Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชา ธรรมวิภาค นักธรรมศึกษาชั้นตรี

วิชา ธรรมวิภาค นักธรรมศึกษาชั้นตรี

Published by Noy4021, 2021-10-10 01:30:03

Description: วิชา ธรรมวิภาค นักธรรมศึกษาชั้นตรี

Search

Read the Text Version

วิชา ธรรมวิภาค นกั ธรรมศึกษาช้นั ตรี นกั ธรรมศึกษา ช้ันตรี ทกุ ะ หมวด ๒ ธรรมมีอปุ การะมาก ๒ อย่าง ๑. สติ ความระลกึ ได้ ๒ . สมั ปชญั ญะ ความรูต้ วั สติ ความระลกึ ได้ หมายความวา่ ก่อนจะทาจะพูด คิดใหร้ อบคอบก่อน แลว้ จงึ ทาจงึ พดู ออกไป สมั ปชญั ญะ ความรูต้ วั หมายความว่า ขณะทา ขณะพดู มคี วามรูต้ วั ทวั่ พรอ้ มอยู่ ตลอดเวลา ไม่ใช่ทาหรอื พูดเร่อื งหน่ึงใจคิดอกี เรอ่ื งหน่งึ ธรรมทงั้ ๒ น้ี ช่วยรกั ษาจติ จากอกุศลธรรมและช่วยใหจ้ ติ ประกอบดว้ ยกุศลธรรมทกุ อย่าง เหมอื นมหาอามาตยผ์ มู้ คี วามรูค้ วามสามารถ ทาราชกิจทกุ อย่างใหส้ าเร็จเรยี บรอ้ ย เพราะฉะนนั้ จงึ ช่อื ว่า ธรรมมอี ปุ การะมาก ธรรมเป็นโลกบาล คอื คมุ้ ครองโลก ๒ อยา่ ง ๑. หริ ิ ความละอายแกใ่ จ ๒. โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั หริ ิ ความละอายแก่ใจ หมายความวา่ รูส้ กึ รงั เกียจทจุ รติ มกี ายทจุ รติ เป็นตน้ เหมอื นคน เกลยี ดสง่ิ โสโครกมอี จุ จาระ เป็นตน้ ไม่อยากจบั ตอ้ ง โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั หมายความว่า สะดุง้ กลวั ต่อทจุ รติ มกี ายทจุ รติ เป็นตน้ เหมอื นคนกลวั ความรอ้ นของไฟ ไมก่ ลา้ ไปจบั ไฟ คนดที ง้ั หลายย่อมเคารพตน คอื คิดถงึ ฐานะของตนมชี าตแิ ละตระกูลเป็นตน้ ดว้ ยหริ ิ ยอ่ ม เคารพผูอ้ น่ื คือคดิ ถงึ เทวดาทค่ี ุม้ ครองรกั ษาตนเป็นตน้ ดว้ ยโอตตปั ปะแลว้ งดเวน้ จากการทาบาป รกั ษาตน ใหบ้ รสิ ุทธ์ิ เพราะฉะนน้ั ธรรมทงั้ ๒ น้ี จงึ ชอ่ื ธรรมคมุ้ ครองโลก และธรรมทง้ั ๒ ประการน้ี เรยี กว่า “เทวธ รรม” เพราะทาจติ ใจของมนุษยใ์ หส้ ูงเยย่ี งเทวดา

ธรรมอนั ทาใหง้ าม ๒ อยา่ ง ๑. ขนั ติ ความอดทน ๒. โสรจั จะ ความเสงย่ี ม ขนั ติ ความอดทน หมายความว่า ทนไดไ้ ม่พา่ ยแพ้ ความหนาว รอ้ น หวิ กระหาย ทกุ ขเวทนา อนั เกดิ จากความเจบ็ ป่วย ความบาดเจบ็ ถอ้ ยคาดา่ วา่ เสยี ดสดี ูถูกดูหมน่ิ และการถกู ทารา้ ย โสรจั จะ ความเสงย่ี ม หมายความว่า เป็นผูไ้ ม่มอี าการผดิ แปลกไปจากปกตปิ ระหน่ึงว่า ไม่ เหน็ ไม่ไดย้ นิ ไมร่ บั รูค้ วามหนาว ความรอ้ นเป็นตน้ เหลา่ นนั้ อน่งึ การไมแ่ สดงอาการเห่อเหมิ จนเป็นทบ่ี าดตาบาดใจคนอน่ื เมอ่ื เวลาไดด้ ี กค็ วรจดั เป็นโสรจั จะ ดว้ ย บคุ คลผูม้ ขี นั ตแิ ละโสรจั จะ ยอ่ มประคองใจใหอ้ ยูใ่ นปกตภิ าพทด่ี อี ยา่ งสมา่ เสมอ ไมพ่ ลงุ่ พลา่ น หรอื ซบเซาในยามมคี วามทกุ ข์ ไม่เหอ่ เหมิ หรอื เหลงิ ในยามมคี วามสขุ เพราะฉะนนั้ ขนั ตแิ ละ โสรจั จะ จงึ ช่อื ว่า ธรรมอนั ทาใหง้ าม บคุ คลหาไดย้ าก ๒ อยา่ ง ๑. บพุ พการี บคุ คลผูท้ าอปุ การะก่อน ๒. กตญั ญูกตเวที บคุ คลผูร้ ูอ้ ปุ การะท่ีท่านทาแลว้ และตอบแทน บพุ พการี บคุ คลผูท้ าอปุ การะก่อน หมายความวา่ เป็นผูช้ ่วยเหลอื เก้ือกูลผอู้ น่ื โดยไม่คิดถงึ เหตุ ๒ ประการ คือ ๑. ผูน้ นั้ เคยช่วยเหลอื เรามาก่อน ๒. ผูน้ นั้ จะทาตอบแทนเราใน ภายหลงั ยกตวั อย่าง เช่น บดิ ามารดาเล้ยี งดูบตุ รธดิ า และครูอาจารยส์ งั่ สอนศษิ ยเ์ ป็นตน้ กตญั ญูกตเวที บคุ คลผูร้ ูอ้ ปุ การะทท่ี า่ นทาแลว้ และตอบแทน หมายความวา่ ผูไ้ ดร้ บั การ ช่วยเหลอื จากใครแลว้ จดจาเอาไว้ ไมล่ มื ไม่ลบลา้ ง ไม่ทาลายจะดว้ ยเหตใุ ดกต็ าม คอยคดิ ถงึ อยูเ่ สมอ และ ทาตอบแทนอย่างเหมาะแก่อปุ การะทต่ี นไดร้ บั มา บพุ พการี ชอ่ื ว่าหายาก เพราะคนทวั่ ไปถูกตณั หาครอบงา คืออยากไดม้ ากกวา่ อยากเสยี กตญั ญูกตเวที ชอ่ื วา่ หายาก เพราะคนส่วนมากถกู อวชิ ชา ไดแ้ ก่กเิ ลสทท่ี าลายความรู้ เช่น ความโลภ ความโกรธ และความตระหน่ีเป็นตน้ ครอบงา คือปิดบงั ความรูส้ กึ ทด่ี ี น้นั เสีย

ตกิ ะ คอื หมวด ๓ รตนะ ๓ อย่าง พระพทุ ธ ๑ พระธรรม ๑ พระสงฆ์ ๑ ๑. ท่านผูส้ อนใหป้ ระชุมชนประพฤตชิ อบดว้ ย กาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวินัยท่ีเรยี กว่า พระพทุ ธศาสนา ช่ือพระพทุ ธเจา้ ๒. พระธรรมวินยั ทเ่ี ป็นคาสอนของทา่ น ช่ือพระธรรม ๓. หมชู่ นทฟ่ี ังคาสงั่ สอนของท่านแลว้ ปฏบิ ตั ชิ อบตามพระธรรมวินยั ช่ือพระสงฆ์ รตนะ แปลว่า สง่ิ ทใ่ี หเ้กิดความยนิ ดี หมายถงึ สง่ิ ทม่ี รี าคา แพง เช่น เพชร พลอย ทองคา หรอื สง่ิ อน่ื ใดกต็ ามทช่ี าวโลกเขานยิ มกนั หรอื ของ วเิ ศษ เช่น รตนะ ๗ อย่าง ของพระเจา้ จกั รพรรดิ คอื ชา้ งแกว้ มา้ แกว้ ขนุ พลแกว้ ขนุ คลงั แกว้ นาง แกว้ จกั รแกว้ แกว้ มณี พระพทุ ธเจา้ พระธรรม และพระสงฆ์ ทรงจดั ว่าเป็นรตนะ เพราะเป็นผูม้ คี ่ามากโดยตนเองเป็น ผูส้ งบจากบาปแลว้ สอนผูอ้ น่ื ใหล้ ะชวั่ ประพฤตชิ อบ ถา้ คนในโลกไม่ละชวั่ ประพฤตชิ อบแลว้ สง่ิ มคี ่าทงั้ หลาย ก็จะกลายเป็นศตั รูนาภยั อนั ตรายมาสูต่ นเอง เพราะฉะนน้ั พระพทุ ธเจา้ พระธรรม และพระสงฆ์ จึงช่อื ว่า รตนะ คอื เป็นสง่ิ ทม่ี คี ่า น่ายนิ ดี คุณของรตนะ ๓ อย่าง พระพทุ ธเจา้ รูด้ ีรูช้ อบดว้ ยพระองคเ์ องกอ่ นแลว้ สอนผูอ้ น่ื ใหร้ ูต้ ามดว้ ย พระธรรมยอ่ มรกั ษาผูป้ ฏบิ ตั ิไมใ่ หต้ กไปในท่ีชวั่ พระสงฆ์ ปฏิบตั ิชอบตามคาสอนของพระพทุ ธเจา้ แลว้ สอนใหผ้ ูอ้ น่ื กระทาตามดว้ ย โอวาทของพระพทุ ธเจา้ ๓ อย่าง ๑. เวน้ จากทจุ รติ คือประพฤตชิ วั่ ดว้ ยกาย วาจา ใจ ๒. ประกอบสุจรติ คือประพฤตชิ อบ ดว้ ยกาย วาจา ใจ ๓. ทาใจของตนใหห้ มดจดจากเคร่อื งเศรา้ หมองใจ มโี ลภ โกรธ หลง เป็นตน้

ทจุ รติ ๓ อยา่ ง ๑. ประพฤติชวั่ ดว้ ยกาย เรียกกายทจุ รติ ๒. ประพฤติชวั่ ดว้ ยวาจา เรยี กวจที จุ รติ ๓. ประพฤตชิ วั่ ดว้ ยใจ เรยี กมโนทจุ รติ กายทจุ รติ ๓ อยา่ ง ฆ่าสตั ว์ ๑ ลกั ฉอ้ ๑ ประพฤติผิดในกาม ๑ วจที จุ รติ ๔ อย่าง พูดเทจ็ ๑ พูดสอ่ เสยี ด ๑ พดู คาหยาบ ๑ พูดเพอ้ เจอ้ ๑ มโนทจุ รติ ๓ อยา่ ง โลภอยากไดข้ องเขา ๑ พยาบาทปองรา้ ยเขา ๑ เหน็ ผิดจากคลองธรรม ๑ ทจุ รติ (ความประพฤตชิ วั่ ) ๓ อย่างน้ี เป็ นสง่ิ ไมค่ วรทา ควรละเสยี สุจรติ ๓ อย่าง ๑ ประพฤติชอบดว้ ยกาย เรียกกายสุจรติ ๒. ประพฤติชอบดว้ ยวาจา เรียกวจสี จุ รติ ๓. ประพฤตชิ อบดว้ ยใจ เรยี กมโนสุจรติ กายสจุ รติ ๓ อย่าง เวน้ จากฆา่ สตั ว์ ๑ เวน้ จากลกั ฉอ้ ๑ เวน้ จากประพฤติผดิ ในกาม ๑ วจสี จุ รติ ๔ อยา่ ง เวน้ จากพดู เท็จ ๑ เวน้ จากพดู สอ่ เสยี ด ๑ เวน้ จากพูดคาหยาบ ๑ เวน้ จากพูดเพอ้ เจอ้ ๑ มโนสุจรติ ๓ อย่าง ไม่โลภอยากไดข้ องเขา ๑ ไมพ่ ยายามปองรา้ ยเขา ๑ เหน็ ชอบตามคลองธรรม ๑ สุจรติ (ความประพฤติชอบ) ๓ อย่างน้ี เป็นกจิ ควรทา ควรประพฤติ

อกศุ ลมูล ๓ อย่าง รากเหงา้ ของอกศุ ล เรยี กอกศุ ลมูล มี ๓ อยา่ ง คือ โลภะ อยากได้ ๑ โทสะ คดิ ประทษุ รา้ ยเขา ๑ โมหะ หลงไม่รูจ้ รงิ ๑ เมอ่ื อกุศลทง้ั ๓ น้ี ก็ดี ขอ้ ใดขอ้ หน่งึ กด็ มี อี ยู่ในใจ อกศุ ลอ่นื ทย่ี งั ไม่เกดิ กเ็ กดิ ข้นึ ทเ่ี กิดแลว้ ก็ เจรญิ มากข้นึ เหตนุ นั้ จงึ ชอ่ื ว่า อกุศลมลู คือรากเหงา้ ของอกุศล ทา่ นสอนใหล้ ะเสยี กศุ ลมลู ๓ อยา่ ง รากเหงา้ ของกศุ ล เรยี กกศุ ลมูล มี ๓ อยา่ ง คือ อโลภะ ไม่อยากได้ ๑ อโท สะ ไม่คิดประทษุ รา้ ยเขา ๑ อโมหะ ไม่หลง ๑ สปั ปรุ สิ บญั ญตั ิ คอื ขอ้ ทที่ ่านสตั บรุ ษุ ตง้ั ไว้ ๓ อย่าง ๑. ทาน สละส่งิ ของของตน เพ่อื ประโยชน์แกผ่ ูอ้ น่ื ๒. ปพั พชั ชา ถอื บวช เป็นอบุ ายเวน้ จากการเบียดเบียนกนั และกนั ๓. มาตาปิตอุ ปุ ฏั ฐาน ปฏบิ ตั มิ ารดา บดิ าของตนใหเ้ ป็นสุข สตั บรุ ษุ แปลว่าคนดมี คี วามประพฤตทิ างกาย วาจาและใจอนั สงบ กายสงบ คอื เวน้ จาก กายทจุ รติ ๓ วาจาสงบ คอื เวน้ จากวจที จุ รติ ๔ ใจสงบ คือเวน้ จากมโนทจุ รติ ๓ และเป็นผูท้ รงความรู้ ทาน แปลว่า การให้ หมายถงึ การใหส้ ง่ิ ของของตน มขี า้ ว นา้ เป็นตน้ แก่บคุ คลอ่นื ดว้ ย วตั ถปุ ระสงค์ ๒ อย่าง คือ ๑. เพอ่ื บูชาคณุ ของผูม้ คี ณุ ความดี เช่นการทาบญุ แก่พระสงฆเ์ ป็นตน้ ๒ เพอ่ื ช่วยเหลอื บคุ คลผูข้ าดแคลน เช่นการช่วยเหลอื ผูป้ ระสบภยั เป็นตน้ ปพั พชั ชา แปลว่า การถอื บวช หมายถงึ นากายและใจออกหา่ งจากกามคุณอนั เป็นเหตแุ ห่งการ เบยี ดเบยี นกนั แมผ้ ูเ้ป็นฆราวาสจะทาเช่นน้บี างครงั้ บางคราวก็เกดิ ประโยชนไ์ ด้ มาตาปิตอุ ปุ ฏั ฐาน แปลว่า การปฏบิ ตั ิบดิ าและมารดา หมายถงึ การเล้ยี งดูท่าน ช่วยท่าน ทางาน รกั ษาช่อื เสยี งวงศต์ ระกูล รกั ษาทรพั ยม์ รดก และเมอ่ื ทา่ นถงึ แก่กรรมทาบญุ ใหท้ า่ น

บญุ กริ ยิ าวตั ถุ ๓ อยา่ ง สง่ิ เป็นท่ีตง้ั แหง่ การบาเพญ็ บญุ เรยี กบญุ กริ ยิ าวตั ถุ โดยย่อมี ๓ อย่าง ๑. ทานมยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการบรจิ าคทาน ๒. สลี มยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการรกั ษาศีล ๓. ภาวนามยั บญุ สาเร็จดว้ ยการเจริญภาวนา บญุ มคี วามหมาย ๒ ประการ คือ ๑. เครอ่ื งชาระสง่ิ ทไ่ี ม่ดที น่ี อนเน่อื งอยู่ในใจ ๒. สภาพทก่ี ่อใหเ้กดิ ความน่าบชู า บญุ นน้ั เป็นสง่ิ ท่คี วรทา จงึ ช่อื ว่า บญุ กริ ยิ า บญุ ทค่ี วรทานน้ั เป็นทต่ี ง้ั แห่งสุขวเิ ศษ จงึ ช่อื ว่า บญุ กริ ยิ าวตั ถุ ทาน คือเจตนาทเ่ี สยี สละสง่ิ ของ หมายถงึ เสยี สละเพอ่ื ทาลายกเิ ลสคือความโลภ ในใจของตน ศลี คอื เจตนาทต่ี งั้ ไวด้ โี ดยหา้ มกายกรรมและวจกี รรมทม่ี โี ทษ แลว้ ใหส้ มาทานกรรมดไี ม่มโี ทษ และเป็นทต่ี ง้ั ของกศุ ลธรรมชน้ั สูง มสี มาธแิ ละปญั ญาเป็นตน้ ภาวนา คือ เจตนาทท่ี าใหก้ ุศลเจรญิ หมายความว่า ทากุศลทย่ี งั ไมเ่ กิดใหเ้กิดข้นึ และทากศุ ล ทเ่ี กิดข้นึ แลว้ ใหเ้พม่ิ พูนมากข้นึ จตกุ กะ คือ หมวด ๔ วฑุ ฒิ คือ ธรรมเป็นเครอ่ื งเจรญิ ๔ อย่าง ๑. สปั ปรุ สิ สงั เสวะ คบท่านผูป้ ระพฤตชิ อบดว้ ยกาย วาจา ใจ ท่ีเรยี กว่า สตั บรุ ุษ ๒. สทั ธมั มสั สวนะ ฟงั คาสอนของทา่ นโดยเคารพ ๓. โยนิโสมนสกิ าร ตรติ รองใหร้ ูจ้ กั สง่ิ ท่ีดีหรือชวั่ โดยอบุ ายทชี่ อบ ๔. ธมั มานุธมั มปฏปิ ตั ติ ประพฤตธิ รรมสมควรแก่ธรรมท่ไี ดต้ รองเหน็ แลว้ วฑุ ฒิ คอื ธรรมเป็นเคร่อื งเจรญิ หมายความว่า ถา้ ทางคดโี ลก กเ็ ป็นเหตใุ หเ้จรญิ ดว้ ย วชิ า ความรู้ ทรพั ยส์ นิ เงนิ ทองและคณุ ความดี ถา้ เป็นคดธี รรมก็เป็นเหตใุ หเ้จรญิ ดว้ ยศีล สมาธิ และปญั ญา สตั บรุ ษุ คือ คนดมี คี วามรูด้ งั ไดอ้ ธบิ ายแลว้ ในสปั ปรุ สิ สบญั ญตั ิ

การคบ คือ การเขา้ ไปหาคนดดี ว้ ยมงุ่ หวงั จะซมึ ซบั เอาความดจี ากท่านมาสูต่ น ฟงั คาสอนของ ทา่ นโดยเคารพ คือใหค้ วามสาคญั ต่อคาสอนและผูส้ อน ไม่ใช่ฟงั พอเป็นมารยาท ไม่สนใจทจ่ี ะนาเอาไป ปฏบิ ตั ิ โยนิโสมนสกิ าร คอื พจิ ารณาดว้ ยปญั ญาถงึ สง่ิ ทท่ี า่ นสอนวา่ ชวั่ นน้ั ชวั่ จรงิ ไหม และทท่ี ่านสอน ว่า ดนี นั้ ดจี รงิ ไหม ชวั่ คือเป็นเหตใุ หเ้กิดทกุ ขเ์ กดิ โทษ ดี คือเป็นเหตใุ หเ้กิดประโยชนเ์ กดิ ความสขุ ทงั้ แก่ ตนเองและผูอ้ น่ื ธมั มานุธมั มปฏปิ ตั ติ คอื ๑. ธมั มะ หมายถงึ เป้าหมายทต่ี ง้ั เอาไว้ ๒. อนุธมั มะ หมายถงึ วธิ กี ารทจ่ี ะทาใหบ้ รรลุถงึ เป้าหมายทต่ี งั้ เอาไว้ ๓. ปฎปิ ตั ติ หมายถงึ การปฏบิ ตั ิ คือการลงมอื ทารวมกนั แลว้ เป็น ธมั มานุธมั มปฏบิ ตั ิ ท่านแปลว่า ประพฤตธิ รรมสมควรแก่ธรรมทไ่ี ดต้ รองเหน็ แลว้ ยกตวั อย่าง เช่น นกั เรยี นตอ้ งการจะมงี านทาทด่ี ี นกั เรยี นจะตอ้ งขยนั เอาใจใส่ ตงั้ ใจเรยี น ไม่เอาแต่เทย่ี วเตร่เสเพล จกั ร ๔ ๑. ปฏริ ูปเทสวาสะ อยู่ในประเทศอนั สมควร ๒. สปั ปรุ สิ ูปสั สยะ คบสตั บรุ ุษ ๓. อตั ตสมั มาปณิธิ ตง้ั ตนไวช้ อบ ๔. ปพุ เพกตบญุ ญตา ความเป็นผูไ้ ดก้ ระทาความดไี วใ้ นปางก่อน จกั ร หรือ บางแห่งเรยี กว่า จกั รธรรม แปลว่า ธรรมทเ่ี ปรยี บเหมอื นลอ้ รถอนั สามารถนาพา ชวี ติ ของผูป้ ฏบิ ตั ติ ามไปสูค่ วามเจรญิ ทง้ั ทางโลกและทางธรรม การอยู่ในประเทศอนั สมควร หมายถงึ อยูใ่ นสงั คมของคนทม่ี ศี ีลธรรม มคี วามรู้ การคบสตั บุรษุ มอี ธิบายเหมอื นในวฑุ ฒธิ รรม การตง้ั ตนไวช้ อบ หมายถงึ ประพฤตติ นในศลี ธรรมเคารพกฎหมายบา้ นเมอื ง รกั ษาวฒั นธรรม และประเพณีทด่ี งี าม ปพุ เพกตบญุ ญตา ความเป็นผูไ้ ดก้ ระทาความดไี วใ้ นปางก่อน หมายถงึ ไดส้ รา้ งเหตแุ ห่ง ประโยชนแ์ ละความสุขไวใ้ นชาตกิ ่อน ปีก่อน เดอื นก่อน หรอื วนั ก่อน เช่นนกั เรยี นตง้ั ใจเรยี นในวนั น้ี จะเป็น เหตใุ หไ้ ดห้ นา้ ทก่ี ารงานทด่ี ใี นวนั หนา้ เป็นตน้

อคติ ๔ ๑. ลาเอยี ง เพราะรกั ใคร่กนั เรยี กฉนั ทาคติ ๒. ลาเอยี ง เพราะไม่ชอบกนั เรยี กโทสาคติ ๓. ลาเอยี ง เพราะเขลา เรยี กโมหาคติ ๔. ลาเอยี ง เพราะกลวั เรยี กภยาคติ อคติ ๔ ประการน้ี ไม่ควรประพฤติ อคติ แปลวา่ การถงึ ฐานะทไ่ี ม่ควรถงึ ท่านแปลเอาใจความว่า ความลาเอยี ง ในสคิ าลสูตรตรสั เรยี กว่า เหตใุ หท้ าบาป บาปธรรมทง้ั ๔ น้ีโดยมากเกิดกบั ผูม้ อี านาจ คนทต่ี นรกั ผดิ ก็หาทางช่วยเหลอื ไมล่ งโทษ ไมม่ คี วามรู้ ความสามารถ ก็แต่งตงั้ ใหเ้ป็นใหญ่ เป็นตน้ ชอ่ื ว่ามฉี นั ทาคติ คนทต่ี นเกลยี ด คอยจอ้ งจบั ผดิ คอยขดั ขวางความเจรญิ กา้ วหนา้ และทาลายลา้ งเป็นตน้ ช่อื ว่า มโี ทสาคติ ไมร่ ูข้ อ้ มลู ทแ่ี ทจ้ รงิ ทาโทษหรอื ยกย่องคนไปตามคาบอกเลา่ ของผูป้ ระจบสอพลอ เป็นตน้ ชอ่ื ว่ามโี มหาคติ หวงั เกาะผูม้ อี านาจ กลวั เขาจะไมช่ ่วยเหลอื จงึ ทาสง่ิ ทไ่ี มถ่ กู ตอ้ งอนั ผดิ กฎหมายผดิ ศีลธรรม เป็น ตน้ ชอ่ื ว่ามภี ยาคติ ผูป้ ระพฤตอิ คติ ๔ ประการน้ี ย่อมเป็นผูไ้ รเ้กียรติ ดงั พระพทุ ธพจนว์ ่า ผูล้ ว่ งละเมดิ ธรรม เพราะความรกั ความชงั ความหลง และความกลวั เกยี รตยิ ศของผนู้ น้ั ยอ่ มเสอ่ื มจากใจคน เหมอื นดวง จนั ทรข์ า้ งแรม ปธาน คอื ความเพยี ร ๔ อยา่ ง ๑. สงั วรปธาน เพยี รระวงั บาปไมใ่ หเ้ กดิ ข้ึนในสนั ดาน ๒. ปหานปธาน เพยี รละบาปที่เกดิ ข้ึนแลว้ ๓. ภาวนาปธาน เพยี รใหก้ ศุ ลเกดิ ข้ึนในสนั ดาน ๔. อนุรกั ขนาปธาน เพยี รรกั ษากศุ ลทีเ่ กดิ ข้นึ แลว้ ไมใ่ หเ้ ส่อื ม ความเพยี ร ๔ อยา่ งน้ี เป็นความเพยี รชอบควรประกอบใหม้ ใี นตน

ปธาน เป็นช่อื ของความเพยี รทแ่ี รงกลา้ ไม่ย่นย่อทอ้ ถอย ดงั พระพทุ ธพจนว์ า่ แมเ้น้ือและเลอื ดใน ร่างกายจะเหอื ดแหง้ ไป เหลอื อยู่แต่หนงั เอน็ และกระดูกก็ตาม เมอ่ื ยงั ไมบ่ รรลผุ ลทจ่ี ะพงึ บรรลุไดด้ ว้ ย เรย่ี วแรงของลูกผูช้ าย ความหยุดยง้ั แห่งความเพยี รจะไม่มี ความเพยี รมอี ยา่ งเดยี วแต่ทาหนา้ ท่ี ๔ อย่าง คอื ๑. เพยี รระวงั ความชวั่ ทย่ี งั ไม่เคยทา ไม่ เคยพูด ไม่เคยคิด อย่าใหเ้กิดข้นึ ๒ เพยี รละความชวั่ ทเ่ี คยเผลอตวั ทา พดู และคิดมาแลว้ โดยจะไม่ทา อยา่ งนน้ั อกี ๓. เพยี รสรา้ งความดที ย่ี งั ไม่เคยทา ไม่เคยพูด ไม่เคยคิด ๔. เพยี รรกั ษาความดที เ่ี คยทา เคย พดู เคยคดิ มาแลว้ โดยการทา พดู และคดิ ความดนี น้ั บ่อย ๆ อธษิ ฐานธรรม ๔ คอื ธรรมท่คี วรตง้ั ไวใ้ นใจ ๔ อย่าง ๑. ปญั ญา รอบรูส้ ่งิ ทีค่ วรรู้ ๒. สจั จะ ความจรงิ ใจ คอื ประพฤตสิ ง่ิ ใดก็ใหไ้ ดจ้ รงิ ๓. จาคะ สละสง่ิ ท่เี ป็นขา้ ศึกแกค่ วามจรงิ ใจ ๔. อปุ สมะ สงบใจจากสง่ิ ทเ่ี ป็นขา้ ศกึ แกค่ วามสงบ อธิษฐานธรรม ทา่ นแปลว่า ธรรมทค่ี วรตง้ั ไวใ้ นใจ หมายความว่า ใหแ้ สวงหาธรรมทง้ั ๔ น้ี มาเก็บไวใ้ นใจตน โดยการฝึกฝนปฏบิ ตั ติ ามใหไ้ ด้ จะทาใหเ้ป็นคนมคี ่าแก่สงั คม และมคี วามสุขใจแก่ตนเอง ดว้ ย ปญั ญา รอบรูส้ ง่ิ ทค่ี วรรู้ ในทางธรรมหมายถงึ รูส้ ภาวธรรม มขี นั ธเ์ ป็นตน้ ตามความจรงิ ว่า ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งเกิดข้นึ แลว้ ก็ดบั ไป ไม่ควรไปยดึ มนั่ ถอื มนั่ ใหเ้กิดทฎิ ฐมิ านะ แบ่งชนั้ วรรณะ เป็นตน้ ในทางโลก หมายถงึ รูเ้หตแุ ห่งความเสอ่ื มและความเจรญิ ตลอดถงึ รูว้ ชิ าการต่าง ๆ อนั เป็นเหตเุ กดิ ของ ทรพั ย์ เกียรติ และความสขุ เป็นตน้ สจั จะ ความจรงิ ใจ หมายความวา่ รูว้ า่ อะไรไมด่ กี ็ละใหไ้ ดจ้ รงิ รูว้ ่าอะไรดมี ปี ระโยชนก์ ็ตงั้ ใจทา ใหไ้ ดจ้ รงิ สจั จะน้นี าความดที กุ ชนดิ มาสู่ตน ดงั โพธิสตั วภ์ าษติ ว่า สมณพราหมณท์ งั้ หลายขา้ มพน้ ชราและ มรณะได้ เพราะตงั้ อยูใ่ นสจั จะ จาคะ สละสง่ิ ทเ่ี ป็นขา้ ศึกแก่ความจรงิ ใจ หมายความว่า รูจ้ กั กลบั ตวั กลบั ใจจากความไมด่ ี ทง้ั หลายทเ่ี คยทา เคยพดู เคยคดิ และเคยยดึ ตดิ มาก่อน

อปุ สมะ สงบใจจากสง่ิ ทเ่ี ป็นขา้ ศึกแก่ความสงบ หมายความว่า รูจ้ กั ดบั ความขนุ่ ขอ้ งหมอง ใจ ความวติ กกงั วลต่าง ๆ อนั เกดิ จากกเิ ลสมนี ิวรณ์ ๕ เป็นตน้ อทิ ธิบาท คอื คณุ เครอ่ื งใหส้ าเรจ็ ความประสงค์ ๔ อยา่ ง ๑. ฉนั ทะ พอใจรกั ใคร่ ในส่งิ น้นั ๒. วิรยิ ะ เพยี รประกอบสง่ิ น้ัน ๓. จติ ตะ เอาใจฝกั ใฝ่ ในส่งิ น้นั ไมว่ างธุระ ๔. วิมงั สา หมนั่ ตรติ รองพจิ ารณาเหตผุ ลในส่งิ น้ัน คุณ ๔ อยา่ งน้ี มบี รบิ ูรณแ์ ลว้ อาจชกั นาบคุ คลใหถ้ งึ สง่ิ ทต่ี อ้ งประสงค์ ซง่ึ ไม่เหลอื วสิ ยั อทิ ธิ แปลว่า ความสาเรจ็ บาท หรอื ปาทะ แปลว่า เหตทุ ท่ี าใหถ้ งึ อทิ ธิบาท จงึ แปลว่า เหตุ ทใ่ี หถ้ งึ ความสาเรจ็ หมายถงึ เหตทุ ม่ี กี าลงั ในการบรรลุความสาเรจ็ ฉนั ทะ คอื ความปรารถนา ความตอ้ งการ ความประสงค์ หวามม่งุ หมาย เมอ่ื ต่อเขา้ กบั อทิ ธิ บาท จงึ มคี วามหมายวา่ ความปรารถนา ความตอ้ งการ ความประสงค์ ความมงุ่ หมายทม่ี กี าลงั ในการบรรลุ ความสาเร็จ อทิ ธบิ าท คือ ฉนั ทะ ย่อมพาเอาความคดิ จติ ใจทงั้ หมดไปรวมอยูก่ บั สง่ิ ทป่ี รารถนา ทพ่ี อใจ เหมอื นกระแสนา้ ทไ่ี หลมาอย่างแรง ย่อมพดั พาเอาตน้ ไม้ กอไผ่ กอหญา้ เป็นตน้ ไปกบั กระแสนา้ ดว้ ย วริ ยิ ะอทิ ธบิ าท จติ ตะอทิ ธิบาท และวมิ งั สาอทิ ธบิ าท กม็ อี ธบิ ายเหมอื น อยา่ งน้ี วริ ยิ ะ คือ ความอาจหาญในการงาน ยอ่ มสาคญั งานใหญ่ว่างานเลก็ งานหนกั วา่ งานเบา งาน ยากวา่ งานงา่ ย ทางไกลวา่ ทางใกล้ เป็นตน้ จติ ตะ คอื ความคิดถงึ การงานนนั้ แบบใจจดใจจ่อ เปรยี บเหมอื นคนกระหายนา้ จดั ใจคิดถงึ แต่นา้ ตลอดเวลา วิมงั สา ความไตร่ตรอง ใชป้ ญั ญาพจิ ารณาหาเหตผุ ลและวธิ ีการทจ่ี ะทางานนน้ั ใหส้ าเร็จลงใหไ้ ด้

ควรทาความไม่ประมาทในที่ ๔ สถาน ๑. ในการละกายทจุ รติ ประพฤติกายสจุ ริต ๒. ในการละวจที จุ รติ ประพฤติวจสี จุ รติ ๓. ในการละมโนทจุ รติ ประพฤติมโนสจุ รติ ๔. ในการละความเหน็ ผิด ทาความเหน็ ใหถ้ กู อกี อย่างหน่ึง ๑. ระวงั ใจไม่ใหก้ าหนัด ในอารมณ์เป็นที่ตง้ั แห่งความกาหนดั ๒. ระวงั ใจไม่ใหข้ ดั เคอื งในอารมณเ์ ป็นทีต่ ง้ั แห่งความขดั เคอื ง ๓. ระวงั ใจไม่ใหห้ ลงในอารมณเ์ ป็นที่ตง้ั แห่งความหลง ๔. ระวงั ใจไม่ใหม้ วั เมาในอารมณเ์ ป็นที่ตง้ั แห่งความมวั เมา ความประมาท คือความขาดสตอิ นั ก่อใหเ้กดิ ผลเสยี ๓ ประการ คือ ๑. ใหเ้ กดิ การทาความชวั่ ๒. ใหห้ ลงลมื ทาความดี ๓. ไมท่ าความดีอย่างต่อเน่ือง ความไมป่ ระมาท คอื ความมสี ตกิ ากบั ใจอยูเ่ สมอ ใหเ้กดิ ความคิดเป็นกศุ ล ดงั น้ี ๑. ไมท่ าความชวั่ ๒. ไม่ลมื ทาความดี ๓. ทาความดีใหด้ ยี ิง่ ข้ึนไปอยา่ งต่อเน่ือง เมอ่ื สรุปคาสอนทงั้ ๒ นยั น้ี ย่อมไดค้ วามไม่ประมาท ๓ ประการ คอื ๑. ระวงั อยา่ ไปทาความชวั่ ๒. อย่าลมื ทาความดี ๓. อยา่ ปล่อยใจใหไ้ ปคิดเร่อื งบาปเร่อื งอกศุ ล

พรหมวิหาร ๔ ๑. เมตตา ความรกั ใคร่ ปรารถนาจะใหเ้ ป็นสขุ ๒. กรณุ า ความสงสาร คิดจะช่วยใหพ้ น้ ทกุ ข์ ๓. มทุ ิตา ความพลอยยนิ ดี เม่อื ผูอ้ น่ื ไดด้ ี ๔. อเุ บกขา ความวางเฉย ไมด่ ีใจ ไม่เสยี ใจ เม่ือผูอ้ น่ื ถงึ ความวบิ ตั ิ คาวา่ พรหม แปลว่า ประเสรฐิ เป็นใหญ่ โดยบคุ คลาธิษฐาน หมายถงึ บคุ คลผูอ้ ยูด่ ว้ ยฌาน สมาบตั ิ ไมย่ งุ่ เก่ยี วเรอ่ื งกามารมย์ โดยธรรมาธิษฐาน หมายถงึ จติ ใจทป่ี ระกอบดว้ ย เมตตา กรณุ า มทุ ติ า อเุ บกขา หรอื ดบั นิวรณ์ได้ พรหมวหิ าร แปลวา่ ธรรมเป็นเครอ่ื งอยู่ของพรหม หรอื ผูป้ ระเสริฐ ผูเ้ป็นใหญ่ ความรกั ดว้ ยความปรารถนาดี คือตอ้ งการใหเ้ขามคี วามสขุ โดยไมม่ คี วามใคร่อยากจะไดอ้ ะไร จากเขามาเป็นของตน ช่อื วา่ เมตตา ความเอ้อื เฟ้ือ ความเอาใจใส่ ความหว่ งใยต่อผูต้ กทกุ ขป์ ระสพภยั อดอยากหวิ โหย เป็น ตน้ เขา้ ช่วยเหลอื ดว้ ยกาลงั กายและทรพั ย์ ช่อื วา่ กรุณา ความยนิ ดดี ว้ ยกบั บคุ คลทไ่ี ดล้ าภ ไดย้ ศ ไดเ้กียรติ ไดร้ บั ความสาเร็จในอาชพี การงาน เป็น ตน้ ชอ่ื วา่ มทุ ติ า ความวางเฉย คือมใี จเป็นกลาง ไม่ดใี จเมอ่ื ผูท้ เ่ี ป็นศตั รูแก่ตน ประสบทกุ ขภ์ ยั อนั ตราย และ ไดร้ บั ความวบิ ตั ิ ไมเ่ สยี ใจเมอ่ื ผูท้ ต่ี นรกั ประสบทกุ ข์ เป็นตน้ นนั้ ในเมอ่ื ตนไดช้ ่วยเหลอื อย่างเต็มทแ่ี ลว้ แต่ ช่วยไม่ได้ ช่อื ว่า อเุ บกขา อรยิ สจั ๔ ๑. ทกุ ข์ ความไมส่ บายกาย ไม่สบายใจ ๒. สมทุ ยั คือเหตใุ หท้ กุ ขเ์ กดิ ๓. นิโรธ คือความดบั ทุกข์ ๔. มรรค คอื ขอ้ ปฏบิ ตั ิใหถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ ความไม่สบายกาย ไมส่ บายใจ ไดช้ อ่ื วา่ ทกุ ข์ เพราะเป็นของทนไดย้ าก ตณั หา คอื ความทะยานอยาก ไดช้ ่อื ว่า สมทุ ยั เพราะเป็นเหตุใหท้ กุ ขเ์ กิด ตณั หานนั้ มปี ระเภทเป็น ๓ คือ

ตณั หา ความอยากในอารมณ์ทน่ี ่ารกั ใคร่ เรยี กวา่ กามตณั หาอย่าง ๑ ตณั หาความอยากเป็นโน่นเป็นน่ี เรยี กวา่ ภวตณั หาอยา่ ง ๑ ตณั หาความอยากไม่เป็นโน่นเป็นน่ี เรยี กวา่ วภิ วตณั หาอยา่ ง ๑ ความดบั ตณั หาไดส้ ้นิ เชงิ ทกุ ขด์ บั ไปหมดไดช้ อ่ื ว่า นิโรธ เพราะเป็นความดบั ทกุ ข์ ปญั ญาอนั เหน็ ชอบว่าสง่ิ น้ที กุ ข์ สง่ิ น้เี หตใุ หท้ กุ ขเ์ กดิ สง่ิ น้คี วามดบั ทกุ ข์ สง่ิ น้ที างใหถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ ไดช้ อ่ื วา่ มรรค เพราะเป็นขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ มรรคนนั้ มอี งค์ ๘ ประการ คือ ปญั ญาอนั เหน็ ชอบ ๑ ดารชิ อบ ๑ เจรจาชอบ ๑ ทาการ งานชอบ ๑ เล้ยี งชวี ติ ชอบ ๑ ทาความเพยี รชอบ ๑ ตง้ั สตชิ อบ ๑ ตง้ั ใจชอบ ๑ อรยิ สจั แปลว่า ความจรงิ อนั ประเสริฐ หมายความวา่ เป็นความจรงิ ทห่ี นไี ม่พน้ เช่นความ แก่ ความตาย เป็นตน้ มนุษยท์ กุ รูปทกุ นามเกดิ มาแลว้ สดุ ทา้ ยตอ้ งแก่ และตอ้ งตายทง้ั ส้นิ หรอื เป็น กฎเกณฑท์ แ่ี น่นอน คือ เมอ่ื ดบั ตณั หาไดค้ วามทกุ ขท์ งั้ หลายก็ดบั ไป และตณั หานน้ั กม็ วี ธิ ีดบั โดยการปฏบิ ตั ิ ตามมรรคมอี งค์ ๘ ทกุ ข์ ท่านใหค้ วามหมายวา่ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ อธิบายว่า ทกุ ขใ์ นอรยิ สจั ต่างจาก ทกุ ขใ์ นสามญั ลกั ษณะ ทกุ ขใ์ นอรยิ สจั หมายเอาทกุ ขท์ เ่ี กิดกบั สง่ิ ทม่ี วี ญิ ญาณครอง โดยเฉพาะคือ มนุษย์ เช่น แก่ เจบ็ ตาย ผดิ หวงั เป็นตน้ ส่วนทกุ ขใ์ นสามญั ลกั ษณะ หมายถงึ สภาพทท่ี นอยูไ่ ม่ได้เพราะ ถูกสง่ิ ทเ่ี ป็นขา้ ศกึ กนั เบยี ดเบยี นทาลาย เช่นผวิ คลา้ เพราะถูกแสงแดด อาคารบา้ นเรอื นเก่า เพราะถูกแดด และฝน ตลง่ิ พงั เพราะถูกนา้ เซาะ เป็นตน้ สว่ นอรยิ สจั ขอ้ อ่นื ๆ มอี ธบิ ายชดั เจนแลว้ ปญั จกะ หมวด ๕ อนันตรยิ กรรม ๕ ๑. มาตฆุ าต ฆ่ามารดา ๒. ปิตฆุ าต ฆา่ บิดา ๓. อรหนั ตฆาต ฆา่ พระอรหนั ต์ ๔. โลหติ ปุ บาท ทารา้ ยพระพทุ ธเจา้ จนถงึ ยงั พระโลหติ ใหห้ อ้ ข้ึนไป ๕. สงั ฆเภท ยงั สงฆใ์ หเ้ แตกจากกนั กรรม ๕ อย่างน้ี เป็นบาปหนกั ทส่ี ดุ หา้ มสวรรค์ หา้ มนิพพาน ตง้ั อยู่ในฐานปาราชกิ ผูน้ บั ถอื พระพทุ ธศาสนาหา้ มไม่ใหท้ าเป็นอนั ขาด

อนนั ตรยิ กรรม แปลว่า กรรมท่ใี หผ้ ลในภพทตี่ ดิ ตอ่ กนั ทนั ที อธิบายวา่ ผูท้ า อนันตรยิ กรรม ทง้ั ๕ น้ี ขอ้ ใดขอ้ หน่ึง หลงั จากตายแลว้ ตอ้ งไปตกนรกชน้ั อเวจที นั ที ไมม่ ีกศุ ลกรรมอะไร จะมาช่วยได้ เช่นพระเทวทตั เป็นตน้ กรรมทงั้ ๕ น้ี ท่านกลา่ ววา่ ตง้ั อยูใ่ นฐานปาราชกิ หมายความว่า ผูท้ ากรรมน้เี ป็นผูพ้ า่ ยแพ้ ต่อความดี เป็นผูอ้ าภพั คอื หมดโอกาสทจ่ี ะได้ มนุษยส์ มบตั ิ สวรรคสมบตั ิ และนพิ พานสมบตั ิ เพราะ ตอ้ งตกนรกอเวจสี ถานเดยี ว อภณิ หปจั จเวกขณะ ๕ ๑. ควรพจิ ารณาทกุ วนั ๆ วา่ เรามีความแกเ่ ป็นธรรมดา ไม่ล่วงพน้ ความแก่ไปได้ ๒. ควรพจิ ารณาทกุ วนั ๆ วา่ เรามีความเจบ็ เป็นธรรมดา ไมล่ ่วงพน้ ความเจบ็ ไปได้ ๓. ควรพจิ ารณาทกุ วนั ๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความตายไปได้ ๔. ควรพจิ ารณาทกุ วนั ๆ ว่า เราจะตอ้ งพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจทง้ั ส้นิ ๕. ควรพจิ ารณาทกุ วนั ๆ วา่ เรามกี รรมเป็นของตวั เราทาดจี กั ไดด้ ี ทาชวั่ จกั ไดช้ วั่ อภณิ หะ แปลว่า เนือง ๆ เสมอ หรือเป็นประจา ปจั จเวกขณะ แปลว่า การพจิ ารณา คือเกบ็ เอามาคิดเพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจความจรงิ อภณิ หปจั จเวกขณะ จงึ มคี วามหมายว่า การพจิ ารณา หรอื การคิดเนือง ๆ เพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจความจรงิ พระพทุ ธเจา้ ตรสั สอนว่า สตรกี ต็ าม บรุ ุษก็ตาม คฤหสั ถก์ ต็ าม บรรพชติ ก็ตาม ควรพจิ ารณาเนือง ๆ ถงึ ความแก่ ความเจบ็ ความตาย ความพลดั พรากจากบคุ คล และของรกั และผูท้ ่ี ทาความดคี วามชวั่ แลว้ ไดร้ บั ผลดแี ละผลรา้ ย เหน็ คนแก่ชราภาพ ใหน้ กึ ว่า เราก็จะตอ้ งแก่อยา่ งนนั้ จะช่วยบรรเทาความมวั เมาในวยั เหน็ คนเจบ็ ทกุ ขท์ รมาน ใหน้ กึ ว่า เราก็จะตอ้ งเจบ็ อย่างนนั้ จะช่วยบรรเทาความมวั เมาว่าตนไม่ มโี รค เหน็ คนตาย ใหน้ ึกวา่ เรากจ็ ะตอ้ งตายอยา่ งมากไมเ่ กนิ ๑๐๐ ปี จะช่วยบรรเทาความมวั เมา ในชวี ติ คิดวา่ ตวั เองจะอยู่คา้ ฟ้า เหน็ คนประสบความวบิ ตั จิ ากคนรกั และทรพั ยส์ นิ เงนิ ทอง ใหน้ ึกวา่ ความจากกนั นนั้ มแี น่ ไมเ่ ขา จากเรา กเ็ ราจากเขา จะช่วยบรรเทาความยดึ ตดิ ผกู พนั ในคนรกั และของรกั

เหน็ คนผูท้ าความดแี ละความชวั่ แลว้ ไดร้ บั ผลดแี ละผลรา้ ย ใหน้ ึกว่า ทกุ คนมกี รรมเป็นของ ตน จะช่วยบรรเทาความทจุ รติ ต่าง ๆ ได้ ธมั มสั สวนานิสงส์ คอื อานิสงสแ์ ห่งการฟังธรรม ๕ อยา่ ง ๑. ผูฟ้ งั ธรรมยอ่ มไดฟ้ งั ส่งิ ที่ยงั ไมเ่ คยฟัง ๒. ส่งิ ใดไดเ้ คยฟงั แลว้ แต่ยงั ไม่เขา้ ใจชดั ยอ่ มเขา้ ใจสง่ิ น้นั ชดั ๓. บรรเทาความสงสยั เสยี ได้ ๔. ทาความเห็นใหถ้ กู ตอ้ งได้ ๕. จติ ของผูฟ้ ังย่อมผ่องใส การฟงั ธรรม เป็นอบุ ายวธิ ที ส่ี าคญั อย่างหน่ึง ซง่ึ สามารถทาใหบ้ คุ คลบางประเภทละชวั่ ประพฤติ ชอบได้ และเป็นเหตใุ หบ้ คุ คลบางประเภทแมเ้ป็นคนดี มคี วามฉลาดอยูแ่ ลว้ บรรลุ ผลอนั สูงสุดของชวี ติ ได้ เช่น อปุ ตสิ สปรพิ พาชก เป็นตน้ พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรสั สอนว่า บคุ คลในโลกน้ี มี ๓ ประเภท คือ ๑.บางคนจะไดฟ้ งั ธรรมจากพระพทุ ธเจา้ และพระสาวกหรอื ไม่ก็ตาม ก็ละชวั่ ประพฤตชิ อบ ไมไ่ ด้ เปรยี บเหมอื นคนไขบ้ างคนจะไดอ้ าหาร ทอ่ี ยู่และหมอทด่ี หี รอื ไมโ่ รคก็ไมห่ ายตายสถานเดยี ว ๒.บางคนจะไดฟ้ งั ธรรมจากพระพทุ ธเจา้ และพระสาวกหรอื ไม่ ก็ละชวั่ ประพฤตชิ อบได้ เอง เปรยี บเหมอื นคนไขบ้ างคนจะไดอ้ าหาร ทอ่ี ยู่และหมอทด่ี หี รอื ไม่ โรคกห็ ายเอง ๓.บางคนตอ้ งไดฟ้ งั ธรรมจากพระพทุ ธเจา้ หรอื พระสาวกเท่านนั้ จงึ ละชวั่ ประพฤตชิ อบเปรยี บ เหมอื นคนไขบ้ างคนตอ้ งไดอ้ าหาร ยาและหมอทด่ี ี โรคจงึ หาย เมอ่ื ไม่ไดไ้ ม่หาย การฟงั ธรรม จงึ เป็นประโยชนโ์ ดยตรงแก่บคุ คลประเภทท่ี ๓ แต่บคุ คลประเภทท่ี ๑ กค็ วรฟงั เพอ่ื เป็นอปุ นสิ ยั ในภายหนา้ และบคุ คลประเภทท่ี ๒ ก็ควรฟงั เพอ่ื ความรูค้ วามเขา้ ใจภูมธิ รรมทส่ี ูงข้นึ เพอ่ื จางา่ ย ย่ออานิสงส์ ๕ ดงั น้ี ไดฟ้ งั เร่อื งใหม่เขา้ ใจเรอ่ื งเก่า บรรเทาความสงสยั ทาลาย ความเหน็ ผดิ ดวงจติ ผอ่ งใส

พละ คอื ธรรมเป็นกาลงั ๕ อยา่ ง ๑. สทั ธา ความเช่ือ ๒. วริ ยิ ะ ความเพยี ร ๓. สติ ความระลกึ ได้ ๔. สมาธิ ความตง้ั ใจมนั่ ๕. ปญั ญา ความรอบรู้ อนิ ทรยี ์ ๕ กเ็ รยี กเพราะเป็นใหญ่ในกจิ ของตน พละ แปลว่าธรรมมกี าลงั มคี วามหมาย ๒ อยา่ ง คือ ๑ ครอบงา ยา่ ยธี รรมทเ่ี ป็นขา้ ศึกท่ี เกดิ ข้นึ แลว้ ได้ เปรยี บเหมอื นชา้ งสามารถเหยยี บมนุษย์ หรอื เอางวงจบั ฟาดตามสบาย เพราะมกี าลงั มากกว่า ๒. อนั ธรรมทเ่ี ป็นขา้ ศึกใหห้ วนั่ ไหวไม่ได้ เปรยี บเหมอื นภูเขาอนั มนุษย์ หรอื สตั วท์ ง้ั หลายมี ชา้ ง เป็นตน้ ทาใหห้ วนั่ ไหวไมไ่ ด้ เพราะมคี วามแขง็ แกร่งกว่า สภาพทข่ี า้ ศึก คือความไมม่ ศี รทั ธา (อสทั ธยิ ะ) ใหห้ วนั่ ไหวไมไ่ ด้ ช่อื ว่า สทั ธาพละ สภาพทข่ี า้ ศึก คือ ความเกยี จครา้ น (โกสชั ชะ) ใหห้ วนั่ ไหวไมไ่ ด้ ช่อื วา่ วิริยพละ สภาพทข่ี า้ ศึก คอื ความขาดสติ (สตวิ ปิ วาสะ) ใหห้ วนั่ ไหวไมไ่ ด้ ช่อื วา่ สตพิ ละ สภาพทข่ี า้ ศกึ คือ ความฟ้งุ ซา่ น (อทุ ชจั จะ) ใหห้ วนั่ ไหวไมไ่ ด้ ช่อื วา่ สมาธิพละ สภาพทข่ี า้ ศกึ คอื ความไม่รู้ (อวชิ ชา) ใหห้ วนั่ ไหวไมไ่ ด้ ชอ่ื วา่ ปญั ญาพละ อกี นยั หน่ึง กศุ ลธรรมทค่ี รอบงา อสทั ธยิ ะ โกสชั ชะ สตวิ ปิ วาสะ อทุ ชจั จะ และอวชิ ชาไดช้ อ่ื ว่า สทั ธาพละ วริ ยิ พละ สตพิ ละ สมาธพิ ละ และ ปญั ญาพละ ตามลาดบั ขนั ธ์ ๕ กายกบั ใจน้ี แบ่งออกเป็น ๕ กอง เรยี กว่า ขนั ธ์ ๕ คือ ๑. รูป ๒. เวทนา ๓. สญั ญา ๔. สงั ขาร ๕. วญิ ญาณ ธาตุ ๔ คอื ดนิ นา้ ไฟ ลม ประชมุ กนั เป็นกาย น้ีเรยี กวา่ รูป ความรูส้ กึ อารมณว์ ่า เป็นสขุ คือสบายกาย สบายใจ หรอื เป็นทกุ ข์ คือ ไมส่ บายกายไมส่ บาย ใจ หรอื เฉย ๆ คือไม่ทกุ ขไ์ มส่ ขุ เรยี กว่า เวทนา ความจาไดห้ มายรู้ คอื จารูป เสยี ง กลน่ิ รส โผฎฐพั พะ และอารมณ์ทเ่ี กดิ กบั ใจ ได้ เรยี กว่า สญั ญา

เจตสกิ ธรรม คือ อารมณ์ทเ่ี กดิ กบั ใจ เป็นสว่ นดเี รยี กกศุ ล เป็นสว่ นชวั่ เรยี กอกุศล เป็น ส่วนกลาง ๆ ไมด่ ไี ม่ชวั่ เรยี ก อพั ยากฤต (ทง้ั หมด) เรยี กว่า สงั ขาร ความรูอ้ ารมณ์ในเวลามรี ูปมากระทบตา เป็นตน้ เรยี กว่า วญิ ญาณ ขนั ธ์ ๕ น้ี ย่น เรยี กว่า นาม รูป คอื เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ รวมเขา้ เป็น นาม รูปคงเป็นรูป คาวา่ ขนั ธ์ แปลวา่ กอง หมายถงึ กองธรรม ๕ กอง ทร่ี วมกนั เขา้ แลว้ เป็นชวี ติ พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงเพอ่ื ใหเ้ขา้ ใจวา่ ชวี ติ มนุษยก์ ค็ ือ การประชมุ รวมกนั ของกองธรรมทง้ั ๕ น้ี ไดเ้หตไุ ดป้ จั จยั ก็ รวมกนั เรยี กวา่ มชี วี ติ ส้นิ เหตสุ ้นิ ปจั จยั ก็แตกสลาย เรยี กวา่ ตาย ไมม่ ใี ครทไ่ี หนมาสรา้ งมาดลบนั ดาลให้ เกิดข้นึ หรอื ใหต้ ายไป ฉกั กะ หมวด ๖ คารวะ ๖ อยา่ ง ความเอ้อื เฟ้ือ ในพระพทุ ธเจา้ ๑ ในพระธรรม ๑ ในพระสงฆ์ ๑ ในความศกึ ษา ๑ ในความ ไมป่ ระมาท ๑ ในปฏสิ นั ถารคอื ตอ้ นรบั ปราศรยั ๑ คารวะ แปลว่า ความเคารพ หมายถงึ การใหค้ วามสาคญั ต่อบคุ คล หรอื สง่ิ ทม่ี คี ุณความดมี คี ่า ควรแก่การใหเ้กยี รติ ใหก้ ารสนบั สนุน และการคุม้ ครองรกั ษา การกระทาท่แี สดงออกซง่ึ ความเคารพ คอื การไหว้ การกราบ การกม้ ศีรษะ การลกุ ข้นึ ตอ้ นรบั การใหท้ น่ี งั่ การหลกี ทางให้ การใหส้ ง่ิ ของ การนบั ถอื การบชู า เป็นตน้ ความเคารพในพระพทุ ธเจา้ ในปจั จบุ นั น้ี คือ เช่อื ความตรสั รูข้ องพระองค์ ไม่ แสดงอาการไม่สภุ าพต่อพระปฏมิ าและศาสนสถาน มเี จดยี ์ เป็นตน้ ความเคารพในพระธรรม คือ ตงั้ ใจศกึ ษาและปฏบิ ตั ติ าม ศีล สมาธิ ปญั ญา ความเคารพในพระสงฆ์ คือการกราบไหว้ นบั ถอื ถวายไทยธรรม มอี าหารบณิ ฑบาต เป็นตน้ ความเคารพในการศกึ ษา คอื เหน็ คณุ ค่าของการศึกษาวา่ จะทาใหม้ คี วามรูด้ ี มคี วามประพฤติ ดี มอี าชพี การงานดี แลว้ ตงั้ ใจศึกษาเลา่ เรยี น ไมเ่ ทย่ี วเตร่ เสเพล ความเคารพในความไมป่ ระมาท คือ ระวงั ตวั ไม่ใหไ้ ปทาความชวั่ ไม่ลมื ทาความดี ไมป่ ลอ่ ยใจ ใหค้ ดิ เร่อื งบาป อกศุ ล

ความเคารพในปฏสิ นั ถาร คอื ตอ้ นรบั ผูม้ าเยอื นดว้ ยการใหท้ พ่ี กั นา้ อาหาร และสนทนาปราศรยั ดว้ ยปิยวาจา เป็นตน้ สาราณิยธรรม ๖ อย่าง ธรรมเป็นที่ตง้ั แหง่ ความใหร้ ะลกึ ถงึ เรยี ก สาราณิยธรรม มี ๖ อย่าง คอื ๑. เขา้ ไปตง้ั กายกรรมประกอบดว้ ยเมตตา ในเพอ่ื นภกิ ษุสามเณร ทงั้ ต่อหนา้ และลบั หลงั คอื ช่วยขวนขวายในกจิ ธุระของเพอ่ื นดว้ ยกายมพี ยาบาลภกิ ษุไข้ เป็นตน้ ดว้ ยจติ เมตตา ๒. เขา้ ไปตงั้ วจกี รรมประกอบดว้ ยเมตตา ในเพอ่ื นภกิ ษุสามเณร ทง้ั ต่อหนา้ และลบั หลงั คอื ช่วยขวนขวายในกจิ ธุระของเพอ่ื นดว้ ยวาจา เช่นกลา่ วสงั่ สอน เป็นตน้ ๓. เขา้ ไปตงั้ มโนกรรมประกอบดว้ ยเมตตาในเพอ่ื นภกิ ษุสามเณร ทง้ั ต่อหนา้ และลบั หลงั คือคิด แต่สง่ิ ทเ่ี ป็นประโยชนแ์ ก่เพอ่ื นกนั ๔. แบ่งปนั ลาภทต่ี นไดม้ าโดยชอบธรรม ใหแ้ ก่เพอ่ื นภกิ ษุสามเณร ไมห่ วงไวบ้ รโิ ภคจาเพาะผู้ เดยี ว ๕. รกั ษาศีลใหบ้ รสิ ุทธ์เิ สมอกนั กบั เพอ่ื นภกิ ษุสามเณรอ่นื ๆ ไม่ทาตนใหเ้ป็นทร่ี งั เกียจของผูอ้ น่ื ๖. มคี วามเหน็ ร่วมกนั กบั ภกิ ษุสามเณรอ่นื ๆ ไม่ววิ าทกบั ใคร ๆ เพราะมคี วามเหน็ ผดิ กนั ธรรม ๖ อยา่ งน้ี ทรงแสดงแก่ภกิ ษุจงึ ดูเหมอื นเป็นเรอ่ื งเฉพาะพระ แต่ความจรงิ แลว้ ทกุ คน นาไปใชไ้ ดก้ บั ทกุ คน ทกุ เพศทกุ วยั เช่นอยู่กบั บดิ ามารดาก็ใชว้ ่า เขา้ ไปตงั้ กายกรรม วจกี รรม มโนกรรม อนั ประกอบดว้ ยเมตตาทงั้ ต่อหนา้ และลบั หลงั ช่วยทา่ นทางาน พดู กบั ทา่ น ดว้ ยปิยวาจา มจี ติ ใจเคารพนบั ถอื ท่าน เป็นตน้

สตั ตกะ หมวด ๗ อรยิ ทรพั ย์ ๗ ทรพั ย์ คือ คณุ ความดที ่ีมีในสนั ดานอยา่ งประเสรฐิ เรียกอรยิ ทรพั ย์ มี ๗ อย่าง คือ ๑. สทั ธา เช่อื สง่ิ ทค่ี วรเช่ือ ๒. ศีล รกั ษากาย วาจา ใหเ้รยี บรอ้ ย ๓. หริ ิ ความละอายต่อบาปทจุ รติ ๔. โอตตปั ปะ สะดุง้ กลวั ต่อบาป ๕. พาหุสจั จะ ความเป็นคนเคยไดย้ นิ ไดฟ้ งั มามาก คือทรงจาธรรม และรูศ้ ลิ ปวทิ ยามาก ๖. จาคะ สละใหป้ นั สง่ิ ของของตนแก่คนทค่ี วรใหป้ นั ๗. ปญั ญา รอบรูส้ ง่ิ ทเ่ี ป็นประโยชนแ์ ละไมเ่ ป็นประโยชน์ อรยิ ทรพั ย์ ๗ ประการน้ี ดกี ว่าทรพั ยภ์ ายนอก มเี งนิ ทอง เป็นตน้ ควรแสวงหาไวใ้ หม้ ใี น สนั ดาน ทรพั ยภ์ ายนอก จะเป็นสงั หารมิ ทรพั ย์ อสงั หารมิ ทรพั ย์ สวญิ ญณกทรพั ย์ อวญิ ญณกทรพั ย์ ก็ ตาม มไี วเ้พอ่ื ใหเ้กิดความสุข ถา้ ขาดทรพั ยแ์ ลว้ ยอ่ มมคี วามทกุ ข์ ตามธรรมภาษติ ว่า ทลทิ ทลยิ ทุกข โลเก ความจนเป็นทกุ ขใ์ นโลก แต่ถงึ จะมที รพั ยภ์ ายนอกมากมายอยา่ งไร ถา้ ขาดทรพั ยภ์ ายใน คอื อรยิ ทรพั ย์ เช่นขาดศลี หริ ิ โอตตปั ปะ เป็นตน้ โลกกจ็ ะลกุ เป็นไฟหาความสุขไมไ่ ด้ เลย อน่งึ เมอ่ื คนมที รพั ยภ์ ายใน คอื อรยิ ทรพั ยแ์ ลว้ ยอ่ มหาทรพั ยภ์ ายนอกไดง้ า่ ย ทง้ั ทาใหท้ รพั ย์ ภายนอกนน้ั มคี วามมนั่ คง และก่อใหเ้กดิ ความสขุ อย่างแทจ้ รงิ สมดงั ทน่ี กั ปราชญส์ อนไวว้ ่า ความพยายาม ทกุ อยา่ งของมนุษย์ กเ็ พอ่ื ความสุข แต่ถา้ ขาดธรรมเสยี แลว้ ความสขุ จะเกิดไม่ไดเ้ลย สปั ปรุ สิ ธรรม ๗ อยา่ ง ธรรมของสตั บรุ ุษ เรยี กว่า สปั ปรุ สิ ธรรม มี ๗ อย่าง คอื ๑. ธมั มญั ญตุ า ความเป็นผูร้ ูจ้ กั เหตุ เช่นรูจ้ กั วา่ สง่ิ น้ีเป็นเหตแุ หง่ สขุ ส่งิ น้ีเป็นเหตแุ ห่งทกุ ข์ ๒. อตั ถญั ญตุ า ความเป็นผูร้ ูจ้ กั ผล เช่นรูจ้ กั ว่าสขุ เป็นผลแห่งเหตอุ นั น้ี ทกุ ขเ์ ป็นผลแหง่ เหตุ อนั น้ี

๓. อตั ตญั ญตุ า ความเป็นผูร้ ูจ้ กั ตนว่า เราวา่ โดยชาติ ตระกลู ยศ ศกั ด์ิ สมบตั ิ บรวิ าร ความรู้ และคณุ ธรรมเพยี งเท่าน้ี แลว้ ประพฤตติ นใหส้ มควรแกท่ ่ีเป็นอยู่ อย่างไร ๔. มตั ตญั ญุตา ความเป็นผูร้ ูป้ ระมาณในการแสวงหาเคร่อื งเล้ยี ง ชีวติ แต่โดยทางท่ชี อบ และ รูจ้ กั ประมาณในการ บรโิ ภคแตพ่ อสมควร ๕. กาลญั ญุตา ความเป็นผูร้ ูจ้ กั กาลเวลาอนั สมควรในอนั ประกอบกจิ น้นั ๆ ๖. ปรสิ ญั ญุตา ความเป็นผูร้ ูจ้ กั ประชุมชน และกริ ยิ าที่จะตอ้ งประพฤติตอ่ ประชุมชนน้นั ๆ วา่ หมนู่ ้ีเม่อื เขา้ ไปหา จะตอ้ งทากิรยิ าอยา่ งน้ี จะตอ้ งพูดอย่างน้ี เป็นตน้ ๗. ปคุ คลปโรปรญั ญตุ า ความเป็นผูร้ ูจ้ กั เลอื กบคุ คลว่า ผูน้ ้ีเป็นคนดคี วรคบ ผูน้ ้ีเป็นคนไม่ดี ไมค่ วรคบ เป็นตน้ สตั บรุ ุษ คอื คนดมี คี วามประพฤติ ทางกาย วาจา ใจ อนั สงบ และทรงความรู้ หรอื จะกลา่ ว ว่า ผูป้ ระกอบดว้ ยธรรม ๗ ประการน้ี คือ รูจ้ กั เหตุ รูจ้ กั ผล รูจ้ กั ตน รูจ้ กั ประมาณ รูจ้ กั กาลเวลา รูจ้ กั เขา้ หาชมุ ชน รูจ้ กั เลอื กคนทค่ี วรคบ เรยี กว่า สตั บรุ ุษ ก็ได้ รูว้ ่า จดุ ไฟท้งิ ไวใ้ นบา้ น ไฟจะไหมบ้ า้ น ช่อื วา่ รูเ้หตุ รูว้ ่าไฟไหมบ้ า้ นพรอ้ มทง้ั ทรพั ยส์ นิ ต่าง ๆ หมดส้นิ ก็เพราะจดุ ไฟท้งิ ไว้ ช่อื วา่ รูผ้ ล การรูเ้หตุ ทาใหร้ ูจ้ กั สรา้ งเหตดุ ี หลกี หนเี หตรุ า้ ย การรูผ้ ล ทาใหเ้ป็นคนมปี ระสบการณ์ แลว้ ไม่ทาอยา่ งนนั้ อกี สปั ปรุ สิ ธรรมขอ้ อ่นื ๆ ทา่ นอธิบายไวช้ ดั เจนแลว้ อฏั ฐกะ คอื หมวด ๘ โลกธรรม ๘ ธรรมที่ครอบงาสตั วโ์ ลกอยู่ และสตั วโ์ ลกยอ่ มเป็นไปตามธรรมน้นั เรยี กว่า โลกธรรม โลกธรรมน้นั มี ๘ อยา่ ง คือ มลี าภ ๑ ไม่มีลาภ ๑ มียศ ๑ ไมม่ ี ยศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทกุ ข์ ๑ ในโลกธรรม ๘ ประการน้ี อย่างใดอย่างหน่งึ เกดิ ข้นึ ควรพจิ ารณาวา่ สง่ิ น้เี กดิ ข้นึ แก่เราแลว้ ก็ แต่วา่ มนั ไมเ่ ทย่ี ง เป็นทกุ ข์ มคี วามแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรรูต้ ามทเ่ี ป็นจรงิ อย่าใหม้ นั ครอบงาจติ ได้ คอื อย่ายนิ ดใี นสว่ นทป่ี รารถนา อย่ายนิ รา้ ยในส่วนทไ่ี ม่น่าปรารถนา

โลกธรรม ๘ น้ี ท่านแบง่ ออกเป็น ๒ ฝ่าย ทด่ี ี คือ มลี าภ มี ยศ สรรเสรญิ สขุ เรยี กวา่ อฏิ ฐารมณ์ แปลว่า อารมณท์ น่ี ่าปรารถนา ๑ ท่ไี ม่ดี คอื ไม่มลี าภ ไมม่ ี ยศ นนิ ทา ทกุ ข์ เรยี กว่า อนฏิ ฐารมณ์ แปลว่า อารมณท์ ไ่ี ม่น่าปรารถนา ๑ ท่ีวา่ ครอบงาสตั วโ์ ลก และสตั วโ์ ลกยอ่ มเป็ นไปตามธรรมน้ัน หมายความวา่ เม่อื ไดร้ บั โลกธรรม ฝ่ ายดี จติ ใจกฟ็ ูเบกิ บาน หรอื เรยี กว่า หนา้ ช่ืนตาบาน เม่อื ไดร้ บั โลกธรรมฝ่ ายไมด่ ี จติ ใจกฟ็ บุ เหย่ี ว แหง้ หรอื ทเ่ี รยี กว่า หนา้ เศรา้ อกตรม ความรูส้ กึ ทง้ั ๒ น้ี พระพทุ ธศาสนาสอนว่า ลว้ นเป็นภยั ต่อระบบ ศีลธรรมทง้ั น้นั คือ เป็นเหตใุ หจ้ ติ ใจเหนิ ห่าง จากศีล สมาธิ และปญั ญา ทสกะ คือ หมวด ๑๐ บญุ กริ ยิ าวตั ถุ ๑๐ อยา่ ง ๑. ทานมยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการบรจิ าคทาน ๒. สลี มยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการรกั ษาศีล ๓. ภาวนามยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการเจรญิ ภาวนา ๔. อปจายนมยั บญุ สาเร็จดว้ ยการประพฤตถิ ่อมตนแกผ่ ูใ้ หญ่ ๕ เวยยาวจั จมยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการช่วยขวนขวายในกจิ ท่ีชอบ ๖. ปตั ตทิ านมยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการใหส้ ่วนบญุ ๗. ปตั ตานุโมทนามยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการอนุโมทนาสว่ นบญุ ๘. ธมั มสั สวนมยั บญุ สาเร็จดว้ ยการฟังธรรม ๙. ธมั มเทสนามยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการแสดงธรรม ๑๐. ทฏิ ฐชุ ุกมั ม์ การทาความเหน็ ใหต้ รง ความหมายของคาวา่ บญุ กริ ยิ าวตั ถุ ไดอ้ ธิบายแลว้ ในบญุ กริ ยิ าวตั ถุ ๓ ในหมวดน้ี เพยี งแต่ใหต้ งั้ ขอ้ สงั เกตว่า คนสว่ นใหญ่เมอ่ื พดู ถงึ การทาบญุ กจ็ ะคิดว่าตนไมม่ ี ทรพั ย์ เลยไม่มโี อกาสไดท้ าบญุ กบั เขา แต่ความจรงิ แลว้ ทรพั ยไ์ ม่ใช่อปุ กรณ์สาหรบั ทาบญุ ทส่ี าคญั เลย จะ เหน็ วา่ ทงั้ ๑๐ ขอ้ น้ที ต่ี อ้ งใชท้ รพั ยม์ ขี อ้ เดยี ว คือ ทานมยั เทา่ นนั้ เอง นอกจากนน้ั เป็นเร่อื ง ของ กาย วาจา ใจ ทงั้ ส้นิ ดงั นน้ั จงึ ทาใหเ้ขา้ ใจไดว้ ่า อปุ กรณส์ าหรบั ทาบญุ ทส่ี าคญั ทส่ี ุด ก็ คอื กาย วาจา และ ใจ ของตนน่เี อง

กาย และ วาจาของตนงดเวน้ จากการทา การพดู ทส่ี รา้ งความทกุ ข์ ความเดอื ดรอ้ นใหแ้ ก่ผอู้ น่ื ศรี ษะของตน ใชก้ ม้ ใหก้ บั ผูใ้ หญ่ มอื ของตนใชไ้ หวท้ า่ นผูเ้จรญิ ดว้ ยวยั วฒุ ิ คุณวฒุ ิ และชาตวิ ุฒิ ร่างกายของตน ร่วมดว้ ยช่วยกนั ทาสง่ิ ทเ่ี ป็นประโยชนแ์ ก่สงั คม ปาก ใชพ้ ดู เรอ่ื งทเ่ี ป็นประโยชน์ มคี ุณค่าแก่ชวี ติ จติ ใจของผูฟ้ งั หู ใชฟ้ งั คาสอนของบดิ ามารดา ครูอาจารย์ และองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เป็นตน้ ใจ ใชค้ ดิ และรบั รู้ แต่สง่ิ ทเ่ี ป็นความรู้ เป็นกุศล ไม่โลภอยากไดข้ องใคร ไมค่ ดิ ประทษุ รา้ ย ใคร มคี วามคดิ เหน็ ทส่ี ่งเสรมิ ระบบศลี ธรรม เพยี ง การทา การพดู และการคดิ อย่างน้ี กาย วาจา และใจของเรา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook