Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สวนพฤกษาศาสตร์

สวนพฤกษาศาสตร์

Published by ธัญวรัตน์ ซองดี, 2020-11-05 03:51:45

Description: นายธนเกียรติ ก๋าสม เลขที่9 ม.5/5
นางสาวธัญวรัตน์ ศองดี เลขที่16 ม.5/5

Search

Read the Text Version

คานา หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์เรื่องสวนพฤกษศาสตร์ใน โรงเรียนเล่มน้ีใชป้ ระกอบวชิ าว 32101 เทคโนโลยี 2 ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 ซ่ึงในเน้ือหาจะอธิบายถึงตน้ ไม้ และดอกไมใ้ นโรงเรียนวงั เหนือวทิ ยาหวงั เป็นอยา่ ง ยงิ่ วา่ จะเป็นประโยชนต์ ่อผทู้ ่ีศึกษาไดเ้ ป็นอยา่ งดี นายธนเกียรติ ก๋าสม เลขท่ี9 นางสาวธญั วรัตน์ ซองดี เลขที่16 ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี5/5 ผจู้ ดั ทา

ดอกชบา ช่ือวทิ ยาศาสตร์: Hibiscus rosa-sinensis L. ช่ืออ่ืน: - วงศ:์ MALVACEA ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์: ไมพ้ ุ่มขนาดกลาง สูง 2-4 ม. ลาตน้ เป็นไมเ้ น้ืออ่อน ส่วนเปลือก น้นั จะเหนียวมาก เป็นเมือกล่ืน ใบ ใบเรียงสลบั ใบเด่ียว รูปไข่ กวา้ ง 5-9 ซม. ยาว 7-12 ซม. โคนใบมนหรือกวา้ ง ปลายใบแหลม ขอบใบหยกั มนหรือ จกั ฟัน เล่ือยหรือเวา้ เป็น 3 พู แผน่ ใบบาง สีเขียวเขม้ กา้ นใบยาว 2-4 ซม. มีหูใบแบบ free lateral stipule ดอก ดอกเดี่ยวออกตามซอกใบใกลป้ ลายก่ิง กลีบดอกช้นั เดียวถึงดอกซอ้ น เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 7-15 ซม. กลีบเล้ียง 5 กลีบ สี เขียว กลีบดอก 5 กลีบ มีสีต่างๆ เช่น แดง ชมพู สม้ ขาว เหลือง ปลายกลีบดอกมนและกลม กา้ นเกสรเพศเมียและเพศผเู้ ช่ือมกนั เป็นหลอดยาว โผล่พน้ กลีบดอก ผล ผลเด่ียวแบบ capsule สีน้าตาล เม่ือแก่จะแหง้ และแตก เป็น 5 แฉก

ดอกลลี าวดี ชื่อพ้ืนเมือง ลีลาวดี,ลน่ั ทม,จาปา, จาปาลาว และจาปาขอม ช่ือวิทยาศาสตร์ Plumeria spp. ช่ือวงศ์ Apocynaceae ช่ือสามญั Frangipani , Pagoda tree, Temple tree แหล่งกระจายพนั ธุ์ พบในบริเวณพ้ืนที่ต้งั แต่ประเทศเมก็ ซิโกตอน ใตถ้ ึงตอนเหนือของทวีปอเมริกา โดยเฉพาะหมู่เกาะทะเลแคริบเบียน ลกั ษณะ มีขนาดต้งั แต่พุ่มเต้ียแคระ จนถึงตน้ ที่สูงมาก ลาตน้ แตกกิ่งกา้ นสขาและพมุ่ ใบสวยงาม มีน้ายางสีขาวขน้ ใบ เป็นใบเดี่ยว มีการเรียงตวั แบบสลบั และหนาแน่นใกลป้ ลายก่ิง ดอก โดยทว่ั ไป จะมีขนาดใหญ่ถึงกลาง กลีบดอกมี 5 กลีบ ฝัก มีลกั ษณะคลา้ ยกบั ฝัก ตน้ ชวนชม ฝักอ่อนสีจะมีสีเขียวเมื่อแก่ฝักจะมีสีแดงถึงดา ประโยชน์ ตน้ = ใชป้ รุงเป็นยารักษาโรคลาไสพ้ ิการของมา้ ใบ = ใบแหง้ ชงน้าร้อนด่ืมรักษาโรคหอบหืด เปลือกราก = เป็นยา รักษาโรคหนองใน ยาถ่าย แกโ้ รคไขขอ้ อกั เสบ ขบั ลม เปลือกตน้ = ตม้ เป็นยาถ่าย ขบั ระดู แกไ้ ข้ แกโ้ รคโกโนเรีย

ต้นสัก ถ่ินกาเนิดของไมส้ กั ไมส้ กั มีช่ือในภาษาองั กฤษวา่ Teak และมีช่ือทางวิทยาศาสตร์วา่ Tectona grandis อยใู่ นวงค์ Verbenaceae มีถ่ินกาเนิดอยใู่ นตอนใตข้ องประเทศอินเดีย พม่า ไทย อินโดนีเซีย และหมู่เกาะอินเดียตะวนั ออก ไมส้ กั เป็นตน้ ไมข้ นาดใหญ่ ข้ึนเป็นหมู่ในป่ าเบญจพรรณทางภาคเหนือ และ บางส่วนของภาคกลางและตะวนั ตก คือ ในทอ้ งท่ีจงั หวดั แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ สาพนู เชียงราย สาปาง แพร่ น่าน ตาก กาแพงเพชร อุตรดิตถ์ พิษณุโลก สุโขทยั เพชรบูรณ์ และ พิจิตรและมีบา้ งเลก็ นอ้ ยในจงั หวดั นครสวรรค์ อุทยั ธานี และกาญจนบุรี ไมส้ กั ชอบข้ึนตามพ้ืนท่ีท่ีเป็นภูเขา แต่ในพ้ืนที่ราบที่น้าไม่ขงั ไมส้ กั กข็ ้ึนไดด้ ี เช่นเดียวกนั ในพ้ืนท่ีที่เป็นดินปนทรายแต่น้าไม่ขงั ไมส้ กั มกั ข้ึนเป็นหมู่ไมส้ กั ลว้ น ๆ และมี ไมข้ นาดใหญ่ ไมส้ กั ชอบพ้ืนที่ที่มีช้นั ดินลึก การระบายน้าดี ไม่ชอบดินแขง็ และน้าท่วมขงั ไมส้ กั ข้ึนไดด้ ีในดินที่เกิดจากหินหลายชนิด แต่ความเจริญงอกงามของไมส้ กั ข้ึนอยู่ กบั ความลึก การระบายน้า ความช้ืน และความอุดมสมบูรณ์ ของดินน้นั ๆ โดยเฉพาะในดินท่ี เกิดจากหินปนู ซ่ึงแตกแยกผผุ งั จนกลายเป็นดินร่วนที่ลึก ไมส้ กั ชอบมากและเจริญเติบโตดี มาก ไมส้ กั ชอบดินท่ีมีความเป็นกลางและด่างเลก็ นอ้ ย คา่ pH ระหวา่ ง 6.5-7.5 ปริมาณ น้าฝน ระหวา่ ง 1,200-2,000มม. ต่อปี ความสูงจากระดบั น้าทะเลปานกลางไม่เกิน 700 เมตร และมีฤดูแลง้ แยกจากฤดฝู นชดั เจนจะทาใหไ้ มส้ กั มีลวดลายสวยงาม

ลกั ษณะบางประการ ไมส้ กั เป็นตน้ ไมผ้ ลดั ใบ ขนาดใหญ่มีลาตน้ เปลา มกั มีพพู อน ตอนโคนตน้ เรือน ยอดกลม สูงเกินกวา่ 20 เมตร เปลือก หนา 0.30-1.70 ซม. สีเทา หรือสีน้าตาลอ่อนแกมเทา แตกเป็นร่องต้ืน ๆ ไป ตามทางยาวและหลุดออกเป็นแผน่ บาง ๆ เลก็ ๆ ใบ ใหญ่ ความกวา้ ง 25-30 ซม. ความยาว 30-40 ซม. รูปใบรีมน หรือรูปไขก่ ลบั แตกจากก่ิงเป็นคู่ ๆ ทอ้ งใบสากหลงั ใบสีเขียว แกมเทา เป็นขน ดอก เลก็ สีขาวนวล ออกเป็นช่อใหญ่ ๆ ตามปลายก่ิงเริ่มออกดอกเดือน มิถุนายน เป็ นตน้ ผล คอ่ นขา้ งกลม ขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง 1-2 ซม. ผลหน่ึง ๆ มีเมลด็ ใน 1-4 เมลด็ เปลือกแขง็ มีขนส้นั ๆ นุ่ม ๆสีน้าตาล หุม้ อยู่ ผลแก่ในราวเดือน พฤศจิกายน-มกราคม ลกั ษณะเน้ือไม้ สีเหลืองทอง ถึงสีน้าตาลแก่ มีลายเป็นเสน้ สีน้าตาลแก่แทรก เส้ียน ตรง เน้ือหยาบ แขง็ ปานกลาง เลื่อยใสกบ ตบแต่งง่าย คุณสมบตั ิบางประการ ไมส้ กั ปลวกและมอดไม่ทาอนั ตราย เพราะในเน้ือไมส้ กั มีสารเคมีพิเศษอยชู่ นิด หน่ึง ช่ือ O-cresyl methyl ether สารเคมีชนิดน้ีคน้ พบโดยนกั วทิ ยาศาสตร์ของ กรมป่ าไม้ มีคุณสมบตั ิ เม่ือทาหรืออาบไมแ้ ลว้ ไมจ้ ะมีความคงทนต่อ ปลวก แมลง เห็ดรา ไดอ้ ยา่ งดียงิ่ นอกจากน้ีในไมส้ กั ทอง ยงั พบวา่ มีทองคาปนอยู่ 0.5 ppm. (ไมส้ กั ทอง 26 ตน้ มีทองคาหนกั 1 บาท) ไมส้ กั เป็นไมเ้ น้ือแขง็ ตามมาตรฐานของกรมป่ าไม้ จากการทดลองตามหลกั วชิ าการไมส้ กั มีความแขง็ แรงสูงกวา่ 1,000กก./ตร.ซม. และมีความทนทานตามธรรมชาติ จากการทดลองนาส่วนท่ีเป็นแก่นของไมส้ กั ไปทดลองปักดิน ปรากฏวา่ มีความทนทาน ตามธรรมชาติเกินกวา่ 10 ปี (ระหวา่ ง 11-18 ปี )

อินทนิลบก ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lagerstroemia macrocarpa var macrocarpa ช่ือวงศ์ : LYTHRACEAE ชื่อสามญั : Inthanin bok ช่ือทอ้ งถ่ิน : อินทนิลบก (กลาง) ; กากะเลา (อุบลราชธานี) ; กาเสลา ลกั ษณะลาตน้ : เป็นไมต้ น้ ผลดั ใบ สูงประมาณ 5- 12 เมตร เป็นไมท้ รงพุม่ เปลือกสี น้าตาล ผวิ เปลือกตน้ แตกเป็นร่องต้ืนใหใ้ บดก เป็นไมท้ ี่ใหร้ ่มเงา ลกั ษณะใบ : เป็นใบเด่ียว รูปไขก่ ลบั ออกตรงขา้ มกนั ขอบใบเรียบ ปลายแหลม โคน มน ผวิ ใบมนั และหนา สีเขียวเขม้ กวา้ ง 10-15 ซม. ยาว 20-27 ซม.ใบเป็นพืชอาหาร ของหนอนผเี ส้ือกลางคืน ลกั ษณะดอก : ออกดอกเป็นช่อท่ีปลายก่ิง ดอกตมู เป็นกอ้ นกลมขนาด 1 ซม. ดอก อินทนิลบกมีหลายสี เช่น ม่วงเขม้ ม่วงอ่อน ชมพอู มม่วง ชมพอู ่อนเกือบขาว มีกลีบ ดอก 6 กลีบ รูปทรงดอก ค่อนขา้ งกลม ขอบกลีบหยกั ยน่ แผน่ กลีบบางและน่ิม โคน กลีบเรียวเป็นกา้ น เช่ือมกบั กลีบรองที่เป็นรูปถว้ ย กลีบรองปลายแฉก 6 แฉก สี น้าตาลแดงเมื่อดอกบานเตม็ ที่เสน้ ผา่ ศูนยก์ ลาง 5- 10 ซม. จะออกดอกช่วงเดือน มีนาคม-พฤษภาคม ลกั ษณะผล : เป็นรูปกลมรี เปลือกแขง็ เม่ือผลแก่จะแตกออก มีเมด็ ดา้ นในเป็น จานวนมาก (ส่วนใหญ่ใน 1 ผล จะมีเมด็ 6 เมด็ )

ต้นชาทอง รหสั พรรณไม้: 7-56000-002-009 ช่ือพนื้ เมือง : ชาทอง พวงม่วง เทียนหยด ฟองสมุทร ช่ือวทิ ยาศาสตร์: Duranta repens . ช่ือวงศ์: VERBENACEAE ลกั ษณะวสิ ัย : ไมพ้ ุ่ม ลกั ษณะเด่นของพชื : ไมพ้ ุม่ แตกก่ิงกา้ นสาขามาก สูง ๑.๘o เมตร ตามกิ่งมีหนาม เลก็ นอ้ ย เปลือกตน้ หยาบ ขรุขระ ใบเด่ียว เรียงแบบเป็นคตู่ รงกนั ขา้ ม ใบรูปหอก ขนาด๒.๕เซนติเมตร ยาว ๕.๕ เซนติเมตร ปลายเรียว แหลม โคนใบรูปลิ่ม ขอบใบจกั เป็นฟันเลื่อยซอ้ น ใบมีสีเหลืองจนสีเขียว ดอกเป็น ช่อเชิงลด ประโยชน์: เป็นไมป้ ระดบั ใชต้ กแต่งสวน ปลูกเป็นร้ัว บริเวณท่พี บ : ขา้ งอาคารเฉลิมหลา้ ฯ ดา้ นทิศตะวนั ออก เขตพ้ืนท่ีศึกษาE ถ่ินกาเนิด อเมริกา เขตร้อน การกระจายพนั ธ์ุ : ในประเทศไทย พบในทว่ั พ้ืนที่เขตร้อน ในประเทศอ่ืนๆ ประเทศในเขตร้อน นิเวศวิทยาตอ้ งการแสงมากชอบความช้ืน เวลาออกดอกตลอดปี การขยายพนั ธุป์ ักชาก่ิงตอนกิ่ง ลกั ษณะวสิ ัย : ไมพ้ ่มุ เรือนยอด ทรงพ่มุ : รูปร่ม ความสูง 2 ม. ความกวา้ งทรงพุ่ม 0.45 ม.

ถน่ิ อาศัย : พืชบก ลาต้น : ลาตน้ เหนือดิน ต้งั ตรงเองได้ เปลอื กลาต้น : สีน้าตาลอมเทา ลกั ษณะ : ขรุขระ ยาง : ไม่มี ชนิดของใบ : ใบเดี่ยว สีเขียวอ่อนอมเหลือง ขนาดแผน่ ใบ กวา้ ง 2.5 ซม. ยาว 5.5 ซ.ม. ลกั ษณะพิเศษของใบ มีความนิ่ม การเรียงตวั ของใบบนก่ิง : ตรงขา้ ม รูปร่างแผ่นใบ : รูปรี ปลายใบ : เรียวแหลม โคนใบ : สอบเรียว ขอบใบ : เรียน ดอก : ดอกช่อ ตาแหน่งออกของดอก : ปลายยอด กลบี เลยี้ ง : แยกจากกนั มีจานวน 6 กลีบ สี เขียว กลบี ดอก : โคนเชื่อมติดกนั ปลายแยกเป็น 5 แฉก สี ม่วง รูปกงลอ้ เกสรเพศผู้ : จานวน 5 อนั สีครีม เกสรเพศเมยี : จานวน 2 อนั สีเขียว รังไข่ : รังไขเ่ หนือวงกลีบ กลนิ่ : กล่ินหอม ชนิดของผล : ผลเด่ียว ผลสด เมลด็ เด่ียวแขง็ สีของผล : ผลอ่อน สีเขียว ผลแก่ สีสม้ รูปร่างผล : กลม เมลด็ : จานวน 1 เมลด็ สีของเมลด็ : สีสม้ รูปร่างเมลด็ : กลม

ดอกเขม็ ช่ือวทิ ยาศาสตร์ : Ixora chinensis Lamk.Ixora spp. วงศ์ : RUBIACEAE ลกั ษณะทว่ั ไป ตน้ เขม็ เป็นพรรณไมย้ นื ตน้ มีพมุ่ ขนาดเลก็ จนถึงขนาดกลางขนาดลา ตน้ มีความสูงประมาณ3-5 เมตรลาตน้ เป็นตน้ เดี่ยวหรือแตกกอแผส่ าขา ออกไปเป็นตน้ ตน้ เลก็ กลมขนาดเสน้ รอบวงประมาณ 4-10 เซนติเมตร ลาตน้ เรียบสีน้าตาลก่ิงยอดมีสีเขียวแตกก่ิงตรงข้ึนดา้ นบน ใบเป็นใบ เด่ียวออกเป็นคู่สลบั กนั รอบตน้ และก่ิง ใบแขง็ เปราะมีสีเขียวสด โคน ใบมนปลายใบแหลม ลกั ษณะใบมีขนาดและรูปร่างแตกต่างกนั ตาม ชนิดพนั ธุอ์ อกดอกเป็นช่อออกตรงส่วนยอดซ่ึงมีกา้ นดอกชูไวภ้ ายใน ช่อประกอบดว้ ยดอกเลก็ ๆลกั ษณะเป็นหลอดเลก็ ๆ ซ่ึงมีกลีบอยู่ ส่วนบน ประมาณ 4-5 กลีบ กลีบเลก็ แหลม ลกั ษณะดอกและสีสรร แตกต่างกนั ไป

ดอกพุด พุดซ้อน (Cape jasmine/Gardenia jasmine) หรือที่หลายคนรู้จกั กนั ในช่ือ พดุ จีน พดุ ใหญ่ อินถะหวา และเคด็ ถวา มีช่ือวทิ ยาศาสตร์วา่ Gardenia augusta (L.) Merr. หรือ Gardenia jasminoides จดั อยใู่ นวงศ์ Rubiaceae เช่นเดียวกบั พดุ น้าบุศยแ์ ละเขม็ ป่ า ตน้ กาเนิดมาจากประเทศจีน ไทย ไตห้ วนั และญ่ีป่ ุน เป็นไมพ้ ุ่มสมุนไพร ดอกสีขาวสวย กลีบซอ้ นเป็นช้นั กล่ินหอมสด ชื่น คนส่วนใหญ่จึงนิยมปลกู ประดบั บา้ น ประดบั สวน แถมยงั นาไปร้อยเป็น พวงมาลยั บูชาพระ และใชเ้ ป็นดอกไมป้ ักแจกนั ไหวพ้ ระดว้ ย ลกั ษณะต้นพดุ ซ้อน พุดซอ้ นเป็นไมพ้ ุ่มขนาดเลก็ ทรงกลมหนาทึบ ไม่ผลดั ใบ สูงประมาณ 1-3 เมตร ลาตน้ เรียว เปลือกเรียบ ผวิ สีน้าตาล แตกก่ิงกา้ นมาก ใบเป็นใบเดี่ยว รูปไข่ ปลายใบ เรียว โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ สีเขียวเขม้ เป็นมนั ส่วนดอกออกตามซอกใบตลอดท้งั ปี สีขาวสะอาด กล่ินหอมแรงตอนเยน็ ถึงเชา้ ปลายดอกแยกซอ้ นกนั หลายช้นั มีผลสด รูปไข่ มีเมลด็ จานวนมาก

ดอกเฟื่ องฟ้ า เฟื่ องฟ้ า (ช่ือวทิ ยาศาสตร์: Bougainvillea) เป็นไมย้ นื ตน้ ประเภทพุม่ ก่ึงเล้ือย ขนาดต้งั แต่พมุ่ เลก็ ถึงพมุ่ ใหญ่ มีหนามข้ึนตามลาตน้ อยู่ ใบเดี่ยว แตกออก สลบั กบั กิ่ง หรือเย้อื งกนั มีขนข้ึนปกคลุมเลก็ นอ้ ย มีสีเขียวหรือใบด่าง รูปร่างรีแหลมยาว 3-6 ซม. กวา้ ง 2-3 ซม. ใบประดบั ลกั ษณะคลา้ ยรูปหวั ใจหรือรูปไข่มี 3-5 ใบ มีหลายสี เช่น ม่วง แดง ชมพู สม้ ฟ้ า เหลืองและอ่ืนๆ มีท้งั ดอกสมบรู ณ์เพศและไม่สมบรู ณ์เพศ ออกเป็นช่อ ตามซอก ใบหรือปลายก่ิง แต่ละช่อมี 3 ดอก เป็นหลอดยาว 1-2 ซม. ตอ้ งการแสงแดดจดั ในสภาพกลางแจง้ ไดร้ ับแสงแดดตลอดวนั ถา้ ไดร้ ับแสงแดดไม่ เพียงพอจะทา ใหส้ ีของใบไม่เขม้ ออกดอกนอ้ ย ตอ้ งการอุณหภูมิ ปานกลางหรือร้อน ช้ืน เมื่อโตข้ึน ตอ้ งการน้าปานกลาง ถึงคอ่ นขา้ งต่า ถา้ รดน้ามากเกินไปจะไม่ออกดอก ขยายพนั ธุ์ดว้ ยการปักชากิ่ง, ตอนกิ่ง, เสียบยอด เฟ่ื องฟ้ าถูกคน้ พบคร้ังแรกในประเทศบราซิลโดยนกั พฤกษศาสตร์ชาวฝร่ังเศสราว ค.ศ. 1766-1769 และไดถ้ กู นาไปปลูกยงั ส่วนต่าง ๆ ของโลก เริ่มจากยโุ รป อเมริกา เหนือ และเอเชีย สาหรับในประเทศไทย มีการนาพนั ธุเ์ ฟ่ื องฟ้ าเขา้ มาจากสิงคโปร์คร้ัง แรกราว พศ. 2423 ใน สมยั รัชกาลที่ 5พนั ธุเ์ ฟ่ื องฟ้ าในประเทศไทยมีไม่นอ้ ยกวา่ ต่างประเทศ เนื่องจากเฟ่ื องฟ้ าเจริญเติบโตไดด้ ีในประเทศไทย และกลายพนั ธุ์เกิดเป็น พนั ธุใ์ หม่ข้ึนมากมาย

ดอกพกิ ุล สัญลกั ษณ์ ตน้ พิกลุ เป็นพนั ธุไ์ มม้ งคลพระราชทานประจาจงั หวดั ลพบุรี และเป็นตน้ ไมป้ ระจาเขตมีนบุรี ใน กรุงเทพมหานคร[1] ส่วนดอกพิกลุ เป็นดอกไมป้ ระจาจงั หวดั กาแพงเพชร จงั หวดั ยะลา และ จงั หวดั ลพบุรี และเป็นดอกไมป้ ระจาโรงเรียนราชินี โรงเรียนราชินีบน โรงเรียนสตรีวทิ ยา 2 โรง เรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา๒ โรงเรียนวดั ราชโอรส โรงเรียนสกลราชวิทยานุกลู โรงเรียน บรรหารแจ่มใสวิทยา 3 โรงเรียนบางบ่อวทิ ยาคม และ มหาวทิ ยาลยั นราธิวาสราชนครินทร์ ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ พิกลุ เป็นไมย้ นื ตน้ ใบเด่ียว เรียงเวยี นสลบั รูปรี รูปไขก่ วา้ ง 2-6 เซนติเมตร ยาว 7-15 เซนติเมตร ปลายใบแหลมเป็นต่ิงขอบใบเป็นคล่ืน ดอกเด่ียว อยรู่ วมกนั เป็นกระจุกที่ปลายกิ่งหรือท่ีซอกใบ กลีบเล้ียง 8 กลีบ เรียงซอ้ นกนั 2 ช้นั กลีบดอกประมาณ 24 กลีบ เรียงซอ้ นกนั โคนกลีบดอกเช่ือม ติดกนั เลก็ นอ้ ย ดอกสีขาว เมื่อใกลโ้ รยสีเหลืองอมน้าตาล ดอกบานวนั เดียวแลว้ ร่วง มีกล่ินหอม ออกดอกตลอดปี ผลสีเหลือง รสหวานอมฝาด การปลูกเลยี้ ง ปลกู ไดใ้ นดินทุกชนิด กลางแจง้ ตอ้ งการน้าและความช้ืนปานกลาง เจริญไดด้ ีในดินทุกชนิด ชอบ แดดจดั ทนต่อสภาพต่าง ๆ ไดด้ ี ข้ึนประปรายในป่ าดิบทางภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวนั ออก ขยายพนั ธุโ์ ดยการเพาะเมลด็ ปัจจุบนั มีการเพาะปลูกจาหน่ายเป็นจานวนมาก

จดั ทาโดย นายธนาเกียรติ ก๋าสม เลขที่9 ม.5/5 นางสาวธญั วรัตน์ ซองดี เลขท่ี16 ม.5/5


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook