วสั ดอุ ุปกรณใ์ นชวี ติ ประจาํ วนั ด.ช.วรกานต์ บุญแก้ว ม.2/6 เลขที .17
คํานาํ รายงานเล่มนีเปนสว่ นหนงึ ของ รายวชิ า ออกแบบและเทคโนโลยี ได้ จดั ขนึ เพอื ศึกษาวสั ดอุ ุปกรณใ์ น ชวี ติ ประจาํ วนั และได้หวงั เปนอยา่ งยงิ วา่ จะเปนประโยชนต์ ่อคนรุน้ หล้งสบื ต่อไป
สารบญั เรอื ง ไมธ้ รรมชาติ ไมป้ ระกอบ โลหะกล่มุ เหล็ก โลหะนอกกล่มุ เหล็ก เทอรโ์ มพลาสติก เทอโมเชตติงพลาสติก ยางธรรมชาติ ยางสงั เคราะห์ อ้างอิง
ไม เป น ว ัส ด แุ ข ง็ ท ี่ท าํ จ า ก แ ก น ล าํ ต น ขอ งต น ไ ม ส ว น ให ญ เ ป น ไ ม ย นื ต น โ ด ย แ บ ง เ ป น ไ ม เ น ้อื แ ข ง็ เ ช น ไม เ ต ็ง ไ ม แ ด ง แ ล ะ ไ ม เ น ้อื อ อ น เ ช น ไ ม ส กั ไ ม ย า ง พ ารา ไม โ อ ก โด ย น ิย า ม แ ล ว ไ ม จ ะ ห ม าย ถ ึง เ น ้อื เ ย ื่อ ไ ซ เ ล ม็ ช ั้น ท ่สี อ ง ( X y le m ) ขอ งต น ไม แ ต ใ น ค ว าม เ ข า ใ จ ไ ม อ า จ ห ม าย รว ม ไป ถ งึ ว สั ด ใุ ด ๆ ท ่มี ีส ว น ป ระ ก อบ ท าํ ม าจ าก ไม ด ว ย
ไมป้ ระกอบ หมายถึง ผลิตภัณฑ์จากไมท้ ียอ่ ยเปนชนิ ไส เปนฝอย หรอื แยกเปนเสน้ ใย แล้วนาํ มาอัด รวมกันเขา้ เปนชนิ เปนแผน่ ทังนี โดยจะมี วตั ถเุ ชอื มประสานดว้ ยหรอื ไมก่ ็ได้ จดั เปน อุตสาหกรรมทีใชไ้ มข้ นาดเล็ก ตลอดจนเศษ ไมป้ ลายไมใ้ หเ้ ปนประโยชนอ์ ยา่ งสาํ คัญ ไม้ ประกอบอาจแบง่ ออกไดเ้ ปน ๓ พวก คือ แผน่ ชนิ ไมอ้ ัด แผน่ ใบไมอ้ ัด และแผน่ ฝอยไมอ้ ัด
โลหะเหล็ก ( Ferrous Metal ) เปนวสั ดทุ ีมกี ําลังรบั การรบั แรงสงู มคี วามคงทน ตลอดอายุการใชง้ านหากมกี ารบาํ รุงรกั ษาทีดี และมี รูปทรงมาตราฐานทีเมน่ ยาํ ไมเ่ ปลียนแปลงง่าย จงึ ถกู นํามาใชง้ านในด้านต่าง ๆ เชน่ ทําเปนเครอื งมอื กสกิ รรม เครอื งมอื ชา่ ง ใชใ้ นงานก่อสรา้ ง หรอื ใชใ้ น งานอุตสาหกรรมเปนต้น จงึ จดั ได้วา่ โลหะเหล็กมี ความสาํ คัญต่อมนุษยม์ ากเพราะนอกจากจะสรา้ ง ความเจรญิ ใหก้ ับโลกแล้วยงั เปนสว่ นประกอบของ อาวุธยุโทปกรณ์ทีมนุษยน์ ํามาฆา่ ฟนกันอีกด้วย
โลหะนอกกล่มุ เหล็ก หมายถึง โลหะทีไมม่ เี หล็ก เปนองค์ประกอบสว่ นใหญ่ เชน่ ทองแดง, อะลมู เิ นียม, แมกนีเซยี ม, สงั กะสี ฯลฯ ในทาง วศิ วกรรมและอุตสาหกรรมจะใชโ้ ลหะนอกกล่มุ เหล็กในปรมิ าณทีน้อยกวา่ โลหะในกล่มุ เหล็ก ทังนี เนืองเพราะราคาทีสงู กวา่ ของโลหะนอกกล่มุ เหล็กนันเอง ดังนัน จงึ มกั ใชง้ านโลหะนอกกล่มุ เหล็กในกรณีทีจาํ เปน
เทอรโ์ มพลาสติก (Thermoplastic) หรอื เรซนิ เปนพลาสติกทีใชก้ ันแพรห่ ลายทีสดุ ได้รบั ความรอ้ น จะอ่อนตัว และเมอื เยน็ ลงจะแขง็ ตัว สามารถเปลียน รูปได้ พลาสติกประเภทนีโครงสรา้ งโมเลกลุ เปนโซ่ ตรงยาว มกี ารเชอื มต่อระหวา่ งโซพ่ อลิเมอรน์ ้อย มาก จงึ สามารถหลอมเหลว หรอื เมอื ผา่ นการอัดแรง มากจะไมท่ ําลายโครงสรา้ งเดิม ตัวอยา่ ง พอลิเอทิลีน พอลิโพรพลิ ีน พอลิสไตรนี มสี มบตั ิพเิ ศษคือ เมอื หลอมแล้วสามารถนํามาขนึ รูปกลับมาใชใ้ หมไ่ ด้ ชนิด ของพลาสติกใน ตระกลู เทอรโ์ มพลาสติกย
เทอรโ์ มเซตติงพลาสติก (Thermosetting plastic) เปนพลาสติกทีมสี มบตั ิพเิ ศษ คือทนทาน ต่อการเปลียนแปลงอุณหภมู แิ ละทนปฏิกิรยิ าเคมไี ด้ ดี เกิดคราบและรอยเปอนได้ยาก คงรูปหลังการผา่ น ความรอ้ นหรอื แรงดันเพยี งครงั เดียว เมอื เยน็ ลงจะ แขง็ มาก ทนความรอ้ นและความดัน ไมอ่ ่อนตัวและ เปลียนรูปรา่ งไมไ่ ด้ แต่ถ้าอุณหภมู สิ งู ก็จะแตกและ ไหมเ้ ปนขเี ถ้าสดี ํา พลาสติกประเภทนีโมเลกลุ จะเชอื ม โยงกันเปนรา่ งแหจบั กันแน่น แรงยดึ เหนียวระหวา่ ง โมเลกลุ แขง็ แรงมาก จงึ ไมส่ ามารถนํามาหลอมเหลว ได้ กล่าวคือ เกิดการเชอื มต่อขา้ มไปมาระหวา่ งสายโซ่ ของโมเลกลุ ของโพลิเมอร์ (cross linking among polymer chains
ยาง คือวสั ดพุ อลิเมอรท์ ีประกอบด้วยไฮโดรเจนและ คารบ์ อน ยางเปนวสั ดทุ ีมคี วามยดื หยุน่ สงู ยางทีมี ต้นกําเนิดจากธรรมชาติจะมาจากของเหลวของพชื บางชนิด ซงึ มลี ักษณะเปนของเหลวสขี าว คล้าย นํานม มสี มบตั ิเปนคอลลอยด์ อนุภาคเล็ก มตี ัวกลาง เปนนํา ยางในสภาพของเหลวเรยี กวา่ นํายาง ยางที เกิดจากพชื นีเรยี กวา่ ยางธรรมชาติ ในขณะเดียวกัน มนุษยส์ ามารถสรา้ งยางสงั เคราะหไ์ ด้จากปโตรเลียม
ยางสงั เคราะหไ์ ด้มกี ารผลิตมานานแล้ว ตังแต่ ค.ศ. 1940 ซงึ สาเหตทุ ีทําใหม้ กี ารผลิตยางสงั เคราะหข์ นึ ใน อดีต เนืองจากการขาดแคลนยางธรรมชาติทีใชใ้ น การผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์และปญหาในการขนสง่ จากแหล่งผลิตในชว่ งสงครามโลกครงั ที 2 จนถึง ปจจุบนั ได้มกี ารพฒั นาการผลิตยางสงั เคราะหเ์ พอื ให้ ได้ยางทีมคี ณุ สมบตั ิตามต้องการในการใชง้ านที สภาวะต่าง ๆ เชน่ ทีสภาวะทนต่อนํามนั ทนความรอ้ น ทนความเยน็ เปนต้น การใชง้ านยางสงั เคราะหจ์ ะ แบง่ ตามการใชง้ านออกเปน 2 ประเภท
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: