พระพุทธศาสนา ม.๔-๖ หนว่ ยที่ ๖ หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ๑. พระรตั นตรัย พระรตั นตรยั หมายถึง แกว้ หรือสิ่งมีค่าอนั ประเสรฐิ ๓ ประการ อันได้แก่ พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บคุ คลทีต่ รสั รู้แลว้ ผู้รู้อรยิ สจั ๔ หลักธรรมคาสอนของ สาวกของพระพุทธเจา้ พระพุทธเจ้า
หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา ๒. หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา อริยสจั ๔ อริยสัจ คือ หลักความจริงอัน ประเสริฐ ๔ ทพ่ี ระพุทธเจ้าทรงค้นพบ มี ๔ ประการ ดงั น้ี
หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ๑) ทกุ ข์ (ธรรมท่คี วรรู้) ทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ธรรมที่ เกี่ยวข้องกับ “ทุกข”์ ได้แก่
หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา (๑) ขันธ์ ๕ หมายถึง สภาวธรรม ๕ อย่าง ซึ่งเป็นหลักธรรมท่ีแสดงถึง องคป์ ระกอบของชวี ิตมนษุ ย์สามารถสรปุ ไดต้ ามแผนภาพความคดิ ดงั น้ี ขนั ธ์ ๕ รูปขันธ์ นามขนั ธ์ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ สงิ่ ทีป่ ระกอบ ความร้สู ึก ความจาได้ สงิ่ ปรุงแตง่ การรับรู้ เป็นรา่ งกาย ทเี่ กิดขึน้ ตอ่ ส่งิ หมายรู้ จติ ใจ เช่น ความรสู้ ึกผ่าน ของมนษุ ย์ ความโลภ ประสามสัมผสั ทาง ที่รับรู้ ความโกรธ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา (๒) โลกธรรม ๘ โลกธรรม หมายถึง สง่ิ ทคี่ รอบงามนุษย์ แบ่งออกเป็น ๒ ฝา่ ย ดงั น้ี โลกธรรม ๘ ส่วนที่น่าปรารถนาและพงึ พอใจ สว่ นที่ไมน่ า่ ปรารถนาไมน่ า่ พงึ พอใจ (อิฏฐารมณ)์ (อนฏิ ฐารมณ)์ ลาภ เสอ่ื มลาภ ยศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สขุ ทุกข์
หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา (๓) จติ เจตสกิ จติ คอื ธรรมชาตทิ ี่รู้อารมณ์ ธรรมชาตทิ ี่ทาหน้าที่ เหน็ ไดย้ นิ รูก้ ล่นิ รู้รส รู้สึก ตอ่ การสมั ผัสทางกายและรสู้ กึ นกึ คดิ ทางใจ ซึ่งคอื วญิ ญาณ ในหลกั ธรรมขันธ์ ๕ เจตสกิ หมายถงึ อาการหรือคุณสมบตั ติ า่ ง ๆ ท่ีประกอบกับจิต คือ ความรู้สกึ ต่าง ๆ เช่น ชอบ ไม่ชอบ เกลียด โกรธ ดใี จ เสียใจ
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ๒) สมทุ ยั (ธรรมท่ีควรละ) สมทุ ยั คือ เหตุทที่ าให้เกดิ ทุกข์ ซ่ึงเกิดจากตณั หา ๓ ประการ คือ (๑) กามตัณหา ความอยากในกามคณุ (๒) ภวตัณหา ความอยากมี อยากเปน็ (๓) วภิ วตัณหา ความอยากไมม่ ี อยากไมเ่ ปน็ (ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น)
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ๑. หลกั กรรม กรรม หมายถึง การกระทาของมนุษย์ การกระทาท่ีประกอบด้วยเจตนาหรือ จงใจ ทงั้ ทางกาย วาจา และใจ
หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ๒. วิตก ๓ วติ ก หมายถึง การคิดใคร่ครวญ ดารติ ริตรอง เป็นภาวะที่เกิดขึน้ กับจติ มี ๒ ดา้ น คอื กศุ ลวติ ก ๓ เนกขัมมวิตก คือ การคิดใครค่ รวญท่ีปลอดจากกาม ไม่ยึดติด อพยาบาทวติ ก คือ การคิดใครค่ รวญด้วยเมตตา ไมม่ ุ่งร้าย วิตก ๓ อวหิ งิ สาวิตก คอื การคิดใคร่ครวญท่ีปลอดจากการเบยี ดเบียน กามวิตก คอื การใคร่ครวญท่ยี ดึ ตดิ กับความล่มุ หลงทางเน้อื หนัง พยาบาทวิตก คือ การคิดใครค่ รวญดว้ ยความพยาบาทมุ่งรา้ ย วหิ งิ สาวิตก คอื การคิดใครค่ รวญในทางเบียดเบียนและทาร้าย อกุศลวิตก ๓
หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ๓. มิจฉาวณชิ ชา ๕ มิจฉาวณิชชา หมายถึง การค้าที่ผิดศีลธรรม มนุษย์ไม่ควรค้าขายส่ิงเหล่าน้ี มี ๕ ประเภท คือ มจิ ฉาวณชิ ชา ๕ ๑) สตั ถวณิชชา หมายถึง การค้าอาวุธ ได้แก่ ปืน เคมี ระเบิด ๒) สตั ตวณชิ ชา หมายถงึ การคา้ มนุษย์ การคา้ ประเวณี ๓) มงั สวณิชชา หมายถงึ การค้าสัตว์สาหรับฆา่ เป็นอาหาร ๔) มชั ชวณชิ ชา หมายถงึ การคา้ ของมึนเมาและสารเสพตดิ ๕) วสิ วณชิ ชา หมายถงึ การค้ายาพิษ
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ๔. นิวรณ์ ๕ นิวรณ์ คอื ส่ิงท่ีขวางก้นั จิตไมใ่ หก้ ้าวหนา้ ในคณุ ธรรม มี ๕ ประการ คอื ๑) กามฉนั ทะ คือ ความยินดี พอใจในกามคุณ ๒) พยาปาทะหรือพยาบาท คือ ความโกรธ ความพยาบาท ความไม่พอใจ คดิ ปองร้าย อาฆาตมาดร้าย ๓) ถีนมทิ ธะ คอื ความหดหู่เซือ่ งซมึ ๔) อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ คือ ความฟงุ้ ซ่านและราคาญใจ ๕) วจิ ิกิจฉา คอื ความลังเลสงสยั ไมแ่ น่ใจวา่ สิ่งใดผดิ สงิ่ ใดถูก
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ๕. อุปาทาน ๔ อุปาทาน หมายถึง การที่จิตเข้าไปสาคัญมั่นหมาย ปักใจ คิดเน้นย้าซ้า ๆ วนเวยี น เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความเครยี ดจนเปน็ ทุกข์ มี ๔ ประการ ได้แก่ ๑) กามปุ าทาน คอื การยดึ ม่ันในกาม คือ รปู เสียง กลิ่น รส และสมั ผสั ๒) ทฏิ ฐปุ าทาน คอื ยึดตามความเชอื่ ความเห็นของตนโดยไมม่ องความเป็นจริง ๓) สีลัพพตุปาทาน คือ การยึดมั่นในศีล (ข้อบังคับ) และพรต (ข้อปฏิบัติ) ซ่ึงมัก แต่งเติมด้วยกเิ ลสตณั หา ทาให้เกดิ การปฏบิ ตั อิ ยา่ งงมงาย คดิ ว่าขลงั ๔) อัตตวาทุปาทาน คือ การยึดมั่นในวาทะ (คาพูด) ว่าเป็นของตน คิดว่าเรามี ตวั ตนเท่ยี งแทเ้ ป็นเจา้ ของสิ่งตา่ ง ๆ และเปน็ เจา้ ของตนเอง
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ๓) นโิ รธ (ธรรมทคี่ วรบรรล)ุ นิโรธ คอื ความดับทกุ ข์ ภาวะทีต่ ณั หาดับสิ้นไป ความหลดุ พ้น หมายถึง ภาวะของพระนิพพาน หลักธรรมที่สามารถดับทุกข์ให้ถึงพระนิพพาน ได้แก่
หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ๑. ภาวนา ๔ ภาวนา หมายถึง การเจริญ การทาให้เป็นให้มีขึ้น การฝึกฝนอบรม หรือ การพัฒนา มี ๔ ประการ ได้แก่ ๑) กายภาวนา หมายถึง การพัฒนากาย การฝึกอบรมกาย ให้รู้จักติดต่อ เกี่ยวข้องกับสง่ิ ทัง้ หลายภายนอก ๒) สีลภาวนา หมายถึง การพัฒนาความประพฤติให้ตั้งอยู่ในระเบียบวินัย ไมเ่ บียดเบียน หรือกอ่ ความเดือดรอ้ นเสียหายแก่ผอู้ ื่น ๓) จิตตภาวนา หมายถึง การฝึกอบรมจิตใจ ให้เข้มแข็ง ม่ันคง เจริญงอกงาม ด้วยคณุ ธรรมทง้ั หลาย ๔) ปัญญาภาวนา หมายถึง การพัฒนาปัญญา ให้รู้และเข้าใจในสิ่งท้ังหลาย ตามท่ีเป็นจรงิ
หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ๒. วมิ ตุ ติ ๕ วิมุตติ หรือเรียกอีกอย่างว่า นิโรธ ๕ คือ ความดับกิเลส ความหลุดพ้น ความเปน็ อิสระ ภาวะไร้กเิ ลส และไม่มที ุกขเ์ กิดขึน้ มี ๕ ประการ ไดแ้ ก่ ๑) ตทังควมิ ุตติ คือ ดับกเิ ลสด้วยธรรมท่ีเป็นคู่ปรบั หรือธรรมทตี่ รงข้ามกนั ๒) วกิ ขมั ภนวิมตุ ติ คือ การดับกเิ ลส ดว้ ยการข่มกเิ ลสจากการเข้าฌานหรอื การ ทาสมาธิ ๓) สมุจเฉทวิมุตติ คอื การดบั กเิ ลสเสรจ็ สน้ิ เด็ดขาด ดว้ ยอานาจของอริยมรรค กิเลสไมเ่ กดิ ขึน้ อกี ตอ่ ไป ๔) ปฏิปสั สัทธิวิมุตติ คือ ความหลดุ พน้ เปน็ อสิ ระ เพราะกเิ ลสเป็นอนั สงบแล้ว ๕) นสิ สรณวิมุตติ คอื การดารงอยใู่ นภาวะที่กเิ ลสดับสน้ิ แลว้ ตลอดไป
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ๓. นิพพาน นิพพาน หมายถึง สภาพท่ีดับกิเลสแล้ว ภาวะที่เป็นสุขสูงสุดของชีวิต เพราะไร้กิเลส ไรท้ กุ ข์ เป็นอิสรภาพสมบูรณ์ ผทู้ ่ีไปสจู่ ุดหมายสูงสุดของชีวิตได้ คือ พระอรหันต์ แปลว่า ผหู้ า่ งไกลกเิ ลส
หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ๔) มรรค (ธรรมทีค่ วรเจรญิ ) มรรค คือ ข้อปฏบิ ัติ หรือหนทางทีน่ าไปสูก่ ารดบั ทกุ ข์ หลักธรรมท่มี ี สว่ นเกี่ยวข้องและเป็นหลักธรรมทค่ี วรเจริญ ได้แก่
หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา ๑. พระสทั ธรรม ๓ พระสัทธรรม คือ ธรรมอันดี ธรรมท่ีแท้ ธรรมท่ีเป็นหลัก หรือแก่นของ พระพุทธศาสนา มี ๓ ประการ ได้แก่ พระสทั ธรรม ๓ ๑) ปรยิ ัตติสัทธรรม ๒) ปฏิปัตติสัทธรรม ๓) ปฏเิ วธสทั ธรรม
หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ๒. วุฒิธรรม ๔ วุฒธิ รรม คือ ธรรมเป็นเครือ่ งเจริญ คณุ ธรรมทกี่ ่อให้เกดิ ความเจรญิ งอกงาม เป็น ธรรมที่ผ้ปู ระพฤตปิ ฏิบตั ิแลว้ มคี วามเจรญิ กา้ วหนา้ ในชีวิต มี ๔ ประการ ๔) ธัมมานธุ มั มปฏปิ ัตติ ๑) สัปปุรสิ สังเสวะ คบหากับคนดที มี่ ี ๒) สัทธมั มสั สวนะ การใสใ่ จ การปฏิบตั ิทส่ี อดคล้องพอดี ความรู้ ความสามารถ และประพฤตดิ ี ในการศึกษาหาความรูเ้ กีย่ วกบั ตามขอบเขต ความหมาย และวัตถปุ ระสงคท์ ่ีสัมพนั ธ์ วุฒธิ รรม ๔ หลักธรรม กับธรรมขอ้ อ่นื ๆ ๓) โยนิโสมนสิการ หาเหตผุ ลโดยถกู วธิ ี
หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ๓. พละ ๕ พละ คอื ธรรมอนั เปน็ กาลงั หรอื พลังท่ที าใหเ้ กิดความม่นั คง มี ๕ ประการ ๕) ปญั ญา คือ ความรทู้ ว่ั ชดั ๑) สทั ธา คือ ความเชอ่ื ๒) วริ ยิ ะ คอื ความเพยี ร พละ ๕ ๔) สมาธิ คอื ความตงั้ มั่นแหง่ จิต ๓) สติ คอื ความระลกึ ได้
หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา ๔. อบุ าสกธรรม ๕ อุบาสกธรรม คือ ธรรมของอุบาสกที่ดี หมายถึง คุณสมบัติของอุบาสกและ อบุ าสกิ าที่ดมี ี ๕ ประการ ๑) มีศรทั ธา คือ เชอ่ื ในหลักคาสอนของพระพทุ ธศาสนา ๒) มศี ลี คือ รักษาศีลอย่างเคร่งครัด ๓) ไมถ่ ือมงคลต่นื ข่าว เชื่อกรรม ไม่เชอ่ื มงคล ๔) ไมแ่ สวงหาทักขไิ ณยภายนอกหลกั คาสอน ๕) ขวนขวายในการอุปถมั ภบ์ ารงุ พระพุทธศาสนา
หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ๕. ปาปณกิ ธรรม ๓ ปาปณกิ ธรรม คือ คุณสมบตั ิของพ่อคา้ หรือแม่ค้า หมายถงึ การเปน็ พอ่ ค้า หรอื แมค่ ้าท่ีดี มี ๓ ประการ ได้แก่ ๑) จกั ขุมา คอื ตาดี หมายถึง ร้จู ักสินคา้ ดขู องเป็น สามารถคานวณราคา กะทนุ เกง็ กาไรไดแ้ ม่นยา ๒) วธิ ูโร คอื จดั เจนธรุ กจิ หมายถึง รูแ้ หลง่ ซื้อขาย รู้ความเคลื่อนไหว ความต้องการของตลาด มีความสามารถในการจัดซือ้ จดั จาหนา่ ย ร้ใู จและรจู้ ักเอาใจลูกคา้ ๓) นิสสยสมั ปนั โน คอื พร้อมดว้ ยแหลง่ ทุนเปน็ ทีอ่ าศยั หมายถงึ เป็นที่เชอื่ ถอื ไว้วางใจในหมู่แหลง่ ทุนใหญ่ ๆ หาเงนิ มาลงทุน หรอื ดาเนนิ กจิ การโดยงา่ ย
หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ๖. ทิฏฐธมั มกิ ตั ถสงั วตั ตนิกธรรม ๔ ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม คือ ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน หรือ หลกั ธรรมอนั อานวยประโยชน์สุขข้นั ต้นมี ๔ ประการ ๑) อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น หมายถึง ขยันหม่ันเพียรในการปฏิบัติ หนา้ ท่กี ารงาน การประกอบอาชพี สุจริต มีความชานาญ รู้จกั ใชป้ ญั ญาคิดพจิ ารณาหาวธิ ีการใน การดาเนนิ การทัง้ หลายใหไ้ ดผ้ ลดี เช่น หมนั่ ขวนขวายหาความรอู้ ยู่เสมอ ๒) อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษา หมายถึง รู้จักคุ้มครองเก็บรักษาโภค- ทรพั ย์ และผลงานของตนที่ได้ทาไว้ด้วยความขยนั หมน่ั เพยี ร ๓) กัลยาณมิตตตา คบคนดีเป็นมิตร หมายถึง คบหาสมาคมกับคนดีท่ีมีความรู้ ความสามารถ และประพฤตดิ ี ๔) สมชีวิตา มีความเป็นอย่เู หมาะสม หมายถึง รู้จักเลย้ี งชพี ตามสมควรแก่อตั ภาพ
หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ๗. โภคอาทยิ ะ ๕ โภคอาทิยะ คือ ประโยชน์ท่ีควรถือเอาจากโภคทรัพย์ หรือเหตุผลที่ควรยึดถือใน การท่ีจะมี หรือครอบครองโภคทรัพย์ ได้แก่ ข้าวของ เงินทอง เครื่องใช้ต่าง ๆ ที่หามาด้วย ความขยนั สจุ ริต ชอบธรรม ซึ่งควรนามาใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ ดงั นี้ ๑) เลี้ยงตัว มารดาบดิ า บุตรภรรยา และคนในปกครองทัง้ หลายใหเ้ ปน็ สขุ ๒) บารงุ มิตรสหาย และผรู้ ว่ มกจิ การงานใหเ้ ป็นสขุ ๓) ใช้ปอ้ งกนั ภยันตราย หมายถงึ เก็บไวใ้ ช้ยามจาเปน็ เชน่ เจ็บป่วย
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ๔) ทาพลี ๕ คอื สละทรพั ย์เพื่อสงเคราะห์ ๕ อย่าง ได้แก่ - ญาตพิ ลี คือ สงเคราะห์ญาติ - อติถพิ ลี คือ ตอ้ นรบั แขก คนทไ่ี ปมาหาสูก่ นั - ปุพพเปตพลี คือ ทาบุญอทุ ิศให้ผลู้ ว่ งลบั - ราชพลี คือ บารุงราชการ เช่น การเสยี ภาษอี ากร - เทวตาพลี คือ ถวายเทวดา หมายถึง ทาบญุ อทุ ิศให้สิง่ ทเ่ี คารพบูชาตามลทั ธิ ความเช่อื และประเพณีของสังคม ๕) อุปถัมภบ์ ารงุ สมณพราหมณผ์ ้ปู ระพฤตดิ ี ปฏบิ ตั ิชอบ คือ พระสงฆ์
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ๘. อรยิ วฑั ฒิ ๕ อรยิ วฑั ฒิ (อะ-ริ-ยะ-วดั -ทิ) คือ ความเจริญอยา่ งประเสริฐ เป็นหลักความเจริญของ อารยชน มี ๕ ประการ ได้แก่ ๑) ศรัทธา หมายถึง ความเช่ือ ความมั่นใจในสิง่ ท่ีควรเชือ่ ส่ิงที่ควรม่ันใจ เช่อื อยา่ ง มีเหตุผล เช่ือในหลักแห่งความจริงความดีงามอันมีเหตุผล ซ่ึงเป็นสิ่งสาคัญท่ีทาให้เกิดความ เจรญิ
หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ๒) ศีล หมายถงึ การประพฤตดิ ที ้งั ทางกาย วาจา และใจ ๓) สุตะ หมายถึง การศึกษาเล่าเรียน ต้องมีความต้ังใจฟังและหมั่นค้นคว้าหา ความรู้ ๔) จาคะ หมายถึง การเผื่อแผเ่ สยี สละ เออื้ เฟือ้ มนี า้ ใจ ๕) ปัญญา หมายถึง ความรอบรู้ รู้คิด รู้พิจารณา เข้าใจเหตุผล รู้จักโลก และ ชวี ติ ตามความเปน็ จรงิ
หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ๙. วิปสั สนาญาณ ๙ วิปัสสนาญาณ (วิ-ปัด-สะ-นา-ยาน) คือ ญาณในวิปัสสนา หรือที่จัดเป็นวิปัสสนา คือ เป็นความรู้ท่ีทาให้เกิดความเห็นแจ้ง เข้าใจสภาวะของส่ิงทั้งหลายตามเป็นจริง มี ๙ ประการ ไดแ้ ก่ ๑) อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ (ญาณอันตามเห็นความเกิดและความดับ) คือ พจิ ารณาความเกิดขึ้นและความดบั ไปแห่งเบญจขันธ์ ๒) ภังคานุปัสสนาญาณ (ญาณอันตามเห็นความสลาย) คือ เม่ือเห็นความ เกิดดับเชน่ นั้นแล้ว คานึงเด่นชัดในส่วนความดับอันเป็นจุดจบสิ้น ก็เห็นว่าสังขารทั้งปวงล้วน จะต้องสลายไปท้งั หมด
หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา ๓) ภยตูปัฏฐานญาณ (ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว) คือ มองเหน็ ว่าสงั ขารท้งั หลายลว้ นแตจ่ ะตอ้ งสลายไปไม่ปลอดภยั ทงั้ ส้ิน ๔) อาทนี วานุปัสสนาญาณ (ญาณอันคานึงเห็นโทษ) คือ เม่ือพิจารณาเห็นสังขาร ท้งั ปวง ซง่ึ ล้วนต้องแตกสลายไป เป็นของน่ากลัว ไม่ปลอดภัยท้งั สิ้นแล้ว ยอ่ มคานึงเห็นสังขาร ท้ังปวงน้ันวา่ เปน็ โทษ เป็นสงิ่ ทม่ี ีความบกพรอ่ ง จะตอ้ งระคนอยู่ดว้ ยทุกข์ ๕) นิพพิทานุปัสสนาญาณ (ญาณอันคานึงเห็นด้วยความหน่าย) คือ เม่ือ พิจารณาเหน็ สงั ขารว่าเป็นโทษเชน่ นนั้ แล้ว ยอ่ มเกดิ ความหน่าย ไมเ่ พลดิ เพลินติดใจ ๖) มญุ จิตุกัมยตาญาณ (ญาณอันคานึงด้วยใคร่จะพ้นไปเสีย) คือ เม่ือเบื่อหน่าย สังขารทั้งหลายแล้ว ย่อมปรารถนาท่ีจะพน้ ไปจากสังขารเหล่านนั้
หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ๗) ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ (ญาณอนั คานึงพิจารณาหาทาง) คือ เมอ่ื ต้องการจะ พ้นไปเสีย จึงหันกลับไปยกเอาสังขารทั้งหลายข้ึนมาพิจารณากาหนดด้วยไตรลักษณ์เพื่อ มองหาอุบายทจี่ ะปลดเปล้อื งออกไป ๘) สังขารุเปกขาญาณ (ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร) คือ เมื่อ พิจารณาสังขารต่อไป ย่อมเกิดความรู้เห็นสภาวะของสังขารตามความเป็นจริงว่า มีความเปน็ อยู่ และเป็นไปของมันอย่างน้ันเป็นธรรมดา ๙) สัจจานุโลมิกญาณ หรืออนุโลมญาณ (ญาณอันเป็นไปโดยอนุโลมแก่การ หยั่งรู้อริยสัจ) คือ เม่ือวางใจเป็นกลางต่อสังขารท้ังหลาย ไม่พะวง และญาณมุ่งตรงไปสู่ นิพพานแล้ว ญาณที่จะนาไปสู่การตรัสรู้ อริยสัจย่อมเกิดข้ึนในลาดับถัดไป เป็นข้ันสุดท้าย ของวปิ สั สนาญาณ
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ๓. พุทธศาสนสุภาษติ พุทธศาสนสุภาษิต หมายถึง คาสุภาษิตทางพระพุทธศาสนา เป็นข้อความที่มี ลักษณะสั้น ๆ แต่มีความหมายลึกซ้ึง แฝงข้อคิด คติสอนใจให้ประพฤติปฏิบัติตาม มีลักษณะ เปรียบเหมือนกับคาสุภาษิตและคาพังเพยในภาษาไทย พุทธศาสนสุภาษิต มีแหล่งท่ีมา แตกต่างกัน ให้คติคาสอนในเร่ืองต่าง ๆ มากมายในหน่วยการเรียนรู้น้ีกาหนดให้ศึกษาทั้งสิ้น ๑๒ เรือ่ งดว้ ยกัน ไดแ้ ก่
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ๓.๑ จติ ตฺ ทนฺต สุขาวห : จติ ท่ีฝกึ ดีแล้ว นาสุขมาให้ ๓.๒ น อุจจฺ าวจ ปณฺฑิตา ทสฺสยนฺติ : บณั ฑิตย่อมไมแ่ สดงอาการ ขนึ้ ๆ ลงๆ ๓.๓ นตฺถิโลเก อนนิ ฺทิโต : คนทไ่ี มถ่ ูกนินทา ไมม่ ใี นโลก ๓.๔ โกธ ฆตฺวา สุข เสติ : ฆา่ ความโกรธได้ ยอ่ มอยูเ่ ปน็ สขุ ๓.๕ ปฏริ ูปการี ธุรวา อฏุ ฺฐาตา วินทฺ เต ธน : คนขยันเอาการเอางาน กระทาเหมาะสม ยอ่ มหาทรพั ยไ์ ด้
หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ๓.๖ วายเมเถว ปรุ ิโส ยาว อตฺถสสฺ นปิ ฺผทา : เกดิ เป็นคนควรจะ พยายามจนกว่าจะประสบความสาเรจ็ ๓.๗ สนฺตุฏฐฺ ี ปรม ธน : ความสนั โดษเปน็ ทรัพย์อยา่ งย่งิ ขึ้น ๆ ลงๆ ๓.๘ อณิ าทาน ทกุ ฺข โลเก : การเปน็ หนีเ้ ป็นทกุ ขใ์ นโลก ๓.๙ ราชา มขุ มนุสฺสาน : พระราชาเปน็ ประมขุ ของประชาชน ๓.๑๐สติ โลกสมฺ ชาคโร : สติเป็นเคร่ืองต่ืนในโลก ๓.๑๑นตถฺ ิ สนฺติปร สขุ : สขุ อ่ืนยง่ิ กวา่ ความสงบไม่มี
Search
Read the Text Version
- 1 - 34
Pages: