การขึ้นรปู ดว้ ยเครอ่ื งมือกลพืน้ ฐาน 20102-2007 <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 การข้นึ รูปดว้ ยเคร่ืองมือกลพ้ืนฐาน สาระสาคญั กรรมวิธีการขึ้นรูปช้ินส่วนที่เป็นโลหะและอโลหะด้วยเครื่องมือกลพื้นฐาน เป็น วิธีการข้ึนรูปด้วยการตัดเฉือนเน้ือวัสดุออก โดยใช้เครื่องมือกลพื้นฐานท่ีควบคุมการ ทางานด้วยมนุษย์ เช่น เครื่องกลึง เคร่ืองกัด เครื่องไส เคร่ืองเจาะ เปน็ ต้น และเครื่องมือ กลพ้ืนฐานน้ีส่วนใหญ่จะนิยมใช้ในการตัดช้ินส่วนท่ีไม่มากนักหรืองานผลิตชิ้นส่วนเพ่ือ การซ่อมแซมเป็นต้น ดังนั้นผู้เรียนจะต้องศึกษาหลักการต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการขึ้นรูป ช้ินส่วนด้วยเคร่ืองมือกลพ้ืนฐาน เพ่ือสามารถเลือกใช้เครื่องมือขั้นพ้ืนฐานได้ถูกต้องกับ การผลิต <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 การขึ้นรปู ดว้ ยเครือ่ งมือกลพื้นฐาน บทนา กรรมวิธีการขึ้นรูปด้วยเคร่ืองมือกลพื้นฐาน (Basic machine tool process) หรืออาจเรียกว่ากรรมวิธีการขึ้นรูปด้วยเครื่องจักรพ้ืนฐาน (Basic machining process) ซ่ึงเป็นกรรมวิธีการผลิตแบบเสียเศษหรือกรรมวิธีการข้ึนรูปโดยการตัดเฉือนวัสดุออก (Material removal process) ดังรปู ท่ี 2.1 รูปที่ 2.1 กรรมวธิ กี ารตดั เฉือนวัสดุในลักษณะตา่ งๆ <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
กรรมวธิ กี ารตดั เฉือนวัสดุ (Material removal process) หรอื การแปรรูปโดย การเสียเน้ือวสั ดุซ่ึงมีขอ้ ดคี ือ สามารถใชก้ รรมวิธีการแปรรูปนไ้ี ด้กบั วัสดุทหี่ ลากหลาย ประเภท มรี ปู รา่ งหรือรูปทรงที่เป็นรูปทรงเรขาคณิตและที่ไม่ใช่รปู ทรงเรขาคณิตได้ หลากหลาย นอกจากน้จี ะทาใหไ้ ดข้ นาดของช้นิ งานทถี่ ูกต้องและผิวของช้นิ งานมีความ เรียบรอ้ ย สาหรบั กรรมวธิ กี ารข้นึ รปู ดว้ ยเครอ่ื งมือกลพ้ืนฐาน จะกลา่ วถงึ เฉพาะกรรมวี การข้ึนรปู ดว้ ยเครื่องมือกลพื้นฐาน ดังรูปท่ี 2.2 <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
รูปที่ 2.2 เครอ่ื งมือกลพนื้ ฐาน 2.1 การกลงึ การกลึง(Turning) เป็นการแปรรูปวสั ดดุ ้วยเคร่ืองกลงึ โดยการตัดเฉือนเนื้อวัสดุ ออกเป็นทรงกระบอกด้วยมีดตัดคมเดียว (Single point tool) โดยให้ช้ินงานหมุนและ เคร่อื งมือตดั เคลือ่ นทขี่ นานกบั แกนของการหมุนเขา้ ตัดเฉือนวสั ดุ ดงั รูปท่ี 2.3 <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
รปู ท่ี 2.3 การแปรรูปวสั ดุด้วยการกลงึ การกลงึ เป็นการแปรรปู วสั ดดุ ้วยเครอื่ งกลงึ จะทาให้ได้ช้ินงานทีม่ ีลกั ษณะดังรูปที่ 2.4 รปู ท่ี 2.4 การกลงึ ในลักษณะตา่ งๆ 2.2.1 เครื่องกลึง เคร่ืองกลึง (Lathe) เป็นเครื่องมือกลท่ีเก่าแก่ท่ีสุด เม่ือเทียบกับเครื่องมือกล ประเภทอ่ืนๆทั้งหมด ได้รับการพัฒนามาหลายยุคหลายสมัยจนกระทั่งมีรูปร่างและ <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
ส่วนประกอบท่ีเป็นชิ้นส่วนหลัก เป็นมาตรฐานอย่างท่ีพบเห็นกันอยู่ในปัจจุบันน้ี เครื่องกลงึ แบ่งแยกย่อยออกได้หลายแบบตามลกั ษณะรูปรา่ งและการใช้งาน ดังรปู ที่ 2.5 รปู ท่ี 2.5 เครอ่ื งกลึงชนิดตา่ งๆ 2.1.2 เครอ่ื งมือตัดสาหรับงานกลึง เครื่องมือตัดสาหรับงานกลึงโดยทั่วไป ได้แก่ มีดกลึงปาดหน้า มีดกลึงปอกผิว มีดกลึงหยาบ มีดกลึงละเอียด มีดกลึงเกลียว มีดกลึงเซาะร่อง เป็นต้น ดังรูปท่ี 2.6 และ ยังมีเคร่ืองมือตัดอ่ืนนอกเหนือจากมีดกลึงท่ีใช้ร่วมกับเครื่องกลึง ได้แก่ ดอกสว่าน ดอก รีมเมอร์ ดอกตา๊ ป เปน็ ต้น <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
รูปท่ี 2.6 ลักษณะมีดกลงึ แบบต่างๆ 2.1.3 การจบั ยดึ ชิ้นงานบนเคร่อื งกลึง การจับยึดชิน้ งานบนเคร่ืองกลึง มวี ธิ ีการจบั ยึดช้นิ งาน 4 วิธดี งั รูปท่ี 2.7 รูปที่ 2.7 การจับยดึ ชิ้นงานบนเคร่ืองกลงึ จากรูปท่ี 2.7 การจับยดึ ชนิ้ งานบนเครื่องกลงึ มีดังน้ี <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
1. การจบั ยึดช้ินงานระหว่างศนู ย์ (Hold between centers) ดงั รปู ที่ 2.7 ก เป็นการจับยดึ งานในลักษะยันศูนยห์ วั ท้าย ดว้ ยจานพาและหว่ งพาและยนั ศูนย์ 2. การจบั ยดึ ชน้ิ งานด้วยหวั จบั (Hold in chuck) ดงั รูปที่ 2.7 ข เป็นการจบั ยดึ ด้วยหวั จับแบบ 3 ฟันจบั พรอ้ ม ซงึ่ เหมาะสาหรับจบั ช้นิ งานที่มลี กั ษณะ พ้นื ท่หี นา้ ตัดเป็นวงกลม สามเหลย่ี มและหกเหลย่ี ม นอกจากการขบั ดว้ ยหวั จับ 3 ฟันจบั พรอ้ มแล้วยังสามารถใชห้ วั จับแบ 4 ฟัน จับอิสระในการจับยึดช้ินงานได้อีกด้วย สาหรับหัวจับ4 ฟันจับอิสระเหมาะ สาหรับจับงานท่ีมีลักษณะพ้ืนที่หน้าตัดเป็นวงกลม ส่ีเหล่ียม และแปด เหลย่ี ม 3. การจับยึดชิ้นงานด้วยปลอกจบั (Hold in a collet) ดงั รูปที่ 2.7 ค เป็นการ จับงานที่มีลักษณะเป็นทรงกระบอกท่ีมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ส่วนมากจะใช้ กับเคร่ืองกลึงเทอร์เรท และเครื่องกลึงอัตโนมัติ สามารถจับชิ้นงานได้เร็ว ชิน้ งานไม่มีรอยบนผิวทีถ่ ูกจบั 4. การจับยึดชิ้นงานบนหน้าจาน (Mounted on a face plate) ดังรูปที่ 2.7 ง เป็นการจับงานที่ไม่สามารถจับด้วยหัวจับได้เน่ืองจากชิ้นงานอาจมี ลักษณะรปู ร่างทีซ่ ับซอ้ น 2.2 การกัด การกัด(Milling) เป็นการแปรรูปชิ้นงาน โดยการป้อนช้ินงานเคลื่อนท่ีผ่าน เคร่ืองมือตัดที่มีลักษณะเป็นเคร่ืองมือตัดหลายคมตัด (Multiple cutting edge) การกัด มี 2 ลักษณะ คอื การกดั ในแนวนอนและการกัดในแนวตง้ั ดงั รูปท่ี 2.8 <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
รปู ท่ี 2.8 ลักษณะของการกดั 1. การกัดในแนวนอน (Peripheral milling) แกนของเครื่องมือตัดจะขนานกับ ผิวงานมหี ลายรูปแบบข้ึนอยู่กบั ชนิดของดอกกัด ดังรูปที่ 2.9 การกัดราบ (Slab milling) การกัดร่อง (Slotting milling) การกัดข้าง (Side milling) การกัดคร่อม (Straddle milling) และการกดั ขนึ้ รปู โค้ง (Contour milling) รูปที่ 2.9 การกดั ในแนวนอน <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
2. การกัดแนวต้ัง (Face milling) แกนของเครื่องมือตัดจะตั้งฉากกับผิวงาน มี หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับชนิดของตัวกัด ดังรูปท่ี 2.10 การกัดผวิ หน้าราบ (Conventional Face milling) การกัดบ่า (Partial Face milling) และการกัดผิวต่างระดับ (Surface Contouring) รปู ท่ี 2.10 การกัดในแนวตั้ง 2.2.1 เคร่อื งกัด เคร่ืองกัด (Milling Machine) แบ่งตามลักษณะงานกัดได้ 2 ชนิด คือเครื่องกัด แนวนอนและเครือ่ งกัดแนวตัง้ 1. เครื่องกัดแนวนอน (Horizontal Milling Machine) ดังรูปท่ี 2.11(ก) เพลา มดี กดั เป็นเพลานอนมดี กัดสวมอยบู่ นเพลามีดกัด 2. เคร่ืองกัดแนวต้ัง (Vertical Milling Machine) ดังรูปที่ 2.11(ข) ใช้กัดงาน ด้วยมีดกัดต้ังเพลามีดกัดจะจับมีดกัดไว้ในแนวต้ังหรือแนวด่ิง หัวเพลาสามารถหมุนได้ และปรับเป็นมุมตา่ งๆ ได้ <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
รปู ท่ี 2.11 เครอ่ื งกัดแนวนอน และเครอ่ื งกดั แนวต้งั 2.2.2 เครื่องมือตดั สาหรับงานกัด เครอ่ื งมือท่ีใช้ในงานกัดทั่วไป ได้แก่ มีดกัดราบ (Plain Cutter) มีดกัดรอ่ ง (End mill) มีดกัดตั้ง (Shell End mill) มีดกัดข้าง (Side Cutter) มีดกัดเฟือง (Gear Cutter) มีดกัดร่องหางเหยี่ยว (Dovetail) มีดกัดร่องตัวที (T-Slot) และมีดกัดปลายมน (Radius Cutter) ดงั รปู ท่ี 2.12 รูปท่ี 2.12 เคร่อื งมือสาหรบั งานกดั <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
2.3 งานไส การไส(Sharping or Planning) เป็นลักษณะการแปรรูปชิ้นงานในแนวเส้นตรง เพื่อลดขนาดผิวหน้าของชิ้นงาน มีดไสจะตัดเฉือนกับชิ้นงานแนวเส้นตรงด้วยความเร็วท่ี ไม่สูงนัก การไสมีลักษณะการทางาน 2 ลักษณะคือ เคร่ืองมือตัดเคล่ือนที่เข้าตัดเฉือน ชนิ้ งานท่ีอยู่กับท่ี และเคร่ืองมือตัดอยู่กับท่ีแต่ชิ้นงานเคลื่อนที่เข้าหาเคร่ืองมือตัด ดังรูปท่ี 2.13 รูปที่ 2.13 ลกั ษณะการไสแบบมดี ไสเคล่ือนทแี่ ละแบบชนิ้ งานเคลอื่ นท่ี การไสนอกจากจะไสงานผิวราบแล้ว ยังสามารถไสงานในรูปแบบต่างๆ ได้อีก เช่น การไสร่องตัววี ร่องเหลี่ยม ร่องตัวที และยังสามารถไสร่องฟันเฟืองไดอ้ ีกด้วย ดังรูท่ี 2.14 รูปที่ 2.14 ลกั ษณะการไสแบบต่างๆ <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
เคร่ืองไส (Sharping or Planning Machine)แบ่งตามลักษณะของงานไสได้ 2 ชนิด คือ เคร่ืองไสแบบมดี ไสเคล่อื นที่และเคร่ืองไสแบบชน้ิ งานเคล่ือนที่ดงั รูปที่ 2.15 1.เครอ่ื งไสแบบมีดไสเคลื่อนที่ เปน็ เคร่ืองไสท่ีช้ินงานถูกจับยดึ อยูก่ บั โต๊ะงาน แล้วมดี ไสเคล่อื นทีต่ ดั เฉือนชิ้นงานโดยการพาของแคร่เล่ือน (Ram) ทเี่ คลอ่ื นท่ีในแนว เส้นตรง ทศิ ทางไปและกลบั 2.เครือ่ งไสแบบชน้ิ งานเคลื่อนท่ี เป็นเครื่องไสท่ีชิ้นงานเป็นตัวเคล่ือนทเ่ี ขา้ หามดี ไสโดยการพาของโต๊ะงานและมดี ไสจะอยกู่ ับท่ี รปู ที่ 2.15 เคร่ืองไสแบบมีดไสเคล่อื นทีแ่ ละแบบชนิ้ งานเคลือ่ นท่ี 2.4 การเจาะ การเจาะ (Drilling) เป็นการทาใหเ้ กดิ รบู นชนิ้ งานด้วยดอกสว่าน มลี กั ษณะการ ทางานคือ ดอกสว่านหมุนในทศิ ทางของคมตัด ในขณะเดยี วกนั ดอกสว่านกจ็ ะเคล่ือนท่ลี ง ในลกั ษณะเปน็ เส้นตรงเพ่ือเข้าตัดเฉอื นเน้ือวัสดุดังรูปท่ี 2.16 รูปที่ 2.16 การทางานของดอกสวา่ น <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
ในการเจาะงานจะมลี กั ษณะของการเจาะ 2 ลักษณะ คือ การเจาะทะลุ และการ เจาะไมท่ ะลุ ดงั รปู ท่ี 2.17 (ก) การเจาะทะลุ (ข) การเจาะไม่ทะลุ รปู ท่ี 2.17 ลักษณะของการเจาะ นอกเหนือจากการเจาะด้วยดอกสว่านแล้ว เคร่ืองเจาะยังสามารถทางานได้อีก หลายรูปแบบ ดังรูปท่ี 2.18 (ก) การคว้านเรียบ (Reaming) (ข) การต๊าปเกลียว (Tapping) (ค ) ก า ร เจ า ะ ฝั ง หั ว ส ก รู (Counter boring) (ง ) ก า ร ผ า ย ป า ก รู (Countersinking) (จ) การเจาะนาศูนย์(Centering) และ(ฉ) การทาให้ผิวหน้าเฉพาะ ตาแหนง่ เรียบ (Spot Facing) รูปที่ 2.18 การปฏบิ ัติงานบนเครอื่ งเจาะ <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
2.4.1 เคร่ืองเจาะ เคร่ืองเจาะ (Drilling Machine) เป็นเครื่องจักรท่ีใช้เจาะวัสดุให้มี ลักษณะเป็นรูกลมขนาดต่างๆ เครื่องเจาะมีหลายชนิด เช่นเครื่องเจาะตั้งโต๊ะ(Bench Drill) ใช้เจาะรูขนาดเล็ก เคร่ืองเจาะตั้งพื้น (Drill Press) ใช้เจาะรูขนาดเล็กและขนาด กลาง เครื่องเจาะรัศมี (Radial Drill) ใช้เจาะรูขนาดใหญ่ นิยมใช้ในงานอุตสาหกรรม เพราะทางานได้กวา้ งขวาง ดงั รปู ท่ี 2.19 รปู ที่ 2.19 เครอ่ื งเจาะชนดิ ตา่ งๆ 2.4.2 เคร่ืองมือตดั สาหรบั งานเจาะ เคร่ืองมือตัดที่ใช้สาหรับงานเจาะโดยท่ัวไป ได้แก่ (ก) ดอกสว่านแบบ อินเสริท์ (Drill with Indexable Carbide Inserts) (ข) ดอกสว่านต่อปลายชนิดเช่ือม ประสาน (Drill with Brazed Carbide Tip) (ค) ดอกสว่านร่องเล้ือย (Twist Drill) (ง) ดอกสว่านร่องตรง (Straight Flute Drill) (จ) ดอกสว่านปากแบน (Spade Drill) (ฉ) ดอกสวา่ นแบบชั้น (Step Drill) ดังรปู ท่ี 2.20 <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
รูปท่ี 2.20 เครอื่ งมือตัดสาหรับงานเจาะ 2.5 การควา้ น การควา้ น (Boring) มีหลักการางานคลา้ ยกับการกลงึ คว้านรูใน แต่แตกต่างกันท่ี การคว้านเปน็ การแปรรูปชิ้นงานในทรงกระบอก การคว้านมี 2 แบบ คือ ชิ้นงานหมุนอยู่ กบั ท่ีมีดคว้านเป็นตัวเคล่ือนท่ีเข้าไปตัดเฉือน ดังรูปที่ 2.2.1(ก) และแบบท่ีสองชิ้นงานถูก ยึดอย่กู ับทม่ี ดี ควา้ นหมุนเคล่อื นทีเ่ ข้าตัดเฉือนชิ้นงาน ดงั รปู ที่ 2.2.1(ข) รูปท่ี 2.21 การควา้ นรู <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
เคร่อื งคว้าน (Boring Machine) เคร่อื งควา้ นที่ใช้ในการคว้านน้ันสามารถแบ่งตามลักษณะการทางานได้ 2 ชนิดคือ เคร่ืองคว้านแนวตั้ง(Vertical Boring Machine) และเคร่ืองคว้านแนวนอน (Horizontal Boring Machine) ดังรปู ท่ี 2.2 รปู ท่ี 2.22 เครื่องคว้าน 1.เคร่ืองคว้านแนวต้ัง มีหลักการทางานคือ ชิ้นงานจะถูกจับยึดบนโต๊ะงานและ เครอ่ื งมอื ตัดจะเคล่ือนท่เี ข้าหาช้ินงานในแนวตง้ั หรือแนวดง่ิ ทาการตัดควา้ นรูใน 2.เครื่องคว้านแนวนอน มีหลักการทางานแตกต่างจากเคร่ืองคว้านแนวต้ัง คือ ชน้ิ งานจะถกู ยดึ ติดกบั โตะ๊ งานแล้วเคลื่อนท่เี ขา้ ไปหามีดตัดในแนวนอน 2.6 การเลอ่ื ย การเลื่อย (Sawing) เป็นการตัดชิ้นงานให้เกิดเป็นร่องแคบๆ โดยใช้ใบเล่ือย ซ่ึง สามารถกระทาไดโ้ ดยใช้แรงมนุษย์ หรอื แรงจากเครอ่ื งจักรก็ได้ 2.6.1 เคร่ืองเลอื่ ย เคร่ืองเล่ือย (Sawing Machine) ท่ีนิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบันมี 3 ชนิด คือเคร่ือง เล่ือยกล (Power Hacksaw) เครื่องเล่ือยสายพาน (Band Sawing) และเครื่องเลื่อยวง เดือน (Circular Sawing) ดังรปู ที่ 2.23 <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
รูปที่ 2.23 เคร่ืองเลือ่ ย 1.เคร่ืองเลื่อยกล (Power Hacksaw) เป็นการตัดชิ้นงานโดยการเคลื่อนท่ี กลับไปกลับมาของใบเล่ือย ซ่ึงจังหวะในการตัดงานคือจังหวะเดินหน้าส่วนจังหวะถอย หลงั เปน็ จังหวะไม่ไดต้ ดั งานเคร่ืองเลอื่ ยกลใชส้ าหรบั ตัดงานท่วั ไป ดงั รปู ท่ี 2.23(ก) 2.เคร่ืองเล่ือยสายพาน (Band Sawing) เป็นการตัดช้นิ งานโดยการเคลอื่ นที่ของ ใบเล่ือยซ่ึงใบเลือ่ ยจะเคลื่อนทไ่ี ปในทศิ ทางเดียว ดังรปู ที่ 2.23(ข) เคร่ืองเล่ือยสายพานใช้ ตัดงานทม่ี ีรูปร่างคดไปคดมาได้มที งั้ แบบแนวตง้ั และแบบแนวนอน 3.เครื่องเลื่อยวงเดือน (Circular Sawing) เป็นการตัดช้ินงานโดยใบตัดช้ินงาน ซ่ึงมลี ักษณะเป็นวงกลมทีม่ ฟี ันอยโู่ ดยรอบเหมาะกบั งานทบ่ี างๆ และทอ่ ดังรูปท่ี 2.23(ค) 2.6.2 ใบเล่ือย ในการเล่ือยตดั ช้ินงาน ใบเลื่อย(Saw Blades) เปน็ สิง่ สาคญั ทีใ่ ช้ในการตดั ซงึ่ ผูใ้ ช้ จะตอ้ งเลือกใช้งานใหถ้ ูกตอ้ ง โดยพิจารณาจากชนิดของฟันเลอ่ื ย ดงั รูปที่2.24 รปู ที่ 2.24 ลักษณะของฟันเลื่อย <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
ฟันเล่ือยนับเป็นจานวนฟันต่อนิ้ว โดยท่ัวไปแล้วมีขนาดต้ังแต่ 2-32 ฟันต่อนิ้ว ฟันเล่ือยมีอยู่ 3 ชนิด คือ ฟันตรง (Straight Tooth) ฟันเลื้อย (Raker Tooth) และฟัน คลืน่ (WaveTooth) ในการเลอื กใชใ้ บเล่อื ยผปู้ ฏบิ ตั ิงานจะต้องเลอื กใหเ้ หมาะสมกับวัสดชุ ิ้นงานดังน้ี 1. จานวน 14,16,18 ฟันต่อน้ิวใช้กับวัสดุอ่อน เช่น ดีบุก ทองแดง ตะกั่ว อะลมู ิเนยี ม พลาสติกและเหล็กเหนยี ว 2. จานวน 22,24 ฟันตอ่ น้วิ ใชก้ บั วสั ดแุ ข็งปานกลางเช่น เหล็กหลอ่ เหลก็ โครงสรา้ ง และทองเหลอื 3. จานวน 32 ฟนั ต่อนวิ้ ใชก้ ับวัสดุแข็งมาก เช่น เหลก็ ทาเครอ่ื งมอื เหล็กกล้าผสม 2.7 การเจยี ระไน การเจียระไน(Grinding) เป็นการแปรรูปวสั ดุด้วยการขัดสีด้วยคมตัดหลายๆ คม ทเี่ ป็นวสั ดุแข็งท่ีถูกยึดใหต้ ิดกนั ด้วยตัวประสานและข้ึนรูปเป็นฟอร์มต่างๆ ซึ่งเรยี กว่า หิน เจียระไน การเจียระไนด้วยหินเจียระไนสามารถกระทาได้หลายแบบ คือ การเจียระไน ราบ (Surface Grinding) การเจียระไนกลม (Cylindrical Grinding) และการเจียระไน ไร้ศนู ย์ (Centerless Grinding) 2.7.1 การเจียระไนราบ การเจียระไนราบ (Surface Grinding) เป็นการเจียระไนผิวทั่วๆ ไปให้ มีลักษะแบนราบดังรูปที่ 2.25 (ก) ล้อหินเจียระไนหมุนอยู่ในแนวนอนและชิ้นงาน เคล่ือนที่ผ่านล้อหินไปและมาในแนวเส้นตรง (ข) ล้อหินเจียระไนหมุนอยู่ในแนวนอน และชิ้นงานหมุนอยู่ในแนวนอนและช้ินงานกลมหมุนผ่านล้อหิน (ค) ลอ้ หินเจียระไนหมุน อยู่ในแนวต้ังและชิ้นงานเคลื่อนท่ีผ่านล้อหินไปและมาในแนวเส้นตรง (ง) ล้อหินเจยี ระไน หมนุ อยู่ในแนวต้ังและชิ้นงานกลมหมุนผ่านลอ้ หิน <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
รปู ที่ 2.25 การเจยี ระไนผิวราบ 2.7.2 การเจียระไนกลม (Cylindrical Grinding) การเจียระไนกลม สามารถกระทาได้ทั้งภายนอกและภายใน ดังรูปที่ 2.26 (ก) การเจียระไนภายนอก ล้อหินเจียระไนจะอยู่ภายนอกชิ้นงานและหมุนอยู่ในแนวนอน ส่วนชิ้นงานก็หมุนอยู่ในแนวนอน เช่นกัน แต่ชิ้นงานสามารถเคล่ือนท่ีไปกลับตาม แนวนอนได้ด้วย เพ่ือให้สามารถเจียระไนชิ้นงานที่มีความยาวมากๆ ได้ และ (ข) การ เจยี ระไนภายใน ล้อหินเจียระไนจะอยูภ่ ายในช้ินงานและหมุนอยู่ในแนวนอนเชน่ กัน และ ลอ้ หินเจียระไนสามารถเคลื่อนทไี่ ปและกลบั ในแนวนอนไดด้ ้วย รปู ท่ี 2.26 การเจียระไนกลม <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
2.7.3 การเจียระไนไร้ศนู ย์ (Centerless Grinding) การเจียระไนไร้ศูนย์เป็นการเจียระไนงานทรงกระบอกท่ีมีลักษณะคล้ายกับการ เจียระไนกลมแต่แตกต่างกันตรงที่การเจียระไนชนิดนี้ไม่มีการจับยึดชิ้นงานแต่อาศัยล้อ ประคองจานวนมากเปน็ ตวั ประคองดงั รูปที่ 2.27 รปู ที่ 2.27 การเจียระไนไรศ้ นู ย์ 2.7.4 ลอ้ เจียระไน ล้อเจยี ระไน (Grinding Wheel) ทามาจากวัสดเุ ดียวกันตลอดทัง้ ก้อน โดยวัสดุท่ี นามาทามี 2 ชนดิ อลูมเิ นียมออกไซด์ และซิลิกอนคารไ์ บด์ ซง่ึ วัสดุแตล่ ะชนิดจะถูกยึดให้ ติดกันด้วยตัวยึดแล้วนามาข้ึนรูปให้มีรูปร่างและขนาดท่ีหลากหลายสามารถเลือกไปใช้ งานไดห้ ลายแบบ ดังรูปท่ี 2.28 <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
รูปที่ 2.28 ล้อหินเจยี ระไนแบบต่างๆ 2.8 การแทงขนึ้ รปู การแทงขึ้นรูป (Broaching) เป็นการแปรรูปวัสดุด้วยเคร่ืองมือตัดที่มีฟันหลาย ฟัน มีทิศทางของการตัดเฉือนทางเดียวกันและฟนั แต่ละฟนั อยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกนั ดัง รปู ท่ี 2.29 รูปที่ 2.29 ลกั ษณะงานแทงข้ึนรูป จากรปู ที่ 2.29 เคร่อื งมือตดั น้ีเรียกว่า เหลก็ แทงขน้ึ รูป ฟันของเหล็กแทงขนึ้ รูปน้ี มีขนาดไม่เท่ากนั โดยฟนั จะเรียงจากสัน้ ไปยาว สว่ นแรงทีใ่ ช้ในการแทงข้นึ รปู จะเป็นแรง กดทสี่ ม่าเสมอและต่อเนอื่ งอย่างชา้ ๆ <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
การแทงข้ึนรูปเหมาะสาหรับงานที่ต้องการความรวดเร็ว และมีจานวนมาก สามารถแทงข้ึนรปู ท่ีหลากหลายตามความต้องการดังรูปที่ 2.30 ทั้งน้ีขึ้นอยูก่ ับรปู ร่างของ เหล็กแทงขึ้นรปู รูปท่ี 2.30 ลักษณะงานที่ได้จากการแทงขึ้นรูป สรปุ สาระสาคัญ กรรมวิธีการขึ้นรูปด้วยเคร่ืองมือกลพื้นฐานเป็นวิธการขึ้นรูปด้วยการตัดเฉือน เน้ือวัสดุออกโดยใช้เคร่ืองมือกลพ้ืนฐานท่ีควบคุมการทางานด้วยมนุษย์ เช่น เครื่องกลึง เคร่ืองกัด เคร่ืองไส ฯลฯ เครอ่ื งมือกลพื้นฐานเหล่านี้สว่ นใหญ่จะนิยมใช้ในการตดั ชน้ิ สว่ น ท่ีไม่มากนัก หรืองานผลิตช้ินส่วนเพื่อการซ่อมแซมสาหรับกรรมวิธีการขึ้นรูปด้วย เคร่ืองมือกลพื้นฐานที่สาคัญโดยท่ัวไป ประกอบด้วย การกลึง การกัด การไส การเจาะ การคว้าน การเลอื่ ย การเจียระไนและการแทงข้นึ รูป <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
แสงสวา่ งจงบังเกดิ แด่ท่าน จริ ยทุ ธ์ โชติกุล ช่างกลโรงงาน วทิ ยาลัยเทคนคิ ศรีสะเกษ <<<<<<<< Jirayut Chotikul @ Sisaket Technical College >>>>>>>>
Search
Read the Text Version
- 1 - 25
Pages: