Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สรุปเตรียมสอบนักธรรมโท003(ใส่ลาย)

สรุปเตรียมสอบนักธรรมโท003(ใส่ลาย)

Published by Noy4021, 2021-11-14 00:34:33

Description: สรุปเตรียมสอบนักธรรมโท003(ใส่ลาย)

Search

Read the Text Version

๑ สรุปเตรียมสอบนักธรรมโท ปฏิสันถาร ๒ อามิสปฏสิ ันถาร ปฏิสันถารดว้ ยอามิส (คือสิ่งของ) ธรรมวภิ าค ธัมมปฏสิ ันถาร ปฏิสนั ถารโดยธรรม ปริเยสนา ๒ หมวด ๒ อริยปริเยสนา แสวงหาอยา่ งประเสริฐ อนริยปริเยสนา แสวงหาอย่างไมป่ ระเสริฐ อริยบุคคล ๒ ปาพจน์ ๒ พระเสขะ พระผยู้ งั ตอ้ งศึกษา ธรรม พระอเสขะ พระผไู้ ม่ตอ้ งศึกษา วินยั กมั มฏั ฐาน ๒ รูป ๒ สมถกฏั มัฏฐาน กมั มฏั ฐานเป็นอบุ ายสงบใจ มหาภูตรูป รูปใหญ่ วิปัสสนากมั มฏั ฐาน กมั มฏั ฐานเป็นอบุ ายเรืองปัญญา อุปาทายรูป รูปอาศยั กาม ๒ วมิ ตุ ติ ๒ กเิ ลสกาม กิเลสเป็นเหตใุ คร่ เจโตวมิ ุตติ ความหลุดพน้ ดว้ ยอานาจแห่งใจ วตั ถกุ าม พสั ดุอนั น่าใคร่ ปัญญาวมิ ุตติ ความหลุดพน้ ดว้ ยอานาจแห่งปัญญา ทิฏฐิ ๒ สังขาร ๒ สัสสตทิฏฐิ ความเห็นวา่ เที่ยง อปุ าทนิ นกสังขาร สงั ขารมีใจครอง อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นวา่ ขาดศูนย์ อนุปาทนิ นกสังขาร สงั ขารไม่มีใจครอง เทสนา ๒ สมาธิ ๒ ปุคคลาธิฏฐานา มีบคุ คลเป็นท่ีต้งั อุปจารสมาธิ สมาธิเป็นแตเ่ ฉียดๆ ธมั มาธฏิ ฐานา มีธรรมเป็นท่ีต้งั อปั ปนาสมาธิ สมาธิอนั แน่แน่ว ธรรม ๒ (๑) สุข ๒ (๑) รูปธรรม สภาวะเป็นรูป กายกิ สุข สุขทางกาย อรูปธรรม สภาวะมิใช่รูป เจตสิกสุข สุขทางใจ ธรรม ๒ (๒) สุข ๒ (๒) โลกยิ ธรรม ธรรมอนั เป็นวสิ ัยของโลก สามิสสุข สุขของอามิส (คือกามสุข) โลกุตตรธรรม ธรรมอนั พน้ วสิ ัยของโลก นริ ามสิ สุข สุขไม่อิงอามิส (คืออิงเนกขมั มะ) ธรรม ๒ (๓) สุทธิ ๒ สังขตธรรม ธรรมอนั ปัจจยั ปรุง ปริยายสุทธิ หมดจดโดยเอกเทส อสังขตธรรม ธรรมอนั ปัจจยั ไม่ไดป้ รุง นิปปริยายสุทธิ หมดจดโดยสิ้นเชิง นิพพาน ๒ สอุปาทิเสสนพิ พาน ดบั กิเลสยงั มีเบญจขนั ธ์เหลือ อนุปาทิเสสนิพพาน ดบั กิเลสไมม่ ีเบญจขนั ธ์เหลือ บูชา ๒ อามิสบูชา บชู าดว้ ยอามิส (คือส่ิงของ) ปฏปิ ัตติบูชา บชู าดว้ ยปฏิบตั ิตาม

๒ หมวด ๓ กรรม ๓ กายกรรม กรรมทาดว้ ยกาย อกุศลวิตก๓ วจีกรรม กรรมทาดว้ ยวาจา กามวิตก ความตริในทางกาม มโนกรรม กรรมทาดว้ ยใจ พยาบาทวติ ก ความตริในทางพยาบาท ทวาร ๓ วิหิงสาวิตก ความตริในทางเบียดเบียน กายทวาร ทวารคือกาย กศุ ลวิตก ๓ วจีทวาร ทวารคือวาจา เนกขัมมวติ ก ความติในทาลพรากจากกาม มโมทวาร ทวารคือใจ อพยาบาทวิตก ความติในทางไม่พยาบาท ญาณ ๓ อวหิ งิ สาวติ ก ความติในทางไม่เบียดเบียน อตีตังสญาณ ญาณในส่วนอดีต อคั คิ ไฟ ๓ อนาคตังสญาณ ญาณในส่วนอนาคต ราคคั คิ ไฟคือราคะ ปัจจปุ ปันนังสญาณ ญาณในปัจจุบนั โทสัคคิ ไฟคอื โทสะ ญาณ ๓ (๒) โมหัคคิ ไฟคือโมหะ สัจจญาณ ปรีชาหยงั่ รู้อริยสัจ อตั ถะหรือประโยชน์ ๓ กจิ จญาณ ปรีชาหยง่ั รู้กิจอนั ควรทา ทิฎฐธมั มิกตั ถะ ประโยชนใ์ นภพน้ี กตญาณ ปรีชาหยงั่ รู้กิจอนั ทาแลว้ สัมปรายิกตั ถะ ประโยชน์ในภพหนา้ ตัณหา ๓ ปรมตั ถะ ประโยชน์อยา่ งยอ คือพระนิพพาน กามตณั หา ตณั หาในกาม อธปิ ัตเตยยะ ๓ ภวตคัณหา ตณั หาในภพ อตั ตาธปิ เตยยะ ความมีตนเป็นใหญ่ วิภวตัณหา ตณั หาในปราศจากภพ โลกาธปิ เตยยะ ความมีโลกเป็นใหญ่ ทิฏฐิ ๓ ธัมมาธปิ เตยยะ ความมีธมั เป็นใหญ่ อกริ ิยทฏิ ฐิ ความเห็นวา่ ไม่เป็นอนั ทา อนุตตริยะ ๓ อเหตกุ ทิฏฐิ ความเห็นวา่ หาเหตุมิได้ ทัสสนานุตตริยะ ความเห็นอนั เยยี่ ม นตั ถกิ ทฏิ ฐิ ความเห็นวา่ ไมม่ ี ปฎปิ ทานุตตริยะ ความปฎิบตั ิอนั เยย่ี ม เทพ ๓ วิมตุ ตานุตตริยะ ความพน้ อนั เยย่ี ม สมมตเิ ทพ เทวดาโดยสมมติ อภิสังขาร ๓ อุปปัตติเทพ เทวดาโดยกาเนิด ปญุ ญาภสิ ังขาร อภิสังขารคือบญุ วสิ ุทธเิ ทพ เทวดาโดยความบริสุทธ์ิ อปญุ ญาภิสังขาร อภิสงั ขารคอื บาป ธรรมนยิ าม๓ อเนญชาภสิ ังขาร อภิสงั ขารคืออเนญชา สังขารท้งั ปวง ไมเ่ ที่ยง อาสวะ ๓ สังขารท้งั ปวง เป็นทกุ ข์ กามาสวะ อาสวะเป็นเหตุอยากได้ ธรารมท้งั ปวง เป็นอนตั ตา ภวาสวะ อาสวะเป็นเหตุอยากเป็น อวชิ ชาสวะ อาสวะคอื อวิชชาความเขลา

๓ นิมติ ต์ ๓ สังขารโลก โลกคือสังขาร ปริกมั มนิมติ ต์ นิมิตในบริกรรม สัตวโลก โลกคือหมสู่ ัตว์ อุคคหนมิ ติ ต์ นิมิตติดตา โอกาสโลก โลกคอื แผ่นดิน ปฏภิ าคนมิ ติ ต์ นิมิตเทียบเคียง โลก ๓ (๒) ภาวนา ๓ มนุษยโลก ไดแ้ ก่โลกที่เราอาศยั อยนู่ ้ี ปริกมั มภาวนา ภาวนาในบริกรรม เทวโลก ไดแ้ ก่สวรรคก์ ามาพจร ๖ ช้นั อปุ จารภาวนา ภาวนาเป็นอุปจาร พรหมโลก ไดแ้ ก่สวรรคช์ ้นั รูปพรหม ๑๖ ช้นั อปั ปนาภาวนา ภาวนาเป็นอปั ปนา วฏั ฏะ [วน] ๓ ปริญญา๓ กเิ ลสวัฏฏะ วนคอื กิเลส ญาตปริญญา กาหนดรู้ดว้ ยการรู้ กมั มวฏั ฏะ วนคอื กรรม ตีรณปริญญา กาหนดรู้ดว้ ยการพจิ ารณา วปิ ากวฏั ฏะ วนคอื วบิ าก ปหานปริญญา กาหนดรู้ดว้ ยการละเสีย วชิ ชา ๓ ปหาน ๓ ปพุ เพนิวาสานุสสติญาณ รู้จกั ระลึกชาติได้ ตทังคปหาน การละชว่ั คราว จตุ ูปปาตญาณ รู้จกั กาหนดจุติและเกิด วิกขัมภนปหาน การละดว้ ยการสะกดไว้ อาสวกั ขยญาณ รู้จกั ทาอาสวะใหส้ ิ้น สมจุ เฉทปหาน การละดว้ ยตดั ขาด วิโมกข์ ๓ ปาฏหิ าริยะ ๓ สุญญตวิโมกข์ อทิ ธปิ สฏิหาริยะ ฤทธ์ิเป็นอศั จรรย์ อนิมิตตวิโมกข์ อาเทสนาปาฏหิ าริยะ ดกั ใจเป็นอศั จรรย์ อปั ปณิหิตวโิ มกข์ อนุสาสนปี าฏหิ าริยะ คาสอนเป็นอศั จรรย์ สมาธิ ๓ ปิ ฎก ๓ สุญญตสมาธิ พระวนิ ยั ปิ ฎก หมวดพระวินยั อนิมิตตสมาธิ พระสุตตันตปิ ฎก หมวดพระสุตนั ตะ อปั ปณิหิตสมาธิ พระอภธิ รรมปิ ฎก หมวดพระอภิธรรม วิเวก ๓ พุทธจริยา ๓ กายวิเวก สงดั กาย โลกตั ถจริยา ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่โลก จิตตวเิ วก สงดั จิต ญาตัตถจริยา ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่พระญาติหรือโดย อปุ ธวิ เิ วก สงดั กิเลส เป็ นพระญาติ สังขตลกั ษณะ ๓ พุทธตั ถจริยา ทรงประพฤติประโยชน์ โดยฐานเป็นพระพทุ ธเจา้ ความเกิดข้ึน ปรากฏ ภพ ๓ ความดบั ปรากฏ เม่ือยงั ต้งั อยู่ ความแปร ปรากฏ กามภพ ไดแ้ ก่ภพเป็นกามาวจร รูปภพ ไดแ้ ก่ภพรูปาวจร อรูปภพ ไดแ้ ก่ภพเป็นอรูปาวจร โลก ๓ (๑)

๔ สังขาร ๓ อปั ปมญั ญา ๔ กายสังขาร สภาพอนั แตง่ กาย เมตตา วจสี ังขาร สภาพอนั แต่งวาจา กรุณา จติ ตสังขาร สภาพอนั แตง่ จิต มทุ ิตา อุเบกขา สัทธรรม ๓ ปริยัตฺติสัทธรรม ไดแ้ ก่คาส่งั สอน พระอรหนั ต์ ๔ ปฏปิ ัตติสัทธรรม ไดแ้ ก่ความปฏิบตั ิ ปฏิเวธสัทธรรม ไดแ้ ก่มรรค ผล นิพพาน สุกฺขวปิ ัสฺสโก ผเู้ จริญวปิ ัสสนาลว้ น สมบตั ิ ๓ มนุษยสมบัติ สมบตั ิในมนุษย์ เตวชิ ฺโช ผไู้ ดว้ ชิ ชาสาม สวรรคสมบัติ สมบตั ิในสวรรค นพิ พานสมบัติ สมบตั ิคอื พระนิพพาน ฉฬภิญโฺ ญ ผไู้ ดอ้ ภิญญาหก สิกขา ๓ อธิสีลสิกขา สิกขาคือศีลยง่ิ ปฏิสมฺภทิ ปปฺ ตฺโต ผถู้ ืงปฏิสัมภิทา อธจิ ติ ตสิกขา สิกขาคอื จิตยงิ่ อธปิ ัญญาสิกขา สิกขาคือศีลยงิ่ พระอริยบคุ คล ๔ โสดาบัน ๓ เอกพีชี พระโสดาบนั โกลงั โกละ สัตตกั ขตั ตปุ รมะ พระสกทาคามี หมวด ๔ พระอนาคามี อบาย ๔ พระอรหนั ต์ นริ ยะ นรก ตริ ัจฉานโยนิ กาเนิดดิรัจฉาน อริยวงศ์ ๔ ปิ ตติวสิ ัย ภูมิแห่งเปรต อสุรกาย พวกอสุระ สนั โดษดว้ ยจีวร ตามมีตามเกิด อปัสเสนธรรม ๔ พิจารณาแลว้ เสพของอยา่ งหน่ึง สันโดษดว้ ยบิณฑบาต ตามมีตามเกิด พจิ ารณาแลว้ อดกล้นั ของอยา่ งหน่ึง พิจารณาแลว้ เวน้ ของอยา่ งหน่ึง สนั โดษดว้ ยเสนาสนะตามมีตามเกิด พจิ ารณาแลว้ บรรเทาของอยา่ งหน่ึง ยนิ ดีในการเจริญกศุ ลและในการละอกุศลนบั อีก๑ อรูป ๔ อากาสานญั จายตนะ วญิ ญาณญั จายตนะ อากิญจญั ญายตนะ เนวสัญญานาสญั ญายตนะ อวิชชา ๔ ไมร่ ู้ในทุกข์ ไม่รู้ในทุกขสมทุ ยั ไมร่ ู้ในทกุ ขนิโรธ ไม่รู้ในทกุ ขนิโรธคามินีปฏิปทา

อาหาร ๔ ๕ กวฬิงการาหาร อาหารคือคาขา้ ว ธรรมสมาทาน ๔ ธรรมสมาทานบางอยา่ ง ใหท้ ุกขใ์ นปัจจุบนั และมีทกุ ขเ์ ป็วบิ าก ผสั สาหาร อาหารคือผสั สะ ตอ่ ไป ธรรมสมาทานบางอยา่ ง ให้ทุกขใ์ นปัจจุบนั แตม่ ีสุขเป็นวบิ าก มโนสัญเจตนาหาร อาหารคือมโนสญั เจตนา ต่อไป ธรรมสมาทานบางอยา่ ง ให้สุขในปัจจุบนั แตม่ ีทกุ ขเ์ ป็นวิบาก วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ ต่อไป ธรรมสมาทานบางอยา่ ง ใหส้ ุขในปัจจุบนั และมีสุขเป็นวิบาก อุปาทาน ๔ ตอ่ ไป บริษทั ๔ กามุปาทาน ถือมน่ั กาม ภิกษุ ภิกษณุ ี ทิฏฐุปาทาน ถือมนั่ ทิฏฐิ อุบาสก อบุ าสิกา สีลพั พตปุ าทาน ถือมนั่ ศีลพรต อตั ตวาทุปาทาน ถือมน่ั วาทะวา่ ตน โอฆะ๔ กาโมฆะ โอฆะคือกาม ภโวฆะ โอฆะคือภพ ทิฏโฐฆะ โอฆะคือทิฏฐิ บคุ คล ๔ อวิชโชฆะ โอฆะคืออวิชชา อคุ ฆตติ ัญญู ผอู้ าจรู้ธรรมพอท่านยกหวั ขอ้ ข้นึ แสดง กจิ ในอริยสัจ๔ วิปจิตญั ญู ผอู้ าจรู้ธรรมต่อเมื่อท่านอธิบายความแห่งธรรมน้นั ปริญญา กาหนดรู้ทุกขสัจ เนยยะ ผพู้ อแนะนาได้ ปหานะ ละสมุทยั สัจ ปทปรมะ ผมู้ ีบทเป็นอยา่ งยง่ิ สัจฉิกรณะ ทาใหแ้ จง้ นิโรธสจั ปฏปิ ทา ๔ ภาวนา ทามคั คสจั ใหเ้ กิด ทุกฺขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญญา ปฏิบตั ิลาบาก ท้งั รู้ไดช้ า้ ฌาน ๔ ทุกฺขา ปฏิปทา ขิปปฺ าภิญญา ปฏิบตั ิลาบาก แตร่ ู้ไดเ้ ร็ว ปฐมฌาน ฌานที่๑ สุขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญฺญา ปฏิบตั ิสะดวก แตร่ ู้ไดช้ า้ ทุติยฌาน ฌานท่ี๒ สุขา ปฏิปทา ขิปปฺ าภิญฺญา ปฏิบตั ิสะดวก ท้งั รู้ไดเ้ ร็ว ตติยฌาน ฌานท่ี๓ ปฏิสัมภิทา ๔ จตุตถฌาน ฌานท่ี๔ อตั ถปฏสิ ัมภทิ า ปัญญาอนั แตกฉานในอรรถ ทกั ขิณาวิสุทธิ ๔ ธมั มปฏิสัมภิทา ปัญญาอนั แตกฉานในธรรม ทกั ขณิ าบางอยา่ ง บริสุทธ์ฝ่ายทายก มิใช่ฝ่ายปฏิคาหก นริ ุตตปิ ฏิสัมภทิ า ปัญญาอนั แตกฉานในนิรุกติ ทกั ขณิ าบางอยา่ ง บริสุทธ์ฝ่ายปฏิคาหก มิใช่ฝ่ายทายก ปฏภิ าณปฏสิ ัมภิทา ปัญญาอนั แตกฉานในปฏิบตั ิ ทกั ขิณาบางอยา่ ง ไม่บริสุทธท์ ้งั ฝ่ายทายก ท้งั ฝ่ายปฏิคาหก ภมู ิ ๔ ทกั ขณิ าบางอยา่ ง บริสุทธท์ ้เั งฝ่ายทายก ท้งั ฝ่ายปฏิคาหก กามาจรภูมิ ช้นั ทอ่ งเที่ยว รูปาวรจรภูมิ ช้นั ทอ่ งเทียวอยใู่ นรูป อรูปาวจรภูมิ ช้นั ท่องเที่ยวอยใู่ นอรูป โลกตุ รภูมิ ช้นั พน้ จากโลก

๖ มรรค ๔ หมวด ๕ โสดาบนั ปัตติมรรค อนุปุพพกี ถา๕ สกทาคามิมรรค ทานกถา กลา่ วถึงทาน อนาคามิมรรค สีลกถา กล่าวถึงศีล อรหตั ตมรรค สัคคกถา กลา่ วถึงสวรรค์ ผล ๔ กามาทนี วกถา กล่าวถึงโทษแห่งกาม โสดาปัตติผล เนกขัมมานสิ ังสกถา กล่าวถึงอานิสงส์ความออกจากกาม สกทาคามิผล กามคณุ ๕ อนาคามิผล รูป อรหตั ตผล เสียง โยนิ ๔ กลนิ่ ชลาพุ่ชะ เกิดในครรภ์ รส อนั ฑชะ เกิดในไข่ โผฏฐัพพะ สังเสทชะ เกิดในเถา้ ไคล จักข๕ุ โอปปาตกิ ะ เกิดผดุ ข้ึน มังสจกั ขุ จกั ษคุ ือดวงตา วรรณะ ๔ ทพิ พจักขุ จกั ษุทิพย์ กษัตริย์ ปัญญาจกั ขุ จกั ษุคอื ปัญญา พราหมณ์ พทุ ธจักขุ จกั ษุแห่งพระพุทธเจา้ แพศย์ [พานิช] สมนั ตจักขุ จกั ษุรอบคอบ. ศูทร [คนงาน] ธรรมขนั ธ์๕ วิบัติ ๔ สีลขนั ธ์ หมวดศีล สีลวิบตั ิ วิบตั ิแห่งศีล สมาธิขนั ธ์ หมวดสมาธิ อาจารวบิ ัติ วบิ ตั ิแห่งอาจาระ ปัญญาขนั ธ์ หมวดปัญญา ทฏิ ฐิวบิ ตั ิ วิบตั ิแห่งทิฏฐิ วมิ ตุ ตขิ นั ธ์ หมวดวมิ ุตติ อาชีววบิ ตั ิ วิบคั ติแห่งอาชีวะ วมิ ุตตญิ าณทัสสนขันธ์ หมวดวมิ ุตติญาณทสั สนะ เวสารัชชญาณ ๔ ปี ติ ๕ ทา่ นปฏิญญาวา่ เป็นสมั มาสัมพทุ ธะ ธรรมเหลา่ น้ีท่านยงั ไม่รู้แลว้ ขุททกาปี ติ ปี ติอยา่ งนอ้ ย ท่านปฏิญญาวา่ เป็นขีณาสพ อาสวะเหล่าน้ีของทา่ น ยงั ไม่สิ้น ขณิกาปี ติ ปี ติชวั่ ขณะ แลว้ โอกกนั ตกิ าปี ติ ปี ติเป็นพกั ๆ ท่านกลา่ วธรรมเหลา่ ใดวา่ ทาอนั ตราย ธรรมเหลา่ น้นั ไม่อาจทา อุพเพงคาปี ติ ปี ติอยา่ งโลกโผน อนั ตรายแก่ผสู้ อ้ งเสพไดจ้ ริง ทา่ นแสดงธรรมเพ่ือประโยชนอ์ ยา่ งใด ประโยชน์อยา่ งน้นั ไม่ ผรณาปี ติ ปี ติซาซ่าน. เป็นทางสิ้นทกุ ขโ์ ดยชอบแห่งคนผทู้ าตาม

มัจฉริยะ๕ ๗ อาวาสมจั ฉริยะ ตระหนี่ท่ีอยู่ สังวร๕ สีลสังวร สารวมในศีล กลุ มัจฉริยะ ตระหน่ีสกลุ สติสังวร สารวมดว้ ยสติ ญาณสังวร สารวมดว้ ยญาณ ลาภมัจฉริยะ ตระหน่ีลาภ ขนั ติสังวร สารวมดว้ ยขนั ติ วิริยสังวร สารวมดว้ ยความเพียร. วัณณมจั ฉริยะ ตระหน่ีวรรณะ สุทธาวาส๕ อวิหา ธมั มจั ฉริยะ ตระหนี่ธรรม. อตปั ปา สุทสั สา มาร๕ สุทสั สี อกนิฏฐา ขนั ธมาร มารคอื ปัญจขนั ธ์ พระอนาคามี๕ อนั ตราปรินพิ พายี ท่านผจู้ ะปรินิพพานในระหวา่ งอายยุ งั ไมท่ นั กเิ ลสมาร มารคอื กิเลส ถึงก่ึง อุปหจั จปรินพิ พานยี ทา่ นผจู้ ะปริพพานตอ่ เม่ืออายพุ น้ ก่ึงแลว้ อภิสังขารมาร มารคอื อภิสังขาร จวนถึงที่สุด. สสังขารปรินพิ พายี ทา่ นผจู้ ะปรินิพพานดว้ ยตอ้ งใชค้ วามเพยี ร มจั จุมาร มารคอื มรณะ เร่ียวแรง. อสังขารปรินพิ พายีท่านผจู้ ะปรินิพพานดว้ ยไมต่ อ้ งใชค้ วามเพยี ร เทวปุตตมาร มารคอื เทวบุตร. นกั อทุ ธังโสโตอกนฏิ ฐคามีทา่ นผมู้ ีกระแสในเบ้ืองบนไปสู่อกนิฏฐ วญิ ญาณ๕ ภพ จกั ขวุ ญิ ญาณ วิญญาณทางดวงตา โสตวญิ ญาณ วิญญาณทางหู ฆานวิญญาณ วญิ ญาณทางจมกู ชิวหาวญิ ญาณ วิญญาณทางลิ้น กายวญิ ญาณ วิญญาณทางกาย. วิมุตต๕ิ ตทงั ควมิ ุตติ พนั ชว่ั คราว วกิ ขันภนวิมตุ ติ พน้ ดว้ ยสะกดไว้ สมุจเฉทวิมุตติ พน้ ดว้ ยเด็ดขาด ปฏปิ ัสสัทธวิ มิ ตุ ติ พน้ ดว้ ยสงบ นสิ สรณวิมตุ ติ พน้ ดว้ ยออกไป. หมวด ๖ เวทนา๕ แสดงฤทธ์ ิได้ หูทิพย์ สุข อภิญญา๖ รู้จดั กาหนดใจผอู้ ่ืน อทิ ธวิ ิธิ ระลึกชาติได้ ทกุ ข์ ทิพพโสต ตาทิพย์ เจโตปริยญาณ รู้จดั ทาอาสวะใหส้ ิ้น. โสมนสั ปุพเพนวิ าสานุสสติ ทพิ พจกั ขุ โทมนสั อาสวกั ขยญาณ อุเบกขา

๘ อภิฐาน(ฐานะอย่างหนกั ) ๖ ๖.รูปสัญญา สทั ทสัญญา คนั ธสญั ญา รสสญั ญา โผฏฐพั มาตุฆาต ฆา่ มารดา พสญั ญา ธมั มสญั ญา ปิ ตฆุ าต ฆ่าบิดา ๗.รูปสัญเจตนา สทั ทสัญเจตนา คนั ธสัญเจตนา รสสัญเจตนา อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหนั ต์ โผฏฐพั พสัญเจตนา ธมั มสัญเจตนา โลหิตปุ บาท ทาร้ายพระพุทธเจา้ จนถึงยงั พระโลหิตใหห้ อ้ ข้นึ ๘.รูปตัณหา สัททตณั หา คนั ธตณั หา รสตณั หา โผฏฐพั พ สังฆเภท ยงั สงฆใ์ หแ้ ตกจากกนั ตณั หา ธมั มตณั หา อญั ญสัตถุทเทส ถือศาสดาอ่ืน. ๙.รูปวิตก สัททวิตก คนั ธวิตก รสวติ ก โผฏฐพั พวิตก ธมั ม จริต ๖ วิตก ๑. ราคจริต มีราคะเป็ นปกติ ๑๐.รูปวจิ าร สัททวิจาร คนั ธวจิ าร รสวิจาร โผฏฐพั พวิจาร ๒. โทสจริต มีโทสะเป็ นปกติ ธมั มวิจาร ๓. โมหจริต มีโมหะเป็ นปกติ สวรรค์ ๖ ช้ัน ๔. วติ กั กจริต มีวติ กเป็นปกติ ช้นั จาตุมหาราชิก ๕. สัทธาจริต มีศรัทธาเป็ นปกติ ช้นั ดาวดืงส์ ๖. พทุ ธจิ ริต มีความรู้เป็ นปกติ. ช้นั ยามา ธรรมคณุ ๖ ช้นั ดุสิต ๑. สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอนั พระผมู้ ีพระ ช้นั นิมมานรดี ช้นั ปรนิมมิตวสวดั ดี ภาคเจา้ ตรัสดีแลว้ ๒. สนฺทฏิ ฺ ิิโก อนั ผไู้ ดบ้ รรลุจะพึงเห็นเอง หมวด ๗ ๓. อกาลโิ ก ไม่ประกอบดว้ ยกาล ๔. เอหิปสฺสิโก ควรเรียกใหม้ าดู อนุสัย ๗ ๕. โอปนยิโก ควรนอ้ มเขา้ มา กามราคานุสัย ๖. ปจฺจตฺต เวทิตพฺโพ วญิ ญฺ ูหิ อนั วิญญูพงึ รู้เฉพาะตน ปฏิฆานุสัย อนุสัย คือ ความความหงุดหงิดไดแ้ ก่ โทสะ มานานุสัย อนุสัย คอื ความถือตวั ไดแ้ ก่ มานะ ๙ ประการ หมวดละหก ๑๐ หมวด ทฏิ ฐานุสัย อนุสัย คือ ความเห็นผดิ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ๑.อายตนะภายใน จกั ขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน วิจิกจิ ฉานุสัย อนุสัย คอื ความสงสยั ไม่แน่ใจในพระรัตนตรัย ๒.อายตนะภายนอก รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ ธรรม ภวราคานุสัย อนุสัย คือ ความกาหนดั ในภพหรืออยากเป็นโน่น ๓.จักขวุ ิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ เป็นน่ี กายวิญญาณ มโนวิญญาณ อวิชชานุสัย อนุสัย คือ ความเขลาไม่รู้จริงถึงสภาวะธรรม ๔.จกั ขสุ ัมผสั โสตสัมผสั ฆานสัมผสั ชิวหาสัมผสั กายสมั ผสั เมถุนสังโยค ๗ มโนสัมผสั ๑.ยนิ ดกี ารลบู ไล้ การประคบ การให้อาบนา้ การนวดแห่ง ๕.จกั ขสุ ัมผัสสชา เวทนา โสตสัมผสั สชา เวทนา ฆานสัมผสั ส มาตคุ าม ปลื้มใจด้วยการบาเรอน้นั ชา เวทนา ชิวหาสัมผสั สชา เวทนา กายสมั ผสั สชา เวทนา มโน ๒.ไม่ถงึ อย่างน้ัน แต่ซิกซีเ้ ล่นหวั สัพยอกกบั มาตคุ าม ปลื้มใจด้วย สัมผสั สชา เวทนา การเสสรวลน้นั

๙ ๓.ไม่ถึงอย่างน้ัน แต่เพ่งดูจ้องดูจกั ษุแห่งมาตุคามด้วยจกั ษขุ อง ๖. ปฏปิ ทาญาณทสั สนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็น ตน ปลืม้ ใจด้วยการเลง็ แลน้นั เครื่องเห็นทางปฏิบตั ิ. ๔.ไม่ถงึ อย่างน้ัน แต่ฟังเสียงแห่งมาตคุ ามหัวเราะอย่กู ด็ ี พูดอย่กู ็ ๗. ญาณทสั สนวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งญาณทสั สนะ ดี ขบั ร้องอยู่กด็ ี ร้องไห้อยู่กด็ ี ข้างนอกฝากด็ ี ข้างนอกกาแพงกด็ ี ปลืม้ ใจด้วยเสียงน้นั หมวด ๘ ๕.ไม่ถงึ อย่างน้นั แต่ตามนกึ ถงึ กาลเก่าท่ไี ด้เคยหัวเราะพูดเล่นกบั อริยบุคคล ๘ มาตคุ าม แล้วปลืม้ ใจ ๑.บคุ คลผ้ดู ารงอย่ใู นโสดาปัตติมรรค ๖.ไม่ถึงอย่างน้ัน แต่เห็นคฤหบดีกด็ ี บตุ รคฤหบดีกด็ ี ผู้อม่ิ เอบิ ๒.บคุ คลผู้ดารงอย่ใู นโสดาปัตติผล คือ พระโสดาบัน ๓ พร่ังพร้อมด้วยกามคุณ ๕ บาเรอตนอยู่แล้วปลื้มใจ จาพวก เป็ นคู่ที่ ๑ ๗.ไม่ถงึ อย่างน้นั แต่ประพฤตพิ รหมจรรย์ ต้งั ปรารถนาเพ่ือจะ ๓.บุคคลผ้ดู ารงอย่ใู นสกทาคามิมรรค ได้เป็ นเทพเจ้าหรือเทพองค์ใดองค์หน่งึ แล้วปลื้มใจ ๔.บคุ คลผ้ดู ารงอย่ใู นสกทาคามผิ ล คือ พระสกทาคามี วญิ ญาณฐิต๗ิ ๓ จาพวก เป็ นคู่ท่ี ๒. ๑.สัตว์เหล่าหนึง่ มีกายต่างกนั มีสัญญาต่างกนั เช่น ๕.บุคคลผ้ดู ารงอย่ใู นอนาคามิมรรค พวกมนุษย์ พวกเทพบางหมู่ พวกวนิ ิปาตกิ ะ (เปรต)บางหมู่ ๖. บคุ คลผ้ดู ารงอย่ใู น อนาคามผิ ล คือ พระอนาคามี ๒.สัตว์เหล่าหน่ึง มีกายต่างกัน มสี ัญญาอย่างเดยี วกัน เป็ นคู่ท่ี ๓. เช่น พวกเทพผ้อู ยู่ในจาพวกพรหม ผู้เกดิ ในภูมิปฐมฌาน ๗.บคุ คลผ้ดู ารงอย่ใู นอรหตั มรรค ๓.สัตว์เหล่าหนง่ึ มีกายอย่างเดยี วกนั มสี ัญญาต่างกนั ๘.บุคคลผู้ดารงอย่ใู นอรหัตผล คือพระอรหันต์เป็ นคู่ท๔่ี เช่น พวกเทพอาภัสสระ อวชิ ชา ๘ ๔.สัตว์เหล่าหนึ่ง มกี ายอย่างเดยี วกนั มีสัญญาอย่าง ๑ไม่รู้ในทุกข์ เดียวกนั เช่น เทพสุภกณิ หะ ๒ไม่รู้จกั เหตุเกดิ แห่งทกุ ข์ ๕.สัตว์เหล่าหนึง่ ผู้เข้าถึงช้ันอากาสานญั จายตนะ ๓ไม่รู้จกั ความดบั ทกุ ข์ ๖.สัตว์เหล่าหนงึ่ ผู้เข้าถึงช้ันวญิ ญาณัญจายตนะ ๔ไม่รู้จกั ทางถึงความดบั ทุกข์ ๗.สัตว์เหล่าหนึง่ ผู้เข้าถึงช้ันอากญิ จัญญายตนะ ๕ไม่รู้จักอดีต ๖ไม่รู้จักอนาคต วสิ ุทธิ ๗ ๗ไม่รู้จกั ท้ังอดตี ท้งั อนาคต ๑. สีลวิสุทธิ ความหมดจดแห่งศีล. ๘ไม่รู้จักปฎจิ จสมุปบาท ๒. จติ ตวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งจิต. วิชชา ๘ ๓. ทฏิ ฐิวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งทิฏฐิ. ๑. วิปัสสนาญาณ ญาณอนั นบั เขา้ ในวิปัสสนา. ๒. มโนมยิทธิ ฤทธ์ิทางใจ. ๔. กงั ขาวิตรณวสิ ุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่อง ๓. อทิ ธิวิธิ ขา้ มพน้ ความสงสยั . แสดงฤทธ์ ิได.้ ๔. ทิพพโสต หูทิพย.์ ๕. มัคคามัคคญาณทสั สนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณ ๕. เจโตปริยญาณ เป็นเครื่องเห็นวา่ ทางหรือมิใช่ทาง. รู้จกั กาหนดใจผอู้ ่ืน. ๖. ปุพเพนิวาสานุสสติ ระลึกชาติได.้ ๗. ทิพพจักขุ ตาทิพย.์

๑๐ ๘. อาสวักขยญาณ รู้จกั ทาอาสวะใหส้ ิ้น. ผล ๔ สมาบัติ ๘ นิพพาน ๑. ฌาน ๔ วิปัสสนาญาณ ๙ อรูปฌาน ๔ ๑. อทุ ยัพพยานุปัสสนาญาณ ปรีชาคานึงเห็นท้งั ความเกิด หมวด ๙ ท้งั ความดบั . อนุบพุ พวหิ าร ๙ ๒. ภังคานุปัสสนาญาณ ปรีชาคานึงเห็นความดบั . รูปฌาน ๔ ๓. ภยตูปัฏฐานญาณ ปรีชาคานึงเห็นสงั ขารปรากฏ อรูปฌาน ๔ เป็นของน่ากลวั . สัญญาเวทยิตนิโรธ ๔. อาทนี วานุปัสสนาญาณ ปรีชาคานึงเห็นโทษ. พุทธคณุ ๙ ๕. นพิ พทิ านุปัสสนาญาณ ปรีชาคานึงถึงความเบ่ือหน่าย อติ ปิ ิ โส ภควา แมเ้ พราะอยา่ งน้ีๆพระผมู้ ีพระภาคเจา้ น้นั ๖. มญุ จิตกุ ามยตาญาณ ปรีชาคานึงดว้ ยใคร่จะพน้ ไปเสีย. ๑. อรห เป็นพระอรหนั ต์ ๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ปรีชาคานึงดว้ ยพิจารณา ๒. สมฺมาสมฺพทุ ฺโธ เป็นผตู้ รัสรู้ชอบเอง หาทาง. ๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผถู้ ึงพร้อมดว้ ยวชิ ชาจรณะ ๘. สังขารุเปกขาญาณ ปรีชาคานึงดว้ ยความวางเฉยเสีย. ๔. สุคโต เป็นผเู้ สด็จไปดีแลว้ ๙. สัจจานุโลมิกญาณ ปรีชาเป็นไปโดยสมควรแก่กาหนดรู้ ๕. โลกวิทู เป็นผรู้ ู้แจง้ โลก อริยสัจ. ๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีแห่งบรุ ุษพึงฝึกได้ สังฆคณุ ๙ ภควโต สาวกสงโฺ ฆ พระสงฆส์ าวกของพระผมู้ ีพระภาค ไมม่ ีบรุ ุษอ่ืนยงิ่ ไปกวา่ ๑. สุปฏปิ นฺโน เป็นผปู้ ฏิบตั ิดีแลว้ . ๗. สตฺถา เทวมนุสฺสาน เป็นศาสดาของเทวดาและ ๒. อชุ ุปฏิปนฺโน เป็นผปู้ ฏิบตั ิตรงแลว้ . มนุษยท์ ้งั หลาย ๓. ายปฏปิ นฺโน เป็นผปู้ ฏิบตั ิเป็นธรรม. ๘. พุทฺโธ เป็นผตู้ ื่นแลว้ เป็นผเู้ บิกบานแลว้ ๔. สามีจิปฏปิ นฺโน เป็ นผู้ปฏบิ ัตสิ มควร. ๙. ภควา เป็นผมู้ ี ยาทิท น้ีคอื ใคร มานะ ๙ จตฺตาริ ปุริสยคุ านิ คู่แห่งบุรุษ ๔ ๑. เป็ นผ้เู ลิศกว่าเขา สาคญั ตวั วา่ เลิศกวา่ เขา. อฏฺ ปุริสปคุ ฺคลา บุรุษบคุ คล ๘ ๒. เป็ นผู้เลศิ กว่าเขา สาคญั ตวั วา่ เสมอเขา. เอส ภควโต สาวกสงโฺ ฆ นี่พระสงฆส์ าวกของพระผมู้ ี ๓. เป็ นผ้เู ลิศกว่าเขา สาคญั ตวั วา่ เลวกวา่ เขา. พระภาค. ๔. เป็ นผู้เสมอเขา สาคญั ตวั วา่ เลิศกวา่ เขา. ๕. เป็ นผู้เสมอเขา สาคญั ตวั วา่ เสมอเขา. ๕. อาหุเนยฺโย เป็นผคู้ วรของคานบั . ๖. เป็ นผ้เู สมอเขา สาคญั ตวั วา่ เลวกวา่ เขา. ๖. ปาหุเนยฺโย เป็นผคู้ วรของตอ้ นรับ. ๗. เป็ นผู้เลวกว่าเขา สาคญั ตวั วา่ เลิศกวา่ เขา. ๗. ทกฺขเิ ณยโฺ ย เป็นผคู้ วรของทาบุญ. ๘. เป็ นผู้เลวกว่าเขา สาคญั ตวั วา่ เสมอเขา. ๘. อญฺชลกิ รณีโย เป็นผคู้ วรทาอญั ชลี [ประณมมือไหว]้ ๙. เป็ นผู้เลวกว่าเขา สาคญั ตวั วา่ เลวกวา่ เขา. ๙. อนุตฺตร ปญุ ฺ กฺเขตฺต เป็นนาบญุ ของโลก ไม่มี โลกตุ ตรธรรม ๙ นาบุญอ่ืน โลกสฺส ยงิ่ กวา่ . มรรค ๔ สัตตาวาส ๙

๑๑ ๑.สัตว์เหล่าหน่งึ มีกายต่างกนั มสี ัญญาต่างกนั เช่นพวก ๓. สัพพตั ถคามนิ ปี ฏิปทาญาณ ปรีชากาหนดรู้ทาง มนุษย์ พวกเทวดาบางหมู่ พวกวนิ ปิ าตกิ ะเปรต บางหมู่ ไปสู่ภมู ิ ท้งั ปวง. ๒.สัตว์เหล่าหนงึ่ มีกายต่างกนั มสี ัญญาอย่างเดียวกนั เช่น ๔. นานาธาตญุ าณ ปรีชากาหนดรู้ธาตุตา่ ง ๆ. พวกเทพผ้อู ยู่ในจาพวกพรหม ผ้เู กดิ ในภูมปิ ฐมฌาน ๕. นานาธมิ ุตตกญาณ ปรีชากาหนดรู้อธิมตุ ติคือ ๓.สัตว์เหล่าหนึง่ มกี ายอย่างเดียวกนั มสี ัญญาต่างกนั อธั ยาศยั ของ สัตวท์ ้งั หลายอนั เป็นตา่ ง ๆ กนั . เช่นพวกเทพอาภสั สระ. ๖. อนิ ทริยปโรปริยัตตญาณ ปรีชากาหนดรู้ความ ๔.สัตว์เหล่าหนง่ึ มีกายอย่างเดยี วกนั มีสัญญาอย่าง หยอ่ นและยงิ่ แห่งอินทรียข์ องสตั วท์ ้งั หลาย. เดยี วกนั เช่นพวกเทพสุภกณิ หะ. ๗. ฌานาทิสังกเิ ลสาทิญาณ ปรีชากาหนดรู้อาการมี ๕.สัตว์เหล่าหนง่ึ ไม่มสี ัญญา ไม่เสวยเวทนา เช่นพวกเทพ ความเศร้า หมองเป็นตน้ แห่งธรรมมีฌานเป็นตน้ . ผู้เป็ นอสัญญสี ัตว์. ๘. ปพุ เพนวิ าสานุสสตญิ า ปรีชากาหนดระลึกชาติหน ๖.สัตว์เหล่าหนง่ึ ผู้เข้าถึงช้ันอากาสานัญจายตนะ. หลงั ได.้ ๗.สัตว์เหล่าหนึ่ง ผ้เู ข้าถึงช้ันวญิ ญาญัญจายตนะ. ๙. จุตูปปาตญาณ ปรีชากาหนดรู้จุติ และอปุ บตั ิของ ๘.สัตว์เหล่าหน่ึง ผ้เู ข้าถึงช้ันอากญิ จัญญายตนะ. สัตว์ ท้งั หลายผเู้ ป็นตา่ ง ๆ กนั โดยกรรม. ๙.สัตว์เหล่าหนง่ึ ผู้เข้าถึงช้ันเนวสัญญานาสัญญายตนะ ๑๐. อาสวักขยญาณ ปรีชารู้จกั ทาอาสวะใหส้ ิ้น. บารมี ๑๐ หมวด ๑๐ ๑. ทานบารมี การให้ การเสียสละ อนั ตคาหิกทิฏฐิ๑๐ ๒. สีลบารมี การรักษากายวาจาใหเ้ รียบร้อย ๑. โลกเที่ยง. ๓. เนกขัมมบารมี การออกบวช การปลีกตวั ออกจาก ๒. โลกไม่เทย่ี ง. กาม ๓. โลกมที ส่ี ุด. ๔. โลกไม่มที สี่ ุด. ๔. ปัญญาบารมี ความรอบรู้ ความหยงั่ รู้เหตผุ ล เขา้ ใจ ๕. ชีพกอ็ นั น้ัน สรีระกอ็ นั น้นั . สภาวะของสิ่งท้งั หลายตามความเป็นจริง ๖. ชีพเป็ นอนั สรีระกเ็ ป็ นอื่น. ๗. สัตว์เบือ้ งหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็ นอกี เกดิ อกี . ๕. วริ ิยบารมี ความเพยี ร ความแกลว้ กลา้ ไมเ่ กรงกลวั ๘. สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เป็ นอกี . อุปสรรค กา้ วหนา้ เรื่อยไปไมท่ อดทิ้งธุระ ๙. สัตว์เบือ้ งหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็ นอกี กม็ ี ย่อมไม่เป็ น อกี กม็ ี. ๖. ขนั ตบิ ารมี ความอดทน สามารถใชส้ ติปัญญา ๑๐. สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็ นอกี หามิได้ ย่อม ควบคุมตนให้อยใู่ นอานาจเหตผุ ล ไมล่ อุ านาจกิเลส ไม่เป็ นอกี กห็ ามิได้. ๗. สัจจบารมี ความจริง คอื พูดจริงทาจริง และจริงใจ ทสพลญาณ ๑๐ ๘. อธษิ ฐานบารมี ความต้งั ใจมนั่ วางจุดหมายไว้ แน่นอน แลว้ ทาไปตามน้นั อยา่ งแน่วแน่ ๑. ฐานาฐานญาณ ปรีชากาหนดรู้ านะ คือเหตุ ๙. เมตตาบารมี ความรักใคร่ ความปรารถนาดี มีจิต ท่ีควรเป็นไดแ้ ละอฐานะ คอื มีใช่เหตุ ท่ีควรเป็นได.้ เก้ือกลู ต่อสัตวอ์ ื่น อยากใหม้ ีความสุขทกุ ทวั่ หนา้ ๑๐. อเุ บกขาบารมี ความวางใจกลาง เที่ยงธรรม ไม่เอน ๒. วิปากญาณ ปรีชากาหนดรู้ผลแห่งกรรม. เอียงไปดว้ ยความรักและความชงั ทกุ ทวั่ หนา้ มิจฉัตตะ ความเป็ นผดิ ๑๐ ๑. มจิ ฉาทฏิ ฐิ เห็นผดิ . ๒. มจิ ฉาสังกปั ปะ ดาริผิด.

๑๒ ๓. มิจฉาวาจา วาจาผิด. ๗. อรูปราคะ ความติดใจอยใู่ นอรูปธรรม เช่นพอใจในสุข ๔. มิจฉากมั มนั ตะ การงานผิด. เทวนา. ๕. มจิ ฉาอาชีวะ เล้ียงชีวิตผิด. ๘. มานะ ความสาคญั ตวั วา่ เป็นนน่ั เป็นนี่. ๖. มิจฉาวายามะ พยายามผดิ . ๙. อุทธัจจะ ความคดิ พลา่ น เช่นนึกอะไรกเ็ พลินเกินไป ๗. มจิ ฉาสติ ระลึกผดิ . กวา่ เหต.ุ ๘. มจิ ฉาสมาธิ ต้งั จิตผิด. ๑๐. อวชิ ชา ความเขลาอนั เป็นเหตุไม่รู้จริง. ๙. มิจฉาญาณะ รู้ผิด. สังโยชน์ ๑๐ (๒) ๑๐. มิจฉาวิมตุ ติ พน้ ผดิ . กามราคะ สัมมนั ตะ ความเป็ นถูก ๑๐ ปฏฆิ ะ ๑.สัมมาทิฎฐิ เห็นชอบ มานะ ๒.สัมมาสังกปั ปะ ดาริชอบ . ทฏิ ฐิ ๓.สัมมาวาจา วาจาชอบ วิจกิ จิ ฉา ๔.สัมมากมั มนั ตะ การงานชอบ สีลพั พตปรามาส ๕.สัมมาอาชีวะ เล้ียงชีวติ ชอบ ภวราคะ ๖.สัมมาวายามะ พยายามชอบ อสิ สา ๗.สัมมาสติ ระลึกชอบ มจั ฉริยะ ๘.สัมมาสมาธิ ต้งั จิตชอบ อวิชชา. ๙.สัมมาญาณะ รู้ชอบ สัญญา๑๐ ๑๐.สัมมาวิมุตติ พน้ ชอบ ๑. อนิจจสัญญา กาหนดหมายความไมเ่ ท่ียงแห่งสังขาร. สังโยชน์ ๑๐ (๑) ๒. อนตั ตสัญญา กาหนดหมายความเป็นอนตั ตาแห่ง ๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นเป็นเหตุถือตวั ถือตน. ธรรม. ๒. วิจกิ จิ ฉา ความลงั เลเป็นเหตไุ ม่แน่ใจ ในปฏิปทาเคร่ือง ๓. อสุภสัญญา กาหนดหมายความไมง่ ามแห่งกาย. ดาเนินของตน. ๔. อาทีนวสัญญา กาหนดหมายโทษแห่งกาย คือมีอาพาธ ๓. สีลพั พตปรามาส ความเชื่อถือศกั ด์ิสิทธ์ิ ดว้ ยเขา้ ใจวา่ มี ต่าง ๆ. ไดด้ ว้ ยศีลหรือพรตอยา่ งน้นั อยา่ งน้ี. ๕. ปหานสัญญา กาหนดหมายเพือ่ ละอกุศลวิตกและ บาป ๔. กามราคะ ความกาหนดั ดว้ ยอานาจกิเลสกาม เรียก แต่ ธรรม. เพียงราคะกม็ ี. ๖. วริ าคสัญญา กาหนดหมายวิราคะคอื อริยมรรค ว่าเป็น ๕. ปฏฆิ ะ ความกระทบกระทงั่ แห่งจิต ไดแ้ ก่ความ ธรรมอนั ละเอียด. หงุดหงิดดว้ ยอานาจโทสะเรียกโทสะตรงทีเดียวก็มี๕ น้ี เป็น ๗. นิโรธสัญญา กาหนดหมายนิโรธความดบั ตณั หา สังโยชน์เบ้ืองต่า คอื อยา่ งหยาบ เรียกโอรัมภาคยิ ะ. คือ อริยผล วา่ เป็นธรรมอนั ละเอียด. ๖. รูปราคะ ความติดใจอยใู่ นรูปธรรม เช่น ชอบใจ ใน ๘. สัพพโลเก อนภิรตสัญญา กาหนดหมายความไมน่ ่า บุคคลบางคน หรือในพสั ดุบางส่ิงหรือ แมใ้ นวตั ถอุ นั เป็นอารมณ์ เพลิดเพลินในโลกท้งั ปวง. แห่งรูปฌาน. ๙. สัพพสังขาเรสุ อนิฏฐสัญญา กาหนดหมายความไม่น่า ปรารถนาในสังขารท้งั ปวง.

๑๓ ๑๐. อานาปานัสสติ สติกาหนดลมหายใจเขา้ ออก. ๖. เพราะผัสสะ เป็นปัจจยั มีเวทนา สัทธรรม๑๐ ๗. เพราะเวทนา เป็นปัจจยั มีตณั หา โลกุตตรธรรม ๙ มรรค ๔ ๘. เพราะตัณหา เป็นปัจจยั มีอุปาทาน ผล ๔ นพิ พาน ๑ ๙. เพราะอปุ าทาน เป็นปัจจยั มีภพ ปริยตั ิธรรม ๑ สุตตะ ๑๐. เพราะภพ เป็นปัจจยั มีชาติ เคยยะ เวยยากรณะ ๑๑. เพราะชาติ เป็นปัจจยั มีชรามรณโสกปริเทว ทกุ ข์ คาถา อทุ าน โทมนสั อปุ ายาส อติ วิ ตุ ตกะ ชาตกะ อกี นยั หนึง่ อพั ภูตธรรม เวทัลละ ๑.ชรามรณะเป็ นต้นมีเพราะชาติ ๒.ชาติมีเพราะภพ ๓.ภพมเี พราะอุปาทาน ๔.อปุ าทานมเี พราะตณั หา ๕.ตัณหามเี พราะเวทนา ๖.เวทนามเี พราะผัสสะ ๗.ผสั สะมีเพราะสฬายตนะ ๘.สฬายตนะมเี พราะนามรูป ๙.นามรูปมเี พราะวิญญาณ ๑๐.วิญญาณมีเพราะสังขาร ๑๑.สังขารมเี พราะอวชิ ชา หมวด ๑๑ หมวด ๑๒ ปัจจยาการ๑๑ ปฏจิ จสมปุ บาท กรรม๑๒ หมวดท่ี ๑ ให้ผลตามคราว ๑. เพราะอวชิ ชา เป็นปัจจยั มีสังขาร ๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมใหผ้ ลในภพน้ี. ๒. เพราะสังขาร เป็นปัจจยั มีวญิ ญาณ ๒. อปุ ปัชชเวทนียกรรม กรรมใหผ้ ลต่อเมื่อเกิดแลว้ ใน ภพหนา้ . ๓. เพราะวญิ ญาณ เป็นปัจจยั มีนามรูป ๓. อปราปเวทนียกรรม กรรมใหผ้ ลในภพสืบ ๆ. ๔. เพราะนามรูป เป็นปัจจยั มีสฬายตนะ ๕. เพราะสฬายตนะ เป็นปัจจยั มีผสั สะ

๑๔ ๔. อโหสิกรรม กรรมใหผ้ ลสาเร็จแลว้ . ๔. สปทานจาริกกงั คะ ถือเที่ยวบิณฑบาตไปตามแถว หมวดท่ี ๒ ให้ผลตามกจิ เป็นวตั ร. ๕. ชนกกรรม กรรมแต่งใหเ้ กิด. ๕. เอกาสนกิ งั คะ ถือนงั่ ฉนั ณ อาสนะเดียวเป็นวตั ร. ๖. อปุ ัตถมั ภกกรรม กรรมสนบั สนุน. ๖. ปัตตปิ ณฑกิ งั คะ ถือฉนั เฉพาะในบาตรเป็น ๗. อุปปี ฬกกรรม กรรมบีบค้นั . วตั ร. ๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตดั รอน. ๗. ขลุปัจฉาภัตตกิ งั คะ ถือหา้ มภตั อนั นามาถวายเม่ือ หมวดท่ี ๓ ให้ผลตามลาดับ ภายหลงั เป็นวตั ร. ๙. ครุกรรม กรรมหนกั . หมวดที่ ๓ ปฏิสังยุตด้วยเสนาสนะ ๑๐. พหุลกรรม กรรมชิน. ๘. อารัญญิกงั คะ ถืออยปู่ ่ าเป็นวตั ร. ๑๑. อาสันนกรรม กรรมเมื่อจวนเจียน. ๙. รุกขมูลกิ งั คะ ถืออยโู่ คนไมเ้ ป็นวตั ร. ๑๒. กตตั ตากรรม กรรมสกั วา่ ทา. ๑๐. อพั โภกาสิกงั คะ ถืออยใู่ นท่ีแจง้ ๆ เป็นวตั ร. ๑๑. โสสานกิ งั คะ ถืออยปู่ ่ าชา้ เป็นวตั ร. ๑๒. ยถาสันถติกงั คะ ถือการอยใู่ นเสนาสนะอนั ทา่ นจดั ใหอ้ ยา่ งไร. หมวดที่ ๔ ปฏิสังยุตด้วยวิริยะ ๑๓. เนสัชชิกงั คะ ถือการนง่ั เป็นวตั ร. หมวด ๑๓ หมวด ๑๕ ธุดงค์๑๓ จรณะ๑๕ หมวดท่ี ๑ ปฏสิ ังยุตด้วยจวี ร หมวดที่ ๑ ๑. ปังสุกลู กิ งั คะ ถือทรงผา้ บงั สุกลุ เป็นวตั ร. ๑. สีลสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยศีล. ๒. เตจวี ริกงั คะ ถือทรงเพียงไตรจีวรเป็นวตั ร. ๒. อนิ ทริยสังวร สารวมอินทรีย.์ หมวดที่ ๒ ปฏสิ ังยุตด้วยบิณฑบาต ๓. โภชนมัตตัญญุตา รู้ความพอดีในการกินอาหาร. ๓. ปิ ณฑปาติกงั คะ ถือเท่ียวบิณฑบาตเป็นวตั ร. ๔. ชาคริยานุโยค ประกอบความเพยี รของผตู้ ่ืนอย.ู่

๑๕ หมวดท่ี ๒ [สัทธรรม ๗] ๕. สัทธา ความเช่ือ. ๖. หริ ิ ความละอายแก่ใจ. ๗. โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ผดิ . ๘. พาหุสัจจะ ความเป็นผไู้ ดฟ้ ังมาก. คอื ไดร้ ับศึกษา ๙. วริ ิยะ ความเพียร. ๑๐. สติ ความระลึกได.้ ๑๑. ปัญญาความรอบรู้. หมวดที่ ๓ [รูปฌาน ๔] ๑๒. ปฐมฌาน ฌานท่ีหน่ึง. ๑๓. ทตุ ยิ ฌาน ฌานท่ีสอง. ๑๔. ตติยฌาน ฌานที่สาม. ๑๕. จตตุ ถฌาน ฌานท่ีสี่. พหุสุตมอี งค์ ๕ คือ ๑.พหุสฺสุตา ไดย้ นิ ไดฟ้ ังมาก ๒.ธตา ทรงจาได้ ๓.วจสา ปริจิตา ทอ่ งไวด้ ว้ ยวาจา ๔.มนสานุเปกฺขติ า เอาใจจดจ่อ ๕.ทิฏฺฐิยา สุปฏิวทิ ฺธา ขบดว้ ยทิฏฐิ

๑๖ วนิ ัยบญั ญตั ิ (น.ธ.โท) ๑๑. ถา่ ยอุจจาระแลว้ เม่ือมีน้าอยู่ จะไม่ชาระไม่ได้ เวน้ ไวแ้ ต่ อภสิ มาจาร หาน้าไม่ได้ หรือน้ามีแต่ไมม่ ีภาชนะจะตกั เช่นน้ี เชด็ เสียดว้ ยไม้ สิกขาบทแผนกน้ี มาในขนั ธกะเป็นพ้นื ไม่ไดบ้ อกจานวน ๑๒. อยา่ พึงใหท้ าสัตถกรรม [ผา่ ตดั ทวารหนกั ดว้ ยศสั ตรา] ใน ท่ีแคบ [ทวารหนกั ] หรือในท่ีใกลท้ ี่แคบเพยี ง ๒ นิ้ว อยา่ พงึ ให้ จดั ตามกิจหรือวตั ถุ เรียกวา่ ขนั ธกะ คือ ๑. วา่ ดว้ ยอุโบสถ จดั ไวพ้ วกหน่ึง เรียกวา่ อุโบสถขนั ธกะ ทา วตั ถิกรรม [ ผกู รัดที่ทวารหนกั ] ใหท้ า ตอ้ งถลุ ลจั จยั . ๑๓. เป็นธรรมเนียมของภิกษุตอ้ งใชไ้ มช้ าระฟัน. ๒. วา่ ดว้ ยจีวร ไวพ้ วกหน่ึง เรียกวา่ จีวรขนั ธกะ. ๑๔. น้าที่ด่ืมใหก้ รองก่อน. สิกขาบทแผนกน้ี มีรูปเป็น ๒ คือ ๑. เป็นขอ้ หา้ ม. ขอ้ หา้ มการแตง่ ผมมีดงั น้ี ๒. เป็นขอ้ อนุญาต. ๑. ไมใ่ หห้ วผี มดว้ ยหวหี รือดว้ ยแปรง. ขอ้ หา้ มท่ีปรับอาบตั ิมีเพยี ง ๒ คือ ๑. ถุลลจั จยั . ๒. ไม่ใหเ้ สยผมดว้ ยนิ้วมือโดยอาการวา่ หว.ี ๒. ทุกกฏ. ๓. ไม่ใหแ้ ตง่ ผมดว้ ยน้ามนั เจือข้ผี ้งึ หรือดว้ ยน้ามนั เจือน้า. ๔. ไมใ่ หต้ ดั ผมดว้ ยกรรไกร เวน้ ไวแ้ ต่อาพาธ. กณั ฑ์ท่ี ๑๑ ๕. ไม่ใหถ้ อนผมหงอก. กายบริหาร ขอ้ หา้ มการแตง่ หนวดมีดงั น้ี กายบริหารมี ๑๔ คือ ๑. ไม่ใหแ้ ต่งหนวด. ๑. อยา่ พงึ ไวผ้ มยาว จะไวไ้ ดเ้ พยี ง ๒ เดือนหรือ ๒ นิ้ว. ๒. ไมใ่ หต้ ดั หนวดดว้ ยกรรไกร. ๒. อยา่ พึงไวห้ นวดไวเ้ ครา พงึ โกนเสีย เช่นเดียวกบั ผม. ขอ้ หา้ มภิกษุผอู้ าบน้ามีดงั น้ี ๓. อยา่ พึงไวเ้ ลบ็ ยาว พึงตดั เสียดว้ ยมีดเลก็ พอเสมอเน้ือ และ ๑. ไม่ใหส้ ีกายในท่ีไมบ่ งั ควร เช่นตน้ ไม้ เสา ฝาเรือน และ แผน่ กระดาน. อยา่ พึงขดั เลบ็ ใหเ้ กล้ียงเกลา. ๒. ไม่ใหส้ ีกายดว้ ยของไม่บงั ควร เช่นทาไมท้ าเป็นรูปมือหรือ ๔. อยา่ พงึ ไวข้ นจมูกยาว พึงถอนเสียดว้ ยแหนบ๑. ๕. อยา่ พึงใหน้ าเสียซ่ึงขนในที่แคบ คือในร่มผา้ และท่ีรักแร้ จกั เป็น ฟันมงั กร และเกลียวเชือกที่คม. ๓. ไม่ใหเ้ อาหลงั ต่อหลงั สีกนั . เวน้ ไวแ้ ตอ่ าพาธ. ๖. อยา่ พงึ ผดั หนา้ ไลห้ นา้ ทาหนา้ ยอ้ มหนา้ เจิมหนา้ ยอ้ มตวั ขอ้ หา้ มการนุ่งห่มผา้ อยา่ งคฤหสั ถม์ ีดงั น้ี ๑. หา้ มเครื่องนุ่มห่มของคฤหสั ถ์ เช่นกางเกง เส้ือ ผา้ โพก เวน้ ไวแ้ ต่อาพาธ หมวด ผา้ นุ่งผา้ ห่มสีตา่ ง ๆ ชนิดต่าง ๆ. ๗. อยา่ พึงแตง่ เคร่ืองประดบั ต่าง ๆ เป็นตน้ วา่ ตมุ้ หู สายสร้อย ๒. หา้ มอาการนุ่งห่มตา่ ง ๆ ท่ีมิใช่ของภิกษุ สร้อยคอ สร้อยเอว เขม็ ขดั บานพบั [สาหรับรัดแขน] กาไลมือ ประโยชน์แห่งการเค้ียวไมช้ าระฟันมี ๕ คือ และแหวน. ๑. ฟันดูไมส่ กปรก. ๘. อยา่ พึงส่องดูเงาหนา้ ในกระจกหรือในวตั ถุอื่น อาพาธเป็น ๒. ปากไม่เหมน็ . แผลที่หนา้ ส่องทากิจได.้ ๙. อยา่ พงึ เปลือยกายในที่ไมบ่ งั ควรและในเวลาไมบ่ งั ควร ๓. เสน้ ประสาทรับรสหมดจดดี. เป็นวตั ร ตอ้ งถลุ ลจั จยั เปลือยทากิจแก่กนั และกนั และในเวลา ๔. เสมหะไม่หุม้ อาหาร. ๕. ฉนั อาหารมีรส. ฉนั ตอ้ งทุกกฏ ในเรือนไฟและในน้า ทรงอนุญาต ๑๐. อยา่ พึงนุ่งห่มผา้ อยา่ งคฤหสั ถ.์

๑๗ กณั ฑ์ท่ี ๑๒ ๘. กสุ ิ. บริขารบริโภค ๙. อนุวาต. จีวร ๑๐. รังดุม. ประมาณจีวรท่ีใชใ้ นเมืองเรามีดงั น้ี ๑๑. ลกู ดุม. ๑. สังฆาฏิ ยาวไมเ่ กิน ๖ ศอก กวา้ งไม่เกิน ๔ ศอก. [เอารังดุมและลกู ดุมรวมดว้ ย เพ่ือใหค้ รบถว้ นตามแบบ] ๒. อุตราสงค์ ยาวไมเ่ กิน ๖ ศอก กวา้ งไมเ่ กิน ๔ ศอก. จีวรน้นั ใหย้ อ้ มดว้ ยของ ๖ อยา่ ง ๆ ใดอยา่ งหน่ึง คือ ๓. อนั ตรวาสก ยาวไมเ่ กิน ๖ ศอก กวา้ งไม่เกิน ๒ ศอก. ๑. รากหรือเงา่ ๑ [มลู ]. ๒. ตน้ ไม๒้ [ขนฺธ]. ๓. เปลือกไม๓้ [ตจ]. ๔. ใบไม๔้ [ปตฺต]. ผา้ สาหรับทาจีวรมี ๖ ชนิด คอื ๕. ดอกไม๕้ [ปุปฺผ]. ๖. ผลไม้ [ผล]. ๑. โขมะ ผา้ ทาดว้ ยเปลือกไม้ เช่นผา้ ลินิน. สีที่หา้ มใชย้ อ้ มจีวรมี ๗ คอื ๒. กปั ปาสิกะ ผา้ ทาดว้ ยฝ้าย. ๑. สีคราม [นีลก]. ๒. สีเหลือง [ปี ตก]. ๓. โกเสยยะ ผา้ ทาดว้ ยใยไหม เช่นแพร. ๔. กมั พละ ผา้ ทาดว้ ยขนสตั ว์ ยกผมและขนมนุษย์ เช่นผา้ ๓. สีแดง [โลหิต]. ๔. สีบานเยน็ [มญฺเชฏฺ ก]. ๕. สีแสด [มหารงฺครตฺต].๖. สีชมพู [มหานามรตฺต]. สักหลาดและกามะหริด. ๕. สาณะ ผา้ ทาดว้ ยเปลือกป่ าน [ผา้ ชนิดน้ีเป็นผา้ เน้ือสาก] ๗. สีดา [กณฺห]. ๖. ภงั คะ ผา้ ทาดว้ ยของ ๕ อยา่ งน้นั แต่อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงปนกนั ยกเว้น ๑.เวน้ ขมิน้ ๒.เวน้ ฝาง, แกแล, มะหาด. ๓.เวน้ เปลือกโลท, เปลือกคลา้ . เช่น ผา้ ดา้ ยแกมไหม. ๔.เวน้ มะเกลือ, คราม. ๕.เวน้ ทองกวาว, ดอกคา. เคร่ืองนุ่งห่มท่ีทาดว้ ยของอ่ืน หา้ มไม่ใหใ้ ช้ คอื [สีเหลืองเจือแดงเขม้ หรือสีเหลืองหมน่ เช่นสีที่ยอ้ มดว้ ยแก่น ๑. คากรอง [กุสจีร]. ขนุน (กรัก) เป็นสี่ที่รับรองวา่ ใชไ้ ด]้ ๒. เปลือกตน้ ไมก้ รอง [วากจีร]. จีวรกาววาวท่ีหา้ มไมใ่ หใ้ ช้ คือ ๓. ผลไมก้ รอง [ผลกจีร]. ๑. จีวรเป็นรูปลายสัตว.์ ๔. ผา้ กาพลทาดว้ ยผมคน [เกสกมฺพล]. ๒. จีวรเป็นลาดดอกไม้ ผลไม.้ ๕. ผา้ กาพลทาดว้ ยหางขนสัตว์ [วาลกมฺพล]. [จีวรมีดอกเลก็ ๆ ไม่กาววาว เช่นดอกเมด็ พริกไทย หรือ ๖. ปี กนกเคา้ [อลุ ูกปกฺข] เป็นริ้ว เช่นแพรโล่ ใชไ้ ด.้ ] ๗. หนงั สือ [อชินขปิ ]. ของสาหรับทาลกู ดุมมี ๑๑ คอื ๘. ทาดว้ ยปอ [โปตฺถก]. นุ่งห่มผา้ เหลา่ น้ีเป็นวตั ร ตอ้ งถลุ ลจั จยั เป็นแต่สักวา่ นุ่งห่ม ๑. กระดูก [อฏฺฐิ]. ๒. งา [ทนฺต] ๓. เขา [วสิ าณ]. ๔. ไมไ้ ผ่ [เวฬุ]. ตอ้ งทุกกฏ. ๕. ไมร้ วก [นฬ]. ๖. ไมแ้ ก่น [กฏฺฐ]. จีวรน้นั โปรดให้ตดั เป็นกระทงมีช่ือดงั น้ี ๗. คร่ัง [ชต]ุ . ๘. กะลา [ผลก]. ๑. อฑั ฒมณฑล คีเวยยกะ. ๙. โลหะ [โลห]. ๑๐. สังข์ [สงฺขนาภิ]. ๒. มณฑล วิวฏั ฏะ. ๑๑. ดา้ ยถกั [สุตฺต] [ลูกถวนิ กค็ วรทาดว้ ยของเหลา่ น้ี.] ๓. อฑั ฒมณฑล ชงั เฆยยกะ. ประคตเอวมี ๒ ชนิด คอื ๔. มณฑล อนุวิวฏั ฏะ. ๑. ประคตแผน่ (เช่นที่เรียกประคตลงั กา) [ปฏฺฏิ]. ๕. อฑั ฒมณฑล พาหนั ตะ. ๒. ประคตไส้สุกร ผา้ เยบ็ เป็นปลอก [สุกรนฺตก]. ๖. มณฑล อนุวิวฏั ฏะ. สมยั ท่ีไมต่ อ้ งห่มสงั ฆาฏิไปดว้ ยมี ๕ คือ ๗. อฑั ฒกุสิ.

๑๘ ๑. เจบ็ ไข.้ ๒. สังเกตเห็นวา่ ฝนจะตก. ๑๑. บาตรไม้ [ทารุ]. ๓. ไปสู่ฝั่งแม่น้า. ๔. วิหารคือกุฎีคุม้ ไดด้ ว้ ยดาน. ขนาดบาตรมี ๓ ชนิด คอื ๕. ไดก้ รานกฐิน. ๑. อยา่ งใหญ่ จุขา้ วสุกแห่งขา้ วสารก่ึงอาฬหก. ผา้ ท่ีอนุญาตใหใ้ ชอ้ ีก [นอกจากไตรจีวร] มีดงั น้ี ๒. อยา่ งกลาง จุขา้ วสุกแห่งขา้ วสารนาฬีหน่ึง. ๑. ผา้ อาบน้าฝน [วสฺสิกสาฏิก]. ๓. อยา่ งเลก็ จุขา้ วสุกแห่งขา้ วสารปัตถหน่ึง. ๒. ผา้ ปิ ดฝี [กณฺฑปุ ฏิจฺฉาทิ]. ธรรมเนียมระวงั บาตร มีดงั น้ี ๓. ผา้ ปูนง่ั [นิสีทน]. ๑. ไมใ่ หว้ างบาตรบนเตียง. ๔. ผา้ ปทู ่ีนอน [ปจฺจตฺถรณ]. ๒. ไม่ใหว้ างบาตรบนตงั่ [คือมา้ หรือโตะ๊ ]. ๕. ผา้ เช็ดหนา้ เช็ดปาก [มุขปญุ ฺฉนโจล]. ๓. ไม่ใหว้ างบาตรบนร่ม. ๖. ผา้ เป็นบริขารเช่นถงุ บาตรหรือยา่ ม [ปริกฺขารโจล]. ๔. ไมใ่ หว้ างบาตรบนพนกั . แบบผา้ นิสีทนะ ๓ แบบ คือ ๕. ไมใ่ หว้ างบาตรบนพรึง [คอื ชานนอกพนกั ]. ๑. แบบของพระอรรถกถาจารย.์ เป็นผา้ นิสีทนะ ยาว ๓ คบื ๖. ไมใ่ หว้ างบาตรบนตกั . กวา้ งคืบคร่ึง. ๗. ไมใ่ หแ้ ขวนบาตร [เช่นที่ราวจีวร]. ๒. แบบของสมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวิยาลง ๘. ไมใ่ หค้ วา่ บาตรท่ีพ้ืนคมแขง็ อนั จะประทุษร้ายบาตร. กรณ์ เป็นผา้ นิสีทนะ ๒ คบื ๖ นิ้ว กวา้ ง ๒ คบื ถว้ น. ๙. มีบาตรอยใู่ นมือ หา้ มไม่ใหผ้ ลกั บานประต.ู ๓. แบบพเิ ศษ. เป็น ๒ คืบจตุรัส. ใหร้ ู้จกั รักษาบาตร หา้ มไมใ่ หใ้ ชบ้ าตรตา่ ง บาตร ๑. กระโถนคอื ทิง้ กา้ งปลา กระดูก เน้ือหรืออ่ืนๆ อนั เป็นเดนลง บาตรมี ๒ ชนิด คือ ในบาตร ๑. บาตรดินเผา [มตฺติกาปตฺต]. ๒. หา้ มไมใ่ หล้ า้ งมือหรือบว้ นปากในบาตร ๒. บาตรเหลก็ [อโยปตฺต]. ๓. จะเอามือเป้ื อนจบั บาตรก็ไมค่ วร ฉนั แลว้ ใหล้ า้ งบาตร ของท่ีหา้ มไม่ใหใ้ ชแ้ ทนบาตร คอื ๔. หา้ มไม่ใหเ้ กบ็ ไวท้ ้งั ยงั เปี ยก ใหผ้ ่งึ แดดก่อน ๑. กระทะดิน [มตฺติกถาลก]. ๕. หา้ มไม่ใหผ้ ่งึ ท้งั ยงั เปี ยก ใหเ้ ชด็ น้าจนหมดน้าก่อนจึงผ่ึง ๒. กะโหลกน้าเตา้ [อลาพุ]. ๖. หา้ มไมใ่ หผ้ ่งึ ไวน้ าน ใหผ้ ่ึงครู่หน่ึง ๓. กะโหลกหวั ผี [ฉวสีส]. เคร่ืองอุปโภค บาตรชนิดอ่ืนที่ทรงหา้ มมี ๑๑ คอื บริขารท่ีเป็นเครื่องอุปโภค คือ ๑. บาตรทอง [โสวณฺ ณ]. ๑. กลอ่ งเขม็ . อนุญาตใชเ้ กบ็ รักษาเขม็ ๒. บาตรเงิน [รูปิ ย]. ๒. เครื่องกรองน้า. อนุญาตใชก้ รองน้าก่อนด่ืม ๓. บาตรแกว้ มณี [หินฺตาล]. ๓. มีดโกน พร้อมท้งั ฝัก หินสาหรับลบั กบั เครื่องสะบดั . ๔. บาตรแกว้ ไพฑูรย์ [เวฬุริย]. อนุญาตใหใ้ ชป้ ลงผมและหนวด ๕. บาตรแกว้ ผลึก [ผลิก]. ๔. ร่ม. หา้ มใชท้ ี่มีสีฉูดฉาด ปักดว้ ยลวดลาย มีพหู่ อ้ ย ๖. บาตรแกว้ หุง [กาจ]. ๕. รองเทา้ . มี ๒ ชนิด คือ ๗. บาตรทองแดง [ตมฺพโลห]. ๑. ปาทุกา รองเทา้ มีสน้ . ๘. บาตรทองเหลือง [กส]. ๒. อปุ าหนา รองเทา้ ไมม่ ีส้น. ๙. บาตรดีบกุ [ติป]ุ . ๑๐. บาตรสงั กะสี [สีส].

๑๙ เคร่ืองเสนาสนะ ขอนิสัยในอุปัชฌาย์ บริขารบริโภคท่ีเป็นเคร่ืองเสนาสนะ คือ \"อุปัชฌาโย เม ภนฺเต โหหิ. \"[๓ หน]. ๑. เตียง [เตียงมีเทา้ เกิน ๘ นิ้ว หรือเป็นของใหญ่ หรือมีรูปสตั ว์ แปล : \"ขอท่านจงเป็นอปุ ัชฏายข์ องขา้ พเจา้ ๆ ร้ายที่เทา้ เช่นเตียงจมูกสิงห์ เรียกบลั ลงั ก์ หา้ มไมใ่ หใ้ ช]้ . คาขอนิสยั ในอาจารย์ ๒. ตง่ั [คือมา้ สาหรับนงั่ ๔ เหล่ียมรี นงั่ ไดส้ องคนกม็ ี หากมี \"อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ\"[๓ หน] เทา้ เกิน ๘ นิ้ว หา้ มไม่ใหใ้ ช]้ . แปล : \"ขอท่านจงเป็นอาจารยข์ องขา้ พเจา้ ๆ จกั อยอู่ าศยั ทา่ น.\" ๓. อาสันทิ [คือมา้ สาหรับนงั่ ๔ เหล่ียมจตุรัส]. ๔. ฟูกเตียง [คือที่นอน ยดั นุ่นหรือใหญ่ หา้ มไมใ่ หใ้ ช]้ . สทั ธิวิหาริก กบั อนั เตวาสิก ๕. ฟูกต่ังคือเบาะ [ยดั นุ่น หา้ มไมใ่ หใ้ ช]้ . ภิกษผุ ขู้ อถือนิสยั ในพระอปุ ัชฌาย์ เรียกวา่ สัทธิวิหาริก ๖. หมอนหนุนศีรษะ [ประมาณพอศีรษะ หมอนใหญก่ ่ึงกาย ภิกษผุ ขู้ อถือนิสยั ในพระอาจารย์ เรียกวา่ อนั เตวาสิก หมอน ขา้ ง หา้ มไม่ใหใ้ ช]้ . ประเภทของอาจารย์มี ๔ แบบคือ ๗. มุ้ง. ๑. ท่านผใู้ หส้ รณคมน์เม่ือบรรพชา [ปัพพชั ชาจารย]์ . ๘. เคร่ืองลาดอนั ไม่จัดว่าเป็ นของวจิ ติ ร. ๒. ทา่ นผสู้ วดกรรมวาจาเม่ืออปุ สบท [อปุ สัมปทาจารย]์ . ๓. ท่านผใู้ หน้ ิสยั [นิสสยาจารย]์ . กณั ฑ์ท่ี ๑๓ ๔. ทา่ นผสู้ อนธรรม [อุทเทสาจารย]์ . นสิ ัย เหตนุ ิสัยระงบั จากอุปัชฌายะมี ๕ คือ นิสัย คอื การกล่าวขอใหภ้ ิกษรุ ูปใดรูปหน่ึงเป็นอาจารยเ์ พ่อื ๑. อปุ ัชฌายะหลีกไป. ๒. สึกเสีย. คอยดูแลใหค้ าแนะนา ๓. ตายเสีย. ภิกษทุ ่ีตอ้ งถือนิสัย ๔. ไปเขา้ รีดเดียรถียเ์ สีย. ๑.ภิกษบุ วชไม่ถึง ๕ พรรษา ๒. ภิกษผุ ขู้ าดความรู้ ความเขา้ ใจในพระธรรมวนิ ยั ไม่สามารถอยู่ ๕. ส่งั บงั คบั เหตุนิสัยระงบั จากอาจารย์ ๖ คอื ไดต้ ามลาพงั ๑-๕. เหมือนในอปุ ัชฌายะ. ๓.ภิกษุผถู้ ลู งโ?ษโดยฐานนิยสกรรม ๖. อนั เตวาสิกร่วมเขา้ กบั อุปัชฌายะของเธอ. ภิกษทุ ่ีไดร้ ับยกเวน้ ในการถือนิสยั คือ องคค์ ือสง่ั บงั คบั น้นั มีมติเป็น ๒ คอื ๑. ภิกษุเดินทาง. ๑. ประณามคอื ไล่เสีย [มติของอรรถกถาจารย]์ . ๒. ภิกษุผพู้ ยาบาท ผไู้ ดร้ ับขอของคนไขเ้ พ่อื ให้อย.ู่ ๒. อุปัชฌายะเป็นมีพรรษาพน้ ๕ แลว้ มีความรู้พระธรรมวินยั ๓. ภิกษุผเู้ ขา้ ป่ าเพอื่ เจริญสมณธรรมชวั่ คราว. พอ รักษาตวั ไดแ้ ลว้ ปลดเสียจากนิสัย ใหอ้ ยเู่ ป็นนิสัยมุตกะ ๔. ภิกษหุ าผทู้ ี่จะถือนิสยไม่ได้ องคเ์ ป็นเหตทุ ี่จะใหส้ ทั ธิวหิ าริกถูกประณามทา่ นกาหนดไว๕้ คอื การถือนิสยั แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ ๑. หาความรักใคร่ในอุปัชฌายะมิได.้ ๑. ถือนิสัยขอใหท้ ่านเป็นอุปัชฌาย์ ๒. หาความเล่ือมใสมิได้ ๒. ถือนิสยั ขอใหท้ า่ นเป็นอาจารย์ ๓. หาความละอายมิได.้ มลู เหตุที่ทรงอนุญาตใหม้ ีพระอุปัชฌายะ คอื ๔. หาความเคารพมิได.้ ๑. มีพทุ ธบญั ญตั ิและอภิสมาจารมากข้นึ . ๒. ผมู้ าใหม่ไมส่ ามารถจะรู้ทวั่ ถึงและประพฤติใหถ้ ูกระเบียบ ๕. หาความหวงั ดีต่อมิได.้ ดว้ ยลาพงั ใชค้ วามสงั เกตทาตามกนั จาจะศึกษาจึงจะรู้ได.้

๒๐ นิสัยมุตตกะภิกษพุ น้ ถือนิสัย ตอ้ งมีคณุ สมบตั ิดงั น้ี สัทธวิ ิหาริกวตั ร วตั รท่ีอปุ ัชฌายะพึงทาแก่สัทธิวิหาริกมีดงั น้ี ๑. เป็นผมู้ ีศรัทธา มีหิริ มีโอตตปั ปะ มีวิริยะ มีสติ. ๑. เอาธุระในการศึกษาของสัทธิวหิ าริก. ๒. เป็นผถู้ ึงพร้อมดว้ ยศีล อาจาระ ความเห็นชอบ เคยไดย้ นิ ได้ ๒. สงเคราะห์ดว้ ยบาตรจีวรและบริขารเคร่ืองใช้ ฟัง มาก มีปัญญา. ๓. คอยระงบั ความเส่ือมความเสีย ๓. รู้จกั อาบตั ิ มิใช่อาบตั ิ อาบตั ิเบา อาบตั ิหนกั จาปาฏิโมกข์ ๔. ทาการพยาบาลเมื่ออาพาธ ได้ แมน่ ยา. อาวาสิกวตั ร วตั รท่ีเจา้ ของถ่ินพงึ ประพฤติแก่อาคนั ตกุ ะ ดงั น้ี ๔. ท้งั มีพรรษาได้ ๕ หรือยิง่ กวา่ ข้ึนไป. ๑. เป็นผตู้ อ้ นรับอาคนั ตกุ ะ ช้ันภูมิของภิกษุ ๒. แสดงความนบั ถือแก่อาคนั ตกุ ะ - ช้นั นวกะมีพรรษาไม่ถึง ๕ ๓. ทาปฏิสนั ถารโดยธรรม คอื สมแก่ภาวะของอาคนั ตกุ ะ - ช้นั มชั ฌิมา มีพรรษา ๕ ข้นึ ไป แต่ไม่ถึง ๑๐ ๔. ถา้ อาคนั ตุกะมาเพื่อจะอย่ทู ี่วดั จดั แจงท่ีพกั ใหด้ ี - ช้นั เถระ มีพรรษาต้งั แต่ ๑๐ ข้ึนไป อาคนั ตุวัตร วตั รที่ภิกษผุ จู้ ะไปสู่อาวาสอ่ืนพึงประพฤติใหส้ ม เป็นแขกของเจา้ ของถ่ินดงั น้ี กณั ฑ์ท่ี ๑๔ ๑. ทาความเคารพในทา่ น วัตร ๒. แสดงความเกรงใจเจา้ ของถ่ิน ขนบคอื แบบอยา่ งอนั ภิกษคุ วรประพฤติในกาลน้นั ๆ ในท่ี ๓. แสดงอาการสุภาพ น้นั ๆในกิจน้นั ๆ แก่บุคคลน้นั ๆเรียกวา่ วตั ร จาแนกเป็น ๓ คอื ๔. แสดงอาการสนิทสนมกบั เจา้ ของ ๑. กจิ วตั ร วา่ ดว้ ยกิจควรทา. ๕. ควรประพฤติใหถ้ ูกธรรมเนียมของเจา้ ของ ๒. จริยาวัตร วา่ ดว้ ยมรรยาทอนั ควรประพฤติ. ๖. เอาใจใส่ชาระปัดกวาดใหห้ มดจด เป็นระเบียบ. ๓. วธิ วิ ตั ร วา่ ดว้ ยแบบอยา่ ง. คิลานุปัฏฐากวัตร ภิกษุผพู้ ร้อมดว้ ยองคส์ มควรเลือกเป็นผู้ กจิ วัตร พยาบาล ดงั น้ี อปุ ัชฌายวตั ร วตั รทีสัทธิวิหาริกพงึ ทาแก่อุปัชฌายะ มีดงั น้ี ๑. รู้จกั ประกอบเภสชั . ๑. เอาใจใส่ในการอปุ ัฏฐากทา่ น ในกิจทกุ อยา่ ง เช่นถวายน้า ๒. รู้จกั ของอนั แสลงแก่โรคและไมแ่ สลง. บว้ นปาก น้าลา้ งหนา้ และไมส้ ีฟัน. ๓. ไมร่ ังเกียจของโสโครก ๒. หวงั ความศึกษาในท่าน. ๔. ไม่เห็นแก่ได้ ๓. ขวนขวายป้องกนั หรือระงบั ความเสื่อมความเสียอนั จกั มี ๕.เป็นผมู้ ีจิตเมตตา หรือ ไดม้ ีแลว้ แก่ท่าน เช่นระงบั ความกระสนั ความเบ่ือหน่าย คลิ านกวตั ร ภิกษุอาพาธสมควรทาตนใหเ้ ป็นผพู้ ยาบาลงา่ ย คือ เปล้ือง ความเห็นผดิ เอาธุระในการออกจากอาบตั ิของท่าน ๑. รักษาตนใหด้ ี ไม่ฉันของแสลง ๔. รักษาน้าใจท่าน ไมค่ บคนนอกใหเ้ ป็นเหตุแหนง เช่นจะทา ๒. รู้จกั ประมาณคือความพอดีในของไมแ่ สลง การ รักการให้เป็นตน้ กบั คนเช่นน้นั บอกทา่ นก่อน ไมท่ าตาม ๓. ฉนั ยางา่ ย. ลาพงั ๔. บอกอาการไขต้ ามเป็นจริงแก่ผพู้ ยาบาล. ๕. เคารพในท่าน เช่นเดินตามท่านไม่ชิดนกั ไมห่ ่างนกั ไมพ่ ูด ๕. เป็นผอู้ ดทนต่อทุกขเวทนา. สอด ในขณะท่านกาลงั พดู ทา่ นพูดผิด พูดออ้ มพอใหท้ ่านรู้. ปิ ณฑจาริวตั ร ภิกษุผจู้ ะเขา้ ไปเพอื่ รับบิณฑบาต ควรประพฤติให้ ๖. ไมเ่ ท่ียวเตร่ตามอาเภอใจ จะไปขา้ งไหนลาทา่ นก่อน. ถกู ดงั น้ี ๗. เม่ือทา่ นอาพาธเอาใจใส่พยาบาล ไม่ไปขา้ งไหนเสีย กวา่ ๑. นุ่งห่มใหเ้ รียบร้อย ทา่ น จะหายเจ็บหรือมรณะ. ๒. ถือบาตรในภายในจีวร เอาออกเฉพาะเมื่อจะรับบิณฑบาต.

๒๑ ๓. สารวมกิริยาใหเ้ รียบร้อย ตามสมณสารูปในเสขยิ วตั ร. คมิกวตั ร ภิกษุจะไปอยทู่ ี่อ่ืน พึงประพฤติ ดงั น้ี ๔. กาหนดทางบิณฑบาตร ๑. เกบ็ ใหส้ ะอาดก่อน ซ่อมแซมเสนาสนะใหเ้ รียบร้อย ๕. รับบิณฑบาตดว้ ยอาการสารวม ๒. บอกมอบคนื เสนาสนะแก่ภิกษผุ เู้ ป็นเสนาสนคาหาป ๖. รูปที่กลบั มาก่อน จดั เตรียมท่ีฉนั ๓. บอกลาผทู้ ่ีควรบอกลา เสนาสนวตั ร ภิกษผุ รู้ ับเสนาสนะของสงฆค์ วามเอาใจใส่รักษา จริยาวัตร เสนาสนะ ดว้ ยอาการดงั น้ี ๑. หา้ มไม่ใหเ้ หยยี บผนื ผา้ ขาวอนั เขาลาดไวใ้ นท่ีนิมนต.์ ๑. อยา่ ทาใหเ้ ปรอะเป้ื อน. ๒. ยงั ไมพ่ จิ ารณาก่อน อยา่ เพ่มิ นงั่ ลงบนอาสนะ. ๒. ปัดกวาดใหส้ ะอาด อยา่ ใหร้ กดว้ ยหยากไยแ่ ละฝ่นุ ละออง. ๓. หา้ มไมใ่ หน้ ง่ั อาสนะยาวกบั หญิงและคนพนั ทาง [แต่จะนงั่ ๓. ระวงั ไม่ให้ ของต่างๆชารุด กบั คน มีอาสนะไมเ่ สมอกนั ไดอ้ ย]ู่ . ๔. รักษาเครื่องเสนาสนะ ให้สะอาด และจดั ต้งั เขา้ ระเบียบ. ๔. ภิกษุผรู้ องลาดบั ฉนั คา้ งอยู่ อยา่ ใหล้ กุ . ๕. ต้งั น้าฉันน้าใชไ้ วใ้ หม้ ีพร้อม. ๕. จะพกั ในกลางวนั ทา่ นใหป้ ิ ดประตู. ๖. ของใชส้ าหรับเสนาสนะหน่ึง อยา่ เอาไปใชใ้ นที่อื่น ๖. หา้ มทาบริเวณรอบกฏุ ิใหส้ กปรก ภตั ตัคควตั ร ภิกษุผฉู้ นั อาหารควรประพฤติใหถ้ กู ธรรมเนียมดงั น้ี ๗. หา้ มไม่ใหข้ ้ึนตน้ ไม้ เวน้ ไวแ้ ต่มีกิจ. ๑. นุ่งห่มใหเ้ รียบร้อย ๘. หา้ มไม่ใหไ้ ปเพือ่ จะดูฟ้อน ขบั ประโคม. ๒. รู้จกั อาสนะอนั ควรแก่ตน ๙. หา้ มไมใ่ หก้ ล่าวธรรมดว้ ยเสียงอนั ยาว ๓. หา้ มไมใ่ หน้ ง่ั ทบั ผา้ สังฆาฏิในบา้ น. ๑๐. หา้ มไม่ใหจ้ บั วตั ถเุ ป็นอนามาส คือสิ่งท่ีไมค่ วรจบั . ๔. รับของประเคนโดยเอ้ือเฟ้ื อ วตั ถเุ ป็นอนามาสน้นั มีประเภทดงั น้ี ๕. ไม่ควรฉนั ขณะภิกษอื่นกาลงั รับประเคน ๑. หญิง ท้งั เครื่องแต่งกาย ท้งั รูปที่ทามีสัณฐานเช่นน้นั ๖. ฉนั ดว้ ยอาการอนั เรียบร้อย [ดิรัจฉาน ตวั เมีย กจ็ ดั เขา้ ในหมวดน้ี]. ๗. รออ่ิมพร้อมกนั ๒. ทอง เงิน และรัตนะ [ในอรรถกถา รัตนะมี ๘ คือ มกุ ดา ๘. ระวงั ไมบ่ ว้ นปากและลา้ งมือใหถ้ กู ภิกษุนงั่ ใกลห้ รือถกู จีวร มณี ไพฑรู ย์ ประพาฬ ทบั ทิม บุษราคมั สังข์ ศิลา]. ของตนเอง ๓. ศสั ตราวธุ ตา่ งชนิด เป็นเครื่องทาร้ายชีวติ ๙. ฉนั เสร็จแลว้ อนุโมทนาพร้อมกนั . ๔. เคร่ืองดกั สัตวท์ ้งั บนบกท้งั ในน้า. ๑๐. เม่ือกลบั อยา่ เบียดเสียดกนั ออกมา ๕. เคร่ืองประโคมทุกชนิด [เครื่องดนตรี] ๑๑. หา้ มไม่ใหเ้ อาน้าลา้ งบาตรในบา้ นเขา ๖. ขา้ วเปลือกและผลไมอ้ นั เกิดอยใู่ นท่ี. วจั จกุฏีวตั ร วตั รอนั จะพงึ ประพฤติในวจั กฎุ ี มีดงั น้ี วิธวี ตั ร ๑. ใหเ้ ขา้ ตามลาดบั ผไู้ ปถึง วิธีวตั รมีประเภทดงั น้ี ๒. ใหร้ ักษากิริยา เห็นประตูปิ ดใหส้ ่งเสียงถาม ตอบ ก่อน ๑. วิธีครองผา้ ของภิกษ.ุ ๓. ใหร้ ู้จกั รักษาบริขาร เปล้ืองจีวรพาดไวเ้ สียขา้ งนอก ๒. วิธีใชบ้ าตรในเวลาเที่ยวรับภิกขา. ๔. ใหร้ ู้จกั รักษาตวั อยา่ แบ่งแรง อยา่ ใชไ้ มช้ าระอนั จะ ๓. วธิ ีพบั จีวร ไม่ใหพ้ บั หกั กลาง. ประทุษร้ายตวั ๔. วธิ ีเกบ็ จีวร จีวรคร้ังเก่าเก็บบนราว ถือจีวรดว้ ยมือขา้ งหน่ึง ๕. หา้ มไมใ่ หเ้ ค้ียวไมช้ าระฟันพลาง. ลูบ ราวดว้ ยมือขา้ งหน่ึง เอาจีวรสอดใตร้ าวค่อยๆ พาดใหช้ าย อยู่ ๖. ใหร้ ะวงั เพื่อไม่ใหท้ าสกปรก ขา้ งตวั ขนดอยขู่ า้ งนอก. ๗. ใหช้ ่วยรักษาความสะอาด ๕. วิธีเกบ็ บาตร บาตรเกบ็ ไวไ้ ดเ้ ตียงใตต้ ง่ั ถือบาตรดว้ ยมือขา้ ง หน่ึง ลูบใตเ้ ตียงใตต้ ง่ั ดว้ ยมือขา้ งหน่ึง แลว้ จึงเก็บ

๒๒ ๖. วธิ ีเชด็ รองเทา้ ใชผ้ า้ แหง้ เชด็ ก่อน แลว้ จึงใชผ้ า้ เปี ยกเช็ด. ๖. ในเวลาที่ทา่ นไมร่ ู้ คือนอนหลบั หรือขลกุ ขล่ยุ อยดู่ ว้ ยธุระ ๗. วธิ ีพดั ใหพ้ ระเถระ ใหพ้ ดั ที่หลงั หนหน่ึง ท่ีตวั หนหน่ึง ที่ อยา่ งหน่ึง หรือส่งใจไปอื่นแมไ้ หว้ ทา่ นกค็ งไมใ่ ส่ใจ. ศีรษะ หนหน่ึง. ๗. ในเวลาขบฉนั อาหาร. ๘. วิธีเปิ ดปิ ดหนา้ ต่างตามฤดู [ฤดูหนาว เปิ ดกลางวนั ปิ ด ๘. ในเวลาถ่ายอุจจาระ ถา่ ยปัสสาวะ. กลางคนื ฤดูร้อน ปิ ดกลางวนั เปิ ดกลางคืน]. ไหวใ้ นเวลาดงั กล่าวในขอ้ ๑-๓ ท่านปรับอาบตั ิทกุ กฏ ๙. วิธีเดิน ท่านใหเ้ ดินเรียงตวั ตามลาดบั แก่กวา่ เวน้ ระยะห่างกนั ไหวใ้ นเวลาอีก ๕ ขอ้ ทา่ นวา่ เพียงไม่ดีไมง่ าม. พอคนเดินผา่ นได้ [ถา้ พระมาก แถวจะยาว จะเดินระยะถ่ีกวา่ การลุกรับมีงดในบางเวลาดงั น้ี น้นั ควรเวน้ ตอนไวพ้ อคนมีช่องผา่ น ไมเ่ ช่นน้นั คนอื่นจะเสีย ๑. เวลานง่ั อยใู่ นสานกั ผใู้ หญ่ ไม่ลกุ รับผนู้ อ้ ยกวา่ ท่าน. ประโยชน์]. ๒. เวลานง่ั เขา้ แถวในบา้ น. ๑๐. จะทาวินยั กรรม ใหห้ ่มผา้ เฉวยี งบ่า นง่ั กระหยง่ ประณมมือ ๓. เวลาเขา้ ประชุมสงฆใ์ นอาราม. ๑๑. วา่ นโมคานมสั การ วา่ ๓ จบ ยงั คาอื่นๆ อีกกม็ ี เช่นคา การประณมมือ และการทาสามีจิกรรม ทาไดแ้ มแ้ ก่ภิกษผุ ู้ ปฏิญญาเมื่อปลงอาบตั ิ คาปวารณาและอื่น ๆ. อ่อนกวา่ . การคารวะที่ทา่ นจดั ไวโ้ ดยประการอื่นอีก คือ กณั ฑ์ท่ี ๑๕ ๑. ใหผ้ อู้ ่อนเรียกผแู้ ก่วา่ \"ภนฺเต\" ผแู้ ก่เรียกผอู้ ่อนวา่ \"อาวุโส.\" คารวะ อน่ึง ผอู้ ่อนแมค้ นเดียว เมื่อพูดกบั ผแู้ ก่ มกั นิยมใชพ้ หุวจนะ คอื การแสดงความเคารพใหด้ ูความเหมาะสมแก่กาละเทศะ ตอ่ ส่วนผแู้ ก่พูดกบั ผอู้ ่อน ใชเ้ อกวจนะตามปกติ. กนั เพอื่ แสดงออกถึงการเคารพใหเ้ กียรติซ่ึงกนั และกนั ๒. ผนู้ อ้ ยเมื่อจะแสดงธรรม ตอ้ งอาปจุ ฉาใหไ้ ดร้ ับอนุญาตจาก กิริยาแสดงความอ่อนนอ้ มแก่กนั มีประเภทดงั น้ี ผใู้ หญ่ก่อน ๑. การกราบไหว.้ ๓. อยใู่ นกุฎีเดียวกบั ภิกษุผแู้ ก่กวา่ จะสอนธรรม จะอธิบายความ ๒. การลุกรับ. จะสาธยาย จะแสดงธรรม จะจุดจะดบั ไป จะเปิ ดจะปิ ดหนา้ ตา่ ง ๓. การทาอญั ชลี [ประณมมือไหว]้ . ตอ้ งบอกขออนุญาตทา่ นก่อน. ๔. การทาสามีจิกรรม [ความออ่ นนอ้ มอยา่ งอื่นอนั เป็นความ ดี ๔. อปุ ัชฌายะ อาจารย์ อุปัชฌายมตั อาจริยมตั เดินไม่ได้ งาม] ท้งั หมดน้ี ใหท้ าตามลาดบั พรรษา สวมรองเทา้ หา้ มไมใ่ หเ้ ดินสวมรองเทา้ . ผทู้ ่ีภิกษไุ ม่ไหว้ มีประเภทดงั น้ี ๕. จะเขา้ ไปในเจดียสถานไมก่ ้นั ร่ม ไม่สวมรองเทา้ ไม่ห่มคลมุ ๑. อนุปสัมบนั . เขา้ ไป ไมแ่ สดงอาการดูหมิ่นต่าง ๆ เช่นพูดเสียงดงั และนง่ั ๒. ภิกษผุ อู้ อ่ นกวา่ ตน. เหยยี ดเทา้ เป็นตน้ ไมถ่ ่ายอุจจาระปัสสาวะและไมถ่ ม่ เขฬะใน ๓. ผเู้ ป็นนานาสังวาส พดู ไม่เป็นธรรม. ลานพระจดีย์ หรือตอ่ หนา้ พระปฏิมา [นบั วา่ เคารพพระศาสดา] การไหวม้ ีงดในบางเวลาดงั น้ี ๖. จะทาวินยั กรรมต่อกนั ห่มผา้ เฉวียงบา่ นง่ั กระหยง่ ประณม ๑. ในเวลาประพฤติวุฏฐานวิธี [คืออยกู่ รรม เมื่อออกจากอาบตั ิ มือทา เม่ือฟังวินยั กถาหรือธรรมเทศนา น่ิงฟังไมพ่ ูดจากนั และ สงั ฆาทิเสส]. ระวงั เพ่อื จะไมไ่ อกลบเสียงผแู้ สดง ไมม่ ีเหตุจาเป็นไมล่ ุกไป ๒. ในเวลาถกู สงฆท์ าอุกเขปนียกรรม [ท่ีถูกหา้ มสมโภคและ เสียในเวลา ท่ีท่านกาลงั แสดงคา้ งอย.ู่ อกั ษรจารึกพระธรรม ไม่ สังวาส] เดินขา้ มหรือ ยา่ เหยยี บ [น้ีนบั วา่ เคารพในพระธรรม]. ๓. ในเวลาเปลือยกาย. ๗. จะเขา้ ประชุมสงฆ์ ห่มผา้ เฉวยี งบา่ เวน้ ไวแ้ ตล่ ะแวกบา้ น ๔. ในเวลาเขา้ บา้ นหรือเดินอยตู่ ามทาง. และแสดงอาการสารวมเรียบร้อยไม่วา่ ผใู้ หญผ่ นู้ อ้ ย [น้ีนบั วา่ ๕. ในเวลาอยใู่ นที่มือท่ีแลไม่เห็นกนั . เคารพ ในสงฆ]์ .

๒๓ คารวะ ๓ ประการน้ี มีในบาลีแตก่ ารห่มผา้ เฉวยี งบา่ นงั่ ใหน้ ดั หมายกนั แต่ในขอ้ อนั เป็นธรรม กระหยง่ ประณมมือ ทาวินยั กรรม นอกน้นั เป็นธรรมเนียม ธุระเป็นเหตุไปดว้ ยสตั ตาหกรณียะ คือ บญั ญตั ิข้นึ ภายหลงั . ๑. สหธรรมิกหรือบิดามารดาเจ็บไข้ รู้เขา้ ไปเพ่ือรักษาพยาบาล กไ็ ด.้ กณั ฑ์ที่ ๑๖ ๒. สหธรรมิกกระสันจะสึก รู้เขา้ ไปเพ่ือระงบั กไ็ ด.้ จาพรรษา ๓. มีกิจสงฆเ์ กิดข้ึน เป็นตน้ วา่ วิหารชารุดลงในเวลาน้นั ไปเพือ่ จาพรรษา ไดแ้ ก่กิริยาท่ีหยดุ อยทู่ ี่เดียว ไม่ไปแรมคนื ขา้ ง หา เครื่องทพั พสัมภาระมาปฏิสังขรณ์ไดอ้ ย.ู่ ไหนตลอดสามเดือนในฤดูฝน. ๔. ทายกตอ้ งการจะบาเพญ็ กุศล ส่งมานิมนต์ ไปเพือ่ บารุง ดิถีทกี่ าหนดให้เข้าพรรษา มี ๒ คือ ศรัทธาของ เขาไดอ้ ยู่ [แมธ้ ุระอ่ืนนอกจากน้ี ท่ีเป็นกิจลกั ษณะ ๑. ปุริมิกา วสฺสูปนายกิ า วนั เขา้ พรรษาตน้ . อนุโลมตามน้ี เกิดข้นึ ไปก็ไดเ้ หมือนกนั ]. ๒. ปจฺฉิมิกา วสฺสูปนายกิ า วนั เขา้ พรรษาหลงั . พรรษาขาดแต่ไมเ่ ป็นอาบตั ิ เพราะอนั ตรายเหลา่ น้ี คือ ภิกษจุ าพรรษา ตอ้ งมีเสนาสนะท่ีมงุ ท่ีบงั มีบานประตูเปิ ดปิ ดได้ ๑. ถูกสตั วร์ ้าย โจร หรือปี ศาจเบียดเบียน. หา้ มไมใ่ หอ้ ยจู่ าพรรษาในสถานเหลา่ น้ี คือ ๒. เสนาสนะถกู ไฟไหมห้ รือน้าท่วม. ๑. ในกระท่อมผ.ี ๓. ภยั เช่นน้นั เกิดข้นึ แก่โคจรคาม ลาบากดว้ ยการบิณฑบาต ๒. ในร่ม [เช่นกลดพระธุดงคห์ รือกุฎีผา้ เช่นเตน๊ ท]์ . [ในขอ้ น้ี ชาวบา้ นเขาอพยพไป จะไปตามเขาก็ควร]. ๓. ในตุ่ม [กุฎีดินเผากระมงั ]. ๔. ขดั สนดว้ ยอาหารโดยปกติ ไม่ไดอ้ าหารหรือเภสัชอนั สบาย ๔. ในโพรงตน้ ไม.้ หรือไม่ไดอ้ ุปัฏฐากที่สมควร [ในขอ้ น้ี ยงั ทนอยไู่ ด้ ควรทนอยู่ ๕. บนคา่ คบตน้ ไม.้ ต่อไป ถา้ ทนไม่ไดจ้ ริง ๆ จึงคอ่ ยไป]. คาอธิษฐานพรรษาชนิดกาหนดเขตอาวาสวา่ ๕. มีหญิงมาเกล้ียกล่อม หรือมีญาติมารบกวน ล่อดว้ ยทรัพย์ \"อิมสฺมึ อาวาเส อิม เตมาส วสฺส อุเปมิ.\" [จิตเป็นธรรมชาติกลบั กลอกเร็วจะเป็นอนั ตรายแก่พรหมจรรย์ คาแปล เราเขา้ ถึงฤดูฝนในอาวาสน้ี ตลอดหมวดสามเดือน. ไปเสียได้ เห็นทรัพยอ์ นั หาเจา้ ของมิได้ กด็ ุจเดียวกนั ] คาอธิษฐานพรรษาชนิดกาหนดเขตกุฎี วา่ ๖. สงฆใ์ นอาวาสอื่น รวนจะแตกหรือแตกกนั แลว้ ไปเพื่อจะ \"อิมสฺมึ วิหาเร อิม เตมาส วสฺส อเุ ปมิ.\" หา้ ม หรือเพื่อจะสมาน [ในขอ้ น้ี ถา้ กลบั มาทนั ควรไปดว้ ยสตั คาแปล เราเขา้ ถึงฤดูฝนในวิหารน้ี ตลอดหมวดสามเดือน. ตาหกรณียะ]. อธิษฐานพรรษาในพวกโคต่าง พวกเกวียน และในเรือ วา่ อานิสงส์แห่งการจาพรรษา ๕ คือ \"อิธ วสฺส อเุ ปมิ\" คาแปล เราเขา้ พรรษาในที่น้ี. ๑. เท่ียวไปไมต่ อ้ งบอกลาตามสิกขาบทท่ี ๖ แห่งอเจลกวรรค. คราวจาพรรษาทา่ นหา้ มไมใ่ หต้ ้งั กติกาอนั ไมเ่ ป็นธรรม เช่น ๒. เที่ยวจาริกไปไม่ตอ้ งถือเอาไตรจีวรไปครบสารับ. ๑. หา้ มไม่ใหบ้ อกไม่ใหเ้ รียนธรรมวินยั . ๓. ฉนั คณโภชนแ์ ละปรัมปรโภชนไ์ ด.้ ๒. ไม่ใหส้ าธยายธรรม. ๔. เก็บอติเรกจีวรไวไ้ ดต้ ามปรารถนา. ๓. ไม่ใหม้ ีเทศนา. ๕. จีวรอนั เกิดข้ึนในท่ีน้นั เป็นของไดแ้ ก่พวกเธอ. ๔. หา้ มไม่ใหใ้ หบ้ รรพชาอปุ สมบท. ๕. หา้ มไม่ใหใ้ หน้ ิสัย. ท้งั ไดโ้ อกาสเพ่ือจะกรานกฐิน และไดร้ ับอานิสงส์ ๕ น้นั ตอ่ ไปอีก ๔ เดือน. ๖. หา้ มไมใ่ หพ้ ูดกนั . ๗. เกณฑใ์ หถ้ ือธุดงค.์ ๘. เกณฑใ์ หบ้ าเพญ็ สมณธรรม.

๒๔ กณั ฑ์ที่ ๑๗ ๔. ภากษทุ ี่ตอ้ งอาบตั ิสังฆาทิเสส อุโบสถ ปวารณา ฤดูท่ีนบั กนั อยใู่ นพุทธกาลมี ๓ คือ อโุ บสถ [การเข้าอยู่] ๑. เหมนั ตฤดู ฤดูหนาว. วนั อุโบสถในพระพุทธศาสนาใหส้ าหรับทากิจ ดงั น้ี ๒. คิมหฤดู ฤดูร้อน. ๑. ประชุมกนั กล่าวธรรมฟังธรรม. ๓. วสั สานฤดู ฤดูฝน. ๒. สมาทานอโุ บสถของคฤหสั ถ.์ การนบั ภิกษุ มี ๒ วธิ ี คอื ๓. ทาอุโบสถของพระภิกษุ [น้ีเฉพาะวนั ๑๔ หรือ ๑๕ ค่า]. ๑. เรียกชื่อ [เหมาะสาหรับพระที่ประชุมอยวู่ ดั เดียวกนั ]. วนั ทาอุโบสถมี ๓ คอื ๒. ใส่คะแนน [เหมาะสาหรับพระท่ีประชุมอยตู่ ่างวดั กนั ]. ๑. วนั จาตุททสี [๑๔ ค่า]. การทาสังฆอุโบสถ ตอ้ งประกอบดว้ ยองค์ ๔ คือ ๒. วนั ปัณณรสี [๑๕ ค่า]. ๑. วนั น้นั เป็นวนั ท่ี ๑๔ หรือ ๑๕ หรือวนั สามคั คี อยา่ งใด ๓. วนั สามคั ค.ี อยา่ งหน่ึง. การกคอื ภิกษผุ ทู้ าอุโบสถ มี ๓ คอื ๒. จานวนภิกษผุ ปู้ ระชุม ๔ รูปเป็นอยา่ งนอ้ ย ตอ้ งเป็นปกตตั ตะ ๑. สงฆ์ คอื ไม่ตอ้ งปาราชิกหรือถกู สงฆล์ งอกุ เขปนียกรรน้ีหมายเอาวา่ ๒. คณะ เป็น ท่ี ๔ อยใู่ นสงฆ์ จึงใชไ้ ม่ได้ ถา้ ไมเ่ ป็นที่ ๔ ใชไ้ ด้ และเขา้ ๓. บคุ คล. นงั่ ไม่ละหตั ถบาสแห่งกนั และกนั สาหรับเป็นกิริยานง่ั ประชุม. อาการที่ทาอุโบสถ มี ๓ คือ ๓. เธอท้งั หลายไมต่ อ้ งสภาคาบตั ิ ถา้ มีอยา่ งน้นั ตอ้ งสวด ๑. สวดปาฏิโมกข.์ ประกาศ ก่อนวา่ \"สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ, อย สพฺโพ สงฺโฆ ๒. บอกความบริสุทธ์ิ. สภาค อาปตฺตึ อาปนฺโน ยทา อญฺฐ ภิกฺขฐุ สุทฺธ อนาปตฺติก ๓. อธิษฐาน. ปสฺสิสฺสติ, ตทา ตสฺส สนฺติเก ต อาปตฺตึ ปฏิกฺกริสฺสติ.\" บรุ พกรณ์ [กิจท่ีพึงทาก่อนแตส่ งฆป์ ระชุม] มี ๔ คอื แปล : \"ทา่ นเจา้ ขา้ ขอสงฆจ์ งฟังขา้ พเจา้ สงฆท์ ้งั ปวงน้ีตอ้ ง ๑. กวาดโรงอุโบสถ. สภาคาบตั ิ จกั เห็นภิกษุอื่นผบู้ ริสุทธ์ิไมม่ ีอาบตั ิเมื่อใด จกั ทาคนื ๒. ตามประทีป [ถา้ ทาในเวลายงั ไมค่ ่า ไมต่ อ้ งตามประทีป]. อาบตั ิน้นั ในสานกั เธอเม่ือน้นั \" แลว้ จึงทาอุโบสถได.้ ๓. ต้งั น้าฉนั น้าใช.้ ๔. บคุ คลควรเวน้ ไม่มีในหัตถบาส [คอื ไม่ไดอ้ ยใู่ นท่ีประชุม]. ๔. ต้งั หรือปูอาสนะไว.้ บคุ คลควรเวน้ มีประเภทดงั น้ี บรุ พกิจ ธุระที่พงึ ทาก่อนสวดปาฏิโมกข์ มี ๕ คือ ๑. คนไมใ่ ช่ภิกษุ [คอื อนุปสัมบนั ภิกษณุ ีกน็ บั เขา้ ดว้ ย]. ๑. นาปาริสุทธิของภิกษผุ เู้ จ็บมา. ๒. เป็นภิกษอุ ยกู่ ่อน แตข่ าดจากความเป็นภิกษดุ ว้ ยประการใด ๒. นาฉนั ทะของเธอมาดว้ ย. ประ-การหน่ึงแลว้ [คือตอ้ งปาราชิก เขา้ รีตเดียรถียท์ ้งั เพศภิกษุ ๓. บอกฤดู. หรือ ลาสิกขาแลว้ ]. ๔. นบั ภิกษุ. ๓. เป็นภิกษแุ ต่ถูกสงฆล์ งอุกเขปนียกรรม. ๕. สง่ั สอนนางภิกษณุ ี. [จาพวกหลงั น้ี ไมเ่ ป็นท่ี ๔ ในสงฆ์ ไม่เป็นอะไร]. ขอ้ ปฏิบตั ิในการเขา้ ฟังปาฏิโมกข์ ปาฏิโมกขท์ า่ นจดั อทุ เทสไวโ้ ดยยอ่ ๕ คือ ๑. หา้ มภิกษทุ ี่ไม่บริสุทธ์ิ คือ ตอ้ งอาบตั ิเขา้ ร่วม ๑. นิทานุทเทส. ๒. ถา้ ไม่รู้วา่ อาบตั ิมาก่อนแลว้ ไม่ปลงอาบตั ิก่อนเขา้ ร่วม ๒. ปาราชิกทุ เทส. ๓.หา้ มภิกษุที่ตอ้ ง สภาคาบตั ิ คอื ล่วงละเมิดสิกขาบทเดียวกนั ๓. สังฆาทิเสสุทเทส. ดว้ ยกนั เขา้ ร่วม ๔. อนิยตุทเทส.

๒๕ ๕. วิตถารุทเทส. การกคือผทู้ าปวารณามี ๓ คือ คราวจาเป็นอนั เป็นเหตุสวดปาฏิโมกขย์ อ่ น้นั มี ๒ คอื ๑. สงฆ์ คือภิกษตุ ้งั แต่ ๕ รูปข้นึ ไป เรียกสงั ฆปวารณา. ๑. ไม่มีภิกษจุ าไดจ้ นจบ [สวดเทา่ อุทเทสท่ีจาได]้ . ๒. คณะ คอื ภิกษุ ๔-๓-๒ รูป เรียกคณะปวารณา. ๒. เกิดเหตฉุ ุกเฉินท่ีเรียกวา่ อนั ตราย [สวดยอ่ ได]้ . ๓. บุคคล คอื ภิกษรุ ูปเดียว เรียกบคุ คลปวารณา. เหตุฉุกเฉินที่เรียกวา่ อนั ตรายน้นั มี ๑๐ คือ อาการท่ีทาปวารณามี ๓ คือ ๑. พระราชาเสดจ็ มา [เลิกสวดปาฏิโมกขเ์ พอ่ื รับเสด็จได]้ . ๑. ปวารณาต่อท่ีประชุม. ๒. โจรมาปลน้ [เลิกสวดปาฏิโมกขเ์ พือ่ หนีภยั ได]้ . ๒. ปวารณากนั เอง. ๓. ไฟไหม้ [เลิกสวดปาฏิโมกขเ์ พื่อดบั ไฟได]้ . ๓. อธิษฐานใจ. ๔. น้าหลากมา [เลิกสวดปาฏิโมกขเ์ พื่อหนีน้าได้ สวดกลางแจง้ วธิ ีทาปวารณา สังฆปวารณา ฝนตกก็เหมือนกนั ]. ธรรมเนียมวางไว้ ใหป้ วารณารูปละ ๓ หน โดยปกติ ถา้ ๕. คนมามาก [เลิกสวดปาฏิโมกขเ์ พอื่ จะรู้เหตุ หรือเพ่อื จะได้ มีเหตขุ ดั ขอ้ ง จะทาอยา่ งน้นั ไม่ตลอดดว้ ยประการใดประการ ทา ปฏิสันถารไดอ้ ย]ู่ . หน่ึง จะปวารณารูปละ ๒ หน หรือ ๑ หน หรือพรรษาเทา่ กนั ๖. ผเี ขา้ ภิกษุ [เลิกสวดปาฏิโมกขเ์ พอื่ ขบั ผีไดอ้ ย]ู่ . ใหว้ า่ พร้อมกนั ก็ได้ จะปวารณาอยา่ งไร พงึ ประกาศแก่สงฆใ์ หร้ ู้ ๗. สัตวร์ ้ายมีเสือเป็นตน้ เขา้ มาในอาราม [เลิกสวดปาฏิโมกข์ ดว้ ยญตั ติก่อน วิธีต้งั ญตั ติน้นั ดงั น้ี เพื่อขบั ไล่ สัตวไ์ ดอ้ ย่]ู . ๑. ถา้ ปวารณา ๓ หน พึงต้งั ญตั ติ เตวาจิก ปวาเรยฺย\". ๘. งูร้ายเล้ือยเขา้ มาในท่ีประชุม กเ็ หมือนกนั . ๒. ถา้ จะปวารณา ๒ หน พึงต้งั ญตั ติวา่ เทฺววาจิก ปวาเรยฺย.\" ๙. ภิกษุอาพาธโรคร้ายเกิดข้ึนในท่ีประชุม อนั เป็นอนั ตรายแก่ ๓. ถา้ จะปวารณาหนเดียว พึงต้งั ญตั ติวา่ \"เอกวาจิก ปวาเรยฺย\" ชีวติ [เลิกสวดปาฏิโมกขเ์ พอื่ ช่วยแกไ้ ขได้ มีอนั ตรายลงในที่ ๔. ถา้ จะจดั ภิกษมุ ีพรรษาเท่ากนั ใหป้ วารณาพร้อมกนั พึงต้งั น้นั กเ็ หมือนกนั ]. ญตั ติ ลงทา้ ยวา่ \"สมานวสฺสิก ปวาเรยฺย.\" ๑๐. มีอนั ตรายแก่พรหมจรรย์ เช่นมีใครมาเพื่อจบั ภิกษุรูปใดรูป ๕. ถา้ จะไมร่ ะบปุ ระการ พึงต้งั ครอบทว่ั ไป ลงทา้ ยเพยี งวา่ หน่ึง [เลิกสวดปาฏิโมกขเ์ พราะความอลหมา่ นกไ็ ด]้ . \"สงฺโฆ ปวาเรยฺย.\" กาลงั สวดปาฏโิ มกข์ มีภกิ ษุพวกอ่ืนมาถงึ ถา้ มากกวา่ เหตุเป็นเครื่องยกข้ึนอา้ งในการเลื่อนปวารณาน้นั มี ๒ คือ ภิกษผุ ชู้ ุมนุมอยู่ ตอ้ งต้งั ตน้ สวดใหม่ ถา้ เทา่ กนั หรือนอ้ ยกวา่ ไม่ ๑.มีภิกษุจะเขา้ มาสมทบปวารณาดว้ ย ดว้ ยหมายจะคดั คา้ นผนู้ ้นั ผู้ ตอ้ ง ใหเ้ ธอเหล่าน้นั ฟังส่วนยงั เหลือต่อไป ถา้ รู้อยกู่ ่อนวา่ จกั มี น้ี ทาใหเ้ กิดอธิกรณ์ข้นึ . ภิกษุมาอีก แตน่ ึกเสียวา่ ช่างเป็นไรแลว้ สวด ปรับอาบตั ิถลุ ลจั จยั ๒.อยดู่ ว้ ยกนั เป็นผาสุก ปวารณาแลว้ ตา่ งจะจากกนั จาริกไปเสีย ถา้ ทาดว้ ยสะเพร่านึกวา่ เมื่อมาสวดถึงไหน ก็จงฟังต้งั แตน่ ้นั ปรับอาบตั ิทกุ กฏ ถา้ สวดจบแลว้ มีภิกษอุ ่ืนมา ท่านใหบ้ อกปาริ กณั ฑ์ท่ี ๑๘ สุทธิในสานกั ภิกษุผสู้ วด ผฟู้ ังปาฏิโมกขแ์ ลว้ . อุปปถกริ ิยา ปวารณา อปุ ปถกริ ิยา ไดแ้ ก่การทานอกรีตนอกรอยของสมณะมี ๓ คือ คือบอกใหโ้ อกาสแก่ภิกษทุ ้งั หลาย เพ่ือปรารถนาตกั เตือน ๑. อนาจาร คือความประพฤติไมด่ ีไมง่ ามและเล่น วา่ กล่าวตนได้ ๒. ปาปสมาจาร คอื ความประพฤติเลวทราม. วนั ที่ทาปวารณามี ๓ คือ ๓. อเนสนา คือความเล้ียงชีพไมส่ มควร. ๑. วนั ๑๔ ค่า [จาตุทฺทสี]. อนาจารแยกเป็นประเภทใหญม่ ี ๓ คอื ๒. วนั ๑๕ ค่า [ปณฺณรสี วนั ปกติ]. ๑. การเลน่ ต่างอยา่ ง. ๓. วนั สามคั ค.ี ๒. การร้อยดอกไม.้

๒๖ ๓. การเรียนดิรัจฉานวิชา. สงฆจ์ ะทาการลงโทษอีก ๓ สถาน คือ การเล่นตา่ งอยา่ งมี ๕ คือ ๑. ตาหนิโทษ เรียกตชั ชนียกรรม. ๑. เล่นอยา่ ง ๒. ถอดยศ คอื ถอนจากความเป็นผใู้ หญ่ เรียกนิยสั สกรรม. ๒. เลน่ คะนอง ๓. ขบั เสียจากวดั เรียกปัพพาชนียกรรม. ๓. เลน่ พนนั คือ มีไดม้ ีเสีย มีชนะมีแพ้ มีถกู มีผิด เนื่องดว้ ยการรุกราน หรือตดั รอนคฤหสั ถ์ มีประเภทดงั น้ี ๔. เลน่ ปู้ย้ปี ้ยู า คอื ทาความเสียหายใหแ้ ก่ผอู้ ื่น ๑.ขวนขวายเพอ่ื ตดั ลาภของเขา. ๕. เลน่ อึงคะนึง ๒.ขวนขวายเพ่ือความเสื่อมเสียแห่งเขา. การเลน่ ดงั วา่ มาน้ี ท่ีไม่มีปรับโทษสูงกวา่ ปรับอาบตั ิทุกกฏ ๓.ขวนขวายเพื่อเขาอยไู่ ม่ได้ ตอ้ งออกจากถ่ินฐาน. เสมอกนั . ๔.ด่าวา่ เปรียบเปรยเขา. บปุ ผวกิ ตั ิอาการร้อยดอกไม้ ๖ อยา่ ง คอื ๕.ยยุ งใหเ้ ขาแตกกนั . ๑. คนฺถิม ร้อยตรึง ๖.พูดกดเขาใหเ้ ป็นคนเลว คือพูดวาจาหยาบตอ่ เขา เรียกอา้ ยอี ๒. โคปผฺ ิม ร้อยควบหรือร้อยคุม ไดแ้ ก่ดอกไมท้ ่ีร้อยเป็นพวง ๗. ใหป้ ฏิญญาอนั เป็นธรรมแก่เขาแลว้ ไมท่ าใหส้ มจริง. ๓. เวธิม ร้อยแทงหรือร้อยเสียบ ไดแ้ ก่ดอกไมท้ ี่ร้อยสวมดอก ความประพฤติเลวทรามเห็นปานน้ี นอกจากปรับอาบตั ิตาม ๔. เวถิม ร้อยพนั หรือร้อยผูก ไดแ้ ก่ช่อดอกไมแ้ ละกลุ ่มดอกไม้ วตั ถเุ ป็นฐานะที่สงฆจ์ ะลงโทษดว้ ยปฏิสารณียกรรม คือใหห้ วน ๕. ปูริม ร้อยวง ไดแ้ ก่ดอกไมท้ ี่ร้อยสวมดอก น้ีคอื พวงมาลยั ระลึกถึงความผดิ และขมาคฤหสั ถท์ ี่ตนรุกรานหรือตดั รอน ๖. วายมิ ร้อยกรอง ไดแ้ ก่ดอกไมร้ ้อยถกั เป็นตาเป็น ตาข่าย อเนสนา ดิรัจฉานวชิ าทา่ นแยกประเภทไว้ ๕ คอื ไดแ้ ก่กิริยาแสวงหาเล้ียงชีพในทางไมส่ มควร จดั เป็น ๔ ๑. ความรู้ในการทาเสน่ห์ เพอ่ื ใหช้ ายน้นั หญิงน้ีรักกนั . อยา่ ง คอื ๒. ความรู้ในการทาใหผ้ นู้ ้นั ผนู้ ้ีถึงความวบิ ตั ิ. ๑. ทาวญิ ญตั ิ คือออกปากขอของต่อคนและในเวลาทีไม่ควรขอ ๓. ความรู้ในทางใชภ้ ตู ผีอวดฤทธ์ิเดชตา่ ง ๆ. ๒. แสดงหาลาภด้วยลาภ คือหาในเชิงใหข้ องนอ้ ย หมายเอา ๔. ความรู้ในทางทานายทายทกั เช่นรู้หวยวา่ จะออกอะไร. ตอบแทนมาก. ๕. ความรู้อนั จะนาใหห้ ลงงมงาย เช่นหุงปรอทใหม้ ีอิทธิฤทธ์ิ ๓. ใชจ้ ่ายรูปิ ยะ ไดแ้ ก่การลงทนุ หาผมประโยชน์ หุง เงินหรือทองแดงใหเ้ ป็นทอง. ๔. หากินในทางเวชกรรมหรือการหมอ. ปาปสมาจาร ๕. การทาปริตร ไดแ้ ก่การทาน้ามนตส์ ายสิญจน์เสกเป่ าตา่ งๆ ความประพฤติที่สมคบกบั คฤหสั ถอ์ นั มิชอบมี ดงั น้ี. ในอรรถกถาอนุญาตใหท้ ายาเฉพาะแก่คนเหล่าน้ี ๑. ใหข้ องกานลั แก่สกลุ อยา่ งคฤหสั ถเ์ ขาทา เช่นใหด้ อกไมห้ รือ ๑. สหธรรมิก. ผลไม้ เป็นตน้ . ๒. มารดาบิดา. ๒. ทาสวนดอกไมไ้ ว้ ตลอดถึงร้อยดอกไมเ้ พ่ือบาเรอเขา ๓. คนอปุ ฐากมารดาบิดา. ๓. แสดงอาการประจบเขา เมื่อเขา้ ไปในสกลุ ๔. ไวยาวจั กรของตน. ๔. ยอมตวั ลงใหเ้ ขาใชส้ อยไปนน่ั ไปโน่น นอกกิจพระศาสนา ๕. คนปัณฑปุ ลาส. ๕. รับเป็นหมอรักษาไขเ้ จบ็ คนในสกลุ คือเป็นหมอสาหรับบา้ น ๖. ญาติของตน. ๖. รับของฝากอนั ไม่ควรรับ เช่น รับของโจรและของตอ้ งหา้ ม ๗. คนจรเขา้ มาในวดั เจ็บไข.้ ปาปสมาจารดงั วา่ มาน้ี ท่ีไม่มีปรับโทษสูงกวา่ ปรับเป็น เวชกรรมที่ตอ้ งหา้ ม ควรจะผอ่ นลงมา ดงั ต่อไปน้ี อาบตั ิทุกกฏเสมอกนั ๑. เวชกรรมท่ีหา้ มไวใ้ นวินีตวตั ถุแห่งตติยปาราชิกสิกขาบท โดย ปรับเป็นอาบตั ิทกุ กฏน้นั คือทาในทางนอกรีตนอกรอย

๒๗ ๒. เวชกรรมท่ีหา้ มโดยความเป็นปาปสมาจาร ในวิภงั คแ์ ห่ง ๕. กงฺคุ ขา้ วฟ่ าง. สังฆาทิเสสสิกขาบทท่ี ๑๓ น้นั คือการที่ทอดตนลงใหส้ กลุ เขาใช้ ๖. วรโก ลูกเดือย. ในการ รักษาไขเ้ จบ็ ของคนในสกุล ๗. กูทฺรูสโก หญา้ กบั แก.้ ๓. เวชกรรมท่ีหา้ มโดยความเป็นอเนสนา ในอรรถกถาท้งั หลาย เน้ือที่หา้ มโดยกาเนิดมี ๑๐ คือ น้นั คอื การรักษาโรคเรียกเอาขวญั ขา้ วค่ายาคา่ รักษา ๑. เน้ือมนุษย์ เลือดกส็ งเคราะหเ์ ขา้ ดว้ ย. ๒. เน้ือชา้ ง. กณั ฑ์ที่ ๑๙ ๓. เน้ือมา้ . การิก ๔ ๔. เน้ือสุนขั . ของท่ีจะพึงกลืนกินใหล้ ่วงลาคอไป ทา่ นเรียกวา่ กาลิก ๕. เน้ืองู. เพราะเป็นของมีกาหนดใหใ้ ชช้ วั่ คราวมี ๔ คือ ๖. เน้ือสีหะ. ๑. ยาวกาลกิ ของที่ใหบ้ ริโภคไดต้ ้งั แต่เชา้ ถึงเท่ียงวนั . ๗. เน้ือเสือโคร่ง. ๒. ยามกาลกิ ของท่ีใหบ้ ริโภคไดช้ ว่ั วนั หน่ึงกบั คนื หน่ึง. ๘. เน้ือเสือเหลือง. ๓. สัตตาหกาลกิ ของท่ีใหบ้ ริโภคไดช้ วั่ ๗ วนั . ๙. เน้ือหมี. ๔. ยาวชีวกิ ของท่ีใหบ้ ริโภคไดเ้ สมอไป ไมม่ ีจากดั กาล. ๑๐. เน้ือเสือดาว. ของขบเค้ียวชนิดที่มีเมด็ และงา อาจเพาะและปลูกเป็นทรง ยาวกาลกิ อนุญาตให้อนุปสัมบนั ทาใหเ้ ป็นกปั ปิ ยะ ดว้ ยวธิ ีเหลา่ น้ี ของท่ีใชบ้ ริโภคเป็นอาหาร มี ๒ อย่าง คือ ๑. โภชนะท้งั ๕ [นมสด นมส้ม จดั เขา้ ในโภชนะในทีอ่ืนจาก ๑. ดว้ ยเอาไฟจ้ี. ๒. ดว้ ยเอามีดกรีด. โภชนะ ๕]. ๓. ดว้ ยเอาเลบ็ จิก. ๒. ขาทนียะ ของขบเค้ียวคือผลไมแ้ ละเง่า มีมนั เป็นตน้ . โภชนะท้งั ๕ อยา่ ง คือ กปั ปิ ยภูมิ ๔ ๑. ขา้ วสุกท่ีหุงจากธญั ญชาติท้งั หลาย. คือสถานท่ีเกบ็ เสบียงอาหารภายในวดั (โรงครัว) ๒. ขนมกมุ มาส ของทาดว้ ยแป้งหรือถว่ั งา มีอนั จะบดู เมื่อ ลว่ ง ๑. อุสฺสาวนนฺติกา เรือนท่ีเก็บอาหารประกาศใหร้ ู้กนั วา่ จะเป็น เรือนครัวมาแต่แรก คนื แลว้ . ๓. สัตตุ คอื ขนมแหง้ เป็นของไมบ่ ดู . ๒. โคนิสาทิกา ที่เกบ็ อาหารเคลื่อนท่ีได้ ๔. ปลา. ๓. คหปติกา เรือนของคฤหบดีที่เขาทาถวาย ๕. เน้ือ. ๔. สมฺมติกา ไดแ้ ก่ที่สงฆเ์ ลือกจะใชเ้ ป็นที่เก็บอาหาร พืชที่ใชเ้ ป็นโภชนะน้นั ๒ ชนิด คอื ยามกาลกิ ๑. บุพพณั ณะ ของจะพงึ กินก่อน [คือขา้ วทกุ ชนิด]. ปานะ คือ น้าสาหรับดื่ม ที่ค้นั ออกจากลกู ไม้ ๒. อปรัณณะ ของจะพงึ กินในภายหลงั [คือถว่ั ต่างชนิดและงา] ยามกาลกิ มี ๘ ชนดิ คือ พชื ๒ อยา่ งน้ี เป็นมลู แห่งขา้ วสุก และขนม ๒ อยา่ ง. ๑. อมฺพปาน น้ามะม่วง. บพุ พพณั ณะน้นั แสดงไวใ้ นบาลี ๗ ชนิด คือ ๒. ชมฺพปุ าน น้าชมพหู่ รือน้าหวา้ . ๑. สาลี ขา้ วสาลี. ๓. โจจปาน น้ากลว้ ยมีเมด็ . ๒. วีหิ ขา้ วจา้ ว. ๔. โมจปาน น้ากลว้ ยไมม่ ีเมด็ . ๓. ยโว ขา้ วเหนียว. ๕. มธุกปาน น้ามะซาง [เป็นของลว้ นไมค่ วร เจือน้าจึงควร]. ๔. โคธูโม ขา้ วละมาน. ๖. มุทฺทิกปาน น้าลูกจนั ทน์หรือองุน่ .

๒๘ ๗. สาลกุ ปาน น้าเงา่ อุบล. กณั ฑ์ที่ ๒๐ ๘. ผารุสกปาน น้ามะปรางหรือลิ้นจี่. ภณั ฑะต่างเจ้าของ ยาวกาลิกน้ี ลว่ งกาหนดคนื หน่ึง ท่านหา้ มไม่ใหฉ้ นั ปรับ ของสงฆ์ เป็นอาบตั ิทุกกฏ. ภณั ฑะท่ีเขาถวายเป็นสาธารณะแก่ภิกษุ ไมเ่ ฉพาะตวั สตั ตาหกาลิก ไดแ้ ก่เภสัช ๕ คือ ชนิดของภณั ฑะของสงฆน์ ้นั มี ๒ ประเภท คอื ๑. เนยสด. ๒. เนยขน้ . ๑. ลหุภณั ฑ์ ของเบา. ๓. น้ามนั . ๔. น้าผ้งึ . ๒. ครุภณั ฑ์ ของหนกั . ๕. น้าออ้ ย. ลหุภณั ฑน์ ้นั จาแนกออกดงั น้ี วตั ถสุ าหรับทาน้ามนั รวมเป็น ๓ ชนิด คือ ๑. บิณฑบาต. ๑. มนั เปลวแห่งสตั ว์ [ยกของมนุษย]์ . ๒. เภสชั . ๒. พืชอนั มีกาเนิดเป็นยาวกาลิก [มีเมด็ งาเป็นตวั อยา่ ง]. ๓. บริขารท่ีจะใชส้ าหรับตวั คือ บาตร จีวร ประคตเอว เขม็ มี ๓. พชื อนั มีกาเนิดเป็นยาวชีวกิ [มีเมด็ พนั ธผ์ กั กาด] พบั มีดโกน มนั เปลวแห่งสตั วใ์ นบาลีมี ๕ คือ ภิกษุผอู้ นั สงฆส์ มมติให้เป็นผมู้ ีหนา้ ที่แจกลหุภณั ฑ์ มีดงั น้ี ๑. เปลวหมี. ๑. ภิกษผุ มู้ ีหนา้ ที่แจกภตั ตาหาร ตลอดถึงรับนิมนตข์ องทายก ๒. เปลวปลา. แลว้ จ่ายใหไ้ ป เรียกภตั ตุทเทสกะ. ๓. เปลวปลาฉลาม. ๒. ภิกษุผมู้ ีหนา้ ท่ีแจกจีวร เรียกจีวรภาชกะ. ๔. เปลวหม.ู ๓. ภิกษุผมู้ ีหนา้ ที่แจกเภสัชและบริขารเลก็ นอ้ ย เรียกอปั ป ๕. เปลวลา. มตั ตกวิสัชชกะ. ยาวชีวกิ ครุภณั ฑน์ ้นั แสดงไวใ้ นบาลี ๕ หมวด คือ ของที่ใชป้ ระกอบยา นอกจากกาลิก ๑. พ้ืนดินและของปลกู สร้างเป็นอาราม. ยาวชีวิก ๓ อยา่ งน้นั มีประเภทดงั น้ี ๒. พ้ืนดินและของปลูกสร้างเป็นวหิ าร. ๑. รากไม้ เรียกมลู เภสัช เช่น ขมิ้น ขิง วา่ นน้า ข่า ๓. ของที่เป็นตวั เสนาสนะเอง. ๒. น้าฝาด เรียกกสาวเภสชั เช่น น้าฝาดของไม้ ๔. เครื่องโลหะท่ีเป็นภาชนะและเป็นเคร่ืองมือ. ๓. ใบไม้ เรียกปัณณเภสัช เช่น ใบสะเดา ใบกะเพรา ๕. เครื่องสัมภาระสาหรับทาเสนาสนะและเคร่ืองใช.้ ๔. ผลไม้ เรียกผลเภสชั เช่น พริก มะขามป้อม พ้ืนดินและของปลูกสร้างเป็นอาราม จาแนกเป็น ๒ คอื ๕. ยางไม้ เรียกชตเุ ภสชั เช่น หิงคุ เป็นยางไมช้ นิดหน่ึง ๑. อาราโม ของปลูกสร้างในอาราม ตลอดตน้ ไม.้ ๖. เกลือ เรียกโลณเภสัช [เช่น เกลือแห่งน้า เกลือสินเธาว์ ๒. อารามวตฺถุ ท่ีดินพ้ืนอาราม. รากไม้ น้าฝาด ใบไม้ ผลไม้ ยาวไม้ เกลือ อยา่ งอื่นอีก พ้ืนดินและของปลูกสร้างเป็นวิหาร จาแนกเป็น ๒ คือ อนั ไม่สาเร็จอาหารกิจ ใชเ้ ป็นยา จดั เป็นยาวชีวิกท้งั น้นั . ๑. วิหาโร กฎุ ีที่อย.ู่ กาลกิ ระคนกนั ๒. วหิ ารวตฺถุ พ้นื ที่ปลกู กฎุ ี. กาลิกบางอยา่ งระคนกบั กาลิกอีกบางอยา่ ง มีกาหนดให้ ของที่เป็นเสนาสนะจาแนกเป็น ๔ คือ ใชไ้ ดช้ ว่ั คราวของกาลิกมีคราวส้ัน. สตั ตาหกาลิกและยาวชีวกิ ๑. มญฺโจ เตียง. ที่รับประเคนแรมคนื ไว้ ท่านหา้ มไม่ใหเ้ อาไปปนกบั ยาวกาลิก ๒. ปี ฐ ตง่ั . ในสัตตสติกขนั ธกะทา่ นปรับเป็นปาจิตตีย.์ ๓. ภิสี ฟกู . ๔. พมิ ฺโพหน. หมอน.

๒๙ เคร่ืองโลหะที่เป็นภาชนะและเคร่ืองมือ จาแนกเป็น ๙ คอื พระมติเห็นสมดว้ ยอรรถกถาและองค์ ๓ คอื ๑. โลหกมุ ฺภี หมอ้ โลหะ. ๑. เป็นผเู้ คยเห็นกนั มา หรือเป็นผเู้ คยคลกนั หรือไดพ้ ดู กนั ไว.้ ๒. โลหภาณก อ่างโลหะ. ๒. รู้วา่ ถือเอาแลว้ เขาจกั พอใจ. ๓. โลหวารโก กระถางโลหะ. ๓. เขายงั เป็นอย.ู่ ๔. โลหกฏาห กระทะโลหะ. ๕. วาสี มีดใหญ่หรือพร้าได.้ กณั ฑ์ท่ี ๒๑ ๖. ผรสุ ขวาน. วินยั กรรม ๗. กุฐารี ผ่ึง สาหรับถากไม.้ คอื กิจท่ีภิกษุตอ้ งทาใหถ้ กู ตอ้ งตามพระวินยั ๘. กุทฺทาโล จอบหรือเสียม สาหรับขดุ ดิน. วินยั กรรมมี ๔ เรื่องคือ ๙. นิขาทน สวา่ น สาหรับเจาะไม.้ ๑. วิธีแสดงอาบตั ิ เคร่ืองสมั ภาระสาหรับทาเสนาสนะและเครื่องใชแ้ บง่ เป็น ๘ คือ ๒. การอธิษฐานบริขาร ๑. วลฺลี เถาวลั ย์ เช่นหวาย. ๓. การทาพินทุ ๒. เวฬุ ไมไ้ ผ.่ ๔. การวิกปั ๓. มญุ ฺช เป็นหญา้ ชนิดหน่ึง แปลวา่ หญา้ มงุ กระตา่ ย. วธิ ีแสดงอาบตั ิท่ีใชอ้ ยใู่ นบดั น้ี ๔. ปพฺพช เป็นหญา้ ชนิดหน่ึง แปลวา่ หญา้ ปลอ้ ง. ต้องอาบตั ติ ัวเดยี ว แสดงว่า ๕. ติณ หญา้ สามญั . ผ้แู สดง \"อห อาวุโส ปาจิตฺติย อาปตฺตึ อาปนฺโน ต ปฏิเทเส ๖. มตฺติกา ดินเหนียว. มิ\" ผ้รู ับ \"ปสฺสถ ภนฺเต\" ๗. ทารุภณฺฑ ของทาดว้ ยไม.้ ผ้แู สดง \"อาม อาวโุ ส ปสฺสามิ\" ผู้รับ\"อายติ ภนฺเต สวเรยฺยาถ\" ๘. มตฺติกาภณฺฑ ของทาดว้ ยดินเผา. ผู้แสดง \"สาธุ สุฎฺ ฐุ อาวโุ ส สวริสฺสามิ.\" ของเจดีย์ ต้องอาบัตอิ ย่างเดียวกนั หลายตัว แสดงว่า ของชนิดน้ี ไดแ้ ก่ของท่ีทายกถวายเพื่อบูชาเจดีย์ \"อห อาวโุ ส สมฺพหุลา นิสฺสคฺคิยาโย ปาจิตฺติยาโย อา ของบคุ คล ปตฺติโย อาปนฺโน ตา ปฏิเทเสมิ\" [ถา้ ๒ ตวั ใช้ \" เทฺว\" ของชนิดน้ี ไดแ้ ก่ของที่ทายกถวายแก่ภิกษเุ ป็นส่วนตวั ต้งั แต่ ๓ ตวั ข้ึนไป ใช้ \"สมฺพหุลา\"]. การปลงบริขาร ตอ้ งอาบตั ิชื่อเดียวกนั แต่มีวตั ถุต่างกนั แสดงวา่ การมอบใหด้ ว้ ยปริกปั ว่า ถา้ ตายแลว้ ใหข้ องเหลา่ น้ีตกเป็น \"อห อาวุโส สมฺพหุลา นานา วตฺถุกาโย ทกุ ฺกฏาโย อา ของผนู้ ้นั ปตฺติโย อาปนฺโน ตา ปฏิเทเสมิ\" [ถา้ ล่วง ๒ เรื่อง จานวน ลกั ษณะถือเอาโดยวิสาสะในบาลีมีองค์ ๕ คือ อาบตั ิก็ ๒ ใช\"้ เทฺว นานา วตฺถุกาโย\" จานวนอาบตั ิมากกวา่ ๒ ๑. เป็นผเู้ คยไดเ้ ห็นกนั มา. ใช้ \"สมฺพหุลานานา วตฺถกุ าโย\"]. ๒. เป็นผเู้ คยคบกนั มา. อาบตั ิน้นั ทา่ นใหแ้ สดงโดยควรแก่ช่ือแก่วตั ถุแก่จานวน ๓. ไดพ้ ูดกนั ไว.้ แสดง ผิดช่ือใชไ้ ม่ได้ ผิดวตั ถุและผดิ จาวน ขา้ งมากแสดงเป็น ๔. ยงั มีชีวิตอย.ู่ นอ้ ย ใชไ้ มไ่ ด้ ขา้ งนอ้ ยพล้งั เป็นมาก ใชไ้ ด.้ ๕. รู้วา่ ของน้นั เราถือเอาแลว้ เขาจกั พอใจ. ถ้าสงสัยอย่ใู นอาบตั บิ างตัว ทา่ นใหบ้ อกดงั น้ี \"อห อาวุโส ในอรรถกถา แยกองคท์ ่ี ๑ องคท์ ี่ ๒ และองคท์ ี่ ๓ ออก เอาแต่ อิตฺถนฺนามาย อาปตฺติยา เวมติโก ยทา นิพฺเพมติโก ภวิสฺสามิ อยา่ งหน่ึง คงเป็น ๓. ตทา ต อาปตฺตึ ปฏิกฺกริสฺสามิ\" แปลวา่ \"แน่ะเธอ ฉนั มีความ

๓๐ สงสัยในอาบตั ิชื่อน้ี จกั สิ้นสงสัยเมื่อใด จกั ทาคนื อาบตั ิน้นั เม่ือ เช่น สงั ฆาฏิ วา่ \"อิม สงฆาฏึอธิฏฺฐามิ\" แปล \"เราต้งั เอาไวซ้ ึง น้นั .\" ผา้ สงั ฆาฏิผนื น้ี หรือวา่ เราต้งั เอาไวซ้ ่ึงผา้ ผืนน้ีเป็นสงั ฆาฏิ\" แบบใช้คาบาลอี อกชื่ออาบตั ิ คือ อธิษฐานบริขารอ่ืน ยกบทวา่ \"สงฺฆาฏึ\"เสีย เปล่ียนตามชื่อ ดงั น้ี อาบตั ิตวั เดียว ออกชื่อวา่ \"ถลุ ฺลจฺจย อาปตฺตึ, นิสฺสคฺคิยปาจิตฺ อตุ ฺตราสงฺค สาหรับ อตุ ราสงค์ ติย อาปตฺตึ, ปาจิตฺติย อาปตฺตึ, ทกุ ฺกฏ อาปตฺตึ, ทุพฺภาสิตอาปตฺ อนฺตรวาสก \" อนั ตรวาสก. ตึ\" นิสีทน \" ผา้ นิสีทนะ. อาบตั ิหลายตวั ออกช่ือวา่ \"ถุลฺลจฺจยาโย อาปตฺติโย กณฺฑุปฏิจฺฉาทึ \" ผา้ ปิ ดฝี. ,นิสฺสคฺคิยาโย ปาจิตฺติยาโย อาปตฺติโย, ปาจิตฺติยาโ อาปตฺติโย วสฺสิกสาฏิก \" ผา้ อาบน้าฝน. ,ทุกฺกฏาโย อาปตฺติโย, ทพุ ฺภาสิตาโย อาปตฺติโย\" ต่อ \"เทฺว\" อธิฏฐามิ \" ผา้ ปูนอน. หรือ \"สมฺพหุลา\" เฉพาะอาบตั ิมีวตั ถุเดียว, ตอ่ \"นานา วตฺถกุ า มุขปุญฺฉนโจล \" ผา้ เชด็ หนา้ เชด็ ปาก. โย\"เพาะอาบตั ิมีวตั ถตุ า่ งกนั . ปริกฺขารโจล \" ผา้ เป็นบริขาร. คาสาหรับผแู้ ก่กวา่ วา่ \"อาวุโส, ปสฺสสิ, สวเรยฺยาสิ.\" คาอธิษฐานผา้ หลายผืนควบกนั เช่นผา้ ปูนอน วา่ \"อิมา คาสาหรับผอู้ ่อนวา่ \"ภนฺเต, ปสฺสถล สวเรยฺยาถ.\" นิปจฺจตฺถรณานิ อธิฏฺฐามิ\" แปล \"เราต้งั เอาไวซ้ ่ึงผา้ ปูนอน คาแสดงอาบตั ิาฏิเทสนียะวา่ \"คารยฺห อาวุดส ธมฺม เหล่าน้ีหรือวา่ เราต้งั เอาไวซ้ ่ึงผา้ เหล่าน้ีเป็นผา้ ปูนอน\" อธิษฐาน อาปชฺชึ อสปปฺ าย ปาฏิเทสนีย ต ปาฏิเทเสมิ\" แปลวา่ \"แน่ะ ผา้ อ่ืน ยกบทวา่ \"ปจฺจตฺถรณานิ\" เปล่ียนเป็น \"มุขปุญฺฉนโจลา เธอ ฉนั ตอ้ งแลว้ ซ่ึงธรรมน่าติเตียนไม่สบาย ควรจะแสดงคืน นิ\" สาหรับผา้ เช็ดหนา้ เชด็ ปาก \"ปริกฺขารโจลานิ\" สาหรับผา้ เสีย ฉนั แสดงคืนซ่ึงธรรมน้นั .\" เป็ นบริ ขาร. ภิกษุผตู้ อ้ งอาบตั ิแลว้ ไม่ยอมรับวา่ เป็นอาบตั ิ หรือยอมรับ อธิษฐานมี ๒ คือ วา่ เป็นอาบตั ิ แตไ่ ม่แสดง ทรงอนุญาตใหส้ งฆท์ าอกุ เขปนียก ๑.อธิษฐานดว้ ยกาย คือเอามือจบั ลูบบริขารท่ีอธิษฐานน้นั เขา้ ทา รรมแก่เธอได้ และหา้ มมิใหภ้ ิกษอุ ื่นสมคบกบั เธอ. ความผกู ใจตามคาอธิษฐานขา้ งตน้ . อธิษฐาน ๒.อธิษฐานดว้ ยวาจาคือลน่ั คาอธิษฐานน้นั ไม่ถกู ของดว้ ยกาย บริขารท่ีระบุชื่อให้อธิษฐาน คอื อธิษฐานดว้ ยวาจาแยกเป็น ๒ คือ ๑. สังฆาฏิ. ๑. อธิษฐานในหตั ถบาส. ๒. อตั ราวาสก. ๒. อธิษฐานนอกหัตถบาส. ๓. อตุ ราสงค.์ ของอยภู่ ายใน ๒ ศอกคบื หรือศอกหน่ึงในระหวา่ ง พงึ ให้ ๔. บาตร. อธิษฐานในหัตถบาส ของอยหู่ ่าง พึงใชอ้ ธิษฐานนอกหตั ถบาส ๕. ผปู้ นู ง่ั . และเปล่ียนบทวา่ \"อิม\" เป็น \"เอต\" เปล่ียน \"อิมานิ\" เป็น\"เอ ๖. ผา้ ปิ ดฝี. ตานิ.\" แปลวา่ \"นน่ั .\" ๗. ผา้ อาบน้าฝน. คาปัจจุทธรณ์หรือถอนอธิษฐาน วา่ ๘. ผา้ ปนู อน. \"อิม สงฺฆาฏึ ปจฺจุทฺธรามิ\" แปลวา่ \"เรายกเลิกสงั ฆาฏิผนื ๙. ผา้ เช็ดหนา้ ผา้ เช็ดปาก. น้ี\" ยกเลิกบริขารอ่ืนพึงเปล่ียนตามช่ือ. ๑๐. ผา้ ใชเ้ ป็นบริขาร เช่นผา้ กรองน้า ถงุ บาตร ยา่ ม ผา้ ห่อของ คาพินทวุ า่ \"อม พินฺทุกปปฺ กโรมิ\" แปลวา่ \"เราทาหมายดว้ ยจุดน้ี.\" คาอธิษฐานบริขารสิ่งเดยี ว บริขารท่ีจะละอธิษฐานไปเพราะเหตุ ๙ ประการ คอื ๑. ใหแ้ ก่ผอู้ ่ืนเสีย.

๓๑ ๒. ถกู โจรแยง่ ชิงเอาไปเสีย. ถา้ ผถู้ อนอ่อนกวา่ วา่ ๓. มิตรถือเอาดว้ ยวสิ าสะ. \"อิม จีวร มยฺห สนฺตก ปริภญุ ฺชถ วา วสิ ชฺเชถ วา ๔. เจา้ ของหนั ไปเพ่ือความเป็นคนเลว. ยถาปจฺจย วา กโรถ\" [แปลความเดียวกนั ]. ๕. เจา้ ของลาสิกขา. บาตรท่ีวกิ ปั แลว้ ไมม่ ีกาหนดใหถ้ อนก่อนจึงบริโภค พงึ ใช้ ๖. เจา้ ของทากาลกิริยา. เป็นของวกิ ปั เถิด แต่เม่ือจะอธิษฐาน พึงใหถ้ อนก่อน. ๗. เพศกลบั . ๘. ถอนเสียจากอธิษฐาน. กณั ฑ์ท่ี ๒๒ ๙. เป็นช่องทะลุ [เฉพาะในไตรจีวรและบาตร]. ปกณิ กะ ในเหตุ ๙ ประการน้นั เหตทุ ี่ควรเป็นประมาณมี ๕ คือ มหาปเทศ ๔ ๑. ใหแ้ ก่ผอู้ ื่น. คอื หลกั อา้ งอิง เพือ่ ภิกษุพิจารณาตดั สินท่ีไม่มีในบญั ญตั ิ วา่ ควร ๒. ถูกโจรชิงเอาไปหรือลกั เอาไป. หรือไม่ควร ๓. มิตรถือเอาดว้ ยวสิ าสะ. มหาปเทศขอ้ สาหรับอา้ งใหญม่ ี ๔ คือ ๔. ถอนเสียจากอธิษฐาน. ๑. ส่ิงใดไม่ไดท้ รงหา้ มไวว้ า่ ไมค่ วร แต่เขา้ กนั กบั สิ่งเป็น ๕. เป็นช่องทะลุ. อกปั ปิ ยะ ขดั กนั ตอ่ ส่ิงเป็นกปั ปิ ยะ สิ่งน้นั ไม่ควร. วิกปั ๒. ส่ิงใดไมไ่ ดท้ รงหา้ มไวว้ า่ ไมค่ วร แต่เขา้ กนั กบั ส่ิงเป็น คาวกิ ปั ต่อหน้า กปั ปิ ยะ ขดั กนั ตอ่ ส่ิงเป็นอกปั ปิ ยะ ส่ิงน้นั ควร. ในหตั ถบาส จีวรผืนเดียววา่ \"อิม จีวร ตุยฺหวิกปฺเปมิ\" แปลวา่ ๓. ส่ิงใดไม่ไดท้ รงอนุญาตไวว้ า่ ควร แตเ่ ขา้ กนั กบั สิ่งเป็น \"ขา้ พเจา้ วิกปั จีวรผืนน้ีแก่ทา่ น\" จีวรหลายผนื วา่ \"อิมานิ จีวรานิ\" อกปั ปิ ยะ ขดั กนั ต่อส่ิงเป็นกปั ปิ ยะ สิ่งน้นั ไม่ควร. แทน \"อม จีวร\" บาตรใบเดียววา่ \"อิม ปตฺตตยุ ฺห วิกปฺเปมิ\" ๔. สิ่งใดไม่ไดท้ รงอนุญาตไวว้ า่ ควร แต่เขา้ กนั กบั สิ่งเป็น บาตรหลายใบวา่ \"อิเม ปตฺเต\" แทน \"อิม ปตฺต\" นอกหตั ถ กปั ปิ ยะ ขดั กนั ตอ่ สิ่งเป็นอกปั ปิ ยะ ส่ิงน้นั ควร. บาสวา่ \"เอต\" แทน \"อิม\" วา่ \"เอตานิ\" แทน\"อิมานิ\" วา่ \"เอเต\" พระพุทธานุญาตพเิ ศษ แทน \"อิเม\" ถา้ วิกปั แก่ภิกษผุ ูแ้ ก่วา่ ใชบ้ ทวา่ \"อายสฺมโต\" แทน ขอ้ ที่ทรงอนุญาตเป็นพเิ ศษแท้ ๆ น้นั มี ๕ คือ \"ตยุ ฺห\" ก็ควร ๑. ทรงอนุญาตเฉพาะ เช่น คาวิกปั ลบั หลงั -ทรงอนุญาตแก่ภิกษผุ ถู้ ูกงกู ดั แมไ้ มไ่ ดร้ ับประเคน ฉันก็ไดไ้ ม่ ในหตั ถบาส จีวรผืนเดียววา่ \"อม จีวรอิตฺถนฺนามสฺส วกิ ปเฺ ปมิ\" เป็นอาบตั ิ น้าขา้ วใสท่ีเขา้ ใจวา่ น้าขา้ วตม้ ไม่มีกาก และน้าเน้ือ แปลวา่ \"ขา้ พเจา้ วิกปั จีวรผนื น้ีแก่สหธรรมิกชื่อน้ี\" ถา้ วิกปั แก่ ตม้ ที่ไมม่ ีกากเหมือนกนั ภิกษตุ ่างวา่ ช่ืออตุ ระ พึงออกชื่อวา่ \"อุตฺตรสฺส ภิกฺขโุ น\" หรือ -ทรงอนุญาตแก่ภิกษไุ ข้ ท่ีจาจะตอ้ งไดอ้ าหารในเวลาวกิ าล. \"อายสฺมโต อุตฺตรสฺส\" แทน\"อิตฺถนฺนามสฺส\" โดยสมควรแก่ ๒.ทรงอนุญาตเฉพาะบคุ คล [เช่นทรงอนุญาตอาหารที่เรออว้ กถึง ผรู้ ับ อ่อนกวา่ หรือแก่กวา่ วิกปั จีวรหลายผนื วิกปั บาตรใบเดียว ลาคอกลืนกลบั ไป ไมเ่ ป็นอาบตั ิเพราะวิกาล โภชนสิกขาบท] หลายใบในหตั ถบาส นอกหัตถบาสพึงเทียบตามแบบวกิ ปั ต่อ ๓.ทรงอนุญาตเฉพาะกาล [เช่นทรงอนุญาตใหเ้ จียวมนั เปลว หนา้ แต่ ตอ้ งทาใหเ้ สร็จในกาล]. คาถอนวิกปั จีวรในหตั ถบาสวา่ ๔.ทรงอนุญาตเฉพาะถนิ่ [เช่นทรงอนุญาตใหอ้ ุปสมบทดว้ ย \"อิม จีวร มยฺห สนฺตก ปริภุญฺช วา วสิ ชฺเชหิ วา สงฆม์ ี องค์ ๕ ใหอ้ าบน้าไดเ้ ป็นนิตย์ ใหใ้ ชร้ องเทา้ ๔ ช้นั ยถาปจฺจยวา กโรหิ\" แปลวา่ \"จีวรผืนน้ีของขา้ พเจา้ ท่านจงใช้ ของใหมไ่ ด้ ในปัจจนั ตชนบท]. สอยก็ตามจงสละกต็ าม จงทาตามปัจจยั ก็ตาม.\"

๓๒ ๕.ทรงอนุญาตเฉพาะยา [เช่นทรงอนุญาตน้ามนั เจือน้าเมาไมม่ าก จนถึงสีกลิ่นรสปรากฏ ใหด้ ื่มกินได้ และทรงอนุญาตใหใ้ ช้ กระเทียมเขา้ ยาได]้ อโคจรมี ๖ คือ ๑. หญิงแพศยา. ๒. หญิงหมา้ ย. ๓. สาวเท้ือ [หมายเอาหญิงโสดหาสามีมิได้ อยลู่ าพกั ตน]. ๔. ภิกษุณี. ๕. บณั เฑาะก.์ ๖. ร้านสุรา [โรงกลน่ั สุรา หรือร้านฝิ่ นโรฝ่ิน สงเคราะหเ์ ขา้ ดว้ ย] ภิกษผุ ถู้ ึงพร้อมดว้ ยศีล ถึงพร้อมดว้ ยมารยาทและโคจรยอ่ ม ประดบั พระศาสนาให้รุ่งเรืองแล

๓๓ อนุพทุ ธประวตั ิ (น.ธ.โท) ๒. ทา่ นเป็นผเู้ ลิศดา้ นรัตตญั ญู คือผรู้ ู้ราตรีนาน เพราะ ประวตั อิ นุพทุ ธะ ๘๐ องค์ (โดยย่อ) บวชก่อนใครท้งั หมด ๑. พระอญั ญาโกณทญั ญเถระ ๓. ทา่ นไดห้ ลานชาย (ลกู นอ้ งสาว) คอื พระปณุ ณมนั เอตทคั คะ : รัตตญั ญู คอื ผรู้ ู้ราตรีนาน ตานีบุตรเป็นลกู ศิษย์ และไดม้ ีกุลบุตรบวชในสานกั ของท่านเป็น ชาตภิ ูมิ การอุปสมบท ทา่ นเป็นบตุ รพราหมณ์มหาศาล จานวนมาก ในบา้ นโทณวตั ถุ ไม่ห่างจากกรุงกบิลพสั ดุน์ กั เดิมช่ือ ๔. ทา่ นเป็นปฐมสาวก (พระสงฆร์ ูปแรก) ใน โกณทญั ญะ ภายหลงั ท่านทราบวา่ พระมหาบรุ ุษทรงออกผนวช พระพุทธศาสนา และกาลงั บาเพญ็ ทกุ กรกิริยา อยทู่ ี่ตาบลอุรุเวลเสนานิคม ตามคา ๒. พระวัปปเถระ ชาตภิ ูมิ การอุปสมบท และการศึกษาท่านเป็นบตุ ร ทานายของตนวา่ “จะเสดจ็ ออกบรรพชาและไดต้ รัสรู้เป็นศาสดา เอกในโลก” จึงชวนพราหมณ์อีก ๔ คน คือ คอื วปั ปะ ภทั ทิ พราหมณ์ชาวเมืองกบิลพสั ดุผ์ ทู้ ี่ถกู เลือกเขา้ ทานายพระลกั ษณะ ของพระมหาบุรุษ ท่านไดร้ ับคาแนะนาจากบิดาให้ออกบวชตาม ยะ มหานามะ และอสั สชิ ท้งั หมดรวมเรียกวา่ ปัญจวัคคยี ์ แปลวา่ พระมหาบุรุษจึงออกบวชพร้อมกบั พราหมณ์อีก ๔ คน มี กลุม่ คน ๕ คน”ท่านไดเ้ ป็นหวั หนา้ ปัญจวคั คียอ์ ุปัฏฐาก โกณทญั ญะเป็นหวั หนา้ คอยอุปัฏฐากรับใชพ้ ระมหาบุรุษ เมื่อ พระพทุ ธเจา้ เม่ือคร้ังทรงบาเพญ็ ทุกกรกิริยาอยู่ ๖ ปี แต่ไมท่ รง เห็นพระมหาบรุ ุษทรงละทุกกรกิริยา จึงหนีไปอยปู่ ่ าอิสิปตน ตรัสรู้ จึงทรงเลิกแลว้ กลบั มาบาเพญ็ เพียรทางจิต หลงั จากท่ีทา่ นไดฟ้ ังพระธรรมเทศนากณั ฑแ์ รกช่ือวา่ มฤคทายวนั เมื่อพระมหาบุรุษไดต้ รัสรู้แลว้ ไดเ้ สดจ็ ไปโปรด แสดง พระธัมมจกั กปั ปวตั นสูตร แตท่ า่ นไม่ไดส้ าเร็จมรรคผล “ธมั มจกั กปั ปวัตตนสูตร” จบโกณฑญั ญะพราหมณ์ ก็เกดิ อะไรเลย วนั รุ่งข้นึ ไดฟ้ ัง ปกิณณกเทศนา ทา่ นจึงไดด้ วงตาเห็น ดวงตาเหน็ ธรรม คือ บรรลุพระโสดาบนั ว่า “ส่ิงใดสิ่งหนง่ึ มี ธรรม จากน้นั ไดท้ ูลขออปุ สมบท พระบรมศาสดาทรงประทาน อุปสมบทใหด้ ว้ ยเอหิภิกขอุ ุปสัมปทาเม่ือท่านมีอินทรียแ์ ก่กลา้ ความเกดิ ขนึ้ เป็ นธรรมดา สิ่งน้นั ท้งั หมดมีความดบั ไปเป็ น ไดฟ้ ังเทศนาช่ือวา่ อนตั ตลกั ขณสูตร จึงไดส้ าเร็จเป็นพระ ธรรมดา” ดว้ ยเหตุน้ี พระพทุ ธองคจ์ ึงเปล่งพระอทุ านวา่ “โกณ อรหนั ต์ ท่านไดเ้ ป็นกาลงั ในการประกาศพระศาสนาในช่วง ฑัญญะรู้แล้วหนอๆ” จากน้นั ทา่ นจึงไดช้ ่ือใหม่วา่ “อญั ญาโกณ ปฐมโพธิกาล ฑัญญะ” เพราะเหตุที่ทา่ นไดบ้ รรลุธรรมก่อนใครท้งั หมดน้นั เอง ๓. พระภทั ทิยเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยพระวปั ปเถระ ฯ) ๔. พระมหานามเถระ(มีประวตั ิคลา้ ยพระวปั ปเถระ แตท่ ่านได้ ทา่ นไดข้ ออุปสมบท และพระพทุ ธองคท์ รงอนุญาต ฟังปกิณณกเทศนา ๒ คร้ัง จึงไดด้ วงตาเห็นธรรม และตรัสวา่ “เธอจงเป็ นภกิ ษุมาเถดิ ธรรมอันเรากล่าวดแี ล้ว เธอ ๕. พระอสั สชิเถระ จงประพฤตพิ รหมจรรย์ เพื่อทาท่สี ุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด” การ อปุ สมบทอยา่ งน้ี เรียกวา่ “เอหิภกิ ขอุ ปุ สัมปทา” และท่านไดเ้ ป็น ชาติภูมิ มีประวตั ิคลา้ ยกบั ทา่ น ๓ องคด์ งั ที่ไดก้ ลา่ ว พระภิกษุรูปแรกในพระพทุ ธศาสนา หรือปฐมสาวกน้นั เอง มาแลว้ แต่ทา่ นไดฟ้ ังปกณิ ณกเทศนา ๒ คร้ังจึงไดด้ วงตาเห็น ธรรม และทา่ นยงั ไดเ้ ป็ นอาจารย์ของ พระสารีบตุ รเถระ เมื่อคร้ัง ทา่ นบวชไมน่ านกบ็ รรลุเป็นพระอรหนั ต์ เพราะพระ ยงั เป็นปริพพาชก นบั วา่ ท่านไดม้ ีศิษยส์ าคญั องคห์ น่ึง ธรรมเทศนาช่ือวา่ “อนตั ตลกั ขณสูตร”ไดแ้ ก่สูตรทวี่ ่าด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวญิ ญาณไม่ใช่ตัวตน และไดร้ ับยกยอ่ ง ๖. พระยสเถระ วา่ เป็นเลิศในทางผู้รู้ราตรี (รัตตญั ญู) คือรู้ธรรมที่พระพทุ ธองค์ ชาติภูมิ ทา่ นเป็นบตุ รเศรษฐีเมืองพาราณสี ซ่ึงมีเรือน ตรัสสอนก่อนใครท้งั หมด ข้อควรจา ๓ หลงั เป็นท่ีอยู่ ๓ ฤดู เหตุที่ออกบวช เน่ืองดว้ ยความสลดใจ ในหมู่ ๑. ท่านเป็นหน่ึงในปัญจวคั คียท์ ้งั ๕ และเป็นหวั หนา้ นางบาเรอที่แสดงอาการวิปลาสตา่ งๆ ในคืนวนั หน่ึงจึงเกิดความ

๓๔ เบ่ือหน่ายเดินบ่นวา่ “ท่ีน่ีวุ่นวายหนอ ที่น่ีขดั ขอ้ งหนอ” ไปสู่ป่ า ๒๐๐ คน ต้งั อาศรม ณ บริเวณคยาสีสะ จึงมีฉายาวา่ “คยากสั ส อิสิปตนมฤคทายวนั พบพระบรมศาสดาไดฟ้ ังอนุปพุ พกิ ถาและ ปะ” อริยสัจ ๔ ก็ต้งั อยใู่ นโสดาปัตติผล รุ่งข้นึ เชา้ ตรู่เศรษฐีผบู้ ิดา การอปุ สมบท เม่ือพระบรมศาสดามาสู่มคธชนบทดว้ ย ทราบจึงไดต้ ิดตามไปพบ ไดฟ้ ังอนุปุพพกี ถาและอริยสัจ ๔ ก็ได้ ปรารถนาดารงพระศาสนา ใหต้ ้งั มนั่ ในแควน้ น้ีจึงไดเ้ สด็จไปเพื่อ ต้งั อยใู่ นโสดาปัตติผล ส่วนยสกุลบตุ รไดฟ้ ังซ้าอีกหนก็ไดส้ าเร็จ นาท่าน ซ่ึงเป็นที่นบั ถือของประชาชนเพื่อเป็นกาลงั เพ่ือสะดวก พระอรหตั ตผล คร้ันเศรษฐีผูบ้ ิดาไปแลว้ จึงไดท้ ูลขออุปสมบท แก่การประกาศพระศาสนา ไดท้ รงทรมานท่าน ดว้ ยอุบายต่างๆ ก็ทรงอนุญาตให้ดว้ ยพระดารัสวา่ “ธรรมอนั เรากลา่ วดีแลว้ จนทา่ นหมดทิฏฐิลอยชฏิลบริขาร ทูลขออุปสมบท ทรงอนุญาต ท่านจงประพฤติพรหมจรรย”์ ซ่ึงแปลวา่ สาวกอื่นท่ีไม่ไดส้ าเร็จ ดา้ ยเอหิภิกขุ และนอ้ งชายท้งั ๒ กม็ าบวชตามพ่ีชายหมด อรหนั ตก์ ่อนบรรพชาวา่ “เพ่ือทาท่ีสุดแห่งทกุ ข”์ การบรรลธุ รรม ภายหลงั อปุ สมบท พระบรมศาสดาทรง การบาเพญ็ ประโยชน์ การอุปสมบทของท่านในคร้ังน้ี ตรัสเทศนาช่ือวา่ อาทิตตปริยายสูตร โปรด ท่านจึงบรรลุพระ ถือวา่ สาคญั มาก เพราะเป็นเหตุใหเ้ พื่อนของท่านอีก ๕๔คนได้ อรหัตตผลพร้อมกบั บริวารและนอ้ งชาย เขา้ มาบวชใพระพทุ ธศาสนา และเป็นกาลงั ของพระบรมศาสดา การบาเพญ็ ประโยชน์ ท่านไดไ้ ปกบั พระบรมศาสดาถึงสวนตาล ในการประกาศพระศาสนาในช่วงปฐมโพธิกาล หนุ่มช่ือวา่ “ลฏั ฐิวนั ” ไดป้ ระกาศใหพ้ ระเจา้ พมิ พสิ ารพร้อมท้งั ๗. พระวิมลเถระ ขา้ ราชบริพารรู้วา่ ลทั ธิเดิมของท่านไมม่ ีแก่นสาร ทาใหช้ น ชาตภิ ูมิ ท่านเป็นบตุ รเศรษฐีคนหน่ึงในเมืองพาราณสี เหลา่ น้นั เล่ือมใสในพระพุทธศาสนา คร้ังน้ีจดั ไดว้ า่ ท่านไดช้ ่วย เป็นเพ่ือนผมู้ ีความสนิทสนมกบั พระยสะมากในช่วงท่ีเป็น เป็นกาลงั ในการประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแควน้ มคธ ฆราวาส เม่ือทา่ นไดท้ ราบข่าววา่ ยสะสหายผเู้ ป็นท่ีรักออกบวช ข้อควรจา แลว้ จึงคิดวา่ “ศาสนาที่ยสะออกบวชน้ีจกั ไม่เลวทรามเป็นแน่ ๑. ทา่ นไดบ้ รรลเุ ป็นพระอรหนั ต์ เพราะไดฟ้ ังธรรม แท้ คงจะเป็นส่ิงอานวยประโยชน์สุขแก่ผสู้ นใจเป็นแน่แท”้ คิด เทศนาช่ือวา่ “อาทติ ตปริยายสูตร” คือ ส่ิงท้งั ปวงเป็นของร้อน ไดอ้ ยา่ งน้นั จึงไปชกั ชวนสหายอีก ๓ คน คือ สุพาหุ ปณุ ณชิ ๒. ท่านมีบริวาร ๕๐๐ นทีกสั สปะ ๓๐๐ คยากสั สปะ และควัปติ พากนั เขา้ ไปหาพระยสะบอกความประสงคใ์ นการมา ๒๐๐ รวมเป็น ๑,๐๐๐ พระยสะจึงไดพ้ าเขา้ ไปเฝ้าพระบรมศาสดา ทูลขอใหพ้ ระองค์ ๓. ทา่ นไดเ้ ป็นอาจารยท์ ่ีชาวเมืองราชคฤห์นบั ถือมาก ทรงส่ังสอน พระบรมศาสดาทรงสัง่ สอนใหบ้ รรลธุ รรมวเิ ศษ ๔. ทา่ นพร้อมท้งั นอ้ งชาย ๒ คน บูชาไฟอยทู่ ี่ฝ่ังแมน่ ้า และประทานอปุ สมบทให้ ต่อมาภายหลงั ก็ไดบ้ รรลเุ ป็นพระ เนรัญชรา ชฏิล แปลวา่ ผมู้ ีผมเป็นมวย หรือผมู้ ีมวยผมน้นั เอง อรหันตขณี าสพ ๕. แควน้ มคธ มีราชคฤหเ์ ป็นเมืองหลวง มีพระเจา้ พิม ๘. พระสุพาหุเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยพระวิมลเถระ ฯ) พิสารเป็นผปู้ กครอง ๙. พระปณุ ณชิเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยพระวมิ ลเถระ ฯ) ๑๒. พระนทกี สั สปเถระ ๑๐. พระควัมปตเิ ถระ (มีประวตั ิคลา้ ยพระวมิ ลเถระ ฯ) (มีประวตั ิดงั ที่ไดอ้ ธิบายไวใ้ นประวตั ิพระอุรุเวลกสั สปเถระ ฯ) ๑๑. พระอุรุเวลกสั สปเถระ ๑๓. พระคยากสั สปเถระ เอตทคั คะ : เป็นผเู้ ลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลายผมู้ ีบริวารมาก (มีประวตั ิดงั ไดอ้ ธิบายไวใ้ นประวตั ิพระอรุ ุเวลกสั สปะเถระ ชาตภิ ูมิ ท่านเป็นบุตรพราหมณ์กสั สปะโคตร มี ๑๔. พระสารีบุตรเถระ นอ้ งชาย ๒ คน ภายหลงั บวชเป็นชฏิล ทา่ นมีบริวาร ๕๐๐ คน เอตทัคคะ : เป็นเลิศในทางมีปัญญามาก และ เป็นอคั รสาวกเบ้ือง ต้งั อาศรมอยตู่ าบลอุรุเวลเสนานิคมในมคธรัฐ จึงมีฉายาวา่ “อรุ ุ ขวา เวลกสั สปะ”นอ้ งชายคนกลางมีบริวาร ๓๐๐ ต้งั อาศรมที่คุง้ เแม่ ชาติภูมิ ท่านเป็นบุตรวงั คนั ตพราหมณ์ และนางสารี ผู้ น้าคงคา จึงมีฉายาวา่ “นทีกสั สปะ” นอ้ งชายคนเลก็ มีบริวาร เป็นนายบา้ นนาลนั ทะกรุงราชคฤห์ เดิมชื่อ “อุปติสสะ” เพราะ

๓๕ เป็นบุตรนางสารีจึงเรียก สารีบุตร มีนอ้ งสาว ๓ คน คือ จาลา เอตทัคคะ : เป็นผเู้ ลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลายในทางเป็นผมู้ ีฤทธ์ิมาก อุปจาลา สีสุปจาลา นอ้ งชาย ๓ คน คือ จุนทะ อปุ เสนะ เรวตะ และพระอคั รสาวกเบ้ืองขวา (บวชหมด) ชาติภูมิ-การอุปสมบท ทา่ นเป็นบตุ รพราหมณ์นายบา้ น การออกบวช ท่านมีสหายคนหน่ึงชื่อโกลิตะ(โมคคลั ลา โกลิตะกบั นางโมคคลั ลี เดิมช่ือวา่ โกลิตะ ไดอ้ อกบวชเป็นปริพ นะ) ไปดูมหรสพในกรุงดว้ ยกนั เสมอ ต่อมาวนั หน่ึงเกิดสลดใจ พานชกบั พระสารีบตุ ร ภายหลงั ไดฟ้ ังธรรมของพระอสั สชิท่ี จึงชวนกนั ออกบวชเป็นปริพพาชกในสานกั สญชยั ปริพพาชก พระสารีบุตรนามาบอก ก็ไดบ้ รรลโุ สดาปัตติผล ไดอ้ ุปสมบท ศึกษาอบรมจนจบลทั ธิเห็นว่าไมเ่ ป็นแก่นสารจึงชวนกนั ออกหา ณ วดั เวฬุวนั พร้อมกบั พระสารีบุตร อาจารยใ์ หม่ ต่อมาไดฟ้ ังเทศนาของพระอสั สชิเถระไดส้ าเร็จ การบรรลธุ รรม หลงั จากบวชได้ ๗ วนั ไดไ้ ปทาความ โสดาปัตติผล จึงชวนโกลิตะไปเฝ้าพระบรมศาสดา ณ วดั เวฬุ เพียรท่ีบา้ นกลั ลวาลมตุ ตคาม แขวงมคธรัฐ เกิดความอ่อนใจนง่ั วนั ทูลขออปุ สมบท โงกงว่ งอยู่ พระบรมศาสดาเสด็จไปแสดงอุบายแกง้ ่วง ๘ ขอ้ การบรรลุธรรม ภายหลงั อปุ สมบทได้ ๑๕ วนั ไดฟั ัง แลว้ ทรงแสดงธรรมของผปู้ รารถนานอ้ ยและธรรมเคร่ืองสิ้น เวทนาปริคคหสูตร ท่ีพระบรมศาสดาประทานแก่ ฑีฆนขปริพ ตณั หาโดยลาดบั ท่านปฏิบตั ิตามพทุ ธโอวาท ก็สาเร็จพระ พาชก อคั คิเวสนโคตร ณ ถ้าสุกรขาตา เขาคชิ กูฏ กไ็ ดส้ าเร็จ อรหตั ตผล เป็ นพระอรหันต์ นิพพาน ท่านนิพพานภายหลงั พระสารีบตุ ร ๑๕ วนั คุณธรรมพิเศษ ทา่ นมีคุณความดีอีกหลายอยา่ งที่พระ ณ กาลสิลามคธรัฐ ถูกพวกโจรที่เคียรถียจ์ า้ งใหม้ าฆ่า เพราะ บรมศาสดาทรงยกยอ่ งในที่น้ีจะนามากล่าวเฉพาะที่สาคญั ดงั น้ี เหตุท่ีท่านทาใหพ้ วกคนเส่ือมจากลาภ พวกโจรทบุ ทา่ นจน ๑. ทรงยกยอ่ งใหเ้ ป็นพระอคั รสาวกเบ้ืองขวาคูก่ บั พระ กระดูกแหลกสาคญั วา่ มรณะ จึงนาไปซ่อนไวใ้ นพุ่มไมแ้ ห่งหน่ึง มหาโมคคลั ลานเถระ แลว้ หนีไป ทา่ นเยยี วยาสรีระ ดว้ ยกาลงั ฌานแลว้ มาทลู ลาพระ ๒. ทรงยกยอ่ งเป็นพระธรรมเสนาบดี ค่กู บั พระศาสดา บรมศาสดากลบั ไปนิพพานท่ีเดิม พระบรมศาสดาเสดจ็ ไปทา ท่ีเป็ นพระธรรมราชา ฌาปนกิจ สั่งใหเ้ ก็บอฐั ิไปบรรจุไว้ ณ ซุม้ ประตวู ดั เวฬุวนั ๓. เป็นผมู้ ีความกตญั ญูกตเวที ๑๖. พระมหากสั สปเถระ การนพิ พาน ทา่ นดารงชีพมาถึงพรรษาท่ี ๔๘ ไดท้ ูลลา ชาติภูมิ-การอปุ สมบท ทา่ นเป็นบตุ รกบิลพราหมณ์ พระบรมศาสดาไปนิพพานท่ีบา้ นเกิดของทา่ น เมื่อจวนนิพพาน กสั สปโคตร ในบา้ นมหาติฏฐะ แควน้ มคธ เดิมช่ือปิ ปผลิพออายุ ไดแ้ สดงธรรมโปรดมารดาซ่ึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ ใหด้ ารงอยใู่ น ๒๐ ปี ไดแ้ ต่งงานกบั นางภทั ทกาปิ ลานี บุตรตรีของพราหมณีโก โสดาปัตติผลจนสาเร็จ จากน้นั ก็นิพพาน สิยโคตร ต่อมาจิตเบื่อหน่ายในการอยคู่ รองเรือนจึงพากนั ออก ข้อควรจา บวชอุทิศพระบรมศาสดา วนั หน่ึงไดพ้ บกบั พระบรมศาสดาท่ี ๑. ทา่ นเปรียบเสมือนแมผ่ ใู้ ห้กาเนิดบตุ ร คือผบู้ วชให้ พหุปุตตนิโครธจึงยอ่ กายเขา้ ไปถวายบงั คมทลู ขออุปสมบท พระภิกษ พระองคท์ รงอุปสมบทให้ด้วยการประทานโอวาท ๓ ข้อคือ ๓.ทา่ นเป็นพระอคั รสาวกเบ้ืองขวา ๑. พึงเขา้ ไปต้งั ความละอาย ความเกรง ไวใ้ นภิกษทุ กุ ๒. ทา่ นไดร้ ับนามใหม่อีกวา่ “เป็นธรรมเสนาบดี” ช้นั อยา่ งแรงกลา้ ๔. ท่านเป็นผมู้ ีปฏิภาณไหวพริบในการแสดงธรรม ๒. พงึ ต้งั ใจฟังธรรมท่ีเป็นกศุ ล และพจิ ารณาเน้ือความ ๕. ทา่ นเป็นพระอปุ ัชฌายร์ ูปแรกในการอปุ สมบทพระราธะ – ๓. ไม่พงึ ละสติท่ีพิจารณาไปในกายเป็นอารมณ์ ดว้ ยวิธีญตั ติจถุตถกรรมวาจา ท่านบาเพญ็ เพยี รไปตามพุทธโอวาทน้นั ในวนั ที่ ๘ ก็ไดบ้ รรลุ ๑๕. พระมหาโมคคัลลานเถระ พระอรหนั ตตผล

๓๖ หน้าท่ีสาคัญหลงั พทุ ธปรินิพพาน เมื่อพระบรมศาสดา ๑๘. พระอชิตเถระ ทรงปรนิพพานและถวายพระเพลิงสรีระแลว้ ประมาณ ๗ วนั ชาตภิ ูมิ ทา่ นเป็นบตุ รพราหมณ์ในกรุงสาวตั ถีไดศ้ ึกษา ทา่ นไดร้ วบรวมสงฆท์ าการสงั คายนาพระธรรมวินยั หลงั จาก ศิลปวิทยาอยใู่ นสานกั ของพราหมณ์พาวรีจนมีวิชาแก่กลา้ พุทธปรินิพพาน ๓ เดือน ทาอยู่ ๘ เดือนจึงสาเร็จ นบั วา่ เป็น พราหมณ์พาวรีได้มอบหมายให้ท่านเป็ นหวั หน้าในมาณพ ๑๖ ประโยชน์อยา่ งยง่ิ เพราะไดร้ วบรวมเอาพระธรรมวินยั ไวเ้ ป็น คน ให้ไปเฝ้าพระบรมศาสดาท่ปี าสาณเจดีย์ เพ่ือทูลถามปัญหา หลกั สืบ คร้ันไดฟ้ ังคาพยากรณ์ปัญหาแลว้ กไ็ ดบ้ รรลเุ ป็นพระอรหัตตผล ข้อควรจา เมื่อมาณพ ๑๖ คน ทูลถามปัญหาครบแลว้ อีกท้งั พระบรม ๑. ท่านเปรียบเสมือนแม่นมของพวกภิกษุ คอื เป็นผเู้ ล้ียงดูส่ัง ศาสดากไ็ ดพ้ ยากรณ์ปัญหาเสร็จหมดแลว้ ท้งั หมดกไ็ ดท้ ลู ถาม สอนภิกษุ ทลู ขออุปสมบทในพระพทุ ธศาสนา พระบรมศาสดาทรง ๒. ท่านถูกโจรทาร้ายและนิพพาน เพราะอดีตกรรมที่เคยทา ประทานใหเ้ ป็นภิกษดุ ว้ ยเอหิภกิ ขุสัมปทา ท่านดารงอายสุ งั ขาร ร้ายพ่อแม่ อยพู่ อสมควรแก่อตั ภาพแลว้ ก็นิพพาน ๓. พระศาสดาไดบ้ รรจุอฐั ิธาตขุ องทา่ นไวท้ ี่ซุม้ ประตวู ดั เวฬุวนั ๑๙. พระตสิ สเมตเตยยเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ๔. ทา่ นเป็นผคู้ วบคุมดูแลการก่อสร้างวดั บุพพารามของ ๒๐. พระปณุ ณกเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) นางวิสาขา ๒๑. พระเมตตคูเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ๕. ท่านพร้อมท้งั พระสารีบุตรช่วยระงบั อธิกรณ์ท่ีเกิดข้นึ ๒๒. พระโธตกเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ในสังฆมณฑลท่านเป็นอคั รสาวกเบ้ืองซา้ ย ๒๓. พระอปุ สีวเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ๑๗. พระมหากจั จายนเถระ ๒๔. พระนันทกเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) เอตทคั คะ : อธิบายความยอ่ ใหพ้ ศิ ดาร ๒๕. พระเทมกเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ชาติภูม-ิ การออกบาช ทา่ นเป็นบตุ รพราหมณ์ ช่ือวา่ ๒๖. พระโตทเทยยเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ กญั จนา กจั จายนโคตร เป็นปุโรหิตของพระเจา้ จณั ฑปัชโชต ๒๗. พระกปั ปเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) แห่งกรุงอุช เชนี พระเจา้ จณั ฑปัชโชตรับสัง่ ใหท้ ่านไปเฝ้าพระ ๒๘. พระชตัณณเี ถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ศาสดาพร้อมกบั บริวาร ๗ คน ณ เวฬวุ นาราม เพื่อกราบทูล ๒๙. พระภัททราวธุ เถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ เชิฐเสด็จไปนครอชุ เชนี คร้ันไปถึงไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาได้ ๓๐. พระอทุ ยั เถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) บรรลุเป็ นพระอรหันตท์ ้งั หมด จากน้นั พระบรมศาสดาทรง ๓๑. พระโปสาลเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) ประทานอุปสมบทให้ พระบรมศาสดาโปรดใหท้ ่านกลบั ไป ๓๒. พระโมฆราชเถระ (มีประวตั ิคลา้ ยกบั พระอชิตเถระ ฯ) แสดงธรรมแก่พระเจา้ จณั ฑปัชโชต ใหท้ า้ วเธอมีความเลื่อมใส เอตทคั คะ : ทรงจีวรเศร้าหมอง แลว้ กลบั มายงั สานกั พระบรมศาสดา ชีวประวัติและการศึกษาพระโมฆราช เป็นวรรณะ ข้อควรจา ๑. ทา่ นเคยเป็นปุโรหิต เมืองอุชเชนี สมยั พระเจา้ จณั ฑปัชโชติ กษตั ริย์ บิดามารดาของท่านไมป่ รากฎชื่อ ทา่ นมีโรคประจาตวั ท่ี รักษาไม่หาย และไดร้ ับความทุกขท์ รมานมาก แมจ้ ะเป็นคน ๒. ท่านพร้อมดว้ ยบริวาร ๗ คน ถูกพระเจา้ จณั ฑปัชโชติส่งไป ใหญโ่ ตและมีทรัพยส์ มบตั ิมากมายก็ช่วยไมไ่ ด้ จึงไดช้ ื่อวา่ โม เชิญเสด็จพระศาสดาท่ีวดั เชตวนั และขอบวชที่นนั่ ฆราช ซ่ึงแปลวา่ ราชาผหู้ าความสุขไม่ได้ ๓. ทา่ นเป็นผขู้ อพระบรมพุทธานุญาตใหพ้ ระสงฆใ์ นชนบท ทา่ นเป็นศิษยค์ นหน่ึงในจานวน ๑๖ คนที่พราหมณ์พาว จานวน ๕ รูปสามารถทาพิธีอุปสมบทได้ รีส่งไปทลู ถามปัญหาพระพทุ ธองค์ ที่ปาสารเจดีย์ ทลู ถามปัญหา ๔. ท่านไดร้ ับเอตทคั คะวา่ เป็นเลิศในการขยายความยอ่ ให้ พิสดาร ถึง ๓ คร้ังพระองคจ์ ึงทรงตอบ เพราะตอ้ งการทาลายทิฐิมานะ ของท่านที่คดิ วา่ ตนเองมีความเฉลียวฉลาดซ่ึงท่านถามวา่ “ขา้

๓๗ พระองคจ์ ะมองดูโลกอยา่ งไรดี พญามจั จุราช(ความตาย)จึงจะ ไดฟ้ ังทา่ นไดเ้ ทียวไปกบั พระสารีบุตรเถระ เจริญสมณธรรมดว้ ย มองไม่เห็น” พระพุทธองคจ์ ึงตรัสตอบวา่ “เธอจงเป็นผมู้ ีสติอยู่ ความไมป่ ระมาท ไม่นานก็สาเร็จพระอรหตั ตผล ทกุ ขณะพิจารณาดูโลกโดยความเป็นของวา่ งเปลา่ ถอน ข้อควรจา ความเห็นท่ียดึ วา่ เป็นตนเสีย แลว้ จะพน้ จากความตายดว้ ยอาการ ๑. ทา่ นเกิดในตระกลู พราหมณ์ที่ยากจน เมืองพาราณสี อยา่ งน้ี” เม่ือแก่ตนลง ถูกลูกๆ ไลอ่ อกจากบา้ น ทา่ นจึงไปพ่ึงพงิ วดั เชตวนั ข้อควรจา ๒. ท่านเป็นคนขยนั ขนั แขง็ เอาการเอางาน เป็นคนวา่ ๑. ท่านเกิดในวรรณะกษตั ริย์ งา่ ย เช่ือฟังคาสอน พระสารีบตุ รเป็นอุปัชฌายบ์ วชให้ ดว้ ย ๒. ท่านเป็นศิษยเ์ อกของพราหมณ์พาวรีในจานวน ๑๖ เหตผุ ลท่ี พระพุทธเจา้ ทรงปรารภอุปการะท่ีท่านเคยทาวา่ ใครจา ทา่ นที่ถกู ส่งไปถามปัญหากบั พระศาสดา แตก่ ่อนทา่ นเป็นคนมี ไดบ้ า้ ง พระสารีบุตรจาไดว้ า่ ทิฐิมานะคิดวา่ ตน เฉลียวฉลาด ทลู ถามคาถามเป็นคารบที่สาม ๓. ท่านราธะเคยใส่บาตร พระศาสดาจึงทรงใหพ้ ระสารี จึงทรงตรัสตอบ บตุ รบวชใหด้ ว้ ยวิธีญตั ติจตุตถกรรมวาจาเป็นคร้ังแรกในโลก ๓. ทา่ นไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ ทรงจีวรเศร้าหมอง ๔. ทา่ นไดร้ ับเอตทคั คะ วา่ มีปฏภิ าณ มญี าณแจ่มแจ้งใน ๓๓. พระปิ งคิยเถระ พระธรรมเทศนา ชาติภูมิ ท่านเป็นบตุ รพราหมณ์ชาวนครสาวตั ถี เป็น ๓๕. พระปุณณมันตานีบตุ รเถระ หลานพราหมณ์พราหมณ์พาวรี ขณะฟังปัญหาพุทธพยากรณ์ เอตทคั คะ : เป็นผเู้ ลิศในดา้ นการแสดงธรรมเทศนา(ธรรมกถึก) ใจระลกึ ถึงพราหมณ์พาวรีผู้เป็ นอาจารย์ว่าเสียดายทไ่ี ม่ได้มาฟัง ชาตภิ ูมิ ท่านเป็นบตุ รของนางตานี(นอ้ งสาวพระอญั ญา พทุ ธดารัสด้วย เหตดุ ังนจี้ ึงทาให้ท่านสาเร็จเพยี งโสดาปัตตผิ ล โกณทญั ญะ)ท่านไดอ้ ปุ สมบทในพระพุทธศาสนาโดยมี คร้ันบวชพร้อมกบั มาณพอีก ๑๕ คนแลว้ จึงทูลลาพระบรม พระอญั ญาโกณทญั ญะชกั นา เมื่ออุปสมบทแลว้ ไดไ้ ปเจริญ ศาสดาไปเลา่ ความท้งั ปวงแก่พราหมณ์พาวรีแลว้ กลบั มาเฝ้าพระ กมั มฏั ฐานที่บา้ นเกิดของทา่ นไดส้ าเร็จพระอรหตั ตผล บรมศาสดาภายหลงั ไดส้ ดบั โอวาทที่พระบรมศาสดาตรัสสั่ง ข้อควรจา สอน จึงสาเร็จเป็นพระอรหันต์ ส่วนพราหมณ์พาวรีผู้เป็ น ๑. ทา่ นเป็นหลานและเป็นลูกศิษยข์ องพระอญั ญาโกณฑญั ญะ อาจารย์ ได้บรรลอุ นาคามิผล ๒. ท่านเป็นผกู้ ล่าวเรื่องกถาวตั ถุ ๑๐ ประการ ๓๔. พระราธเถระ ๓. ท่านเป็นผกู้ ล่าวหลกั ธรรมเร่ืองวิสุทธิ ๗ ประการ เอตทคั คะ : มีปฏิภาณ(ไหวพริบดี) ๔. ท่านไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นเลิศในการแสดงธรรม ชาตภิ ูมิ และอุปสมบท ทา่ นเป็นบุตรพราหมณ์ในกรุงรา (ธรรมกถึก) ชคฤห์ ประสงคจ์ ะบวชแตพ่ วกภิกษเุ ห็นทา่ นแก่ไม่ยอมบวชให้ เมื่อทา่ นไมไ่ ดบ้ วชกเ็ สียใจจนร่างการซูบผอม พระบรมศาสดา ๓๖. พระกาฬุทายีเถระ ทรงทอดพระเนตรเห็นอปุ นิสยั ของท่าน จึงรับสัง่ ถามภิกษุ เอตทคั คะ : ทาสกลุ ที่ไมเ่ ล่ือมใสใหเ้ ล่ือมใส ท้งั หลายวา่ “มใี ครระลกึ ถึงคุณของพราหมณ์นีไ้ ด้บ้าง” พระสารี ชาตภิ ูมิ ทา่ นเป็นบุตรมหาอามาตยใ์ นกรุงกบิลพสั ดุ์ เมื่อ บุตรทลู วา่ ระลึกไดเ้ พราะเคยไดร้ ับขา้ วทพั พีหนีงจากพราหมณ์ เจริญวยั แลว้ ไดร้ ับตาแหน่งดุจเดียวกบั บิดา ท่านเป็นสหชาติ คอื เมื่อไปบิณฑบาตร พระบรมศาสดาทรงตรัสสรรเสริญวา่ “สารี เกิดวนั เดียวกบั พระมหาบุรุษดว้ ยไดอ้ ุปสมบทที่วดั เวฬุวนั มหา บตุ รเป็ นผ้มู คี วามกตญั ญูกตเวทมี ากแม้ข้าวทัพพหี นึ่งยงั ระลกึ วหิ าร ในคราวท่ีพระเจา้ สุทโธทนะโปรดใหไ้ ปทลู เชิญเสด็จพระ ได้” จึงทรงรับสงั่ ใหพ้ ระสารีบุตรเป็นอุปัชฌายบ์ วชราธ บรมศาสดามายงั กรุงกบิลพสั ดุ์ ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาของพระ พราหมณ์ดว้ ยญตั ติจตตุ ถกรรมวาจา ณ วดั เวฬุวนั นบั วา่ เป็น พุทธองค์ จนสาเร็จพระอรหัตตผลและบวชพร้อมกบั บริวารพนั ภิกษอุ งคแ์ รกท่ีบวชดว้ ยญตั ติจตุตถกรรมวาจา เมื่อท่านบวชแลว้ หน่ึงแลว้ ท่านจึงทลู เชิญเสด็จตามพระราชดารัส

๓๘ ข้อควรจา ท่ีพอ่ แม่ไม่อนุญาติ เมื่ออุปสมบทแลว้ มีอินทรียแ์ ก่กลา้ ไดฟ้ ัง ๑. ท่านเป็นสหชาตของพระพทุ ธองค์ ๒. พระธรรมเทศนาจึงไดบ้ รรลพุ ระอรหตั ตผล ท่านไดพ้ รรณนาหนทางจะเสดจ็ ไปกรุงกบิลพสั ดุ์ ๖๐ พระคาถา ข้อควรจา ๑. ท่านเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา ๒. ๓๗. พระนนั ทเถระ ทา่ นเป็นสามเณรดว้ ยวิธีไตรสรณคมน์ มีพระสารีบุตรเป็นพระ เอตทคั คะ : เป็นผเู้ ลิศกวา่ ภิกษทุ ้งั หลายฝ่ายขา้ งสารวมระวงั อปุ ัชฌาย์ อินทรีย์ ๖ ๓. ท่านเป็นผใู้ คร่ต่อการศึกษาเป็นอยา่ งยง่ิ ๔. ชาติภูมิ ทา่ นเป็นพระราชโอรสของพระเจา้ สุทโธทนะ ทา่ นเป็นผวู้ า่ งา่ ยสอนงา่ ย กบั พระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็นพระอนุชาตา่ งมารดาของพระ ๕. ทา่ นมีความกตญั ญกู ตเวทีเป็นยอด ๖. มหาบุรุษ ในวนั ท่ี ๒ แตว่ นั เสด็จไปกรุงกบิลพสั ดุ์ พระศาสดา ท่านปรินิพพานในสวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ ก่อนพระพุทธเจา้ และ เสด็จไปทาภารกิจในวนั อาวาหมงคลของนนั ทกุมารกบั นาง พระสารีบตุ ร ชนบทกลั ยาณีเสร็จแลว้ ส่งบาตรใหน้ นั ทกุมารแลว้ เสดจ็ กลบั ๓๙. พระอุปาลเี ถระ นนั ทกุมารถือบาตรตามมาจนถึงวหิ ารเอาบาตรถวาย พระบรม เอตทคั คะ : ผทู้ รงพระวนิ ยั (วินยั ธร) ศาสดาตรัสถามวา่ อยากบาชหรือเปล่า เธอไม่ปรารถนาแตด่ ว้ ย ชาตภิ ูมิ ท่านเป็นบุตรนายช่างกลั ลบก เม่ือเจริญวยั แลว้ ความเคารพจึงทลู รับเม่ืออุปสมบทแลว้ เบ่ือหน่ายในเพศ ไดเ้ ป็นนายภษู ามาลาในราชสานกั ออกบวชพร้อมกบั ภทั ทิยศากย พรหมจรรย์ พระบรมศาสดาพาเสด็จเที่ยวเมืองสวรรค์ แลว้ ราชเป็นตน้ ท่ีอนุปิ ยอมั พวนั แควน้ มลั ละ เรียนกมั มฏั ฐานจาก รับปากจะใหเ้ ทพธิดาสวยๆ ใหแ้ ก่ทา่ น แตใ่ หท้ ่านต้งั ใจ พระบรมศาสดาไมช่ า้ ก็ไดบ้ รรลุพระอรหตั ตผล ประพฤติพรหมจรรย์ พระนนั ทต้งั ใจประพฤติพรหมจรรยเ์ พอื่ จะ หน้าทส่ี าคัญหลังพทุ ธปรินิพพาน เม่ือพระบรมศาสดา ไดเ้ ทพธิดาสวยๆ จนเร่ืองกระจายไปทวั่ พวกภิกษุต่างพากนั ปรินิพพานแลว้ พระมหากสั สปเถระทาการสังคายนาพระธรรม ลอ้ เลียนท่านวา่ “พระนนั ทเป็นลกู จา้ ง” ท่านเกิดความละอาย จึง วินยั สงฆไ์ ดเ้ ลือกท่านให้เป็นผวู้ สิ ัชนาในส่วนพระวนิ ยั ปิ ฏก หลีกไปบาเพญ็ เพียรแตผ่ เู้ ดียวจนบรรลุพระอรหัตตผล เพราะท่านเป็นผชู้ านาญในทางน้ี ข้อควรจา ข้อควรจา ๑. ท่านเป็นพระอนุชาของพระพทุ ธเจา้ ๑. ทา่ นถึงเป็นช่างกลั บกก็ไดบ้ วชก่อนเจา้ ชายท้งั หมด ๒. ทา่ นไดอ้ อกบวชเมื่อวนั อภิเษกสมรส เพราะตอ้ งการทาลายทิฐิของพวกเจา้ ชายศากยะน้นั เอง ๓. ทา่ นมีลกั ษณะคลา้ ยกบั พระพทุ ธเจา้ แต่ต่ากวา่ เพียง ๔ นิ้ว ๒. ท่านไดร้ ับยกยอ่ งวา่ เป็นเลิศในดา้ นพระวนิ ยั ๓. ๔. ทา่ นออกบวชเพราะความเกรงใจ (จาใจ) ทา่ นเป็นกาลงั สาคญั ในการทาสังคายนาคร้ังแรก(ปฐมสงั คายนา) ๓๘. พระราหุลเถระ ๔๐. พระภัททิยศากยเถระ เอตทัคคะ : เป็นเอตทคั คะทางผใู้ คร่ต่อการศึกษา เอตทัคคะ : ในทางเป็นผเู้ กิดในตระกูลสูง หรือสุขมุ าลชาติ ชาตภิ ูมิ ทา่ นเป็นพระโอรสของพระมหาบุรุษกบั พระ ชาติภูมิ ท่านเป็นพระโอรสของพระนางศากิยกญั ญา นางพิมพา เม่ือพระบรมศาสดาแรกเสด็จไปโปรดพระชนกและ พระนามวา่ อาฬีโคธาราชเทวี ไดส้ ืบราชสนั ติวงศเ์ ป็นพระเจา้ พระประยรู ญาติ ในวนั ท่ี ๗ แตเ่ สดจ็ ไปราหุลกมุ ารไดม้ าเฝ้าทลู แผน่ ดินของศากยวงศ์ ต่อมาภายหลงั อนุรุทธกุมารผสู้ หาย ขอสมบตั ิ ตามพระมารดารับสง่ั มา พระบรมศาสดาจึงทรง ชกั ชวนออกผนวช กไ็ ดเ้ สด็จออกผนวชพร้อมกบั พระราชกุมาร ประทานโลกุตตรสมบตั ิโดยรับส่ังใหพ้ ระสารีบตุ รเถระบรรพชา ๕ พระองค์ คือ อนุรุทธ อานันทะ ภัคคุ กมิ พลิ ะ เทวทัต และ เป็นสามเณรเสีย (รูปแรกในพระพุทธศาสนา) เพราะพระชนมายุ นายอุปาลภี ษู ามาลาคราวที่พระบรมศาสดาทรงประทบั อยทู่ ี่อนุ ยงั ไมถ่ ึงบวชพระ ทา่ นเป็นตน้ บญั ญตั ิแห่งการหามไใใหบ้ วชคน

๓๙ ปิ ยอมั พวนั คร้ันผนวชแลว้ บาเพญ็ เพียรกไ็ ดส้ าเร็จเป็นพระ หน้าท่ีสาคัญหลงั พทุ ธปรินพิ พานเพราะเหตทุ ี่ท่านเป็น อรหันตใ์ นพรรษาน้นั พหูสูต เม่ือพระบรมศาสดาปรินิพพานแลว้ พระมหากสั สป ข้อควรจา เถระทาการสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั สงฆไ์ ดเ้ ลือกทา่ นให้ เป็นผู้ ๑. ท่านออกบวชเพราะเพื่อนขอร้อง วิสชั ชนาในส่วนของพระสุตตนั ตปิ ฎกและพระอภิธรรมปิ ฎก ๒. ทา่ นออกบวชพร้อมกบั เพื่อนอีก ๕ ท่านคือ อนุรุทธะ ทา่ นสาเร็จพระอรหตั ตผลก่อนท่ีจะทาการสังคายนา ๑ วนั คอื อานนท์ กิมพิละ เทวทตั และอบุ าลี เมื่อท่านไดร้ ับคาเตือนจากพระมหากสั สปเถระ คร้ันถึงเวลาเยน็ ๓. ท่านบวชท่ีอนุปิ ยนิคม แควน้ มลั ละ ก็อตุ ส่าหบ์ าเพญ็ สมณธรรม จนสาเร็จเป็นพระอรหนั ตใ์ นท่าที่จะ ๔. ท่านไดร้ ับยกยอ่ งวา่ เป็นผเู้ กิดในตระกลู สูง ลม้ ตวั ลงนอน ๔๑. พระอนุรุทเถระ การนพิ พาน เมื่อท่านดารงชีพอยพู่ อสมควรแลว้ ก็ เอตทคั คะ : ในทางผมู้ ีทิพยจกั ษุ (ตาทิพย)์ นิพพาน ณ ทา่ มกลางอากาศเหนือแม่น้าโรหิณี อนั เป็น ชาตภิ ูมิ ทา่ นเป็นพระราชโอรสของพระเจา้ อมิโตทนะ พรมแดนระหวา่ งนครกบิลพสั ดุแ์ ละโกศิยนครต่อกนั ศากยราช มีพีช่ ายช่ือมหานามะ มีนอ้ งสาวชื่อโรหิณี ออกผนวช ๔๓. พระภคั คเุ ถระ พร้อมกบั ศากยกมุ ารท้งั ๕ พระองคก์ บั นายอปุ าลี เม่ือผนวช ชาติภูมิ ทา่ นเป็นโอรสของเจา้ ศากยะองคห์ น่ึง ในนคร แลว้ เรียนกมั มฏั ฐานในสานกั พระสารีบตุ ร ไปทาความเพียรที่ กบิลพสั ดุ์ ออกบวชพร้อมกบั ศากยะกุมารและนายอปุ าลีภษู า สวนปาจีนวงั สะมฤคทายวนั เมื่อเจริญสมณธรรมอยไู่ ดต้ รึกถึง มาลา ท่ีอนุปิ ยอมั พวนั แควน้ มลั ละ เม่ือบวชแลว้ เจริญสมณ มหาปรุ ิสวติ ก ๗ ประการ พระบรมศาสดามาประทาน ธรรมไมน่ านก็บรรลพุ ระอรหตั ตผล อนุโมทนาแลว้ ใหต้ รึกถึงขอ้ ที่ ๘ ท่านตรึกไปตามกระแสพุทธ ๔๔. พระกมิ พลิ เถระ ดารัสไม่นานกส็ าเร็จเป็นพระอรหนั ตเ์ อตทคั คะ ชาตภิ ูมิ ท่านเกิดในศากยราชตระกลู เมื่อเจริญวยั แลว้ ทา่ นมีปกติพจิ ารณาหมสู่ ตั วอ์ นั ปรากฏในโลกที่ไกลโดยฉับพลนั อนุรุทธกุมารชวนออกบวช จึงออกบวชพร้อมกบั ศากยกุมาร ที่ ดว้ ยทิพพจกั ษุ ดว้ ยเหตุน้นั พระบรมศาสดาจึงทรงยกยอ่ งท่านวา่ อนุปิ ยอมั พวนั เม่ืออุปสมบทแลว้ บาเพญ็ สมณธรรมจนสาเร็จ เป็นผเู้ ลิศกวา่ ภิกษทุ ้งั หลายทางมีทิพยจกั ษุญาณ พระอรหตั ตผล ข้อควรจา ๔๕. พระโสณโกฬิวิสเถระ ๑. ทา่ นเป็นผไู้ ปขอใหพ้ ระเจา้ ภทั ทิยะบวชเป็นเพื่อน เอตทคั คะ : ในทางปรารภความเพียร ๒. ทา่ นไดร้ ับยกยอ่ งวา่ เป็นผ้เู ลศิ ในทางมีตาทิพย์ ชาตภิ ูมิ ทา่ นเป็นบตุ รอสุภเศรษฐี สกลุ พ่อคา้ ในจมั ปา ๓. ท่านชอบระลึกถึงมหาปรุ ิสวติ ก๗-๘อยา่ งอยเู่ สมอ นคร อุปสมบทในสานกั พระบรมศาสดา ที่วดั เวฬุวนั เมื่อ ๔๒. พระอานนทเถระ อปุ สมบทแลว้ ทาความเพียรเดินจงกลมจนเทา้ แตก กไ็ มไ่ ดส้ าเร็จ เอตทคั คะ : เป็นผเู้ ลิศกวา่ ภิกษทุ ้งั หลาย ๕ สถาน คือ เป็น พระอรหนั ต์ ภายหลงั พระบรมศาสดาเสดจ็ มาตรัสสอนให้ พหูสูต ๑ มีสติ ๑ มีคติคือความ ๑ มีธิติคอื ความทรงจา ๑ เป็น บาเพญ็ เพียรพอเป็นมชั ฌิมาปฏิปทา ยกพณิ ๓ สายข้ึนเป็น พุทธอุปัฏฐาก ๑ อุทาหรณ์ เพราะวา่ ทา่ นชานาญในการดีดพณิ จากน้นั ทา่ น ชาตภิ ูมิ ท่านเป็นพระราชโอรสของพระเจา้ สุกโกทนะ บาเพญ็ พอเป็นมชั ฌิมา ก็ไดส้ าเร็จพระอรหตั ตผล กบั พระนางกีสาโคตมี ในกรุงกบิลพสั ดุ์ เสดจ็ ออกผนวชพร้อม ข้อควรจา กบั ศากยะกมุ ารและนายอปุ าลีภูษามาลาท่ีอนุปิ ยอมั พวนั แควน้ ๑. ท่านเกิดเศรษฐี เดิมช่ือ โสณะ บวกกบั ชื่อโคตรวา่ มลั ละ คร้ันผนวชแลว้ ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาของพระปณุ ณมนั โกฬิวสิ ะ จึงช่ือวา่ โสณโกฬิวิส ตานีบตุ ร กไ็ ดส้ าเร็จโสดาปัตติผล ๒. ท่ีฝ่ามือฝ่าเทา้ ของทา่ นมีขนอ่อนนุ่มเกิดข้ึน เพราะฝ่า มือฝ่าเทา้ ท่ีแปลกน้ีเองเป็นเหตุใหท้ ่านไดเ้ ขา้ เฝ้าพระเจา้ พมิ พิสาร

๔๐ ๓. ก่อนออกบวช ท่านชื่นชอบและเก่งดา้ นดนตรี พราหมณ์ ต่อมาไดเ้ ป็นคณาจารยใ์ หญ่ เม่ือพระบรมศาสดา โดยเฉพาะพณิ ประกาศพระศาสนามาถึงพระนครราชคฤห์ ท่านไดท้ ราบข่าวจึง ๔. ทา่ นฟังธรรมเทศนาพระศาสดา แลว้ ตดั สินใจออก เขา้ ไปเฝ้า ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาเกิดศรัทธาเลื่อมใสทูลขอ บวชมีศรัทธาแรงกลา้ บาเพญ็ สมณธรรมโดยการเดินจงกรมจน อปุ สมบทในพระพุทธศาสนา เมื่ออปุ สมบทแลว้ บาเพญ็ เพียรไม่ ฝ่ าเท้าแตก กย็ งั ไม่บรรลุธรรมพระศาสดาจึงทรงตรัสสอนให้ นานก็ไดบ้ รรลุรพระอรหตั ตผล ปรับอินทรีย์ คอื ศรัทธาวิริยะสติสมาธิ และปัญญาใหเ้ สมอทา่ น ปฏิบตั ิตามไมน่ านก็บรรลุพระอรหนั ต์ ข้อควรจา ๕. ทา่ นไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ ปรารภความเพยี รเป็ นยอด ๑. ทา่ นไดร้ ับยกยอ่ งวา่ เป็นผเู้ ลิศในทางผบู้ นั ลือสีหนาท ๒. ท่านบวชอยทู่ ่ีกรุงราชคฤห์ ๓. ท่านเป็นผสู้ มบรู ณ์ดว้ ย สติ สมาธิ และปัญญา ๔๖. พระรัฏฐบาลเถระ ๔๘. พระมหาปันถกเถระ เอตทคั คะ : ในทางผบู้ วชดว้ ยศรัทธา เอตทัคคะ : ในทางเจริญวิปัสสนา ชาติภูมิ ท่านเป็นบตุ รรัฏฐบาลเศรษฐีในหมู่บา้ นถุลล ชาตภิ ูมิ ทา่ นเป็นบตุ รธิดาเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ เศรษฐี โกฏฐิตนิคม แวน่ แควน้ กุรุ ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาของพระบรม พาทา่ นไปฟังเทศน์เสมอ ๆ ท่านมีความเลื่อมใสจึงขอตามไป ศาสดา เกิดศรัทธาเล่ือมใสอยากจะบวช แต่ตอ้ งไปลามารดา บวชเป็นสามเณร ต่อมาไดอ้ ุปสมบทเป็นพระภิกษุ แลว้ เจริญ บิดาก่อน เมื่อมารดา บิดาไม่อนุญาตก็เสียใจไมน่ อน ไมก่ ิน กมั มฏั ฐานจนสาเร็จพระอรหันต์ อาหาร ยอมตายในเมื่อไมไ่ ดบ้ วชสมหวงั ในท่ีสุดไดร้ ับอนุญาต ข้อควรจา ก็มีความยนิ ดี บารุงร่างกายพอมีกาลงั แลว้ ไปเฝ้าพระบรมศาสดา ๑. ท่านถกู กลา่ ววา่ เป็นลกู ไมม่ ีพอ่ แม่เพราะเกิดจากพอ่ แมต่ ่าง ทลู ขออปุ สมบท ก็โปรดใหอ้ ุปสมบทดว้ ยญตั ติจตุตถกกรมวาจา วรรณะกนั เมื่อบวชแลว้ คร่ึงเดือนตามเสด็จไปสาวตั ถี เจริญวิปัสสนาดว้ ย ๒. ทา่ นเป็นผชู้ านาญในการเขา้ ฌานอภิญญา ความไม่ประมาท ไม่นานก็สาเร็จเป็นพระอรหัตตผล ๓. ท่านไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นเลิศในการเจริญวิปัสสนา ข้อควรจา ๔๙. พระจูฬปันถกเถระ ๑. ทา่ นเกิดในวรรณะแพศย์ ตระกลู เศรษฐี ฟังธรรมแลว้ เอตทัคคะ : ในทางมโนมยทิ ธิ (ฤทธ์ิทางใจ) เกิดความเลื่อมใสขอบวชแต่บิดามารดาไม่อนุญาตเพราะเป็ นลกู ชาตภิ ูมิ ทา่ นเป็นนอ้ งชายของพระมหาปันถกเถระ คนเดียว ทาใหท้ า่ นตอ้ งประทว้ งดว้ ยการรอดอาหารจนร่างกาย พี่ชายไดช้ วนมาบวชในพระพุทธศาสนา คร้ันบวชแลว้ พระ ผอมแหง้ พ่อแมจ่ ึงอนุญาตใหบ้ วช เพราะเกรงทา่ นจะเสียชีวติ พ่ชี ายใหท้ ่องคาถาสรรเสริญพระพุทธคุณต้งั ๔ เดือน ก็จา ๒. หลงั บวชท่านกย็ งั มีความกงั วลกบั ทางบา้ นท่ีไมม่ ี ไมไ่ ด้ พ่ชี ายจึงไล่ออกจากวิหาร และถอนชื่อออกจากภิกษุที่ ใครดูแลบิดามารดา จึงตอ้ งใชเ้ วลา ๑๒ ปี จึงบรรลพุ ระอรหตั ต์ ควรถูกนิมนต์ ท่านเสียใจคิดจะสึก พระบรมศาสดาทรงทราบ ๓. ทา่ นแสดงธรรมโปรดบิดามารดา และพระเจา้ โกรัพ จึงเสด็จไปปลอบโยนและทรงประทานผา้ ขาวใหท้ า่ นลูบคลา ยะใหเ้ กิดศรัทธาเลื่อมใสในพระพทุ ธศาสนา แลว้ พจิ ารณาเขา้ มาในกาย พออรุณข้นึ ทา่ นเห็นผา้ เก่าไปแลว้ ๔. ทา่ นไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นผ้บู วชด้วยศรัทธา พจิ ารณาโนม้ เขา้ มาในกาย กบ็ รรลุพระอรหนั ตพ์ ร้อมดว้ ย ๔๗. พระปิ ณโฑลภารทวาชเถระ ปฏิสมั ภิทาในขณะน้นั เอตทัคคะ : ในทางผบู้ นั ลือสีหนาท ข้อควรจา ชาตภิ ูมิ ทา่ นเกิดในสกุลพราหมณ์ภารทวาชโคตรใน ๑ .หลงั บวชทา่ นเป็นคนปัญญาทึบ ท่องคาถาเพียง ๔ กรุงราชคฤห์ เมื่อเจริญวยั ไดศ้ ึกษาจนจบไตรเพทตามลทั ธิ บวชโดยใชเ้ วลา ๔ เดือนกจ็ าไม่ไดจ้ ึงคิดวา่ ตนเองไมม่ ีวาสนาถูก

๔๑ พระพ่ชี ายต่อวา่ เอาจึงหนีไปเพื่อสึก ความทราบถึงพระศาสดาจึง เล่ือมใส อุปสมบท ณ พระเชตวนั มหาวิหาร แลว้ เจริญ เสดจ็ ไปหา้ ม และประทานผา้ ขาวผืนหน่ึงใหท้ าการบริกรรมจน วิปัสสนากมั มฏั ฐานจนไดส้ าเร็จพระอรหตั ตผล ผา้ กลายเป็นสีดาทาใหท้ า่ นเกิดความสงั เวชแลว้ ยกจิตข้ึนสู่ วปิ ัสสนาจนบรรลุพระอรหนั ต์ ข้อควรจา ๒. ท่านไดร้ ับการยกยอ่ ง (เอตทคั คะ) วา่ เป็นผู้มมี โนมยิ ๑. ท่านเป็นวรรณะแพศย์ เกิดในตระกูลเศรษฐี ทธิ มฤี ทธ์ิทางใจ ๒. ท่านไดม้ ีโอกาสฟังธรรมในคราวที่อนาถบิณฑิก ๕๐. พระโสณกุฏกิ ณั ณเถระ เศรษฐีฉลองวดั เชตวนั แลว้ ขอบวชในพระศาสนา เอตทคั คะ : เป็นผูเ้ ลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลายผแู้ สดงธรรมดว้ ยถอ้ ยคา ๓. ทา่ นไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นผมู้ ีปกติอยอู่ ยา่ งไมม่ ี อนั ไพเราะ กิเลสและเป็นทกั ขไิ ณยบคุ คล ชาตภิ ูมิ ท่านเป็นบตุ รนางกาฬีผโู้ สดาบนั อปุ ัฏฐากพระ ๕๒. พระลกณุ ฏกภัททิยเถระ มหากจั จายนเถระ ทา่ นไดค้ ุน้ เคยกบั พระมหากจั จายนะ เม่ือโต เอตทคั คะ : ในทางผมู้ ีเสียงไพเราะ ข้ึนปรารถนาจะบวชแต่ไมม่ ีสงฆพ์ อคณะ จึงตอ้ งบวชเณรอยถู่ ึง ชาตภิ ูมิ ทา่ นเกิดในตระกลู ท่ีมง่ั คง่ั ในพระนครสาวตั ถี มี ๓ ปี พอไดภ้ ิกษคุ รบองค์ จึงไดบ้ วชเป็นพระภิกษุ คร้ันบวช ร่างกายเลก็ ต่าเต้ีย ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา แลว้ เจริญวปิ ัสสนากมั มฏั ฐานจนสาเร็จพระอรหตั ตผล มีความเล่ือมใสจึงออกบวช คร้ันไดบ้ วชสมประสงคแ์ ลว้ เจริญ ข้อควรจา กมั มฏั ฐานจนสาเร็จโสดาปัตติผล ต่อมาไดส้ นทนากบั พระสารี ๑. ทา่ นเป็นวรรณะแพศย์ เกิดในตระกลู เศรษฐี เมือง บุตรเถระ เม่ือสนทนาอยจู่ ิตท่านก็หลุดพน้ จากอาสวะเป็นพระ กุรุรฆระ แควน้ อวนั ตี มีอาชีพคา้ ขาย อรหนั ตใ์ นพระพทุ ธศาสนา ๒. ท่านเป็นบตุ รอุบาสิกาผอู้ ุปัฏฐาก พระมหากจั จายนะ ข้อควรจา มีความคนุ้ เคยกบั พระศาสนามาต้งั แต่เดก็ ๑. ท่านเป็นวรรณะแพศย์ เกิดในตระกูลเศรษฐี ๓. ท่านบวชเป็นสามเณรอยู่ ๓ ปี จึงสามารถบวชเป็น ๒. ท่านฟังพระธรรมท่ีวดั เชตวนั เกิดความเล่ือมใสจึงขอ พระได้ เน่ืองจากตอนน้นั ในชนบท มีพระสงฆไ์ มค่ รบจานวน อนุญาตบิดามารดาออกบวช ๑๐ รูปตามพระบรมพุทธานุญาต หลงั บวชท่านกบ็ รรลุธรรมเป็น ๓. เน่ืองจากท่านเป็นคนร่างเต้ียเหมือนสามเณร ผทู้ ี่ไม่ พระอรหตั ต์ รู้จกั ท่านจึงมกั ลอ้ เล่นวา่ เป็นสามเณรนอ้ ย ๔. เม่ือทา่ นมาเฝ้าพระศาสดาจึงขอทรงผอ่ นผนั ๔. ท่านไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นผมู้ ีวาจาไพเราะ อปุ สมบทโดยใชพ้ ระสงฆ์ ๕ รูปไดใ้ นปัจจนั ตชนบท ตามคาฝาก ๕๓. พระกงั ขาเรวตเถระ ของพระมหากจั จายนะ ผเู้ ป็นอปุ ัชฌาย์ เอตทคั คะ : เป็นเลิศกวา่ ภิกษทุ ้งั หลายผยู้ นิ ดีในการเขา้ ฌาน ๕. ทา่ นไดร้ ับเอตทคั คะเป็นผเู้ ลิศในดา้ นแสดงธรรมดว้ ย ชาตภิ ูมิ ทา่ นเป็นบุตรชาวเมืองสาวตั ถี มีความ วาจาที่ไพเราะ เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จึงอปุ สมบท ณ เชตวนั มหาวิหาร ๕๑. พระสุภูติเถระ เม่ืออปุ สมบทแลว้ เจริญสมณธรรมไม่นานก็ไดส้ าเร็จพระ เอตทัคคะ เป็นผเู้ ลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลายในทางอรุณวิหาร อรหตั ตผล (คอื เจริญฌาณประกอบดว้ ยเมตตา) และเป็นทกั ขิเณยยบุคคล ข้อควรจา (คอื ผคู้ วรรับทกั ขณิ าทาน) ๑. ทา่ นเป็นวรรณะแพศย์ เกิดในตระกลู เศรษฐี ชาติภูมิ ท่านเป็นบตุ รสุมนเศรษฐีในนครสาวตั ถี เพราะ ๒. ทา่ นฟังธรรมแลว้ ออกบวชเจริญกรรมฐานจนได้ มีผิวขาวงามจึงมีชื่อวา่ “สุภูติ” ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาเกิดศรัทธา ฌานแลว้ เอาเป็นบาทในการเจริญวปิ ัสสนาจนบรรลพุ ระอรหนั ต์

๔๒ ๓. ทา่ นไดส้ ร้างบุญญาบารมีมากในสมยั พระพุทธเจา้ สามารถบาเพญ็ สมณธรรมไดอ้ ยา่ งสัปปายะจนบรรลุพระ นามวา่ ปทมุ ุตตระ อรหันต์ แลว้ ภาพผหู้ ญิงก็หายไป ๔. ทา่ นชอบเจริญฌาน(เขา้ ฌาน)ท้งั กลางวนั และ ๔. เวลารับสลากกิจนิมนตท์ า่ นมกั จบั ไดส้ ลากไดก้ ่อน กลางคืนจึงไดร้ ับการยกยอ่ ง วา่ เป็นผยู้ นิ ดีในฌาน เสมอ ดงั น้นั ท่านจึงไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นผจู้ บั สลากเป็นปฐม ๕๔. พระวกั กลเิ ถระ ๕๖. พระวังคสี เถระ เอตทัคคะ เป็นผเู้ ลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลายฝ่ายขา้ งศรัทธาวิมตุ ติ คือ เอตทัคคะ : เป็นผูเ้ ลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลายผมู้ ีปฏิภาณ (ในการกลา่ ว พน้ จากกิเลสดว้ ยศรัทธา เป็นคาประพนั ธ์) ชาตภิ ูมิ ท่านเป็นบตุ รพราหมณ์ ในเมืองสาวตั ถี เมื่อ ชาตภิ ูมิ ทา่ นเป็นบตุ รพราหมณ์ในพระนครสาวตั ถี มี เจริญวยั แลว้ ไดศ้ ึกษาจบไตรเพทตามลทั ธิพราหมณ์เลื่อมใสใน มนตอ์ ยา่ งหน่ึงชื่อวา่ “ฉวสีสะ” ชานาญในการพิสูจนก์ ระโหลก พระรูปโฉมของพระบรมศาสดา ออกบวชในพระพทุ ธศาสนา คนวา่ จะไปเกิดในที่ไหน เมื่อชาติก่อนเป็นอะไร โดยใชเ้ ลบ็ ณ วดั เชตวนั มหาวิหาร คร้ันบวชแลว้ มวั ดูแต่พระรูปโฉมของ เคาะกระโหลกศีรษะ จนมีคนนบั ถือมาก ภายหลงั ทราบวา่ พระ พระบรมศาสดาอยา่ งเดียว พระบรมศาสดาจึงทรงประณามไล่ บรมศาสดาเป็นนกั ปราชญ์ จึงมาเฝ้าแสดงความรู้แก่พระองค์ ท่านเสีย ท่านเสียใจจะไปกระโดดเหวตาย พระบรมศาสดาทรง พระองคก์ ็ไดน้ ากระโหลกพระอรหนั ตม์ าใหท้ ่านพิสูจน์ แต่ทา่ น ทราบจึงทรงแผ่รัศมีเป็นรูปพระองคไ์ ปปลอบ ท่านเกิดปี ติจน พิสูจนไ์ มไ่ ดจ้ ึงยอมแพป้ ระสงคจ์ ะเรียนพุทธมนตจ์ ึงอุปสมบทใน การลอย เม่ือข่มสติไดแ้ ลว้ พิจารณาตามภมู ิธรรมกไ็ ดส้ าเร็จพระ พระพุทธศาสนาเม่ือบวชแลว้ พระบรมศาสดาทรงประทาน อรหตั ตผล กมั มฏั ฐานมีอาการ ๓๒ ใหท้ า่ นสาธยาย โดยล่วงไป ๒-๓ ๕๕. พระโกณฑธานะ วนั จึงไดส้ าเร็จอรหัตตผล เอตทัคคะ : ในทางถือสลากเป็นปฐม ข้อควรจา ชาตภิ ูมิ ท่านเกิดในสกลุ พราหมณ์ในเมืองสาวตั ถี เดิม ๑. ท่านมีความชานาญในการดีดกะโหลกผตู้ ายแลว้ ช่ือ “ธานะ” ไดเ้ รียนจบไตรเพท ภายหลงั ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนา ทราบวา่ ไปเกิดท่ีไหน เล่ือมใสไดอ้ ปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนา หลงั จากบวชแลว้ ท่าน ๒. ทา่ นไดร้ ับเอตทคั คะวา่ เป็นผเู้ ลิศกวา่ ภิกษทุ ้งั หลายผู้ จะไปหรืออยไู่ หนยอ่ มมีรูปหญิงสวยติดตามหลงั ท่านเสมอ ดว้ ย มีปฏิภาณ กรรมชว่ั ที่ท่านทาไวใ้ นกาลก่อน คฤหสั ถแ์ ละบรรพชิตไดเ้ ห็นก็ ๕๗. พระปิ ลนิ ทวัจฉเถระ ตาหนิและเยาะเยย้ ต่างๆ มีกล่าววา่ “ธาโน โกณฺโฑ ซาโต” ดงั น้ี เอตทัคคะ : ในทางเป็นที่รักใคร่ของเหลา่ เทพยดา คาวา่ “กุณฑ” จึงเป็นช่ือนาหนา้ ทา่ น เม่ือพระเจา้ โกศลทรงทราบ ชาตภิ ูมิ ทา่ นเกิดในสกุลพราหมณ์วจั ฉโคตร ทา่ นมี เสดจ็ มาไต่สวน ปรากฏวา่ ไม่ใช่หญิงจริง กท็ รงเลื่อมใสต่อมา ศรัทธาเลื่อมใสจึงอปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนา เม่ือบวชแลว้ ท่านไดเ้ จริญกมั มฏั ฐานจนสาเร็จพระอรหตั ตผล เจริญสมถกมั มฏั ฐาน ไมน่ านก็บรรลพุ ระอรหตั ตผล ท่านมกั ข้อควรจา เรียกใคร ๆ วา่ “วสลิ” แปลวา่ คนถ่อย เสมอ ๆนบั วา่ เป็น ๑. ทา่ นมีภาพเงาผหู้ ญิงติดตามหลงั ตลอด เพราะกรรมเก่าของท่าน เป็นการพูดโดยไมต่ ้งั ใจใหร้ ้ายใคร ๒. เม่ือทา่ นถกู คนอื่นกล่าวหาวา่ ทา่ นเป็นคนเล้ียงหญิงมี ผหู้ ญิงติดตามตลอด ท่านมกั โกรธและด่าทออยา่ งแรง แต่พระ ศาสดาทรงหา้ มปรามมิใหก้ ระทาการด่าตอบ ข้อควรจา ๓. ทา่ นมีความยากลาบากเร่ืองอาหารบิณฑบาต ๑. ก่อนบวชทา่ นเคยบวชเป็นปริพพาชก สาเร็จวิชา ๓ เหาะเหิน เน่ืองจากคนอ่ืนเขา้ ใจทา่ นผิดเร่ืองผหู้ ญิง ต่อมาพระเจา้ ปเสนทิ เดินอากาศ และรู้ใจคนอ่ืนได้ โกศลทราบความจริงจึงทรงอุปถมั ภท์ ่านดว้ ยอาหาร ทาให้ทา่ น

๔๓ ๒. ทา่ นพบพระศาสดาที่กรุงราชคฤห์ถูก พระศาสดาทาให้ ๑. ท่านเป็นผมู้ ีการศึกษาสูงจบคมั ภีร์ไตรเพท เป็นผู้ ทา่ นเส่ือมวชิ า และเสื่อมลาภ ท่านจึงเขา้ มาฟังธรรมแลว้ ปฏิบตั ิ ฉลาดในเวทางคศาสตร์ ตกั กศาสตร์ นิฆณั ฑุศาสตร์ และถกฏุก ตามธรรมจนบรรลุพระอรหนั ต์ ศาสตร์ ๓. ทา่ นมกั พดู กบั คนอื่นวา่ คนถอ่ ย เพราะความเคยชิน แต่ไม่ ๒. ทา่ นเป็นผกู้ ลา้ หาญในการสอบถามปัญหาธรรมกบั เจตนาร้าย พระเถระอื่น รวมท้งั พระศาสดา ๔. ทา่ นไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นผรู้ ักใคร่ของเหลา่ เทพยดา ๓. ท่านไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นผบู้ รรลปุ ฏิสัมภิทา ท้งั หลาย ๖๐. พระโสภิตเถระ ๕๘. พระกุมารกสั สปเถระ เอตทัคคะ : ในทางระลึกชาติก่อนได้ เอตทคั คะ : ในการแสดงธรรมไดอ้ ยา่ งวิจิตร ชาติภูมิ ท่านเป็นบตุ รพราหมณ์ในนครสาวตั ถี เมื่อเติบโต ชาตภิ ูมิ ท่านเป็นบตุ รธิดาเศรษฐีในพระนครราชคฤห์ ไดศ้ ึกษาอกั ษรสมยั ในลทั ธิพราหมณ์ ภายหลงั ไดฟ้ ังพระธรรม มารดาของทา่ นมีครรภแ์ ตไ่ ม่รู้ ไดไ้ ปบวชในสานกั นางภิกษุณี เทศนาของพระบรมศาสดา เกิดความเล่ือมใสจึงไดอ้ ุปสมบทใน และคลอดบตุ รในระหวา่ งน้นั พระเจา้ ปเสนทิโกศลเสด็จมาได้ พระพทุ ธศาสนา คร้ันอุปสมบทแลว้ บาเพญ็ เพียรไมน่ านก็สาเร็จ ยนิ เสียงเดก็ ร้อง จึงขอไปเล้ียงไวเ้ ป็นราชโอรสบุญธรรม เม่ือมี พระอรหตั ตผล อายคุ รบ ๒๐ กไ็ ดอ้ ปุ สมบทในพระพุทธศาสนา ต่อมาไดฟ้ ัง ข้อควรจา ปัญหาพทุ ธยากรณ์ ๑๕ ขอ้ ท่านไดร้ ับเอตทคั คะวา่ เป็นผเู้ ลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลายผู้ ข้อควรจา ระลึกชาติได้ ๑. มารดาของทา่ นแต่งงานไมน่ านก็ขออนุญาตสามีบวช ๖๑. พระนนั ทกเถระ โดยไม่รู้วา่ ตนเองมีครรภ์ และคลอดทา่ นขณะเป็นนางภิกษุณี เอตทคั คะ : ในทางสอนนางภิกษุณี ๒. ท่านนาปัญหา ๑๕ ขอ้ ที่เทวดาเพื่อนเก่าในอดีตผกู ให้ ชาตภิ ูมิ ทา่ นเป็นบตุ รพราหมณ์ในนครสาวตั ถี มีความ ไปถามพระศาสดา เม่ือฟังแลว้ ก็นาไปปฏิบตั ิท่ีป่ าอมั พวนั ไมน่ าน เล่ือมใสจึงอุปสมบทในพระพทุ ธศาสนาตอ่ มาไดบ้ าเพญ็ ก็บรรลุพระอรหนั ต์ สมณธรรมจนสาเร็จพระอรหตั ตผล ๓. ทา่ นเคยแสดงเทศนาอยา่ งมีไหวพริบกบั พระเจา้ ปายา เอตทคั คะ สิที่ไมเ่ ช่ือวา่ นรกสวรรค์ มีจริง ทา่ นไดแ้ สดงอายตนะ ๖ แก่นางภิกษุณี ๕๐๐ รูป ใหไ้ ดส้ าเร็จ ๔. ท่านไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นผแู้ สดงธรรมอยา่ งวิจิตร พระอรหตั ตผลท้งั หมดดว้ ยเหตนุ ้นั จึงไดร้ ับการยกยอ่ งจากพระ ๕๙. พระมหาโกฏฐิตเถระ บรมศาสดาวา่ เป็นผูเ้ ลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลายทางใหโ้ อวาทแก่นาง เอตทัคคะ : เป็นผเู้ ลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลายผบู้ รรลปุ ฏิสัมภิทา ๔ ภิกษุณี ชาตภิ ูมิ ท่านเป็นบุตรของอสั สลายนะพราหมณ์กบั นาง ข้อควรจา จนั ทวทีพราหมณี ในนครราชคฤห์ ไดศ้ ึกษาลทั ธิพราหมณ์จนจบ ๑. ท่านเป็นวรรณะแพศย์ มีฐานะดี ไตรเพท แต่มีความเล่ือมใสในพระพทุ ธศาสนา จึงออกบวช ๒. ท่านมีความสามารถแสดงธรรมใกลเ้ คยี งกบั พระศาสดา ประพฤติพรหมจรรย์ มีพระสารีบตุ รเถระเป็นพระอปุ ัชฌายม์ ี ๓. ท่านไดร้ ับหนา้ ท่ีเป็นผสู้ อนนางภิกษุณี และไดร้ ับการยก พระมหาโมคลั ลวนเถระเป็นพระอาจารย์ ไดส้ าเร็จพระ ยอ่ งวา่ เป็นผเู้ ลิศในการสอนนางภิกษณุ ี อรหตั ตผลขณะปลงผม ดว้ ยอานาจวปิ ัสสนากมั มฏั ฐานพร้อมท้งั ๖๒. พระมหากปั ปิ นเถระ ปฏิสัมภิทา เอตทคั คะ : เป็นเลิศในทางการสอนภิกษนุ ้นั เอง ข้อควรจา ชาติภูมิ ทา่ นเป็นพระราชาในกุกกฏุ วดีนคร ทรงสดบั ข่าวจากพ่อคา้ วา่ “พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกิดในโลก

๔๔ และประทบั ที่เมืองสาวตั ถี”ทรงเลื่อมใสสละราชสมบตั ิเสด็จไป ของพระบรมศาสดา เกิดความเล่ือมใสจึงไดอ้ ปุ สมบทใน เฝ้าพระบรมศาสดาพร้อมดว้ ยบริวารไดฟ้ ังธรรมจนสาเร็จพระ พระพทุ ธศาสนา แลว้ บาเพญ็ เพียรไม่นานกไ็ ดส้ าเร็จพระ อรหัตตผลแลว้ บวชพร้อมกนั หมด อรหตั ตผล ข้อควรจา ข้อควรจา ๑. ท่านเป็นกษตั ริยใ์ นเมืองกุกกฏุ วดี มีมเหสีชื่อวา่ อโน ๑.ทา่ นเป็นนอ้ งชายพระสารีบตุ ร มีพ่ีชาย ๓ คน มา เม่ือไดท้ ราบข่าวจากพ่อคา้ ชาวเมืองพาราณสีวา่ พระพุทธเจา้ นอ้ งสาว ๒ คน อบุ ตั ิข้นึ ในโลกแลว้ ก็พาบริวาร ๑๐๐๐ คนไปเฝ้า ๒. ทา่ นศึกษาจบคมั ภีร์ไตรเพท ๒. ทา่ นมกั เปล่งวาจาวา่ “สุขหนอ ๆ” ๓. ๓. ท่านไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นผเู้ ลิศในดา้ นทาใหช้ นทุก ทา่ นไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นผเู้ ลิศในการสอนภิกษุ ช้นั มีความศรัทธาเลื่อมใส ๖๓. พระศาคตเถระ ๖๕. พระขทิรวนิยเรวตเถระ เอตทัคคะ : เป็นผฉู้ ลาด (ชานาญ) ในทางเตโชสมาบตั ิ เอตทัคคะ : อนั เลิศกวา่ ภิกษทุ ้งั หลายผอู้ ยปู่ ่ าเป็นวตั ร ชาตภิ ูมิ ท่านเป็นบุตรพราหมณ์ในนครสาวตั ถี มีความ ชาตภิ ูมิ ทา่ นเป็นบตุ รวงั คนั ตพราหมณ์กบั นางสารี เล่ือมใสจึงไดอ้ ปุ สมบทในพระพุทธศาสนา เม่ืออุปสมบทแลว้ พราหมณี เป็นนอ้ งชายคนเล็กของพระสารีบตุ รเถระ เม่ืออายไุ ด้ ไดต้ ามเสดจ็ พระบรมศาสดาไปยงั เมืองโกสัมพี ทา่ นมีชื่อเสียงใน ๗ ปี บิดา มารดารีบจดั การแต่งงานเพราะกลวั จะบวชเสียก่อน การเจริญเตโชกสิณ มีเรืองเล่าวา่ “ท่านไดต้ ่อสูก้ บั พญานาคที่มา ในวนั แต่งงานทา่ นไดอ้ อกอุบายหนีไปบวชเป็นสามเณรในสานกั เบียดเบียนชาวเมืองโกสมั พีใหห้ ายพยศ” ชาวเมืองจึงพากนั ภิกษุ ๓๐ รูปในป่ าที่พระสารีบตุ รสั่งไว้ ภายหลงั กลวั พวกญาติ เล่ือมใสมากไดถ้ วายสุราอ่อนแก่ทา่ น ทา่ นฉนั จนเมาหมดสติ จะตามมาพบ จึงเรียนเอากมั มฏั ฐานแลว้ ลาไปอยปู่ ่ าสะแก นอนที่กองหยาดเยอื่ พระบรมศาสดาทรงทราบจึงตรัสบญั ญตั ิ บาเพญ็ เพียรไปก็ไดบ้ รรลพุ ระอรหัตตผลในพรรษาน้นั พอออก สุราปานสิกขาบท และติเตียนท่านเป็นอนั มากรุ่งข้นึ เชา้ ตรู่ท่าน พรรษา พระบรมศาสดากบั พระสารีบตุ รพร้อมดว้ ยหมูส่ งฆเ์ สด็จ ไดส้ ติทูลขอโทษไดค้ วามสงั เวช หมนั่ เจริญสมณธรรมกไ็ ด้ ไปเยยี่ ม ท่านนิมิตรเรือนอยา่ งละ ๕๐๐ สาหรับเป็นที่พกั แก่หมู่ สาเร็จพระอรหตั ตผล สงฆ์ ทรงประทบั อยู่ ๑ เดือนกเ็ สดจ็ กลบั ข้อควรจา ๑. ทา่ นเป็นนอ้ งชายคนเลก็ ของพระสารีบุตร มีพ่ีชาย ๓ คน ข้อควรจา นอ้ งสาว ๓ คน ๑. ท่านเป็นวรรณะพราหมณ์ เรียนจบศิลปวิทยา ๒. ท่านถกู บิดามารดาใหแ้ ตง่ งานต้งั แต่เด็ก เพราะเกรงว่าจะ ๓. ท่านมีฤทธ์ิสามารถดาดิน เหาะเหินเดินอากาศได้ บวชตามพชี่ าย ๒. ทา่ นเป็นตน้ บญั ญตั ิสุราปานสิกขาบท ภิกษุดื่มสุราตอ้ ง ๓. เม่ือบวชแลว้ ทา่ นไปปฏิบตั ิสมณธรรมอยทู่ ่ีป่ าไมต้ ะเคียน ปาจิตตีย์ ๔. ท่านไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นผฉู้ ลาด –ในการเขา้ เตโช และบรรลุธรรม ณ ท่ีน้นั สมาบตั ิ ๔. ท่านแสดงฤทธ์ิในคราวท่ีพระศาสดาพร้อมดว้ ยพระสาวก ๖๔. พระอุปเสนเถระ ๕๐๐ รูปเสด็จไปเยย่ี ม เอตทคั คะ : อนั เลิศกวา่ ภิกษทุ ้งั หลายผนู้ ามาซ่ึงความเลื่อมใส ๕. ทา่ นไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นผเู้ ลิศในดา้ นอยปู่ ่ าเป็นวตั ร โดยรอบดา้ น ๖๖. พระสีวลเี ถระ ชาติภูมิ ท่านเป็นบุตรของวงั คนั ตพราหมณ์กบั นางสารี เอตทัคคะ : เป็นผเู้ ลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลายผมู้ ีลาภมาก พราหมณี เป็นนอ้ งชายของพระสารีบตุ รเถระ คร้ันเจริญวยั แลว้ ชาติภูมิ ทา่ นเป็นโอรสแห่งศากยะกุมารกบั พระนางสุปป ไดศ้ ึกษาจบไตรเพทในลทั ธิพราหมณ์ ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนา วาสาธิดาโกลิยวงศ์ เมื่อต้งั ครรภม์ ีผเู้ อาของสักการะมาถวายทุก

๔๕ เชา้ เยน็ อยใู่ นครรภต์ ้งั ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วนั ดว้ ยผลกรรมที่ ๓. มหาพรหม ผเู้ ป็นเพ่ือนเก่าไดม้ าเตือนสติวา่ ทา่ นเขา้ ใจผิด ไปลอ้ มเมืองเพื่อชิงราชสมบตั ิในชาติก่อน คร้ันเวลาคลอดกง็ ่าย และแนะนาใหท้ ่านไปเฝ้าพระศาสดาท่ีวดั เชตวนั ฟังธรรมแลว้ ก็ ดุจน้าออกจากกระบอก ทาใหป้ ระยรู ญาติเบาใจจึงขนานนามวา่ บรรลพุ ระอรหนั ต์ “สีวลี” เม่ือเจริญวยั เกิดศรัทธาไปบวชในสานกั พระสารีบตุ รเถระ ๖๘. พระพากุลเถระ ไดส้ าเร็จพระอรหตั ตผลขณะปลงผมเสร็จพอดี เอตทัคคะ : เป็นผเู้ ลิศกวา่ ภิกษทุ ้งั หลายผมู้ ีโรคภยั ไขเ้ จบ็ นอ้ ย ข้อควรจา ที่สุดดว้ ย ๑. ทา่ นอยใู่ นครรภ์ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วนั แตเ่ วลาคลอด ชาติภูมิ ทา่ นเป็นบตุ รเศรษฐีในนครโกสัมพี ในคราวโกน กบั คลอดง่ายท่ีสุด ผมไฟ นางนมไดพ้ าทา่ นไปอาบน้าในแม่น้าคงคา ปลาไดฮ้ ุบเอา ๒. ทา่ นบรรลพุ ระอรหตั นใ์ นขณะปลงผมเสร็จ ท่านไป ปลาร้อนทอ้ งกระวนกระวายไปติดแหชาวประมง ๆ ได้ ๓. ท่านเป็นผมู้ ีบุญญาธิการในปางก่อนไวม้ าก จึงมีลาภ นาปลาไปขายใหเ้ ศรษฐีในตาบลที่ทา่ นอยเู่ ศรษฐีแล่ปลาเห็น เกิดข้ึนมากมาย ทารกก็มีความรักใคร่ดุจบตุ ร เลยเล้ียงไวใ้ หเ้ ป็นบตุ ร ต่อมา ๔. ทา่ นไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นผเู้ ลิศในดา้ นมีลาภมาก เศรษฐีผบู้ ิดาทราบข่าว ก็เกิดเร่ืองถึงกบั จะแยง่ บตุ ร จนพระเจา้ ๖๗. พระพาหยิ ทารุจริ ิยเถระ แผน่ ดินทรงตดั สินใหท้ ้งั ๒ ตระกลู เล้ียงในเวลาเทา่ ๆ กนั เมื่อ เอตทัคคะ : ในทางเป็นผเู้ ลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลายตรัสรู้เร็วพลนั เจริญวยั แลว้ ไดอ้ ปุ สมบทในพระพุทธศาสนา แลว้ เจริญ ชาติภูมิ ท่านเป็นบุตรกุฎมุ พีผมู้ ง่ั คง่ั ในแควน้ พาหิยราษฏร์ วปิ ัสสนาจนสาเร็จพระอรหัตตผล เมื่อเจริญวยั แลว้ ไดไ้ ปคา้ ขายยงั แควน้ สุวรรณภมู ิเรืออปั ปางใน กลางมหาสมทุ ร ทา่ นเกาะแผน่ กระดานวา่ ยน้ามาถึงฝ่ังได้ ไมม่ ี ข้อควรจา เครื่องนุ่งห่มจึงเอาเปลือกไมบ้ า้ ง ใบไมบ้ า้ งมานุ่งห่ม คน ๑. ท่านเป็นลูกเศรษฐี เมืองโกสัมพี ท้งั หลายเห็นนึกวา่ เป็นพระอรหนั ตม์ กั นอ้ ยสนั โดษ เมื่อพรหม ๒. เมื่ออายทุ ่านได้ ๕ วนั พ่ีเล้ียงนาไปอาบน้าในแม่น้า เทพผเู้ ป็นสหายเก่ามาเตือนวา่ ทา่ นประพฤติลวงโลก แนะนาให้ คงคา เกิดเหตุปลาใหญ่กลืนทา่ นเขา้ ไปแต่ไม่ตาย เพราะท่านเป็น ไปพบพระศาสดา ไดพ้ บพระบรมศาสดาขณะทรงบาตรใน สตั วม์ ีภพสุดทา้ ย(ปัจฉิมภวิกสัตว)์ ชาวประมงจบั ปลาไดจ้ ึงนาไป ระหวา่ งทาง จึงเขา้ ไปหมอบลงริมพระบาททลู ขอใหแ้ สดงธรรม ใหเ้ ศรษฐี เมืองพาราณสี แก่ตนพระบรมศาสดาจึงทรงแสดงธรรมโดยยอ่ อนั รวมใน ๓. ทา่ นเศรษฐีจึงเล้ียงไวเ้ ป็นบตุ รบุญธรรม ท่านจึงมี ไตรสิกขา ทา่ นส่งจิตไปตามกระแสธรรมก็สาเร็จพระอรหตั ตผล สองพ่อผลดั กนั เล้ียงดู นิพพาน ทา่ นปรารถนาจะอุปสมบทจึงไปแสวงหาผา้ ๔. ท่านไดม้ ีโอกาสฟังธรรมและบวชเมื่อตอนอายุ ๘๐ ปี กาลงั ฉุดผา้ อยทู่ ี่กองหยากเยอ่ื มีแมโ่ คลูกอ่อนตวั หน่ึงวงิ่ มาขวดิ บวชเพยี ง ๗ วนั กบ็ รรลุพระอรหตั ต์ ท่านตาย จึงนิพพานในขณะน้นั พระบรมศาสดาเสดจ็ ทรงบาตร ๕. ท่านมีอายยุ นื ๑๖๐ ปี คอื เป็นฆราวาส ๘๐ ปี เป็นพระ ตอ่ ไปพบทา่ นนอนตายอยทู่ ี่นนั่ จึงรับใหส้ งฆจ์ ดั การเผาสรีระ ๘๐ ปี และไมม่ ีโรคภยั เบียดเบียน แลว้ นาอฐั ิไปบรรลไุ วท้ ี่ใกลท้ าง ๔ แพร่งเพื่อเป็นท่ีสักการะ ท่านไดร้ ับการยกยอ่ ง วา่ เป็นผมู้ ีอาพาธนอ้ ย ข้อควรจา ๖๙. พระทพั พมัลลบตุ รเถระ ๑. ทา่ นเกิดในตระกูลกฏุ ุมพี แควน้ พาหิยรัฐ เอตทัคคะ : เป็นผเู้ ลิศกวา่ ภิกษทุ ้งั หลายทางจดั แจงเสนาสนะและ ๒. คราวหน่ึงเดินทางไปคา้ ขายทางเรือ เกิดเหตเุ รืออปั ปาง ทา่ น แจกภตั ต์ รอดชีวิตมาไดไ้ มม่ ีเครื่องนุ่งห่มจึงนาใบไม้ เปลือกไมม้ าปิ ดบงั ชาติภูมิ ทา่ นเป็นโอรสของมลั ลกษตั ริย์ พระมารดาของ ร่างกาย จนคนคิดกนั วา่ ทา่ นเป็นพระอรหนั ต์ และทา่ นกเ็ ห็นเป็น ทา่ นมรณะเมื่อทา่ นจะประสูติ เมื่อกาลงั เป่ าศพพอพ้ืนอุทรร้อนก็ เช่นน้นั ดว้ ย แตกออก ๒ เสี่ยง ตวั ท่านกระเด็นไปตกบนพ้ืนหญา้ ไม่เป็น

๔๖ อนั ตรายเลย เมื่ออายไุ ด้ ๗ ปี ก็ไดบ้ รรพชาเป็นสามเณรและได้ ชาติภูมิ ท่านเป็นบตุ รชาวประมง ในเมืองสาวตั ถี มี บรรลุพระอรหตั ตผลขณะปลงผมเสร็จ ท่านนิพพานในอากาศ ความเลื่อมใสจึงไดเ้ ขา้ มาบวชในพระพทุ ธศาสนา ตอ่ มาไดเ้ จริญ ต้งั แตย่ งั หนุ่ม สมณธรรมท่ีฝั่งแมน่ ้าวดั คุมทุ า ไดส้ าเร็จเป็นพระอรหนั ต์ ๗๐. พระอุทายีเถระ ๗๖. พระสภิยเถระ ชาตภิ ูมิ ท่านเกิดในสกลุ พราหมณ์ ในเมืองกบิลพสั ดุ์ ชาตภิ ูมิ ท่านเคยบวชเป็นปริพพาชก ท่านเท่ียวถามปัญหา เล่ือมใสในพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจา้ จึงออกบวชแลว้ ได้ ตอบปัญหาไปเรื่อย ๆ เมื่อไดม้ าถามปัญหากบั พระพทุ ธเจา้ สาเร็จพระอรหตั ตผล ท่านมีเช่ือเสียงในทางแสดงธรรม พอใจในคาตอบเกิดความเล่ือมใสและไดข้ อบวช พระพทุ ธเจา้ ทรงใหอ้ ยตู่ ิดถิยปริวาส ๔ เดือน จึงทรงอนุญาติใหอ้ ุปสมบท ๗๑. พระอปุ วาณเถระ ต่อมาก็ไดส้ าเร็จเป็นพระอรหนั ต์ ชาติภูมิ ทา่ นเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในเมืองสาวตั ถี ได้ ๗๗. พระเสลเถระ พบพระพุทธเจา้ ในพธิ ีถวายพระเวฬวุ นั เกิดความเลื่อมใสจึงได้ ชาติภูมิ ทา่ นเกิดในตระกลู พราหมณ์ในองั คุตตราชนบท เขา้ มาบวชในพระพุทธศาสนาและไดบ้ รรลเุ ป็นพระอรหนั ต์ เช่ียวชาญไตรเพทจนเป็นคณาจารยส์ ั่งสอนศิษยป์ ระมาณ ๓๐๐ ทา่ นไดเ้ คยเป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจา้ มาก่อนท่ีพระอานนท์ คน ไดพ้ บพระพุทธเจา้ ที่อาปณนิคมจึงเขา้ ไปเฝ้าถามปัญหาตา่ ง จะมารับตาแหน่ง ในตอนปรินิพพาน ท่านไดถ้ วายงานพดั อยู่ ๆพอใจในคาตอบเกิดความเล่ือมใสจึงไดข้ อบวช บาเพญ็ เพยี ร เฉพาะพระพกั ตร์พระพทุ ธเจา้ ไมช่ า้ กไ็ ดบ้ รรลเุ ป็นพระอรหันต์ ๗๒. พระเมฆยิ เถระ ๗๘. พระมหาปรันตปเถระ ชาติภูมิ ทา่ นไดเ้ ขา้ มาบวชในพระพุทธศาสนา คร้ังหน่ึง ชาติภูมิ ประวตั ิของทา่ นองคน์ ้ี ทราบความแตเ่ พียงเป็น ท่านเคยไดเ้ ป็นพุทธอปุ ัฏฐาก ในตอนน้นั ทา่ นไดเ้ ห็นสวน ผฉู้ ลาดในการสงั่ สอนพุทธบริษทั และเป็นพระอรหนั ตเ์ ท่าน้นั ฯ มะม่วงที่น่ารื่นรมย์ ประสงคไ์ ปบาเพญ็ สมณธรรมท่ีนนั่ พระ ๗๙. พระนาลกเถระ บรมศาสดาทรงหา้ มถึง ๓ คร้ังทา่ นกไ็ ม่ฟัง ผลท่ีสุดกไ็ ม่ได้ ชาติภูมิ ทา่ นเป็นบตุ รของนางพราหมณีซ่ึงเป็นนอ้ งสาว สาเร็จอะไร เพราะถูกอกศุ ลวติ กครอบงาเสีย ต่อมาไดฟ้ ังเทศนา ของอสิตดาบส ในนครกบิลพสั ดุ์ ไดม้ าเฝ้าพระบรมศาสดาเพ่ือ สาหรับระงบั วิตกจากพระบรมศาสดาแลว้ พยายามบาเพญ็ เพียร ทลู ถามเรื่องโมไนยปฏิปทา (การปฏิบตั ิเพ่ือเป็นนกั ปราชญ)์ แลว้ จนสาเร็จพระอรหตั ตผล จึงขอบวชจากน้นั ก็ทลู ลาไปบาเพญ็ สมณ ธรรมในป่ าหิมพานต์ ๗๓. พระนาคติ เถระ อยา่ งเคร่งครัดจนสาเร็จเป็นพระอรหนั ต์ ดารงชีวติ มาอีก ๗ ชาตภิ ูมิ ทา่ นเกิดที่ไหน บวชเม่ือไร ไม่มีประวตั ิ แตเ่ มื่อ เดือนก็นิพพาน บวชแลว้ เคยเป็นพุทธอุปัฏฐากมาก่อน. ๘๐. พระองคลุ มิ าลเถระ ชาตภิ ูมิ ท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในเมืองสาวตั ถี บิดา ๗๔. พระจุนทเถระ ชื่อวา่ ภคั ควพราหมณ์เป็นปุโรหิตของพระเจา้ โกศล เดิมชื่อวา่ ชาติภูมิ ท่านเป็นนอ้ งชายพระสารีบุตรเถระ เกิดที่บา้ นนา “อหิงสกะ” ไดศ้ ึกษาศิลปศาสตร์ในสานกั ทิศาปาโมกขใ์ นเมือง ลนั ทา เมืองราชคฤห์ ทา่ นไดเ้ คยเป็นพุทธอุปัฏฐากมาคร้ังหน่ึง ตกั กสิลา ปรากฏวา่ ท่านเรียนเก่งมีความรู้ ความประพฤติดี พวก เม่ือพระสารีบุตรผพู้ ่ชี ายไปนิพพานท่ีบา้ นเกิด ท่านไดต้ ิดตาม ศิษยด์ ว้ ยกนั ริษยา ยใุ หอ้ าจารยก์ าจดั เสีย อาจารยห์ ลงเชื่อจึงลวง ไปดว้ ยและไดร้ วบรวมบาตรและจีวรพร้อมท้งั อฏั ฐิธาตขุ องพระ ใหอ้ หิงสกะไปฆ่าคนมาใหค้ รบพนั หน่ึง แลว้ จะมอบวชิ าวิเศษ สารีบตุ รเถระมาถวายพระพทุ ธเจา้ ท่ีเชตวนั มหาวิหารดว้ ย ให้ ท่านจึงฆ่าคนคามคาสั่งของอาจารย์ จึงกลายเป็นคนท่ี ๗๕. พระยโสชเถระ โหดร้ายทารุณมาก ฆ่าแลว้ เอานิ้วคนมาร้อยเป็นพวงมาลยั คลอ้ ง คอ จึงไดช้ ่ือวา่ องคุลีมาล ภายหลงั พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ไปโปรด

๔๗ ท่านกลบั ใจจึงขอบวชและไดส้ าเร็จเป็นพระอรหนั ต์ เป็นพระ ๓๐. พระกุมารกสั สปเถระ เป็นเลิศแสดงเทศนาไดอ้ ยา่ งวิจิตร อริยสาวกในพระพทุ ธศาสนา ๓๑. พระมหาโกฏฐิตเถระ เป็นเลิศทางแตกฉานในปฏิสมั ภิทา ๓๒. พระโสภิตเถระ เป็นเลิศทางชานาญปุพเพนิวาสญาณ ภกิ ษุทไ่ี ด้รับเอตทัคคะมีท้งั หมด ๔๑ รูปด้วยกนั คือ ๓๓. พระนนั ทกเถระ เป็นเลิศทางใหโ้ อวาทแก่นางภิกษุณี ๑. พระอญั ญาโกณทญั ญะเถระ เป็นเลิศทางรัตตญั ญู ๓๔. พระศาคตเถระ เป็นเลิศทางฉลาดในเตโชกสิณ ๒. พระอุรุเวลกสั สปเถระ เป็นเลิศทางมีบริวารมาก ๓๕. พระมหากปั ปิ นเถระ เป็นเลิศทางใหโ้ อวาทแก่ภิกษุ ๓. พระมหาสารีบุตรเถระ เป็นเลิศทางมีปัญญามาก ๓๖. พระอปุ เสนเถระ เป็นเลิศทางยงั พหุชนใหเ้ ล่ือมใส ๔. พระมหาโมคคลั ลานเถระ เป็นเลิศทางมีฤทธ์ิมาก ๓๗. พระขทิรวนิยเรวตเถระ เป็นเลิศทางอยปู่ ่ ากนั ดาร ๕. พระมหากสั สปเถระ เป็นเลิศทางทรงธุดงค์ ๓๘. พระสีวลีเถระ เป็นเลิศทางมีลาภมาก ๖. พระมหากจั จายนเถระ เป็นเลิศทางอธิบายคายอ่ ใหพ้ สิ ดาร ๓๙. พระพาหิยทารุจิริยเถระ เป็นเลิศทางตรัสรู้เร็ว ๗. พระโมฆราชเถระ เป็นเลิศทางทรงจีวรเศร้าหมอง ๔๐. พระพากุลเถระ เป็นเลิศทางมีอาพาธนอ้ ย ๘. พระราธเถระ เป็นเลิศทางมีปฏิภาณแจ่มแจง้ ๔๑. พระทพั พมลั ลบุตรเถระ เป็นเลิศทางเสนาสนคาหาปกะ ๙. พระปุณณมนั ตานีบุตรเถระ เป็นเลิศทางเป็นพระธรรมกถึก ภิกษุณที ่ีได้รับเอตทคั คะมี ๑๓ รูปด้วยกนั คือ ๑๐. พระกาฬุทายเี ถระ เป็นเลิศทางยงั สกุลที่ไมเ่ ลื่อมใสให้ ๑. พระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็นเลิศทางรัตตญั ญู เลื่อมใส ๒. พระนางเขมาเถรี เป็นเลิศทางมีปัญญามาก ๑๑. พระนนั ทเถระ เป็นเลิศทางสารวมอินทรีย์ ๓. พระนางอุบลวรรณาเถรี เป็นเลิศทางมีฤทธ์ิมาก ๑๒. พระราหุลเถระ เป็นเลิศทางใคร่ในการศึกษา ๔. พระนางธรรมทินนาเถรี เป็นเลิศทางเป็นธรรมกถึก ๑๓. พระอปุ าลีเถระ เป็นเลิศทางทรงจาพระวินยั ๕. พระนางปฏาจาราเถรี เป็นเลิศทางเป็นวนิ ยั ธร ๑๔. พระภทั ทิยเถระ เป็นเลิศทางเกิดในตระกลู สูง ๖. พระนางสกลุ าเถรี เป็นเลิศทางมีทิพยจกั ษุญาณ ๑๕. พระอนุรุทเถระ เป็นเลิศทางมีตาทิพย์ ๗. พระนางกีสาโคตมีเถรี เป็นเลิศทางทรงจีวรเศร้าหมอง ๑๖. พระอานนทเ์ ถระ ๕ ทาง คือเป็นพหูสูต มีสติ มีธิติ มีคติ และ ๘. พระนางนนั ทาเถรี เป็นเลิศทางเพง่ ฌานสมาบตั ิ เป็ นพุทธอุปัฏฐาก ๙. พระนางภทั ทากุณฑลเกสีเถรี เป็นเลิศทางตรัสรู้เร็ว ๑๗. พระโสณโกฬิวิสเถระ เป็นเลิศทางปรารถความเพียร ๑๐. พระนางภทั ทกาปิ ลานีเถรี เป็นเลิศทางปพุ เพนิวาสนุสสติ ๑๘. พระรัฏฐบาลเถระ เป็นเลิศทางบวชดว้ ยศรัทธา ๑๑. พระนางโสณาเถรี เป็นเลิศทางปรารภความเพยี ร ๑๙. พระพระปิ ณโฑลภารทวาชเถระ เป็นเลิศทางบนั ลือสีหนาท ๑๒. พระนางสิงคาลมาตาเถรี เป็นเลิศทางศรัทธาวิมุตติ ๒๐. พระมหาปันถกเถระ เป็นเลิศทางเจริญวปิ ัสสนา ๑๓. พระนางภทั ทากจั จานาเถรี เป็นเลิศทางบรรลุมหาภิญญา ๒๑. พระจูฬปันถกเถระ เป็นเลิศทางชานาญมโนมยทิ ธิ ๒๒. พระโสณกฏุ ิกณั ณเถระ เป็นเลิศทางแสดงธรรมไพเราะ ๒๓. พระสกุณฏกเถระ เป็นเลิศทางมีเสียงไพเราะ ๒๔. พระสุภูมิเถระ เป็นเลิศทางอรณวหิ ารและทกั ขิเณยยบคุ คล ๒๕. พระกงั ขาเรวตเถระ เป็นเลิศทางยนิ ดีในฌานสมาบตั ิ ๒๖. พระวกั กลิเถระ เป็นเลิศทางศรัทธาวมิ ุตติ ๒๗. พระกุณฑธานเถระ เป็นเลิศจบั สลากเป็นปฐม ๒๘. พระวงั คสี เถระ เป็นเลิศทางฉลาดในการผกู คาถา ๒๙. พระปิ ลินทวจั ฉเถระ เป็นเลิศทางเป็นท่ีรักใคร่ของเทพยดา

๔๘ วชิ ากระทู้ธรรม (นกั ธรรมศึกษาโท) ตัวอย่างกระทู้ โครงสร้างกระทู้

๔๙ พทุ ธศาสนสุภาษติ ธรรมโท วรุณกฏฺ ฐ ภญฺโชว ส ปจฺฉา อนุตปฺปติ อตั ตวรรค หมวดตน ผู้ใด ปรารถนาทากิจท่ีควรทาก่อน ในภายหลัง ผู้น้ันย่อม ๑)อตฺตทตฺถ ปรตฺเถน พหุนาปิ น หาปเย เดือดร้อนในภายหลัง ดุจมาณพ(ผูป้ ระมาทแล้วรีบ)หักไม้กุ่ม ฉะน้นั อตฺตทตฺถมภญิ ญฺ าย สทตฺถปสุโตสิยา (ท่ีมา :ขทุ ทกนิกาย ชาดก เอกนิบาต) บุคคลไม่ควรพลา่ ประโยชน์ของตน เพราะประโยชน์ผอู้ ่ืนแม้ มาก ,รู้จกั ประโยชน์ของตนแลว้ พงึ ขวนขวายในประโยชนข์ อง ๕)โย ปพุ เฺ พ กตกลยฺ าโณ กตตฺโถ มนุพุชฺฌติ ตน (ท่ีมา : ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท) อตฺถา ตสฺส ปวฑฺฒนฺติ เย โหนฺติ อภปิ ตฺถิตา ๒)อตฺตานญเฺ จ ตถา กยิรายถญฺญมนุสาสติ ผใู้ ด อนั ผูอ้ ื่นทาความดี ทาประโยชน์ให้ในกาลก่อน ย่อมสานึก (คณุ ของเขา)ได้ สุทนฺโต วต ทเมถ อตฺตา หิ กริ ทุทฺทโม. ประโยชนท์ ่ีผนู้ น้นั ปรารถนายอ่ มเจริญ ถา้ สอนผอู้ ื่นฉนั ใด พึงทาตนฉนั น้นั ผฝู้ ึกตนดีแลว้ (ที่มา : ขทุ ทกนิกาย ชาดก สัตตกนิบาต) ควรฝึกผอู้ ่ืน ไดย้ นิ วา่ ตนแลฝึกยาก (ท่ีมา : ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท) ขนั ตวิ รรค คือ หมวดอดทน ๓)อตฺตานเมว ปฐม ปฏริ ูเป นเิ วสเย ๑)อตฺตโนปิ ปเรสญจฺ อตฺถาวโห ว ขนฺติโก อถญฺญมนุสาเสยยฺ น กลิ สิ ฺเสยฺย ปณฺฑิโต บณั ฑิตพึงต้งั ตนไวใ้ นคุณอนั สมควรก่อน สอนผอู้ ื่นภายหลงั จึง สคฺคโมกฺขคม มคฺค อารุฬฺโห โหติ ขนฺตโิ ก ผมู้ ีขนั ติ ชื่อวา่ นาประโยชนม์ าใหท้ ้งั แก่ตนท้งั แก่ผอู้ ่ืน ไมม่ วั หมอง (ที่มา : ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท) ผมู้ ีขนั ติ ช่ือวา่ เป็นผขู้ ้ึนสู่ทางไปสวรรคแ์ ละนิพพาน. กมั มวรรค คือ หมวดกรรม (ที่มา :สวดมนตฉ์ บบั หลวง) ๒)เกวลานปิ ปาปาน ขนฺติ มูล นกิ นฺตติ ๑)อตสิ ีต อตอิ ณุ ฺห อตสิ ายมิท อหุ ครหกลหาทีน มูล ขนติ ขนฺตโิ ก. ขนั ติ ยอ่ มตดั รากแห่งบาปท้งั สิ้น ผมู้ ีขนั ติชื่อวา่ ยอ่ มขดุ ราก อติ ิ วิสฺสฏฺ ฐกมฺมนฺเต อตฺถา อจฺเจนฺติ มาณเว. แห่งความติเตียนและการทะเลาะกนั เป็นตน้ ได.้ ประโยชน์ท้งั หลายยอ่ มล่วงเลยคนผทู้ อดทิง้ การงาน (ที่มา :สวดมนตฉ์ บบั หลวง) ดว้ ยอา้ งวา่ หนาวนกั ร้อนนกั เยน็ เสียแลว้ . ๓)ขนฺติโก เมตฺตวา ลาภี ยสสฺสี สุขสีลวา (ท่ีมา :ทีฆนิกาย ปาฏิกวคั คะ) ปิ โย เทวมนุสฺสาน มนาโป โหติ ขนฺติโก ผมู้ ีขนั ตินบั วา่ มีเมตตา มีลาภ มียศ และมีสุขเสมอ, ผมู้ ีขนั ติเป็นท่ี ๒)อถ ปาปานิ กมฺมานิ กร พาโล น พชุ ฺฌติ รักที่ชอบใจของเทวดาและมนุษยท์ ้งั หลาย (ที่มา : สวดมนตฉ์ บบั หลวง) เสหิ กมฺเมหิ ทมุ ฺเมโธ อคฺคิทฑฺโฒว ตปปฺ ติ. ๔)สตฺถโุ น วจโนวาท กโรตเิ ยว ขนฺติโก เม่ือคนโง่มีปัญญาทราม ทากรรมชวั่ อยกู่ ไ็ ม่รู้สึก ปรมาย จ ปูชาย ชิน ปเู ชติ ขนฺตโิ ก เขาเดือดร้อนเพราะกรรมของตน เหมือนถกู ไฟไหม.้ (ที่มา : ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท) ๓)ยาทิส วปเต พชี ตาทสิ ลภเต ผล กลฺยาณการี กลฺยาณ ปาปการี จ ปาปก บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นน้ัน ผู้ทากรรมดี ย่อม ไดผ้ ลดี ผทู้ าธรรมชว่ั ยอ่ มไดผ้ ลชว่ั (ท่ีมา : สังยตุ ตนิกาย สคาถวรรค) ๔)โย ปุพฺเพ กรณยี านิ ปจฺฉา โส กาตุมิจฺฉติ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook