ความรูพ้ืนฐานเก่ียวกับพระพทุ ธศาสนาเถรวาท พุทธประวตั ิพระพุทธศาสนาเปน ศาสนาแหงความรู เพราะเกิดจากพระปญ ญาตรสั รขู องพระพทุ ธเจาผูทรงเปนพระบรมศาสดาองคส าํ คญั ยิ่งพระองคหนง่ึ ของโลก พระพุทธเจา น้ัน เปน พระโอรสของพระเจาสทุ โธทนะ และพระนาง มหามายา มปี ระวตั คิ วามเปน มาปรากฎตาม หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรอ ยา งชดั แจง พระประวัตขิ องพระพุทธ องคนน้ั พงึ ทราบโดยสงั เขปดังตอ ไปน้ี ชาตภิ ูมิ ทางภาคเหนอื สุดของชมพทู วปี (อนิ เดยี โบราณ) มีรัฐที่อดุ มสมบรู ณร ฐั หนึง่ ชอ่ื \"สักกะ\"หรอื \"สกั กชนบท\"ตง้ั อยใู นลมุ นาํ้ โรหิณี ซ่งึ ปจจบุ นั นอ้ี ยใู นประเทศเนปาล กรงุ กบลิ พสั ดเุ ปน เมอื งหลวงของรฐั น้ี กษัตรยิ ศากย วงศทรงปกครองรฐั นีส้ บื ตอกนั มาโดยลําดบั จนถึงรัชสมัยของพระเจาสหี นุ ซ่งึ มพี ระนางกัญจนาเปนพระอคั ร มเหสี ตอมาพระเจา สีหนไุ ดท รงจดั ใหพ ระราชโอรสองคใ หญพ ระนามวา สทุ โธทนะ ไดอ ภเิ ษกสมรสกับพระ นางมหามายา พระราชธดิ าของพระเจาอญั ชนะ และพระนางยโสธราอคั รมเหสแี หงกรุงเทวะทหะ โดยทรง ประกอบพระราชพธิ ขี นึ้ ณ อโศกอุทยาน กรงุ กบลิ พัสดุ เมือ่ พระเจา สหี นุสวรรคตแลว พระเจา สุทโธทนะกไ็ ด เสวยราชสมบตั ิสืบพระวงศต อมา ประสูติ เม่ือกอนพทุ ธศักราช ๘๑ ป พระนางมหามายา อคั รมเหสีของพระเจา สุทโธทนะ แหงกรงุ กบลิ พัสดุทรงพระสุบนิ วา ลกู ชางเผอื กเชือกหน่ึง เขา สูพ ระครรภข องพระนาง หลังจากน้ันไมน านนัก พระนางก็ทรงพระ ครรภ เม่อื พระครรภแ กจ วนครบทศมาสแลว พระนางมหามายาทรงมีพระประสงคเ สด็จกลบั ไปประทับท่กี รุง ทวะทหะ ชว่ั คราว เพือ่ ประสตู พิ ระโอรสในราชตระกลู ของพระนางตามประเพณี ถึงวนั เพ็ญเดอื นวิสาขะ (ขึ้น ๑๕ คํา่ เดอื น ๖ กอ นพุทธศกั ราช ๘๐ ป) พระนางก็เสด็จออกจากกรงุ กบิลพสั ดพุ รอ มดว ยราชบรวิ ารแตเวลาเชา พอใกล เที่ยงวันก็เสด็จถงึ ลุมพนิ วี นั ราชอทุ ยานอนั ต้ังอยูกง่ึ ทางระหวา งกรุงกบิล พัสดุกับกรุงเทวะทหะจงึ เสด็จแวะเขา ไปพกั ผอ นทใ่ี ตตนสาละ ทันทนี ้นั พระนางก็ประชวรพระครรภแ ละประสูติพระโอรส (พระพทุ ธเจา) ความทราบถงึ พระเจา สุทโธทนะ กโ็ ปรดใหร ับพระนางพรอ มดวยพระโอรสเสดจ็กลับสกู รุงกบลิ พสั ดุ
หลงั จากประสตู แิ ลว๕วันไดมกี ารประกอบพระราชพิธีมงคลเฉลมิ พระนามพระราชโอรส วา\"สิทธัตถกมุ าร\"ในพระราชพธิ นี ไี้ ดเชญิ พราหมณ ๑๐๘ คน เขามาฉนั อาหารในพระราชวงั และใหม กี ารทํานายพระลกั ษณะของ เจาชายสทิ ธัตถะตามธรรมเนียมดว ย คณะพราหมณเหลา นน้ั เม่อื ตรวจดูพระลกั ษณะถถี่ วนแลว สว นมากไดรว ม กันทํานายพระลกั ษณะวามีคติเปน ๒ อยาง คอื ถาเจาชายสทิ ธตั ถะนีอ้ ยูครองราชสมบัติกจ็ ักไดเ ปน จกั รพรรดิ แต ถา เสดจ็ ออกทรงผนวช ก็จกั ไดเ ปน พระพุทธเจา ผูเปน ศาสดาเอกของโลก แตมพี ราหมณห นมุ คนหนง่ึ ในคณะพราหมณเ หลาน้นั ชื่อ\"โกณฑญั ญะ\"ไดทํานายพระ ลกั ษณะยืนยนั วามคี ตเิ พียงอยา งเดยี ว โดยทาํ นายวา เจา ชาย สิทธตั ถะนจ้ี ะตองเสดจ็ ออกผนวช และจะตอ งไดเ ปนพระพุทธเจาอยา งแนน อน คร้ันถงึ วันที่๗นบั แตว นั ประสูตพิ ระนางมหามายาพระราชชนนกี เ็ สด็จสวรรคตเจา ชายสทิ ธัตถะจึงอยูในความอภิบาลของพระนางปชาบดีโคตมี ผูเ ปน พระมาตจุ ฉา(พระนา นาง)ของพระองค ซง่ึ ไดท รงเปนพระมเหสี ของพระเจา สทุ โธทนะสบื ตอ มา ทรงศึกษาและอภเิ ษกสมรส เม่อื เจาชายสิทธตั ถะทรงเจรญิ วยั แลว ก็ทรงไดร บั การศกึ ษาศลิ ปวิทยาการตางๆ ตามแบบกษตั ริยในสมยั น้ัน โดยพระราชบดิ าไดทรงมอบใหค รวู ิศวามติ รผูมีชื่อเสยี งท่สี ดุ ในเวลานั้นเปน ผูรบั ภาระถวายการศึกษาอบรมเจา ชายสทิ ธตั ถะทรงมีพระปรีชาเฉลยี วฉลาดยง่ิ สามารถจบการศึกษาอบรมแตเ มอื่ มี พระชนมเพยี ง ๑๕ พรรษา นาํ ความปรดี าปราโมทยมาสูพระราชบดิ า พระประยูรญาติ พระอาจารยเ ปนอยาง ยง่ิ เมอื่ พระชนมได ๑๖ พรรษา ไดทรงอภเิ ษกสมรสกบัเจาหญิงพมิ พา หรอื ยโสธรา พระราชธดิ าพระเจา สุปพทุ ธะ กษตั รยิ โกลยิ วงศแ หงกรงุ เทวทหะ พระราชพิธีไดจ ดั ขน้ึ ณ กรุงกบลิ พสั ดุ ทามกลางพระประยรู ญาติทง้ั ๒ ฝา ย ภายหลงั จากการอภิเษกสมรส ไดทรงดํารงพระยศเปน รัชทายาท แหง กรุงกบิลพสั ดุ พระราชบิดาทรง สรา งปราสาทใหมใ หประทบั ๓ หลงั เพอื่ ทรงสาํ ราญตลอด ๓ ฤดกู าลทรงเพียบพรอ มดว ยโลกิยสุขอยจู นพระ ชนมายไุ ด ๒๙ พรรษา และพระนางพมิ พาพระวรชายากท็ รงพระครรภในปน้นั ทรงผนวช ในปท ท่ี รงพระชนมายไุ ด ๒๙ พรรษาน้ันเอง เจา ชายสทิ ธัตถะผเู ปน รชั ทายาทไดเสดจ็ ประพาส พระราชอทุ ยาน ๔ ครัง้ ไดท อดพระเนตรเหน็ คนแก คนเจ็บไข คนตาย และสมณะ ตามลาํ ดับ ในการเสดจ็ ประพาส ๓ ครง้ั พระองคทรงสลดพระทยั ในความทกุ ขยาก และความไมเท่ยี งแท ความผันแปรของชีวติ ในครั้งท่ี ๔ อัน เปน ครงั้ สุดทา ยนั้นเอง พระองคท รงทราบวา พระนางพิมพา พระวรชายาของพระองคไดป ระสตู ิพระ โอรส และทรงตัดสินพระทยั เสดจ็ ออกทรงผนวชในคืนวนั น้ัน โดยทรงมา กณั ฐกะ มนี ายฉนั นะ เปนผูตามเสดจ็ บา ยพระพกั ตรส ูแ ควนมคธตอนใตพอเวลาใกลร งุ ก็เสด็จถึงแมน ้าํ อโนมาเขา สู ฝง ของแควนมลั ละพรมแดนแหง สักกะกบั แควน มลั ละเสด็จขา มแมนํ้า อโนมาเขา สูฝง ของแควนมลั ละประทับยบั ย้งั อยทู ี่ฝง
แมนํา้ นน้ั ทรงตดั พระ เมาลีของพระองคดว ยพระขรรค แลว ทรงอธิฐานเพศบรรพชิตทรงผนวชเปน สมณะณ ฝงแมน า้ํ นน้ั แลว ตรสั สั่งนายฉนั นะ ใหน าํ มา กณั ฐกะ และเครื่องทรงกลับกบลิ พสั ดุ นบั แตร งุ อรุณวันนั้นเปนตนมา พระสิทธตั ถะกเ็ สดจ็ แรมอยูที่อนุปย อัมพวนั แควนมัลละ แตพ ระองคเ ดยี วชัว่ เวลาราว ๗ วัน ทรงแสวงหาโมกขธรรมและทรงบําเพ็ญทุกรกริ ิยา ตอ มาพระสทิ ธัตถะไดเสดจ็ ออกจากอนปุ ย อัมพวนั แควน มัลละ แลวไปยงั ทตี่ างๆ จนถึงเขตกรงุ ราชคฤห แควนมคธ เพ่อื แสวงหาโมกขธรรม (ความพน ทกุ ข) ครง้ั เสดจ็ เขาไปอบรมศกึ ษาใน สาํ นักอาฬารดาบส กาลามโคตร และสาํ นกั อุทกดาบสรามบตุ ร ทรงเหน็ วา ลทั ธิของ ๒ สาํ นักนนั้ ไมใ ชทางพน ทุกขใ ดจึงทรงอาํ ลาจากสํานักดาบสทงั้ สองนน้ั เสดจ็ จารกึ แสวงหาโมกขธรรมตอไปจนถงึ ตาํ บลอรุ ุเวลาเสนานคิ มอันมีแมน าํ้ เนรญั ชราไหลผาน ไดประทบั อยูใ นปา ณ ตาํ บลนี้ ทรงเริม่ บําเพ็ญทุกรกิรยิ า โดยประการตางๆอยา งเครงครัด แตก ็ไมท รงพบทางพน ทกุ ขไ ด ในเวลานน้ั พวกปญจวัคคีย คอื ภิกษุ ๕ รูป อันไดแก โกณฑญั ญะ วัปปะ ภทั ทิยะ มหานามะ และอสั สชิ มีความเลอ่ื มใสในพระสิทธัตถะดวยเช่อื วา พระองค จนไดสําเรจ็ เปนพระพทุ ธเจา จึงไดพากันมาเฝาปฏิบตั พิ ระองคด ว ยความเคารพ ตรสั รู นับแตป ท ี่ทรงผนวชถงึ ปที่ไดทรงบําเพญ็ ทกุ รกิรยิ าอยา งเครง ครัดน้นั เปนเวลา ๖ ป แลว พระสทิ ธตัถะ ทรงแนพระทยั วา การบําเพ็ญทกุ รกิรยิ าน้ันไมใ ชท างพนทกุ ขแ น และประกอบกบั เวลานัน้ ทาวสักกะไดเสด็จมา เฝา ทรงดีดพิณ ๓ สายถวายคอื สายหนึ่งตึงเกินไปมักขาด สายหนงึ่ หยอ นเกนิ ไปเสียงไมเ พราะ สายหนง่ึ พอดี เสียงไพเราะยิ่งทําใหพ ระสทิ ธัตถะแนพระทยั ยิ่งข้นึ วา การทาํ ความเพยี รเครง ครดั เกินไปนั้นไมใชทางพน ทุกข อยางแนแ ท พระองคจงึ ทรงเลิกบําเพญ็ ทุกรกิริยา ทรงหนั มาบาํ เพญ็ เพยี รทางใจอนั ไดแ ก สมถะ(ความสงบ) วปิ ส สนา (ปญญา) โดยทรงเรมิ่ เสวยพระกระยาหาร ตามปกติ พวกภกิ ษุปญจวัคคยี ท ง้ั ๕ เหน็ดงั นั้น จงึ คลาย ศรทั ธาเลกิ เฝา ปฏบิ ัติ แลว พากันไปอยูปา อสิ ิปตนะมฤคทายวนั แขวงเมืองพาราณสี เปนเหตุใหพ ระองคประทับอยแู ตพระองคเดยี ว ทําใหไ ดร ับความวเิ วกยงิ่ ขนึ้ ทรงเรมิ่ บาํ เพญ็ ทางใจ ณ ภายใตตน หวาใหญต น หน่ึง ครนั้ อยตู อ มาถงึ วนั เพญ็ เดือนวสิ าขะ เวลาเชา พระองคเ สด็จไปประทบั ที่โคนตน ไทรตนหนึง่ ใกลแมน ้ํา เนรญั ชรา เวลาน้ันนางสุชาดา ธิดาสาวของกฎม พนี ายบานเสนานคิ ม ตําบลอุรเุ วลา ไดจ ดั ขา วมธุปายาสใสถาดทองคาํ นําไปบวงสรวงเทวดาทีต่ น ไทรน้ันตามลัทธินยิ มของตน ครน้ั เหน็ พระสิทธัตถะประทบั นั่งอยกู เ็ ขา ใจวาเปน เทวดาจงึ นอมถวายขาว มธุปายาสพรอมทง้ั ถาดทองคาํ แลวหลกี ไป พระสิทธัตถะทรงรบั ขา วมธุปายาสแลวเสดจ็ ไป ยงั แมน า้ํ เนรัญชรา ทรงสรงสนานพระวรกาย แลวเสวยขา วมธุปายาส
แลวทรงลอยถาดลงในกระแสแมน า้ํ เนรญั ชรา ครน้ั แลว แลว จงึ เสดจ็ ไปประทบั ในดงไมส าละใกลฝ งแมนา้ํเนรญั ชรานน้ัครน้ั ยา งเขายามเย็น พระสทิ ธัตถะก็เสดจ็ จากปา สาละไปยงั ตน อสั สัตถพฤกษ( มหาโพธิ)ตน หน่ึง ซึ่งอยูริมฝงทโ่ี คง แมน าํ้ เนรัญชราฝง ตะวันตก ระหวางทางทรงรบั ฟอนหญา คาทค่ี นหาบหญา ขายชือ่ โสตถยิ ะนอ มถวาย๘ ฟอ น ทรงนาํ ไปปลู าดเปนบัลลังกทีค่ วงไมมหาโพธินั้น แลวประทับลงบนบลั ลังกนนั้ ผินพระพกั ตไปทางทิศตะ วนั ออก ทางแมน ้าํ เนรญั ชรา ทรงบําเพญ็ เพยี รทางใจ คอื ทรงเจริญสมถะและวปิ ส สนาไดบ รรลพุ ระอนตุ รสมั มาสัมโพธญิ าณ สาํ เรจ็ เปน พระพทุ ธเจา ในยามสดุ ทา ยแหงวนั เพ็ญเดอื นวิสาขะ กอนพุทธศกั ราช๔๕ ป ครนั้ ตรัสรแู ลว พระพทุ ธองคไดประทับเสวยวิมตุ ิสขุ อยู ๗ สปั ดาห ในสถานทที่ ัง้ ๗ แหง แหง ละสปั ดาหคือ ทตี่ นมหาโพธิ ทอ่ี นิมิสเจดีย ทรี่ ตั นจงกรมเจดีย ท่รี ตั นฆรเจดยี ที่ตน อชปาลนิโครธ ท่ตี นมุจลินท(ตนจกิ ) และ ทต่ี น ราชายตนะ (ตน เกด) ตามลาํ ดับ ในสัปดาหท ่ี ๕ ระหวางเวลาทป่ี ระทบั อยูท ตี่ นอชาปาลนโิ ครธนน้ั พระพุทธองคทรงแกปญ หาพราหมณผู หนึ่งซง่ึ ทูลถามปญหาเร่ืองความเปนพราหมณ และมีพระธดิ าพญามารทัง้ ๓ คอื นางตญั หา นางราคา และนางจรตี ไดมาทาํ การยั่วยวนพระองคใ หท รงหนั ไปลมุ หลงในทางโลก แตไ มเ ปน ผล ในสปั ดาหท ่ี๖ ระหวางแวะประ ทบั อยูที่ใตตน มจุ ลนิ ทนน้ั มฝี นตกตลอดสัปดาห พญานาคช่ือ มจุ ลนิ ท ไดม าถวายอารกั ขา ปองกันพระองคม ิใหเปย กฝน และมใิ หก ระทบลมหนาว ในสปั ดาหท ่ี ๗ ระหวา งเวลาท่ปี ระทับอยูใตตนราชายตนะนน้ั มพี อคา ๒ คน คือ ตะปุสสะ กบั ภลั ลิกะ ไดถวายขา วสัตถุกอ นและสตั ถผุ งแกพ ระพุทธองค และมคี วามเล่อื มใสไดป ระกาศตน เปน อุบาสก ถอื พระพุทธกับพระธรรมเปนสรณะ นับเปนอบุ าสกคูแรกในพระพทุ ธศาสนา ทรงแสดงปฐมเทศนาและไดเ ปนปฐมสาวกคร้ันตอ มาถงึ ตอนเยน็ วนั ขนึ้ ๑๕ค่ําเดอื นอาสาฬหะ(เดือน๘) พระพทุ ธองคไดเ สด็จจากตําบลอุรุเวลาเสนานคิ มถึงปาอิสิปตนะมฤคทายวนั แขวงเมอื งพาราณสี ในวันรงุ ข้นึ อนั เปนวันเพญ็ เดอื นอาสาฬหะไดทรงแสดงพระปฐมเทศนา คือ พระธรรมจักรกับกปั ปวตั นะสูตรโปรดภิกษปุ ญ จวัคคยี ทง้ั ๕ อนั เปนเทศนากณั ฑแ รกในพระพทุ ธศาสนา เมือ่ จบเทศนาแลว ทา นโกณฑญั ญะ(อัญญาโกณฑญั ญะ) ไดธรรมจกั ษุ คอื ไดดวงตาเหน็ ธรรม อันไดแ กการไดบรรลุพระโสดาปตตผิ ล และไดขออุปสัมปทา นบั เปน พระ สงฆส าวกองคแรกในพระพทุ ธศาสนา ตอแตนัน้ มากท็ รงสัง่ สอนทา นทัง้ ๔ จนไดบ รรลุโสดาปตติผล และไดอุป สมบทเปน พระสงฆด ว ยเอหภิ กิ ขุอุปสัมปทาทกุ องค ตอ มาถงึ วนั แรม ๘ คา่ํเดอื นสาวนะ (เดอื น ๙) พระพทุ ธองค ไดทรงแสดงอนตั ตลักขณสตู รโปรดทา นทง้ั ๕ ในวันนน้ั จึงนบั เปนพระอรหันตเกดิ ขึน้ ในโลก รวมทง้ั พระพุทธ องคด ว ยเปน ๖ องค
ทรงโปรดชาวเมอื งพาราณสี ตอมา เมือ่ ประทับจาํ พรรษาอยูทปี่ า อสิ ิปตนะมฤคทายวนั อนั เปน พรรษาแรกนนั้ เอง พระพทุ ธองคก็ไดทรงแสดงอนบุ พุ พิกถาโปรดกลุ บุตรชอ่ื \"ยสะ\" ซ่ึงเปน บุตรเศรษฐชี าวเมอื งพาราณสีให ไดบรรลุ พระอรหตั ตผล สาํ เร็จเปน พระอรหันต ไดอปุ สมบทดวยเอหิภิกขุอปุ สมั ปทา นบั เปนพระอรหันตอ งคท ๗ี่ ในโลกทงั้ ไดท รงแสดงโปรดเศรษฐบี ิดาพระยสะให เลือ่ มใสในพระพทุ ธศาสนาไดประกาศตนเปนอุบาสก และนบั เปน อบุ าสกคนแรกในพระพทุ ธศาสนาทถี่ ือพระรตั นตรยั เปนสรณะ ท้ังไดโ ปรดมารดาและภรรยาของทานยสะใหเ ลอ่ื มใส ไดป ระกาศตนเปน อบุ าสกิ า ซง่ึ เปน อบุ าสกิ าคแู รกในพระพทุ ธศาสนาท่ีถือพระรัตนตรยัเปนสรณะ ตอแตน นั้ มา ๒-๓ วนั พระพทุ ธองคไ ดท รงแสดงธรรมโปรดบุตรเศรษฐเี มืองพาราณสี ผูเปนสหายของ ทา นยสะท้ัง ๔ คน ชอ่ื วมิ ละ สพุ าหุ ปณุ ณชิ และควัมปติ ใหส ําเรจ็ เปน พระอรหันต ไดอ ุปสมบทดวยเอหภิ กิ ขอุ ปุ สัมปทา นบั เปน พระอรหันตในโลกจาํ นวน ๑๑ องค ตอ มาอีกไมน านนัก สหายของทานยสะซึง่ เปนชาวชนบทจาํ นวน ๕๐ คนกไ็ ดบ วชตามยสะ พระพทุ ธองคทรงแสดงธรรมโปรดใหส าํ เรจ็ เปน พระอรหนั ตไดอ ุปสมทบดว ย เอหภิ กิ ขุอปุ สัมปทาทั่วทกุ องคน บั จํานวนพระอรหนั ตใ นโลกเพ่ิมขึ้นเปน ๖๑ องค ทรงสง พระสาวกไปประกาศพระพทุ ธศาสนา เมือ่ มพี ระอรหนั ตส าวกจํานวนมากถงึ ๖๐ องค และเวลานน้ั ก็ ไดส ิ้น ฤดฝู นแลว พระพุทธองคทรงเหน็ วาเปน โอกาสดี สมควรสง พระสาวกไปประกาศพระพทุ ธศาสนาแลวจึง มีพระพุทธดาํ รสั สง่ั พระอรหันตส าวก ใหไปจารกิ ในท่ตี างๆ เพ่ือประโยชนสุขแกประชาชน โดยใหแ ยกยายกนั ไป มิใหไ ปรวมกนั ใหไ ปแสดงธรรมประกาศพระพุทธศาสนาใหแ พรห ลายสวนพระองคเ องกจ็ ะเสดจ็ ไปยงั ตําบลอุรเุ วลา กรงุ ราชคฤห เพอ่ื ประกาศพระพทุ ธศาสนาเชน เดยี วกัน ทรงโปรดภทั ทวัคคยี แ ละชฎิล เม่ือทรงสง พระสาวกออกจารกิ ไปแลว พระพุทธองคจ ึงเสดจ็ ไปยงั ตําบลอรุ เุ วลาแตเพยี งพระองคเดียว ระหวางทางไดเ สด็จแวะเขา ไปพักผอ นทไี่ รฝ า ยแหง หนง่ึ ณ ทน่ี ้ี พระองคไดทรงพบ ชายหนมุ จํานวน๓๐ คน เปน สหายกนั เรยี กวา ภทั ทวัคคยี ซึ่งไดพากันออกติดตามหาภรรยาของหนมุ คนหนงึ่ ท่ี ไดข โมยของหนีไป พระพทุ ธองคจ ึงตรสั เตือนวา จะตามหาหญงิ หรอื ตนเองดี แลว ทรงแสดงธรรมโปรดใหบรรลมุ รรคผล ประทานเอหิภกิ ขอุ ปุ สมั ปทา (คอื การบวชใหดว ยพระองคเ อง ดว ยการตรสั วา จงมาเปน ภกิ ษุเถดิ ) แลวทรงสง ไปประกาศพระพทุ ธศาสนาท้ัง ๓๐ องค หลงั จากที่ทรงโปรดพวกภทั ทวัคคยี แ ลว ตอนบายวันนน้ั พระพทุ ธองคก็เสดจ็ จากไรฝ าย พอเวลาพลบค่ําก็ เสดจ็ ถึงตาํ บลอุรเุ วลาริมฝง แมน้าํ เนรัญชรา ณ ตําบลน้พี ระองคไ ดท รงโปรดชฎิล ๓ พี่นอ งท่ตี งั้ อาศรม
บําเพญ็ พรตอยทู ีต่ ําบลนี้ คือ ชฎลิ ผูพีใ่ หญ ช่อื อรุ เุ วลากสั สป นองคนกลางชือ่ นทกี สั สป นองคนเลก็ ชอื่คยากัสสป คมุ บรวิ าร (รวมท้ังตวั เองดว ย) คนละ ๕๐๐ , ๓๐๐ และ ๒๐๐ โดยต้งั อาศรมอยูตอนเหนือแมน้ําเนรัญชราท่ีคงุ แมน ํ้า ตอนกลาง และทคี่ ุงตอนใตสดุ โดยลาํ ดับ โดยทรงแสดงอาทติ ตปรยิ ายสตู รโปรดชฎลิเหลาน้ันใหไ ดบ รรลุมรรค ผล สําเรจ็ ในพระอรหันตท ง้ั ๑,๐๐๐ รปู ประทานเอหภิ ิกขอุ ปุ สมั ปทาท่วั ทกุ รปู ทรงโปรดพระเจา พิมพสิ ารและทรงไดพระอคั รสาวก เม่อื ทรงโปรดชฎลิ ๓ พีน่ อง พรอ มทง้ั บริวารและทรง พกั อยทู ีต่ าํ บลคยาสีสะพอสมควรแลว พระพุทธองคไ ดท รงพาพระอรหนั ตผ ูเปน ชฎลิ จาํ นวน ๑,๐๐๐ รปู น้ันเสดจ็ ไปยงั กรงุ ราชคฤห นครหลวงแหงแควน มคธ เสดจ็ เขาประทบั อยทู ส่ี วนลฏั ฐวิ นั ใกลพระราชวังพระเจาพมิ พิสาร พระเจา พมิ พิสารทรงทราบขา วน้ี กไ็ ดเสดจ็ ไปเฝา พรอมดว ยขาราชบรพิ ารและประชาชนจาํ นวนมาก พระพทุ ธองคท รงแสดงธรรมโปรดใหไดบ รรลธุ รรมโปรดและมคี วามเลื่อมใสในพระพุทธ ศาสนา พระเจา พิมพสิ ารทรง มีพระราชศรัทธาถวายพระเวฬุวนั (สวนไผ) เพ่อื เปนวิหาร (วดั ) แกพ ระสงฆ มีพระพทุ ธองคเ ปนประมขุ ซึ่งนับ เปนวดั แหง แรกในพระพุทธศาสนา พระพทุ ธองคพ รอ มดวยพระอรหนั ตจ ํานวน ๑,๐๐๐ องคนนั้ ไดประทับอยทู พี่ ระเวฬวุ นั วหิ ารตอ มาถงึวันขึ้น ๑ ค่าํ เดอื นมาฆะ (เดือน ๓) เวลาน้ัน ปรพิ าชกมชี อื่ ๒ คน คอื อปุ ตสิ สะ และ โกลติ ะ เปน สหายกัน ไดพาบรวิ าร (รวมทั้งตวั เองดว ย) จํานวน ๒๕๐ คน เขาไปเผาพระพทุ ธองคทพ่ี ระเวฬวุ นั วหิ าร พระพทุ ธองคทรงแสดงธรรมโปรดประทานเอหภิ กิ ขุสมั ปทาถวนทกุ คน ปริพาชกทเี่ ปน บรวิ ารไดส าํ เร็จเปนพระอรหันตท่ัวทุกคน สวนอปุ ตสิ สะและโกลติ ะผเู ปน หัวหนายังมไิ ดสําเร็จเปนพระอรหนั ตใ นวนั นน้ั ครัน้ ตอมาอีก ๗วัน พระพุทธองคทรงแสดงธรรมโปรดทา นโกลิตะ ใหสาํ เรจ็ เปน พระอรหันต ครน้ั ตอมาถึงวันเพ็ญเดอื นมาฆะ (ขึ้น ๑๕ ค่าํ เดือน ๓) พระ พุทธองคท รงแสดงธรรมแกทีฆนขะปรพิ าชกท่ถี ้ําสูกรขตา (ถาํ้ ท่ีสกุ รขุด)ขา งเขาคชิ ฌกูฎ ทา นอุปตสิ สะน่งั ถวาย งานพัดพระพุทธองคอ ยู ไดฟ งพระธรรมเทศนานนั้ แลว ไดส ําเรจ็ เปนพระอรหันต ตอ มาพระพทุ ธองคท รงยกยอ งพระอปุ ตสิ สะ เปนพระอคั รสาวกเบ้อื งขวา ปรากฏพระนามวาพระสารีบุตร อัครสาวก ยกยอ งพระโกลติ ะเปน พระอคั รสาวกเบอื้ งซายปรากฏนามวา พระมหาโมคคลั ลานะอคั ร สาวก ทรงเปด ประชุมจาตุรงคสนั นิบาตในตอนบา ยแหงวันเพญ็ เดอื นมาฆะวนั นน้ั ขณะท่ี พระพทุ ธองคเสด็จกลบั จากถํ้าสูกรขาตาขา งเขาคิชฌกฏู มาถึงพระเวฬวุ ันวหิ ารพระสงฆอรหนั ตสาวกจํานวน ๑,๒๕๐ องคก็ไดมาชุมนุม พรอ มกันเฉพาะพระพกั ตรต างองคต างมงุ มาเฝา พระพุทธองคในเวลาเดยี วกัน ซึง่ การประชมุสงฆค รั้งนป้ี ระกอบ ดว ยองค ๔ จงึ เรียกวา จาตุรงคสันนบิ าต คือ (๑.) วนั น้ันเปนวนั มาฆปณุ ณมี วนั อโุ บสถขน้ึ ๑๕ คาํ่ เดือน มาฆะ
(๒.) พระอริยสงฆจาํ นวน ๑,๒๕๐ องค มาประชมุ กันโดยมไิ ดม กี ารนดั หมาย (๓.) พระอรยิ สงฆท ั้งหมดนน้ั ลวนเปน พระอรหนั ตผ ูไดอภิญญา ๖ (๔.) พระอรยิ สงฆทงั้ นัน้ ลวนเปน เอหิภิกขุคอื ไดร ับการอปุ สมบทจากพระพทุ ธองคเ อง พระพทุ ธองคทรงเหน็ วาการประชมุ ประกอบดว ยองค ๔ ดงั กลาวนี้ เปน โอกาสดีย่งิ ทีจ่ ะไดท รงแสดงหลกั การ สาํ คัญทางพระพุทธศาสนา จงึ ทรงเปดการประชุมและทรงแสดงโอวาทปาติโมกขในทป่ี ระชมุ นัน้ ทรงโปรดพระพทุ ธบดิ า พระนางพมิ พาและราหลุ ตอ จากวนั เพ็ญเดอื นมาฆะนน้ั มา พระพุทธองคไดท รงสง พระอริยสาวกจํานวน ๑,๒๕๐ องคน ั้นออกไปประกาศพระพทุ ธศาสนา กิตติศพั ทไดเ ลือ่ งลอื ไปถงึ กรุงกบิลพสั ดุ วา พระพุทธองคเมือ่ ไดตรัสรูแลวไดเสดจ็ จารกึ โปรดเวไนยชนใหเ ลอื่ มใสออกบวชเปน พระสงฆ และเปน อุบาสก อุบาสิกา ไดสําเร็จมรรคผลเปน จาํ นวนมาก ขณะน้กี ําลงั ประทับอยูที่พระเวฬวุ นั วหิ าร กรุงราชคฤห แควน มคธ พระเจาสทุ โธทนะ พระพทุ ธบดิ าทรงทราบกติ ติศพั ทนนั้ แลว จงึ ทรงสง ทูตมาทลู อาราธนาพระพุทธองคใหเสด็จ ไปกรงุ กบลิ พัสดุแตส งทตู มาอยา งน้ถี งึ ๙ ครงั้ พระพุทธองคย งั มิไดเสดจ็ ตอ มาพอยา งเขา ปท ่ี ๒ นับแตต รสั รู พระเจาสทุ โธทนะ จงึ ทรงสงทตู มาอาราธนาอกี โดยทรงมอบใหกาฬุทายีอํามาตยเปน หัวหนา คณะทตู ท่ีมาคราว นกี้ ็ไดบวชเปน พระสงฆ และไดส ําเรจ็ เปน พระอรหันตท งั้ คณะ คร้ันยา งเขา ฤดรู อนพระกาฬทุ ายจี งึ ทลู อาราธนา พระพทุ ธองคเสด็จกรุงกบลิ พสั ดตุ ามคาํ อาราธนาของพระพทุ ธบิดา พระพทุ ธองคพ รอ มพระอริยสงฆจ าํ นวน ๒หมื่นรูป จงึ ไดเ สด็จไปโดยมพี ระกาฬทุ ายีเปนผนู ําทางเสดจ็ ดําเนนิ เปน เวลา ๖๐ วนั กถ็ งึ กรุงกบลิ พสั ดปุ ระทับอยูทน่ี โิ ครธรามใกลปามหาวนั ซ่งึ พระญาตจิ ัดไวถ วาย ซงึ่ ไดทรงแสดงเวสสนั ดรชาดกโปรดพระประยรูญาติใหเ ลื่อมใส วนั รุงขน้ึ ไดเ สด็จออกบณิ ฑบาตโปรดประชาชนในกรงุ กบลิ พัสดุ ในการเสด็จเยอื นกรงุกบลิ พสั ดุค รั้งนนี้ อกจากได ทรงแสดงเวสสันดรชาดกโปรดพระประยูรญาติใหเลื่อมใสดงั กลา วแลว ยงั ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบดิ า ใหส ําเรจ็ เปน พระสกทาคามี โปรดพระนางปชาบดโี คตมี และพระนางพิมพาใหสาํ เรจ็ เปนพระโสดาบัน และโปรดใหพ ระราหุลกมุ ารบรรพชาเปน สามเณรองคแ รกในพระพุทธศาสนา โดยทรงมอบใหพระสารีบตุ รเปนพระอุปชฌาย อยูจาํ เนยี รกาลตอ มาพระราหุลไดอ ปุ สมบทและไดส าํ เร็จเปน พระอรหนั ต เสด็จแควนโกศล เมอื่ ประทบั อยทู ก่ี รุงกบลิ พสั ดเุ ปนเวลานานพอสมควรแลว พระพุทธองคไ ดเสดจ็จากกรุงกบลิ พสั ดุกลับไปยงั กรุงราชคฤห ประทับอยทู สี่ สี ปาวนั (ปาสเี สยี ดหรอื ปา กะทมุ เลือด)ครง้ั นัน้เศรษฐีชาวเมอื งสาวตั ถี แควน โกศล ชือ่ อนาถปณ ทิกะ(เดมิ ชอ่ื สุทัตตะ) ไดไปทําธุรกจิ ทกี่ รุงราชคฤห และเขา
เฝาพระพุทธองค ไดฟ งพระธรรมเทศนาของพระพทุ ธองคแลวไดสาํ เรจ็ เปนพระโสดาบนั ไดทูลอาราธนาพระพุทะองคเ สดจ็ ไปกรุงสาวตั ถี แลวตนเองไดก ลบั ไปเมืองสาวตั ถกี อน เพื่อเตรยี มการรบั เสด็จพระพุทธองคแ ละไดสรา งพระเชตวนั มหาวหิ าร เตรยี มถวาย ตอมา พระพทุ ธองคไ ดเสดจ็ ไปเมอื งสาวตั ถี ตามคาํ ทูลอาราธนาของทานเศรษฐีนัน้ เมอ่ื เสดจ็ ถงึ แลวทาน เศรษ ฐีกถ็ วายการตอ นรบั อยางดีดว ยความเคารพเลอ่ื มใสเปนอยางยิ่ง และไดถ วายพระเชตวนั มหาวิหารแดพ ระสงฆ มี พระพุทธองคเปนประมขุ พระพุทธองคทรงรบั พระวิหารไวใ นพระพุทธศาสนา ทรงอนุโมทนาแสดงธรรมกถาโปรดตามควรแกอ ัธยาศัย ระหวา งทป่ี ระทบั อยูทพี่ ระเชตวนั มหาวหิ ารน้ี พระพุทธองคไดทรงแสดงธรรมโปรด พระเจา ปเสนทโิ กศล ใหท รงเลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา และทรงโปรดพระนางมัลลกิ าอัครมเหสใี หไ ดดวงตาเหน็ ธรรม คร้ังนั้น เหตุการณภ ายในเมอื งสาวัตถีกาํ ลังปน ปว น เพราะมโี จรใจเหยี้ มคนหน่ึงชือ่ \"องคลุ ิมาล\" ไดออกอาละ วาดฆาคนเปน จาํ นวนมาก โดยตดั นวิ้ มอื ของคนท่ถี ูกฆาคนละนว้ิ คลองเปนพวงมาลัย ๙๙๙ นิว้ ยงัเหลือเพยี งน้ิว เดียวกจ็ ะครบ ๑,๐๐๐ นิ้วตามตองการเวลานั้นมารดาขององคุลมิ าลคดิ ถึงลูกมากประสงคจ ะไปเยย่ี มลกู พระพุทธองคท รงเห็นวาหากองคลุ มิ าลไดพบมารดากจ็ ะฆา มารดาของตนเสยี จะเปน บาปหนกั จึงเสด็จไปโปรดองคลุ มิ าลใหม ีความเลอ่ื มใสใหบวชเปน พระภิกษใุ นพระ พุทธศาสนา พระประยูรญาติทรงผนวชตามเสดจ็ คร้ังหนึง่ พระพุทธองคประทับอยูท ่อี นปุ ยอมั อัมพวันแหง แควนมัลละ เวลานน้ั กษัตรยิ ศ ากยราชผเู ปน พระประยูรญาติ ๖ พระองค คือ พระภทั ทยิ ะ พระอนุรทุ ธะ พระอานนท พระภคั คุ พระกมิ พิละและพระเทวทัต ทรงเลอื่ มใสในพระพทุ ธจริยา ประสงคจะผนวชตามเสดจ็พระพทุ ธองคจ งึ พรอมกันชวนนายชางกัลบกช่ือ อบุ าลี พากันไปเฝาพระพุทธองค ณ ท่ีประทับ ทลู ขออปุ สมบท พระพุทธองคก ป็ ระทานอุปสมบทใหต ามประสงค โดยใหน ายชา งกัลบกอุปสมบทกอ น กษัตรยิ ศากยาราชทั้ง ๖ องค นั้นอุปสมบทใน ภายหลัง พระพทุ ธองคทรงแสดงธรรมโปรดตามควรแกอธั ยาศัยตอ มาทานเหลา นัน้ นอกจากพระเทวทตั และ พระอานนท ไดป ฏิบัตวิ ปิ ส สนาจนไดส ําเรจ็ เปนพระอรหนั ตสว นพระอานนทไ ดส าํ เรจ็ เปนพระโสดาบัน พระเทวทตั นัน้ ไดบ รรลสุ มาบัติ มีอิทธฤิ ทธ์ิตามวิสยั ปุถชุ น ทรงหา มพระประยรู ญาตวิ วิ าทเรอื่ งนํ้า ครั้งหนึ่ง พระประยรู ญาตทิ ั้งสองฝายคอื ฝายกรุงกบลิ พัสด และฝา ยโกลยิ นคร ไดววิ าทกนั ดว ยแยงนาํ้ในแมน ํา้ โรหณิ เี พ่อื ระบายนาํ้ ไปสพู น้ื ทที่ าํ นาในเขต ของตน เร่มิ ดวยพวกคนงานทะเลาะกัน และลามไปถงึกษัตริย ทงั้ สองฝา ยไดเ ตรยี มอาวุธยกกาํ ลงั เขา ประจนั หนา กนั จวนจะเกดิ ศึกอยรู อมรอ แลว ครง้ั นั้น ขณะพระพทุ ธองคป ระทับอยูทีแ่ ควน สักกะ ทรงเหน็ เหตกุ ารณเ ชน น้นั จึงเสด็จไปโปรดพระประยรู ญาตทิ งั้ สองฝา ยให
ระงับการววิ าทบาดหมางกนั โดยทรงช้ใี หเ ห็นวาชวี ติ กษตั รยิ ชวี ิตคนนั้นแพงกวานาํ้ มากนักไมควรเหน็ น้ําดีกวาคน พระญาตทิ ั้งสองฝา ยจงึ เลกิ วิวาทกนั และมีความสามัคคกี นั ทรงโปรดชางนาฬาคีรี คร้งั หนง่ึ พระพุทธองคป ระทบั อยูท่ีพระเวฬุวนั วหิ าร กรงุ ราชคฤห เชา วนั หนง่ึ ขณะ ทพี่ ระพุทธองคเสด็จออกบณิ ฑบาตในกรุงราชคฤห พระเทวทตั ศษิ ยทรยศของพระพุทธองคไดต ดิ สนิ บนควาญชา งใหปลอ ยชางนาฬาครี ี เพอื่ ทํารา ยพระพทุ ธองคตามแผนการ แตดว ยเมตาจิตของพระพทุ ธองค ชา งตกมนั ก็ หายพยศ กลบั คกุ เขา ลงหมอบลงตรงพระพักตรพ ระพุทธองค ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธบดิ า ครั้งหนึ่งพระพทุ ธองคป ระทบั อยูทกี่ ฏู าคารศาลา ปา มหาวนั ใกล เมืองเวสาลี แคว นวัชชี ทรงจําพรรษา ณ ท่นี ้ีเปน พรรษาที่ ๕ ครง้ั นนั้ พระพทุ ธองคท รงทราบวา พระเจาสุทโธทนะ ทรงประชวรหนกั จึงเสดจ็ เยยี่ มพระพุทธบดิ าท่กี รุงกบิลพสั ดุ พรอ มดวยพระอริยสงฆพทุ ธสาวก ครัน้ เสดจ็ ถึงแลวไดทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดาใหไดส าํ เรจ็ เปน พระอรหนั ต หลงั จากนนั้ ๗ วนั พระพุทธบิดาก็ สวรรคต พระพทุ ธองคพรอ มดว ยพระสงฆแ ละพระประยูรญาติจงึ พรอ มกนั จดั ถวายพระเพลิงพระ บรมศพพระพุทธบิดา พระมหาโมคคัลลานะ อคั รสาวกถูกประทุษราย การท่ีพระพุทธองคไดประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนาลงมั่นคง ในมธั ยมประเทศ (ภาคกลางชมพทู วปี ) และแพรห ลายไปในท่ตี า งๆอยา งรวดเรว็ นัน้ กด็ ว ยการรวมกาํ ลงั กนั เผย แพรข องพทุ ธบริษัทที่สําคัญคอื พระสงฆ พทุ ธสาวก และบรรดาพระสงฆสาวกน้นั ทส่ี าํ คัญทสี่ ดุ กค็ อื พระอคั รสาวกทงั้ ๒ คือ พระสารีบตุ รเถระ และพระมหาโมคคัลลานะเถระซ่ึงเปนกําลงั สาํ คัญยิ่งใหญของพระพทุ ธองค จึงเปน ทอ่ี ิจฉารษิ ยาของมิจฉาทฏิ ฐเิ ปนอยา งยิ่ง โดยเฉพาะพระมหาโมคคลั ลานะผูมีฤทธิ์มากนัน้ มีผูปองรา ยอยู ตลอดเวลา ครง้ั หน่ึงเมอื่ ทา นจาํ พรรษาอยทู ีก่ าฬศิลา แควนมคธ กไ็ ดถ ูกกลุมอาชญากรประทุษรา ยดว ยการวา จาง ของกลมุ มจิ ฉาทฏิ ฐิ แมพระพทุ ธศาสนาจะไดเ จริญแพรห ลายแลว จํานวนพุทธสาวกไดเ พม่ิ ขนึ้ พุทธบริษัทมากมายจนนบัไมถว น ถึงกระนัน้ พระพุทธองคก ็มิไดท รงหยุดยั้งในการทรงบําเพญ็ พุทธกจิ คงเสดจ็ จารกิ ไปแสดงธรรมโปรดประชาชนทั่วไปตลอดเวลา ๔๕ พรรษา นบั แตพ รรษาแรกที่ปา อสิ ิปตนะมฤคทายวนั แขวงเมอื งพาราณสี จนพรรษาสดุ ทา ยทห่ี มูบา นเวฬุคาม แขวงเมืองเวสาลี ณ ท่นี ี้ และพรรษาสดุ ทา ยนี้ พระพุทธองคก็ทรงประชวรหนักแตท รงขมเสยี ดว ยพระสติสัมปชัญญะ คร้นั ออกพรรษาแลว ลว งวันเพ็ญเดอื นมาฆะ พระพทุ ธองคจึงทรงปลงพระชนมายสุ ังขาร คือ ทรงกําหนดพระทยั เรื่องพระชนมายุวา ตอแตนไ้ี ปอกี ๓ เดอื นพระองคจกั ปรนิ พิ พาน ตอ แตน ัน้ มา พระพทุ ธองคก ็เสดจ็ จารกิ โปรดเวไนยไปในที่ตา งๆ จนเสดจ็ ถงึ เมืองปาวา เขา ประทบั ท่ีสวนมะ มว งของนายจนุ ทะ บตุ รนายชา งทอง ไดเ สวยพระกายาหารมือ้ สุดทายท่นี ายจนุ ทะถวาย ทรงแสดงธรรมโปรด นายจนุ ทะใหเ ลอ่ื มใสในพระพุทธศาสนา แลว ทรงอาํ ลานายจนุ ทะ เสด็จดําเนนิ ตอ ไป ผานสถานที่ตา งๆไปโดยลาํ ดบั จนถงึ ปาสาลวนั เขตเมอื งกุสนิ ารา รับสง่ั พระอานนทใหป ูลาดท่ีบรรทมระหวาง
ตนสาละคูห นง่ึ ใหห นั พระเศยี รไปทางทศิ อดุ ร แลวประทับสาํ เรจ็ สหี ไสยา คอื การบรรทมตะแคงขวาเปนอนุฏฐานไสยา คอื การบรรทมโดยมไิ ดทรงกาํ หนดวา จะทรงลุกขึ้นเมือ่ นน้ั เมือ่ นี้ ณ ตอนบายวันเสด็จถึงนนั้และในคนื วนั นนั้ สภุ ัททะปรพิ าชก ไดมาเฝา ขออปุ สมบทเปนพระสาวกองคส ุดทา ยของพระพุทธองคตอจากนน้ั พระองคก็ไดป ระทานพระโอวาท แกภ กิ ษสุ งฆครน้ั ถึงยามสุดทายแหง วนั เพญ็ เดอื นวิสาขะ กเ็ สดจ็ดับขันธปรินิพพาน ครน้ั รงุ เชา เมอื่ ขาวการเสด็จปรินพิ พานของพระพุทธองคทราบถงึ พวกมลั ลกษตั รยิ แ ละชาว เมอื งกสุ ินาราแลว กษตั ริย และประชาชนก็ไดพ ากันมานมัสการพระบรมพุทธสารีระแสดงความโศรกเศรา อาลยั โดยทวั่ หนา ครนั้ ลวงไป 7 วนั แลว จงึ เชญิ พระบรมศพไปประดษิ ฐาน ณ มกุฎพันธนเจดยี เพอ่ื ถวายพระเพลงิเม่อื พระมหากสั สปเถระ พรอ มดว ยบรวิ ารมาถึง และที่ประชมุ พรอ มแลว จึงไดพรอมกันถวายพระเพลิงครัน้ถวายพระเพลงิ เสร็จแลวพวกมัลลกษตั ริยเมอื งกสุ นิ ารากไ็ ดรวบรวมพระบรม สารีริกธาตุที่เหลอื อญั เชญิ ไปประดิษฐานไว ณ สณั ฐาคารศาลาภายในพระนครเพ่อื เปน ท่สี ักการบชู าสบื ไป ตอ มามีกษตั รยิ แ ละพราหมณตามเมืองตา งๆ ไดม าขอพระบรมธาตุ กลา วคอื กษตั รยิ เ มอื งราชคฤห เมอื งเวสาลี เมืองกบลิ พัสดุ เมืองอัลลกัปปะ เมอื งรามคาม พราหมณ เมอื งเวฏฐทปี กะ และเมืองปาวา มลั ลกัษตริยกแ็ จกจายถวายโดยทวั่ กนั สว นโทณพราหมณ เมืองกุสินารา ผูท าํ หนาท่ีแบงพระบรมธาตุ ไดท ะนานตวงพระธาตุไวเ ปน สกั การบูชา คดั มาจาก: คณะอนกุ รรมการสง เสริมพระพทุ ธศาสนา และจริยธรรม สาํ นักนายกรัฐมนตรีพุทธศักราช ๒๕๓๖ http://www.geocities.com/watplub/his_budhda.htmการเกดิ นกิ าย เถรวาท [เถ-ระ-วาด] แปลวา คาํ ของพระเถระ เปนชื่อนิกายสงฆในพระพุทธศาสนา เรียกวา นิกายเถรวาท, คกู ับ นกิ ายอาจริยวาท หรอื เรยี กวา มหายาน, เดิมทพี ระสงฆยังไมม ีนิกาย ครัน้ พระพทุ ธเจา ปรินิพพานแลวประมาณ ๑๐๐ ป พระสงฆเกิดมีความเหน็ ขดั แยง กนั ในการปฏบิ ตั ติ ามพระพุทธบญั ญัติ และขอปฏิบัติปลีกยอย บรรดาพระเถระจงึ ประชมุ กันวนิ จิ ฉยั แลว พระสงฆบางพวกกป็ ฏิบัตติ าม ฝายนเ้ี รยี กวา นกิ ายเถรวาท, สว นฝายทีย่ งั ทาํ ตามอาจารยข องตน เรียกวา นิกายอาจริยวาท อาจาริวาท หลงั จากนน้ั มาก็แยกออกไปเปน หลายนิกาย จนเกดิ นกิ ายขนึ้ มาใหมแ ละยังคงดาํ รงอยอู ยา งเหนยี วแนน คอื นกิ ายมหายาน พวกเถรวาทบางทีเรยี ก หนี ยาน หรอื ทักษิณนกิ าย สว นนิกายพวกอาจริยวาท บางทีเรยี กวา มหายาน หรือ อุตรนิกาย.
เวลาเกิดนกิ าย ประมาณ ๑๐๐ ป หลงั พทุ ธปรินิพพาน สถานทเ่ี กิด วาลกิ าราม เมืองเวสาลี แควน วชั ชี ประเทศอินเดยี สถานทท่ี ําสังคายนาคร้ังท่ี ๒ สาเหตุการเกิด ความเห็นทไี่ มล งรอยกันของคณะสงฆในเร่ืองวนิ ัยบางประการ เหตกุ ารณเ กดิ นิกายน้ีเริ่มตน ในการสังคายนาคร้ังที่ ๒ ในที่ประชุม สงั คายนา ไดพ ิจารณาขอบัญญัติ 10 ประการ เหลา นน้ั วา ขอวตั รของภกิ ษุฝา ยตะวนั ออก ไมถ กู ตอ ง ตามพระวนิ ัย การกระทําเชน น้ี ไมล งรอยกับ พระปาฏโิ มกข บอ นทาํ ลาย ความม่ันคงของ พระพุทธศาสนา ท่ีประชุมสงั คายนา ในครง้ั นน้ั ใหก าํ จัด ขอ บญั ญตั ิ 10 ประการ เหลา นน้ั ออกไปในการลงมติ พระภกิ ษวุ ชั ชบี ุตร ภิกษุชาวเมอื งเวสาลี ไมเ หน็ ชอบดว ย ไมพอใจ จงึ ไดจ ดั ทาํ สงั คายนาขึ้นเองตางหาก เรยี กวา “มหาสงั คตี ”ิ และพระภกิ ษุฝา ยนี้ เรยี กวา “มหาสังฆิกะ” สว นภกิ ษฝุ า ยตะวนั ตก ไดน ามวา“เถรวาทิน” การเปลี่ยนแปลง ท่ียิง่ ใหญ ในสังฆมณฑล เริ่มกอ ตวั ข้ืนแลวจากสถาณการณน ี้ ประเภทของศาสนา เปนศาสนาอเทวนยิ ม ไมม กี ารนบั ถอื พระเจาไมสอนใหเชอื่ เรอ่ื งพระเจา สรา งโลก ไมเชื่อวาสรรพสงิเกิดจากปฐมเหตุอนั เดยี วกนั แตเชอื่ วา สรรพสง่ิ เกดิ ข้นึ ดาํ รงอยู และเปลีย่ นแปลงไปตามเหตปุ จ จยั ตามกฏปจจยาการ พระพุทธศาสนายอมรับวามเี ทดาหรือเทพเจาตางๆแตไมไ ดยอมรบั วา เปนผู กําหนดชวี ติมนษุ ยห รอื ใหก ําเนิดมนุษยคําสอนสําคัญ พระพทุ ธศาสนาเถรวาทใหความสาํ คัญตอ คาํ สอนของพระพทุ ธเจา ในเรอ่ื ง อริยสัจ ๔ ปฏจิ จสมปุ บาทอริยมรรคมีองค ๘ ไตรลักษณ เพราะคําสอนเหลาน้ีเปน คาํ สอนทท่ี าํ ใหพ ระพุทธศาสนามคี วามเดน ท่ีแตกตางจาก ศาสนาอนื่ ๆตัง้ แตส มัยพทุ ธกาลและจนกระท่ังถึงกาลปจจุบัน คาํ สอนเหลานน้ั มเี นอ้ื หาสาระโดยสงั เขปดังนี้
คําสอนเร่อื งอริยสัจ ๔ \"ภกิ ษทุ งั้ หลาย ขอนี้แล เปน ทกุ ขอริยสจั คอื ชาต(ิ การเกิด) ก็เปน ทกุ ข ชรา(ความแก) กเ็ ปน ทุกข พยาธิ(ความเจบ็ ไข) ก็เปน ทุกข มรณะ(ความตาย) กเ็ ปน ทกุ ข การประจวบกับส่ิงอนั ไมเ ปน ท่ีรกั ก็เปน ทกุ ข การพลัดพรากจากสงิ่ เปน ทรี่ กั กเ็ ปน ทกุ ข ปรารถนาสง่ิ ใดไมไ ดส ง่ิ นน้ั ก็เปน ทุกข โดยยอ อปุ าทานขันธ๕ เปนทุกข ภกิ ษทุ ั้งหลาย ขอนีแ้ ลเปนทุกขสมุทยั อริยสัจ คือ ตณั หาอนั ทาํ ใหม ีภพใหม ประกอบดว ยความเพลินและความตดิ ใจ คอยเพลดิ เพลนิ อยูในอารมณน้นั ๆ ไดแก กามตณั หา ภวตัณหา วภิ วตณั หา ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ขอนี้แลเปนทุกขนิโรธอรยิ สัจ คอื การที่ตัณหานน้ั แลดับไปไดด ว ยอาการสาํ รอกออกหมด ไมมีเหลือ การสละเสียได สลดั ออก พนไปได ไมห นว งเหนย่ี วพัวพนั ภิกษทุ ัง้ หลาย ขอ นีแ้ ลเปน ทกุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทาอรยิ สัจ คอื อรยิ มรรคมีองค๘ นี้แหละ ไดแ กสัมมาทฎิ ฐิ ฯลฯ สมั มาสมาธิ\" คดั มาจาก พระเทพเวที , พทุ ธธรรม . กรงุ เทพ ฯ :: โรงพพิ ม หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , 2532. ความหมายของอรยิ สัจ ๔ อริยสัจ ๔ (ความจรงิ อันประเสริฐ, ความจริงของพระอรยิ ะ, ความจริงทีท่ าํ ใหผ ูเ ขาถงึ กลายเปนอริยะ -The Four Noble Truths) ๑. ทกุ ข (ความทุกข, สภาพทที่ นไดย าก, สภาวะทบี่ บี คั้น ขดั แยง บกพรอง ขาดแกนสารและความเท่ียงแท ไมใหค วามพงึ พอใจแทจ ริง, ไดแก ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับสิง่ อันไมเ ปนท่รี กั การพลัดพรากจากสงิ่ ทร่ี ัก ความปรารถนาไมส มหวงั โดยยอ วา อปุ าทานขนั ธ ๕ เปนทุกข - suffering;unsatisfactoriness) ๒. ทุกขสมทุ ัย (เหตเุ กดิ แหง ทกุ ข, สาเหตใุ หทกุ ขเ กิด ไดแ ก ตณั หา ๓ คอื กามตัณหา ภวตณั หา และวิภวตณั หา - the cause of suffering; origin of suffering)
๓. ทกุ ขนิโรธ (ความดบั ทกุ ข ไดแ ก ภาวะที่ตณั หาดบั สน้ิ ไป, ภาวะท่ีเขา ถึงเมอ่ื กาํ จดั อวชิ ชา สาํ รอกตัณหาส้ินแลว ไมถ กู ตอง ไมต ิดขอ ง หลุดพน สงบ ปลอดโปรง เปน อสิ ระ คือนพิ พาน - the cessation ofsuffering; extinction of suffering) ๔. ทุกขนิโรธคามนี ิปฏปิ ทา (ปฏปิ ทาทน่ี ําไปสูความดับแหง ทกุ ข, ขอปฏิบัติใหถงึ ความดบั ทกุ ข ไดแกอริยอฏั ฐังคิกมรรค หรือเรียกอีกอยา งหน่งึ วา มชั ฌิมาปฏปิ ทา แปลวา ทางสายกลาง มรรคมอี งค ๘ นี้ สรุปลงในไตรสกิ ขา คอื ศีล สมาธิ ปญญา - the path leading to the cessation of suffering) อริยสัจ ๔ น้ี เรยี กกันสัน้ ๆ วา ทกุ ข สมุทยั นิโรธ มรรค การแสดงอรยิ สัจ ๔ น้ี มชี อื่ เรยี กอกี อยา งหนึ่งวา สามุกกังสิกา ธรรมเทศนา (เชน องฺ.อฏ?ก.๒๓/๑๐๒/๑๙๐) แปลตามอรรถกถาวา พระธรรมเทศนาที่พระพทุ ธเจา ทรงหยิบยกขน้ึ ถอื เอาไวดว ยพระองคเ อง คือ ทรงเห็นดว ยพระสยัมภญู าณ (= ตรัสรูเอง) ไมสาธารณะแกผ อู ื่น (แตตามทีอ่ ธบิ ายกันมา มกั แปลวา พระธรรมเทศนาทีพ่ ระพุทธเจาทรงยกข้นึ แสดงเองโดยไมตอ งปรารภคําถามหรือการทูลขอรองของผฟู ง อยางการแสดงธรรมเรอ่ื งอื่นๆ; ความจรงิ จะแปลวาพระธรรมเทศนาข้นั สดุ ยอดกไ็ ด ซึง่ สมกบั เปนเร่อื งทท่ี รงแสดงทายสุดตอจาก อนุปพุ พกิ ถา ๕ คดั มาจาก http://www.dhamma.th.gs คําสอนเรือ่ งปฏจิ จสมปุ บาท ปฏจิ จสมุปบาท เปนหลักธรรมคาํ สอนท่ีสําคัญทส่ี ดุ ของพุทธศาสนา เปน หลกั คําสอนท่แี สดงถึงความลาํ เลิศทางปญ ญาคุณของพระพทุ ธเจา และเปนหลกั คาํ สอนทแี่ สดงใหเ ห็นวา พุทธศาสนาเปน ศาสนาประเภทอเทวนยิ มอยา งชดั เจน เพราะแสดงใหเห็นถงึ หลกั กําเนดิ และการดําเนินไปของสิ่งทั้งปวงปฏจิ จสมุปบาท วาดว ยกฎธรรมชาตขิ องชีวิต หากพิจารณาตามกฎนโ้ี ดยมลี ักษณะเปนสัจจธรรมแลว ทุกชีวิตจะเกดิ ขนึ้ ดํารงอยู ยอ มเปนเหตุปจ จัยของกันและกนั อิงอาศัยกนั เกิดขึน้ ดํารงอยแุ ละเปลย่ี นแปลงไปโดยอสิ ระไมตอ งอาศยั สว นอน่ื การดาํ เนนิ ของชวี ิต ยอมเกยี่ วเนอื่ งกันเปน ลูกโซท ้งั ระบบเหมอื นเครอ่ื งยนตปฏจิ จสมุปบาท ซึ่งหมายถงึ ภาวะทอ่ี าศยั กนั เกิดขน้ึ ดงั พทุ ธพจนทต่ี รัสวา อิมสั สะมิง สติ อิทงั โหติ เมื่อสงิ่ นมี้ ี สงิ่ นจ้ี ึงมี อมัสสุปปาทา อิทัง อปุ ปชชติ เพราะส่งิ นเ้ี กดิ ขึน้ ส่งิ นีก้ ็มีไมไ ด อิมัสสะมงิ อสติ อิทงั น โหติ เมื่อสงิ่ นีไ้ มมี สิ่งนไ้ี มม ี
อิมสั สะ นิโรธา อิทงั นริ ชุ ฌะติ เพราะส่ิงนดี้ บั ไป ส่ิงนจี้ งึ ดับ จากพุทธพจนนี้จะเหน็ วา องคประกอบของชวี ิตทกุ สว นยอมอาศยั กนั มคี วามเกี่ยวเนือ่ งสมั พนั ธกันทง้ั ในการเกดิ ตั้งอยู และสลายไป ความหมายของคําวา ปฏิจจสมุปบาท คาํ วา ปฏจิ จสมปุ บาท มาจากศัพทว า ปฏิจจ สํ และอปุ ปาท ปฏิจจ หมายถงึ เกย่ี วเนือ่ งกัน สมั พนั ธก นั สํ หมายถงึ พรอมกัน หรือดวยกนั อปุ ปาท หมายถึง การเกิดขน้ึ ปฏิจจสมุปบาท จงึ หมายถงึ ส่งิ ทอ่ี งิ อาศัยกนั เกดิ ขนึ้ ไดแก ภาวะของส่งิ ทไี่ มเปน อิสระของตนตอ งอาศัยกันและกนั จงึ เกดิ ขน้ึ ไดค ําที่มี ความหมายเชน เดยี วกนั นี้ มีอีก ๒ คําคือ ปจจยาการ และอิทบั ปจ จยตาปจ จยาการ หมายถงึ อาการทสี่ ง่ิ ทั้งหลาย เปน ปจ จยั แกก ันและกนั ซง่ึ หมายถงึ ส่งิ ทงั้ ปวงในโลกน้ี จะเกิดขึ้นเปน อยู ดว ยตนเองโดยปราศจากเหตปุ จจยั ไมได ตององิ อาศัยกนั อทิ ัปปจจยตา พระพุทธเจาตรัสไวในธรรมนิยามสูตรวา ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ตถตา อวตถตา อนญั ญถตา นค่ี อื หลกั ของอิทปั ปจจยตา หรอื ปฏิจจสมุปบาท องคป ระกอบของปฏิจจสมุปบาท องคประกอบของชีวติ ซง่ึ มคี วามสัมพนั ธก ันตามหลักของปฏิจจสมปุ บาทนี้ ทานเรยี กวา องคป ระกอบของปฏจิ จสมุปบาท ซง่ึ มี อวชิ ชา สงั ขาร วญิ ญาณ ฯลฯ แตละองคมีความสัมพันธกนั เหมือนลกู โซ ชวี ติ ของสัตวก็ยอ ม หมนุ เวยี นอยใู นวฏั จกั ร มีความเกีย่ วเนือ่ งกนั เหมอื ลกู โซ ดงั น้ี
อวชิ ชา เปน ปจจยั ใหมี สังขารสังขาร เปนปจ จยั ใหมี วญิ ญาณวิญญาณ เปน ปจ จยั ใหม ี นามรปูนามรปู เปน ปจ จยั ใหม ี สฬายตนะสฬายตนะ เปน ปจ จยั ใหมี ผัสสะผสั สะ เปนปจจันใหม ี เวทนาเวทนา เปน ปจ จยั ใหมี ตณั หาตัณหา เปน ปจจยั ใหม ี อปุ าทานอปุ าทาน เปนปจ จัยใหม ี ภพภพ เปน ปจ จยั ใหมี ชาติชาติ เปนปจ จยั ใหม ี ชรามรณะชรามรณะ เปน ปจ จยั ใหมี โสกะ , ปริเทวะองคป ระกอบของปฏจิ จสมุปบาท ๑๒ องคน้ี เปน สว นประกอบของชีวติ ผูท ่ียงั ตดั อวชิ ชาไมไ ดแมตายไปแลวอวชิ ชากเ็ ปน ปจ จัยใหมีสังขาร สงั ขารกเ็ ปนปจ จัยใหม วี ิญญาณ ฯลฯ ตอไปอกี ไมร ูจกั จบสิน้การเรยี นรูเรอื่ งปฏิจจสมปุ บาทน้จี งึ เปน การเรยี นรกู ฎธรรมชาติของชวี ิต จะไดไมต อ งหลงไหลในเหตุปจจยั ภายนอก เพราะชีวิตน้นั หมุนเวยี นไปตามวัฏฏะ คือ กิเลส กรรม วิบาก ซง่ึ เปนเหตปุ จ จยั
ตอ เนือ่ งกันอยตู ลอดเวลา เม่ือเราไดร บั ผลอยา งไรของชวี ิต เชน มีสุข ทุกข ดี ชัว่ อยา งไรก็ตอ งเขาใจใหถูกตอ งวาเปนเพราะเหตุคือ กรรม ทีต่ อ งทํากรรม กเ็ พราะกิเลสเปน เหตใุ หท ํา ตราบใดทย่ี ังตัดกเิ ลสไมไดชวี ิตกต็ องเปน อยูอยา งนี้ หมนุ อยูอยา งน้ีรา่ํ ไป เมือ่ เขาใจถกู ตอ งอยา งนี้ ความเช่ือที่ประกอบดว ยปญ ญาก็จะเกิดขึน้ จะเกิดความเช่ืออยา งมีเหตุผล เชนเชอื่ วา ชีวติ ทกุ ชีวิตยอมเปน ไปตามกรรม และกรรมนน่ั เอง เปน ผูลิขิตชวี ิตใหเปน ไปตา ง ๆ กนั ดีบา ง เลวบา ง เพราะชวี ติ กรรมลิขิตปฏจิ จสมปุ บาทคืออะไร ปฏจิ จสมุปบาท แปลวา ภาวะทีอ่ าศัยกนั เกดิ ขน้ึ ซ่ึงเปน ระบบการกาํ เนิดของชวี ิตอนั เปน กฎเกณฑแ หงชีวิตศาสนาสอนวา ชวี ติ ทุกชีวิตมสี วนเปน เหตุเปน ผลอาศกึ กนั เกดิ ขึน้ เนื่อง กนั ไมข าดสายเม่อื สิ่งหนง่ึ เกิดขน้ึกเ็ ปนเหตใุ หอ กี ส่ิงหน่ึงเกดิ ข้ึนสืบตอ กันเปนลูกโซ ไมรจู กั จบสิ้น องคประกอบของชวี ิตตามหลกัของปฏิจจสมุปบาท ซึง่ เรยี กวา องคแหง ภวจักร หรอื องคแ หงปฏิจจสมปุ บาท ทานแบง ไว ๑๒ องค คือ ๑. อวชิ ชา ความไมรูค วามจรงิ ๒. สังขาร การปรุงแตง ๓. วญิ ญาณ การรับรูอ ารมณต า ง ๆ ๔. นามรปู นามขนั ธ ๕ รปู ขันธ ๒ ๕. สฬายตนะ อายาตนะภายใน อายตนะภายนอก ๖. ผัสสะ การถกู ตอ ง ๗. เวทนา การเสวยอารมณ ๘. ตัณหา ความอยาก ๙. อปุ าทาน ความยดึ มั่น ๑๐.ภพ ความมี ความเปน
๑๑.ชาติ ความเกดิ ๑๒.ชรามรณะ ความแกแ ละความตาย ท้ัง ๑๒ องคน ี้ เปนสวนประกอบของชีวติ ทุก ๆ องคอาศัยกนั เกดิ มีความสมั พนั ธก นั เชน อวชิ ชา เปน ปจ จยั ใหเกดิ สังขาร สงั ขาร เปนปจ จยั ใหเ กิด วญิ ญาณ ฯลฯ ชาติ เปน ปจ จยั ใหเ กิด ชรามรณะ นีเ่ ปนปฏิจจสมุปบาท ๑ วง หรอื ชวี ิตหมุนไป ๑ รอบวงจรแหง ปฏิจจสมปุ บาท นยิ มเรียกวา ภวจกั ร ซึง่ แปลวา วงลอ แหง ภพ หรอื สังสารจักร ซง่ึ แปลวา วงลอ แหง สงั สารวฏั ปฏิจจสมปุ บาทในฐานะมชั เฌนธรรมเทศนา ความเขา ใจในปฏิจจสมุปบาท เรยี กวา เปนสมั มาทฐิ ิ หรอื เหน็ ถกู ตอ ง และความเหน็ ท่ีถกู ตอ งนเ้ี ปนความเหน็ ชนิดท่เี รียกวา เปนกลางไมเ อยี งสุดไป ทางใดทางหนง่ึ ปฏจิ จสมปุ บาทจงึ เปนหลักหรอื กฏทแี่ สดงความจรงิ เปนกลาง ๆไมเอยี งสุด อยา งทเ่ี รยี กวา \"มชั เฌนธรรมเทศนา\" ความเปนกลางของหลกั ความจรงิ น้ี มีโดยการเทยี บกับลัทธิหรือทฤษฎีเอยี งสดุ ตา ง ๆ และความเขาใจปฏิจจสมปุ บาทโดยถูกตองจะตองแยกออกจากทฤษฎเี อยี งสุดเหลา นี้ ดวย ดงั นั้น ในที่นี้ ปฏจิ จสมุปบาทในฐานะปจ จยาการทางสงั คม ในมหานทิ านสูตร ซง่ึ เปนพระสูตรทสี่ าํ คญั มากสตู รหนึง่ และเปน สูตรใหญทีส่ ุดท่แี สดงปฏจิ จสมุปบาท พระพทุ ธเจาทรงแสดงหลกั ปจจยาการทัง้ ท่เี ปน ไปภายในจติ ใจของบุคคลและที่เปน ไปในความสมั พันธร ะหวา งมนษุ ย หรอื ในทางสงั คมปฏิจจสมปุ บาทแหง ทกุ ขหรือความช่วั รา ยทางสงั คมกด็ ําเนนิ
ตาม วิถเี ดยี วกบั ปฏิจจสมปุ บาทแหง ทุกขข องชวี ิตนน่ั เอง แตเ ริ่มแยกออกแสดงอาการทเ่ี ปน ไปภายนอกตอแตตัณหาเปนตน ไป คัดมาจาก http://www.geocities.com แหลงขอ มลู เพ่ิมเตมิ http://www.nkgen.com http://www4.nt.ac.th http://www.dharma-gateway.com http://www4.nt.ac.th/first-web-nt/dhumma-online/1mainpage.htmคําสอนเร่ือง มรรค 8 ( อฏั ฐงั คกิ มรรค ) . .(มรรค = อรยิ มรรค = มชั ฌิมาปฏิปทา = มรรคแปด = ทางดําเนนิ ชวี ิตอนั ประเสริฐ = ทางสายกลาง).แนวทางดําเนนิ อันประเสริฐของชีวิตหรอื กาย วาจา ใจ เพอื่ ความหลดุ พนจากทกุ ขเรยี กวา อริยมรรค แปลวาทางอันประเสริฐ เปน ขอปฏิบัตทิ ่ีมีหลักไมอ อ นแอ จนถึงกบั ตกอยใู ตอํานาจ ความอยากแหง ใจ แตก ไ็ มแ ข็งตึงจนถงึ กับเปน การทรมานกายใหเ หอื ดแหง จากความสุขทากาย เพราะฉะนน้ั จงึ ไดเ รยี กวามชั ฌิมาปฏิปทาคอื ทางดาํ เนินสายกลาง ไมห ยอ นไมต งึ แตพ อเหมาะเชน สายดนตรีท่เี ทยี บเสยี งไดท แี่ ลว คําวา มรรค แปลวา ทาง ในทนี่ หี้ มายถึงทางเดินของใจ เปนการเดินจากความทกุ ข.ไปสคู วามเปนอิสระหลุดพน จากทกุ ขซ ง่ึ มนุษยห ลง ยดึ ถอื และประกอบขนึ้ ในตนดว ย.อาํ นาจของอวชิ ชา ....มรรคมีองคแปด คอืตองพรอ มเปนอันเดียวกนั ทง้ั แปดอยา งดุจเชอื กฟน แปดเกลยี ว องคแ ปดคอื :- ..........1. สมั มาทิฏฐิ ิคือความเขาใจถกู ตอ ง ..........2. สมั มาสังกปั ปะ คอื ความใฝใจถูกตอง ..........3. สัมมาวาจา คอื การพดู จาถกู ตอง ..........4. สมั มากัมมนั ตะ คอื การกระทาํ ถูกตอง ..........5. สัมมาอาชีวะ คอื การดาํ รงชีพถูกตอง
..........6. สมั มาวายามะ คือความพากเพียรถูกตอ ง ..........7. สัมมาสติ คือการระลกึ ประจาํ ใจถกู ตอ ง ..........8. สัมมาสมาธิ คือการตงั้ ใจมนั่ ถูกตอ ง แหลง ขอ มูลเพม่ิ เตมิ http://www.learntripitaka.com http://www.thammatipo.com คําสอนเรอ่ื งไตรลกั ษณ หรอื สามัญญลักษณะ ไตรลักษณ หมายถงึ ลักษณะสามญั ๓ ประการส่งิ ทัง้ ปวง ไมว า จะเปนคน สตั ว สิ่งของ ลักษณะ ๓ประการนเ้ี ปน เหมือนกฎธรรมชาติ ครอบงําสิง่ มชี ีวิตและไมมชี ีวติ เรยี กอีกอยางหน่งึ วา สามัญลกั ษณะประกอบดว ย อนิจจตา ทกุ ขตา และอนตั ตตา ๑.อนิจจตา ความไมค งที่ ไมถ าวร หมายความวา ทกุ ส่งิ ทกุ อยา งในโลกไมม อี ะไรเท่ยี งแท สง่ิ มีชีวติเมอ่ื เกดิ แลวกม็ กี ารเปล่ยี นแปลงตามวัย จากเดก็ เตบิ โตมาเปน วยั รนุ วยั หนมุ สาว วยั ชรา และตายไป สง่ิ มีชวี ติ ก็เชน เดียวกนั จะตอ งมีการทรดุ โทรม ผุกรอน และเสื่อมโทรมไปในท่สี ดุ ๒.ทุกขตา ความเปนทกุ ขของสิง่ ทั้งปวง คือ ความทนอยูในสภาพเดิมไมไ ด ๓.อนตั ตตา ความเปนของไมใชตัวตน คอื สรรพสิ่งไมม ีแกน สารหรือตวั ตนถาวรใดๆ เปน แตเ พยี งกระแสเกิดดบั ๆ ของธรรมชาติฝายรปู และธรรมชาติฝายนาม ซึง่ ธรรมชาตทิ ้งั ๒นกี้ อ็ ยูในกระแสเกิดดับตลอดเวลาเชนกนั จดุ มุงหมายของศาสนกิ ชน ชาวพุทธเถรวาทมจี ุดมุงหมาย ๒ ระดับ คือระดับวิถชี วี ิตแบบคนธรรมดา เรียกวา ระดับโลกยิ ะ และระดบั อรยิ บุคคล เรียกวา โลกุตตระ
๑. ประโยชนในปจ จบุ นั (ทฏิ ฐธัมมกิ ตั ประโยชน) หมายถงึ ความสาํ เร็จคือมีความสุขในการหาเล้ยี งชพี และการเปน อยทู ่ีดใี นสังคม - ความขยนั หมน่ั เพยี รในการเลีย้ งชพี - การรจู กั รักษาทรพั ยท หี่ ามาได - การคบเพ่อื นทด่ี ี - การดาํ รงชวี ติ โดยเหมาะสม (ไมฟ มุ เฟอ ยหรอื ฝด เคอื งเกนิ ไป) ประโยชนเพื่ออนาคต (สมั ปรายกิ ตั ถประโยชน) หมายถงึ ประโยชนท างศลี ธรรม - ศรัทธา ความเชื่อ - ศีล ความประพฤตดิ ีงาม - จาคะ การเออื้ เฟอใหป น - ปญ ญา ความรูค วามฉลาด ๒. ประโยชนส งู สุด (ปรมตั ถประโยชน) ไดแ กพระนพิ พาน คือความหลุดพน จากกเิ สและกองแหงทกุ ข -ศีล หมายถงึ การประพฤติท่ดี ีงาม -สมาธิ หมายถงึ ความมีใจสงบมน่ั คง -ปญ ญา หมายถึง ความเขาใจรูแจง ในสัจธรรมของโลกและชวี ิต จุดมุงหมายระดับ ๑-๒ จัดเปน โลกยิ ะ สวนจดุ มุงหมายขอ ท่ี ๓ จดั เปน โลกตุ ตระ
อางอิง พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ฉบับประมวลธรรม พิมพคร้งั ที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖ http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=132 http://www.geocities.com http://www.nkgen.com http://www.panyathai.or.th คมั ภรี หลกั พระคมั ภรี ห ลักในพระพุทธศาสนา คือ พระไตรปฎ ก ไตรปฎ ก “ปฎ กสาม”; ปฎก แปลตามศพั ทอยา งพ้ืนๆ วา กระจาด หรอื ตะกรา อันเปนภาชนะสําหรับใสร วมของตางๆ เขา ไว นาํ มาใชใ นความหมายวา เปนท่ีรวบรวมคาํ สอนในพระพุทธศาสนาท่จี ัดเปน หมวดหมแู ลวโดยนัยนี้ ไตรปฎกจึงแปลวา คมั ภีรท ่บี รรจพุ ุทธพจน (และเรือ่ งราวชั้นเดิมของพระพทุ ธศาสนา) ๓ ชดุ หรือ ประมวลแหง คัมภีรท ี่รวบรวมพระธรรมวินัย ๓หมวดกลาวคอื วนิ ัยปฎ ก สตุ ตันตปฎก และอภธิ รรมปฎ ก; พระไตรปฎ ก เปนคมั ภรี ห รอื ตําราทางพระพุทธศาสนา ซึ่งรวบรวมคาํ สง่ั สอนของ พระพทุ ธเจา ไวเ ปน หมวดหมู แบง ออกเปน ๓ ปฎก ดว ยกันคอื ๑. พระวินัยปฎ ก วาดว ยวินยั หรือศลี ของ ภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ ี ๒. พระสุตตันตปฎก วาดว ยพระธรรมเทศนาโดยท่ัวไป มีประวตั แิ ละทองเรอ่ื งประกอบ ๓. พระอภธิ รรมปฎ ก วา ดว ยธรรมะลว น ไมมีประวัติ และทองเรื่องประกอบ คัดมาจาก http://www.geocities.com สัญลกั ษณท างพระพทุ ธศาสนา มีความหมายอยา งไรสญั ลกั ษณศาสนา ธรรมจักร หมายถงึ เคร่อื งหมายทางพระพุทธศาสนา เปนรปู วงลอมี ๘ ซ่บี า ง๑๒ ซบ่ี า ง ถอื เปน
สญั ลกั ษณเริ่มแรกของพระพุทธศาสนา ตราธรรมจกั รถา มี ๔ กง อาจหมายถึงหลกั อริยสัจ ๔ ตราธรรมจกั รถามี ๘ กง อาจหมายถงึ มรรคมีองคป ระกอบ ๘ ประการ ตราธรรมจักรถา มี ๑๖ กง อาจหมายถึงญาณ ๑๖ ในวปิ ส สนากรรมฐาน กงในตราธรรมจกั รอาจมหี ลายกง สุดแตจะกําหนดความหมาย ตามหลกั ธรรมที่ผูสรางเล่อื มใสหรือปฏบิ ตั ินาํ มายอ เขา ไว ภาพมาจาก http://www.palungjit.com/ ธรรมจักร ถอื วาเปนสญั ลักษณทางพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเถรวาทก็ใชธ รรมจักรเปนสญั ลักษณ ท่ีมาของสญั ลกั ษณคอื มาจากพระปฐมเทศนาของพระพทุ ธเจา ที่มีชื่อวา ธมั มจักกัปปวัตตนสตู รและทเี่ รียกธรรมเทศนาช่อื นเี้ นื่องดว ย เปนพระปฐมเทศนานี้ เปน การเผยแพรพ ระธรรมใหป ระกฏแกชาวโลก เปรยี บประดุจธรรมราชรถ ซึง่ พระพุทธเจา ทรงปรารถนาจะใชบ รรทกุ สรรพเวไนยสตั วทงั้ หลายออกจาก หว งวฎั ฎสงสาร ไปสูแดนเกษม คอื พระอมตนพิ พาน โดยมีพระพุทธเจา ทรงเปน สารถเี อง สวนประกอบทที่ ําใหรถสามารถแลนไปสูท ห่ี มายได กค็ อื ลอรถ หรือ จักร นน่ั เอง ดังนนั้ ลอ แหงธรรมราชรถ จงึ ไดช อ่ื วา จกั รธรรม หรือ ธรรมจกั ร ธรรมจักรน้ี ยอ มประกอบไปดวย สว นสาํ คญั 3 สวน คือดุม เปนสัญลกั ษณห มายถึงโพธิปกขิยธรรม กํา เปนสัญลกั ษณห มายถงึ ปฏิจจสมุปบาทธรรม และ กง เปนสญั ลักษณหมายถงึ อรยิ สจั ๔ ประเทศท่นี ับถอื นกิ ายเถรวาทเปนนิกายหลักทไี่ ดรบั การนบั ถือในประเทศศรลี งั กา (มากกวา 70% ของประชากรทั้งหมด) และประเทศในแผน ดนิ เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ไดแ ก กมั พชู า ลาว ไทย และพมา นกิ ายเถรวาทไดรบั การนับถอื เปน สว นนอ ยในประเทศจนี (ฝงตะวันตกเฉยี งใต) เนปาล บังคลาเทศ เวยี ดนาม มาเลเซีย
ตัวเลขผูน ับถือศาสนาพุทธนกิ ายเถรวาทอยทู ่ปี ระมาณ 100 ลา นคน (ประมาณ ๑๔๐ ลาน ในปจ จุบนั ผเู ขยี น)อา งอิงจาก (พระธรรมกิตตวิ งศ (ทองดี สรุ เตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพ่อื การศึกษาพุทธศาสน ชดุคาํ วดั , วดั ราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548) ประเทศท่นี บั ถือพุทธศาสนาแบบเถรวาทที่สําคญั ไดแก ไทย ศรลี ังกา พมา ลาว กมั พูชา ทง้ั ๕ประเทศนม้ี ีผนู ับถอื พุทธศาสนาแบบเถรวาทอยางเปนปก แผน ประเทศอื่นๆนอกจากนกี้ ็มแี ตไมเปน ปก แผนดังเชน ๕ประเทศเหลานี้ ปจจบุ ันพทุ ธศาสนาเถรวาทมีผูนบั ถอื กระจดั กระจายในหลายประเทศเพราะมพี ระใน เถรวาทนาํ ไปเผยแพร ในประเทศไทย พุทธศาสนานกิ ายเถรวาทยงั ไดแ บงเปน นิกายยอ ยอีก 2 นิกาย คือ มหานกิ าย และธรรมยุตินิกาย วนั สําคญั ทางศาสนา วนั มาฆบชู า วนั มาฆบชู า ต ร ง กั บ วั น ขึ้ น ๑ ๕ ค่ํา เ ดื อ น ๓ \"มาฆะ\" เปน ชื่อของเดือน ๓ มาฆบูชานนั้ ยอมาจากคําวา \"มาฆบรุ ณมี\" แปลวา การบูชาพระในวนั เพ็ญ เดอื น ๓ วันมาฆบูชาจงึ ตรงกับวันขน้ึ ๑๔ คํา่ เดอื น ๓แตถ าปใดมเี ดอื น อธิกมาส คือมเี ดือน ๘ สองครัง้ วันมาฆบูชาก็จะเลอื่ นไปเปน วันขึ้น ๑๕ คํ่า เดอื น ๔ เปนวนั สําคญั วันหนึ่ง ในวันพุทธศาสนา คือวันทีม่ ีการประชมุ สังฆสันนิบาตครั้งใหญในพุทธศาสนา ทเ่ี รยี กวา\"จาตรุ งคสนั นบิ าต\" และเปน วันทพี่ ระสัมมาสัมพทุ ธเจา ไดท รงแสดง โอวาทปฎโิ มกข แกพระสงฆส าวกเปนคร้งั แรก ณ เวฬวุ นั วหิ าร กรงุ ราชคฤห เพ่อื ใหพระสงฆน าํ ไปประพฤตปิ ฏบิ ัติ เพ่ือจะยงั พระพทุ ธศาสนาใหเจริญรุง เรอื งตอไป คัดมาจาก http://www.dhammathai.org วันวิสาขบูชา วันวิสาขบชู า เปน วนั คลายวนั ประสตู ิ ตรสั รู และปรนิ ิพพานขององคส มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา ซง่ึตรงกับวันเพญ็ เดือนวสิ าขะ ตรงกนั ทงั้ 3 คราว เจาชายสทิ ธัตถะ ประสูตทิ พ่ี ระราชอทุ ยานลุมพนิ วี นั ระหวางกรงุ กบลิ พัสดุกับเทวทหะ เมอ่ื เชาวัน
ศกุ ร ขน้ึ 15 ค่าํ เดอื น 6 ปจอ กอ นพุทธศักราช 80 ป เจาชายสทิ ธตั ถะตรัสรู เปนพระพทุ ธเจาเมือ่ พระชนมายุ 35 พรรษา ณ ใตรม ไมศ รีมหาโพธิ์ ฝงแมน าํ้เนรญั ชรา ตาํ บลอุรเุ วลาเสนานคิ ม ในตอนเชามดื วันพุธ ขึน้ 15 คํ่า เดือน 6 ประกา กอนพุทธศักราช 45 ปหลังจากออกผนวชได 6 ป ปจจุบันสถานทตี่ รัสรแู หง นี้เรยี กวา พุทธคยา เปน ตาํ บลหนึ่งของเมอื งคยา แหง รฐัพหิ ารของอนิ เดีย หลังจากตรสั รแู ลว ไดประกาศพระศาสนา และโปรดเวไนยสัตวเ ปน เวลา 45 ป พระชนมายไุ ด 80พรรษา ก็เสดจ็ ดับขันธปรนิ พิ พาน เมื่อวันองั คาร ขน้ึ 15 คํ่า เดอื น 6 ปมะเส็ง ณ สาลวโนทยาน ของมลั ลกษตัริย เมืองกสุ นิ ารา แควน มลั ละ (ปจจบุ นั อยใู นเมือง กสุ นี คระ แควน อตุ ตรประเทศ ประเทศอินเดยี ) ในวนั สําคญั นี้ ชาวพทุ ธทั่วโลกมักจดั พิธที ําบญุ ใหญ นอกจากถือศลี ฟง ธรรมแลว ยงั ปลอยนกปลอ ยปลา และเวยี นเทยี นรอบพระอุโบสถในตอนค่ําดว ย องคการสหประชาชาตกิ าํ หนดใหวนั วิสาขบชู าเปน วนั สําคญั สากลของโลก (ดว ยช่ือวันวา \"Vesak\")โดยการเสนอของประเทศศรลี งั กา และมมี ตเิ ปนเอกฉันทใ นทีป่ ระชุมสมชั ชาสหประชาชาติ เมอื่ วันท่ี 15ธันวาคม พ.ศ. 2542 [1] โดยใหเ หตุผลวา องคสมเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจาทรงเปนมหาบุรุษผใู หความเมตตาตอ หมมู วลมนษุ ย เปดโอกาสใหท ุกศาสนาสามารถเขามาศกึ ษาพุทธศาสนา เพ่อื พสิ ูจนหาขอเท็จจริงไดโดยไมจําเปน ตอ งเปลีย่ นมานับถอื ศาสนาพุทธ และทรงสง่ั สอนทกุ คนโดยใชป ญญาธคิ ณุ โดยไมคดิ คาตอบแทน อา งอิง ^ UNITED NATIONS GENERAL ASSEMBLY. เรยี กขอมูลวันที่ 22 มิถนุ ายน 2551 คัดมาจาก http://th.wikipedia.org วันอาสาฬหบูชา วันอาสาฬหบชู า ต ร ง กั บ วั น ข้ึ น ๑ ๕ คํ่า เ ดื อ น ๘ วันขนึ้ ๑๕ คํ่า เดือน ๘ นบั เปนวันทส่ี าํ คญั ในประวตั ศิ าสตรแ หงพระพุทธศาสนา คอื วันที่พระพทุ ธองคทรงแสดงธรรมเทศนาหรือหลักธรรมท่ที รงตรสั รูเปนคร้ังแรกแกเบญจวัคคยี ท ง้ั ๕ ณ มฤคทายวัน ตําบลอิสิปตนะ เมอื งพาราณสี ในชมพทู วีปสมยั โบราณซึง่ปจจบุ ันต้งั อยูในประเทศอนิ เดยี ดวยพระพทุ ธองคท รงเปรยี บดังผูทรงเปน ธรรมราชา กท็ รงบนั ลือธรรมเภรียงั ลอแหงธรรมใหห มนุ รดุ หนา เริ่มตน แผข ยายอาณาจกั รแหงธรรม นําความรม เย็นและความสงบสุขมาใหแกหมูประชา ดังน้ัน ธรรมเทศนาที่ทรงแสดงคร้งั แรกจงึ ไดชอ่ื วา ธัมมจกั กัปปวัตตนสตู ร แปลวา พระ
สูตรแหง การหมุนวงลอธรรม หรือพระสูตรแหงการแผข ยายธรรมจกั ร กลา วคือดินแดนแหง ธรรม เม่อื ๒๕๐๐ กวา ปม าแลวน้นั ชมพูทวปี ในสมยั โบราณ กาํ ลังยา งเขาสยู ุคใหมแ หง ความเจริญกาวหนารุง เรืองเฟองฟูทกุ ดานและมคี นหลายประเภทท้งั ชนผมู ่ังค่งั รา่ํ รวย นกั บวชที่พฒั นาความเชือ่ และ ขอ ปฏิบตั ิทางศาสนา เพอ่ื ใหผูร าํ่ รวยไดประกอบพธิ กรรมแกต นเตม็ ท่ี ผเู บื่อหนา ยชีวิตทวี่ นเวยี น ในอํานาจและโภคสมบัตทิ ่ีออกบวช หรอื บางพวกกแ็ สวงหาคาํ ตอบที่เปนทางรอกพนดว ยการคิดปรัชญาตา ง ๆ เกีย่ วกบั เรอ่ื งท่ีเหลอื วิสัยและไมอ าจพสิ ูจนไ ดบา ง พระพทุ ธเจาจึงทรงอบุ ัตใิ นสภาพเชน นี้ และดาํ เนนิ ชพี เชนนด้ี วยแตเ มื่อทรงพบวา ส่งิ ที่เกิดข้ึนในตอนนัน้ ขาดแกน สาน ไมเ ปนประโยชนอ ยา งแทจริง แกตนเองและผอู นื่ จึงทรงคิดหาวธิ ีแกไ ขดว ยการทดลองตา ง ๆ โดยละทง้ิ ราชสมบตั ิ และอสิ ริยศแลวออกผนวช บาํ เพ็ญตนนานถงึ ๖ ป ก็ไมอ าจพบทางแกไ ด ตอมาจึงไดทางคนพบ มชั ฌมิ าปฏิปทา หรือทางสายกลาง เมอื่ ทรงปฏิบัติตามมรรคาน้ีก็ไดค นพบสัจธรรมท่ีนาํ คณุ คา แทจริงมาสชู วี ิต อนั เรยี กวา อริยสจั ๔ ประการ ในวนั เพ็ญเดอื น ๖ กอนพุทธศก ๔๔ ป ทเ่ี รยี กวา การตรสั รูเ ปน พระพทุ ธเจา จากนน้ั ทรงงานประกาศศาสนาโดยทรงดาํ ริหาทางทีไ่ ดผลดีและรวดเรว็ คอื เริม่ สอนแกผ มู ีพ้นื ฐานภูมปิ ญ ญาดที ่ีรแู จง คําสอนไดอยา งรวดเร็วและ สามารถนาํ ไปชแ้ี จงอธิบาย ใหผูอ น่ื เขามาไดอยา งกวา งขวาง จึงมุง ไปพบนกั บวช ๕ รปู หรอื เบญจวัคคยี และไดแ สดงธรรมเทศนาเปนครง้ั แรกในวันเพญ็ เดอื น คัดมาจาก http://www.dhammathai.org วันเขา พรรษา \"เขา พรรษา\" แปลวา \"พกั ฝน\" หมายถงึ พระภกิ ษสุ งฆต อ งอยปู ระจาํ ณ วัดใดวดั หน่งึ ระหวางฤดฝู นโดยเหตทุ พี่ ระภกิ ษใุ นสมยั พทุ ธกาล มีหนา ท่ีจะตอ งจารกิ โปรดสตั ว และเผยแผพระธรรมคาํ สง่ั สอนแกประชาชนไปในที่ตาง ๆ ไมจาํ เปน ตอ งมที ่อี ยปู ระจาํ แมในฤดูฝน ชาวบา นจงึ ตาํ หนิวาไปเหยยี บขาวกลาและพืชอืน่ ๆ จนเสยี หาย พระพทุ ธเจา จงึ ทรงวางระเบียบการจาํ พรรษาใหพ ระภกิ ษุอยูประจาํ ที่ตลอด 3 เดอื น ในฤดูฝน คือ เริ่มตง้ั แตว นั แรม 1 ค่ํา เดอื น 8 ของทุกป ถาปใ ดมเี ดือน 8 สองครัง้ ก็เลอื่ นมาเปนวนั แรม 1 ค่ําเดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึน้ 15 คาํ่ เดอื น 11 เวน แตมกี จิ ธรุ ะเจา เปน ซ่งึ เมอ่ื เดนิ ทางไปแลว ไมสามารถจะกลับไดในเดยี วนนั้ กท็ รงอนุญาตใหไปแรมคนื ได คราวหนงึ่ ไมเ กนิ 7 คืนเรยี กวา สตั ตาหะ หากเกนิ กําหนดนถ้ี ือวา ไมไ ดรบั ประโยชน แหง การจาํ พรรษา จดั วา พรรษาขาด ระหวางเดนิ ทางกอนหยุดเขาพรรษา หากพระภกิ ษุสงฆเขา มาทนั ในหมูบา นหรอื ในเมืองก็พอจะหาทพ่ี กั พงิ ไดต ามสมควร แตถ า มาไมทันกต็ อ งพ่ึงโคนไมใ หญเ ปน ท่ีพักแรม ชาวบานเห็นพระไดรับความลําบากเชนนี้ จงึ ชวยกันปลกู เพงิ เพอ่ื ใหทานไดอ าศยั พกั ฝน รวมกนั หลาย ๆองค ทพ่ี กั ดังกลา วนเ้ี รยี กวา \"วหิ าร\" แปลวาท่อี ยสู งฆ เมอ่ื หมดแลวพระสงฆท านออกจาริกตามกจิ ของทานครง้ั ถึงหนา ฝนใหมท านกก็ ลับมาพักอกี เพราะสะดวกดี แตบ างทาน
อยปู ระจําเลย บางทเี ศรษฐีมจี ติ ศัรทธาเลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา ก็เลือกหาสถานทส่ี งบเงยี บไมห า งไกลจากชมุ ชนนกั สรา งที่พัก เรียกวา \"อาราม\" ใหเปนท่อี ยขู องสงฆด ังเชน ปจ จบุ นั นี้ โดยปรกตเิ ครอ่ื งใชส อยของพระ ตามพทุ ธานญุ าตใหม ปี ระจาํ ตวั นน้ั มีเพยี งอฏั ฐบรขิ ารอนั ไดแ ก สบงจวี ร สังฆาฏิ เขม็ บาตร รัดประคด หมอกรองน้ํา และมีดโกน และกวา พระทา นจะหาท่ีพกั แรมได บางทกี ็ถูกฝนตน ฤดเู ปยกปอนมา ชาวบานทใ่ี จบุญจงึ ถวายผาจาํ นําพรรษา หรือผา อาบนาํ้ ฝนสาํ หรับใหทา นไดผลดั เปลี่ยน และถวายของจาํ เปน แกก จิ ประจาํ วันของทานเปนพเิ ศษในเขา พรรษานับเปน เหตใุ ห มีประเพณีทําบุญเนอื่ งในวนั นสี้ ืบมา การที่พระภกิ ษสุ งฆท านโปรดสัตวอ ยปู ระจําเปน ทเ่ี ชน นี้ เปน การดสี ําหรบั สาธชุ นหลายประการกลา วคอื ผูทม่ี ีคุณสมบตั ิครบถว นตามพระพทุ ธบญั ญตั กิ ็นิยมบวชพระ สวนผูทอ่ี ายุยังไมครบบวชผปู กครองกน็ าํ ไปฝากพระ โดยบวชเปน เณรบา ง ถวายเปนลูกศษิ ยร บั ใชทานบาง ทานก็ส่งั สอนธรรม และความรใู หและโดยทว่ั ไป พุทธศาสนิกชนนยิ มตกั บาตรหรือไปทาํ บญุ ทวี่ ดั นับวาเปน ประโยชน การปฏบิ ตั ติ น ในวันนีห้ รือกอนวันนห้ี นึง่ วนั พุทธศาสนกิ ชนมกั จะจัดเครอื่ งสักการะเชน ดอกไม ธปูเทยี น เครอ่ื งใช เชน สบู ยาสฟี น เปนตน มาถวายพระภกิ ษุ สามเณร ที่ตนเคารพนับถอื ท่สี าํ คัญคอื มีประเพณหี ลอ เทยี นขนาดใหญเพ่อื ใหจ ดุ บชู าพระประธานในโบสถอยไู ดต ลอด 3 เดอื น มีการประกวดเทยี นพรรษา โดยจดั เปน ขบวนแหท ง้ั ทางบกและทางนํา้ แมก ารเขาพรรษาจะเปนเร่ืองของภกิ ษุ แตพ ทุ ธศาสนิกชนกถ็ ือเปนโอกาสดที จ่ี ะได ทําบุญรักษาศลีและชําระจติ ใจใหผองใส กอ นวนั เขา พรรษาชาวบานก็จะไปชวยพระทําความสะอาดเสนาสนะ ซอมแซมกุฏิวิหารและอน่ื ๆ พอถึง วันเขา พรรษากจ็ ะไปรว มทาํ บุญตกั บาตร ฟง เทศน ฟง ธรรมและรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตัง้ ใจงดเวน อบายมขุ ตา งๆ เปนกรณพี เิ ศษ เชน งดเสพสรุ า งดฆาสัตว เปน ตน อน่ึง บดิ ามารดามักจะจดั พธิ อี ุปสมบทใหบ ตุ รหลาน ของตนโดยถือกันวา การเขาบวชเรียนและอยจู ําพรรษาในระหวา งนจ้ี ะไดรับ อานสิ งสอ ยา งสงู คดั มาจาก http://www.learntripitaka.com
วันออกพรรษา ต ร ง กั บ วั น ข้ึ น ๑ ๕ คํา่ เ ดื อ น ๑ ๑ วันออกพรรษา คือวนั ส้ินสดุ ระยะการจาํ พรรษา หรอื ออกจากการอยปู ระจาํ ท่ีในฤดฝู นซงึ่ ตรงกับวนั ขนึ้ ๑๕ ค่ํา เดือน ๑๑ วันออกพรรษานี้ เรยี กอีกอยางหน่งึ วา \"วันมหาปวารณา\" คําวา \"ปวารณา\"แปลวา \"อนุญาต\" หรอื \"ยอมให\" คือ เปนวนั ทเ่ี ปดโอกาสใหพ ระภิกษุสงฆด ว ยกนัวากลาวตกั เตอื นกันได ในขอ ท่ผี ิดพลง้ั ลวงเกินระหวางทจ่ี าํ พรรษาอยูดว ยกนั ในวันออกพรรษานกี้ จิ ที่ชาวบานมักจะกระทาํ ก็คือ การบําเพญ็ กุศล เชน ทาํ บุญตกั บาตร จดั ดอกไม ธูป เทียน ไปบชู าพระทวี่ ัด และฟงพระธรรมเทศนา ของท่ีชาวพทุ ธนยิ มนาํ ไปใสบาตรในวันนก้ี ็คอื ขา วตม มดั ไต และขา วตม ลกู โยน และการรวมกศุ ลกรรมการ \"ตกั บาตรเทโว\" คาํ วา \"เทโว\" ยอ มาจาก\"เทโวโรหน\" แปลวาการเสด็จจากเทวโลกการตักบาตรเทโว จงึ เปนการระลกึ ถึงวันท่ี พระพุทธองคเสด็จกลับจากการโปรด พระพทุ ธมารดาในเทวโลกประเพณกี ารทาํ บุญกศุ ล เน่อื งในวนั ออกพรรษานี้ ทกุ วดั ในประเทศไทย ก็มพี ิธเี หมอื นกนั หมด จะผดิ กันก็เพยี งแตสถานที่ ท่สี มมตวิ า เปน สวรรคช นั้ ดาวดงึ ส เทานน้ั ศาสนพิธหี รือพิธกี รรมทางศาสนา พธิ คี อื แบบอยา ง แบบแผน หรอื รูปแบบตางๆ ทพี่ งึ ปฏิบัติในทางศาสนา โดยเฉพาะพระพทุ ธศาสนาเรยี กวา ศาสนพธิ ี ความจรงิ เร่ือง ศาสนพธิ ี เปน เร่อื งที่มีดว ยกันทกุ ศาสนา และเปน เรอ่ื งเกดิ ขึน้ ทหี ลังศาสนาหมายความวา มีศาสนาเกิดขนึ้ กอ นแลวจงึ มพี ิธีตางๆ เกดิ ตามมาภายหลงั แมศ าสนพิธใี นพระพทุ ธศาสนาก็เชน กัน เกิดขนึ้ ภายหลงั ทง้ั สน้ิ เหตเุ กดิ ศาสนพิธีในพระพุทธศาสนาน้ี ก็เน่อื งจากมหี ลักการของพระพทุ ธศาสนา ซึ่งพระพทุ ธเจาทรงวางไวแตใ นปท ่ีตรสั รู เพอ่ื สาวกจะไดถ อื เปน หลกั ในการออกไปประกาศพระศาสนา อันเรยี กวา \"โอวาทปาติโมกข\" ในโอวาทนั้น มีหลักการสาํ คญั ทท่ี รงวางไวเ ปน หลกัทั่วๆไป ๓ ประการคือ ๑. สอนไมใ หทาํ ความช่ัวท้งั ปวง ๒. สอนใหอบรมกุศลใหพรอม ๓. สอนใหท ําจิตใจของตนใหผอ งแผว โดยหลกั การทง้ั ๓ น้ี เปนอันวาพทุ ธบริษัทตองพยายามเลกิ ละความประพฤตชิ ั่วทุกอยา ง จนเตม็ความสามารถ และพยายามสรางกุศลสําหรับตนใหพ รอมเทา ท่จี ะสรางได กบั พยายามชาํ ระจติ ใจใหผ อ งใส
อยเู สมอ ดว ยการพยายามทาํ ตามคําสอนในหลกั การการน้ี เปนการพยายามทาํ ดี เรยี กวา \"ทาํ บุญ\" และการทาํ บญุ นแี้ หละพระพทุ ธเจา ทรงแสดงวัตถุ คือท่ีต้งั อันเปน ทางไวโ ดยยอ ๆ ๓ ประการ เรียกวา \"บญุ กริ ิยาวตั ถุ\" คอื ๑. ทาน การบรจิ าคสง่ิ ของของตนใหเ ปนประโยชนแกผูอ ่ืน ๒. ศีล การรักษากายวาจาใหสงบเรยี บรอยไมล ว งพทุ ธบัญญตั ิ ๓. ภาวนา การอบรมจติ ใจใหผ อ งใสในทางกศุ ล บุญกริ ิยานเ้ี อง เปน แนวใหพ ุทธบรษิ ัทปฏิบตั ติ ามหลกั การดังกลา วขางตน และเปน เคา ใหเกดิ ศาสนพธิ ีตา งๆ ข้นึ โดยนิยม คอื ในกาลตอ ๆ มา พทุ ธบรษิ ทั นิยมทาํ บญุ ไมวาจะปรารภเหตุใดๆ ก็ใหเขาหลักบญุ กิริยาวัตถุ ๓ น้ี โดยเริม่ ตนมีการรบั ศีล ตอไปภาวนาดว ยการสวดมนตเ องหรอื ฟง พระสวดแลวสง ใจไปตาม จบลงดว ยการบรจิ าคทานตามสมควร เพราะนยิ มทําบุญเปนการบําเพ็ญความดดี ังกลาวนี้ และทาํ ในกรณตี า ง ๆ กันตามเหตทุ ป่ี รารภ จงึ เกดิ พิธกี รรมข้ึนมากประการ เมอ่ื พิธีกรรมใด เปนท่ีนยิ มและรับรองปฏิบัตสิ ืบ ๆ มาจนเปนประเพณี พธิ กี รรมนน้ั กก็ ลายเปน ศาสนพธิ ีขึน้ ฉะน้ัน ศาสนพิธจี ึงมีมากมาย เม่ือแยกเปนหมวดก็สงเคราะหไ ด ๔ หมวด คือ ๑. หมวดกุศลพิธี วาดว ยพธิ บี าํ เพ็ญกศุ ล เรื่องกุศลพิธี เปนเรอ่ื งพธิ กี รรมตาง ๆ อนั เกย่ี วดว ยการอบรม ความดีงามทางพระพทุ ธ ศาสนาเฉพาะตวั บุคคล คือ เร่อื งสรา งความดีแกตนทางพระพุทธศาสนา ตามพธิ นี ่ันเอง ซงึ่ พธิ ี ทาํ นองนี้มีมากดวยกัน เม่อื จดั เขาเปน หมวดเดียวกนั จงึ ใหช อ่ื หมวดวา “หมวดกศุ ลพธิ ”ี ฉะนัน้ หมวดกศุ ลพิธที จี่ ะกลาวตอไปน้ี จะนาํ กุศลพิธีเฉพาะท่ีพทุ ธบริษัทพึงปฏิบัตใิ นเบือ้ งตน อยางสามัญ มาชแ้ี จงเพียง ๓ เร่ือง คอื ก. พิธีแสดงตนเปน พทุ ธมามกะ ข. พธิ ีเวียนเทยี นในวนั สําคญั ทางศาสนา ไดแ ก วนั มาฆบชู า , วนั วสิ าขบูชา , วันอาสาฬหบชู า , วนั อัฐมบี ชู า ค. พธิ รี กั ษาอโุ บสถศีล
๒.หมวดบญุ พธิ ี วา ดว ยพธิ ที ําบุญ บญุ พิธี ไดแก พิธที ําบญุ เนือ่ งดว ยประเพณีในครอบครัวของพทุ ธศาสนิกชน เปน ประเพณีเกย่ี วกับชวี ติ ของคนไทยท่ัวไป สว นมากทาํ กนั เกี่ยวกบั เรื่องฉลองบาง เร่อื งตองการ สิรมิ งคลบา ง เรอ่ื งตายบาง ในเรื่องเหลา นีน้ ยิ มทาํ บญุ ทางพระพุทธศาสนา เชน ทาํ บุญเลย้ี งพระและ ตกั บาตร เปน ตน เพราะประเพณีนยิ มดังนี้ จึงเกิดมพี ธิ ีกรรม ทีจ่ ะตองปฏิบตั ิขึ้นและถอื สืบ ๆ กนั มาแตโบราณกาล ฉะนนั้ ในเร่อื งพิธีทําบญุ หรือเรียกวา บญุ พธิ ี จึงเปน เรอ่ื งทจ่ี ะตอ งศกึ ษา อกี สวนหนง่ึ ซ่งึ จะนํามากลา วในหมวดน้ี โดยแยกเปน ๒ ประเภทคอื ๑. ทําบญุ งานมงคล เชนทําบุญเลีย้ งพระ ๒. ทําบญุ งานอวมงคล เชน ทาํ บุญหนา ศพ ทาํ บุญอฐั ิ แตล ะประเภทมคี วามมงุ หมายและเหตุผล ตลอดถงึ ระเบียบปฏบิ ตั พิ ธิ ี แตกตางออกไป เปนกรณี ๆ อีกหลายอยาง ดังจะนาํ มาชแ้ี จงแตเพยี งที่สําคญั ๆ ใหเขา ใจตอ ไป ๓. หมวดทานพธิ ี วา ดวยพธิ ถี วายทาน พธิ ถี วายทานตา ง ๆ เรยี กวา ทานพธิ ี ในที่นจี้ ะกวาเฉพาะทานพิธสี ามญั ทจ่ี ําเปน และนยิ มบาํ เพ็ญกนัอยูท่ัวไป และจะกลา วเฉพาะระเบยี บปฏิบตั กิ ับคําถวาย ของฝา ยทายกเทา นน้ั การถวายทาน คือ การถวายวัตถทุ ี่ควรใหเปน ทาน ในพระพุทธศาสนา เรยี กวตั ถุที่ควร ใหเ ปน ทานนี้วา “ทานวตั ถ”ุ ทานจําแนกไว ๑๐ ประการ คือ (๑) ภตั ตาหาร (๒) น้ํารวม ทง้ั เครอื่ งดม่ื อนั ควรแกส มณบริโภค (๓) ผา เครอ่ื งนงุ หม (๔) ยานพาหนะ สงเคราะห ปจจัยคาโดยสารเขาดวย (๕) มาลยั และดอกไมเครอ่ื งบชู าชนิด ตาง ๆ (๖) ของหอม หมายถงึ ธปู เทยี นบชู าพระ (๗) เครื่องลบู ไล หมายถึง เคร่อื ง สขุ ภัณฑสาํ หรับชาํ ระรางกายใหสะอาด มสี บูถกู ตวั เปน ตน (๘) เครอ่ื งท่นี อนอนั ควรแกสมณะ (๙) ท่อี ยอู าศยั มกี ฏุ ิเสนาสนะ และ เคร่ืองสาํ หรบั เสนาสนะเชน เตียง ตู โตะ เกาอ้ี เปนตน (๑๐) เครือ่ งตามประทปี มีเทยี น จดุ ใชแสงตะเกยี ง นา้ํ มนั ตะเกยี งและไฟฟา เปน ตน ทง้ั ๑๐ ประการนคี้ วรแกก ารถวายเปน ทาน แกภ ิกษสุ ามเณรเพื่อใชสอย หรอื บชู าพระตามสมควร แตก ารถวายทานนม้ี นี ยิ ม ๒ อยา ง คอื ๑. ถวายเจาะจงเฉพาะรูปนั้นรูปนอ้ี ยา งหน่งึ เรียกวา ปาฏบิ คุ ลิกทาน
๒. ถวายไมเจาะจงรูปใด มอบเปน ของกลางใหสงฆจ ดั เฉล่ียกนั ใชสอยเอง อีกอยางหนึ่ง เรียกวาสังฆทาน สําหรับปาฏิบคุ ลิกทานไมจําตอ งมพี ธิ ีกรรมอะไรในการถวาย เพราะผูถ วายเกดิ ศรัทธา จะถวายส่งิ ไรแกภ กิ ษหุ รือสามเณรรปู ใด กจ็ ดั สง่ิ น้นั มอบถวายเฉพาะรปู นัน้ เปน รายบคุ คล สําเรจ็ เปน ทานแลว และผรู บัปาฏบิ คุ คลทาน จะอนโุ มทนาอยา งไรนน้ั ก็เปนเรอ่ื งสว นบคุ คลเชนกนั แตส ําหรบั สังฆทาน เปน การถวายสงฆเกีย่ วกบั พระสงฆส วนรวมในวดั จดั เปน การสงฆไ มใ ชการบุคคลดงั กลาว จึงเปนเรือ่ งเกย่ี วเน่อื งดว ยพธิ ีกรรม โดยเฉพาะการถวาย และการอนุโมทนาของสงฆยอ มมีพธิ ีปฏบิ ัติ ฉะน้ันในหมวดน้ี จึงจะกลา วทานพธิ เี ฉพาะสว น ทถ่ี วายเปน การสงฆอ ยางเดียว และทานที่ถวายสงฆนนั้ แมม กี าํ หนดวัตถเุ ปน ๑๐ ชนดิ แลว กม็ นี ิยมถวายวัตถใุ น ๑๐ ชนิดนัน้ เปนรายการ ๆ แยกคาํ ถวายตา งกันออกไปอกี มากมาย แตจ ะเปน ถวายอะไรกต็ าม เม่ือสงเคราะหกอ็ ยใู นปจ จยั เคร่อื งอาศยั ของบรรพชิต ๔ คอืจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสชั ทั้งน้นั และการถวายก็มนี ยิ มเปน ๒ คอื ถวายในกาลทค่ี วรถวายส่งิ นัน้ ๆ เรยี กวา กาลทาน ๑ ถวายไมเน่อื งดว ยกาลหรือนอกกาลอกี ๑ ซ่ึงมีระเบยี บปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี ๔.หมวดปกิณกพธิ ี วาดว ยพิธีเบด็ เตลด็ พธิ ีกรรมที่จะกลา วในบทน้เี ปนพิธเี บด็ เตลด็ เกยี่ วกับวิธีปฏิบัติบางประการ ในการ ประกอบพธิ ตี า ง ๆท่กี ลา วแลวในหมวดตน ๆ มาชแี้ จงเพ่อื ความรู และเพอื่ เปน ทางปฏิบัติ แตจ ะกลาวเฉพาะเรอ่ื งทม่ี ิไดช แ้ี จงไวขางตนเพยี ง ๕ เร่ืองเทานั้น คือ ๑. วิธีแสดงความเคารพพระ ๒. วธิ ปี ระเคนของพระ ๓. วธิ ที าํ หนังสอื อาราธนา และทาํ ใบปวารณาถวายจตุปจจยั ๔. วิธอี าราธนาศลี อาราธนาพระปรติ ร อาราธนาธรรม ๕. วธิ กี รวดนํา้
สถานภาพของสตรี ในพระพทุ ธศาสนา ไมมีการกีดกนั ทางเพศ ทกุ คนทกุ เพศสามารถทาํ ความดแี ละเขา ถงึ ธรรมในระดบัตา งๆตามความสามารถและบุญ บารมขี องแตล ะคน เพศเปน เพยี งสญั ลกั ษณทางธรรมชาติ แตไมไดเปนเครอ่ื งวดั ความเปน คนท่ีแทจ รงิ ได และทงั้ ไมไ ดเปน เครือ่ งรบั รองวาเพศหญงิ หรือเพศชายใครจะสามารถบรรลธุ รรม กอนกัน คาํ สอนของพระพทุ ธเจาเกี่ยวกบั สตรแี ละบรุ ษุ มนี ํา้ หนกั เทา เทยี มกนั แตด ว ยวาธรรมชาติของชายและหญงิ ในบางเรอ่ื งก็มขี อปลกี ยอยทแ่ี ตกตา งกนั ตามสภาพสังคม ส่ิงแวดลอ ม ซึ่งนัน่อาจจะถือไดว า หญงิ และชายตางก็มหี นา ทแ่ี ตกตางกันไปแตม ีจุดมุงหมายอนั เดยี วกัน อยางกรณีที่พระพุทธเจาตรสั ถงึ หนาทขี่ องสตรีวาควรวางตวั อยางไรไมใช ประสงคจ ะดูถูกกดขสี่ ตรี จริงๆแลว อาจมองไดว านั่นเปน การแนะนาํ สตรใี หประกอบดว ยธรรมคือหนา ที่ ดงั ใน คัมภรี อังคตุ รนกิ าย มคี ําแนะนาํ ส่ังสอนที่มีคา ยง่ิ ซ่งึ พระพุทธองคไ ดว างเอาไวใหห ญิงสาว กอ นแตงงานไดสําเหนียกศกึ ษาปฏบิ ัติ เนอ่ื งจากพระองคไดมองเหน็ ความยงุ ยากที่จะเกดิ ขนึ้ เมือ่ มีสะใภเขามาอยใู นบา น (ของสามี) สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา จงึไดทรงแนะนาํ หญิงสาวทง้ั หลายวา จะตอ งใหค วามเคารพ ยกยอ ง นบั ถอื พอผวั แมผ วั โดยปฏิบตั ิรบั ใชท านเสมอื นหน่งึ ทา นเหลา น้นั เปน บดิ ามารดาของตนเอง ท้งั ยงั แนะนําใหห ญิงสาวทจี่ ะแตงงาน จะตองใหเ กยี รติและใหความนบั ถอื ญาตพิ น่ี อ ง และเพอื่ นๆ ของสามี เพื่อวา บรรยากาศภายในครอบครัวใหมจ ะไดอบอุนและมคี วามผาสกุ ราบรืน่ หญิงสาวจะไดรบั การแนะนาํ สง่ั สอนใหศกึ ษา และใหทําความเขา ใจนสิ ยั ใจคอของสามี และหาทางใหร ูวา สามขี องตวั เองมกี จิ กรรม หรือประกอบธุรกิจการงานอะไร รวมทั้งใหรเู อกลกั ษณประจาํ ตวั และนิสยั ใจคอของสามี นอกจากนน้ั หญงิ สาวตองรูจกั ทําตวั ใหเ ปน ประโยชน ใหความรว มมือตลอดเวลาที่ไปอยบู านของสามี หญิงสาวควรเปน คนสภุ าพ ใจดี มคี วามระมัดระวังในการเอาใจใสดแู ลคนรับใช ทีส่ ําคญั หญิงสาวจะตอ งเปนผปู กปก รักษาทรพั ยส มบตั ิที่สามีหามาได และจะตองดแู ลวา รายจายทัง้ หลายภายในครอบครวั เรือนตอ งเปนไปอยางประหยดั ทว่ี ามาทงั้ หมดเปนคาํ สอนโดยเฉพาะสําหรบั สตรีอันเปน คําแนะนําท่ที รงคณุ คา ตลอดกาล ทอ่ี งคส มเด็จพระสัมมาสมั พทุ ธเจา ทรงสอนไวโ ดยเฉพาะสาํ หรบัสภุ าพสตรี สมเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจา ไดท รงเหน็ ความสาํ คัญวา ความผาสุก และความกลมเกลียวปรองดองกนั ในครอบครัวน้นั ผหู ญงิ เปนฝา ยใหหลกั ประกนั ไดด ี ดังนน้ั คําสอนของพระองค เกี่ยวกบั บทบาทของผูห ญงิ ในชวี ติ การแตงงานจงึ เปนสจั ธรรมท่สี ามารถนาํ ไปปฏบิ ตั ิได พระองคท รงวางรายละเอยี ดเปน ขอ ๆเกี่ยวกบั คณุ ภาพประจาํ วนั ไวม ากมาย ที่ผูหญงิ ควรหรือไมควรจะนําไปประพฤติปฏบิ ตั ิ ในหลายโอกาสสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ไดท รงแนะนําวา ภรรยา :- 1. ไมค วรคิดในแงร า ยตอ สามี
2. ไมค วรเปนคนโหดรา ย หยาบกระดา ง หรอื ทาํ ยโสโอหงั ตอ สามี 3. ไมพงึ เปน คนสรุ ุยสรุ าย ควรเปน คนมีนิสัยประหยัด มัธยัส อดออม และดํารงชีพตามสมควรแกอ ัตตภาพ 4. ควรปอ งกนั รักษาสมบัตสิ ิง่ ทส่ี ามีหามาไดด วยความยากลาํ บากอยา งสุดความสามารถ 5. ควรบําเพญ็ ตนเปนคนดี มศี ลี ธรรม เปนคนบรสิ ุทธทิ์ ัง้ ใจ และกาย 6. ควรเปน คนซ่อื สัตย สจุ รติ ไมคดิ คด ทรยศสามีในทางชสู าว 7. ควรเปนคนมีวาจาออนโยน ออ นหวาน มีความประพฤตสิ ภุ าพเรยี บรอย 8. ควรเปน คนใจดี มเี มตตา กรณุ า ขยนั ขนั แขง็ และความเพยี รพยายาม 9. ควรเปนคนมีความคิดรอบคอบ มคี วามสงสาร เห็นอกเหน็ ใจสามี ควรมีเจตนคตใิ นอันทจี่ ะเปน แมทร่ี ักและปกปอ งลูกทจี่ ะเกิดมา 10. ควรเปนคนสภุ าพออนโยน และนาเคารพนบั ถือ 11. ควรเปนคนอารมณเยน็ สงบเสงย่ี ม และมีความเขา ใจผูอื่น ปฏบิ ัตริ บั ใชไ มเพยี งแตใ นฐานะของภรรยา แตเปน เพ่อื นและเปนคูช ีวิตแนะนาํ ช้ีทางแกสามเี ม่ือถงึ คราวจําเปน และคบั ขนั ในสมัยท่สี มเดจ็ พระสมั มาสัมพุทธเจา ยงั ดาํ รงพระชนมอยู กย็ งั มนี กั สอนศาสนาอ่นื ๆ ไดพ ูดถงึ หนา ที่และความผูกพนั ระหวา งภรรยากบั สามดี ว ยเชน เดยี วกนั ทา นเหลาน้นั เนน วา หนาทขี่ องภริยาโดยเฉพาะ ก็คอืใหทายาทแกส ามี และใหบ รกิ ารสามีอยา งซอื่ สตั ย พรอมทง้ั ใหค วามสุขฉันสามภี รรยา หลักคําสอนประเภทเดยี วกันนี้ ก็มสี อนในลัทธขิ งจ้อื ดว ยเหมือนกัน ถึงอยา งไรกต็ ามแมว าหนาทขี่ องภรยิ าตอ สามจี ะมสี อนไวในหลักวินยั ของ ขงจ้อื ก็ตาม แตห ลักน้ันกไ็ มไ ดเ นน หนาทแ่ี ละขอ ผกู พันของสามีตอภริยาแตอยา งใด คําสอนของพระพุทธเจากม็ ไิ ดเ ปน การลําเอียงตอ สามี ในสิงคาโลวาทสตู ร สมเดจ็ พระสัมมาสมั พุทธเจา ไดทรงตรสัไวอ ยางชดั เจนถึงหนาท่ขี องสามีตอ ภริยา และหนา ทีข่ องภรยิ าจะตองปฏบิ ตั ติ อสามี ในฝายสามกี ็ควรจะเปนคนซือ่ สัตยจงรักภกั ดี และไมดูถกู เหยียดหยามภรรยา เปน หนา ทขี่ องสามที ่ีจะตองมอบความเปน ใหญให
ภรรยาของเขา พรอ มท้งั จดั หาเคร่ืองประดบั ใหแกภรรยาเปน ครง้ั คราวตามโอกาส ดังนน้ั เราจงึ สามารถมองเห็นทา ทที ปี่ ราศจากการลําเอียงทีพ่ ระพทุ ธเจา ทรงแสดงไวทั้งตอ บรุ ษุ และสตรี คดั มาจาก http://mahamakuta.inet.co.th แหลง ขอมลู เพิ่มเติม http://duangden.com/Buddhism/Faminism.html ทัศนะเรอื่ งชีวิต สง่ิ ทเ่ี รียกวา “ชีวิต” มีองคประกอบใหญ ๒ สว น คือ สวนท่ีเปน รปู ธรรม กับสวนท่ีเปน นามธรรมอยางที่เราเขาใจกนั ทว่ั ไปวา เปนเร่อื งของกายกับเร่ืองของจิต องคป ระกอบใหญท้ังสองสวนนี้ รวมอยูในสง่ิทเี่ รยี กวา ขันธ ๕ (The Five Aggregates) ซึ่งประกอบดว ย รูป เวทนา สญั ญา สังขาร และ วิญญาณ 2ความหมายของสว นทัง้ ๕ พระพรหมคุณาภรณได ใหไวใ นหนงั สอื พทุ ธธรรม มีดังน้ี รปู (Corporeality) คือ สวนประกอบทีเ่ ปนดา นกายภาพหรอื ดานรูปธรรมทั้งหมด โดยสรุปกค็ อืรางกาย (เนอื้ หนงั มังสา) และพฤตกิ รรมทงั้ หมดของรางกาย หรือจะกลา วอกี นยั หนงึ่ วา คือ สวนทเี่ ปน สสารและพลงั งานฝา ยวัตถุ พรอมทงั้ คุณสมบตั ิและพฤติกรรมตา งๆ ของสสารและพลงั งานเหลา นน้ั เวทนา (Feeling) คอื สว นทเี่ ปน ความรสู กึ ซึ่งเกดิ จากการไดสัมผสั ผานทางประสาทสมั ผัสทงั้ ๕ และทางใจ ความรสู กึ นั้นอาจมหี ลากหลาย เชน ความรูสกึ รอ น หนาว อบอนุ เจบ็ ปวด ผอนคลาย ฯลฯ กลา วรวมๆ ไดว า เปนความรสู ึกสุข ทุกข หรอื เฉยๆ คอื ไมส ุข ไมท กุ ข สญั ญา (Perception) คือ การกาํ หนดรู การจาํ ได และการแยกแยะความแตกตา งของสง่ิ ทรี่ ับเขา มาทางประสาทสัมผัสตา งๆ ได เปน อาการทใ่ี จรบั รแู ละสามารถบอกไดว าสงิ่ น้นั ๆ เปนอะไร อันเปน เหตใุ หจ ําสิง่นน้ั ๆ ได เชน จํารูปรา ง สี เสียง กลนิ่ รส สัมผสั และอาการตา งๆ ได สงั ขาร (Mental Formation) คําวาสังขาร ในกรณนี ไ้ี มไ ดห มายถงึ เร่ืองของรางกายทเ่ี ปน เนอื้ หนัง คือ ไมใชส ว นทเ่ี ปนรปู ธรรมหรอื กายภาพอยา งที่เขาใจกนั ท่ัวไป แตเ ปน เรือ่ งของจิตหรอื เกี่ยวกับจติ มากกวา ความหมายในทน่ี จี้ งึ หมายถึง “สภาพที่ปรงุ แตง จิต” ใหมีลกั ษณะตา งๆ ซึง่ อาจจะเปนฝา ยดี ฝา ยชว่ั หรือเปนกลางๆ (ไมด ี ไมช ่วั ) กไ็ ด ท้งั นี้ โดยมีเจตนา เปน ตัวนํา กลา วอยา งงายๆ สังขารน้คี ือ ความนกึ คดิ ซ่งึ อาจจะเปน ดา นดี ไมดี หรอื เปน กลางๆ ก็ได วิญญาณ (Consciousness) ในทนี่ กี้ ไ็ มใชอยางเดยี วกบั สิง่ ทค่ี นเชอื่ กนั ทว่ั ไปวา เปน สิ่งท่มี อี ยใู นตัวคนเมอ่ื ยังมชี วี ิต และเมอ่ื ตายแลวก็ลองลอยไปในภพภมู ิตา งๆ แตว ิญญาณในที่นี้ หมายถงึ การรบั รูอารมณ
(object) โดยผา นทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ และทางใจ คอื รโู ดยผา นทางการเห็น การไดย ิน การไดก ล่นิ การไดล ม้ิ รส การรับสมั ผสั ทางกาย และการรอู ารมณท างใจ จะสงั เกตวา ในสว นประกอบทัง้ ๕ ที่กลาวขา งตนน้ัน สวนท่ีเปน รปู ธรรมหรอื กายภาพ มอี ยเู ฉพาะในขันธ ๕ ขอ ที่ ๑ (รปู ) เพยี งขอ เดยี วเทา นน้ั ทเี่ หลอื อกี ๔ ขอ คือ เวทนา สัญญา สงั ขาร และวญิ ญาณ นั้น เปนสว นท่เี ราอาจนิยามวา เปน นามธรรม ขนั ธ หรือสว นประกอบแตล ะสวน ก็มีสวนประกอบยอ ยของมนั อีกจาํ นวนมากบา ง นอยบา ง ตามลกั ษณะของ ขันธ ขอ น้นั ๆ ตัวอยา งเชน รปู หรอื สวนประกอบทจี่ ัดวาเปน สว นกายภาพนน้ั มสี ว นประกอบยอ ยลงไปอกี ถงึ ๒๘ อยา ง สว นประกอบทเี่ รียกวาขนั ธท ้งั ๕ ลวนเปน ไปในรปูของกระแสเกดิ ดบั ๆ ตลอดเวลา มลี กั ษณะแหงความเปลย่ี นแปลง เปน ทุกข ไรแกน สารหรอื ตัวตนใดๆทงั้ สนิ้ มีการเกดิ ขึ้น ดาํ รงอยู และดบั สลายไปในทสี่ ุด และเปน ไปไดเ พราะอาศัยการอิงอาศยั ซ่งึ กันและกนัชีวติ นีม้ กี ารปฏิสัมพนั ธในการรับรูโลกภายนอกผาน ตา หู จมกู ล้ิน กาย และใจ และชีวติ นแี้ สดงออกทางกาย วาจา และใจ ทงั้ หมดน้ีคอื การแสดงออกของขนั ธ ๕ ทท่ี าํ งานประสานสดรบั กันนนั่ เอง ดงั นนั้ ชวี ติ จึงไมมตี วั ตนทยี่ นื โรงอยูภายในท่ีเปน อมตะเปน ใหญสูงสดุ แต เพยี งผูเดยี วแตเ ปน สง่ิ ทีอ่ งิ อาศัยกนั และกนั อยูในกระแสเกดิ ดับๆ ตลอดเวลา ทัศนะเร่อื งความตาย พทุ ธศาสนาพดู ถงึ ความตาย ๒ ประเภท คอื ความตายของชีวติ หรอื ตายทางรา งกาย กับความตายโดยที่ยังไมสิ้นลมหายใจ อาจเรยี กวาเปน ความตายทางจิตใจ พทุ ธศาสนาเชอื่ วา ชวี ติ มีอยู เปน อยู เพราะมปี จจยัตางๆ มาประกอบกนั อยางเหมาะสม และปจ จัยสาํ คัญกค็ ือ ขนั ธ ๕ ดงั ทไ่ี ดแสดงมาแลว ตามความเชือ่ น้ีความตายก็เปน อะไรอื่นไปไมไดน อกจากคอื ความส้นิ ไปแหงปจ จยั เหลานน้ั หรอื มิฉะนน้ั กเ็ ปน การประกอบสวนทผ่ี ดิ เพยี้ นไป อนั เกดิ จากความไมเ ทยี่ งและความไมมตี วั ตน ของปจ จยั เหลา นน้ั นเี่ ปนหลักกวา งๆ ทีอ่ งิอยกู บั หลักธรรมเรื่อง ไตรลักษณ และหลกั ธรรมเรอ่ื ง ปฏจิ จสมุปบาท หรอื อิทัปปจ จยตา ทีว่ า ดว ยความเปนเหตเุ ปน ผลแบบ องิ อาศยั กันของส่ิงท้งั หลาย ทาํ นองวา เมอื่ ส่งิ นีม้ ี สงิ่ นีจ้ งึ เกดิ ขึน้ , เมอ่ื สงิ่ น้ไี มมี ส่ิงน้จี ึงดับไป ความสิ้นไปแหง เหตปุ จจยั น้นั อาจมองวา เปน เพียงมติ ิหนง่ึ ของความเปล่ียนแปลงท่เี กิดขน้ึ อยูตลอดเวลา แมใ นขณะทีช่ ีวติ ยงั มีอยู ความเปลีย่ นแปลงน้ี คอื กระบวนการทที่ ั้งความเกดิ และความดบั เกดิตอเนื่องสลับกันไป มองในแงน ้ี ในชวี ติ กม็ ที งั้ การเกิดการดับอยูตลอดเวลา การเกิดและการดับ ในลกั ษณะเชนนไ้ี มไ ดท ําใหชวี ติ หมดไป คือ ไมตาย ในความหมายท่ีเขาใจกนั ทั่วไป แตก แ็ นน อนวายอ มทาํ ใหช วี ิตเปลย่ี นแปลงไปไดท ง้ั ในดานรูปธรรมและนามธรรม ดงั จะเหน็ ไดจากการที่หนาตาและรางกายของเราเปลยี่ นไปตามกาลเวลา ถาถือวา เปน การตาย นก่ี ็คอื การตายจากสภาวะหน่ึงแลว ไปเกดิ ในอกี สภาวะหนง่ึ เชนจากเดก็ เล็กเปน วยั รนุ เปนผใู หญ และเปน คนชรา เปน ตน ในความตายแบบนเ้ี หตปุ จ จัยแหง ชวี ิตไมไดหมด
และชีวติ กไ็ มไ ดสนิ้ ไปจรงิ ๆ เพยี งแตเ ปลี่ยนแปลงสภาวะไปเทา นน้ั แตถาเกิดการเปล่ียนแปลงชนดิ ที่ทําใหสิ่งทเี่ ปนเหตปุ จ จัยของชวี ติ หมดไป กถ็ ือวาเปน ความตาย ตามหลกั ความเชื่อในพทุ ธศาสนา ความเปลี่ยนแปลงของเหตุปจ จยั ทท่ี าํ ใหช วี ิตหมดไป (คอื ตาย) อาจเกิดไดใ นกรณตี อไปนี้ (พระมหาบุญมี มาลาวชิโร, ๒๕๔๗; พระดุษฎี เมธงั กุโร, ๒๕๔๔) ๑. ส้ินอายขุ ยั (อายกุ ขยมรณะ) คือ ตายเพราะสิน้ อายุ ซึง่ เปน ไปตามกฎธรรมชาติของสรรพส่ิงที่เกดิ มา กลา วคอื ทุกส่ิงตกอยใู นกฎแหง การเกดิ ขน้ึ ดํารงอยู และดับไป ชวี ิตของมนุษยทีเ่ กดิ มาน้ัน แมจะไมม ีโรคภัยหรอื เหตุอน่ื ใหเสยี ชวี ิตไปกอ นวัยอันควร กด็ ํารงอยูไดช ว่ั ระยะเวลาหนึง่ เทา นน้ั ถาจะเปรยี บกค็ งจะเหมือนชิ้นสว นอีเลคโทรนคิ ชิ้นหนง่ึ ซึ่งมอี ายุการใชง านจํากดั อยรู ะยะหนึ่งเมื่อพนจากนนั้ ไป ชิ้นสว นนน้ั กห็ มดสภาพ คอื ไมส ามารถทาํ หนา ที่ของมันไดตอไป ชีวติ ของคนเราก็คลา ยกัน นนั่ คอื มีอายขุ ัยทจ่ี าํ กัด นอกจากน้ี อายขุ ัยของคนเรายังไมเทา กนั และเปล่ียนแปลงไปตามยคุ สมยั 5ขน้ึ อยกู ับเหตปุ จ จยั ทีส่ นบั สนนุ และเออ้ื อํานวยหลายดา น เชนความกา วหนาทางเทคโนโลยดี านการแพทยสภาพแวดลอ มในการทาํ งาน และรปู แบบตลอดจนพฤตกิ รรมการดํารงชีวิตเปนตน การตายเพราะส้ินอายุขยั นนั้ อาจเปรยี บไดกับตะเกยี งท่ีไสหมด แมนํา้ มันจะยังเหลอื อยู แตก ไ็ มสามารถจะใหเ ปลวไฟทมี่ แี สงสวา งตอ ไปได ๒. สิ้นกรรม (กัมมักขยมรณะ) คือ ตายเพราะสน้ิ กรรม กรรมนน้ั คอื การกระทาํ ซ่ึงมีผลสืบเน่ืองตามมา(consequences) อาจเปนกรรมท่ีทําในอดีต ซงึ่ อาจไกลออกไปจนถงึ ในอดีตชาติ หรืออาจเปนกรรมท่ที าํ ในปจ จบุ นั เชน การดูแลอนามยั เปนตน และอาจเปน กศุ ลกรรมหรืออกศุ ลกรรม ก็ได ขึ้นอยูกบั วา การกระทําที่ไดทําลงไปนน้ั เปนฝา ยดีหรอื ไมดี กรรมท่ีทาํ ไวน น้ั มหี นา ทชี่ วยสนบั สนนุ รปู และนาม (ชีวติ ) ในภพท่ีเราเกิดมา เมื่อผลกรรมสน้ิ ไป ชวี ติ กส็ ิ้นไป เปรียบเหมือนตะเกยี งที่นาํ้ มันหมด แมไ สตะเกยี งจะยงั เหลืออยู เปลวไฟและแสงสวางกห็ มดไป ๓. ส้นิ ทง้ั อายุและกรรม (อุภยกั ขยมรณะ) คอื ทั้งอายุขยั และกรรม ส้นิ ไปในเวลาเดยี วกนั การตายในกรณีเชน นี้ จะเห็นไดเ ชน การตายของผูสงู อายทุ แี่ กห งอ ม รูปและนาม (รา งกายและจติ ใจ) หมดสภาพ อกี ทงั้กรรม คอื การกระทําที่จะเปน แรงสนับสนนุ ใหร ูปและนามทาํ หนา ทขี่ องมนั กห็ มดไป เปรยี บเหมือนตะเกียงท่ีทงั้ นาํ้ มนั และไสห มดไปดว ยกัน ๔. มีเหตหุ รือกรรมอยางอน่ื มาตดั รอน (อุปจเฉทมรณะ) ทําใหช วี ติ สิ้นไปกะทนั หัน ทง้ั ทนี่ า จะอยูตอไปได ในกรณีนี้ ทง้ั อายแุ ละกรรมยังไมห มด แตเ กดิ เหตทุ าํ ใหเ สียชวี ติ กะทนั หัน เชน การตายดวยอบุ ัติเหตุหรือโรคระบาดเฉยี บพลันรายแรง ทา นเปรยี บการตายในกรณเี ชนนเี้ หมอื นกบั ตะเกยี งท่ที ัง้ นํ้ามันและไสยังคงมอี ยู แตไฟดับไปเพราะเหตอุ นื่ เชน มลี มพดั มาแรง (เหตุภายนอก) จนทาํ ใหเ ปลวไฟดบั ไป เปน ตน
ไมว า ความตายจะเกดิ ขึน้ ในกรณใี ด สงิ่ ทเี่ หมือนกนั กค็ อื ในทุกกรณลี วนมีเหตปุ จ จยั ทีส่ ามารถอธบิ ายได และความตายในทกุ กรณเี ปนเรอื่ งความเปล่ยี นแปลง คัดมาจากบทความ “ชีวติ และความตายในทัศนะของพทุ ธศาสนา” โดยชาย โพธสิ ิตา จากwww.ipsr.mahidol.ac.th ทศั นะเรอื่ งความตายในคัมภีรตางๆ ๑.ในคมั ภรี สังยุตตนกิ าย นิทานวรรค และคมั ภรี ว ภิ งั ค ไดใ หค วามหมายของความตายไวว า “ความตาย หมายถึง ความจตุ ิ ความเคล่ือนไป ความทําลายไป ความหายไป ความตายกลาวคอื มฤตยู การทาํ กาละความแตกแหง ขนั ธ ความทอดทิง้ รางกาย ความขาดแหงชวี ิตินทรยี ของเหลาสตั วนั้นๆ จากหมสู ัตวน น้ั ๆ ๒. ในคัมภีรวิสุทธิมรรคไดใหค วามหมายของความตายไว ๒ อยาง คือ ๑. ความตาย หมายถึงการขาดไปแหง ชวี ติ ทนี่ บั เน่อื งในภพหนงึ่ ๒. ความตาย หมายถงึ ความแตกแหง ขนั ธทง้ั หลายในภพทงั้ ปวง หรือความกาวไป(เคลื่อนไป) สรู า งอนื่ แหง สัตว ๓. ในคมั ภรี อ รรถกถาตา งๆ เชน อรรถกถาแหง ทฆี นิกาย มหาวรรค และอรรถกถาแหง ขทุ ทกนกิ ายมหานทิ เทส ไดใหความหายของคาํ ทบี่ ง ถึงความตายจากความหมายของคาํ ในขอ ๑ อนั เปนการอธบิ ายเสรมิเพ่ือใหม คี วามชดั เจนดงั น้ี คอื (๑) ความจุตขิ องเหลา สตั วน ้นั ๆ จากหมสู ตั วน ัน้ ๆ หมายถึงสภาพทีเ่ ปนเอง ดว ยอาํ นาจการเคลอื่ นจากภพเดมิ (๒) ความเคลอื่ นไป หมายถึงภาวะทเ่ี ปน อาการ เปนคาํ แสดงลกั ษณะ การเคล่อื นจากภาวะหนึ่งไปสูภาวะอกี อยางหน่งึ ๔. ในอรรถกถาแหงคมั ภีรส ังยตุ ตนกิ าย นทิ านวรรค ไดอ ธบิ ายความหมายของคาํ วา ความแตกแหงขันธเ ปน ตนไวดงั นี้ “เมอื่ กลา วโดยปรมัตถ ขันธเ ทานัน้ ยอ มแตก ไมม สี ตั วไรๆ ตาย แตเมือ่ ขันธทง้ั หลายแตกสัตวก ็ยอมตาย จึงมีโวหารวา เมื่อขนั ธท ้ังหลายแตกแลว สัตวก็ชื่อวา ตาย คดั มาจาก http://toonvj.tht.in/aticle1.html
ความดคี วามช่ัว ความดี คือ การกระทําทไ่ี มมีอกศุ ลมูล คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เปน สาเหตใุ หทํากรรมน้นั ความชว่ั คอื การกระทําทถ่ี ูกอกุศลมลู ครอบงาํ หรอื เปนสาเหตุ การตดั สนิ ความดี การกระทาํ ทีเ่ รยี กวา ดี คอื การกระทาํ ทป่ี ราศจากเจตนารา ย ไมเ บยี ดเบยี นตนและผูอื่น บัณฑติ ยกยอ ง มี ประโยชนแกตนและผูอ ่ืน ความชว่ั มเี กณฑตดั สนิ ที่ตรงกันขา มกบั ความดี ความดแี ละความชว่ั เกดิ ได ๓ ทาง ดังน้ี ความดเี กิดทางกายเรยี กวา กายสจุ รติ ความดเี กิดทางวาจา เรยี กวา วจสี ุจรติ ความดเี กดิ ทางใจ เรียกวา มโนสจุ รติ ความช่วั ทางกาย เรียกวากายทจุ รติ ความช่วั ทางวาจา เรียกวา วจที จุ ริต ความช่วั ทางใจเรียกวา มโนทจุ ริต การสรา งมนษุ ยสมั พนั ธ การสรางมนุษยสัมพนั ธ นัน้ ยดึ หลกั ธรรมเรอ่ื ง สังคหวัตถุ 4 หมายถงึ หลกั ธรรมท่ีเปน เครื่องยดึเหนยี่ วน้ําใจของผอู ่นื ผูกไมตรี เออ้ื เฟอ เกอื้ กลู หรือเปนหลกั การสงเคราะหซ่ึงกันและกัน อนั เปน การสรางมนษุ ยสัมพนั ธระหวา งเพอ่ื มนุษยด ว ยกนั มอี ยู 4 ประการ ดังนี้ 1. ทาน คือ การให การเสยี สละ หรือการเอื้อเฟอ แบงปนของๆตนเพ่ือประโยชนแ กบ คุ คลอืน่ ไมเ ปนคนเห็นแกไ ดฝ า ยเดยี ว คุณธรรมขอนี้จะชว ยใหไ มเ ปนคนละโมบ ไมเ หน็ แกตวั
2. ปยวาจา คือ การพดู จาดว ยถอ ยคาํ ท่ีไพเราะออ นหวาน พูดดวยความจรงิ ใจ ไมพูดหยาบคายกา วรา วพดู ในสิ่งท่เี ปน ประโยชนเ หมาะสําหรบั กาลเทศะ วิธกี ารทจ่ี ะพดู ใหเ ปน ปย วาจานนั้ จะตองพดู โดยยดึ ถือหลักเกณฑ ดงั ตอไปน้ี เวน จากการพูดเทจ็ เวน จากการพูดสอเสียด เวนจากการพูดคาํ หยาบ เวนจากการพูดเพอเจอ 3. อัตถจรยิ า คอื การสงเคราะหช วยเหลอื เพ่ือนมนษุ ยห รอื การประพฤติในสงิ่ ที่เปน ประโยชนแ ก ผูอนื่ 4. สมานตั ตตา คือ การเปนผูม ีความสม่าํ เสมอ หรอื มคี วามประพฤตเิ สมอตนเสมอปลาย ออนนอ ม มีมติ รไมตรี คุณธรรมขอนี้จะชวยใหเ ราเปน คนมจี ติ ใจหนกั แนน ไมโลเล ทศิ ๖ หนาทเ่ี พอื่ อยรู ว มกนั ดวยดี หลักธรรมทคี่ วรพิจารณาอีกหวั ขอ คอื หลกั ธรรมเร่ือง ทศิ ๖ หลกั ธรรมนี้จัดไดว า เปน หลักมนษุ ยสัมพนั ธทล่ี ะเอยี ดบอกถงึ การปฏบิ ัตทิ ี่ ควรทาํ ตอบุคคลนัน้ ๆ ในการอยใู นสังคมนน้ั ยงั มบี คุ คลประเภทตางๆอยรู อบตัวเรา ไมวาจะเปน ขา งหนา ขา งหลงั ขา งซา ย ขา งขวา เปรียบเหมอื นทิศตางๆ ท่ีจะตอ งรแู ละประพฤตติ ัวใหถกู ตอ งและเหมาะสมกบั บคุ คลประเภทนน้ั ๆ ซ่ึงเปนหนา ท่ีของมนษุ ยเ พ่อื การอยูร ว มกนัดวยดี มลี ักษณะถอ ยทถี อ ยอาศยั กนั และกนั ตา งกม็ กี ตญั กู ตเวทิตธรรมตอกนและกนั อนั จะชว ยใหสงั คมเกิดการประสานรว มมือสามัคคีกัน เปน ปก แผนแนน หนามคี วามเจรญิ รงุ เรอื งวัฒนาและสันตสิ ุข น่นั คือ ทุกคนตองรจู ักทศิ ตางๆ ท้งั ๖ รวมท้งั หนา ทข่ี องตนทีจ่ ะพงึ ปฏบิ ัตติ อ ทิศนน้ั ๆ แลว ปฏบิ ตั ดิ วยความจริงใจและจริงจงั กลาวคอื
ทิศเบือ้ งหนา : ไดแ ก บดิ ามารดาบุตรพงึ ปฏิบัติตอทา น ดงั นี้๑.ทา นไดเ ลยี้ งเรามาแลว เลยี้ งทา นตอบ๒.ชว ยกิจของทาน๓.ดาํ รงวงศตระกูล๔.ประพฤตติ นใหเ ปน ผูสมควรรับทรัพยม รดก๕. เมื่อทา นลวงลบั ไปแลว ทาํ บุญอุทศิ ใหท า นบิดามารดา ยอ มอนุเคราะหต อบบุตร ดังนี้๑. หามมิใหทาํ ความชว่ั๒.ใหตง้ั อยูใ นความดี๓.ใหศ กึ ษาศิลปวทิ ยา๔.หาภรรยาสามที ่ีสมควรให๕.มอบทรัพยใหใ นสมัยทศิ เบ้ืองขวา : ครู อาจารยศิษยพงึ ปฏบิ ตั ิตอ ทา น ดังน้ี
๑.ดวยลกุ ขน้ึ ยืนรับ๒.ดว ยเขาไปยืนคอยรบั ใช๓.ดวยเชื่อฟง๔.ดว ยอุปฏฐาก๕.ดว ยเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพครู อาจารยยอมอนเุ คราะหศ ษิ ยตอบ ดงั น้ี๑. แนะนาํ ดี๒.ใหเ รียนดี๓.บอกศิลปใหส นิ้ เชิง๔.ยกยอ งใหป รากฏในหมูเพ่อื นฝูง๕.ทําความปองกันทศิ ทง้ั หลายจะไปทิศทางไหนก็ไมอดอยากทศิ เบ้อื งหลัง : บตุ รภรรยาสามพี งึ ปฏบิ ตั ิตอภรรยาดงั นี้๑.ดว ยการยกยองนบั ถอื วา เปน ภรรยา๒.ดวยไมด ูหมิ่น๓.ดวยไมป ระพฤตินอกใจ
๔.ดวยมอบความเปนใหญใ นบา นให๕.ดวยใหเครอ่ื งแตง ตัวภรรยายอมอนุเคราะหตอบสามี ดังนี้๑.จัดการงานดี๒.สงเคราะหคนขางเคยี งของสามี๓.ไมประพฤตินอกใจสามี๔.รักษาทรพั ยท่สี ามหี ามาไดไว๕.ขยนั ไมเ กียจครานกิจการทง้ั ปวงทิศเบอ้ื งซา ย : มิตรสหายมิตรพึงปฏบิ ตั ติ อมิตร ดงั นี้๑.ดวยใหป น สง่ิ ของ๒.ดว ยเจรจาถอ ยคาํ ไพเราะ๓.ดวยประพฤติประโยชน๔.ดว ยความเปน ผูม ีตนเสมอ (เสมอตนเสมอปลาย)๕.ดว ยไมแ กลงกลาวใหคลาดจากความเปนจริงมิตรยอมอนุเคราะหม ติ รตอบ ดงั นี้
๑.รักษามิตรผปู ระมาทแลว๒.รักษาทรัพยข องมติ รผปู ระมาทแลว๓.เม่ือมภี ยั เอาเปน ทพ่ี ึ่งพํานักได๔.ไมละท้งิ ในยามวบิ ตั ิ (ยามฉิบหาย)๕.นบั ถอื ตลอดวงศของมติ รทิศเบื้องตา่ํ : บา ว/ลูกจางนายพึงปฏิบตั ติ อ บาว/ลูกจางดงั น้ี๑.ดว ยจดั การงานใหทาํ ตามสมควรแกกาํ ลัง๒.ดว ยใหอ าหารและรางวลั๓.ดว ยรักษาพยาบาลในเวลาเจ็บไข๔.ดวยแจกของมีรสแปลกๆดๆี ใหกนิ๕.ดวยปลอ ยใหสมยั (ใหสนกุ รืน่ เริงเปน ครัง้ เปน คราวตามสมควรแกโ อกาสบาว/ลกู จางยอมอนเุ คราะหตอบนาย ดังน้ี๑.ลุกขนึ้ ทาํ งานกอนนาย๒.เลิกการงานหลงั นาย๓.ถอื เอาแตข องทีน่ ายให
๔.ทาํ การงานใหด ขี น้ึ๕.นาํ คุณของนายไปสรรเสริญในท่ีตางๆทศิ เบือ้ งบน: สมณพราหมณเราพึงปฏบิ ตั ติ อทาน ดงั น้ี๑.ดว ยกายกรรม คือ ทําอะไรๆประกอบดว ยเมตตา๒.ดวยวจกี รรม คอื ทาํ อะไรๆประกอบดว ยเมตตา๓.ดวยมโนกรรม คอื ทําอะไร ๆ ประกอบดว ยเมตตา๔.ดวยเปฯ ผูไ มป ด บงั เขา คือ มิไดหามไมใ หเขา บา นเรอื น๕.ดว ยใหอามสิ ทาน (ส่งิ ของ)สมณพราหมณ ยอมอนุเคราะหตอบ ดงั น้ี๑.หามมิใหก ระทําช่วั๒.ใหตง้ั อยูในความดี๓.อนเุ คราะหด ว ยน้าํ ใจอันงาม๔.ใหไ ดฟงในสงิ่ ทยี่ งั ไมเ คยฟง๕.ทาํ สิ่งทีเ่ คยฟง แลว ใหแ จม แจง๖.บอกทางสวรรคใ ห
ลงิ คเ ว็บไซตเ ก่ยี วขอ งท่สี ําคญั http://www.larnbuddhism.com/ http://www.larnbuddhism.com/tripitaka http://www.budsir.org http://www.dhammajak.net http://www.kaewkaydham.org http://www.dhammathai.org/ http://www.buddhadasa.in.th http://www.dharma-gateway.com/ http://www.buddhadasa.com/ http://www.nkgen.com http://www.geocities.com/praputonline1999/http://www.easyinsurance4u.com http://84000.org http://www.dhamma.th.gs http://mahamakuta.inet.co.thแหลง ขอ มลู หนังสอื เพ่มิ เตมิพทุ ธทาสภกิ ข.ุ 2517. ปฏจิ จสมุปบาทคืออะไร. กรุงเทพมหานคร : ธรรมบูชา. พระธรรมปฎ ก (ป.อ. ปยตุ ?โต). 2538. กรรมและนรกสวรรคสาํ หรบั คนรนุ ใหม. พมิ พค รัง้ ที่ 4. กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. _________. (ประยุทธ ปยุต?โต). 2539. พจนานกุ รมพุทธศาสตร ฉบับประมวลศพั ท. พิมพ คร้งั ท่ี 9. กรงุ เทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. พระเทพเวที (ประยุทธ ปยุตโต). 2531. กรรมตามนยั แหงพุทธธรรม. กรุงเทพมหานคร : อมรินทรพร้นิ ตง้ิ กรฟุ .
พระเมธธี รรมาภรณ (ประยรู ธมมจติ โต). 2539. กรรมและการเกดิ ใหม. พิมพค รง้ั ที่ 2. กรงุ เทพมหานคร : มลู นธิ ิพทุ ธธรรม. พระราชวรมนุ ี (ประยทุ ธ ปยุต?โต). 2524. นรก – สวรรคใ นพระไตรปฎก. กรงุ เทพมหานคร : ปรเมษฐการพิมพ. _________. 2529. พุทธธรรม. กรงุ เทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . วศิ นิ อนิ ทสระ. 2536. หลักกรรมและการเวยี นวา ยตายเกดิ . พิมพค ร้ังที่ 9. กรงุ เทพมหานคร มหามกุฎราชวิทยาลยั . วัชระ งามจิตรเจรญิ , พุทธศาสนาเถรวาท. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร,.2550. สุจิตรา ออนคอม. 2542. ศาสนาเปรียบเทยี บ. พมิ พค ร้งั ท่ี 6. กรงุ เทพมหานคร : สหธรรมกิ . แสง จันทรง าม. 2535. พุทธศาสนวทิ ยา. พิมพค ร้ังท่ี 3. กรงุ เทพมหานคร : บรรณาคาร.
Search
Read the Text Version
- 1 - 45
Pages: