากจุดศูนย์กลางโลกสงู กวา่ ดาวเทยี มสอื่ สาร B 2 เทา่ เวลาทใี่ ช้ในการโคจรรอบโลกของดาวเทยี มท้งั สองจะเทา่ กนั หรอื ไม่ อยา่ งไร ขอ้ ใดกลา่ วถูกตอ้ ง 1. เทา่ กัน เน่อื งจากโคจรรอบดาวศูนยก์ ลางเดยี วกนั 2. เท่ากนั เน่อื งจากมวลของดาวเทยี มไม่มผี ลตอ่ ความเร็วในการโคจรรอบโลก 3. ไม่เท่ากัน เน่ืองจากโคจรรอบดาวศนู ยก์ ลางทคี่ วามสูงตา่ งระดับกนั โดยดาวทมี่ ีรัศมีการโคจร มากกว่า จะความเร็วโคจรสงู กว่า ทำใหใ้ ช้เวลาในการโคจรสนั้ กวา่ 4. ไมเ่ ทา่ กนั เนอื่ งจากโคจรรอบดาวศูนยก์ ลางท่คี วามสูงต่างระดบั กนั โดยดาวท่มี ีรัศมกี ารโคจร มากกว่า จะความเรว็ โคจรต่ำกว่า ทำให้ใช้เวลาในการโคจรนานกว่า ตอบ 4 จาก vc = GM พบวา่ เมื่อดาวศูนยก์ ลางเดยี วกัน ( M เทา่ กนั ) ทำให้ vc ∝ 1 R R ดาวเทียมทม่ี ีรัศมกี ารโคจรมากกวา่ (โคจรทร่ี ะดับวัดจากศูนย์กลางโลกสูงกว่า) จะมีความเรว็ ในการโคจรน้อย (ตามหลกั การแปรผกผัน) ทำใหใ้ ช้เวลาโคจรครบรอบนานกว่า
วิชาธรณีวิทยา/ดาราศาสตร์ (วิทยาศาสตร์ 05) หน้า 5 5. การขนสง่ ในอวกาศมคี วามทา้ ทายท่ีย่ิงใหญค่ อื การเอาชนะแรงดงึ ดูดอนั มหาศาลจากโลก จากกฎ แรงโนม้ ถว่ ง ยง่ิ มมี วลมากเท่าไร จะย่ิงเกิดแรงดึงดูดกระทำตอ่ วัตถุมากเท่านน้ั นกั วทิ ยาศาสตร์แก้ ปัญหาในการเดินทางสอู่ วกาศในด้านน้ีโดยใชห้ ลกั การที่สำคญั ท่สี ุดในข้อใดต่อไปน้ี 1. ออกแบบจรวดขนสง่ เป็นชั้นๆ ประกอบเข้าดว้ ยกนั 2. ออกแบบจรวดขนส่งโดยใชว้ ัตถมุ วลเบา 3. ออกแบบจรวดขนส่งให้มรี ปู ทรงไมป่ ะทะสรา้ งแรงตา้ นตอ่ อากาศ 4. ออกแบบจรวดขนส่งโดยใชเ้ ครอ่ื งยนตข์ นาดเลก็ มวลนอ้ ย ทีม่ ีแรงขบั ดนั สูง ตอบ 1 โรเบริ ต์ กอดดาร์ด ประสบความสำเรจ็ ในการพัฒนาเทคโนโลยีขนสง่ อวกาศโดยการนำจรวด มาตอ่ กนั เป็นชน้ั ๆ แยกเชือ้ เพลงิ และสารท่ชี ่วยในการเผาไหมอ้ อกจากกนั เม่อื เช้ือเพลิงชน้ั ไหนใช้ หมดลง ก็ใหส้ ลัดชิน้ ส่วนนั้นเปน็ การลดมวล และลดผลกระทบจากแรงดึงดูดระหวา่ งมวลทีเ่ กดิ ข้นึ
ก าร 1. โลกและการเปล่ียนแปลง GEOXERCISE 1. การศกึ ษาหลกั ฐานทางธรณีวทิ ยาท่พี บในปจั จุบนั ของแผ่นธรณใี นพ้ืนท่ศี ึกษา 6 แผ่น ไดแ้ ก่ A B C D E และ F พบวา่ กลมุ่ หินทพ่ี บในแผน่ ธรณีท้ังหกแผน่ เปน็ กลมุ่ หนิ ประเภทเดียวกันและมีอายุอย่ใู นช่วง 500-146 ลา้ นปกี อ่ น นอกจากน้ี ยังพบหลักบานจากซากดกึ ดาำ บรรพ์และหลกั ฐานจากภมู ิอากาศโบราณ ดงั ตาราง ซากดึกดาำ บรรพ์ท่ีพบ หินทีเ่ กดิ จากการสะสมตวั แผ่นธรณี อายุ 4ส8ัต8ว-์บ4ก70กล. า้ นปี อายุ 3ส5ัต9ว-บ์ 2ก99ขล. ้านปี อายุ 15ส0ัตลวพ์า้ นืชปค-ี ป. ัจจบุ นั ของตะกอนธารนำ้าแข็ง อายุ 280-180 ล้านปี A พบ พบ พบ พบ B พบ ไม่พบ ไมพ่ บ ไมพ่ บ C พบ พบ ไมพ่ บ ไมพ่ บ D พบ พบ ไมพ่ บ พบ E พบ พบ พบ พบ F พบ ไม่พบ ไมพ่ บ ไมพ่ บ จากหลักฐานข้างต้น นักธรณวี ิทยาคนหนงึ่ ต้งั สมมติฐานว่าในอดีตแผ่นธรณี A เคยเป็นผนื แผ่นดินขนาดใหญเ่ พียงแผน่ เดียวมากอ่ น ต่อมาเกดิ การแตกเปน็ แผ่นธรณขี นาดเล็กและเคลอ่ื นทแี่ ยกออกจากแผ่นธรณีขนาดใหญเ่ ดมิ โดยแยก ออกมาในช่วงเวลาตา่ งๆ กัน จาำ นวน 5 แผ่น ได้แก่ แผ่นธรณี B C D E และ F จากข้อมลู ถา้ สมมตฐิ านดงั กล่าวเปน็ จรงิ แผน่ ธรณีใดบ้างที่คาดว่าแตกและเคลอื่ นท่ีแยกออกมาจากแผ่นธรณี A ในช่วง 300-160 ลา้ นปีทผี่ ่านมา 1. แผ่นธรณี B และ C 2. แผ่นธรณี B และ F 3. แผน่ ธรณี C และ D 4. แผ่นธรณี D และ E 5. แผน่ ธรณี E และ F 2. หลกั ฐานที่นกั ธรณวี ิทยาและนักวทิ ยาศาสตรเ์ ชอื่ ว่าโลกของเรามีกระบวนการเปลย่ี นแปลงตลอดเวลา 1. ปรากฏการณร์ อยแตกแผน่ เปลือกโลก 2. การเกดิ แผ่นดนิ ไหว 3. การเกดิ ภูเขาและภูเขาไฟ 4. ถกู ทุกข้อ 3. ผืนแผ่นดินแผน่ เดยี วบนโลกตอ่ มาแยกเป็นทวปี ใหญ่ 2 ทวีป คอื ข้อใด 1. ยโุ รปและอเมริกา 2. เอเชียและยุโรป 3. ลอเรเซียและคอนต์วานา 4. ออสเตรเลียและแอฟริกา 2www.PhysicsFarm.org
ฟิสกิ สฟ์ ารม์ ก การ 4. แผ่นดินของทวีปอเมรกิ ากับทวีปยุโรปและทวีปแอฟริกาแยกห่างกันมากขน้ึ ตลอดเวลาเพราะเหตใุ ด 1. แผน่ เปลือกโลกเคล่อื นทีเ่ นื่องจากการไหลของแมกมาในชน้ั เนอ้ื โลก 2. หินหนืดในชั้นเนื้อโลกดนั แทรกขึ้นมาตามร้อยแตกระหวา่ งเปลอื กโลก 3. เกดิ การระเบดิ ของภูเขาไฟและแผ่นดนิ ไหวในบริเวณนีบ้ ่อยครั้ง 4. ขอ้ 1 และ 2 ถูก 5. หลกั ฐานในข้อใดสนบั สนนุ แนวคดิ ของอลั เฟรด เวเกเนอร์ ก. สภาพทางภูมิศาสตร์ของทวีปต่างๆ ท่เี คลอ่ื นต่อกนั ได้ ข. การพบซากดกึ ดำาบรรพ์ตามชายฝัง่ ท่ีสอดคลอ้ งกัน ค. โครงสร้างของหนิ ท่ีมลี กั ษณะเหมือนกนั ง. การเปลย่ี นแปลงของอากาศที่ทาำ ให้เกิดการสะสมตัวของตะกอนในบรเิ วณต่างๆ ของโลก ข้อใดถกู ต้อง 1. ขอ้ ก, ข 2. ขอ้ ก, ข, ค 3. ข้อ ก, ข, ง 4. ข้อ ก, ข, ค, ง 6. ปัจจัยสาำ คญั ทท่ี าำ ใหเ้ กดิ การเคล่อื นแผน่ ธรณีคอื ขอ้ ใดต่อไปนี้ 1. การคายความรอ้ นของผนื ดนิ และผนื นำ้า 2. ความรอ้ นใต้พิภพ 3. วงจรการพาความรอ้ นของสารรอ้ นในช้นั เนอ้ื โลก 4. ภาวะแมเ่ หล็กโลก 7. ภาพวาดแสดงหนา้ ตดั ของชน้ั หินและซากดึงดาำ บรรพ์ดชั นีทพี่ บในพน้ื ที่ 2 บรเิ วณ ซ่ึงอยู่ใกล้เคียงกัน เปน็ ดงั น้ี หอยสองฝา AE ฟิวซลู ินดิ BF ไทรโลไบตช์ นดิ ท่ี 1 ไทรโลไบตช์ นิดท่ี 2 CG หินกรวดมน หินปนู DH หินดนิ ดาน บริเวณท่ี 1 บรเิ วณท่ี 2 หินทราย จากขอ้ มูล ข้อความใดต่อไปนีไ้ ม่ถกู ต้อง รอยชนั้ ไม่ต่อเน่อื ง 1. ชัน้ หินปนู C มอี ายุใกลเ้ คียงกบั ชั้นหินปูน F 2. ชั้นหินทราย B มีอายุนอ้ ยกวา่ ชน้ั หินดนิ ดาน G 3. ในอดีต พื้นที่บรเิ วณที่ 1 และบริเวณที่ 2 ต่างเคยเปน็ ทะเลมาก่อน 4. ซากดกึ ดาำ บรรพ์ของไทรโลไบต์ท่ีพบในชัน้ หนิ บรเิ วณที่ 1 มอี ายุใกล้เคียงกบั ท่ีพบในบริเวณท่ี 2 5. ซากดึกดาำ บรรพข์ องฟิวซูลนิ ิดที่พบในชัน้ หินบริเวณท่ี 2 มอี ายุเกา่ แกก่ ว่าซากดึกดาำ บรรพ์ของหอยสองฝา ท่พี บในชนั้ หนิ บรเิ วณท่ี 1 3PhysicsFarm
ก าร . ารา า ร ววิ ัฒนาการดาวฤกษ์ M 181 M M 4www.PhysicsFarm.org
ก าร . ารา า ร NOTE 5PhysicsFarm
ก าร . ารา า ร ASTROXERCISE 1. ขอ้ มูลแสดงวิวฒั นาการของดาวฤกษ์ 3 ดวง เปน็ ดงั นี้ ดาวฤกษ์ วิวฒั นาการของดาวฤกษ์ A ดาวฤกษ์ ดาวยักษแ์ ดง ดาวแคระขาวและบวิ ลาดาวเคราะห์ B ดาวฤกษ์ ดาวยกั ษ์ใหญ่แดง หลุมดาำ และเนบวิ ลา C ดาวฤกษ์ ดาวยักษ์ใหญแ่ ดง ดาวนิวตรอนและเนบิวลา จากขอ้ มูล มวลของดาวฤกษก์ ่อนเกดิ ในข้อใดตอ่ ไปนี้ สอดคลอ้ งกับวิวฒั นาการของดาวฤกษท์ ่กี าำ หนด มวลของดาวฤกษก์ อ่ นเกดิ เทยี บกบั มวลดวงอาทติ ย์ (เทา่ ) ดาวฤกษ์ A ดาวฤกษ์ B ดาวฤกษ์ C 1. 12.6 2.5 40.0 2. 5.8 33.0 15.5 3. 14.3 17.0 8.5 4. 19.0 3.5 6.7 5. 1.4 22.5 4.2 2. ขอ้ ใดถกู ตอ้ งเกย่ี วกับดาวฤกษ์ 1. ดาวฤกษ์เกดิ จากการยบุ รวมตัวกันของเนบิวลา 2. ดาวฤกษท์ ุกดวงจะมสี ขี าวเหมอื นกันทุกดวง 3. มวลของดาวฤกษ์มคี วามสัมพนั ธ์กับสีของดาวฤกษ์ 4. ดาวฤกษจ์ ะใหก้ าำ เนิดธาตุเรเดยี ม ธาตฮุ ีเลยี ม 3. จดุ จบของดาวฤกษ์แต่ละดวงข้ึนอยกู่ ับข้อใด 1. สี 2. มวล 3. อณุ หภูมิ 4. องค์ประกอบทางเคมี 4. ขอ้ ใดถกู ตอ้ งท่ีสุด 1. ดาวฤกษท์ ่มี มี วลนอ้ ย แสงสวา่ งมาก จะมีชว่ งชีวิตยาว 2. ดาวฤกษ์ท่มี มี วลมาก แสงสว่างมาก จะมีชว่ งชวี ติ ยาว 3. ดาวฤกษท์ มี่ ีมวลน้อย แสงสวา่ งนอ้ ย จะมีชว่ งชวี ติ สั้น 4. ดาวฤกษท์ ม่ี มี วลมาก แสงสวา่ งมาก จะมีชว่ งชีวติ สัน้ 8www.PhysicsFarm.org
ก าร . ารา า ร 5. เม่อื ดาวฤกษ์มวลมากเกิดการระเบดิ บริเวณใจกลางของดาวจะยุบตัวลงกลายเปน็ สง่ิ ใด 1. ดาวแคระขาว 2. ดาวนวิ ตรอน 3. หลุมดำา 4. ขอ้ 2 และ 3 ถกู ตอ้ ง 6. ข้อใดให้ความหมายของคาำ วา่ “หลมุ ดาำ ” ถกู ต้อง 1. บริเวณที่มืดสนทิ 2. บริเวณทแ่ี สงสอ่ งไปไมถ่ ึง 3. บรเิ วณท่มี ีแรงโนม้ ถ่วงมาก 4. ผิดหมดทกุ ขอ้ 7. การยบุ ตวั ลงของแกส็ ในเนบิวลาเนอื่ งจากแรงโน้มถว่ งจะมีผลต่อขอ้ ใด 1. ความดันและอณุ หภูมิของแก๊สสูงข้นึ 2. ความดันและอุณหภูมขิ องแกส๊ ตำ่าลง 3. มวลและแสงสวา่ งของแกส๊ เพ่มิ ข้นึ 4. มวลและพลังงานของแก๊สลดตาำ่ ลง 8. ทดลองส่งจรวดขนส่งยานอวกาศออกจากวงโคจรทรี่ ะดบั ความสงู จากผวิ โลก 3 ตำาแหนง่ ดงั น้ี ตาำ แหน่งส่งจรวด ความสูงจากผวิ โลก (กโิ ลเมตร) A 0 (ท่ีผวิ โลก) B 200 C 400 จากขอ้ มลู ข้อสรปุ ตอ่ ไปน้ีถกู ตอ้ งใช่หรอื ไม่ ใช่ หรอื ไม่ใช่ ใช่ / ไมใ่ ช่ ขอ้ ความ 44.1 จรวดที่สง่ ตำาแหน่ง A ต้องมีขนาดความเร็วหลดุ พ้นมากกวา่ จรวดที่ส่งจาก ตำาแหน่ง B จึงจะข้นึ ไปพ้นจากแรงโน้มถว่ งของโลกได้ 44.2 ถา้ ตอ้ งการสง่ จรวดให้โคจรรอบโลกท่ีความสูงจากผิวโลก 10,000 กโิ ลเมตร ใช่ / ไม่ใช่ ขนาดความเร็วในวงโคจรของจรวดท่ีส่งจากตาำ แหน่ง C มีคา่ มากกวา่ ขนาด ใช่ / ไม่ใช่ ความเรว็ ในวงโคจรของจรวดทส่ี ง่ ตาำ แหนง่ A 44.3 ถ้าส่งจรวดจากตำาแหนง่ ท้ังสามด้วยขนาดความเร็วเท่ากบั ขนาดความเรว็ หลดุ พ้น ทต่ี ำาแหนง่ C แลว้ จรวดท่ีสง่ จากตำาแหนง่ ทง้ั สามจะขน้ึ ไปพน้ จากแรงโน้มถว่ งของ โลกได้ 9PhysicsFarm
ก าร . ารา า ร 9. ในการปฏิบตั ิงานในอวกาศ การใช้ยานขนสง่ อวกาศหรือจรวดดีกวา่ กันอยา่ งไร 1. จรวดดกี ว่า เพราะสามารถเผาไหม้หมดในอากาศ 2. จรวดดีกว่า เพราะสามารถทำาเปน็ ช้นั ๆ ช่วยแกป้ ญั หาเรอื่ งมวลลงได้ 3. ยานขนสง่ อวกาศดีกวา่ จรวด เพราะมลี ักษณะการสรา้ งแขง็ แรงกว่าจรวด 4. ยานขนสง่ อวกาศดีกว่าจรวด เพราะสามารถนาำ มาซ่อมแซมไดอ้ กี โดยไม่ตอ้ งทิง้ 10. การปลอ่ ยดาวเทยี มใหโ้ คจรรอบดาวเคราะหจ์ ะเกดิ แรงดึงด฿ดระหว่างดาวเทียมกบั ดาวเคราะห์น้ัน แรงดงึ ดดู น้ีขึ้นอยู่กบั อะไร ก. ระยะทางระหวา่ งดาวเคราะหก์ ับดาวเทยี ม ข. มวลของดาวเทียม ค. มวลของดาวเคราะห์ ง. ขนาดของดาวเคาะห์และดาวเทียม คาำ ตอบทีถ่ กู ต้องคือข้อใด 1. ข้อ ก. เทา่ นั้น 2. ขอ้ ก. และ ข. 3. ขอ้ ก., ข. และ ค. 4. ข้อ ก., ข., ค. และ ง. 11. ระบบขนส่งอวกาศสามารถลดค่าใช้จ่ายและเพิม่ สมรรถนะในการใชป้ ระโยชน์จากอวกาศในด้านต่างๆ เพราะสามารถ นาำ สว่ นใดของระบบขนสง่ กลบั มาใช้ไดอ้ กี หลายครงั้ 1. ยานขนส่งอวกาศ และจรวดเช้ือเพลงิ แขง็ 2. ยานขนสง่ อวกาศ และถงั เช้อื เพลงิ ด้านนอก 3. ถงั เชือ้ เพลิงดา้ นนอก และจรวดเชอื้ เพลิงแขง็ 4. ยานขนสง่ อวกาศ ถังเช้ือเพลงิ ด้านนอก และจรวดเชื้อเพลงิ แข็ง 12. การปล่อยดาวเทียมให้โคจรรอบดาวเคราะห์ จะเกดิ แรงดึงดูดระหว่างดาวเทยี มกับดาวเคราะหน์ ั้น แรงดึงดดู นขี้ ึน้ อยู่กบั อะไร ก. มวลของดาวเทียม ข. มวลของดาวเคราะห์ ค. ขนาดของดาวเคราะห์และดาวเทยี ม ง. ระยะทางระหวา่ งดาวเคราะห์กบั ดาวเทียม คาำ ตอบทีถ่ ูกต้องคอื ข้อใด 1. ขอ้ ง. เทา่ น้นั 2. ข้อ ก. และ ง. 3. ขอ้ ก., ข. และ ค. 4. ข้อ ก., ข., ค. และ ง. 13. ทำาไมกล้องโทรทรรศนฮ์ บั เบลิ สามารถเห็นดาวต่างๆ ได้ชดั เจนกว่ากล้องอนื่ ๆ บนโลกท้งั หมด 1. เลนส์มขี นาดโตมากกว่า 2. เลนส์มีคุณภาพดมี ากกวา่ 3. มเี ทคโนโลยีการถา่ ยภาพท่ที นั สมยั กว่า 4. อากาศห่อห้มุ โลกไม่รบกวน 10www.PhysicsFarm.org
Search
Read the Text Version
- 1 - 36
Pages: