ยอ่ ความนกั ธรรมเอก พทุ ธานพุ ทุ ธประวตั ิ พทุ ธโกลาหล : เมื่อสทุ ธาวาสมหาพรหมทง้ั หลายลงมาเทยี่ วประกาศท่วั หมืน่ โลกธาตวุ ่า เบ้ืองหน้าแต่นลี้ ว่ งไปอกี แสนปี พระสัพพัญ�จู ะบงั เกดิ ในโลก ถา้ ใคร่จะพบเห็น จงเว้นจากเวรทั้ง ๕ อตุ สา่ หบ์ ําเพญ็ ทาน รักษาศลี เจรญิ ภาวนา กระทําการกุศลต่าง ๆ ดงั น้ี จงึ ทําใหเ้ กดิ พุทธโกลาหลขน้ึ ฯ
ปรเิ ฉทท่ี ๑ ยคุ กอ่ นทพี่ ระพทุ ธเจา้ จะเสด็จอุบตั ใิ นโลก ชมพูทวปี หวั ข้อ รายละเอยี ด ๑. ภูมปิ ระเทศ ภมู ิประเทศ : แบ่งออกเปน็ ๒ ส่วน ๒. การปกครอง ๓. ความเชือ่ ๑. มัชฌิมประเทศ = มอี าณาเขตดังแสดงในแผนท่ี เปน็ ทอี่ ย่ขู องชนชาวอริยกะ ๔. มานะแรงกลา้ ๒. ปัจจันตประเทศ = ประเทศทีอ่ ยู่นอกอาณาเขตแห่งมชั ฌิมประเทศทงั้ หมด เปน็ ท่อี ย่ขู องชนชาวมลิ ักขะ ปจั จนั ตประเทศ การปกครอง (ทศิ อดุ ร) WE ๑. โดยกษัตรยิ ์ มเี อกราช (ทิศ ัปจฉิม) (ทศิ บรู พา) ๒. โดยประธานาธิบดี เป็นของตน ปัจจ ันตประเทศ ภเู ขาอสุ รี ธชะ มหาสาลนคร ความเช่ือ ๑. ตายแล้วเกิด แผนที่ ๒. ตายแลว้ สญู /ไม่มีเหตปุ ัจจัย ถนู คาม มชั ฌมิ ประเทศ เสตกัณรกิ นคิ ม แมน่ ้ําสลั ลวตี มานะแรงกล้า ถือหมู่ ชาติ โคตร (ทศิ ทกั ษิณ) เกิดระบบวรรณะ/ชนชน้ั ปจั จนั ตประเทศ ต้นตระกลู ศากยวงศแ์ ละโกลติ วงศ์ ตระกลู ศากยวงศ์ ตระกลู โกลยิ วงศ์ มเหสี ๒ พระเจา้ โอกกากราช มเหสี ๑ ๑. ราชโอรส ๑. พระเชฎฐภคนิ ี พระเจา้ กรงุ เทวทหะ ๒. พระอกุ กามขุ ๖. พระกนฏิ ฐภคนิ ี ๓. พระกรกณั ฑุ ๗. พระกนฏิ ฐภคนิ ี ๔. พระหตั ถนิ กี ะ ๘. พระกนฏิ ฐภคนิ ี ๕. พระสนิ ปิ รุ ะ ๙. พระกนฏิ ฐภคนิ ี พระเจา้ ชยั เสนะ มเหสี พระกนฏิ ฐภคนิ ี พระกนฏิ ฐภคนิ ี พระเจา้ สหี นุ ยโสธรา พระเจา้ อญั ชนะ (ของพระเจา้ อญั ชนะ) มหานามะ ๑. สทุ โธทนะ ๓. นางมายา ๑. สปุ ปพทุ ธะ ๖. นางอมติ า อนุรทุ ธะ ๒. สกุ โกธนะ ๔. นางปชาบดี ๒. ทณั ฑปาณิ โรหณิ ี ๓. อมโิ ตทนะ ๔. โธโตทนะ อานันทะ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ ๑.เทวทตั ๕. ฆนโิ ตทนะ ๒. ยโสธรา ๖. นางปมติ า ๑. นันทะ ๗. นางอมติ า ๒.นางรปู นันทา กบลิ พสั ดมุ์ หานคร ราหลุ กรงุ เทวทหะ (ดงไมส้ กั กะ/ทอี่ ยขู่ องกบลิ ดาบส)
ปรเิ ฉทท่ี ๒ ยคุ ก่อนทีพ่ ระพทุ ธเจา้ จะตรสั ร้พู ระสัมมาสัมโพธิญาณ นับจากวนั ประสูติ เหตุการสาํ คญั (วนั เพญ็ เดือน ๖) ๑ วนั กาฬเทวลิ ดาบส หรอื อสิตดาบส เขา้ เย่ียมพระราชโอรส ๕ วนั เมอื่ พิจารณาลกั ษณะของพระโอรสแลว้ จึงแสดงอาการ ๒ อย่าง ๗ วนั ๗ ปี ๑. ยิม้ แย้ม เบกิ บาน หัวเราะด้วยความโสมนสั พรอ้ มถวายอภวิ าทแทบยุคลบาทของพระกมุ าร ๑๖ พรรษา ๒๙ พรรษา ๒. เกดิ โทมนสั ร้องไห้เสยี ใจ ๒๙-๓๔ พรรษา ท่ีเกิดโสมนสั เพราะรูว้ า่ พระกุมารน้ีเป็นพระโพธสิ ตั ว์ จะตรสั รเู้ ป็นพระสพั พัญ�พู ุทธเจ้าโดยแท้ ๓๕ พรรษา แตต่ นใกล้หมดอายขุ ัยแลว้ ไม่ทนั ได้สดบั พระธรรมเทศนา จงึ เกดิ โทมนสั ๑. ประชุมพระญาตวิ งศ์ และเสนาบดี ๒. เชิญพราหมณผ์ ู้เชี่ยวชาญในไตรเพท ๑๐๘ คน โดยเลือก ๘ คนมาพยากรณพ์ ระลกั ษณะ ๓. ขนานนามพระราชโอรสว่า \"สทิ ธตั ถราชกมุ าร\" - พระนางมหามายาเทวีผเู้ ป็นพระมารดาสวรรคต - พระราชบดิ าโปรดใหข้ ดุ สระโบกขรณีในบริเวณพระราชนเิ วศน์ ๓ สระ ๑. สระอบุ ล(บวั ขาบ) ๒. สระปทุม(บวั หลวง) ๓. สระบุณฑรกิ (บวั ขาว) - สร้างปราสาท ๓ ฤดู - ส่งฑตู เชิญพระราชสาสน์ ไปขอ \"นางยโสธรา\" แหง่ กรงุ เทวทหะ มาอภเิ ษกเป็นพระเทวขี องสิทธตั ถราชกมุ าร ๑. ทอดพระเนตรเหน็ \"เทวฑตู ๔\" คอื คนแก่ คนเจบ็ คนตาย และสมณะ ๒. ประสตู พิ ระราชโอรสมีพระนามวา่ \"ราหุล\" ๓ ทรงผนวช : - ทรงดาํ ริถงึ เทวฑูต ๓ จงึ บรรเทาความเมา ๓ ประการ และการบรรพชาคอื ทางแสวงหาอุบายพ้นทุกข์ - การเสด็จออกบรรพชา มขี อ้ วนิ จิ ฉัย ๒ นยั ๑. เสดจ็ ออกโดยซ่งึ หนา้ ๒. เสดจ็ หนอี อกบรรพชาในเวลากลางคนื โดยม้ากัณฐกะ กับนายฉันนะ ๑. ทดลองศึกษาในสํานกั \"อาฬารดาบส กาลามโคตร\" ๒. ทดลองศึกษาในสาํ นกั \"อทุ กดาบส รามบุตร\" ๓. เสดจ็ สแู่ ควน้ มคธ ถึงอรุ เุ วราเสนานิคม ใกลแ้ มน่ า้ํ แห่งหน่งึ ๔. อุปมา ๓ ขอ้ : ปรากฏแจ่มแจ้งแกพ่ ระองคว์ า่ ๑. ไมส้ ดทย่ี งั มียาง ท้ังยังแช่อยู่ในน้าํ ไม่สามารถนาํ มาสีใหเ้ กิดไฟได้ = สมณะพราหมณ์ทย่ี ังไม่หลกี จากกาม ทั้งยงั ยนิ ดใี นกาม ถึงจะปฏิบตั ิอยา่ งไรกไ็ ม่สามารถตรัสรู้ได้ ๒. ไมส้ ดทีย่ งั มียาง วางอยู่บนบก ไม่สามารถนาํ มาสีใหเ้ กิดไฟได้เชน่ กัน = สมณะพราหมณ์ทีห่ ลีกจากกามแล้ว แต่ยงั ยนิ ดีในกาม กไ็ มส่ ามารถตรัสรไู้ ด้ ๓. ไม้แหง้ สนิททง้ั ตงั้ อยู่ห่างจากนาํ้ เมอ่ื บุคคลนําไปสใี ห้เกดิ ไฟ ย่อมเกิดไฟได้ตามประสงค์ = สมณะพราหมณ์ทห่ี ลีกจากกามแลว้ และละกามไดแ้ ล้ว ย่อมสามารถตรสั รไู้ ด้ ๕. ทรงบําเพญ็ ทุกรกิรยิ า : ทรงดาํ ริทจี่ ะทาํ ความเพียร เพอ่ื ป้องกนั จิตไมใ่ ห้น้อมไปในกามารมณ์ โดยทรมานตน วาระที่ ๑ : ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลดุ ้วยพระชวิ หา วาระท่ี ๒ : ทรงกล้ันลมอัสสาสะ-ปัสสาสะไมใ่ ห้เดินได้สะดวก วาระที่ ๓ : ทรงอดพระกระยาหาร ในกาลน้มี ีปญั จวคั คยี ์ คอยอปุ ัฏฐากดูแลอยา่ งใกลช้ ดิ : โกณฑัญญะ วัปปะ ภทั ทิยะ มหานามะ อสั สชิ - ทรงหนั มาบาํ เพญ็ เพียรทางจิตแทนการทรมานตน (ปญั จวัคคยี ห์ ลกี ไป) - เริม่ เสวยพระกระยาหาร - ทรงเจรญิ สมาธภิ าวนาจนบรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ตามลําดับ ซึง่ เป็นสว่ นรปู ฌานสมาบัติจนถึงอรปู ฌานสมาบตั ิ - ทรงเจริญญาณอนั เป็นองคป์ ญั ญาชน้ั สงู ๓ ประการ ยงั องค์พระโพธญิ าณใหเ้ กดิ ข้ึนเป็นลาํ ดบั ตามระยะกาลแหง่ ยาม ๓ ในราตรนี ั้น ๑. ปฐมยาม : ทรงบรรลุ \"ปุพเพนิวาสานสุ สติญาณ\" ๒. มชั ฌมิ ยาม : ทรงบรรลุ \"จุตปู ปาตญาณ\" ๓. ปจั ฉมิ ยาม : ทรงบรรลุ \"อาสวกั ขยญาณ\" - ทรงตรัสรวู้ ิชชา ๓ ท่รี ่มไมอ้ สั สตั ถพฤกษ์มหาโพธิ� - ทรงไดพ้ ระนามโดยคุณนิมติ วา่ \"อรหํ สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺโธ\" แปลวา่ ผไู้ กล ผู้ควร ผูต้ รัสร้แู ล้วเองโดยชอบ ผู้ไกล = ผ้ไู กลจากกิเลส ผู้ควร = ผู้ควรเป็นศาสดาผ้แู นะนําสง่ั สอน และควรไดร้ ับการเคารพกราบไหว้ ผู้ตรสั รแู้ ล้วเองโดยชอบ = ตรสั รวู้ ิชชา ๓ โดยพระองคเ์ อง ไม่มใี ครเปน็ ครูสั่งสอน โดยชอบ คือไมว่ ปิ รติ ใหส้ าํ เร็จประโยชน์แก่พระองคแ์ ละผู้อื่น
ปรเิ ฉทที่ ๓ เสวยวมิ ตุ สิ ุข เม่อื พระพุทธองคไ์ ดต้ รสั รูพ้ ระอนตุ ตรสัมมาสมั โพธิญาณแลว้ ประทบั เสวยวมิ ตุ ติสขุ ๗ ตําบล ตําบลละ ๗ สัปดาห์ ดงั นี้ ๒ ๔ รตั นฆรเจดยี ์ อนมิ สิ เจดยี ์ ๓ ๕ ๑ รตั นจงกรมเจดยี ์ ตน้ อชปาลนโิ ครธ ตน้ พระศรมี หาโพธิ์ ๖ตน้ มจุ จลนิ ทร(์ จกิ ) ๗ ตน้ ราชายตนะ(เกตุ) สปั ดาห์ท่ี สถานที่ เหตกุ ารณส์ ําคัญ ๑ ตน้ พระศรมี หาโพธิ์ - ประทบั เสวยวมิ ตุ ตสิ ุขบนรัตนบลั ลงั ก์ - ทรงพจิ ารณาปฏิจจสมปุ ปบาท (สภาพอาศัยปัจจยั เกดิ ขึน้ ) โดยอนโุ ลมและปฏิโลม ทรงเปลง่ อทุ านด้วยความเบิกบานพระทยั ใน ๓ ยามแหง่ ราตรี ๑. ปฐมยาม : \"เม่อื ใด ธรรมทั้งหลาย(อริยสัจ๔) ปรากฎแกพ่ ราหมณ์ผมู้ ี ความเพยี รเพง่ อยู่ เมอ่ื น้ัน ความสงสยั ของพราหมณน์ ้ันย่อมส้นิ ไป เพราะมารูแ้ จง้ ธรรม (กองทุกข์) วา่ เกดิ แตเ่ หต\"ุ ๒. มัชฌมิ ยาม : \"....เพราะไดร้ ู้ความสิน้ ไปแห่งปัจจัยท้ังหลาย (ว่าเป็นเหตุสนิ้ ผล)\" ๓. ปัจฉมิ ยาม : \".....เมอื่ นน้ั พราหมณ์ย่อมกําจัดมารและเสนามารเสียได้ ดุจพระอาทติ ยอ์ ทุ ยั กําจัดความมดื ได้ฉะนนั้ \" ๒ อนมิ สิ เจดีย์ - ทรงเสด็จไปทางทิศตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ประทบั ยนื มองต้นพระศรีมหาโพธิ� ๓ รตั นจงกรมเจดยี ์ - ทรงเนรมติ ทจี่ งกรมข้นึ ในระหว่างต้นพระศรีมหาโพธ�ิกับอนมิ ิสเจดยี แ์ ล้วเสดจ็ จงกรม ๔ รตั นฆรเจดีย์ - เสดจ็ ไปทางทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือ - ประทับน่งั พจิ ารณาพระอภิธรรมปฎิ กอยใู่ นเรอื นแกว้ ทเ่ี ทวดานริ มติ ไว้ ๕ ตน้ อชปาลนิโครธ - พราหมณ์หหุ ุกชาต(ิ ชอบตวาดดว้ ยคาํ ว่า หึ ห)ึ ทูลถามถึงธรรมท่ที าํ ใหบ้ คุ คลเป็นพราหมณ์ (ของคนเลีย้ งแพะ) \" ผู้ใดมบี าปธรรมอันลอยเสยี แล้ว ไมม่ กี ิเลสเครอ่ื งขผู่ ้อู น่ื วา่ หหึ ึ ซ่ึงเปน็ คําหยาบ ปราศจากกเิ ลสเครอ่ื งยอ้ มจิตให้ตดิ แนน่ ดจุ นํ้าฝาด มีตนสาํ รวมแลว้ ถึงท่ีสุดแห่งเวทนาแลว้ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ผู้น้นั ไม่มีกเิ ลสเครอื่ งฟใู นโลกแม้น้อยหน่งึ ควรกล่าวได้ว่าตนเป็น พราหมณ์โดยธรรม\" ๖ ต้นมุจจลนิ ท์ (ต้นจกิ ) - ทรงเปล่งอทุ าน : \"ความสงดั เป็นสุข สาํ หรบั บคุ คลผู้มีธรรมอนั เห็นแลว้ ยนิ ดใี นที่สงดั รูเ้ หน็ ตามความเป็นจริง ความไม่เบยี ดเบียน คือ ความสํารวมในสัตวท์ ง้ั หลาย และความปราศจากความกาํ หนดั คอื ความล่วงกามทัง้ หลายเสยี ได้ เปน็ สขุ ในโลก ความนาํ อัสมมิ านะ คือ ความถือตวั ออกให้หมดไป เปน็ สขุ อย่างยิ่ง\" ๗ ต้นราชายตนะ (ต้นเกตุ) - พ่อคา้ ๒ คน คอื ตปุสสะ และภลั ลกิ ะ เกิดความเลอ่ื มใสถวายข้าวสตั ตุกอ้ น สัตตผุ ง พรอ้ มทั้งประกาศตนเปน็ อุบาสกถือ พระพทุ ธและพระธรรมเปน็ ท่พี ่ึงตลอดชวี ติ รวมเสวยวมิ ุตติสขุ ในสถานทเี่ หล่านี้ หล้งจากตรัสรูแ้ ล้ว เป็นเวลา ๗ สัปดาห์ (๔๙ วนั )
ปรเิ ฉทที่ ๔ เอหภิ กิ ขุอปุ สมัปทา หลังตรัสรู้ สถานที่ เหตกุ ารณส์ าํ คญั ๔๙ วนั ใตร้ ม่ ไมอ้ ชปาลนโิ ครธ - เสดจ็ กลับไปประทบั ใต้ต้นอชปาลนิโครธอกี - ทรงพระดาํ รถิ งึ การตรัสรธู้ รรมของพระองค์วา่ เปน็ ของลกึ ซ้ึง ยากทใ่ี ครๆจะตรัสรู้ตามได้ แต่ทรงอาศัยพระมหากรุณาในหมสู่ ตั ว์จึงทรงพิจารณาอปุ นสิ ยั ของหมสู่ ตั ว์ เปรียบไดก้ ับดอกบัว ๔ เหลา่ คือ ๑. อคุ ฆฏิตัญ�ู : ผู้มีปัญญาเฉียบแหลม เพยี งแคย่ กหัวขอ้ ขึ้นก็ตรสั รไู้ ด้ทันที เปรียบเหมือน : ดอกบัวที่อย่เู หนือนํ้า พอได้แสงอาทติ ย์ก็เบ่งบานทนั ที ๒. วปิ จิตญั �ู : ผูม้ ีปญั ญาระดับปานกลาง ตอ้ งอธบิ ายความขอ้ นัน้ ๆเพ่มิ อีก เปรยี บเหมือน : ดอกบวั ทอี่ ยุ่เสมอน้าํ จะบานในวันพรงุ่ นี้ ๓. เนยยะ : ผ้ทู ี่พอจะแนะนาํ ได้ คอื ฝึกอบรมสงั่ สอนใหร้ ้แู ละเข้าใจได้ เปรียบเหมือน : ดอกบวั ท่ียงั โผล่ไมพ่ ้นนํา้ ซงึ่ จะบานในวันต่อๆไป ๔. ปทปรมะ : ผ้ดู อ้ ยปญั ญา สอนใหร้ ูไ้ ด้เพยี งบท แตไ่ มเ่ ขา้ ใจความหมาย เปรยี บเหมือน : ดอกบวั ท่ีจมอยู่ในโคลนตม ย่อมตกเป็นภักษาของปลาและเตา่ - ทรงทาํ อายุสงั ขาราธษิ ฐาน = ทรงต้ังพระหฤทยั ท่จี ะแสดงธรรมส่ังสอนมหาชน - ทรงระลึกถงึ อาฬารดาบส และ อุททกดาบส ซ่ึงเปน็ ผฉู้ ลาด มกี เิ ลสเบาบ สนิ้ ชีพแล้ว - ทรงนกึ ถงึ ฤาษปี ัญจจวัคคีย์ จงึ ดาํ รจิ ะเสด็จไปโปรดกอ่ น ระหวา่ งแมน่ ํา้ คยา-ปา่ มหาโพธ์ิ - พบอปุ กาชีวก เห็นพระฉวขี องพระพุทธองคผ์ ุดผอ่ งนกั ทลู ถามถงึ ศาสดาผู้สอนของพระองค์ ทรงตรัสตอบว่า \"พระองคเ์ ปน็ สยมั ภผู ตู้ รสั ร้เู อง ไมม่ ีครูผู้สอน\" อาชวี กไมเ่ ชือ่ และจากไป พรรษาที่ ๑ ปา่ อิสปิ ตนมฤคทายวัน พระปญั จวัคคยี ์บรรลุพระอรหตั ตผล : เมอื งพาราณสี - พระพุทธองค์ตรัสปฐมเทศนา : \"ธัมมจักกัปปวตั นสูตร\" แกป่ ญั จวัคคีย์ \" ความสุดโต่งท้งั ๒ อยา่ ง คือ การประกอบตนให้พวั พนั ดว้ ยความสขุ ในกามทั้งหลาย และการประกอบตนใหเ้ หน่ือยเปลา่ ส่วนสุด ๒ อยา่ งนี้ลว้ นไม่ใช่ทางพ้นไปจากขา้ ศึก ไมท่ าํ ให้ผู้ประกอบพน้ จากขา้ ศึกได้ และไมป่ ระกอบด้วยประโยชน์ บรรพชติ ไม่ควรเสพ ทรงสอนขอ้ ปฏบิ ตั ิสายกลาง คือ มรรคมีองค์ ๘ ประการ อันเป็นข้อปฏบิ ัตเิ พอ่ื ความหมดจด แห่งญาณทสั สนะ\" - \"โกญฑญั ญดาบส\" ได้ดวงตาเห็นธรรมวา่ \" สงิ่ ใดสง่ิ หน่งึ มีความเกดิ ข้นึ เปน็ ธรรมดา สง่ิ น้นั ท้ังมวลลว้ นมคี วามดับไปเปน็ ธรรมดา\" - โกญฑญั ญะทลู ขออุปสมบทในพระธรรมวินยั พระพุทธองคท์ รงอนุญาตด้วย \"เอหิภกิ ขอุ ุปสมั ปทา\" วา่ \"ทา่ นจงเป็นภิกษมุ าเถิด ธรรมอนั เรากลา่ วดแี ลว้ ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ เพ่ือทําทีส่ ุดทุกข์โดยชอบเถิด\" - ทรงส่ังสอนดาบสอีก ๔ คนท่ีเหลือ ด้วยพระธรรมเทศนาเบด็ เตลด็ ตามสมควรแก่อัธยาศยั ๑. วัปปดาบส และ ภทั ทยิ ดาบส ไดด้ วงตาเห็นธรรมแล้วทลู ขออปุ สมบท ๒. มหานามดาบส และ อสั สชดิ าบส ได้ดวงตาเห็นธรรมแลว้ ทลู ขออุปสมบท - เม่อื ปจั จวคั คยี ์มอี นิ ทรยี ์แก่กล้า ควรเจรญิ วปิ ัสสนาเพอ่ื วมิ ุตตแิ ลว้ จึงทรงแสดง \"อนัตตลักขณสูตร\" : ขนั ธ์ ๕ วา่ เปน็ อนตั ตา โดยสอนให้พิจารณาแยกกายกบั ใจออกเป็นขนั ธ์ ๕ ต่อจากน้นั ตรัสสอนให้ละความถอื มน่ั ในขนั ธ์ ๕ นั้น ให้พจิ าณาเหน็ สว่ นตา่ งๆ ตามความเป็นจริง น่ันไม่ใช่เรา ไม่ใชข่ องเรา ไมใ่ ช่ตัวตนของเรา จนเกดิ ความเบื่อหน่ายและคลายความกําหนดั ในท่ีสุดจติ กห็ ลุดพน้ จากความถือมน่ั มพี ระอรหนั ตเ์ กดิ ข้นึ ในโลก ๖ องค์ คือ พระบรมศาสดา ๑ และ พระสาวกปัญจวคั คีย์ ๕ พรรษาที่ ๑ ปา่ อสิ ปิ ตนมฤคทายวัน ยสกุลบตุ รและบรวิ ารบวชในพระพุทธศาสนา : เมอื งพาราณสี - \"ยสะ\" บุตรแหง่ เศรษฐีในเมอื งพาราณสี เห็นหมูช่ นบริวารนอนหลบั มีอาการพกิ ลต่างๆ ปรากฎเหมอื นซากศพในป่าชา้ เกิดความสลดใจเบอ่ื หนา่ ย ออกอทุ านว่า \"ท่ีนี่วนุ่ วายหนอ ท่ีนขี่ ดั ข้องหนอ\" เดนิ ออกจากเมอื งม่งุ หนา้ ไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พบพระศาสดาทรงแสดง \"อนุปุพพกิ ถา และ สามกุ กังสิกธรรม\" ได้ดวงตาเหน็ ธรรม ๑. อนุปพุ พกิ ถา : พรรณนาถึงทาน ศลี สวรรค์ โทษแห่งกาม และอานสิ งสก์ ารออกจากกกาม ๒. สามุกกังสิกธรรม : เทศนาที่พระพทุ ธองค์ทรงยกขึ้นแสดงเอง ได้แก่ อรยิ สัจ ๔ - บิดาของยสะตามหามาพบรองเทา้ จงึ เข้าไปทลู ถามพระศาสดา ทรงแสดงอนปุ ุพพิกถาและ อริยสัจ ๔ ให้เศรษฐีได้ดวงตาเห็นธรรม และแสดงตนเปน็ อุบาสกผถู้ งึ พระรตั นตรยั เปน็ ที่พงึ่ คนแรก ส่วนยสะกลุ บุตรได้สาํ เรจ็ อรหตั ผล ขออุปสมบท ทรงประทานดว้ ยเอหิภิกขุอปุ สมั ปทา - มารดาและภรรยาเกา่ ของพระยสะ เมอื่ ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาน้นั แลว้ ไดด้ วงตาเห็นธรรม ประกาศตนเป็นอบุ าสิกา ๒ คนแรกของโลก - สหายสนทิ ของพระยสะออกบวช ๔ คน : วมิ ละ สุพาหุ ปุณณชิ ควัมปติ พระยสะไดน้ าํ ไปเฝ้าพระบรมศาสดา ฟงั ธรรมแล้วไดด้ วงตาเห็นธรรม ขออปุ สมบทต่อพระศาสดา ทรงประทานอปุ สมบทแลว้ ทรงสัง่ สอนจนได้บรรลอุ รหันต์ เกดิ พระอรหันต์ขึ้นในโลกแลว้ ๑๑ องค์ - สหายของพระยสะอีก ๕๐ คน เปน็ ชาวชนบท ออกบวชตามอีก ในทีส่ ดุ ก็ได้เข้าเฝ้าฟัง ธรรมจากพระบรมศาสดา จนได้บรรลุอรหนั ตตผลทั้งส้นิ - เกดิ มพี ระอรหนั ต์ขึน้ ในโลกแลว้ ณ เวลานั้น จํานวนท้งั ส้นิ ๖๑ องค์
ปรเิ ฉทที่ ๕ ทรงอนญุ าตการอปุ สมบทด้วยไตรสรณคมน์ หลังตรสั รู้ สถานท่ี เหตกุ ารณส์ าํ คญั พรรษาที่ ๑ ป่าอิสปิ ตนมฤคทายวัน ทรงอนญุ าตการอปุ สมบทด้วยไตรสรณคมน์ : เมืองพาราณสี - พระบรมศาสดาสง่ สาวกทง้ั ๖๐ องค์ ออกเผยแพร่พระศาสนา : \" ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราได้พ้นแล้วจากบ่วงทงั้ ปวง ทั้งทเี่ ป็นของทพิ ยแ์ ละมนุษย์ แม้ทา่ นทง้ั หลายก็เหมือนกนั จงเท่ียวไปในชนบท เพอ่ื ประโยชนแ์ ละความสขุ แกม่ หาชน แต่อยา่ ไปรวมกัน ๒ รูปโดยทางเดยี วกัน สว่ นเรากจ็ ะไปอรุ เุ วราเสนานิคม เพอื่ แสดงธรรม...\" - สาวกทง้ั ๖๐ องค์ เทย่ี วจาริกสั่งสอนอบรมกุลบุตรจนเกิดความศรัทธาออกบวช แต่ไมส่ ามารถอปุ สมบทให้ด้วยตวั เองไดจ้ ึงพากลับมาเฝา้ พระศาสดา ทรงพระดาํ ริถงึ ความลําบากนนั้ จึงทรงอนุญาต \"ตสิ รณคมนูปสัมปทา\" ตงั้ แตบ่ ดั น้นั พรรษาท่ี ๑ ไร่ฝ้าย ภัททวคั คียข์ ออุปสมบท : ระหว่างทางไปอุรุเวลาเสนานคิ ม - สมัยนัน้ สหาย ๓๐ คน เรยี กว่า \"ภทั ทวัคคีย์\" พรอ้ มด้วยภริยา มาเท่ียวเล่นในสวน เมอื งพาราณสี สหายคนหนงึ่ ถูกหญงิ แพศยาลักเคร่อื งประดบั ไป จ่งึ เท่ียวตามหา จนกระทัง้ มาพบ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า จึงไดฟ้ งั ธรรมเทศนา : \"อนปุ ุพพกิ ถาและอริยสจั ๔\" ได้ดวงตาเห็นธรรมและอุปสมบท ทรงสง่ ไปเผยแพรพ่ ระศาสนาในทิศต่างๆ - รวมมีพระสาวกทัง้ สิน้ ๙๐ รูป พรรษาท่ี ๑ อรุ ุเวลาเสนานิคม ประทานอุปสมบทแกช่ ฏิล ๓ พนี่ ้อง : - ทรงทรมาน\"อรุ เุ วลกัสปะ\"ดว้ ยเคร่อื งทรมานตา่ งๆ จนทาํ ใหอ้ ุรเุ วลกสั ปะพรอ้ มทั้งบรวิ าร ลอยบริขารของชฏิลในแม่นํ้าและทูลขออปุ สมบท - ฝา่ ยนทีกสั สปะและคยากสั สปะ ได้เห็นบริขารลอยตามกระแสนํ้า จึงขน้ึ มาดู เหน็ พ่ชี ายถอื เป็นภิกษุ ทราบว่าพรหมจรรย์น้ีประเสรฐิ จงึ ลอยบรขิ าร แล้วทลู ขออุปสมบท คยาสสี ะประเทศ - ทรงพาภิกษุท้ังหมดไป เพื่อแสดงธรรม ซ่งึ แบง่ เปน็ ๖ หมวด (อายตน ๖) ใกล้แม่นาํ้ คยา ๑. ภิกษทุ งั้ หลาย สิ่งทัง้ ปวงเปน็ ของร้อน อะไรเลา่ ชอ่ื ว่าส่ิงทง้ั ปวง จกั ษุ คือ นยั นต์ า รปู วิญญาณอาศยั จกั ขุ สมั ผัส คือ ความถกู ตอ้ งอาศยั จักษุ เวทนาทเี่ กิดเพราะจกั ษุสัมผสั เป็นปัจจัย คือ สขุ บา้ ง ทุกข์บา้ ง ไม่สขุ ไมท่ ุกขบ้ า้ ง ๒. ...โสตะ คอื หู เสยี ง วิญญาณอาศัยโสตะ สัมผัสอาศยั โสตะ .... ๓. ...ฆานะ คือ จมกู กล่ิน วิญญาณอาศยั ฆานะ สมั ผสั อาศยั ฆานะ... ๔. ...ชิวหา คอื ล้ิน รส วญิ ญาณอาศยั ชวิ หา สัมผัสอาศัยชิวหา... ๕. ...กายโผฏฐัพพะ คือ อารมณ์ท่จี ะพงึ ถกู ตอ้ งด้วยกาย วิญญาณอาศัยกาย สมั ผสั อาศยั กาย... ๖. ...มนะ คอื ใจ ธรรม วญิ ญาณอาศยั มนะ สมั ผัสอาศยั มนะ... ช่ือว่า สงิ่ ทงั้ ปวงเปน็ ของร้อน รอ้ นเพราะไฟ คือ ความกาํ หนดั ความโกรธ ความหลง รอ้ นเพราะความเกดิ ความแก่ ความตาย ความโศกร่าํ ไร ราํ พัน เจบ็ กาย เสียใจ คับแคน้ ใจ ไฟกิเลส ไฟทกุ ข์เหลา่ นม้ี าเผาใหร้ ้อน เมือ่ จบพระธรรมเทศนาน้ี จิตของภกิ ษุเหลน่ ้ันก็พ้นจากอาสวะกิเลสทงั้ หลาย - รวมมพี ระสาวกทง้ั สิน้ ๑,๐๙๓ รปู พรรษาท่ี ๑ สวนตาลหนุม่ ทรงแสดงธรรมโปรดพระเจ้าพมิ พสิ าร : กรุงราชคฤห์ - พระบรมศาสดา พรอ้ มดว้ ยภิกษุ ๑,๐๐๓ องค์ เสดจ็ ไปประทับ ณ สวนตาลหน่มุ แควน้ มคธ พระเจา้ พิมพิสารพร้อมดว้ ยขา้ ราชบรวิ ารเสดจ็ ไปเฝ้า ขา้ ราชบริวารบางสว่ นมอี าการ ไมเ่ คารพ ทรงทอดพระเนตรเห็น จึงให้อรุ ุเวลากสั สปะประกาศความไมม่ ีแก่นสารแหง่ ลทั ธิ เก่าใหช้ นเหลา่ นัน้ ทราบ และส้นิ ความเคลอื บแคลงสงสัย ตัง้ ใจฟงั พระธรรมเทศนา - พระพทุ ธองค์ทรงโปรดพระเจ้าพมิ พิสารและบริวารด้วย \"อนุปุพพกิ ถาและอริยสจั ๔\" จบพระธรรมเทศนา พระเจา้ พมิ พิสารและราชบรวิ าร ๑๑ สว่ นไดด้ วงตาเห็นธรรม อีก ๑ สว่ นตง้ั อยู่ในไตรสรณคมน์ - พระเจ้าพิมพสิ ารแสดงพระองคเ์ ปน็ อบุ าสก และถวายพระราชอุทยานเวฬวุ ัน การถวายอารามเกิดขึ้นครง้ั แรกในกาลนน้ั
ปรเิ ฉทท่ี ๖ ได้พระอัครสาวกเบือ้ งขวาและเบ้อื งซา้ ย หลังตรัสรู้ สถานที่ เหตุการณ์สําคญั พรรษาที่ ๒ พระเวฬวุ ัน พระอคั รสาวก : กรุงราชคฤห์ - ไมไ่ กลจากกรงุ ราชคฤห์ มีหม่บู ้านของพราหมณ์ ๒ แห่ง แควน้ มคธ ๑. หม่บู ้านทม่ี ีพราหมณ์ผู้เปน็ นายบ้านชอ่ื ว่า \"อุปตสิ สะ\" หรอื \"วงั คนั ตะ\" มภี ริยาชือ่ \"นางสารี\" มีบตุ รชายคนหน่งึ ช่อื \"อุปติสสะ\" หรือ \"สารีบุตร\" ๒. หมบู่ ้านทมี่ ีพราหมณผ์ เู้ ปน็ นายบา้ นช่ือว่า \"โกลติ ะ\" มีภริยาชื่อ \"นางโมคคัลล\"ี มีบตุ รชายคนหนง่ึ ช่ือ \"โกลติ ะ\" หรอื \"โมคคลั ลานะ\" สองตระกูลนั้นเป็นสหายกันมาตั้งแตบ่ รรพบุรุษ วันหน่งึ ท่านทั้งสองเท่ยี วดกู ารเลน่ เกดิ สลดใจ เพราะการดู จึงชวนกนั ไปบวชเป็นปรพิ าชก ในสาํ นกั สัญชยั ปรพิ าชก เพือ่ แสวงหาโมขธรรม แต่ไม่เปน็ ที่พอใจ จงึ นดั หมายกนั ว่าถา้ ใครได้ธรรมวเิ ศษก่อนจะ บอกแกก่ นั - พระอัสสชบิ ิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ อุปตสิ สะเหน็ อาการอนั น่าเลอ่ื มใสของทา่ น จึงเข้าไปไต่ถาม ทราบว่าเป็นพทุ ธสาวก จึงอารธนาใหท้ ่านแสดงธรรม ท่านจงึ แสดงอรยิ สัจ ๔ โดยย่อวา่ \"ธรรมใดเกิดแตเ่ หตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุ และความดับแหง่ ธรรมนน้ั ...\" เมื่อจบเทศนา \"อุปตสิ สะบรรลโุ สดาปตั ติผล\" อปุ ติสสะนําเอาธรรมน้นั ไปบอกแก่โกลติ ะผเู้ ปน็ สหายได้บรรลโุ สดาปตั ติผลเชน่ กัน - อุปตสิ สแิ ละโกลติ ะ ลาอาจารย์สัญชยั ไปขออุปสมบทกับพระสมั มาสมั พุทธเจ้า พระพุทธองคท์ รงประอุปสมบทแก่ท่านและบรวิ าร ท่านยังไม่บรรลุอรหตั ผลในทนั ที สว่ นภิกษุผบู้ รวิ ารได้ฟงั ธรรมเทศนาบําเพ็ญเพยี รไดส้ ําเร็จอรหันต์ บา้ นกลั ลวาลมตุ ตคาม พระโมคคัลลานะบรรลุอรหันต์ : แขวงมคธรัฐ - พระโมคคลั ลานะได้บรรลุอรหนั ต์ นับแต่อปุ สมบทได้ ๗ วัน ณ บา้ นกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธรฐั ดว้ ยอบุ ายแก้งว่ ง ๘ ข้อ และปกณิ กธรรมอืน่ ๆ คือ ๑. สัญญา ๒. ตรกึ ธรรม ๓. สาธยายธรรม ๔. ยอนหู ๕. ลบู หน้า ๖. แสงสวา่ ง ๗. จงกรม ๘. สหี ไสยาสน์ โมคคัลลานะ เธอควรสําเนียกในใจไว้อยา่ งนี้ว่า ๑. เราจกั ไมช่ ูงวง (ถือตัว) เข้าไปสตู่ ระกูล : ไมถ่ ือตวั ใหค้ นคอยเอาอกเอาใจนับถอื เกินเหตุ ๒. เราจักไม่พูดคําเปน็ เหตใุ หเ้ ถยี งกัน : พดู มาก กฟ็ งุ้ มาก ๓. เราไมส่ รรเสริญความคลุกคลดี ้วยประการท้ังปวง แต่สรรเสรญิ ความคลุกคลดี ้วย เสนาสนะอันสงดั เป็นทหี่ ลกี เร้นอยู่ตามสมณวสิ ัย พระโมคคัลลานะทลู ถามขอ้ ปฏบิ ตั โิ ดยย่อวา่ \"ภิกษปุ ฏิบัติอย่างไรช่ือวา่ น้อมไปในธรรม ถํ้าสกุ รขาตา ท่สี ้ินตณั หา\" เขาคิชกฏู พระศาสดาตรสั ว่า \"ภกิ ษุไดส้ ดบั ว่าบรรดาธรรมทั้งปวงไมค่ วรถือมนั่ แลว้ ยอ่ มทราบชัด กรงุ ราชคฤห์ ด้วยปัญญาและกาํ หนดรูธ้ รรมทง้ั ปวง เมอ่ื เธอเสวยเวทนาอย่างไร ย่อมพจิ ารณาเหน็ ว่าไม่เทยี่ ง เปน็ เคร่อื งหนา่ ยและสละคนื ในเวทนาเหลา่ นน้ั จติ ก็ไม่ยดึ มนั่ ส่ิงใดๆในโลก เมื่อนนั้ กเิ ลสยอ่ มดบั ไปและทราบชัดวา่ ชาตสิ ิ้นแล้ว ไมม่ กี ิจจะต้องทําตอ่ ไปแลว้ \" พระสารบี ุตรบรรลุอรหันต์ : - พระสารบี ตุ รไดบ้ รรลุอรหนั ต์ นับแต่อปุ สมบทได้ ๑๕ วนั ณ ถํ้าสกุ รขาตา เขาคชิ กฏู พระพทุ ธองค์ \"ทรงแสดงเวทนาปริคคหสูตร และ ทิฏฐิ ๓ จาํ พวก\" แกพ่ ราหมณท์ ีฆนขอัคคเิ วสสนโคตร เวทนาปริคคหสตู ร : อบุ ายเครื่องไม่ถอื มั่น ไดแ้ ก่ ธาตุ ๔ (ดิน น้าํ ลม ไฟ) ประชมุ กันเขา้ เปน็ กายและเวทนา คือ สขุ ทุกข์ อุเบกขา โดยพิจารณาวา่ ไมเ่ ท่ยี ง เปน็ ทกุ ข์ เป็นอนตั ตา ทิฏฐิ ๓ : ๑. ชอบส่งิ ทคี่ วรแก่ตน (ความกาํ หนดั รักใครย่ นิ ดใี นสง่ิ นน้ั ๆ) ๒. ไมช่ อบสง่ิ ทไี่ มค่ วรแกต่ น (ความเกลียดชงั ในสง่ิ น้นั ๆ) ๓. ชอบใจบางส่ิงที่ควร ไมช่ อบใจบางส่งิ ทีไ่ ม่ควร (กาํ หนัด/เกลียดชงั บางสงิ่ ) - พระศาสดาทรงยกย่องพระสารีบตุ รโดยบรรยายไว้หลายประการ ดงั น้ี ๑. เปน็ ผเู้ ลศิ ทางปญั ญา คือ สามารถแสดงธรรมจักรไดค้ ลา้ ยพระองค์ และฉลาดในการส่งั สอนภกิ ษใุ ห้ตงั้ อยู่ในโสดาปตั ตผิ ล ดจุ มารดาผใู้ หก้ ําเนดิ แก่ทารก (พระโมคคลั ลานะดุจนางนม) ๒. เปน็ อคั รสาวกเบอื้ งขวา คือ เป็นคณาจารย์ใหญ่ชว่ ยส่งั สอนบรวิ ารฝ่ายทกั ษณิ ๓. เปน็ ธรรมเสนาบดี คือ เปน็ กําลังใหญ่ ในการชว่ ยประกาศพระศาสนา เหมอื น แมท่ ัพผเู้ ป็นกําลงั ใหญใ่ นการปราบปรามขา้ ศกึ ของพระราชา
ปรเิ ฉทที่ ๗ พระมหากสั สปะ-พระมหากัจจายนะ-พระปุณณมนั ตานีบุตร หลังตรสั รู้ สถานที่ เหตกุ ารณ์สําคญั พรรษาที่ ๒ พระเวฬุวัน พระมหากสั สปะ : กรงุ ราชคฤห์ - มีพราหมณ์นายบา้ นช่อื \"กปิละ\" มบี ตุ รช่ือ \"ปิปผล\"ิ เรียกตามโคตรวา่ \"กัสสปะ\" แค้วนมคธ เม่อื อายุ ๒๐ ปี ไดอ้ าวาหมงคลกบั นางภทั ทกปลิ านี บตุ รีพราหมณ์โกสยิ โคตร แต่ท้งั คเู่ บือ่ หนา่ ยการครองเรอื น ดว้ ยคดิ วา่ ต้องคอยรบั บาป เพราะงานทค่ี นอน่ื ทาํ ไมด่ ี ตําบลท่อี ย่รู ะหว่าง - ปปิ ผลมิ าณพ ออกบวชแล้วได้พบพระพุทธเจา้ ประทับทใ่ี ต้ร่มไทร ชอ่ื \"พหุปุตตนโิ ครธ\" กรุงราชคฤห-์ นาลันทา จงึ เข้าไปเฝา้ แลว้ ทูลขออุปสมบท ทรงแสดงโอวาท ๓ ขอ้ ดงั นี้ เวฬวุ ัน กรุงราชคฤห์ ๑. พงึ เข้าไปต้ังความละอาย ความเกรงใจ ในภิกษุผ้เู ฒา่ และปานกลาง ๒. พงึ เง่ียหฟู งั ธรรมทป่ี ระกอบดว้ ยกศุ ล และพิจารณาเน้อื ความน้นั พรรษาที่ ๒ พระเวฬุวัน ๓. ไม่พึงละสตทิ ่ไี ปในกาย คือ พิจารณาร่างกายให้เป็นอารมณ์ กรงุ ราชคฤห์ ท่านบําเพญ็ เพยี รตามพุทธโอวาท ไมช่ ้าก็ได้สาํ เร็จอรหตั ตผล - พระศาสดาทรงยกยอ่ งทา่ นว่าเปน็ ผู้มกั นอ้ ยสันโดษอยู่ในธูดงค์ ๓ คือ พรรษาที่ ๒-๓ พระเวฬวัน ๑. ทรงผ้าบังสกุ ุลเปน็ วตั ร กรงุ ราชคฤห์ ๒. เทยี่ วบิณฑบาตรเปน็ วัตร ๓. อยูป่ ่าเป็นวัตร พรรษาที่ ๒-๓ พระเวฬวัน ครั้งหนึ่ง พระศาสดาประทับ ณ เวฬวนั ทรงรับสั่งใหท้ า่ นเลิกการถอื ธุดงคว์ ตั ร กรุงราชคฤห์ ท่านแสดงคณุ ของการอยธู่ ดู งค์ไว้ว่า ๑. เปน็ การอย่เู ป็นสุขในบดั นี้ ๒. เพ่อื อนุเคราะห์ชมุ ชนในภายหลัง จงั ได้ถือเป็นแนวทางปฏิบัติตาม พระศาสดาประทานสาธุการ และอนญุ าตให้ท่านถือต่อไปเพอื่ ประโยชน์และสุขแก่มหาชน จาตุรงคสันนิบาต : การประชุมประกอบดว้ ยองค์ ๔ ๑. เปน็ วนั เพญ็ เดอื นมาฆะ (ตรงกับวนั ข้ึนเพ็ญเดอื น ๓) ๒. ภิกษจุ ํานวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นดั หมาย ๓. ลว้ นเปน็ พระอรหนั ต์ผูไ้ ด้อภญิ ญา ๖ ๔. ลว้ นเปน็ เอหภิ กิ ขุ คอื เป็นภิกษทุ ่ไี ด้รับการอปุ สมบทจากพระพทุ ธเจา้ พระพุทธองคท์ รงประทานโอวาท เรยี กว่า \"โอวาทปาติโมกข\"์ พระมหากจั จายนะ : - เป็นปุโรหติ ของพระเจา้ จัณฑปชั โชต ในกรุงอชุ เชนี - พระเจา้ จณั ฑปชั โชตสง่ ทา่ นไปอาราธนาพระบรมศาสดามาสแู่ ควน้ ท่านจึงถือโอกาส ลาอุปสมบทด้วย ทา่ นไปพรอ้ มบริวารอีก ๗ คน - เมอื่ เดนิ ทางถึงกรุงราชคฤห์ ได้เขา้ เฝ้าพระพทุ ธเจา้ ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วบรรลุ เปน็ พระอรหันตพ์ ร้อมทั้งบริวาร ขออุปสมบทแล้วจึงทลู อาราธนาพระบรมศาสนาตามรบั สั่ง - พระบรมศาสดารบั สง่ั ใหท้ า่ นไปประกาศพระศาสนาใหพ้ ระเจา้ จณั ฑปัชโชตและชาวเมอื ง เล่ือมใสแทนพระองค์ - ท่านเปน็ เลศิ ในด้านผู้มปี ฏสิ ัมภิทา ๔ ประการ คอื ๑. อัตถปฏิสัมภิทา คอื ฉลาดในการอธิบายความย่อใหพ้ ิสดาร (ขยายความ) ๒. ธมั มปฏสิ ัมภทิ า คือ รจู้ กั ถือเอาความย่อในภาษติ ท่พี ิสดาร (สรปุ ความ) ๓. นิรตุ ตปิ ฏสิ มั ภทิ า คือ ฉลาดในภาษา เขา้ ใจพูดให้คนเล่ือมใส ๔. ปฏภิ าณปฏิสัมภทิ า คือ มีไหวพรบิ ในการแก้ไขเหตกุ ารณ์เฉพาะหน้า - พระศาสดาทรงสรรเสรญิ ท่านวา่ เป็นผู้ฉลาดในการอธบิ ายความท่ียอ่ โดยพิสดาร พระปณุ ณมันตานีบตุ รบวชในพระพุทธศาสนา - พระอญั ญาโกณฑญั ญะเดนิ ทางไปกรุงกบลิ พัสดุ์ ท่านบวชหลานช่อื \"ปณุ ณมาณพ\" (ลกู ของน้องสาว) หลงั บวชบําเพ็ญเพียรในประเทศชอ่ื ชาตภิ ูมิ ไม่นานก็สําเร็จอรหนั ต์ - ทา่ นตั้งมัน่ ในคณุ ธรรม ๑๐ ประการ คือ ๑.มักนอ้ ย ๒.สนั โดษ ๓. ชอบสงดั ๔. ไมร่ ะคนดว้ ยหมู่ ๕. ปรารภความเพยี ร ๖. บรบิ รู ณด์ ้วยศลี ๗. สมาธิ ๘.ปญั ญา ๙. วมิ ตุ ติ ๑๐ วมิ ตุ ตญิ าณทัสนะ - หวั ขอ้ สนทนาของพระปุณณมนั ตานีบุตรกับพระสารบี ตุ ร : พระสารีบุตรถามว่า ประพฤติพรหมจรรยเ์ พ่อื อะไร? เพอื่ ศลี บรสิ ุทธิ� เพ่ือจิตบรสิ ุทธ�ิ หรอื เพอ่ื ปัญญาบริสุทธ�ิ ท่านตอบแก้ดว้ ยเร่อื งวิสุทธิ� ๗ เหมอื นรถ ๗ พลัด จากเมอื งสาวตั ถ-ี เมืองสาเกต ซ่งึ เป็นประโยชนแ์ กก่ ันและกนั ข้ึนไปโดยลําดับ จนถงึ ความดบั ไม่มีเช้ือเหมือนกนั - พระศาสดาทรงยกย่องท่านวา่ เป็นยอดธรรมกถึก
ปรเิ ฉทท่ี ๘-๙ ราธะพราหมณ์และศษิ ย์ของพรามณ์พาวรี หลงั ตรสั รู้ สถานท่ี เหตุการณ์สําคญั พรรษาท่ี ๒-๓ พระเวฬวัน ราธพราหมณบ์ วชด้วยวธิ ญี ตั ตจิ ตตุ กรรมวาจาเปน็ คนแรก - พระบรมศาสดาเสดจ็ พระดาํ เนินในพระวหิ าร ทอดพระเนตรเห็น \"ราธพารหมณ\"์ กรงุ ราชคฤห์ มีร่างกายซูบผอม ผวิ พรรณเศร้าหมอง จงึ ตรัสถาม ได้ความว่า ราธพราหมณ์อยากบวช แต่ไมม่ ีใครบวชให้ ทรงรบั ส่ังถามภิกษทุ งั้ หลายว่า \"ใครระลกึ ถงึ อุปการะของพราหมณผ์ นู้ ั้นไดบ้ า้ ง?\" พระสารบี ตุ รกราบทลู ว่าระลึกได้ เพราะพราหมณ์นั้นเคยถวายข้าวทัพพหี น่งึ แกท่ า่ น ทรงรบั ส่งั ให้พระสารีบตุ รบวชราธพราหมณด์ ว้ ย \"วธิ ีญัตตจิ ตุตถกรรมวาจา\" แลว้ รบั สัง่ ใหย้ กเลกิ การอปุ สมบทด้วยไตรสรณคมน์ ตัง้ แต่น้นั มากท็ รงอนญุ าตให้สงฆ์ อุปสทบทกลุ บุตรอนื่ ๆ ดว้ ยญตั ตจิ ตุตถกรรมวาจาจนถึงบัดนี้ (คงไวแ้ ต่บรรพชาเปน็ สามเณร) วิธีอปุ สมบทด้วยญตั ตจิ ตตุ ถกรรมวาจา : ตอ้ งพร้อมดว้ ยสมบตั ิ ๔ ๑. ตงั้ ญัตติ = ประกาศใหส้ งฆ์ทราบวา่ จะอปุ สมบทคนช่อื น้นั ครัง้ หนง่ึ ก่อน ๒. สวดอนุสาวนา ๓ ครัง้ = แลว้ ประกาศใหส้ งฆร์ วู้ ่า สงฆ์อปุ สมบทคนชื่อนนั้ อีก ๓ คร้งั - พระราธะเมอ่ื บวชแล้ว วนั หน่ึงได้เขา้ ฟงั ธรรมจากพระพทุ ธองคค์ วามโดยย่อวา่ \"ส่งิ ใดเป็นมาร ทา่ นจงละความกาํ หนัดพอใจในสงิ่ นนั้ \"มาร\" คือ รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ ซ่งึ ไมเ่ ทีย่ ง เป็นทุกข์ ไมใ่ ช่ตวั ตน มีความเกดิ และดับเปน็ ธรรมดา\" - พระสารีบุตรสรรเสริญ พระราธะวา่ เป็นผ้วู ่าง่ายสอนง่าย ตอ่ พระบรมศาสดา - พระพทุ ธองคท์ รงยกย่องพระราธะว่า \"เปน็ เลิศกวา่ ภกิ ษุทง้ั หลายด้านมปี ฏิภาณ\" คอื ญาณแจม่ แจ้งในธรรมเทศนา พรรษาที่ ๒-๓ ปาสาณเจดีย์ ทรงพยากรณ์ปญั หาแก่ศษิ ยพ์ ราหมณพ์ าวรี มคธรฐั - พราหมณพ์ าวรีต้งั อาศรมอย่ทู ีฝ่ ั่งแมน่ ํา้ โคธารี ระหวา่ งกรุงอัสสกะและกรุงอาฬกะ ให้ศษิ ย์ ๑๖ คน ผูกปัญหาไปทูลถามพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า มีอชิตมาณพเปน็ หัวหนา้ พระพุทธองคท์ รงพยากรณต์ ามลาํ ดับดังน้ี ๑. อชติ มาณพ : เมื่อจบคาํ พยากรณก์ ็สําเรจ็ เป็นพระอรหันต์ คาํ ถาม คาํ ตอบ ๑. โลกคือหมู่สตั ว์ ๑.๑ อะไรปิดบงั ไวจ้ งึ หลง? - อวชิ ชาปดิ บงั ไวจ้ ึงหลงจึงมดื บอด ๑.๒ อะไรเปน็ เหตจุ ึงไมเ่ ห็น? - ความอยาก+ความประมาทเป็นเหตุใหไ้ มเ่ ห็น ๑.๓ อะไรเป็นเคร่ืองฉาบสตั วไ์ ว้ - ตณั หาฉาบทาจึงตดิ อย่ใู นโลก ให้ตดิ อยู่? ๑.๔ อะไรเป็นภยั ใหญ่ของสัตวโ์ ลก? - ทุกข์เปน็ ภยั ใหญข่ องสตั ว์โลก ๒. อะไรเปน็ เครอ่ื งห้ามความอยากอันไหล - สติ ไปสู่อารมณ์ต่างๆ? และจะละไดเ้ พราะธรรมอะไร? - ปัญญา ๓. ปญั ญา สติ นามรูป จะดับไป ณ ท่ีใด? - วิญญาณดบั ไปก่อน นามรปู จึงดบั ตาม ๔. อะไรคอื ความประพฤติของชนผ้มู ธี รรม - ตอ้ งไม่กําหนดั ในกาม มใี จไมข่ ุ่นมัว อนั ได้เห็นแลว้ และผู้ยังตอ้ งศกึ ษาอยู่? มีสติทุกอริ ยิ าบถ ๒. ตสิ สเมตเตยยมาณพ : เมอื่ จบคาํ พยากรณ์ก็สําเรจ็ เป็นพระอรหันต์ คําถาม คาํ ตอบ ๑. - ใครช่อื ว่าเป็นผู้สันโดษ ? ภกิ ษผุ สู้ าํ รวมในกาม ปราศจากความอยาก - ความอยากของใครไม่ม?ี มสี ติทุกเม่อื ดบั ความกระวนกระวายเสียได้ - ใครรู้อดีตและอนาคตดว้ ยปัญญา แลว้ ไม่ติดอย่ใู นปัจจุบัน? - ใครเปน็ มหาบรุ ุษ? - ใครล่วงความอยากอันผกู ใจสตั วโ์ ลก? ๓. ปุณณมาณพ : เม่อื จบคําพยากรณ์กส็ ําเรจ็ เป็นพระอรหนั ต์ คาํ ถาม คาํ ตอบ ๑. หมู่มนษุ ยใ์ นโลกนอ้ี าศยั อะไรจึงบูชายัญ - มนษุ ยเ์ หล่านนั้ อยากไดข้ องที่ตนปรารถนา บวงสรวงเทพยดา? อาศัยของท่มี ชี ราทรดุ โทรม จึงบชู ายัญ ๒. หมูม่ นษุ ยเ์ หล่านัน้ ถ้าไม่ประมาทในยญั - การบชู ายัญเปน็ ไปเพ่อื มงุ่ ลาภ ยงั กาํ หนดั ยินดีในภพ ของตนจะขา้ มพ้นชาตชิ ราหรือไม?่ ดงั นน้ั จึงยังไมอ่ าจข้ามพน้ ชาตชิ ราไปได้ ๓. เมื่อเปน็ เชน่ น้ี ใครในเทวโลกและมนุษย์ - ผใู้ ดไม่มคี วามอยาก เพราะเห็นธรรมทย่ี ง่ิ และหย่อน โลกขา้ มพน้ ชาติชราได้แล้ว? ในโลก ไม่มกี ิเลส เรากล่าวผู้นนั้ ข้ามพน้ ชาติชราได้
ปรเิ ฉทที่ ๘-๙ ศษิ ยข์ องพรามณพ์ าวรี หลังตรสั รู้ สถานท่ี เหตุการณส์ าํ คัญ พรรษาที่ ๒-๓ ปาสาณเจดีย์ ทรงพยากรณ์ปญั หาแกศ่ ษิ ยพ์ ราหมณ์พาวร(ี ต่อ) มคธรฐั ๔. เมตตคูมาณพ : เมื่อจบคาํ พยากรณก์ ส็ ําเร็จเปน็ พระอรหันต์ คาํ ถาม คาํ ตอบ ๑. ทุกข์ในโลกน้ีมีมาแต่อะไร? - มีอปุ ธิ คอื กรรมและกิเลสเป็นเหตุ ๒. ผมู้ ปี ญั ญาจะขา้ มพน้ หว้ งทะเลใหญ่ - ดว้ ยบรรเทาความเพลดิ เพลนิ ความยดึ ม่ันในอดตี คือ ชาติ ชรา โศก พิไรราํ พันได้อย่างไร? ปัจจบุ นั และอนาคตเสีย วิญญาณของทา่ นจะ หลุดพน้ จากภพ มสี ติ และละความยดึ ม่ันในอัตตา เสยี ได้ จะละทุกข(์ ชาติ ชรา โศก) ในโลกนี้ได้ ๕. โธตกมาณพ : เมื่อจบคําพยากรณ์ก็สําเร็จเปน็ พระอรหนั ต์ คาํ ถาม คําตอบ ๑. อะไรคือข้อปฏบิ ตั ใิ นการดับกิเลสของตน? - จงมปี ญั ญา สติ ทาํ ความเพียรในพทุ ธศาสนา ๒. ขอพระองค์จงเปล้ืองขอ้ สงสยั นี้เถดิ - เราเปลอ้ื งใครๆจากความสงสยั ไมไ่ ด้ เมือ่ ท่านร้ธู รรมอนั ประเสรฐิ กข็ า้ มพน้ หว้ งทะเลใหญ่ คอื กิเลส ไดเ้ อง ๓. ขอพระองค์จงแสดงธรรมอนั สงัดจากกเิ ลส - ถ้าท่านรู้ว่าความอยากในอดตี ปจั จุบนั อนาคต ทขี่ ้าพเจ้าควรรู้ ส่ังสอนใหข้ า้ พเจา้ เป็นคนโปรง่ เปน็ เหตใุ ห้ตดิ อยู่ในโลก จงละความอยากน้นั เสีย ระงับกิเลสเสียได้ ไมอ่ าศัยสงิ่ ใดเทยี่ วอยใู่ นโลกน้ี อนั เปน็ เหตุให้เกดิ ในภพนอ้ ยใหญ่ ๖. อปุ สวี มาณพ : เม่ือจบคาํ พยากรณ์ก็สาํ เรจ็ เปน็ พระอรหนั ต์ คําถาม คําตอบ ๑. อะไรคอื อารมณ์ท่หี นว่ งเหน่ยี วให้ข้ามห้วงได้ - ท่านจงเปน็ ผมู้ ีสตเิ พง่ อากิญจัญญายตนฌาน ขา้ มหว้ งเสยี เถดิ ทา่ นจงละกิเลส เวน้ ความสงสัย เห็นธรรมทส่ี ้นิ ไปแห่งตณั หาให้ปรากฏชดั ทัง้ กลางวนั และกลางคนื ๒. ผู้ปราศจากความกาํ หนดั ในกาม อาศัย - ได้ อากิญจัญญายตนฌาน น้อมใจไปในฌานน้ัน ผ้นู นั้ ตงั้ อยูใ่ นฌานนั้นไมเ่ สือ่ มเลยไดห้ รอื ไม่? ๓. ถา้ ผนู้ น้ั ไม่เส่ือมจากฌานแลว้ ไซร้ เขาจะยัง - ท่านผรู้ ู้พน้ แลว้ จากกองนามรปู ย่อมดับส้นิ เชื้อ อยใู่ นฌานนั้นหรอื ดบั ขนั ธปรนิ พิ พาน? ไม่เหลือเศษ คือ ดับพร้อมกเิ ลสและขันธ์ วญิ ญาณของคนเชน่ น้นั จะเปน็ ฉนั ใด? ไมต่ อ้ งไปเกดิ เปน็ อะไรอกี เหมอื นไฟท่กี ําลังลม เป่าดับ ไมร่ วู้ า่ ดับไปในทศิ ใดฉะน้นั ๔. ทา่ นผ้นู ั้นดบั แล้ว หรือเป็นแตไ่ มม่ ีตวั - เมอื่ ผู้น้นั ขจัดธรรมท้งั หลายมขี นั ธเ์ ปน็ เหตไุ ด้หมด หรอื ต้งั อยยู่ งั่ ยืนหาอนั ตรายไมไ่ ด?้ ย่อมตดั ทางแห่งการเกดิ เปน็ อะไรๆไดห้ มด ๗. นนั ทมาณพ : เม่ือจบคาํ พยากรณก์ ส็ าํ เรจ็ เป็นพระอรหนั ต์ คําถาม คําตอบ ๑. ชนทง้ั หลายกลา่ ววา่ มุนมี ีอย่ใู นโลก - มุนี คือ ผทู้ ําตนใหป้ ราศจากกองกเิ ลส ขอ้ นีเ้ ปน็ เช่นไร? ๒. สมณพราหมณ์บางพวก กลา่ วความบรสิ ุทธ�ิ - ไมไ่ ด้ ดว้ ยการเห็น ฟัง ศลี พรต ฯลฯ วธิ นี ้นั สามารถ ข้ามพน้ ชาตชิ ราได้หรือไม่ ๓. ถา้ เช่นน้นั ใครสามารถข้ามพน้ ชาตชิ ราได้? - สมณพราหมณผ์ ลู้ ะอารมณท์ ี่ได้เห็น-ฟงั -ร-ู้ ศลี พรต ทงั้ หมด กาํ หนดรูต้ ัณหาว่าเป็นโทษควรละ เป็นผู้หาอาสวะมไิ ด้ ข้ามห้วงไดแ้ ล้ว ๘. เหมกมาณพ : เมอื่ จบคําพยากรณก์ ส็ าํ เรจ็ เป็นพระอรหันต์ คําถาม คาํ ตอบ ๑. ...ขอพระองคท์ รงบอกธรรมเปน็ เหตุถอน - ชนเหล่าใดรูน้ ิพพานว่าเป็นทบี่ รรเทาความกําหนัด ตัณหา ในอารมณ์เป็นท่รี ักแล้ว มสี ติ ดับกิเลสไดแ้ ลว้ ชนเหลา่ น้ันล่วงตัณหาอนั ใหต้ ดิ อยูใ่ นโลกได้ ๙. โตเทยยมาณพ : เมื่อจบคําพยากรณก์ ็สําเร็จเปน็ พระอรหนั ต์ คาํ ถาม คําตอบ ๑. ผใู้ ดไมม่ กี าม-ตณั หา-ความสงสัย - ความพน้ ที่ไมแ่ ปรผนั เปน็ อนื่ อีก ความพ้นของผู้นนั้ เป็นเชน่ ไร? ๒. ผู้นั้นมคี วามหวังความทะเยอทะยานหรอื ไม่? - ไมม่ ี เป็นคนมปี ญั ญาแทห้ รือเปน็ คนกอ่ ตัณหาและ - เปน็ คนมีปญั ญาแท้ ไมก่ ่อตณั หาและทฏิ ฐิ ทฏิ ฐิด้วยปญั ญา? มุนีเปน็ อยา่ งไร? - มุนี คือ ผู้ไมม่ กี ังวล ไมต่ ดิ อย่ใู นกามภพ
ปรเิ ฉทท่ี ๘-๙ ศิษย์ของพรามณพ์ าวรี หลังตรสั รู้ สถานท่ี เหตุการณส์ าํ คญั พรรษาท่ี ๒-๓ ปาสาณเจดีย์ ทรงพยากรณป์ ัญหาแก่ศษิ ยพ์ ราหมณพ์ าวรี(ตอ่ ) มคธรัฐ ๑๐. กปั ปมาณพ : เม่ือจบคาํ พยากรณ์ก็สาํ เรจ็ เป็นพระอรหันต์ คําถาม คาํ ตอบ ๑. ขอพระองค์ตรสั บอกธรรมท่ีเป็นท่ีพึง - นพิ พาน เปน็ ดุจเกาะ ของชนผูอ้ ันชรามรณะล้อมอยู่ ดจุ เกาะ คนรแู้ ลว้ เป็นคนมีสติ เหน็ ธรรมแลว้ เปน็ ท่ีพาํ นกั ของชนกลางสาคร ดบั กิเลสได้แลว้ คนน้ันแลไม่ตอ้ งอยู่ อยา่ ใหเ้ กดิ ทุกข์ได้อีก ในอาํ นาจของมาร ไมต่ อ้ งเดนิ ตามทางของมาร ๑๑. ชตุกณั ณมี าณพ : เมอ่ื จบคาํ พยากรณก์ ส็ าํ เรจ็ เป็นพระอรหันต์ คาํ ถาม คําตอบ ๑. ขอพระองคต์ รัสบอกธรรมเป็นเครอ่ื งละ - ท่านจงละความกาํ หนดั ในกามเสยี ละกเิ ลสใหส้ น้ิ ชาตชิ ราในอัตภาพนี้ ละเคร่อื งกังวลทีย่ ึดไว้ด้วยตณั หา ละทฏิ ฐิมานะ เป็นคนสงบ ระงับกงั วลได้ ปราศจากอาสวะ ๑๒. ภทั ราวธุ มาณพ : เมอ่ื จบคาํ พยากรณก์ ็สําเรจ็ เป็นพระอรหันต์ คาํ ถาม คาํ ตอบ ๑. หมชู่ นทีม่ าจากทต่ี ่างๆ เพ่ือฟงั พระโอวาท - หมชู่ นเหล่านั้น ควรละตณั หาทเี่ ปน็ เหตถุ ือมั่น ขอพระองคจ์ งแก้ปัญหาเพ่อื ชนเหลา่ น้ันเถดิ ในอดตี ปัจจุบัน และอนาคต ใหส้ ้นิ เพราะเขา เหลา่ น้ันยึดมน่ั ถอื มนั่ สง่ิ ตา่ งๆในโลก มารยอ่ ม ตดิ ตามเขาได้ด้วยสงิ่ นนั้ ๆเปน็ เหตุ ภิกษเุ หน็ ดงั นี้ แล้วพึงเป็นคนมสี ติ ไม่ถอื ม่นั ไมก่ งั วลในโลก ๑๓. อุทยมาณพ : เมือ่ จบคําพยากรณ์กส็ ําเรจ็ เปน็ พระอรหันต์ คาํ ถาม คาํ ตอบ ๑. ขอพระองค์ทรงแสดงธรรมเปน็ เครือ่ งพน้ - ธรรมเปน็ เครือ่ งละความพอใจในกามและโทมนสั จากกเิ ลสท่ี เป็นเครอ่ื งพ้นอวชิ ชาเสยี เป็นเครอื่ งบรรเทาความงว่ ง เปน็ เครอื่ งห้ามความ รําคาญ มีอุเบกขากบั สติเป็นธรรมบรสิ ุทธิ� มีความตรกึ ประกอบด้วยธรรมเป็นเบ้ืองหนา้ วา่ น้เี ปน็ ธรรมเครอ่ื งพ้นกเิ ลส และทําลายอวิชชาได้ ๒. โลกมีอะไรผูกไว้? - โลกมีความเพลดิ เพลินผกู พันไว้ อะไรเป็นเครอื่ งสญั จรของโลก - ความตรกึ เป็นเครอื่ งสญั จรของโลก กลา่ วว่า \"นิพพาน\" เพราะละอะไรได้? - เพราะละตณั หาเสียได้ ๓. เมือ่ บคุ คลระลึกถงึ อย่างไร - เมื่อบุคคลไม่เพลดิ เพลนิ ในเจตนาทง้ั ภายในและ วิญญาณจงึ ดบั ? ภายนอก มสี ตริ ะลึกอย่างนี้ วญิ ญาณจึงดบั ๑๔. โปสาลมาณพ : เมอ่ื จบคาํ พยากรณก์ ็สําเรจ็ เปน็ พระอรหนั ต์ คาํ ถาม คําตอบ ๑. ผู้บรรลอุ ากญิ จญั ญายตนะแล้วควรทํา - ลาํ ดบั นนั้ ย่อมพจิ ารณาเห็นธรรมอนั เกดิ พรอ้ มกบั อยา่ งไรตอ่ ไป? ญาณน้ันแจ้งชัด โดยลกั ษณะ ๓ คือ ไมเ่ ท่ยี ง เปน็ ทกุ ข์ เปน็ อัตตา ขอ้ นเี้ ป็นญาณอันถ่องแทข้ องพราหมาณเ์ ช่นนน้ั ผ้มู พี รหมจรรย์ได้อยจู่ บแลว้ ๑๕. โมฆราชมาณพ : เปน็ ผู้มมี านะทฏิ ฐิถอื ว่าตนมีปญั ญามาก พระศาสดาจงึ ให้ถามเป็นคนที่ ๑๕ แต่เมื่อจบคาํ พยากรณก์ ส็ ําเร็จเปน็ พระอรหันต์ได้ คําถาม คําตอบ ๑. ข้าพระองค์จะพจิ ารณาเหน็ โลกอย่างไร? - ท่านจงเปน็ คนมสี ติพิจารณาเหน็ โลกโดยความเปน็ มจั จรุ าชคือความตายจงึ ไมแ่ ลเห็น ของวา่ งเปล่า ถอนความเห็นว่าตวั ตนของเราเสีย (จะไมต่ ามทัน) ทา่ นจะข้ามพ้นมจั จุราชเสยี ได้ ๑๖. ปงิ คยิ มาณพ : เม่ือจบคาํ พยากรณส์ าํ เรจ็ เพยี งโสดาปตั ตผิ ล เพราะมัวแตส่ ง่ จติ คดิ ถึงอาจารย์ เมอื่ อปุ สมบทแลว้ ไดก้ ลับไปแจง้ ข่าวและแสดงธรรมแกป้ ัญหา ๑๖ ข้อน้ันให้อาจารย์ฟัง ภายหลังได้ฟงั โอวาททพี่ ระศาสดาทรงสง่ั สอน จงึ สาํ เร็จเปน็ พระอรหนั ต์ คําถาม คาํ ตอบ ๑. อ้างความแก่ แลว้ ขอพระองคบ์ อกธรรม - ผู้ประมาทยอ่ มเดือดร้อนเพราะรูปเป็นเหตุ เปน็ เครือ่ งละชาติชราในอัตภาพนี้ จงเปน็ ผูไ้ ม่ประมาท และละความพอใจในรูปเสีย ๒. อ้างญาณไปในทิศตา่ งๆของพทุ ธองค์ - ผู้มีตณั หาครอบงํายอ่ มเดือดร้อน แลว้ ขอพระองคบ์ อกธรรมเป็นเคร่ืองละ จงเปน็ ผ้ไู มป่ ระมาท และละตัณหาเสีย ชาตชิ ราในอัตภาพน้ี จะได้ไม่เกดิ อกี
หลังตรสั รู้ สถานที่ ปรเิ ฉทที่ ๑๐-๑๑ พรรษาท่ี ๒-๓ พระเวฬุวนั พระพทุ ธเจ้าเสดจ็ กรงุ กบลิ พัสดุ์ กรุงกบลิ พสั ดุ์ เหตกุ ารณส์ ําคญั กรุงกบิลพัสด์ุ พระพุทธเจา้ เสดจ็ กรุงกบิลพสั ดุ์ - ข่าวการตรสั รูพ้ ระอนตุ ตรสัมมาสัมโพธญิ าณของพระพทุ ธเจ้าไดแ้ พร่กระจายถงึ สวนมะม่วง พระกรรณของพระเจา้ สทุ โธทนะ ทรงสง่ ฑูตมาทลู เชญิ เสด็จไปกรุงกบลิ พัสด์ุ กรงุ ราชคฤห์ แต่คณะฑตู ทั้งหมดไมก่ ลับมา คร้ังสุดทา้ ยทรงส่ง \"กาฬทุ ายีอาํ มาตย\"์ พรอ้ มบริวาร ไปทลู เชญิ เสดจ็ ท้ังหมดได้ฟงั ธรรมแลว้ บรรลอุ รหันต์และบวช อนุปิยอมั พวัน - เม่ือเสดจ็ ถึงกรงุ กบลิ พัสดท์ุ รงประทบั อยู่ที่ \"นโิ ครธาราม\" ของมัลลกษัตรยิ ์ นอกกรงุ กบิลพสั ดุ์ นันทกมุ ารออกบวช : - นันทกุมาร บวชในวันอาวาหววิ าหมงั คลาภเิ ษกกับนางชนบทกัลยาณี บวชด้วยไมเ่ ต็มใจ แต่เพราะเคารพและเกรงใจในพระบรมศาสดามาก จงึ ยอมบวช - เมอื่ บวชแล้วคดิ ถึงแตน่ างชนบทกลั ยาณี พระพุทธองค์จงึ ใช้อบุ ายพาชมหญิงงาม ในท่ตี ่างๆ ภายหลงั ท่านเห็นวา่ ความรกั ไม่มีท่สี ุด จงึ บรรเทาเสียได้ เปน็ ผู้ไมป่ ระมาท บําเพญ็ เพยี รไม่นานก็ไดส้ าํ เรจ็ พระอรหัตตผล ราหลุ กุมารออกบวชเป็นสามเณรองคแ์ รกในพระพุทธศาสนา : - ในวนั ที่ ๗ นบั แตท่ ีม่ ากรงุ กบิลพสั ดุ์ พระนางยโสธรา(พิมพา) ทรงสง่ พระราหลุ ไปทลู ขอราชสมบัติ ฝ่ายพระบรมศาสดาทรงพระดํารวิ ่า บรรดาสมบัตทิ ง้ั ปวงเปน็ ของตามวัฏฏะ ไมม่ นั่ คงถาวรเหมือนอริยทรพั ย์ จึงรบั สง่ั ใหพ้ ระสารีบตุ รบวชราหุลกุมารเปน็ สามเณร องคแ์ รกในพระพุทธศาสนา ด้วยการรบั ไตรสรณคมน์ - พระเจ้าสทุ โธทนะทลู ขอให้งดบวชแก่กุลบุตรท่ีมารดาบดิ าไมอ่ นุญาต - ราหุโลวาท : พระบรมศาสดามักอบรมพระราหลุ เสมอ มี ๒ ขอ้ ๑. ไมพ่ ดู เท็จแม้เพอ่ื จะหัวเราะเล่น ๒. พจิ ารณาปจั จเวกขณ์ คอื การชาํ ระกาย วาจา ใจใหบ้ ริสทุ ธิ� - พระราหุลได้บรรลุอรหตั ตผล หลังอุปสมบทแลว้ ดว้ ยพระธรรมเทศนาเรอ่ื งรปู กมั มัฏฐาน - พระศาสดาทรงสรรเสรญิ พระหุลว่า \"เปน็ เลิศทางผใู้ ครใ่ นการศกึ ษาธรรมวนิ ยั \" การออกบวชของศากยราชกมุ ารทงั้ ๖ ๑. อนรุ ทุ ธะ ๒. ภัททิยะ ๓. อานันทะ ๔. ภคั คุ ๕. กมิ พิละ ๖. เทวทตั (เจ้าโกลยิ ะ) ๗. อบุ าล(ี เปน็ ภษู ามาลา) - ท้งั หมดพร้อมใจกนั ไปเฝ้าพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ณ อนปุ ยิ นคิ ม ทลู ขอบวชโดยใหอ้ ุบาลี บวชก่อน เปน็ การละมานะของตน ๑. พระอบุ าลี : ได้ฟังกมั มฏั ฐานจากพระศาสดา บําเพญ็ เพียรไมน่ านก็สําเร็จอรหนั ตเ์ ป็นองค์แรก - เป็นเลศิ ดา้ นผู้ทรงพระวนิ ยั ท่านเป็นผูว้ ิสชั นาพระวนิ ัย คราวทาํ ปฐมสังคายนา ๒. พระภัททิยะ : ไดบ้ รรลุอรหตั ตผลในพรรษาท่บี วช มกั เปล่งอุทานวา่ \"สขุ หนอๆ\" ๓. พระอนุรุทธะ : ไดบ้ รรลอุ รหตั ตผลในเวลาไม่นานเชน่ กนั - เปน็ เลิศด้านทพิ ยจกั ษุ - ท่านตรกึ ถึงธรรมวินยั = มหาปุริสวติ ก ๘ ประการ มเี นื้อความโดยย่อว่า ๑. ธรรมน้ขี องผูม้ คี วามปรารถนานอ้ ย ไม่ใช่ของผู้มีความปรารถนาใหญ่ ๒. ผูส้ ันโดษ ๓. ผสู้ งัด ๔. ผู้ปรารภความเพยี ร ๕. ผู้มีสติมัน่ คง ๖. ผมู้ ีใจต้ังม่นั ๗. ผมู้ ีปัญญา ๘. ผู้ยินดใี นธรรมท่ีไม่เนนิ ช้า (ขอ้ ๘ เป็นขอ้ ทพ่ี ระพทุ ธองคเ์ พิ่มเตมิ ขึน้ จาก ๗ ข้อที่ท่านตรึก) ๔. พระอานนท์ : บรรลุโสดาปตั ติผล เพราะฟังโอวาทของพระปณุ ณมนั ตานบี ุตร - กอ่ นรับตําแหนง่ เป็นอุปฏั ฐากพระบรมศาสดา ทา่ นทูลขอพร ๘ ประการ คอื ๑. อย่าประทานจีวรอนั ประณตี แก่ขา้ พระพทุ ธเจ้า ๒. อย่าประทานบิณฑบาตอนั ประณตี แก่ขา้ พระพทุ ธเจ้า ๓. อยา่ โปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าอย่ใู นที่ประทบั ของพระองค์ ๔. อย่าทรงพาขา้ พระองค์ไปในที่นมิ นต์ ๕. จงเสด็จไปสู่ที่นิมนต์ ทข่ี ้าพระองค์รับนิมนตไ์ ว้ ๖. ให้ข้าพระองคพ์ าบริษทั ซ่งึ มาเฝ้าแตท่ ไี่ กล เข้าเฝา้ ได้ทันที ๗. ถ้าความสงสัยของขา้ พระองคเ์ กิดขึ้นเม่ือใด ขอใหเ้ ขา้ เฝา้ ทูลถามไดเ้ มื่อนน้ั ๘. ถ้าพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาเรอื่ งใดในที่ลบั หลงั ข้าพระองค์ ขอทรงตรสั บอกธรรมเทศนาเร่ืองนัน้ แกข่ า้ พระองคด์ ว้ ย - เป็นเลิศด้านผูเ้ ปน็ พหูสตู มสี ติ มคี ติ มธี ติ ิ มคี วามเพียร และเปน็ ยอดอุปฏั ฐาก ๕. พระภัคคุ และ พระกมิ พลิ ะ : ไดบ้ ําเพ็ญเพยี รในวิปสั สนาแล้วสาํ เร็จเปน็ อรหนั ต์ ๖. พระเทวทัต : ไดบ้ รรลุเพียงโลกยี ฤทธ�เิ ทา่ นั้น ภายหลังถกู ลาภสักการะครอบงําจติ ประพฤติผดิ พระธรรมวนิ ัย จนเป็นข้าศกึ ตอ่ พระพทุ ธศาสนา
ปรเิ ฉทท่ี ๑๒ พระโสณโกฬิวสิ ะ-พระรัฐบาล-กาํ เนดิ ภกิ ษุณี หลังตรัสรู้ สถานที่ เหตุการณส์ าํ คญั พรรษาที่ ๓-๔ เขาคชิ กฏู พระโสณโกฬวิ สิ ะออกบวช : กรุงราชคฤห์ - กลุ บตุ รชอ่ื \"โสณโกฬิวิสะ\" เม่ือฟงั ธรรมแลว้ ก็ความเหน็ วา่ \"ผู้ครองเรือนไม่อาจประพฤติ พรหมจรรย์ให้บริสทุ ธบิ� ริบรู ณโ์ ดยสิ้นเชงิ ได\"้ จึงขออปุ สมบท พระพทุ ธองคท์ รงอนญุ าต - ครน้ั บวชแลว้ ทาํ ความเพยี รเกนิ ขนาด เดินจงกรมจนเท้าแตกก็ไม่บรรลธุ รรมพิเศษใดๆ พระพทุ ธองคท์ รงทราบเรอ่ื งนั้นจงึ เสดจ็ มาตรัสสอนใหท้ าํ ความเพยี รสายกลาง เปรียบเทย่ี บ ดว้ ยสายพณิ สามสาย แล้วสรุปว่าความเพียรทปี่ รารภเกินขนาดยอ่ มเปน็ ไปเพ่อื ความฟงุ้ ซ่าน หากย่อหยอ่ นเกนิ ไปก็เปน็ ไปเพื่อความเกียจคร้าน ทรงสอนให้ทราบความทีอ่ นิ ทรยี ต์ อ้ งเปน็ ของเสมอๆกนั คือ ศรทั ธากับปัญญา ความเพยี รกับสมาธิ ต้องพอดีๆ กนั ให้ตลอด - เมอ่ื สาํ เร็จอรหตั ตผลแลว้ พระโสณโกฬิวิสะได้พยากรณ์พระอรหันต์ มเี นื้อความดงั น้ี ภกิ ษผุ อู้ รหนั ตน์ ัน้ น้อมไปแลว้ ในคณุ ๖ สถาน คอื ๑. น้อมไปแล้วในบรรพชาออกไปจากกาม ๒. น้อมไปแลว้ ในท่ีสงดั ๓. น้อมไปในความสํารวมไม่เบียดเบยี น ๔. น้อมไปในความสิน้ แหง่ ความถือม่ัน ๕. นอ้ มไปในความส้นิ ไปแห่งความอยาก ๖. นอ้ มไปในความไมห่ ลง - ท่านเป็นเลศิ กว่าภกิ ษุอืนในด้านปรารภความเพียร ถลุ ลโกฏฐติ นคิ ม พระรฏั ฐบาลเถระ : แควน้ กรุ ุ - \"รัฏฐบาล\" บตุ รแหง่ หัวหนา้ นิคมนนั้ เมอ่ื ฟงั ธรรมจากพระบรมศาสดาเกิดความเลอ่ื มใส ขอบวช แต่พระพุทธองคร์ บั สั่งให้ขออนญุ าตมารดาบิดาเสียกอ่ น บิดามารดาท่านไม่อนุญาต ท่านจงึ ใชอ้ บุ ายอดอาหารประทว้ ง จนไดอ้ ปุ สมบทในทส่ี ุด - ทา่ นต้งั อยใู่ นความไม่ประมาท เมอ่ื บวชแล้วเจริญวิปสั สนาไม่เกินครึง่ เดอื นก็ได้บรรลพุ ระอรหันต์ - ท่านกลบั ไปโปรดมารดาบิดาที่บา้ นเดิม และพกั อย่ใู นพระราชอุทยานของพระเจ้าโกรพั ยะ ชอ่ื \"มคิ จิรวัน\" พระเจา้ โกรัพยะตรสั ถามถึงเหตทุ ่ีทําให้คนออกบวช ทา่ นแสดงธรรมเุ ทศ ๔ ข้อ ดงั น้ี ธรรมเุ ทศ ๔ (ธรรมท่แี สดงขนึ้ เป็นหวั ขอ้ ) ๑. โลกคือหมู่สัตว์ อนั ชราเป็นผู้นําเข้าไปใกล(้ ความตาย) ไม่ย่ังยนื (ความแก)่ ๒. โลกคือหม่สู ตั ว์ ๓. โลกคอื หมู่สัตว์ ไม่มผี ู้ป้องกนั ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน (ความเจ็บ) ๔. โลกคอื หมสู่ ตั ว์ ไมม่ ีอะไรเปน็ ของของตน จาํ ตอ้ งละทงิ้ สงิ่ ท้ังปวงไป (ความสน้ิ โภคทรพั ย)์ พร่องอยู่เป็นนติ ย์ ไมร่ ้จู กั อิม่ เปน็ ทาสแห่งตัณหา (ความสนิ้ ญาต)ิ พรรษาที่ ๕ กูฏาคารศาลา กาํ เนดิ ภิกษณุ ี : ปา่ มหาวนั - \"พระนางมหาปชาบดีโคตม\"ี ทลู ขอให้ผหู้ ญงิ ไดบ้ วช ครงั้ แรกท่ีนิโครธาราม แตไ่ ม่สําเรจ็ ใกลก้ รงุ เวสาลี ครงั้ ตอ่ มาทีก่ ูฏาคาร ปา่ มหาวนั สําเรจ็ เพราะพระอานนท์ช่วยกราบทูล (ของพระเจา้ ลจิ ฉว)ี - พระพทุ ธองค์ทรงประทานครธุ รรม ๘ ประการ เป็นอปุ สมั ปทาของนางภิกษุณี ครุธรรม ๘ ประการ ๑. นางภกิ ษุณแี ม้บวชแล้วได้ ๑๐๐ ปี ตอ้ งทําการกราบไหว้ ลกุ ตอ้ นรบั ประนมมอื และ ทาํ สามีจิกรรมอันสมควรอื่นๆ แก่ภิกษุแม้บวชแลว้ ในวนั นน้ั ๒. ภกิ ษุณอี ยา่ พึงอยจู่ ําพรรษาในอาวาสทไ่ี มม่ ีภกิ ษุ ๓. ภกิ ษุณีต้องหวงั ธรรม ๒ ประการ คอื ๑. ถามวนั อุโบสถ ๒. เข้าไปฟงั คําสอนจากภกิ ษุสงฆ์ทุกก่งึ เดือน ๔. ภกิ ษณุ ีอยู่จําพรรษาแลว้ ต้องปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย โดยสถานทงั้ ๓ คือ ๑. โดยไดเ้ ห็น ๒. โดยไดย้ นิ ๓. โดยรงั เกียจ ๕. ภกิ ษณุ ตี อ้ งอาบตั ิหนกั แลว้ ตอ้ งประพฤตมิ านัตในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ปกั ษห์ น่งึ (๑๕ วัน) ๖. ภกิ ษณุ ีตอ้ งแสวงหาอุปสมั ปทาในสงฆ์ ๒ ฝา่ ย เพือ่ นางสขิ มานาผศู้ กึ ษานธรรม ๖ ประการ (ต้งั แต่ปาณาตปิ าตา เวรมณี ถึง วกิ าลโภชนา เวรมณ)ี ครบ ๒ ปี ๗. ภิกษุณอี ย่าพงึ ด่า อย่าพึงเพิดเพ้ยภิกษดุ ้วยอาการอยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ๘. ตง้ั แต่วันนี้เปน็ ตน้ ไป ห้ามไม่ใหภ้ ิกษณุ ีวา่ กล่าวภิกษุ อนุญาตให้ภิกษวุ า่ กล่าวภกิ ษณุ ี (ฝ่ายเดียว) - เงอื นไขการบรรพชาสามเณรี และอุปสมบทนางภกิ ษุณี - ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษณุ ีบวชกมุ ารที ีม่ ีอายไุ มค่ รบอุปสมบทเป็น \"สามเณร\"ี - เม่ือสามเณรีน้นั มีอายุจวนจะอปุ สมบทไดร้ ับสิกขาสมมติจากภิกษณุ สี งฆ์ รบั สิกขาบท ๖ ประการเปน็ \"นางสิขมานา\" จนครบ ๒ ปีกอ่ นจงึ อุปสมบทได้ ห้ามขาดสิกขาบทแมส้ กั ขอ้ หากขาดต้องตงั้ ตน้ รักษาใหม่ (กวดขันกวา่ สกิ ขาบท ๔ ของสามเณร)ี
ปฐมสมโพธกิ ถา ของ สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ความแตกต่างระหวา่ งพุทธประวตั ิกับปฐมสมโพธิ : พุทธประวตั มิ ุ่งตาํ นาน แตป่ ฐมสมโพธิมุง่ อภนิ ิหาร พระสมั มาสัมพุทธเจ้า เป็นผ้อู ุดมด้วยพระคณุ สมบัตอิ ันพเิ ศษ อนั เปน็ ทต่ี ั้งแห่งศรัทธาและเสอ่ื มใสของบัณฑติ ชน = สมั ปทาคณุ ๓ คอื ๑. เหตุสมั ปทา : คณุ สมบัตพิ ิเศษ ๑.๑ พระกรุณาในหมูส่ ัตวไ์ มม่ ปี ระมาณ ๑.๒ พระโพธิญาณพทุ ธการกบารมีธรรม ทีไ่ ดท้ รงบําเพ็ญมาโดยลําดับจนเปน็ ปรมัตถบารมี ๒. ผลสมั ปทา : ทรงถึงพร้อมด้วย ผลสมั ปทามี ๔ ประการ คอื ๒.๑ รปู กาย = ลักษณะมหาบรุ ุษ ๒.๒ อานุภาพ ๒.๓ ปหานะ (การละกิเลส) ๒.๔ ญาณ (ญาณทหี่ ย่งั รูป้ ระจกั ษช์ ัด) ๓. สัตตูปการสมั ปทา : ทรงบําเพ็ญอปุ การะแก่สัตว์ดว้ ยประโยคและอาสยะอนั บรสิ ุทธิ� พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปน็ ผู้มมี งคลสมัยพิเศษ วันเดยี วกนั ในวิสาขปูรณมี ดิถเี พญ็ พระจนั ทร์เสวยวิสาขนกั ขัตฤกษ์เปน็ มหามงคลกาล ๑. วนั ประสูติจากมาตุคพั โภทร ๒. วนั ตรสั รู้อนุตตรสมั มาสัมโพธญิ าณ ๓. วนั เสด็จดับขันธปรินพิ พานดว้ ยอนปุ าทเิ สสนิพพานธาตุ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปน็ ผอู้ ุตสาหะส่งั สอนสตั วใ์ ห้ดาํ เนินตามข้อปฏิบตั ิหนทางแหง่ ประโยชนส์ ขุ ๓ คือ ๑. ประโยชน์ชาติน้ี ๒. ประโยชนช์ าตหิ นา้ (สคุ ติโลกสวรรค)์ ๓. ประโยชนอ์ ย่างย่งิ (นิพพาน) พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า ทรงบัญญัตวิ นิ ยั ในสทั ธรรมท้งั ๓ ประการ คอื ๑. ปริยตั ิ ๒.ปฏบิ ตั ิ ๓. ปฏเิ วธ พระสัมมาสมั พุทธเจ้า แมป้ รินิพพานนานแล้ว ยังปรากฏดว้ ย ๑. รปู กาย คอื พระบรมสารีรกิ ธาตุ ๒. ธรรมกาย คือ พระธรรมคําสง่ั สอนที่ทรงทิง้ ไวใ้ หอ้ นชุ นรุน่ หลงั ไดศ้ ึกษาปฏบิ ตั ิตามสบื ไป ความเกดิ ของพระพุทธเจา้ ท้ังหลายมีได้ยาก กณั ฑท์ ี่ ๑ ชาติกถา พระบรมศาสดาของเราทง้ั หลายเกดิ ข้ึนในกลยี คุ - พระสมั มาสมั พุทธเจ้าอาศัย \"เหตุสัมปทา\" จงึ เสดจ็ อุบัติขน้ึ ในหมชู่ นชาวอริยะ ณ มัธยมชนบท - พระองค์เป็นกษตั รยิ ์โดยพระชาติ - เปน็ โคดมโดยพระโคตร - เป็นโอรสแห่งศากยกษัตริย์ - ทรงเสด็จออกบรรพชาจากศากยตระกลู ตรัสรพู้ ระอนุตตรสมั มาสัมโพธญิ าณ เพราะอาศัย - อาศยั ความพยายามและความเพยี รอนั ชอบ - มนสกิ ารกระทําในจติ โดยชอบแลว้ พวกฤาษแี ต่ตาํ รามหาปรุ ิสลกั ขณะ - คมั ภรี ์พยากรณ์มหาปุริสลักขณะ เปน็ ตําราเก่าแก่กว่าพันปี ฤาษีทง้ั หลายที่เปน็ ตน้ เดมิ แหง่ พวกพราหมณ์ ร้อยกรองไว้ - คัมภีร์พยากรณม์ หาปรุ สิ ลักขณะ : แสดงมหาปรุ สิ ลกั ขณะ ๓๒ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ของพระมหาบรุ ษ - ผรู้ ้มู นตม์ หาปุริสลกั ขณพยากรณศ์ าสตร์ พยากรณค์ ตวิ า่ มี ๒ อยา่ งเท่านั้น คือ ๑. ถ้าทรงอยคู่ รองฆราวาสจะไดเ้ ปน็ \"พระเจ้าจกั รพรรดริ าช\" เป็นใหญใ่ นแผ่นดนิ ปกครองทวีปทั้ง ๔ มีรตั นะ ๗ ประการ คอื ๑. จักรแกว้ ๒. ดวงแกว้ ๓. นางแกว้ ๔. ขนุ พลแกว้ ๕. ขนุ คลังแก้ว(คฤหบดีแกว้ ) ๖. ชา้ งแกว้ ๗. มา้ แก้ว ๒. ถา้ ทรงผนวชบาํ เพญ็ พรต ทรงเพศเปน็ บรรพชติ จะไดเ้ ปน็ \"พระอรหันตสัมมาสมั พทุ ธเจา้ \" เปน็ ศาสดาเอกของโลก พระบรมศาสดาประสูติ ๑. พระองค์ทรงมีสตสิ มั ปชัญญะ จุตตจิ ากภพดสุ ิต หยงั่ ลงส่คู รรภ์ของพระนางสริ ิมหามายา อัครมเหสีแหง่ พระเจ้าสุทโธทนศากยราช ณ เมืองกบลิ พสั ด์ุ ๒. มเี ทพบุตร ๔ องค์ คอยรกั ษาอภิบาลใน ๔ ทศิ ๓. พระมารดามศี ีล ๕ เป็นปกติ ไม่มจี ิตประกอบด้วยกามคุณในบุรุษทงั้ หลาย และไม่มีบุรษุ คดิ ล่วงเกนิ พระนางได้ พร่งั พรอ้ มด้วยความสขุ ไม่มโี รคภยั เบยี ดเบยี น ๔. พระโพธิสตั วอ์ ย่ใู นพระครรภ์ก็ไม่มีโรค บริสุทธิ� มีองค์อวยั วะทงั้ ปวงบรบิ ูรณ์ ปราศจากมลทินท้งั หลาย อยใู่ นครรภ์ พระมารดาครบ ๑๐ เดอื น ๕. เมอ่ื ถงึ กําหนดคลอด วนั เพญ็ เดอื น ๖ พระมารดาประทบั ยนื เปน็ อริยาบถอันงาม (ไมน่ ่ัง-ไม่นอน) ๖. มีปาฏหิ ารยิ ์ ๗ อยา่ ง คอื ๑. พระมารดาทรงประทบั ยนื ๖. ทรงเปล่งวาจาเป็นบุพพนิมติ แห่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ ๒. ประสูติไม่เปรอะเปื้อนดว้ ยครรภมลทิน ๗. แผ่นดนิ ไหว ฯ ๓. มเี ทวดามาคอยรบั กอ่ น ๔. มธี ารนาํ้ ร้อนนํ้าเย็นตกลงมาจากอากาศสนานพระกาย ๕. เมือ่ ประสตู ิออกมาทรงเดนิ ได้ ๗ ก้าว
พระบรมศาสดาประสตู ิ (ตอ่ ) ๙. พระมหาสตั ว์ทรงเปล่งอาภิสวาจาพรหมโวหารวา่ \" อคโฺ คหมสฺมิ โลกสสฺ เราเปน็ เลิศแหง่ โลก เชฏโฺ ฐหมสฺมิ โลกสสฺ เราเปน็ ผเู้ จรญิ ท่สี ุดแห่งโลก เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสสฺ เราเปน็ ผู้ประเสรฐิ ที่สุดแห่งโลก อยมนตฺ มิ า ชาติ ชาตนิ เี้ ปน็ ชาติสดุ ท้าย นตถฺ ิทานิ ปุนพโฺ ว \" บัดน้ภี พใหม่ไมม่ ีอีก ๘. ประสตู ิครบ ๗ วนั พระมารดากท็ ําลายขันธ์ดว้ ยกาลกิรยิ าไป เปน็ ธรรมเนียมธรรมดาที่พระครรภน์ ั้นไมส่ มควรเปน็ ท่ีอาศัยปฏสิ นธแิ หง่ สตั ว์อนื่ มหาปรุ ิสสลกั ขณะ ๓๒ ประการ ๑. มีพระบาทตัง้ ลงดว้ ยดี พน้ื พระบาทเสมอ ไม่แหว่งเว้า ดงั สามัญชน ๒. ใต้ฝ่าพระบาททั้งสองวิจติ รด้วย \"จกั ร\" มซี ก่ี ําไดพ้ ัน มกี ง มดี มุ บริบรู ณง์ ดงาม ฝ่าเทา้ ๓. พระส้นยาว แบง่ ได้ ๔ ส่วน คือ ปลายพระบาท ๒ สว่ น พระชงฆ์ประดิษฐานในสว่ นท่ี ๓ พระปราษณี (พระสน้ ) เป็นส่วนที่ ๔ ๔. มนี ้วิ พระหตั ถแ์ ละนิว้ พระบาทยาวงาม เสมอกนั ไมเ่ หลอื่ มลํา้ กนั มือและเทา้ ๕. มฝี ่าพระหตั ถ์ และฝ่าพระบาทออ่ นเปน็ ปกติ ๖. พระหัตถ์ และพระบาท มลี ายคล้ายตาข่าย ๗. ขอ้ พระบาทตง้ั ลอยอยู่เบ้อื งบน ไม่ตอ่ กบั หลงั พระบาทดังสามญั ชน ขา ๘. มีพระชงฆ์รีเรียว เหมือนแข้งแหง่ เนือ้ ทราย ๙. เม่อื ประทบั ยืนตรง พระหัตถ์ทงั้ สองสามารถแตะถงึ พระชานุท้งั สองได้ อวัยวะเพศ ๑๐. มพี ระคยุ หะซ่อนอยใู่ นฝกั ดจุ คยุ หะแหง่ โคและชา้ ง ผวิ ๑๑. มผี วิ หนงั ดงั ทองคํา ๑๒. มีพระฉวี ผวิ อันละเอียด ธุลไี มต่ ิดพระวรกายได้ ๑๓. มพี ระโลมชาตขิ มุ ละเส้น เสมอกันทุกขมุ ขน ขน ๑๔. พระโลมชาตลิ ว้ นมีปลายข้นึ เบือ้ งบนทุกเสน้ ขอดเปน็ วงเวียนขวา (ทกั ขิณาวฏั ) ดจุ ก้นหอย มสี คี รามเขม้ ดุจดอกอญั ชัญ ๑๕. มพี ระวรกายตง้ั ตรงดงั กายพรหม ๑๖. มีพระมังสะในที่ ๗ สถาน คอื หลังพระหตั ถท์ ง้ั ๒ จะงอยพระอังสาท้ัง ๒ ลําตวั หลงั พระบาททัง้ ๒ พระศอฟบู ริบูรณเ์ ตม็ ด้วยดี ๑๗. มีพระวรกายสว่ นเบอ้ื งหน้าดังกึ่งกายเบือ้ งหนา้ แห่งราชสีห์ ไม่บกพรอ่ ง ๑๘. มรี ะหวา่ งพระปฤษฎางค์อันเตม็ ไมเ่ ป็นร่องดงั ทางไถ ๑๙. มีปริมณฑลดังไมน้ ิโครธพฤกษ์ พระวรกายกบั วาของพระองค์เท่ากนั ลาํ คอ ๒๐. มลี าํ พระศอกลมงามเสมอเปน็ อันดี ๒๑. มเี สน้ เอน็ ทสี่ าํ หรบั กลนื รสเลิศ คือ เอน็ ๗๐๐ ประชมุ รวมท่ีพระศอ คาง ๒๒. มีพระหนดุ จุ คางราชสหี ์ บรบิ ูรณป์ ระดจุ วงพระจนั ทร์ในวันข้ึน ๑๒ คา่ํ ๒๓. มีพระทนตค์ รบ ๔๐ ซ่ี ฟนั ๒๔. มีพระทนตเ์ สมอ ๒๕. มีพระทนตช์ ดิ สนทิ ดี ไม่ห่าง ๒๖. มพี ระเขยี้ วอนั ขาวงาม ลน้ิ ๒๗. มีพระชวิ หา(ลนิ้ )อันพอดี คอื ออ่ นและกว้างใหญ่ เสยี ง ๒๘. มพี ระสรุ เสยี งก้องกังวาน ดงั เสียงพรหม เมื่อตรัสมสี ําเนยี งดังนกการเวก ตา ๒๙. มพี ระเนตรเขียวสนิท ๓๐. มดี วงพระเนตรดงั ตาแห่งโค อุณาโลม ๓๑. มีพระอณุ าโลม ระหว่างพระขนง(ค้ิว) และพระอุณาโลมน้ันขาวอ่อนควรเปรยี บดว้ ยน่นุ ศรี ษะ ๓๒. มพี ระเศียรกลมได้ปริมณฑลในท่ีท้ังปวง ดจุ ประดบั ดว้ ยกรอบพระพักตร์ พราหมณ์ทาํ นายพระมหาบุรุษ - บางพวกพยากรณพ์ ระมหาบรุ ษโดยคติ ๒ - บางพวกพยากรณโ์ ดยคติเดยี ว : เมอ่ื ใดพระมหาบุรษออกบรรพชา กจ็ ะออกบรรพชาตาม =ปัญจวัคคีย์ พระมหาบุรษุ ได้รบั อภบิ าล - ฝา่ ยพระญาตทิ ้ังหลาย คอื สากยิ ะ และโกลยิ ะ บริบาลพระมหาบรุ ษุ ดว้ ยสขุ สมบตั อิ ันไพบลู ย์กว่าพระญาติอื่นๆ - บริบาลด้วยนางนมและกุมารบรวิ ารทัง้ ปวง - ในพระราชนเิ วศน์พระเจา้ สุทโธทนะผบู้ ิดา ขดุ สระโบกขรณี ๓ สระ เพ่อื ประโยชน์เป็นท่เี ลน่ สําราญของพระมหาบรุ ุษ ประกอบดว้ ย สระอบุ ล(บวั ขาบ) สระปทุมชาติ(บวั หลวง) สระปณุ ฑริก (บัวขาว)
ได้ปฐมฌานแตพ่ ระเยาว์ - เม่อื พระมหาบรุ ุษได้ ๗ พรรษา ทรงเสดจ็ ไปในพธิ ีจรดพระนงั คลั แรกนาขวัญ - ทรงเจริญอานาปานสติไดบ้ รรลุปฐมฌาน (มีวติ ก วิจารณ์ ปตี ิ สุข เอกคั คตา) ใต้รม่ ไม้หวา้ - เหตุอศั จรรย์ : เงาไมห้ ว้าไมเ่ คล่อื นไปตามพระอาทิตย์ ทอดรม่ เงาใหพ้ ระมหาบรุ ุษตลอดเวลาท่ีทรงทําสมาธิ ประชาชนและพระราชบิดาเกดิ ความเลอ่ื มใสในบญุ ฤทธิ�ปาฏหิ ารยิ ์ ทาํ การบังคมพระราชโอรส จากน้ันอัญเชิญเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ แม้ทรงบรรลุคุณพเิ ศษแล้วแตย่ ังไมค่ ลอ่ งแคล่ว ฌานนัน้ จึงเสื่อมไป เสวยสุขสมบัติ - พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้นายช่างสร้างปราสาท ๓ ฤดู + บาํ เรอดว้ ยดนตรี สตรี และกามคุณ ๕ บรบิ ูรณ์ - ดํารงอยู่ในฆารวาสสมบัตถิ งึ ๒๙ ปี ประโยชนไ์ ด้เพราะรปู สมบัติ และเคยเสวยกามสขุ - ประโยชน์ของมหาปุริสลักขณสมบตั ิ : เพอ่ื ความเลอ่ื มใสแกเ่ วไนยสัตวบ์ างจาํ พวก - ประโยชน์ของการเคยเสวยกามสขุ : ๑. เพือ่ ข่มเวไนยสัตว์บางจําพวกท่อี าจคดั คา้ นโตเ้ ถียงพระธรรมเทศนา มีกามฉันท์ เป็นต้น พระองค์กจ็ ะทรงอ้างได้วา่ กามารมณท์ ้งั หลาย พระองคเ์ คยประสบ มาแล้ว แตก่ ามท้ังหลายนน้ั มีโทษอย่างนๆ้ี ตถาคตไดเ้ หน็ แล้ว จึงได้ละเสียดงั นี้ ๒. การทพี่ ระองคเ์ คยมีพระชายาและพระโอรส เพือ่ ขม่ ชนบางจําพวกที่สําคญั ว่า พระองค์เป็นปัณฑกมนษุ ย์(กระเทย) ไม่ควรแกฆ่ ราวาสสมบัติ และสามารถ เปน็ ท่ตี ั้งแห่งศรทั ธาของเวไนยสัตว์บางจาํ พวก กณั ฑท์ ี่ ๒ อภิสมั โพธกิ ถา พระมหาบรุ ษุ เสด็จออกบรรพชา ๑. เมือ่ พระมหาบรุ ุษเจริญวยั ได้ ๒๙ พรรษา ไดค้ วามสังเวชสลดพระทยั เมื่อเหน็ เทวฑูต ๓ คอื ชรา พยาธิ มรณะ ทรงละความเมาได้ ๓ อย่าง คอื ๑. ความเมาในวัย = เพลดิ เพลนิ ในความหนุ่มสาว ๒. ความเมาต่อความไมม่ โี รค = เพลดิ เพลินในความแข็งแรง ๓. ความเมาในชวี ิต = ลมื ความตาย สตั วท์ ง้ั หลายอาศัยความเมา ๓ อยา่ งนี้ จงึ ประพฤตชิ วั่ ดว้ ยกาย วาจา และใจ สําคัญปรโลกประหน่งึ ณ ทไี่ กล ๒. ทรงมพี ระทยั นอ้ มไปในบรรพชา เพราะทรงเห็นว่า ๑. ความประพฤตพิ รตเปน็ อนาคารยิ บรรพชิตน้ีเปน็ คณุ ความดี ๒. ความเมาแมท้ ง้ั ๓ ก็จะมิได้เกดิ มี หรอื จะนอ้ ยเบาบางลง ๓. บรรพชิตไม่มีภัยอยเู่ สมอ ๔. ฆราวาสเป็นทางมาแหง่ ธลุ ีละออง มีกามฉันท์ กามวิตก เป็นตน้ เป็นไปเพ่อื ทุกขภ์ ัยมีประการต่างๆ ๓. ทรงปลงพระเกศา ออกบรรพชาทา่ มกลางการกนั แสงของพระชนกนาถและประยูรญาตทิ ้ังหลาย เพอื่ แสวงหาอบุ ายวิเศษ แหง่ พระอนตุ ตรสมั มาสัมโพธญิ าณ ๔. พระองคท์ รงไปแสวงหาทางหลุดพน้ จากสาํ นกั อาจารย์ดัง ๒ ทา่ น ของแควน้ สักกชนบท คอื ๔.๑ อาฬารดาบส กาลามโคตร : ทรงไดบ้ รรลรุ ูปฌาน ๔ และอรปู ฌาน ๓ (อากญิ จัญญายตนสมาบตั ิ) ๔.๒ อทุ ทกดาบส รามบุตร : ทรงไดบ้ รรลุรปู ฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ (เนวสญั ญานาสัญญายตนสมาบัต)ิ พระองค์ทรงเหน็ วา่ สมาบตั ทิ ง้ั ๒ น้ัน ไมเ่ ป็นหนทางเพื่อโพธิญาณ เปน็ เพียงสันติวิหาร หาเปน็ มรรคาเพือ่ ปัญญาตรัสรูไ้ ม่ ๕. ทรงเสด็จไปยงั ตําบลอรุ ุเวลาเสนานิคม แควน้ มคธ ณ ริมฝ่งั แม่น้ําเนรัญชรา ทรงตัง้ สัมมปั ปทานวริ ิยะ ๖. อุปมา ๓ ข้อ ปรากฏแจม่ ชัดแก่พระมหาบุรษุ ๑. ไมส้ ดทชี่ มุ่ ด้วยยาง ท่ีแชอ่ ยู่ในนํา้ อันบคุ คลไมอ่ าจสีให้เกิดไฟได้ เปรียบดว้ ยสมณพราหมณผ์ ไู้ มห่ ลีกออกจากกาม ท้ังยงั ยินดีพอใจรักใครใ่ นกามน้ัน ถึงจะปฏบิ ตั ิอย่างไรกไ็ มส่ ามารถตรัสรู้ได้ ๒. ไมส้ ดทชี่ มุ่ ดว้ ยยาง แตต่ ง้ั อยู่บนบก อนั บคุ คลไม่อาจสใี ห้เกิดไฟได้ เปรียบด้วยสมณพราหมณ์ผ้หู ลีกออกจากกาม แตย่ งั ยินดพี อใจรักใคร่ในกามนนั้ ถึงจะปฏบิ ัติอยา่ งไรก็ไมส่ ามารถตรสั รไู้ ด้ ๓. ไม้แห้งสนิท ทัง้ อยบู่ นบก อันบคุ คลอาจสใี ห้เกดิ ไฟได้ตามตอ้ งการ เปรยี บด้วยสมณพราหมณ์ผหู้ ลกี ออกจากกาม ทั้งไมย่ นิ ดีในกามนัน้ ดว้ ย ย่อมอาจตรัสรู้ได้ ดังน้ี ทรงบาํ เพญ็ ทกุ รกริ ยิ า ลําดับนน้ั พระมหาบรุ ษุ ทรงกลัวนักแตอ่ กศุ ลธรรมอนั จะครอบงําจติ มีกามวิตก เปน็ ตน้ จึงทรงดาํ รเิ รม่ิ บาํ เพ็ญทกุ รกิรยิ า ดังนี้ วาระท่ี ๑ : ทรงกดพระทนต์ดว้ ยพระทนต์ กดพระตาลดุ ว้ ยพระชวิ หา บบี คั้นจติ ดว้ ยจิตใหเ้ รา่ รอ้ น วาระที่ ๒ : ทรงประพฤติอปาณกฌานเพง่ ไมม่ ปี ราณ ทรงกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะท้งั ทางพระนาสิกและพระโอษฐ์ จนลมดนั ออกทางชอ่ งพระกรรณทง้ั สอง วาระท่ี ๓ : ทรงผอ่ นการบรโิ ภคอาหารลดลงๆ ทีละน้อยๆ โดยลาํ ดบั จนสรรี กายซูบผอม มีพระฉวเี หี่ยวแห้งดําคลํ้า พระอัฐิปรากฏทัว่ พระวรกาย เลิกทุกรกริ ยิ า - ทรงดําริวา่ ไมม่ ีผ้ใู ดเสวยทุกเวทนามากเท่าพระองคอ์ กี แลว้ แต่กห็ าไดบ้ รรลพุ ระโพธญิ าณไม่ - ต่อมา ทรงดํารถิ ึง ปฐมฌานทที่ รงเคยได้ครั้งท่ีทรงพระเยาว์ ท่ใี ต้ต้นหว้า ทรงปรารภว่าสมาธิคือหนทางเพอ่ื ตรสั รู้ - สตานสุ ารวี ญิ ญาณ = วิญญาณไปตามสติ ทาํ ใหท้ รงคดิ ได้วา่ สมาธเิ ป็นหนทางการตรัสรู้ ไม่ใชก่ ารทรมานตน
เลิกทกุ รกิรยิ า (ต่อ) - การที่ปัญจวคั คยี ห์ ลีกไปหลังจากพระมหาบรุ ษุ เลกิ กระทาํ ทุกรกิริยานน้ั สนั นษิ ฐานได้ ๒ อย่าง คอื ๑. ประสงคจ์ ะใหเ้ ปน็ พยานร้เู หน็ การบําเพญ็ ทกุ รกริ ยิ า จงึ ได้มากระทาํ วตั รปฏบิ ัติพระองค์มาตลอด ๒. ครน้ั มพี ระประสงคด์ ว้ ยกายวิเวกเพอื่ การปฏิบตั กิ ายในจิต แมผ้ ้อู ยชู่ ดิ ณ ที่เดยี วกัน ไมพ่ ึงเป็นพยานรู้เห็นได้ จึงได้ละทง้ิ พระองค์ไปเสยี การตรัสรู้ ๑. ครนั้ ปัญจวคั คยี ห์ ลีกไปแล้ว ทรงทาํ พระวรกายให้มกี าํ ลังเป็นปกติ พากเพียรในสมาบตั ิ กระทําความเพียรอันชอบ ไมช่ ้าพระองคก์ ็ทรงละนวิ รณ์ ๕ ได้ ด้วยวิกขมั ภนปหาน ทรงบรรลุรูปาวจรฌานท้งั ๔ ๑. ปฐมฌาน มีองค์ ๕ วิตก วจิ าร ปตี ิ สขุ เอกัคคตา ๒. ทตุ ิยฌาน มอี งค์ ๓ ปีติ สุข เอกคั คตา ๓. ตตยิ ฌาน มีองค์ ๒ สุข เอกัคคตา ๔. จตตุ ถฌาน มีองค์ ๒ อุเบกขา เอกัคคตา ๒. จากนั้น ทรงอธษิ ฐาน \"จาตุรงคมหาปธาน\" คอื อธิษฐานความเพยี รอันประกอบดว้ ยองค์ ๔ โดยตั้งพระทัยว่า ๑. หนงั เอน็ กระดกู เนือ้ และเลือดในกายจะเหือดแหง้ ไปเถดิ ๒. คุณพเิ ศษอนั ล้าํ เลศิ ใดทีเ่ ปน็ วสิ ยั อันบคุ คลจะพงึ ถงึ ได้ด้วยเร่ยี วแรงและความเพยี รแห่งบรุ ุษ ๓. เม่อื ไมบ่ รรลถุ งึ คุณพเิ ศษนนั้ จกั ไมส่ ละความเพียร ๔. จิตของเราไมห่ ลุดพน้ พเิ ศษไปจากอาสวะทั้งหลาย ไมถ่ อื ม่ันด้วยอุปาทานเพยี งใด เราจักไมท่ าํ ลายบลั ลงั กน์ ่งั ขดั สมาธิอนั นเี้ พียงน้นั ๓. จติ ของพระองค์ตั้งมัน่ ดว้ ยจตุตถฌาน เป็นจิตที่บริสุทธ�ิ ผอ่ งใส ปราศจากอุปกเิ ลส ทรงนอ้ มจติ ไปเพือ่ ๑. ปุพเพนวิ าสานุสสตญิ าณ (ปฐมยาม) : จุติและเกิดของพระองคใ์ นกาลก่อน ๒. จุตปู ปาตญาณ (มชั ฌมิ ยาม) : จตุ ิและปฏสิ นธแิ ห่งสตั ว์ท้ังหลายไม่มีประมาณ ๓. อาสวกั ขยญาณ (ปจั ฉมิ ยาม) : ทรงเจริญวปิ สั สนา ปรารภหมู่สตั ว์ที่ทรงระลกึ ในญาณทง้ั ๒ เบือ้ งต้น แลว้ สาวไปหาเหตแุ ห่งชรามรณะ จากนัน้ ทรงแสวง หาความดบั สนทิ แหง่ ชรามรณะนัน้ ปฏจิ จสมุปปบาท : สภาพอาศยั ปัจจยั เกดิ ขึ้น เหตุ ปัจจยั ชรามรณะ วญิ ญาณ นามรปู ชรามรณะ ชรามรณะ ชาติ(ความเกดิ ) ชาติ นามรปู ชาต ิ ชาติ ภพ ภพ อายตนะ ๖ อายตนะ ภพ อุปาทาน ๖ อุปาทาน ตณั หา ตัณหา เวทนา ผสั สะ เวทนา ทวารและวิญญาณกระทบกับอารมณ(์ ผัสสะ) ผสั สะ อายตนะ ๖ อปุ าทาน ผัสสะ เวทนา ภพ อายตนะ ๖ นามรูป นามรูป วญิ ญาณ ตัณหา เวทนา ตณั หา อปุ าทาน วิญญาณ นามรปู นามรปู วิญญาณ \"เหมอื นลกู โซท่ ่เี กยี่ วคล้อง วิญญาณ นามรปู กันเปน็ สาย\" นามรูป อายตนะ ๖ อายตนะ ๖ ผัสสะ ผัสสะ เวทนา เวทนา ตณั หา ตณั หา อุปาทาน อปุ าทาน ภพ ภพ ชาติ(ความเกิด) ชาติ ชรามรณะ ๔. คร้ันพระองค์ทรงรู้ในสมทุ ยั นโิ รธอย่างแจ้งชดั แลว้ จงึ นอ้ มจติ เพือ่ อาสวกั ขยญาณ ทรงเจรญิ วปิ สั สนา พจิ ารณาความ เกิดข้ึน ความเสอ่ื ม และความดับในอปุ าทานขันธ์ ๕ อย่ดู ้วยความไม่ประมาท เกิดธรรมจกั ษุญาณหย่ังรอู้ รยิ สัจ ๔ ๑. ทุกข์ = สง่ิ น้ีทุกข์ ๒. สมุทัย = ส่งิ น้ีเหตแุ หง่ ทกุ ข์ ๓. นิโรธ = สิง่ น้ีคอื ความดับแห่งทุกข์ ๔. มรรค = ข้อปฏบิ ตั ิเพือ่ ถึงความดบั ทกุ ข์ เมือ่ พระองคท์ รงทราบชดั จิตของพระองคก์ ห็ ลุดพน้ จากอาสวะทั้งหลาย คอื กามาสวะ ภวาสวะ อวชิ ชาสวะ พระพทุ ธคุณ - อนตุ ตรสัมมาสมั โพธญิ าณ คอื ปัญญาตรสั รู้ชอบโดยพระองค์เอง จงึ เปน็ พุทโฺ ธ ภควา - ครั้งน้นั หมื่นโลกธาตไุ หวสะเทือน แสงสวา่ งไมม่ ปี ระมาณปรากฏขนึ้ ทรงเกิดด้วย \"ธรรมกาย\" แหง่ พระอรหันตสัมมาสมั พุทธเจา้
กณั ฑท์ ่ี ๓ ธมั มเทสนาธิฏฐานกถา เมื่อตรัสรธู้ รรมแล้ว ทรงเสวยวมิ ตุ ติสขุ ณ บริเวณต้นพระศรมี หาโพธิ� ๗ ตาํ บล ตาํ บลละ ๗ วัน (รายละเอยี ดดงั แสดงไวใ้ น ปรเิ ฉทที่ ๓) ทรงพจิ ารณาธรรมที่ได้ตรสั รู้ - คร้นั ล่วง ๗ วันแลว้ พระผู้มพี ระภาคเจา้ จงึ เสด็จพระพทุ ธดาํ เนินกลับยังตน้ อชปาลนิโครธอกี คร้ัง ทรงพระดาํ ริถงึ ธรรม ท่ีทรงบรรลุว่าลกึ ซึง้ ยากทใ่ี ครๆ จะตรัสร้ตู ามได้ - ครนั้ แล้วทรงอาศัยพระมหากรุณาธิคุณในหมสู่ ตั ว์ จึงทรงพระดําริอกี วา่ ชนทั้งหลายย่อมมีอปุ นสิ ยั ต่างๆกัน เป็น ๔ อย่าง ทรงพิจารณาสตั วโลก - พระผมู้ พี ระภาคเจ้าทรงตรวจดูสตั ว์โลกดว้ ยพทุ ธจักษุญาณ ทรงเห็นสตั วเ์ หลา่ นีเ้ ปรียบดว้ ยดอกบัว ๔ เหล่า - ทรงทําเทศนาอธษิ ฐานและทรงตั้งพุทธปณธิ านใคร่จะดาํ รงพระชนมายอุ ยจู่ นกวา่ จะไดป้ ระกาศพระศาสนาให้แพรห่ ลาย ประดิษฐานใหม้ นั่ คงถาวร สาํ เรจ็ ประโยชน์แก่ชนนิกรทุกหมูเ่ หล่า ทรงตง้ั พระหฤทยั จะแสดงธรรม - ทรงพจิ ารณาสถานทป่ี ระดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนา - ทรงตรวจดูอุปนิสัย อธมิ ุตติ และปกตจิ รติ ของเวไนยสัตวท์ ้งั หลาย ซง่ึ เป็นบรษิ ทั ๔ คือ ภิกษุ ภกิ ษณุ ี อบุ าสก อบุ าสิกา - ทรงกาํ หนดอุบาย คือ \"โพธิปักขยิ ธรรม\" มีสตปิ ัฏฐาน เป็นตน้ ซง่ึ เปน็ หนทางนําเวไนยสตั ว์ใหถ้ ึงนพิ พาน - สตปิ ัฏฐาน ๔ (กาย เวทนา จิต ธรรม) เปน็ หนทางเครอ่ื งไปอันเดยี ว = เอกายนมรรค - ความเพียรเป็นเครือ่ งเผากิเลส - สัมปชญั ญะ เปน็ ผู้รู้ทวั่ พร้อม ไม่หลงใหล - สติ ความระลกึ ดาํ รงม่นั - นําออกเสยี ซ่ึงอภชิ ฌาโทมนัสในโลก - ทรงทาํ \"อายุสงั ขาราธษิ ฐาน\" คอื ทรงอธษิ ฐานพระชนมายุ ทรงตง้ั พระทยั จะอยแู่ สดงธรรมจนกว่าพระศาสนาจะตงั้ ม่ัน และพทุ ธบริษัทรูท้ ่วั ถึง ธรรมแล้วจงึ จกั ปรินิพพาน กณั ฑท์ ี่ ๔ ธัมมจักกัปปวัตตนสตู ร ๑. ครั้งแรกพระพุทธองคท์ รงดาํ รจิ ะแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรกนแี้ ก่ อาฬารดาบส กาลามโคตร และ อทุ ทกดาบส รามบตุ ร แตท่ ่านทัง้ ๒ ไดเ้ สียชีวตแิ ล้ว ๒. ลาํ ดบั ต่อมา ทรงระลกึ ถึงปัญจวคั คยี ์ ด้วยมอี ปุ การะชว่ ยอปุ ัฏฐากพระองค์ ทรงเหน็ ด้วยทิพยจักษุวา่ ปญั จวคั คยี อ์ าศยั อยู่ ณ ปา่ อิสิปตนมฤคทายวัน เมอื งพาราณสี ๓. รุ่งเช้าวันข้นึ ๑๔ คํ่า เดอื น ๘ พระองค์เสดจ็ พุทธดาํ เนนิ ม่งุ หน้าสู่กรุงพาราณสี ๔. ทรงพบอปุ กาชีวกซึง่ เดินสวนมาในระหวา่ งทาง บรเิ วณตําบลระหว่างแมน่ ํา้ คยา กบั ตน้ พระศรมี หาโพธ�ิ อปุ กาชีวกเห็น พระรศั มีฉววี รรณของพระพุทธองคผ์ อ่ งใสเกดิ ประหลาดใจ จงึ ทลู ถามถงึ ศาสดาของพระองค์ ทรงตรสั ว่าพระองค์เป็น สยัมภตู รสั รเู้ อง อุปกะไมเ่ ชอ่ื สัน่ ศีรษะแลว้ เดนิ จากไป ๕. ทรงเสดจ็ ถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กอ่ นพระอาทติ ยอ์ สั ดง ๖. ภกิ ษปุ ญั จวัคคยี ์แสดงอาการกระด้างกระเด่อื งต่อพระพุทธองค์ ทรงตรัสเตอื นสติพวกเขาวา่ เคยไดย้ นิ วาจาว่า พระองคไ์ ด้ บรรลุธรรมพเิ ศษในระหวา่ งการบําเพญ็ ทกุ รกริ ยิ าบ้างหรอื ไม่ ดงั นี้ถึง ๒-๓ ครง้ั จงึ ทาํ ใหป้ ัญจวัคคียไ์ ด้คิด และตงั้ ใจฟงั ธรรม ทรงแสดงปฐมเทศนา คือ พระธรรมจักร \"ธมั มจักกัปปวตั ตนสูตร\" คือ พระสตู รท่วี ่าดว้ ยการหมุนล้อพระธรรม และจดั เปน็ ปฐมเทศนา ทรงแสดงพระธรรมเทศนานใี้ นวนั ข้นึ ๑๕ คาํ่ เดือน ๘ มใี จความโดยยอ่ ดงั นี้ บรรพชติ ไมค่ วรเสพทสี่ ุด ๒ อยา่ ง คอื ๑. กามสขุ ัลลกิ านโุ ยค = การประกอบตนให้พวั พนั ในกามสขุ ซ่ึงหย่อนเกนิ ไป ไมเ่ ป็นไปเพื่อตรสั รู้ได้ ๒. อตั ตกลิ มถานโุ ยค = การประกอบตนให้ลําบาก หรือการทรมานรา่ งกายตนเอง จึงจะสามารถบรรลธุ รรมได้ มชั ฌิมาปฏิปทา = ข้อปฏิบัตอิ นั เป็นทางสายกลาง ซึ่งได้แก่ \"มรรคมีองค์ ๘\" ตอนท้ายทรงยกเอา \"อรยิ สจั ๔\" ขนึ้ แสดง ว่าดว้ ย: ๑. สง่ิ ท่คี วรกําหนดรู้ = ทกุ ข์ ๒. สิ่งทค่ี วรละ = สมทุ ัย ๓. สิ่งท่ีควรทาํ ให้แจ้ง = นโิ รธ ๔. สง่ิ ทคี่ วรเจรญิ = มรรค เมื่อแสดงพระธรรมเทศนาจบลง \"ธรรมจกั ษ\"ุ (เรียกผไู้ ด้ดวงตาเห็นธรรม หรอื บรรลุโสดาปัตติมรรค วา่ พระโสดาบัน) ได้บังเกิดขน้ึ แกท่ ่าน \"โกณฑญั ญะ\" ว่า \" สง่ิ ใดสิ่งหน่งึ มคี วามเกดิ ขนึ้ เปน็ ธรรมดา ส่งิ นน้ั ท้งั หมด ล้วนมีความดบั ไปเปน็ ธรรมดา\"
กณั ฑท์ ี่ ๕ อนัตตลักขณสูตร หลงั จากท่พี ระอญั ญาโกญฑญั ญะไดเ้ อหภิ กิ ขอุ ปุ สัมปทาเป็นครั้งแรกแลว้ ทรงสง่ั สอนภกิ ษอุ กี ๔ รปู ให้สาํ เร็จโสดาปตั ตผิ ลและประทานเอหิภกิ ขอุ ปุ สมั ปทา เมอ่ื ทง้ั ๕ รูปมีอนิ ทรียแ์ ก่กล้าแลว้ ทรงแสดง \"อนตั ตลกั ขณสูตร\" ได้สําเร็จพระอรหัตตผลทงั้ หมด ใจความโดยยอ่ ดังน้ี \" ทรงแสดงไตรลักษณ์ : ในตอนแรก : ทรงยก \"ขนั ธ์ ๕\" ขน้ึ แสดงว่าเป็นอนตั ตาทีละข้อ เพราะเปน็ ไปเพ่อื อาพาธ วิบัติ แปรผนั และใครๆ ไมไ่ ดต้ ามปรารถนาว่า ขอจงเปน็ อยา่ งน้ี อย่าไดเ้ ปน็ อยา่ งน้นั เลย ตอนตอ่ มา : ทรงตรสั อนุโยคซกั ถามใหเ้ หน็ วา่ \"ขนั ธ์ ๕\" เป็นของไม่เทยี่ ง สง่ิ ใดไมเ่ ทย่ี ง สง่ิ น้ันเปน็ ทุกข์ สิ่งใดเปน็ ทุกข์ ส่ิงนนั้ เปน็ อนตั ตา ในตอนทา้ ย : ทรงตรสั ใหพ้ ิจารณาเหน็ \"ขันธ์ ๕\" ทงั้ หมดด้วยปญั ญาอันชอบตามเปน็ จริงวา่ แตล่ ะสิ่งมิใชข่ องเรา ไม่เป็นเรา มใิ ช่ตัวใช่ตนของเรา ประมวลความเข้าแล้ว ก็คือ \"ไตรลกั ษณ\"์ นน่ั เอง\" กณั ฑท์ ี่ ๖ จาริกกณั ฑ์ บคุ คล สาเหตทุ อ่ี อกบวช/ศรัทธา พระธรรมเทศนาทไ่ี ดฟ้ งั สถานที่ บรรลุธรรม หมายเหตุ กลมุ่ ของพระยสะ เอหิภกิ ขุฯ อุบาสกคนแรก ๑. ยสกลุ บุตร - เห็นอาการอนั น่าเกลียด ๑. พระโสดาบนั อบุ าสกิ กาคนแรก ของเหลา่ นางบําเรอขณะหลับ ปา่ อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ๒. พระอรหนั ต์ เอหิภิกขฯุ ๒. บดิ าพระยสะ - ฟงั พระธรรมเทศนา พระโสดาบนั เอหิภกิ ขฯุ ๓. มารดาและ - ฟงั พระธรรมเทศนา ๑. อนปุ พุ พกิ ถา ที่บ้าน พระโสดาบัน ภรรยาเกา่ ๒. อริยสจั ๔ ๔. สหายพระยสะ - บวชตามพระยสะ ๑. พระโสดาบัน ๔ คน (วมิ ละ สุพาหุ ปุณณชิ ควมั ปต)ิ ๒. พระอรหันต์ สาํ นกั ของพระยสะ ๑. พระโสดาบัน ๕. สหายพระยสะ - บวชตามพระยสะ ๕๐ คน (เพ่ือนในชนบท) ๒. พระอรหนั ต์ เม่ือพระพุทธองคท์ รงโปรดพระยสะพรอ้ มสหายรวม ๕๕ รูปแลว้ ทรงสง่ ไปเผยแพรพ่ ระศาสนาทันที และมีเหตกุ ารณต์ า่ งๆเกิดข้นึ เปน็ ลาํ ดับๆไป ดังนี้ ลาํ ดับเหตุการณท์ เี่ กดิ ขึน้ รายละเอียด ส่งสาวกไปประกาศพระศาสนารุ่นแรก : จํานวน ๖๐ องค์ (ส่วนพระสัมมาสัมพทุ ธเิ จ้าทรงเสด็จไปโปรดพระเจ้าพมิ พิสารและบรวิ าร) ทรงมีพระกระแสรับส่ังวา่ : \" ดูกอ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เธอท้ังหลายจงเทยี่ วไป เพอื่ ประโยชน์และความสุขแกช่ นเป็นอนั มาก อย่าเดินทางไปรว่ มกนั ๒ องค์ จงแสดงธรรมท่ีไพเราะในเบ้ืองตน้ ทา่ มกลาง และที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ อนั บริสทุ ธ�ิบริบูรณ์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทงั้ พย้ญชนะเถิด\" มารเข้าไปคกุ คาม : จะเขา้ คกุ คามพระพุทธองค์ด้วยบว่ งทเ่ี ป็นของทพิ ย์และของมนษุ ย์ และราคะ แต่ไม่สามารถผกู พระองคใ์ ห้ตดิ ในบว่ งเหลา่ นน้ั ได้ จงึ อันตรธานไป ทรงอนุญาตติสรณคมนูปสมั ปทา : เนอ่ื งจากลาํ บากเพราะการเดินทาง จงึ ทรงอนญุ าตใหพ้ ระสาวกบรรพชาอปุ สมบท กลุ บุตรเอง ด้วยวิธีนี้ได้ ในปฐมโพธกิ าล วิธีบรรพชาอปุ สมบทมีเพยี ง ๒ วธิ ี คอื ๑. เอหิภกิ ขอุ ปุ สัมปทา = พระพุทธเจ้าทรงกระทาํ เอง ๒. ติสรณคมนปู สัมปทา = พระสาวกเป็นผู้กระทํา ประทานโอวาทแกภ่ ิกษุสงฆ์ : \"ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราตถาคตอาศัยการกระทําในใจโดยอบุ ายทช่ี อบ ต้ังความเพียร โดยอุบายท่ีชอบ จงึ ไดบ้ รรลุและกระทําใหแ้ จ้งซง่ึ วมิ ตุ ติอันยอดเย่ียม หลดุ พน้ จาก อาสวะทงั้ ปวง แม้พวกเธอก็จงทาํ เช่นเดยี วกันเรา ดังน้ี\"
กณั ฑท์ ่ี ๗ ราชคหกณั ฑ์ พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเหน็ วา่ ชาวมคธสมบรู ณด์ ว้ ยอุปนิสยั ผทู้ จี่ ะบรรลุธรรมมจี าํ นวนมาก สามารถประดษิ ฐานพระศาสนา ในมคธได้ แตต่ อ้ งอาศัยพระเจา้ แผ่นดิน คือ พระเจ้าพมิ พสิ ารเปน็ กําลงั สาํ คญั มปี ระสงค์จะพาอุรเุ วลกสั สปะผซู้ ่ึงมหาชนนบั ถอื ไปดว้ ย จงึ เสดจ็ ไปยังอรุ เุ วราเสนานคิ มก่อน ระหว่างทางทรงไดพ้ บบุคคลหลายจําพวก ดังนี้ บุคคล สาเหตทุ อ่ี อกบวช/ศรทั ธา พระธรรมเทศนาทไ่ี ด้ฟัง สถานท่ี บรรลุธรรม หมายเหตุ ๑. ภทั ทวัคคีย์ ๓๐ คน - ถกู หญิงแพศยาลกั ทรัพย์ ป่าฝา้ ย พระโสดาบนั - เอหิภกิ ขฯุ ตดิ ตามมาจนไดพ้ บพระพุทธ ๑. อนปุ พุ พิกถา ระหว่างทาง - ส่งไปประกาศศาสนา องค์ ได้ฟังธรรม และ ๒. อรยิ สจั ๔ ไปอรุ ุเวลาฯ ทลู ขอบวช ๒. ชฏลิ ๓ พ่ีนอ้ ง - ถูกพระพุทธองค์ทรมาน ตาํ บลคยาสีสะ - เอหภิ ิกขุฯ พระอรหันต์ - อรุ ุเวลกสั สปะ ดว้ ยปฏหิ ารยิ ต์ ่างๆ จนหมด อุรเุ วลาฯ - นทกี สั สปะ พยศเกิดความเลอ่ื มใส อาทติ ตปรยิ ายสูตร - คยากสั สปะ ลอยบริขารในนํา้ แลว้ ขอบวช พร้อมด้วยบรวิ าร ๑,๐๐๐ คน อาทติ ตปรยิ ายสตู ร : มใี จความโดยยอ่ วา่ \" สิง่ ทง้ั ปวงเปน็ ของรอ้ น ส่ิงท้ังปวงนนั้ คือ อายตนะภายใน ๖ และอายตนะภายนอก ๖ สงิ่ ท่ีทาํ ใหร้ ้อน คอื ราคะ โทสะ โมหะ ชาติ มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั อุปายาส\" บคุ คล สาเหตทุ ่ีออกบวช/ศรัทธา พระธรรมเทศนาทไ่ี ดฟ้ ัง สถานท่ี บรรลุธรรม หมายเหตุ ๓. พระเจ้าพิมพสิ าร - ทราบข่าวจงึ มาเฝ้า ลัฏฐิวัน พระโสดาบัน = พระเจ้าพิมพิสาร พรอ้ มราชบรวิ าร ๑๒ นหุต (สวนตาลหนุ่ม) พระโสดาบนั = ๑๑ นหุต - อุรเุ วลกสั สปะไดป้ ระกาศ ๑. อนุปพุ พิกถา กรุงราชคฤห์ ต้ังในไตรสรณคมน์ = ๑ นหตุ ความไม่มีแก่นสารในลทั ธิ ๒. อรยิ สัจ ๔ - ถวายอุทยานเวฬวนั ของตนต่อหน้ามหาชน ความปรารถนาของพระเจา้ พิมพสิ าร : ๑. ขอให้มหาชนอภิเษกเราในราชสมบตั เิ ปน็ มหากษัตรยิ ์แควน้ มคธ ๒. ขอพระสมั มาสัมพุทธเจา้ เสดจ็ มาสแู่ คว้ นของเรา ๓. ขอใหเ้ ราเข้าไปนั่งใกล้พระผมู้ ีพระภาคเจ้า ๔. ขอให้พระผมู้ ีพระภาคเจา้ แสดงธรรมแก่เรา ๕. ขอเราได้รู้ทั่วถึงธรรมของพระผมู้ พี ระภาคเจ้า บคุ คล สาเหตทุ ี่ออกบวช/ศรทั ธา พระธรรมเทศนาท่ไี ดฟ้ ัง สถานท่ี บรรลธุ รรม หมายเหตุ ๔. พระสารีบตุ ร ๑. อรยิ สจั ๔ แบบยอ่ กรงุ ราชคฤห์ พระโสดาบนั ฟงั ธรรมจากพระอัสสชิ (อุปติสสะ) ๒. เวทนาปริคคหสตู ร ถ้ําสกุ รขาตา พระอรหันต์ แสดงแก่ทีฆนขพราหมณ์ ๕. พระโมคคลั ลานะ (โกลติ ะ) - เบอื่ หน่ายการดูการละเลน่ ๑. อรยิ สัจ ๔ แบบย่อ เขาคิชกูฏ หลงั บวช ๑๕ วนั พระโสดาบัน ฟงั ธรรมจากอปุ ติสสะ ๒. อุบายแก้งว่ ง กลั ลวาลมุตตคาม พระอรหนั ต์ หลังบวช ๗ วัน กณั ฑท์ ่ี ๘ พทุ ธกิจจกถา - เสด็จจาริกไปในสถานท่ีต่างๆเพื่อแสดงธรรมโปรดเวไนยสตั ว์ ตามความเหมาะสมแก่อุปนิสยั และแรงศรทั ธา - ทรงบญั ญัติพระวินัยเป็นข้อๆ เพอ่ื ใหพ้ วกบรรพชิตได้ยดึ ถือเป็นแนวทางประพฤตปิ ฏิบตั ิ พรอ้ มกําหนดโทษหากฝา่ ฝนื พระบญั ญัตนิ ั้นๆ ทั้งทางกายและวาจา โดยอาศัยเรือ่ งต่างๆ ท่เี กดิ มีข้นึ ในสมัยนนั้ เป็นเหตุ อาการทที่ รงแสดงธรรม : ทรงอาศัยประโยชน์ท่จี ะได้รบั ๓ ประการ คอื ๑. ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คอื ประโยชน์ทีจ่ ะพึงไดร้ บั ในชาตนิ ้ี ๒. สัมปรายกิ ัตถประโยชน์ คือ ประโยชนท์ ีจ่ ะพึงได้รบั ในภพหน้า หลงั ละโลกนี้ไปแลว้ ๔. ปรมัตถประโยชน์ คือ ประโยชนอ์ ยา่ งยอดเยย่ี ม ไดแ้ ก่ พระนิพพาน
พระธรรมคาํ สั่งสอนของพระพทุ ธองคท์ ัง้ หมดยอ่ ลงใน \"ไตรสขิ า ๓\" ๑. ศีล : กําจัดกเิ ลสอย่างหยาบ ๒. สมาธิ : กําจดั กเิ ลสอยา่ งกลาง ๓. ปญั ญา : กําจัดกเิ ลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องในสันดาน ให้เบาบางลง เม่ือปญั ญาอบรมจติ ดแี ล้ว ก็จะ \"บรรลุวมิ ตุ ติ\" หลดุ พ้นจากอาสวะและบาปธรรมได้ ดังพทุ ธภาษติ ทีว่ า่ \" สลี ปรภิ าวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส\" \"สมาธอิ ันศลี อบรมดแี ล้ว ย่อมมีผลและอานสิ งส์มาก ก้าวข้ึนไปสวู่ มิ ตุ ติ จติ อนั ปญั ญาอบรมดีแลว้ ยอ่ มหลดุ พน้ จากอาสวะทัง้ ปวง\" ในการแสดงธรรมสั่งสอนนนั้ หากในทปี่ ระชุมประกอบดว้ ย ผูฟ้ งั ครบองค์ ๓ พระองคจ์ ะ \"ทรงแสดงอนปุ ุพพิกถา\" ผฟู้ ังครบองค์ ๓ คือ ๑. เป็นมนุษย์ ๒. เปน็ คฤหัสถ์ ๓. มีอุปนิสยั แกก่ ล้าควรแก่การบรรลุธรรมได้ อนุปพุ พิกถา : การแสดงธรรมไปตามลาํ ดบั หัวขอ้ ได้แก่ ๑. ทานกถา : พรรณนาการบรจิ าคทาน การให้แกค่ นขดั สน ๒. สีลกถา : พรรณนาเรอ่ื งศีล การสํารวมรกั ษากาย วาจา ใหเ้ รียบร้อย ๓. สัคคกถา : พรรณนาสวรรคท์ ีบ่ คุ คลจะพงึ ได้ในกาลภายหน้า ๔. กามาทนี วกถา : พรรณนาเร่ืองโทษแห่งกาม และเรื่องกามเปน็ ของตาํ่ ทราม เศร้าหมอง ๕. เนกขัมมานสิ งั สกถา : พรรณนาเร่ืองอานสิ งสใ์ นการออกจากกามได้ เมอ่ื ใดพระพุทธองค์ทรงทราบวา่ ผู้ฟังอนปุ ุพพิกถามจี ิตใจอ่อนโยน ไกลจากนิวรณ์ ควรแก่การรู้แจง้ ธรรม ดจุ ผ้าทีป่ ราศจากมลทนิ ควรไดร้ บั นาํ้ ยอ้ มสีต่างๆ ฉะนั้น เมื่อน้ัน พระพุทธองคจ์ ะทรงแสดงอรยิ สจั ๔ ทําให้คนผูม้ อี ุปนสิ ยั แก่กลา้ ได้บรรลุมรรคผล (สามุกกงั สิกธรรม คอื ธรรมทีพระพุทธเจ้าทรงยกขนึ แสดงเอง ไดแ้ ก่ อรยิ สัจ ๔ ) ในการทรงสั่งสอนพุทธบริษทั นนั้ พระองคใ์ ช้วิธีการ ๔ อยา่ ง คอื ๑. สันทสั นา : แสดงใหผ้ ฟู้ งั มีความเหน็ คลอ้ ยตาม ๒. สมาทปนา : ชกั ชวนให้ผู้ฟงั อยากจะประพฤตปิ ฏิบตั ิตาม ๓. สมตุ เตชนา : แสดงใหผ้ ้ฟู งั เกิดความกล้าหาญ ๔. สมั ปหงั สนา: แสดงให้ผู้ฟงั เกิดความร่าเรงิ เบิกบาน จุดประสงค์ของการแสดงพระธรรมเทศนาของพระสัมมาสมั พุทธเจา้ คือ ๑. ตรัสรู้ธรรม ๒. รู้ทว่ั ถึงธรรมท่ีทรงแสดง พระธรรมเทศนาทท่ี รงเน้นเป็นพเิ ศษ ๑. \"โพธปิ กั ขิยธรรม ๓๗\" :สติปฏั ฐาน ๔ อินทรีย์ ๕ โพชฌงค์ ๗ สัมมปั ปธาน ๔ พละ ๕ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ อิทธิบาท ๔ ๒. \"ไตรลกั ษณ\"์ : ขันธ์ ๕ เป็นของไมเ่ ที่ยง เปลี่ยนแปลงไม่คงที่ ไมใ่ ชต่ วั ตน ปัญญาท่กี ําหนดนามรปู โดยลักษณะ ๓ ประการนี้ จัดเป็นคุณเบอื้ งสูงของพรหมจรรย์ ปัญญาที่หยงั่ รู้ไตรลักษณน์ ้ี จดั เป็น \"ธัมมฐิติญาณ\"(เกิดก่อนยถาภูตญาณทสั นะ) ปัญญา ธมั มฐติ ญิ าณ ยถาภตู ญาณ นพิ พทิ า ปัจจเวกขณ ชาตสิ ้นิ แล้ว พรหมจรรย์อยจู่ บแลว้ ทัสนะ ญาณ กิจอ่ืนทีจ่ ะตอ้ งทําอีกตอ่ ไปไมม่ ีแล้ว อาการท่ที รงบัญญัติพระวินยั ทรงอาศัยอํานาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ ๑. เพือ่ ความยอมรบั วา่ ดีแห่งสงฆ์ ๖. เพ่ือกําจัดอาสวะในภพเบ้ืองหน้า ๒. เพ่อื ความสําราญแหง่ สงฆ์ ๗. เพ่อื ความเลือ่ มใสของหมชู่ นทยี่ ังไม่เลอื่ มใส ๓. เพื่อข่มขบี่ ุคคลผูห้ น้าดา้ นไร้ยางอาย ๘. เพอื่ ความเลอื่ มใสย่ิงขึ้นของหมู่ชนท่ีเลอ่ื มใสแลว้ ๔. เพื่อความอยสู่ าํ ราญแหง่ ภิกษุผู้มีศลี เปน็ ทร่ี ัก ๙. เพื่อความตั้งมัน่ แห่งพระสทั ธรรม ๕. เพอ่ื ปดิ กั้นอาสวะในปัจจบุ นั ๑๐. เพ่ืออนเุ คราะหพ์ ระธรรมวินัย ประโยชน์ทีม่ งุ่ หมายแหง่ การบัญญตั พิ ระวินยั : เพ่ือผลทส่ี ูงสดุ คือ \"วิมตุ ต\"ิ อยา่ งเดียวเท่านั้น ขอให้สนกุ กับการทําข้อสอบ...สอบไดง้ า่ ยๆ สบายๆ กันทกุ รปู เลยนะครบั !!!
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: