วชิ าชีววิทยา อาจารยวาเลนไทน อนิ ทยิ ศ
1 แบบทดสอบกอ่ นเรียน 1. การทดลองลกั ษณะใด เป็นการทดลองท่ีเหมาะสมท่ีสุดในกระบวนการสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ ขอ้ จานวนตวั อยา่ ง ตวั แปรตน้ ชุดควบคมุ ก มาก หลายตวั ไมม่ ี ข มาก หน่ึงตวั มี ค มาก หลายตวั มี ง นอ้ ย หน่ึงตวั ไมม่ ี จ นอ้ ย หลายตวั มี 2. โครงสรา้ งใด พบใน neutrophil ไดม้ ากกวา่ ใน plasma cell 1. smooth endoplasmic reticulum 2. rough endoplasmic reticulum 3. mitochondria 4. ribosome 5. lysosome 3. ขอ้ ใดถูกตอ้ งเก่ียวกบั การลาเลียงสารอาหารผา่ นโครงสรา้ ง A และ B AB 1. fatty acid, glycerol amino acid, 2. monosaccharide 3. 4. amino acid, fatty acid glycerol, 5. monosaccharide #ครูวาฮาเฮ glycerol, amino acid, fatty acid monosaccharide fatty acid, amino acid, glycerol monosaccharide amino acid, fatty acid, glycerol monosaccharide KruValentine
2 แบบทดสอบกอ่ นเรียน 4. ขอ้ ใดเป็นอวยั วะท่ีเจริญมาจาก ectoderm, mesoderm และ endoderm ตามลาดบั 1. เลนส์ตา รังไข่ ตบั 2. อณั ฑะ ไต ตบั อ่อน 3. เลนส์ตา ไขสนั หลงั รังไข่ 4. ตบั อณั ฑะ ไต 5. ตบั อ่อน หวั ใจ ไขสนั หลงั 5. กลไกในการสร้างและหลง่ั ฮอร์โมนใดแตกต่างจากขอ้ อื่น 1. LH 2. TSH 3. insulin 4. estrogen 5. glucocorticoid 6. จากรูปแสดงการสังเคราะห์ DNA ขอ้ ใดแสดง A, B, C และ D ไดถ้ กู ตอ้ ง B C D Lagging strand DNA DNA polymerase DNA ligase A Lagging strand DNA RNA polymerase 1. Leading strand DNA Leading strand DNA DNA polymerase primase 2. Leading strand DNA Leading strand DNA DNA polymerase DNA ligase 3. DNA template Lagging strand DNA RNA polymerase 4. DNA template primase 5. DNA template primase #ครูวาฮาเฮ KruValentine
3 แบบทดสอบกอ่ นเรียน 7. จากขอ้ มลู แสดงหมเู่ ลือดของคูแ่ มล่ กู ดงั ตาราง พ่อ ขอ้ ใดคอื พอ่ ที่เป็นไปไดโ้ ดยหมเู่ ลือดระบบ MN เป็นการควบคมุ แบบ co-dominant O M Rh - A M Rh + แม่ ลกู O MN Rh + 1. O M Rh + B MN Rh - B MN Rh + 2. B MN Rh - O N Rh - AB N Rh - 3. O M Rh + A M Rh - 4. AB N Rh - B MN Rh - 5. A M Rh + AB N Rh - 8. ขอ้ ใดแสดงพนั ธุประวตั ิของครอบครวั โรคฮีโมฟิ เลีย 1. ก และ ข 2. ก และ ค 3. ค และ ง 4. ก ข และ ง 5. ข ค และ ง 9. กลุ่มอาการในขอ้ ใดท่ีมีสาเหตุจากกระบวนการ nondisjunction ของ autosome ในขณะท่ีมีการสร้างเซลลส์ ืบพนั ธุ์ของพอ่ หรือแม่ 1. Patau syndrome และ Turner syndrome 2. Edwards syndrome และ Patau syndrome 3. Turner syndrome และ Klinefelter syndrome 4. cri du chat syndrome และ Edwards syndrome 5. cri du chat syndrome และ Klinefelter syndrome 10. สตั วใ์ น Phylum Echinodermata และ Phylum Chordata มีลกั ษณะใดที่เหมือนกนั 1. มี notochord 2. มี pseudocoelom 3. มี radial symmetry 4. มี trochophore larva 5. มีช่องปากแบบ deuterostomia #ครูวาฮาเฮ KruValentine
1 ชวี วิทยา วชิ าสามญั 1. ในการศกึ ษาการงอกของเรณขู องพืช A และ พชื B เมอ6 นำเรณขู องพืชมาวางบนแผ่นสไลด์ แล้วหยดสารละลายท่ีมชี โู ครส หรอื คอปเปอร์ไอออนทม่ี คี วามเขม้ ขน้ ต่างกัน โดยมอี งค์ประกอบอน6 ๆ เหมือนกนั และทำการทดลองที่อณุ หภูมิ 25 °C ได้ผลการทดลองแสดงดงั ตาราง การทดลองที่ 1 0.30 0.45 0.60 0.75 0.90 ความเข้มข้นของชูโครส (mmol dm-3) 22.4 23.2 15.0 0.0 0.0 เรณขู องพืช A ทง่ี อก (ร้อยละ) การทดลองที่ 2 0.0 1.0 2.0 5.0 20.0 ความเข้มข้นของคอปเปอร์ไอออน (ppm) 32.5 24.0 16.2 10.6 0.0 อตั ราการยดื ยาวเฉลย่ี ของหลอดเรณขู องพชื B (umh-1) ในการออกแบบการทดลองข้างตน้ ขอ้ ใดถูกต้อง (สามัญ ’63) 1. ตวั แปรตน้ ของการทดลองท่ี 1 คือ การงอกของเรณขู องพชื A 2. ตัวแปรตามของการทดลองท่ี 2 คือ ความเข้มขน้ ของคอปเปอร์ไอออน 3. สมมตฐิ านของการทดลองที่ 1 คือ ถ้าไม่มชี ูโครส เรณขู องพชื A จะไมง่ อก 4. สมมติฐานของการทดลองที่ 2 คอื คอปเปอรไ์ อออนทำใหห้ ลอดเรณขู องพชื B ยืดยาวไดม้ ากขึ้น 5. ตวั แปรทค่ี วบคุมของการทดลองที่ 1 คือ ความเข้มข้นของซโู ครส และ การทดลองท่ี 2 คือ ความเขม้ ขน้ ของคอปเปอรไ์ อออน ตวั แปร (variable) คือ ตัวแปรต้น/อสิ ระ (independent variable) ตวั แปรตาม (dependent variable) ตัวแปรควบคมุ (controlled variable) 2. พจิ ารณาการเรียงลำดับของการจัดระบบส่งิ มีชวี ติ จากระดับเล็กไปยังระดับใหญ่ ตามลำดบั อย่างต่อเนอ6 งตามที่กำหนดให้น้ี ข้อใดคือหมายเลข 2 และหมายเลข 5 (สามญั ’ 63) ขอ้ หมายเลข 2 หมายเลข 5 1 tissue population 2. tissue community 3. organ population 4. organ community 5 ecosystem Organelle #ครวู าฮาเฮ KruValentine
2 ชีววทิ ยา วิชาสามัญ 3. เฮพารนิ (heparin) มีสมบตั ปิ อ้ งกันการแข็งตวั ของเลอื ดใชใ้ หก้ บั ผู้ปว่ ยทมี่ ภี าวะกล้ามเน้ือหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันเพ6อปอ้ งกันเลอื ดข้น เฮพารนิ เป็นพอลิเมอร์ ประกอบดว้ ยหลายหน[วยยอ่ ยเช6อมตอ่ กัน โดยหน[วยยอ่ ยท่พี บมาก แสดงดังรปู A โครงสร้งของเฮพาริน ที่ประกอบดว้ ยหน[วยย่อยนี้จำนวน 6 หนว[ ย มีโครงสร้างสามมติ ิ แสดงดงั รูป B เฮพารนิ เปน็ ชีวโมเลกลุ ขนาดใหญ่ประเภทใด (สามญั 63) 1. ลพิ ิด 2. โปรตนี 3. กรดนิวคลีอิก 4. ไกลโคโปรตนี 5. คารโ์ บไฮเดรต 4. สารชวี โมเลกลุ ขนาดใหญท่ ี่ประกอบด้วยหนว[ ยยอ่ ยมาเชอ6 มตอ่ กันดว้ ยพนั ธะตา่ ง ๆ ในข้อใดแสดงหมฟู่ ังกช์ ันท่เี ข้ามาทำปฏิกิริยาในการสรา้ งพนั ธะระหว่างหน[วยยอ่ ยที่ระบุไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง พันธะ หน[วยย่อยที่มาเช6อมต่อ หมฟู่ งั กช์ ันที่เกิดปฏกิ ิริยา 1. พนั ธะไกลโคซดิ ิก มอโนแซ็กคาไรด์ 2 หน[วย หมอู่ ะมโิ น และ หมู่คารบ์ อกซิล หมู่ซัลฟ์ไฮดริล และ หมฟู่ อสเฟต 2. พันธะไดซัลไฟด์ ซสิ เทอีน 2 หนว[ ย หมอู่ ะมิโน และ หมู่ซัลฟไ์ ฮดริล หมคู่ ารบ์ อกชลิ และ หม่ฟู อสเฟต 3. พนั ธะเพปไทด์ กรดอะมิโน 2 หนว[ ย หม่คู าร์บอกซิล และ หมไู่ ฮดรอกชิล 4. พนั ธะฟอสโฟไดเอสเทอร์ นิวคลีโอไทด์ 2 หนว[ ย 5. พันธะเอสเทอร์ กรดไขมัน กับ กลเี ซอรอล #ครวู าฮาเฮ KruValentine
3 ชีววทิ ยา วิชาสามญั #ครวู าฮาเฮ KruValentine
4 ชีววทิ ยา วิชาสามัญ 5. จากแผนภาพของเซลล์ชนดิ หนงึ่ ข้อใดถกู ตอ้ งเกยี่ วกับเชลล์น้ี กล่มุ ของสง่ิ มีชีวติ ตวั อย่าง 1. โปรคารโิ อต แบคทเี รีย 2. โปรคาริโอต อาร์เคีย 3. ยคู าริโอต เซลลป์ ลายราก 4. ยคู ารโิ อต เซลลป์ ลายน้ิว 5. โปรคาริโอต หรอื ยคู าริโอต เซลล์ไซยาโนแบคทเี รยี หรือ เซลลร์ า 6. ในการทดลองแช่เนอ้ื เยอ6 พชื 4 ชนิดในสารละลาย NaCl เป็นเวลาสน้ั ๆซงึ่ ทำใหก้ ารเพิ่มขน้ึ หรอื ลดลงของมวล ขน้ึ อยู่กบั ปรมิ าณนำ้ ท่เี ข้าหรือออกจากเซลลเ์ ท่านัน้ ภาพด้านลา่ งแสดงเปอร์เซน็ ตก์ ารเปลี่ยนแปลงมวลของเน้ือเย6อท่แี ช่ใน NaCl ความเขม้ ขน้ ตา่ งๆ การเปลี่ยนแปลงมวลของเนือ้ เยอ6 พชื ทแี่ ช่ในสารละลายเกลือ ข้อใดถกู ตอ้ ง น้ำเคล6อนทีอ่ อกจากเน้อื เยอ6 พชื C ในทุกความเขม้ ขน้ ของสารละลาย NaCl 1. การเพ่ิมหรอื ลดของมวลเน้อื เย6อพืชเหลา่ น้เี กิดจากกระบวนการลำเลยี งแบบใชพ้ ลงั งาน 2. ทคี่ วามเข้มขนั 0.0 mol dm-3 ของสารละลาย NaCl น้ำเคลอ6 นเขา้ สู่เซลล์พชื ชนิด A เท่านั้น 3. ทีค่ วามเข้มขน้ั 1.0 mol dm-3 ของสารละลาย NaCl นำ้ เคล6อนทีอ่ อกจากเซลล์พชื B, C และ D 4. ทค่ี วามเขม้ ขน้ 0.5 mol dm-3 ของสารละลาย NaCl ไม่พบการเคลอ6 นทข่ี องนำ้ เข้าหรือออกจากเซลลพ์ ืช B 5. #ครูวาฮาเฮ KruValentine
5 ชวี วทิ ยา วชิ าสามัญ 7. จากภาพระบบย่อยอาหารของมนุษย์ ขอ้ ใดถกู ต้อง อวยั วะ A และ B สร้างเอนไซมย์ ่อย polypeptide 1. โครงสร้าง B ทำหนา้ ท่เี ทยี บเท่ากบั abomasum ของสัตวเ์ คย้ี วเออ้ื ง 2. ฮอรโ์ มน CCK ยบั ยงั้ การหลง่ั HCI ในอวยั วะ B 3. โครงสรา้ ง C ผลิตนำ้ ดเี พอ6 ยอ่ ยไขมนั 4. โครงสร้าง D ผลิตฮอรโ์ มน secretin กระตุน้ การสรา้ งนำ้ ดจี ากตบั 5. 8. ขอ้ ใดถกู ต้องเก่ียวกับการดดู ซมึ สารอาหาร 1. แอลกอฮอลถ์ กู ดูดซึมไดใ้ นกระเพาะอาหาร 2. สารอาหารทกุ ชนดิ ถูกดดู ซมึ เข้าสหู่ ลอดเลือด 3. กรดอะมิโนและกรดไขมันถกู ดูดซึมเขา้ สหู่ ลอดเลือด 4. กรดไขมันและกลูโคสถูกดดู ซึมเขา้ สูห่ ลอดนำ้ เหลอื ง 5. นำ้ ถูกดูดซมึ ในกระเพาะอาหารได้มากเพราะมีขนาดโมเลกุลเลก็ #ครูวาฮาเฮ KruValentine
6 ชีววทิ ยา วชิ าสามัญ 9. กลไกการหลัง่ ฮอรโ์ มนใดท่มี รี ะบบประสาทเกี่ยวขอ้ งน้อยทสี่ ดุ 1. gonadotropin 2. endorphin 3. thyroxin 4. oxytocin 5. insulin 10. ในสภาวะท่ีระดบั แคลเซียมในเลือดสงู กวา่ ปกติ ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงเพอ6 ควบคุมสมดุลอย่างไร 1. กระตุ้นการสลายแคลเซยี มจากกระดกู 2. กระตนุ้ ตอ่ มไทรอยด์ให้หลั่ง thyroxin 3. กระตนุ้ ต่อมไทรอยด์ให้หล่ัง calcitonin 4. กระตนุ้ ต่อมพาราไทรอยดใ์ ห้หล่ัง calcitonin 5. กระตนุ้ ต่อมพาราไทรอยด์ให้หลง่ั parathormone 11. จากภาพกระบวนการสรา้ งอสจุ ิ ข้นั ตอนใดเปน็ การแบ่งเซลลแ์ บบ meiosis 1. A และ B 2. B และ C 3. C และ D 4. D และ E 5. C, D และ E #ครวู าฮาเฮ KruValentine
7 ชวี วิทยา วชิ าสามญั 12. นับตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2557 สำนกั งานหลักประกันสขุ ภาพแห่งชาติรว่ มกับกรมอนามยั จดั ทำโครงการปอ้ งกนั การตง้ั ครรภใ์ นวยั รุ่น ให้บริการฝังยาคมุ กำเนดิ ซง่ึ เป็นฮอรโ์ มน progsterme สำหรบั ฝงั ใตผ้ ิวหนังให้กบั หญิงวยั รนุ่ อายตุ ำ่ กว่า 20 ปี โดยไม่เสียค่าใช้จา่ ย การไดร้ บั ยาคมุ กำเนิดแบบฝงั ช่วยคุมกำเนิดได้เพราะเหตุใด 1. เร่งการสลายของเซลล์ไข่ 2. ลดความหนาของเย6อบุผนงั มดลกู 3. กระตนุ้ การหลัง่ ฮอร์โมน FSH และ LH 4 กระตนุ้ ให้ฟอลลเิ คิลเปล่ยี นแปลงเปน็ คอร์ปัสลูเทยี ม 5. เพม่ิ ความขน้ ของมกู บริเวณปากมดลูกเพอ6 ปอ้ งกนั การเคล6อนท่ขี องอสจุ ิ #ครวู าฮาเฮ KruValentine
8 ชีววิทยา วชิ าสามญั 13. ในการศึกษาการจริญของเอม็ บริโอกบ นกั วิทยศาสตรใ์ ช้เอ็มบริโอระยะ gastrula ดังภาพ เมอ6 ใช้สยี ้อมอย่างจำเพาะทเ่ี ซลล์ของเอ็มบรโิ อตำแหน[งตา่ งๆ ชน้ั ละ 2 สี โดยใชส้ ที มี่ คี วามคงทนและไมเ่ ป็นอนั ตรายตอ่ เซลล์ แลว้ ปลอ่ ยให้เอม็ บริโอเจริญจนส้นิ สุดระยะ organogenesis จากน้นั ติดตามตำแหนง[ ของเซลล์ทต่ี ิดสีย้อมในเนือ้ เย6อตา่ งๆไดผ้ ล ดงั ตาราง เนื้อเยอ? เซลลย์ ้อมตดิ สี ตบั เขียว สมอง แดง เลนส์ตา น้ำเงิน โนโทคอร์ด เหลือง เย6อบุทางเดนิ อาหาร ม่วง เซลลใ์ นชั้น ectoderm ของเอ็มบรโิ อ ถกู ย้อมดว้ ยสอี ะไรบา้ ง 1. เหลือง และ ม่วง 2. ม่วง และ เขยี ว 3. เขยี ว และ แดง 4. แดง และ น้ำเงนิ 5. นำ้ เงิน และ เหลือง #ครูวาฮาเฮ KruValentine
9 ชีววทิ ยา วิชาสามัญ 14. จากตารางแสดงผลการนับแยกชนดิ เซลล์เมด็ เลอื ดขาวของผู้ปว้ ยคนหน่ึงเทยี บกับคา่ ปกตขิ องประชากรในวยั เดยี วกัน ชนดิ ของเซลล์เมด็ เลอื ดขาว ค่าท่ตี รวจพบในผู้ป่วย (รอ้ ยละ) ค่าปกติ (รอ้ ยละ) neutrophil 54 50 - 70 lymphocyte 23 20 - 40 monocyte 4 0-7 basophil 0 0-1 eosinophil 19 0-5 ผปู้ ่วยน[าจะมคี วามผดิ ปกตใิ นข้อใดตอ่ ไปนี้ 1. ติดเชอื้ ไวรสั 2. มภี าวะโลหิตจาง 3. เปน็ ไขเ้ ลือดออก 4. มีพยาธใิ บไม้ในตับ 5. เกิดการอักเสบท่ีบาดแผล 15. จากตารางแสดงข้อมูลการตรวจหมู่เลอื ดของหญงิ มีครรภ์ลูกคนที่ 1 และ ลกู คนที่ 2 (ทารกในครรภ)์ จากโรงพยาบาลแหง่ หนึ่ง ลูกคนที่ 2 ในขัอใดมคี วามเสยี่ งตอ่ การเกิดภาวะ erythroblastosis fetalis มากทสี่ ุด หมเู่ ลือดของแม่ หมู่เลือดของลูกคนท่ี 1 หมู่เลือดของลกู คนท่ี 2 1. A, Rh- O, Rh- A, Rh- 2. AB, Rh- B, Rh- A, Rh+ 3. B, Rh- A, Rh+ B, Rh+ 4. O, Rh- O, Rh+ B, Rh- 5. O, Rh- A, Rh+ O, Rh+ #ครวู าฮาเฮ KruValentine
10 ชีววทิ ยา วชิ าสามญั 16. จาก pedigree แสดงการถ่ายทอดทางพันธกุ รรมของลักษณะผดิ ปกติ 3 ลกั ษณะทห่ี ายากในประชากร รูปแบบการถ่ายทอดลักษณะของ pedigree เหลา่ นเี้ ป็นแบบใด รูปแบบการถา่ ยทอด Pedigree sex-linked recessive 1. 1 autosomal dominant 2. 2 sex-linked dominant 3. 3 sex-linked recessive 4. 1 และ 2 autosomal recessive 5. 2 และ 3 17. ข้อใดถกู ตอ้ ง คำ คำอธบิ าย 1. genome สารพนั ธกุ รรมทง้ั หมดในเซลลร์ า่ งกายของ diploid 2. double helix polynucleotide 1 สายพันกนั บิดเปน็ เกลียว 2 รอบ 3. nucleosome กล่มุ โปรตีน histone ที่มี DNA สายเดี่ยว พนั อยู่รอบนอกนอก 4. complementary base nitrogenous base ทม่ี ีจำนวน ring เท่ากัน จบั คู่กันดว้ ยพันธะไฮโดรเจน 5. chromosome theory of โครโมโซมที่เป็นคกู่ นั จะแยกออกจากกนั ในการแบง่ meiosis และยนี ทีเ่ ปน็ คู่ inheritance กนั ก็แยกกันดว้ ย #ครวู าฮาเฮ KruValentine
11 ชีววทิ ยา วิชาสามัญ 18. จากภาพการจำลอง DNA ข้อใดถกู ตอ้ ง A คือ template strand โดยด้าน 1 คือ ปลาย 5' และด้าน 2 คอื ปลาย 3' 1. B คอื leading strand โดยดา้ น 5 คือ ปลาย 5' และด้าน 6 คือ ปลาย 3' 2. C คือ lagging strand โดยดา้ น 7 คอื ปลาย 5' และด้าน 8 คือ ปลาย 3' 3. D คอื DNA ligae มหี น้าทเ่ี ชอ6 ม nucleotide ให้ตอ่ กนั เปน็ สายยาว 4. E คือ DNA polymerase มีหน้าท่คี ลายเกลยี วของ DNA โมเลกลุ เดมิ 5. 19. หญงิ คนหน่ึงมภี าวะตาบอดสแี ละมกี ลมุ่ อาการ Turner syndrome (45, X) มีพ่อตาบอดสี แต่แมป่ กตโิ ดยไม่มปี ระวัติตาบอดสี ในครอบครัว หญงิ คนน้ีไดร้ ับเชลลส์ ืบพนั ธท์ุ เ่ี กิดจาก nondisjunction ของโครโมโซมเพศจากพอ่ แมฝ่ า่ ยใด 1. nondisjunction ในระยะ meiosis l ของการสรา้ งเซลลไ์ ขใ่ นแม่ และ การสร้างสเปริ ์มในพอ่ 2. nondisjunetion ในระยะ meiosis Il ของการสรา้ งเซลลไ์ ขใ่ นแม่ และ การสร้างสเปิรม์ ในพ่อ 3. nondisjunction ในระยะ meiosis I ของการสร้างเซลล์ไขใ่ นแม่ และ meiosis lI ของการสรา้ งสเปริ ์มในพอ่ 4. nondisjunction ในระยะ meiosis I หรือ meosis ll ของการสรา้ งเซลลไ์ ข่ในแม่และไมม่ ี nondisjunction ในการสร้างสเปริ ์มในพอ่ 5. nondisjunction ในระยะ meiosis I หรอื meiosis ll ของการสร้างสเปริ ม์ ในพ่อและไมม่ ี nondisjunction ในการสรา้ งเซลลไ์ ข่ในแม่ 20. ลักษณะเฉพาะของสตั ว์ในไฟลัมใดถกู ตอ้ ง ไฟลมั สมมาตร การเจริญเติบโต การพฒั นาของตัว แหลง่ ทีอ่ ยู่ โพรโอท่อสนโทเมยี 1. มอลลสั คา รัศมี ไม่ลอกคราบ โพรโทสโทเมยี แหลง่ น้ำจืดและนำ้ 2. นมี าโทดา ดา้ นข้าง ไมล่ อกคราบ โพรโทสโทเมยี บเนคบม็ ก 3. นมี าโทดา ด้านขา้ ง ลอกคราบ ดิวเทอโรสโทเมีย 4. เอไคโนเดอมาตา ด้านขา้ ง ไม่ลอกคราบ ดิวเทอโรสโทเมีย บนบกและแหลง่ นำ้ 5. คอร์ดาตา ด้านข้าง ไมล่ อกคราบ แหลง่ น้ำจืดและน้ำ บเนคบ็มก #ครูวาฮาเฮ KruValentine
12 ชวี วทิ ยา วิชาสามญั Phylum 1. Porifera 2. Cnidaria 3. Platyhelminthes 4. Nematoda 5. Annelida 6. Mollusca 7. Arthropoda 8. Echinodermata 9. Chordata 9.1. Protochordate 9.2. Vertebrate #ครูวาฮาเฮ KruValentine
1 แบบทดสอบหลงั เรียน 1. การทดลองลกั ษณะใด เป็นการทดลองท่ีเหมาะสมท่ีสุดในกระบวนการสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ ขอ้ จานวนตวั อยา่ ง ตวั แปรตน้ ชุดควบคมุ ก มาก หลายตวั ไมม่ ี ข มาก หน่ึงตวั มี ค มาก หลายตวั มี ง นอ้ ย หน่ึงตวั ไมม่ ี จ นอ้ ย หลายตวั มี 2. โครงสรา้ งใด พบใน neutrophil ไดม้ ากกวา่ ใน plasma cell 1. smooth endoplasmic reticulum 2. rough endoplasmic reticulum 3. lysosome 4. ribosome 5. mitochondria 3. ขอ้ ใดถกู ตอ้ งเก่ียวกบั การลาเลียงสารอาหารผา่ นโครงสรา้ ง A และ B AB 1. fatty acid, glycerol amino acid, 2. monosaccharide 3. 4. amino acid, fatty acid glycerol, 5. monosaccharide #ครูวาฮาเฮ glycerol, amino acid, fatty acid monosaccharide fatty acid, amino acid, glycerol monosaccharide amino acid, fatty acid, glycerol monosaccharide KruValentine
2 แบบทดสอบหลงั เรียน 4. กลไกในการสร้างและหลงั่ ฮอร์โมนใดแตกตา่ งจากขอ้ อื่น พอ่ 1. LH O M Rh - 2. TSH A M Rh + 3. insulin O MN Rh + 4. estrogen B MN Rh + 5. glucocorticoid AB N Rh - 5. ขอ้ ใดเป็นอวยั วะท่ีเจริญมาจาก ectoderm, mesoderm และ endoderm ตามลาดบั 1. เลนส์ตา รังไข่ ตบั 2. อณั ฑะ ไต ตบั ออ่ น 3. เลนส์ตา ไขสนั หลงั รังไข่ 4. ตบั อณั ฑะ ไต 5. ตบั ออ่ น หวั ใจ ไขสนั หลงั 6. จากขอ้ มลู แสดงหมเู่ ลือดของคูแ่ มล่ ูก ดงั ตาราง ขอ้ ใดคอื พอ่ ท่ีเป็นไปไดโ้ ดยหมเู่ ลือดระบบ MN เป็นการควบคุมแบบ co-dominant 1. แม่ ลูก 2. O M Rh + B MN Rh - 3. B MN Rh - O N Rh - 4. O M Rh + A M Rh - 5. AB N Rh - B MN Rh - 1. A M Rh + AB N Rh - 7. ขอ้ ใดแสดงพนั ธุประวตั ิของครอบครวั โรคฮีโมฟิ เลีย 1. ก และ ข KruValentine 2. ก และ ค 3. ค และ ง 4. ก ข และ ง 5. ข ค และ ง #ครูวาฮาเฮ
3 แบบทดสอบหลงั เรียน 8. กลุ่มอาการในขอ้ ใดท่ีมีสาเหตุจากกระบวนการ nondisjunction ของ autosome ในขณะที่มีการสรา้ งเซลลส์ ืบพนั ธุข์ องพอ่ หรือแม่ 1. Edwards syndrome และ Patau syndrome 2. Patau syndrome และ Turner syndrome 3. Turner syndrome และ Klinefelter syndrome 4. cri du chat syndrome และ Edwards syndrome 5. cri du chat syndrome และ Klinefelter syndrome 9. จากรูปแสดงการสงั เคราะห์ DNA ขอ้ ใดแสดง A, B, C และ D ไดถ้ ูกตอ้ ง B C D Lagging strand DNA DNA polymerase DNA ligase A Lagging strand DNA RNA polymerase 1. Leading strand DNA Leading strand DNA DNA polymerase primase 2. Leading strand DNA Leading strand DNA DNA polymerase DNA ligase 3. DNA template Lagging strand DNA RNA polymerase 4. DNA template primase 5. DNA template primase 10. สัตวใ์ น Phylum Echinodermata และ Phylum Chordata มีลกั ษณะใดที่เหมือนกนั 1. มี notochord 2. มี pseudocoelom 3. มี radial symmetry 4. มี trochophore larva 5. มีช่องปากแบบ deuterostomia #ครูวาฮาเฮ KruValentine
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: