แนวทาง เทคนิคการทาวิจยั ในช้นั เรียน คณะบริหารธุรกิจ ปี การศกึ ษา 2554 โดย : คณะกรรมการบริหารจดั การความรู้ 0
คำนำ การทาวิจัยในช้ันเรียนนับว่าเป็นงานวิจัยท่ีสาคัญต่อการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างย่ิง เป็น เครือ่ งมือทค่ี รอู าจารย์สามารถใช้เพ่ือศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาท่ีเกิดข้ึนจากการเรียนการสอน ทาใหเ้ กิดการพัฒนาวธิ ีการเทคนคิ การสอนท่ีมปี ระสิทธภิ าพย่งิ ขนึ้ และยังสามารถเผยแพร่ความรู้เทคนิควิธีการ แก้ปัญหาท่ีผู้วิจัยได้คิดค้นและทดลองแล้วนั้นให้กับครูอาจารย์อื่นๆ ได้ใช้เป็นแนวทางแก้ไขหรือพัฒนาการ จดั การเรยี นการสอนของตนได้ การวิจัยในช้ันเรียนเป็นการทาวิจัยไปพร้อมๆ กับการจัดการเรียนการสอน รูปแบบการทาวิจัยไม่เน้น รปู แบบการเขยี นรายงานวิจยั ท่ีเป็นทางการมากนัก จึงเป็นจุดเริ่มต้นท่ีดีสาหรับครูอาจารย์จะใช้ฝึกการทาวิจัย แบบเต็มรูปแบบได้เช่นกัน คณะผู้จัดทาจึงหวังเป็นอย่างย่ิงว่า แนวทาง เทคนิควิธีการทาวิจัยในช้ันเรียนที่ คณะกรรมการได้รวบรวมจากผู้เช่ียวชาญท่ีมีประสบการด้านทาวิจัย และรวบรวมจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ ท่ีมี ประโยชน์นี้จะชว่ ยทาใหผ้ ้ทู ่ีสนใจอยากจะทาวจิ ยั ในชน้ั เรียนใชศ้ กึ ษาเปน็ แนวทางทาวจิ ัยในช้นั เรียนตอ่ ไป คณะกรรมการจดั การความรู้ คณะบรหิ ารธรุ กิจ 1
สำรบญั เรื่อง หนา้ เทคนคิ การทาวิจัยในชนั้ เรียน โดย วรรณี สินศภุ รตั น์ 1 การทาวจิ ยั ในชน้ั เรยี น โดย รตั นา แสงบัวเผ่ือน 4 การวจิ ยั ในชนั้ เรยี น หลกั การและตัวอยา่ ง โดย ดร.ไพจติ ร สะดวกการ และ ดร.ศิริกาญจน์ โกสุมภ์ 9 2
เทคนคิ กำรทำวจิ ยั ในชั้นเรียน เรยี บเรียงโดย : วรรณี สนิ ศภุ รัตน์ การทาวิจัยในช้ันเรียนควรเขียนให้ครบทุกส่วน ซ่ึงอาจจะเขียนสั้น ๆ แต่ชัดเจนได้ใจความ ประกอบด้วยส่วน ต่างๆ ดังนี้ ควำมสำคัญของปญั หำ ให้กล่าวถึงสภาพการเรียนท่ีควรจะเป็นตลอดจนจุดประสงค์รายวิชาท่ีตนรับผิดชอบ และกาหนด ปัญหาให้ชัดเจน โดยอธิบายให้เห็นสภาพปัญหา ระบุประเด็นปัญหาการวิจัยและตัวแปรในการวิจัยให้ชัดเจน และสรุปแนวทางแกป้ ัญหาทป่ี ระสบอยู่ วัตถุประสงคก์ ำรวจิ ัย ในส่วนนี้ตอ้ งจับประเดน็ ปัญหาแล้วนามาเขยี นเป็นวตั ถปุ ระสงค์ โดยเรยี บเรียงเปน็ ขอ้ ๆ สมมตฐิ ำนกำรวิจัย ต้องเขียนให้สอดคล้องสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ เพราะเป็นคาตอบท่ีคาดหวังไว้ก่อนการทาวิจัย และ ตอ้ งทดสอบไดด้ ว้ ยวธิ ีการทางสถติ ิ ขอบเขตกำรวจิ ัย เป็นการบอกกรอบงานวิจัยว่ามีขอบเขตเพียงใด คลอบคลุมอะไรบ้าง ให้ระบุขอบเขตด้านประชากร กลุ่มตัวอย่าง ตวั แปร เนอื้ หา สถานท่ีและชว่ งเวลาทีศ่ กึ ษา ประโยชนท์ ่ีคาดว่าจะได้รับ ต้องตอบให้ได้ว่าเม่ือทาการวิจัยเสร็จแล้ว เราจะนาไปใช้ประโยชน์โดยตรงได้อย่างไร แนวทางการ เขยี นควรให้สอดคล้องกับความสาคัญของปญั หา 1
แนวคดิ ทฤษฎีและงำนวิจยั ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง หลังจากได้นาเสนอแนวคิด ทฤษฎีงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับประเด็นปัญหาการวิจัยแล้ว ผู้วิจัยควร จะต้องสรุปกรอบแนวคิด หลักการ แนวทาง หรือรูปแบบของนวัตกรรมท่ีใช้แก้ปัญหาการเรียนการสอนท่ี นามาใชใ้ นการแก้ปัญหาหรอื การทดลอง วธิ ดี ำเนินกำรวิจัย ระบุกลุ่มประชากรให้ชัดเจน หากจะเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างต้องระบุวิธีได้ซ่ึงกลุ่มตัวอย่าง อย่าง ละเอียด(ตามข้นั ตอนทางสถิต)ิ สาหรับเครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นแบบสอบถาม หรือแบบบันทึกการสังเกต ฯลฯ ท้ังนี้ควรระบุคุณภาพของเคร่ืองมือพร้อมท้ังวิธีการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ต้องระบุวิธีการหรือ ข้ันตอนการใช้อยา่ งละเอยี ด การเก็บรวบรวมข้อมูล ต้องกาหนดข้ันตอนวิธี วิธีการและระยะเวลาของการเก็บรวบรวมข้อมูล วิธีการตรวจสอบความถกู ตอ้ งของข้อมูลและแหลง่ ข้อมลู ระบุวธิ ีการวิเคราะห์และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการ เขียนวจิ ัย ผลกำรวเิ ครำะห์ข้อมูล การนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย ส่วนใหญ่จะแบ่งผลการ วิเคราะหข์ ้อมูลออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. ผลวเิ คราะหข์ ้ันตอนการทดลอง(ขน้ั ตอนการหาประสิทธิภาพ) 2. ผลการวเิ คราะห์ขัน้ ดาเนนิ การแก้ปัญหาจรงิ ข้อเสนอแนะ การเขียนข้อเสนอแนะควรมีข้อเสนอแนะท่ีมีการนาผลการวิจัยไปใช้และเพ่ือการทาวิจัยคร้ังต่อๆ ไป การเขยี นข้อเสนอแนะต้องอยู่บนพ้ืนฐานและมาจากผลการวิจัยครั้งน้ีเท่านั้น ข้อเสนอแนะมีความเป็นไปได้ทั้ง แง่ทฤษฎี และแนวปฏิบตั ิ 2
***ที่สำคัญควรมีเอกสำรอ้ำงอิงของรำยงำนวิจัยในชั้นเรียน เนื่องจากถือว่าเป็นจรรยาบรรณของนักวิจัย หากจะหยิบหยก ตัดต่อ หรือข้อสรุปจากเอกสาร ตารา รายงานวิจัยของผู้อ่ืนมาเรียบเรียงเป็นส่วนหนึ่งหรือ นามาเป็นกรอบแนวคดิ ของการดาเนนิ การวิจัย ควรจะต้องมีการอา้ งองิ ด้วย ***หากนกั วิจยั ท่านใดมปี ญั หาในการทาวิจยั สามารถตดิ ต่อปรกึ ษาได้งานวจิ ยั คณะฯ อาคาร 4 ชั้น 5*** 3
กำรทำวจิ ัยในช้ันเรยี น โดย : รัตนา แสงบัวเผื่อน อ้างอิงจากเวบ็ ไซต์ “ครบู ้านนอกดอทคอม” (http://www.kroobannok.com/8500) สบื ค้นเมอื่ วันที่ 20 มกราคม 2555 มาถงึ ช่วงเวลานีท้ กุ ท่านคงตระหนักดแี ลว้ ว่างานวิจัยในชั้นเรียนน้ันสาคัญอย่างไร แต่อยู่ท่ีว่าครูมีความ เข้าใจการวิจัยในช้ันเรียนเพียงใด ได้ทดลองลงมือทาบ้างแล้วหรือยัง ซ่ึงมีหลายท่านเมื่อพูดถึงคาว่า \"วิจัย\" ภาพของเอกสารหรือตาราเล่มหนาๆ โตๆ และสถิติที่ยุ่งยากผุดข้ึนในใจ \"มีประโยชน์มากมายแต่ทาได้ยาก เหลือเกิน เปรียบเหมือนยาขมท่ีครูจาเป็นต้องรับประทาน\" ดังนั้นบทความน้ีจึงนาเสนอเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่า การวจิ ยั ในชน้ั เรยี นน้ันไมย่ ากย่างท่คี ดิ ควำมแตกตำ่ งของกำรวจิ ัยในช้ันเรียนกบั กำรวจิ ัยท่ัวไป การวจิ ัยเป็นวธิ กี ารศึกษาหาความรู้ทีเ่ ปน็ ระบบโดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซง่ึ การวจิ ัย ประเภทใดกต็ ามจะมีขน้ั ตอนสาคญั ๆ ไม่แตกต่างกนั คอื การกาหนดปัญหาการวิจยั การแสวงหาส่ทู างแกป้ ัญหา การใชว้ ิธกี ารตา่ งๆ แก้ปญั หา การบนั ทกึ และการปฏบิ ตั ิการแก้ปญั หา การสรปุ และนาเสนอผลการแก้ปญั หา สาหรบั การวจิ ยั ในชนั้ เรียนมขี ั้นตอนการดาเนนิ งานเช่นเดียวกันกับการวิจัยท่ัวไป แต่ต่างกันที่การวิจัย ในช้ันเรียนมีเป้าหมายเพื่อการแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์สูงสุด มิใช่การมุ่งสร้าง องค์ความรู้เพื่อพัฒนาหรือขยายองค์ความรู้ในศาสตร์ของตนเอง (ซึ่งหากครูสามารถทาได้ถึงข้ันน้ีนับว่าเป็น ประโยชน์สูงสุดต่อการจัดการศึกษา) ดังนั้นการวิจัยในชั้นเรียนจึงเป็นการทาวิจัยไปพร้อมๆ กับการจัดการ เรียนการสอนไม่แยกส่วนออกจากกัน นอกจากนั้นการวิจัยในช้ันเรียนไม่มีรูปแบบการดาเนินงานหรือรูปแบบ การเขียนรายงานวิจัยที่เป็นทางการมากนัก อาจจะทาเป็นวิจัยง่ายๆ 4-5 หน้า หรือจะทาเป็นงานวิจัย 5 บท ก็ ไดเ้ ช่นกนั 4
กระบวนกำรวิจัยในชนั้ เรียน กระบวนการวิจัยในชนั้ เรยี นที่จะนาเสนอนห้ี ากทา่ นลองฝกึ คดิ และทาตามไปทีละขั้นเช่อื มน่ั ว่าทา่ นจะ ไดง้ านวจิ ัย 1. เลือกปญั หำกำรวิจัย ปัญหาทีน่ ามาใชใ้ นการวจิ ยั พิจารณาไดจ้ าก o ปญั หาที่เกดิ กบั ตวั นักเรยี น อาจจะเป็นปญั หาพฤติกรรมหรือปัญหาการเรียนรู้ ซ่ึงครู สามารถค้นหาปัญหาเหลา่ นีจ้ ากบนั ทึกท้ายแผนการสอน บันทกึ ผลการเรียน พอร์ตโฟลิ โอ การสงั เกต การพดู คุยกับเพ่ือนครู ฯลฯ o ปัญหาทเ่ี กดิ ระหว่างการจัดการเรยี น การสอน อาจจะเป็นปัญหาเกย่ี วกบั ส่อื การเรยี น การสอน การจัดกิจกรรม กระบวนการสอนของครู หรอื การวัดประเมินผล เป็นต้น o ปญั หาจากความต้องการของครทู จี่ ะพฒั นาคุณภาพการสอนให้ดียิ่งขน้ึ ในข้ันน้ีท่านอาจจะพบปัญหาหลายปัญหาซ่ึงในการเลือกปัญหามาทาวิจัยน้ันควรเป็นปัญหาท่ีมี ความสาคัญส่งผลต่อการเรียนรู้และความสาเร็จของนักเรียน เป็นปัญหาท่ีมีความต่อเน่ืองคือถ้าไม่ได้รับการ แก้ไขจะสง่ ผลตอ่ การเรียนรู้ของนักเรียนในเรื่องอ่ืนๆ ตามมา เป็นปัญหาที่วิธีการเดิมๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และทสี่ าคญั อีกประการหนึ่งคอื ครูสามารถดาเนินการวจิ ัยได้ดว้ ยตนเอง 2. วเิ ครำะห์สภำพปัญหำ ปญั หาที่เลือกว่าจะนามาทาวิจยั ครูจะตอ้ งศกึ ษาสภาพให้ละเอยี ดลงไปอกี ว่ามสี ภาพปัญหา อย่างไรบ้าง ปญั หาเกิดขึน้ กับเด็กทัง้ ชัน้ หรือเด็กสว่ นใหญห่ รือเดก็ บางคน ตวั อย่ำง ครคู ณติ ศาสตร์พบว่านักเรียนช้นั ม.2/4 จานวน 30 คน มีคะแนนผลสมั ฤทธ์ิเฉลี่ยในเรอ่ื งการแก้ โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ 12.5 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน จากการวิเคราะห์สภาพปญั หาเปน็ ดังนี้ ลกั ษณะปัญหำ จำนวนนกั เรยี น (30 คน) --- มีปัญหาเล็กน้อยในบางครั้ง 15 -- - วิเคราะห์โจทย์ไมถ่ กู ตอ้ ง 8 -- - คิดคานวณไม่ถูกต้อง 5 -- - วิเคราะห์โจทยแ์ ละคานวณไม่ถูกต้อง 2 5
3. วเิ ครำะหส์ ำเหตขุ องปญั หำ ในการวเิ คราะห์ควรพิจารณาให้รอบด้านเพ่ือทราบสาเหตุของปัญหาท่ีแท้จริง เช่น สาเหตุอาจมา จากตัวนักเรียนเอง ผู้สอน เพ่ือน ผู้ปกครอง สภาพครอบครัว เป็นต้น วิธีการที่จะค้นหาสาเหตุ คือ ใช้การ สงั เกต พดู คุยกับนักเรียน ดูจากผลงานของนักเรียน ใช้การทดสอบ การสอบถามพูดคุยกับเพื่อนครู ผู้ปกครอง ฯลฯ จากตัวอย่างในข้อ 2 เม่ือวิเคราะห์แล้ว พบว่าสาเหตุอาจมาจากนักเรียนอ่านภาษาไทยเชิง วิเคราะห์ไม่คล่อง นักเรียนได้รับการฝึกฝนไม่เพียงพอหรือการสอนของครูทาให้นักเรียนไม่สนใจการเรียนรู้ เปน็ ตน้ 4. หำแนวทำงแกป้ ัญหำหรอื พัฒนำกำรเรียนรู้ จากสภาพปัญหาครูจะทราบว่าการทาวิจัยมีเป้าหมายอะไร กล่าวคือ ถ้าเป็นการวิจัยเพ่ือมุ่ง พัฒนาการเรียนรู้ ถ้าวิจัยเพ่ือมุ่งแก้ปัญหาของนักเรียนบางคน หรือบางกลุ่มจัดเป็นการวิจัยแก้ปัญหา จาก ตัวอย่างในข้อ 2 อาจจะทาวิจัยในชั้นเรียนได้ 2 เร่ือง คือ วิจัยพัฒนาการเรียนรู้ของชั้นเรียน เน่ืองจากมี ผลสมั ฤทธิเ์ ฉลยี่ ต่า หรือวจิ ยั เพือ่ แก้ปญั หาใหแ้ ก่นักเรยี น 2 คน ทมี่ ีปญั หาการเรียนรู้คอ่ นข้างมาก ซึ่งวิธีการท่ีใช้ ในแต่ละเป้าหมายอาจจะแตกต่างกัน ในการหาแนวทางหรือวิธีการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ ผู้สอน สามารถใช้การสังเกตแล้วเช่ือมโยงกับปัญหาและสาเหตุของปัญหา เช่น สังเกตว่าเวลาที่นักเรียนไปเรียนนอก ห้องเรียนแล้วมีความสุข ครูอาจจะใช้วิธีเรียนคณิตศาสตร์จากแหล่งเรียนรู้แก้ปัญหานักเรียนไม่สนใจเรียนรู้ เป็นต้น หรืออาจจะหาแนวทางจากการศึกษางานวจิ ัยของผ้อู ื่นแล้วนามาปรบั ใชใ้ ห้เหมาะสมกับนักเรียน 5. กำหนดช่ือเร่ืองวิจัย คำถำมวิจยั และวัตถุประสงค์กำรวิจัย เพ่ือเปน็ การกาหนดเขม็ ทิศนาทางในการดาเนินการวจิ ยั จึงตอ้ งกาหนดชื่อเรื่องวิจนั คาถามการ วจิ ยั และวัตถุประสงค์การวจิ ยั โดยมหี ลักการ ดงั นี้ ชอ่ื เรอื่ งวิจัย ระบใุ หช้ ดั ถงึ เรือ่ งที่จะแกป้ ญั หาหรือพฒั นา กลมุ่ เป้าหมาย และวิธที ่จี ะนามาใช้ แก้ปัญหาหรือพฒั นา เชน่ o ผลของการจัดกระบวนการเรียนรโู้ ยใช้แหล่งเรยี นร้ทู ี่มีต่อผลสมั ฤทธิใ์ นการแก้โจทย์ ปญั หาคณติ ศาสตร์และความสนใจในการเรยี นรูข้ องนักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2/4 o การแก้ปัญหาพนื้ ฐานความรู้ด้านการอา่ นภาษาไทยและทกั ษะการคานวณของนักเรยี น ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2/4 6
คำถำมวิจยั กาหนดคาถามนาทางเพื่อให้การดาเนินงานสามารถบรรลุตามเปา้ หมายท่ีต้องการ คาถามวจิ ยั กาหนดได้มากกว่า 1 ข้อ เช่น o การเสรมิ พนื้ ฐานความร้ทู างด้านการอา่ นภาษาไทยและทกั ษะการคานวณอยา่ งเป็นระบบ ทาได้อย่างไร o นักเรียนมีปฏกิ ิรยิ าต่อการเข้ารว่ มกจิ กรรมเสริมความรพู้ ้ืนฐานอย่างเป็นระบบนอกเวลา เรียนอย่างไร o การเสริมพนื้ ฐานความร้อู ย่างเปน็ ระบบสามารถส่งผลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการแก้โจทย์ ปัญหาคณติ ศาสตร์และความสนใจในการเรียนรูข้ องนกั เรยี นมากน้อยเพียงใด และ อยา่ งไร วัตถุประสงค์กำรวิจยั กาหนดให้สอดคล้องกบั ชื่อเร่ืองวจิ ยั วา่ ตอ้ งการทาวิจัยเพ่ืออะไร เช่น o เพอ่ื พฒั นากระบวนการเสรมิ พื้นฐานความรทู้ างด้านการอ่านภาษาไทยและทักษะการ คานวณอยา่ งเปน็ ระบบ o เพ่ือแก้ปญั หานักเรยี นจานวน 2 คน ทขี่ าดความรพู้ นื้ ฐานทางด้านการอา่ นภาษาไทยและ ทักษะการคานวณโดยใช้กระบวนการเสรมิ พืน้ ฐานความรู้อย่างเปน็ ระบบ o เพ่อื ศึกษาผลการแก้ปัญหานกั เรียนจานวน 2 คน ท่ขี าดความรพู้ ืน้ ฐานทางดา้ นการอ่าน ภาษาไทยและทักษะการคานวณโดยใชก้ ระบวนการเสริมพ้ืนฐานความรู้อย่างเปน็ ระบบ 6. วำงแผนกำรดำเนนิ กำรแก้ปญั หำหรอื พฒั นำกำรเรยี นรู้ ในการวางแผนจะต้องเขียนให้สามารถมองเห็นภาพของการดาเนนิ งานอย่างชัดเจน ซ่งึ อาจจะระบุ ประเด็นต่อไปนี้ o เครื่องมอื ในการวจิ ยั โดยระบุท้งั เครื่องมือท่ีใช้ในการแกป้ ญั หาหรือพัฒนาการเรียนรู้ เช่น แผนการสอน แผนการแกป้ ญั หาโดยการสอน ซอ่ มเสรมิ เป็นตน้ และเคร่ืองมือเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล เชน่ แบบสังเกตพฤติกรรม แบบสัมภาษณ์ แบบทดสอบ เป็นต้น สาหรับ การทาวจิ ัยในชั้นเรียนไม่จาเป็นต้องหาประสทิ ธภิ าพของเครอ่ื งมือ o การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ใหร้ ะบุวา่ จะใชเ้ ครอื่ งมือใดเก็บรวบรวมขอ้ มูลในช่วงเวลาใด และ เกบ็ อย่างไร 7
7. ลงมือปฏบิ ัติตำมแผน เกบ็ รวบรวมข้อมลู และวเิ ครำะหข์ ้อมลู ในข้ันที่ 1-6 เป็นโครงร่างของการวิจัย จากน้ันดาเนินการตามแผน และเก็บรวบรวมข้อมูลตามท่ี กาหนดไว้ สาหรับการวิเคราะห์ข้อมูลจะต้องมีสถิติเข้ามาเก่ียวข้อง ซึ่งการวิจัยในช้ันเรียนส่วนใหญ่ใช้การหา ค่าความถี่ คา่ รอ้ ยละ ค่าเฉลีย่ และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน สาหรับค่า t-test ใช้กับการทาวิจัยกับกลุ่มตัวอย่าง แล้วอ้างอิงไปถงึ ประชากร ดังนั้นการวิจัยในชั้นเรียนซ่ึงเป็นการกระทากับประชากรอยู่แล้วจึงไม่ควรนา t-test มาใช้ 8. กำรสรปุ และอภิปรำยผลกำรวจิ ยั การสรุปผลการวิจัยจะต้องสรุปตามวัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้ และนาเสนอข้อมูลอย่างเป็นระบบ อาจจะในรปู ตาราง แผนภมู ิ แผนภาพ หรือเขยี นบรรยาย ส่วนการอภิปรายผลเป็นการกล่าวว่าผลจากการวิจัย เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ เพราะเหตุใด สอดคล้องกับส่ิงที่ผู้อ่ืนทาไว้หรือไม่ หรือผู้วิจัยมีแนวคิดอะไร เพม่ิ เตมิ จากการทาวจิ ยั ในคร้ังนี้บ้าง กำรเขียนรำยงำนวิจยั ในชั้นเรียน การเขียนรายงานวิจัยในชั้นเรียนไม่มีรูปแบบท่ีเป็นทางการเหมือนการวิจัยท่ัวไป ดังนั้นอาจจะเขียน บรรยายตามหัวขอ้ ทีก่ ล่าวมาข้างตน้ หรือจะใช้รปู แบบทเ่ี ปน็ ทางการตามความคุ้นเคยก็ได้เช่นกนั จะเห็นได้ว่าการวิจัยในชั้นเรียนเป็นกระบวนการท่ีดาเนินงานไปพร้อมๆ กับการจัดการเรียนการสอน มีขั้นตอนสาคัญๆ เหมือนกับการวิจัยท่ัวไป แต่ไม่มีรูปแบบท่ีเป็นทางการ และการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้เพียง สถิตทิ ่ีงา่ ยๆ ไมซ่ ับซ้อน ทราบอย่างน้ีแลว้ คุณครคู งไมต่ ้องวิตกกังวลกับการทาวจิ ยั ในชนั้ เรียนอีกต่อไป 8
กำรวจิ ัยในชัน้ เรียน หลักกำรและตัวอย่ำง โดย ดร.ไพจติ ร สดวกการ ดร.ศริ ิกาญจน์ โกสมุ ภ์ อ้างองิ จากเว็บไซท์ http://www.krupai.net/action1.htm สบื ค้น ณ วันท่ี 10 กุมภาพนั ธ์ 2555 แนวคิดของกำรวิจัยในชัน้ เรียน ความหมาย ความสาคัญ และประโยชน์ของการวิจยั ในช้นั เรยี น การวิจยั ในช้ันเรยี นกบั การพัฒนาคณุ ภาพการจดั การเรยี นรู้ วิธกี ำรวิจัยในชัน้ เรียน จุดเร่ิมตน้ ของการวจิ ัยในชั้นเรียน รูปแบบและขั้นตอนการทาวจิ ัยในช้นั เรียน ความเชือ่ ถือไดข้ องงานวิจัยในชนั้ เรียน การเขยี นสรุปรายงานการวิจัยในชนั้ เรียน ตวั อยา่ งงานวิจยั ในช้นั เรียน กำรใช้และกำรเผยแพรผ่ ลงำนกำรวิจยั ในชน้ั เรยี น การนาผลการวจิ ัยในช้ันเรยี นไปใช้ การเผยแพร่ผลงานการวจิ ัยในชนั้ เรียน 9
กำรวิจัยในชัน้ เรยี น ควำมนำ หลังจากมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แนวคิด เร่ืองการปฏิรูปการ ทางานของครูให้มีความเป็นครูวิชาชีพ รวมท้ังการที่ครูต้องทาวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ได้มีการ กล่าวถึงอย่างแพร่หลาย เพราะในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับน้ี ด้กาหนดแนวทางการสนับสนุนให้ ครูผู้สอนใช้กระบวนการวิจัยเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ไว้ในหมวดท่ี 4 ว่าด้วยแนวการจัดการศึกษา มาตรา 24 (5) มีใจความสาคัญดังน้ี “สง่ เสริมสนบั สนนุ ให้ผ้สู อนสามารถจดั บรรยากาศ สภาพแวดลอ้ ม สื่อการเรียน และอานวยความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ รวมท้ังสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้ ท้ังน้ี ผู้สอนและผู้เรียน อาจเรยี นรไู้ ปพรอ้ มกัน จากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทตา่ ง ๆ” และมาตรา 30 กล่าวว่า “ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนท่ีมีประสิทธิภาพ รวมท้ังการ ส่งเสรมิ ใหผ้ ู้สอนสามารถใช้กระบวนการวจิ ัยเพอื่ พัฒนาการเรียนรู้ทเี่ หมาะสมแก่ผเู้ รียนในแต่ละระดบั การศึกษา” จากข้อความในพระราชบัญญัติ ดังกล่าวข้างต้น ทาให้แนวคิด เรื่อง การที่ครูต้องศึกษาเด็กเป็น รายบุคคล และการพัฒนาผู้เรียนตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ตามท่ีกาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติฉบับน้ีเช่นกัน ในมาตรา 22 มีความเป็นจริงเป็นจังในแนวปฏิบัติ เพื่อพัฒนาผู้เรียนด้วยการใช้ กระบวนการวิจัยในความหมายของการแก้ปัญหาแบบใหม่ การหาคาตอบแบบใหม่ โดยวิธีการท่ีเชื่อถือได้หรือ วิธีการที่ยอมรับในศาสตร์น้ัน ๆ (อุทมุ พร (ทองอไุ ทย) จามรมาน 2544 : 1) มากข้นึ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อกล่าวถึงคาว่า “การวิจัย” ในทางปฏิบัติ ครูจานวนมากยังมีความรู้สึกสับสน เน่ืองจากการรับรู้เดิมท่ีมีต่อการวิจัยท่ีว่า การวิจัยเป็นเรื่องยุ่งยาก เป็นงานหนักท่ีต้องอาศัยความรู้และ ประสบการณ์ในการทางานสูง ต้องทุ่มเทเวลาและความสามารถในการวิจัยมาก แม้จะได้รับข่าวสารจากการ อบรม การประชุมสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการหรือการศึกษาเอกสารเร่ืองการวิจัยในช้ันเรียนว่า การวิจัยใน ชนั้ เรยี น ไม่ใชส่ ง่ิ ที่แปลกแยกไปจากงานปกตใิ นหนา้ ท่ขี องครู ครูกย็ งั สงสัยต่อไปอีกว่า ในเม่ือเป็นงานที่ครูทาอยู่ แลว้ ทาไมจึงต้องมีการหยบิ ยกขึน้ มาเปน็ จุดเน้นในการทาหน้าที่ของครูในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ บางที การอปุ มาอุปไมยตอ่ ไปนี้ อาจจะช่วยทาใหค้ รูมีคาตอบที่กระจา่ งต่อความกังวลนไี้ ด้ เช่น ในการปฏิบัติ \"อานาปานสติ\" หรือ \"สติกาหนดลมหายใจเข้าออก\" ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยท่ัวไปว่า เป็น สิ่งที่มีผลดีต่อสุขภาพทางจิต และส่งผลกระทบไปถึงสุขภาพทางกายของผู้ปฏิบัติ แต่ผู้ท่ียังไม่เข้าใจหรือยังไม่เคย 10
ประจักษ์ในผลดังกล่าวอาจจะยังสงสัยว่า ทาไมจึงต้องทา \"อานาปานสติ\" ในเม่ือปกติคนที่ยังมีชีวิตทุกคนต้อง หายใจเข้าออกอยู่แล้ว ทานองเดียวกับคาถามท่ีว่า ทาไมจึงต้องทา \"การวิจัยในช้ันเรียน\" เมื่อครูต้องทาหน้าที่ จัดการเรยี นรใู้ ห้กบั ผู้เรยี นทีต่ นรบั ผดิ ชอบอยแู่ ล้ว การทา \"อานาปานสติ\" ให้กาหนดรู้ลมหายใจเข้าออกของตัวเอง สังเกตเห็นและมีวิธีการบังคับให้ลม หายใจมีลักษณะตามท่ีต้องการอย่างมีระเบียบ กฎเกณฑ์ ส่งผลดีต่อสุขภาพจิตและกายมากกว่าการหายใจเข้า ออกตามความเคยชินโดยไม่รู้ตัว ฉันใด การทา \"การวิจัยในชั้นเรียน\" ให้รู้ชัดในปัญหาการเรียนรู้ท่ีเกิดขึ้น รู้ สาเหตุของปัญหา ศึกษาหาวิธีแก้ปัญหา และดาเนินการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ก็ย่อมส่งผลดีต่อการพัฒนา คุณภาพของการเรียนรู้ได้มากกว่าการจัดการเรียนรู้ไปตามความเคยชินโดยไม่ได้ตระหนักรู้ถึงปัญหาการจัดการ เรียนรูข้ องตนเอง ฉนั นัน้ ดังนั้น การวจิ ยั ในชน้ั เรยี น จงึ เป็นกระบวนการท่จี ะชว่ ยให้ครูผสู้ อนสามารถพฒั นาระบบการจัดการ เรียนรูข้ องตนให้มีประสิทธิภาพและเกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ แกผ่ เู้ รยี น ทาใหก้ ระบวนการจดั การเรยี นรขู้ องครู มคี วาม เปน็ วิชาชพี และมีความเปน็ ศาสตร์ในวธิ วี ิทยาของการจดั การเรยี นรมู้ ากขน้ึ ดังท่หี ลักสตู รการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2544 กไ็ ด้กลา่ วถึงเรอื่ งของ การวจิ ยั เพอื่ พฒั นาการเรยี นรู้ ไวส้ อดคล้องกับพระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษา แหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ความว่า การจดั การเรยี นรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน มีรปู แบบและวิธีการท่ี หลากหลาย เพื่อใหส้ อดคล้องกบั ความถนดั ความสนใจ และความต้องการของผูเ้ รียน โดยให้ผูส้ อนนา กระบวนการวิจัยมาผสมผสานหรอื บรู ณาการ ใช้ในการจดั การเรยี นรู้เพอื่ พฒั นาคณุ ภาพของผู้เรยี น และเพอื่ ให้ ผเู้ รยี นเกิดการเรยี นรู้ สามารถใชก้ ระบวนการวจิ ัยเปน็ ส่วนหนงึ่ ของกระบวนการเรียนรู้ โดยมขี ้นั ตอนการปฏบิ ตั ิ เร่ิมตงั้ แต่การวิเคราะห์ปัญหา การวางแผนแกป้ ัญหาหรอื พัฒนา การดาเนนิ การแกป้ ัญหาหรอื พฒั นา การเก็บ รวบรวมขอ้ มลู การสรุปผลการแก้ปัญหาหรอื การพฒั นา การรายงานผลการเรียนรู้ และการนาผลการวิจยั ไป ประยุกต์ใช้ (กระทรวงศกึ ษาธิการ 2544 : 34) เปน็ ต้น แนวคิดของกำรวิจัยในช้นั เรียน ควำมหมำย ควำมสำคญั และประโยชน์ของกำรวจิ ยั ในช้ันเรียน 1. ควำมหมำยของกำรวิจัยในชั้นเรียน การวิจัยในชั้นเรียนเปน็ กระบวนการในการแก้ปญั หาหรือพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ในช้นั เรียนทีค่ รู รบั ผดิ ชอบอย่างเป็นระบบ เพ่ือสืบคน้ ให้ได้สาเหตุของปัญหา แล้วหาวธิ แี กไ้ ขหรือพฒั นาท่ีเชือ่ ถือได้ เช่น การ สงั เกต จดบันทึก และวเิ คราะห์หรือสงั เคราะห์ เพื่อนาไปสูก่ ารแกป้ ญั หาหรือพฒั นากระบวนการจดั การเรียนการ 11
สอนของครู และพฒั นาการเรียนรขู้ องผู้เรียนให้มคี ุณภาพตามเปา้ หมายทีก่ าหนดไว้ เพอื่ สง่ เสรมิ ผู้เรียนให้ได้รับการ พฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเต็มตามศกั ยภาพ 2. ควำมสำคัญของกำรวจิ ัยในชั้นเรียน การแกป้ ญั หาหรือการพัฒนาผู้เรยี นในชั้นเรียนด้วยกระบวนการวจิ ยั ที่ครูผู้สอนเป็นผู้ปฏิบัติ เป็นสิ่งท่ีจะให้ ผลดีแกผ่ ้เู รียนมากกว่าการท่ีครูแกป้ ญั หาในช้นั เรียนของตนตามผลการวจิ ยั ของผอู้ ่นื เนอ่ื งจากครูผูส้ อนเปน็ ผู้ท่ี ใกล้ชดิ กบั ผู้เรยี นมากท่ีสดุ ครูจึงยอ่ มรธู้ รรมชาติ ภูมหิ ลังและสภาพแวดล้อมของผู้เรยี นของตนดีกว่าผู้อื่น แตค่ รู กต็ ้องพยายามศึกษา คน้ ควา้ หาแนวทางการแก้ปัญหาการเรยี นการสอนท่ีผอู้ ่ืนทาวิจยั ไว้ เพอ่ื นามาเป็นฐาน ความคดิ ในการปรับนาไปใช้ใหเ้ หมาะสมกบั ผู้เรียนของตน และจะไดร้ ูถ้ งึ ขอ้ ควรระวงั ที่ผวู้ จิ ยั คนกอ่ นไดน้ าเสนอไว้ เพอื่ ป้องกันความผิดพลาดซา้ รอยเดิม รวมทง้ั ควรปรึกษาแลกเปล่ียนเรียนร้กู บั ผรู้ ู้ ผู้มปี ระสบการณภ์ ายใน โรงเรียน หรอื บคุ คลภายนอกเพ่ือปรบั แนวคดิ และประสบการณเ์ หลา่ นั้น มาใช้เป็นแนวทางทน่ี ามาใช้แก้ปัญหาใน ชั้นเรียนของตนได้อย่างมน่ั ใจตอ่ ไป การวิจยั ในชน้ั เรยี นจงึ ไม่ใชส่ ิ่งใหม่ทแ่ี ปลกแยกไปจากการพัฒนาการเรยี นการสอนซึ่งเป็นงานในหน้าท่ีของ ครูโดยทั่วไป และไม่ใชเ่ รอ่ื งท่ียุ่งยากเกนิ ความสามารถของครู แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนาการเรียนการสอนเป็นงาน ทีต่ ้องใชเ้ วลา และต้องกระทาอย่างต่อเน่ือง การวิจยั ในชนั้ เรยี นจึงไมใ่ ช่การวจิ ัยท่ที าเพียงครั้งเดยี ว แตค่ วรทา อยา่ งต่อเน่ืองจนเปน็ ปกติของงานในหน้าทใี่ นการแก้ปัญหาและพัฒนาผเู้ รียนของครู 3. ประโยชน์ของกำรวิจัยในชัน้ เรียน การวิจยั ในช้ันเรยี นมีประโยชน์ตอ่ ผู้เรยี น ครู โรงเรียน และวงการการศึกษา ดังนี้ 3.1 ประโยชน์ต่อผู้เรียน เน่ืองจากผู้เรียนในชั้นเรียนมีความรูค้ วามสามารถพ้ืนฐานแตกต่าง กัน ถา้ ครใู ช้รูปแบบการสอนเพียงแบบเดียวกับผเู้ รยี นทุกคน อาจทาให้ผเู้ รียนบางคนไม่ได้รบั การพฒั นาหรอื แก้ไข ปัญหา ซ่ึงอาจสง่ ผลกระทบไปถงึ ปัญหาอืน่ เช่น จากปญั หาพฤติกรรมการเรียนสง่ ผลกระทบไปถงึ ปัญหาความ ประพฤติ สง่ ผลกระทบไปถงึ ครูวิชาอ่ืน ครทู ร่ี ับชว่ งในชน้ั ต่อไป โรงเรยี น และสงั คมโดยส่วนรวม จึงเป็นหนา้ ที่ ของครทู จ่ี ะต้องพยายามวเิ คราะห์หาสาเหตุของปญั หา แล้วคิดหาทางแก้ปญั หาจนสามารถเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรม ของผู้เรยี นให้ดีขึ้น พฒั นาผเู้ รียนใหเ้ กดิ การใฝ่รู้ ใฝเ่ รยี น มีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนอยู่ในระดบั ที่น่าพอใจ และไม่ มปี ัญหาการเรยี นอกี ต่อไป ซงึ่ ส่งผลไปถึงการขจัดปญั หาและผลกระทบอื่นๆ ดว้ ย 12
3.2 ประโยชน์ต่อครู ครมู ีการวางแผนการทางานในหน้าที่ของตนอย่างเป็นระบบ ได้แก่ วาง แผนการเรยี นการสอน ออกแบบการจัดกระบวนการเรยี นร้ทู ่เี หมาะสมกบั ผู้เรยี น ประเมนิ ผลการทางานเป็นระยะ โดยมีเปา้ หมายชัดเจนว่าจะทาอะไร กับใคร เมอ่ื ไร เพราะอะไร และทาให้ทราบผลการกระทาวา่ บรรลุ เป้าหมายได้อย่างไร เพียงใด ชว่ ยให้ครูเกดิ ความคิดริเร่ิม สรา้ งสรรค์ ในการหาทางแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม ได้นวัตกรรมท่ผี ่านการปรับปรงุ จนเปน็ ทย่ี อมรับได้ และเกิดความมน่ั ใจในการทางานมากขึน้ สามารถอธบิ ายไดว้ า่ ตนเองสามารถจัดการเรยี นรู้ให้เกิดผลแก่ผ้เู รยี นเป็นรายคนและแต่ละคนอย่างไรบา้ ง 3.3 ประโยชนต์ ่อโรงเรียน ครูในโรงเรียนมปี ฏสิ ัมพันธ์กันมากข้ึนทง้ั ภายในหมวดวชิ า และ ระหวา่ งหมวดวชิ า มีการรว่ มกันคิดแก้ปญั หา ตง้ั แตก่ ารวิเคราะหห์ าสาเหตุจนถึงการเขยี นรายงาน การไดร้ ะดม สรรพกาลังจากความถนัดของแตล่ ะคนจะทาให้งานวจิ ยั มคี ุณภาพยิ่งข้นึ เช่น ครูคณิตศาสตร์ช่วยในเรอื่ งการ คานวณ การวเิ คราะห์และนาเสนอข้อมลู ครบู รรณารักษช์ ่วยดูแลการเขียนบรรณานุกรม ครภู าษาไทยชว่ ย ตรวจสอบการสะกดคา ครูภาษาองั กฤษช่วยดา้ นการอา่ นเอกสารตารา หรืองานวิจยั จากต่างประเทศ เปน็ ต้น การศกึ ษาคน้ คว้าเอกสารและงานวิจัยที่เก่ยี วข้องกับงานในหนา้ ท่ีทค่ี รรู ับผดิ ชอบอยู่ จะชว่ ยให้การบริหารงาน วิชาการในโรงเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถวิเคราะห์สาเหตุและชี้ประเด็นปัญหาไดช้ ัดเจน แก้ปญั หาได้ตรงจุด เปน็ การสรา้ งเครอื ข่ายกัลยาณมิตรกันทางวชิ าการในโรงเรียน และยกระดบั มาตรฐาน วชิ าการของโรงเรยี นใหส้ งู ข้นึ 3.4 ประโยชน์ต่อวงการการศึกษา ผลงานการวิจยั ในช้นั เรียน สามารถนามาเปน็ ขอ้ มลู ในการ แลกเปลี่ยนเรยี นรขู้ องครเู ก่ียวกบั วธิ กี ารแกป้ ัญหาและพัฒนาผูเ้ รยี นท่ีครูแตล่ ะคนดาเนินการวา่ มีความเหมือนกัน หรอื ต่างกันอยา่ งไร ครูผสู้ อนแต่ละคนจะประยุกต์นาไปใช้เพอื่ พฒั นาผูเ้ รยี นของตนได้อย่างไร เป็นการสร้างสังคม ทางการศกึ ษา และกระตนุ้ ใหม้ กี ารพฒั นาผลงานทางวิชาการทเ่ี กิดขน้ึ จากประสบการณอ์ ันมีคุณค่าของครูอยา่ งไม่ หยุดยั้ง ทาให้วชิ าชีพครูมีภาพลักษณท์ ีด่ ี เปน็ ทีย่ อมรับของสงั คมมากข้นึ กำรวิจยั ในชน้ั เรียนกบั กำรพฒั นำคุณภำพกำรจัดกำรเรยี นรู้ เนอ่ื งจากการวจิ ยั ในชั้นเรยี นเป็นส่วนหน่งึ ของการประกนั คุณภาพภายในสถานศกึ ษาในส่วนของการ พฒั นาผู้เรยี นให้เป็นไปตามธรรมชาติและเตม็ ตามศักยภาพ ดังน้ันการวิจัยในชน้ั เรยี นจึงควรดาเนินการให้ สอดคล้องกบั ข้ันตอนการพฒั นาคณุ ภาพการจดั การเรียนรอู้ ยา่ งเป็นระบบทโ่ี รงเรยี นท่ัวไปใชก้ ันอยู่ คือ ขน้ั ตอน การพฒั นาตามวงจรคุณภาพของเดมมงิ่ (P-D-C-A) ซึ่งประกอบด้วย การวางแผน (Plan) การปฏบิ ัติการ (Do) การตรวจสอบ (Check) และการแก้ไขปรับปรุง (Action) ส่วนกำรวิจัยในชั้นเรียน ประกอบดว้ ยข้ันตอนการ ทางานทสี่ าคัญ คือ ศึกษำปัญหำในชั้นเรยี น จากนน้ั เลือกปญั หาท่ีมีความจาเป็นเรง่ ด่วนซึง่ มคี วามสาคญั ในลาดบั ต้น ๆ มาแก้ปญั หา ขั้นตอนของการแก้ปัญหาคอื หำสำเหตุท่แี ท้จรงิ ของปัญหำ แล้วศึกษำหำวธิ ีกำรแก้ปัญหำ 13
ทีค่ าดว่าสามารถนามาใช้ไดผ้ ล ซ่งึ อาจเปน็ ส่อื เทคนิค วิธีการจดั กจิ กรรม ฯลฯ แล้วเลือกพัฒนำนวัตกรรมหรือ วิธกี ำรท่ีเหมาะสม ตรวจสอบและปรบั ปรุง แล้วนามาทดลองใช้ รวบรวมข้อมูลจากการทดลอง ตรวจสอบ วิเคราะห์ อภปิ ราย และสรุปผลกำรทดลองใหช้ ัดเจน เป็นรูปธรรม ในกรณีปัญหาทเ่ี กิดข้นึ ในชน้ั เรียนเป็นปญั หา ที่ตอ้ งไดร้ บั การแก้ไขอยา่ งรีบด่วน จะแกป้ ญั หาโดยใชก้ ระบวนการวิจยั ก็ไมท่ ันการณ์ ครูกส็ ามารถศึกษาและนา ผลงานวจิ ยั ของครูคนอื่นที่ใช้แกป้ ญั หาเดียวกนั มาใช้แกป้ ญั หาในช้นั เรียนของตนได้ ถอื เป็นการบรโิ ภคงานวิจัย อยา่ งคุ้มค่าวธิ ีหน่ึง วงจรการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้และวงจรการวิจัยในช้ันเรียนดังกล่าวข้างต้น จึงมีความ เกย่ี วข้องสัมพันธก์ นั ดงั แผนภาพตอ่ ไปนี้ วงจรกำรพัฒนำคุณภำพกำรจัดกำรเรยี นรู้ การวางแผน การแก้ไข การปฏบิ ตั ิ ปรับปรุง การตรวจสอบ สบื ค้นวิธีแก้ปัญหาด้วยการวจิ ยั ศกึ ษาปัญหา นาข้อค้นพบจากการวจิ ยั สกู่ ารปฏบิ ตั ิ ตรวจสอบผล หาสาเหตุ ทดลองใช้ หาวิธีแก้ปัญหา พฒั นานวตั กรรม/ วิธีการแก้ปัญหา วงจรกำรวจิ ยั ในชน้ั เรียน ภาพท่ี 1 ความสมั พันธร์ ะหว่างวงจรการพฒั นาคุณภาพการจดั การเรียนรแู้ ละการวจิ ยั ในชั้นเรยี น 14
ดังนน้ั กระบวนการวิจัยในชนั้ เรยี นจึงบูรณาการอยใู่ นกระบวนการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ เป็น งานของครทู ่ีม่งุ ศึกษากระบวนการพัฒนาการเรียนรขู้ องผู้เรียนให้ได้ผลตรงตามความต้องการ และทนั เหตุการณ์ จดั ทาได้ง่าย เปน็ การวิจัยท่คี รผู ู้สอนจดั กระทากับกลุม่ ผู้เรยี นที่ตนรบั ผดิ ชอบอยู่ ผลการวิจยั จึงไมจ่ าเป็นต้องสรปุ อ้างองิ ไปถงึ ผเู้ รยี นกลุ่มอื่น และไม่จาเปน็ ต้องใชส้ ถิติขั้นสูง เพราะการวจิ ัยในช้ันเรยี นเปน็ การวจิ ัยทีค่ รทู าเพ่ือ แก้ปญั หาในชน้ั เรยี นของตนเอง และทากบั กลุ่มผ้เู รียนกลมุ่ เลก็ ท่คี รูต้องการพฒั นาหรอื แกป้ ญั หาบางประการ บาง เร่อื ง เพ่อื พัฒนา (ปรับปรงุ ผู้เรียนอ่อน เสริมผเู้ รียนเกง่ ) ผู้เรยี นคนนัน้ กลุ่มนั้น เพอ่ื จะไดเ้ รียนทันเพ่ือนกลุ่มใหญ่ หรือไดร้ บั การพฒั นาเต็มศักยภาพของเขา ( อุทุมพร (ทองอุไทย) จามรมาน 2544 :1) วธิ ีกำรวจิ ยั ในชน้ั เรยี น เนอ่ื งจากการวจิ ยั ในชั้นเรียนมีจุดมุ่งหมายเพ่อื ใหค้ รใู ชก้ ระบวนการวจิ ัยในการแก้ปัญหาและพัฒนาผเู้ รยี น จดุ เนน้ ของการวิจัยในช้ันเรียนจึงอยูท่ ่ขี ้ันตอนการทาวิจยั ท่ีจะแกป้ ัญหาหรือพฒั นาผูเ้ รยี น ซ่ึงไดแ้ ก่ การศึกษาถึง ปัญหาและจุดที่ต้องการพัฒนา ศกึ ษาถึงสาเหตุของปญั หา ศกึ ษานวัตกรรมหรอื วิธีการแกป้ ัญหา สร้างและพฒั นา นวัตกรรมการเรียนรู้ นานวตั กรรมการเรยี นรู้ไปใช้แก้ปัญหาการเรยี นรขู้ องผู้เรียน หรอื ปญั หาการสอนของครู ประมวลผลการแก้ปัญหา สรุปผลการทดลองและเขียนรายงานเพื่อเผยแพร่ จุดเรม่ิ ต้นของกำรวิจยั ในชน้ั เรยี น จากภาพท่ี 1 แสดงความสมั พนั ธ์ระหว่างวงจรการพฒั นาคณุ ภาพการจดั การเรียนรู้และการวิจัยในชั้นเรียน จะเห็นว่าจุดเริ่มต้นของการวิจัยในชั้นเรียนเร่ิมขึ้นที่การพบปัญหาจากขั้นการตรวจสอบของวงจรการพัฒนา คุณภาพการจัดการเรียนรู้ ซึ่งครูจะได้ข้อมูลเก่ียวกับผลการเรียนและปัญหาที่เกิดขึ้นจากขั้นการตรวจสอบนั้น ใน กรณีที่ครูมีข้อมูลของผู้เรียนเกี่ยวกับปัญหาที่ตรวจพบอย่างเพียงพอและมีแนวทางว่าควร ทาการปรับปรุงแก้ไข อย่างไร ก็สามารถแก้ไขปรับปรุงได้ทันทีโดยไม่ต้องทาการวิจัย แต่ถ้าหากว่าครูยังมีข้อมูลไม่เพียงพอและยังไม่มี แนวทางทีจ่ ะแก้ไขปรบั ปรงุ กจ็ าเปน็ ต้องใชก้ ระบวนการวิจัยในช้นั เรียนมาช่วย โดยการค้นหาข้อมูลอันเป็นสาเหตุ ของปัญหาและแนวทางแก้ไข และทาการวิจัยให้เป็นส่วนหนึ่งของการทางานปกติ โดยครูอาจเร่ิมต้นด้วยงานวิจัย ขนาดเล็กท่ีมุ่งแก้ปัญหาท่ีเฉพาะเจาะจง เพ่ือให้สามารถควบคุมกระบวนการวิจัยให้อยู่ในวิสัยท่ีครูสามารถ ดาเนนิ การได้ 15
รูปแบบและขน้ั ตอนกำรทำวิจยั ในชน้ั เรียน การวิจยั ในช้นั เรียนเป็นการนารูปแบบกระบวนการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มาแก้ปัญหาของผู้เรยี น โดยพฒั นากระบวนการเรียนรู้หรอื นวัตกรรมท่เี หมาะสมกบั ผู้เรียน ดงั กรณีตัวอยา่ ง ต่อไปน้ี ในกรณเี ม่ือครูพบวา่ ผเู้ รียนในห้องเรียนมปี ญั หาด้านการเรียนรู้ในกลมุ่ ประสบการณ์หรือวชิ าใด วิชาหนง่ึ เฉพาะดา้ น เชน่ ทาโจทย์ปัญหาคณติ ศาสตร์ไม่ไดห้ รืออา่ นคาที่มีตัวสะกดบางมาตราไม่ได้ ครูอาจคิดนวัตกรรมเพ่ือ แกป้ ัญหาของผเู้ รยี นเปน็ รายคน รายกล่มุ ย่อย นาไปทดลองใชห้ รือให้ผเู้ ช่ียวชาญตรวจสอบคณุ ภาพเบื้องต้น แลว้ นามาแกป้ ัญหาการเรยี นรู้ของผูเ้ รยี น และสามารถแก้ปญั หาได้ การวจิ ยั แบบนจ้ี งึ เปน็ การวจิ ัยจากปัญหาในชั้นเรยี น และแกป้ ัญหาทนั ทีท่ีครูพบปัญหา ในกรณที ี่ครูพบว่าผเู้ รียนมีปัญหาดา้ นพฤติกรรมเปน็ รายคน รายกล่มุ หรือทงั้ ช้ัน ครูอาจศึกษาผู้เรียนเปน็ รายกรณี ซง่ึ อาจจะเป็นรายคน รายกลุ่ม รายช้นั แลว้ แก้ปัญหาให้ผู้เรียนจนเกดิ พฤติกรรมใหมท่ ี่พงึ ประสงค์ที่คงทน ถอื วา่ ครูไดท้ าวจิ ยั เพอ่ื แกป้ ญั หาดา้ นพฤติกรรมของผเู้ รียนแลว้ ขัน้ ตอนกำรทำวิจยั ในช้ันเรียน สามารถดาเนินการดงั ตอ่ ไปนี้ 1. วเิ คราะหส์ ภาพปัญหาทเ่ี กิดข้ึนในชั้นเรยี น การวิเคราะห์สภาพปัญหาในชน้ั เรยี นเป็นขัน้ ตอนสาคัญที่ ครูตอ้ งสารวจว่า มีอะไรเกิดขนึ้ สิ่งน้ันเปน็ ปญั หาหรอื ไม่ และหากสภาพท่เี กดิ ข้ึนแสดงถงึ ปญั หาทต่ี อ้ งแก้ไข หลายประการ ครูก็ต้องจัดลาดับความสาคญั ก่อนหลังของปัญหาเหลา่ น้นั โดยพิจารณาจากความรุนแรงของ ปญั หา ว่าปัญหาใดควรได้รบั การแก้ไขกอ่ น ครูสามารถสารวจและวิเคราะห์ปญั หาได้หลายลกั ษณะ เชน่ วิเคราะหผ์ ลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นในแง่มมุ ตา่ งๆ ตรวจสมดุ แบบฝึกหัด สงั เกตพฤตกิ รรมของผเู้ รยี น ศกึ ษาข้อมลู จากการประเมินของผู้ทีเ่ กี่ยวข้อง เปน็ ต้น ครูจะพบปัญหา ข้อสงสยั ท่เี กิดจากผู้เรยี น ครู และกระบวนการเรยี นการสอน เช่น - ผเู้ รยี นมีความสามารถในการทาโจทยป์ ัญหาคณิตศาสตรต์ ่า - ผู้เรียนไม่ชอบเรยี นคณิตศาสตร์ - ผเู้ รียนไม่มีทักษะในการใช้เคร่อื งมือทดลองทางวิทยาศาสตร์ - ผ้เู รยี นอา่ นออกเสียงควบกล้า ร ล ไมช่ ัดเจน - ผู้เรยี นออกเสียงภาษาองั กฤษทลี่ งทา้ ยด้วย ch sh s ไมถ่ ูกต้อง - ผเู้ รยี นยงั ไมไ่ ด้ปฏิบัติตนเก่ยี วกับความรับผดิ ชอบใหเ้ ปน็ นสิ ัย - ครูสอนอยา่ งเครง่ เครียด ผเู้ รยี นไม่สนุกและไม่มีความสขุ ในการเรียน - ครใู ช้สือ่ ไมเ่ หมาะสมกับวยั วฒุ ภิ าวะ และความสามารถของผูเ้ รียน 16
- ครูไม่ได้จดั ให้ผ้เู รยี นไดม้ ีโอกาสเรยี นรจู้ ากการปฏบิ ตั จิ ริงด้วยตนเอง ปัญหาทจี่ ะนามาทาการวจิ ยั ในช้นั เรยี น ควรมคี วามหมายและเอ้ือประโยชนต์ ่อการเรียนรู้ อย่ใู นวสิ ัยทีค่ รู จะเปน็ ผ้ดู าเนินการหาคาตอบได้ สอดคล้องกับความสนใจและความถนดั ของครผู ูว้ จิ ยั เช่น ครูมีความสนใจและ ความถนัดในการจดั การเรยี นร้ดู ว้ ยการแสดงบทบาทสมมติ เมื่อพบปัญหาการออกเสียงคาที่ลงทา้ ยด้วย ch sh s ก็นากจิ กรรมบทบาทสมมตมิ าใช้โดยบรรจคุ าศัพทท์ ลี่ งทา้ ยดว้ ย ch sh s ในบทท่ีใช้ในการแสดง จะทาให้ครู ทาวิจยั ด้วยความสนุก เหน็ ประโยชน์ ความสาคัญ และเกดิ แรงจูงใจทจ่ี ะทาให้สาเรจ็ แต่ถ้าเปน็ ปัญหาสาคญั ท่ี ต้องรบี ดาเนนิ การแก้ไข เพ่ือไมใ่ ห้ลุกลามเป็นปญั หาใหญจ่ นไม่สามารถแก้ไขได้ ถึงแมจ้ ะเปน็ เรื่องท่ีครูไม่ถนดั ครู ก็ตอ้ งศึกษาหาความรู้จากแหลง่ เรียนรตู้ า่ ง ๆ เพือ่ หาวธิ แี ก้ไขปญั หาน้นั ใหไ้ ด้ 2. วิเคราะหส์ าเหตุของปัญหา เมือ่ เลอื กปัญหาไดแ้ ล้วตอ้ งวเิ คราะหห์ าสาเหตขุ องปญั หา เพ่อื จะได้ แกป้ ญั หาไดต้ รงเหตุ ปัญหาจงึ จะไดร้ บั การแก้ไขใหล้ ุล่วงได้ สาเหตขุ องปัญหาอาจเกิดจากพฤตกิ รรม การสอน การใชส้ ่ือหรือการวัดผลของครู ทศั นคติ พนื้ ฐานภูมหิ ลัง นิสัยหรือพฤติกรรมของผเู้ รียน ระดบั ความยากหรือ ปรมิ าณของเน้ือหาวชิ า หรือบรรยากาศการเรยี นรูท้ ่ีไมเ่ ออ้ื อานวย เชน่ หอ้ งเรยี นคบั แคบ ร้อน แสงสวา่ งไม่พอ แหล่งเรียนรู้สาหรับศกึ ษาคน้ ควา้ ไมเ่ พียงพอ เปน็ ตน้ ในกรณีท่ีพบวา่ สาเหตขุ องปัญหามีหลายสาเหตุ อาจเลือกสาเหตุท่ีมีความสาคัญซึ่งเป็นสาเหตุต้นตอของ สาเหตอุ น่ื ๆ ซงึ่ ถา้ แก้สาเหตุตน้ ตอได้ จะทาให้สาเหตุอืน่ ถกู กาจัดไปด้วย และนาสาเหตุทเ่ี หลือมาวจิ ัยต่อไดต้ าม ช่วงเวลาต่าง ๆ ทาให้เกดิ การทาวิจัยในช้นั เรียนอย่างต่อเนอื่ ง 3. ศกึ ษา หาวธิ กี ารในการแก้ปญั หา เม่ือครูไดว้ ิเคราะห์ปญั หาและสาเหตุของปัญหาแล้ว เพื่อทจี่ ะให้ได้ แนวทางในการแก้ปญั หา ครตู อ้ งศึกษาเอกสารทีเ่ กี่ยวข้อง เช่น แนวคดิ ทฤษฎีการเรยี นรู้ หลักสตู ร ตารา ค่มู อื ผลงานวจิ ยั เพ่ือครูจะได้ทราบว่าปัญหาท่ีคลา้ ยกับปญั หาท่ปี ระสบอย่นู นั้ มผี ้ใู ดศกึ ษาไว้บ้าง ใชว้ ธิ ใี ดในการ แก้ปัญหา ผลการแกป้ ญั หาเป็นอย่างไร จะทาให้ครูเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาได้ชัดเจนข้ึน ซึง่ อาจจะเปน็ กิจกรรม หรือสอื่ ช่วยการเรยี นรู้ เชน่ กจิ กรรมกลุ่มแบบต่าง ๆ สถานการณจ์ าลอง บทเรยี นสาเร็จรูป บทเรียนคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน (CAI) คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยการเรยี นรู้ (CAL) เปน็ ตน้ 4. พัฒนานวตั กรรมหรือวธิ ีการแก้ปัญหา จากการศึกษาในขน้ั ท่ี 3 ครูจะได้ทางเลือกในการแก้ปัญหาที่ เป็นไปได้ ซ่ึงครูต้องศึกษาและออกแบบหรือพัฒนานวัตกรรม วิธีการ หรือสื่อช่วยการเรียนรู้ท่ีจะใช้ในการ แก้ปัญหา (เช่น เด็กวัยรุ่นบางกลุ่ม หรือบางคน มองภาษาไทยเรื่องการแต่งกลอนว่าเป็นเรื่องที่ครา่ ครึ ล้าสมยั ทา ให้ไม่สนใจเรียน เปน็ เหตุให้ไม่สามารถบรรลุจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ในเร่ืองการแตง่ กลอนไดด้ ีเท่าท่ีควร ครูจึงศึกษา ว่ามีวิธีการหรือส่ือท่ีทันสมัยใดที่จะนามาใช้ดึงดูดความสนใจของผู้เรียนในเร่ืองการแต่งกลอนได้ แล้วครูก็พบสื่อ ที่น่าสนใจชนิดหนึ่ง คือ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ซึ่งเป็นส่ือทันสมยั ที่ครูคิดว่าน่าจะนามาใช้ในการ เปล่ียนทัศนคติของผู้เรียนเปน็ รายบุคคลได้ ครูจึงลงมือศึกษาหลักการ การออกแบบการเรียนการสอน และ 17
เทคนิคทางคอมพิวเตอร์ที่จะนามาสร้างบทเรียน แล้วลงมือพัฒนาบทเรียนตามที่ออกแบบไว้) แล้วดาเนินการหา คุณภาพจากผรู้ หู้ รอื ผเู้ ชีย่ วชาญในเร่ืองนั้นๆ โดยนานวตั กรรม วธิ กี ารหรอื สื่อตน้ แบบทพ่ี ฒั นาข้นึ ไปให้เพื่อนครู ศกึ ษานิเทศก์ หรอื นกั วิชาการที่เก่ียวข้องกบั เรื่องทศ่ี ึกษา ตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสม และให้ ข้อเสนอแนะ แลว้ นามาปรบั ปรงุ แก้ไข เตรยี มนาไปใช้กับผเู้ รียนของตน 5. นานวตั กรรมหรือวธิ กี ารแก้ปัญหาไปใช้ ครนู านวัตกรรม วธิ ีการหรอื สือ่ ท่สี รา้ งข้ึนในขนั้ ท่ี 4 ไปใช้ กับผูเ้ รยี นของตน โดยระบุข้ันตอนการดาเนนิ การอย่างชดั เจน แลว้ เก็บรวบรวมขอ้ มูล เชน่ สงั เกตและบันทกึ พฤติกรรมเบื้องต้นของผู้เรยี นก่อนใช้ เมื่อใช้เสร็จแล้วสงั เกตและบันทกึ พฤติกรรมอีกระยะหนงึ่ เพอ่ื นาขอ้ มูลมา วเิ คราะห์หาความเปล่ยี นแปลงของผลท่ีเกิดขึ้น โดยครผู ูว้ จิ ยั ตอ้ งสร้างเคร่อื งมือหรอื กาหนดวธิ กี ารที่ใชใ้ นการ รวบรวมขอ้ มลู เชน่ ใช้แบบสังเกตพฤตกิ รรม แบบประเมนิ การปฏบิ ัติงาน แบบทดสอบ เป็นต้น รวมทัง้ แนวทางการวิเคราะห์ข้อมูล 6. ตรวจสอบและสรุปผล เมือ่ รวบรวมข้อมลู ได้แลว้ นาขอ้ มลู มาวเิ คราะห์ โดยอาจใชก้ ารแจงนบั หรือ เลือกใช้สถิติทเี่ หมาะสม แลว้ สรุปและอภิปรายผลการวิเคราะห์ข้อมลู หากยังไม่สามารถแก้ปญั หาได้ตามท่ี ต้องการ กจ็ ะตอ้ งทาการปรับปรงุ แก้ไข โดยย้อนกลับไปตรวจสอบในขน้ั ตา่ งๆ แล้วนากิจกรรมหรือส่อื ท่ีปรบั ปรงุ แล้วไปใชอ้ กี จนกระท่ังสามารถแก้ปัญหาได้ตามท่ีต้องการ เขียนสรปุ ผลการดาเนนิ งานตง้ั แตข่ น้ั ที่ 1 ถึงข้นั ท่ี 5 ผลการวจิ ยั ที่ไดก้ จ็ ะเปน็ ผลของการแก้ไขปรับปรงุ ในวงจรการพฒั นาคุณภาพการจัดการเรียนรดู้ ้วย (เชน่ เม่อื ครู นาบทเรยี น CAI เร่ืองการแต่งกลอนท่ีสร้างข้ึนในข้นั ที่ 4 ไปใช้แล้ว พบวา่ ผเู้ รียนสามารถผ่านจดุ ประสงค์การ เรียนรูท้ ีเ่ กยี่ วกับฉันทลักษณ์ของกลอน แต่ก็ยงั ไม่สามารถแต่งกลอนด้วยตนเองได้ในระดับที่พงึ ประสงค์ ครูก็ ยอ้ นกลบั ไปตรวจสอบในขั้นต่าง ๆ แล้วครูก็พบว่า การใช้แตส่ ื่อ CAI เพียงอย่างเดียวในการสอนเรื่องการแต่ง กลอน ไมเ่ ป็นการเพยี งพอ เพราะคอมพิวเตอร์สามารถตรวจคาตอบของผู้เรยี นจากการตอบคาถามท่ีอยู่ใน บทเรียน CAI ได้ แต่คอมพิวเตอร์ไมส่ ามารถตรวจผลงานกลอนท่ีผเู้ รยี นแต่งเองได้ เพราะฉะน้นั ครูจึงปรบั แผนและส่ือการสอนใหม่ โดยใช้สอ่ื CAI ในลกั ษณะผสมผสานกบั กิจกรรมกลุ่มในห้องเรยี น และผสมผสานกับ การใชอ้ ินเตอรเ์ นต็ (Internet) โดยครูเปดิ เว็บบอรด์ (Web board) ท่แี สดงภาพท่ตี อ้ งการให้ผูเ้ รียนบรรยาย เปน็ กลอน หลงั จากผเู้ รยี นศึกษาจากบทเรยี น CAI และทากจิ กรรมกลุม่ แล้ว ผเู้ รียนจะแต่งกลอนบรรยายภาพ สง่ เข้าไปไวใ้ นเวบ็ บอรด์ โดยครไู ดเ้ ชญิ เพ่ือนกลอนทางอนิ เตอรเ์ นต็ มาชว่ ยตรวจ ใหค้ าติชม และคาแนะนาในการ ปรับปรุงแก้ไข ผลจากการแก้ปัญหาดว้ ยวิธนี ี้ ทาใหผ้ เู้ รียนบรรลเุ กณฑ์ความสามารถตามสภาพจรงิ ในเรื่องการ แตง่ กลอนได้อยา่ งงดงาม มีทศั นคตทิ ี่ดตี ่อการเรียนภาษาไทยและยังสามารถใช้ส่ือเทคโนโลยีสารสนเทศในการ ติดต่อสื่อสาร ฝึกทักษะทางสังคม และสืบคน้ ข้อมูลอีกด้วย ศกึ ษาตัวอยา่ งการใชส้ ื่อการเรยี นการสอนลักษณะนี้ได้ จาก ครภู าทิพ ศรีสุทธิ์ อาจารย์ 3 ระดับ 8 ทีเ่ ว็บไซต์ http://203.146.150.99/useit รายการ \"ตัวอย่างแผนการ สอนวชิ าภาษาไทย\" หรอื ทhี่ ttp://www.geocities.com/inno_thai รายการ \"พบกบั การใช้ CAI รว่ มกบั 18
Webboard หรือที่ http://board.dserver.org/cgi-bin/index.pl?plearn ซง่ึ เปน็ หอ้ งเรยี นสีชมพูของครภู า ทิพ ควำมเชือ่ ถือไดข้ องงำนวจิ ัยในชั้นเรียน งานวจิ ัยในชน้ั เรยี นเป็นงานวจิ ยั ปฏิบัติการเพ่ือปรับปรุงวิธีปฏบิ ัตงิ านในสภาพจริงกบั กลมุ่ ผ้เู รียนท่ีครู รับผิดชอบอยู่ ซึ่งอาจมีลักษณะไม่เหมือนผู้เรียนกลุ่มอื่น กระบวนการวิจัยก็มุ่งเน้นการดาเนินงานที่พยายามให้ สอดคลอ้ งกับสภาพการเรยี นการสอนในชีวติ ประจาวนั ดังนนั้ จึงไม่สมควรนามาตรฐานการประเมนิ งานวจิ ยั ทั่วไป ทมี่ ุ่งสรปุ ผลไปยงั ประชากรมาใชก้ ับงานวจิ ัยในชนั้ เรียน นักวิจยั ปฏบิ ตั กิ ารจะให้ความสาคัญกับการนาผลไปปฏบิ ตั ิ ดังน้นั ความเช่อื ถือได้ของงานวจิ ัยในชั้นเรียน จงึ อยู่ทค่ี วามสามารถในการช้ีแนวทางการพัฒนาปรบั ปรงุ การทางานสาหรับครผู ู้ปฏิบัติ 1. กระบวนกำรในกำรทำวิจัยในช้นั เรียนให้นำ่ เชอ่ื ถอื การทาให้การวจิ ยั ในช้ันเรียนมีความนา่ เชื่อถอื สูง จงึ มีกระบวนการ ดังน้ี 1.1 ตัวครูเองตอ้ งเปน็ ผตู้ ีความหมายการปฏิบตั งิ านของตนเองอยา่ งไตรต่ รอง และตดั สนิ วา่ จะ ปรับปรงุ งานอย่างไรด้วยความตั้งใจ 1.2 เพ่ือนร่วมงานชว่ ยไตร่ตรอง ตรวจสอบขอ้ มูล เพ่ือขยายความคิด และชว่ ยวิพากษ์วิจารณ์เพื่อให้ ได้ข้อสรุปและตีความหมายส่ิงท่ีค้นพบจากหลักฐานที่แสดง โดยกระบวนการวิพากษว์ ิจารณ์ท่มี คี ุณภาพต้องมีลักษณะ สาคัญ 4 ประการคือ (1) ตอ้ งทาให้ส่ิงท่ีพดู คยุ กนั เป็นเรือ่ งจรงิ (2) มคี วามเข้าใจตรงกนั ในส่ิงทีก่ าลงั อภปิ ราย (3) มคี วามจรงิ ใจ (4) เรอ่ื งท่ีนามาถกกันควรอยูใ่ นสถานการณท์ เี่ หมาะสมกับกลุ่มผู้ปฏิบตั ิ 1.3 ตรวจสอบผลท่เี กดิ ขึ้นซ้า โดยใหผ้ ู้เรียนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบด้วย และอาจมกี ารบนั ทึก เทปเหตุการณต์ า่ ง ๆ ที่เกดิ ข้ึน เพื่อนามาเปน็ หลกั ฐานในการตรวจสอบภายหลงั ได้อีก แนวคิดและข้นั ตอนการทาวจิ ัยในช้นั เรียน เนน้ การทาวจิ ัยควบคู่กบั การปฏบิ ัตงิ านโดยไมเ่ น้นแบบ แผนการวิจัยท่เี ครง่ ครดั ในการออกแบบการวิจยั ในช้ันเรยี นจึงใหค้ วามสาคัญกบั กระบวนการวพิ ากษ์วิจารณ์ และ การตีความหรือแปลความหมายส่ิงทค่ี ้นพบ เพ่ือใหเ้ กิดความเขา้ ใจ ความกระจา่ ง เกิดการขยายความรู้ความคดิ ของครูผปู้ ฏิบัติ คณุ ภาพของงานวิจยั ประเภทน้ีจึงอยู่ที่การแสดงหลักฐานเก่ียวกับกระบวนการตรวจสอบ 19
ผลการวจิ ัย กระบวนการทใ่ี ช้ในการปรับปรงุ วธิ ีการแก้ไขแนวปฏิบัติของครูผู้วิจยั และความสามารถในการ อธิบายสิ่งทเ่ี กดิ ขน้ึ อยา่ งเป็นระบบ โดยที่กระบวนการตรวจสอบผลการวจิ ัยไมใ่ ชก่ ารเขียนแสดงความช่ืนชมผลงาน การแสดงความยินดี หรอื การให้กาลงั ใจแกค่ รผู ู้วิจยั แตต่ อ้ งเปน็ การเขยี นที่ครจู ะได้ประโยชน์ในการปรับปรงุ การ ปฏิบตั งิ านใหด้ ียิ่งขนึ้ 2. เกณฑก์ ำรประเมนิ คุณภำพงำนวจิ ยั ในช้ันเรยี น ควรมอี งค์ประกอบ 3 ประการ ดงั นี้ 2.1 ระดับของการอธบิ ายเชิงวิทยาศาสตร์ การวจิ ยั ในชน้ั เรียนกาหนดปัญหาจากประสบการณ์และ การปฏิบัตโิ ดยครผู วู้ จิ ยั ซงึ่ เปน็ อสิ ระจากทฤษฎีอ่ืนๆ ดงั น้ัน เกณฑ์การประเมนิ ในดา้ นน้ี คือ ข้อควำมทเี่ ปน็ จริง (true statements) ซง่ึ มีความถกู ต้อง เหมาะสมตามสภาพจรงิ นา่ เช่ือถือ 2.2 ระดับของการสร้างความกระจ่างในกลุ่มผู้ตรวจสอบผล ในกระบวนการแลกเปล่ียน ประสบการณ์และตรวจสอบข้อค้นพบกบั เพอื่ นร่วมงาน ขอบเขตของการสื่อสาร การอภิปรายรว่ มกันตอ้ งเปดิ กวา้ ง และอยู่บนพน้ื ฐานของความเข้าใจรว่ มกนั เกณฑ์การประเมนิ ในดา้ นนี้คือ ควำมเขำ้ ใจตำมสภำพจริง (authentic insights) 2.3 ระดับของการจัดระบบในการปฏิบัติ ซึ่งเก่ียวข้องกับการเลือกปัญหา วิธีการแก้ปัญหา การ เผชญิ กับบริบทของสังคมและการเมือง เกณฑ์การประเมินในดา้ นน้ีคือ กำรตัดสินใจท่ีสุขุมรอบคอบว่ำจะเลอื ก วธิ ีกำรแก้ปญั หำแบบใด เพราะการวจิ ยั ในชัน้ เรยี นเป็นการปฏิบตั จิ ริง ซง่ึ ต้องตอบสนองความเปน็ ปจั จุบนั ได้ ทันที ครผู วู้ จิ ยั จงึ ตอ้ งมคี วามรอบคอบในการเลือกและจัดระบบวธิ ีการปฏบิ ตั ิ ครูผูว้ ิจัยในชัน้ เรียนตอ้ งไมก่ ังวลว่า งานวิจัยในชั้นเรยี นของตนจะไมไ่ ด้มาตรฐานและมคี ุณภาพดเี ท่า งานวจิ ัยของนักวิชาการ ส่งิ ทส่ี ะท้อนคุณภาพงานวิจยั ในชั้นเรยี นของครูคือคุณภาพของผ้เู รียนอนั เปน็ ผลสืบ เนื่องมาจากนวตั กรรมหรือวิธีการท่ีครใู ชใ้ นการแก้ปญั หาหรอื พัฒนาการจัดการเรยี นรู้ ข้อความรทู้ ี่ครูได้จากการศึกษาวิจยั อย่างเป็นระบบและจัดเก็บอย่างเป็นหมวดหมูใ่ นแต่ละภาคเรยี นทีผ่ ่าน ไป อาจทาให้ครสู ามารถสร้างทฤษฎีใหมเ่ ก่ียวกบั การพัฒนากระบวนการเรยี นรู้อนั เกิดจากการปฏิบตั งิ านของครู อย่างแท้จริง โดยไม่จาเป็นต้องยึดตดิ อยู่กับกรอบแนวคดิ เดิมเสมอไป กำรเขียนสรุปรำยงำนกำรวิจัยในชั้นเรยี น การนาเสนอรายงานการวิจยั ในชั้นเรยี นสามารถจดั ทาได้ 2 แบบ คอื 20
1. รายงานการวิจยั ทีเ่ ขียนตามแบบแผนการวิจัย สว่ นใหญม่ ีการนาเสนอท่ีมีรูปแบบตายตวั โดยมี หวั ข้อสาคัญดงั ต่อไปนี้ 1.1 บทนา ประกอบดว้ ยเน้อื หาเก่ยี วกบั ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา คาถามวิจยั กรอบความคิดของการวจิ ยั วัตถุประสงค์ของการวิจัย ขอบเขตของการวจิ ยั นิยามศัพท์เฉพาะ ข้อตกลง เบ้ืองตน้ ของการวิจัย ขอ้ จากัดของการวจิ ัย ประโยชน์ท่ีไดร้ บั จากการวิจยั 1.2 เอกสารที่เกี่ยวข้องกบั การวจิ ยั 1.3 วธิ ีดาเนนิ การวจิ ัย ประกอบดว้ ย เน้อื หาเก่ยี วกับระเบียบวิธีวิจยั กลุม่ ตวั อยา่ ง เครือ่ งมือวิจัย การเก็บ รวบรวมขอ้ มลู การวิเคราะหข์ อ้ มูล 1.4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล 1.5 สรปุ ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล อภิปราย และขอ้ เสนอแนะ 1.6 บรรณานกุ รม 1.7 ภาคผนวก ครผู ทู้ าการวิจยั ในชั้นเรียนทตี่ อ้ งการเขียนรายงานการวิจัยแบบนี้ สามารถศึกษาตัวอย่างการเขียนได้จาก รายงานการวิจัยทั่วไปของนกั วชิ าการ คณาจารย์ หรอื นสิ ติ นกั ศึกษาในระดับบณั ฑติ ศึกษา 2. รายงานการวิจัยที่เขียนตามขั้นตอนการสร้างสรรค์ของผู้วิจัย เน้ือหาสาระของรายงานการวิจัยในชั้น เรียนเหมือนรายงานการวิจัยทว่ั ไป แตม่ ักนาเสนออย่างสั้นๆ ไม่ยึดรูปแบบตายตัว ขอเพียงให้มีสาระครบถ้วนทาให้ เข้าใจสิ่งท่ีศึกษา ข้ันตอนท่ีปฏิบัติ และสิ่งท่ีค้นพบ นอกจากน้ี รายงานการวิจัยในชั้นเรียนท่ีดี ควรแสดง หลักฐานเกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ เพื่อเป็นข้อมูลยืนยันข้อสรุปท่ีได้จากการวิจั ย เนื่องจากการวิจัยในช้ันเรียนอาศัยประสบการณ์ของผู้วิจัยและเพ่ือนร่วมงานหรือผู้ท่ีเก่ียวข้อง มาช่วยใน กระบวนการวิจัย ซ่ึงสามารถให้คาตอบท่ีนาไปสู่การปฏิบัติจริง ดังนั้น การวิพากษ์วิจารณ์จากผู้มีส่วนร่วม จะ ทาใหผ้ ลการวจิ ัยมีความน่าเช่ือถอื มากขนึ้ ตวั อยำ่ งงำนวิจัยในชั้นเรียน โดยทั่วไปแล้ว การทาวิจัยในช้ันเรียนเป็นการทางานของครู เพ่ือแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นในช้ันเรียนท่ีครู รับผดิ ชอบ การเขียนรายงานการวิจัยในชนั้ เรยี น จงึ เปน็ การบันทึกการทางานของครูอยา่ งเป็นระบบ เพื่อจัดเก็บไว้ เป็นแฟ้มสะสมงาน เป็นร่องรอยหลักฐานในการทางาน เป็นเอกสารเพื่อการเผยแพร่แก่เพื่อนครูที่จะใช้เป็น 21
แนวทางในการนาไปประยุกต์ใช้ต่อไป หรือเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกี่ยวกับการเรียนการสอนเชิง วชิ าการซ่ึงกันและกันของครู จุดเนน้ ของการทาวิจยั ในช้ันเรียนจงึ ไม่ใชเ่ พ่อื การอา้ งองิ ไปยังกลุม่ ประชากรหรือเป็น การทาผลงานเพ่ือเล่ือนตาแหน่งของครู แต่เป็นการทางานเพื่อแก้ปัญหาของตนเอง สร้างสมประสบการณ์ และ สะสมผลงานทางวิชาการ การทางานวิจัยในช้ันเรียนจึงเป็นการบันทึกการทางานของครู เพ่ือเผยแพร่แก่เพ่ือนครู และทาในบริบทที่เป็นห้องเรียน โรงเรียน และชุมชนของครู งานวิจัยที่ทาในบริบทที่แตกต่างกันจึงไม่สามารถ เปรียบเทยี บได้ว่างานวิจัยใดดีท่สี ุด หรอื สมบรู ณ์ท่ีสุด หรอื งานวิจัยในชน้ั เรียนใดน่าจะใช้เป็นตัวอย่างการทาวิจัยใน ชัน้ เรียนของครู เพราะเป็นการทาวิจยั ในช้นั เรียนทีม่ บี ริบทท่ีแตกตา่ งกนั ดงั กลา่ ว แต่เพื่อให้ครูได้ศึกษาแนวคิดการทาวิจัยในชั้นเรียนท่ีมีผู้ทาสาเร็จมาแล้วเพื่อเป็นตัวอย่างท่ีจะแสดงถึง วิธีการคิดและกระบวนการทาวิจัยในชั้นเรียนของครู ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่างงานวิจัยในชั้นเรียนของครูที่มีวิธีการ คิดและการทาวิจัยในชั้นเรียนแตกต่างกัน เพื่อให้ครูเกิดความม่ันใจและเข้าใจตรงกันว่าในการทาวิจัยในชั้นเรียน น้ันไม่มีส่ิงที่ถูกหรือผิด จะมีเพียงสิ่งที่เหมาะสมมากน้อยหรือไม่เท่านั้นเอง ถ้าครูใช้กระบวนการวิจัย กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรือกระบวนการแก้ปัญหามาเป็นหลักการในการทาวิจัยในช้ันเรียนแล้วก็น่าจะ แสดงว่าครมู ีวธิ คี ิดอย่างเป็นระบบและเป็นการทาวจิ ยั ในชนั้ เรียนทีเ่ หมาะสมได้ ตัวอย่างการวิจัยในชัน้ เรียนทนี่ าเสนอน้ี เป็นตัวอย่างของการทาวิจัยในช้ันเรียนที่ไม่ใช่การวิจัยเชิงวิชาการ (Academic Research) ซึ่งเพื่อนครสู ามารถศกึ ษาไดง้ า่ ยจากห้องสมดุ ในสถาบนั อุดมศกึ ษาทุกแหง่ แต่ขอนาเสนอตัวอยา่ งการวิจัยในชั้นเรียนที่ครูทาข้ึนเพ่ือแก้ปัญหาการเรียนรู้และพฤติกรรมของผู้เรียนในช้ัน เรียนของครู โดยจะนาเสนอในลักษณะของวิธีการคิดเพ่ือเป็นแนวทางการทาวิจัยในชั้นเรียนของครู ไม่ใช่การ ยกตัวอย่างงานวิจัยโดยตรง ซึ่งจากตัวอย่างงานวิจัยในชั้นเรียนที่นาเสนอมานี้ มีทั้งงานวิจัยในช้ันเรียนที่ ครูผู้สอนดาเนินการได้ราบร่ืนและประสบความสาเร็จ และงานวิจัยท่ีทาแล้วไม่ประสบความสาเร็จทั้งหมด แต่ครู ผู้ทาวิจัยก็ได้เสนอข้อสังเกตท่ีทาให้สามารถแก้ไขปัญหานักเรียนของตนได้เพียงบางส่วน ไว้เป็นข้อสังเกตแก่ค รู ผู้สนใจการทาวิจัยในชั้นเรียน จะได้นาไปเป็นข้อคิดในการวางแผนการพัฒนานักเรียน เช่น ต้องดาเนินการกับ นักเรียนเฉพาะกลุ่มที่มีปัญหา และมีจานวนไม่มากนัก รวมท้ังควรทาในเวลาเรียน เพื่อไม่ให้เกิดภาระแก่ครูและ ผ้เู รียนมากเกินไป เปน็ ต้น นอกจากนี้ในงานวิจัยท่ีเป็นการศึกษารายกรณี เกี่ยวกับการปรับพฤติกรรมของนักเรียนที่มีปัญหาด้าน อารมณ์ ซึ่งในบางกรณอี าจจะจาเป็นต้องให้นักจิตวิทยาเป็นผู้ให้การช่วยเหลือเด็ก แต่ในความเป็นจริงแล้ว นักเรียน ระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐานมีอยู่เป็นจานวนมาก และกระจายกันอยู่ท่ัวประเทศ โอกาสที่ผู้เรียนจะได้พบกับ นักจติ วิทยาเปน็ เร่อื งยากมาก ครูผู้สอนจาเป็นที่จะต้องให้ความเชื่อเหลือเบ้ืองต้นแก่ผู้เรียน ซึ่งพบว่าสามารถที่จะ ทาได้ดพี อสมควร ในกรณที เี่ ด็กไม่มปี ัญหาทางด้านจิตใจรุนแรงมาก เพราะอย่างน้อยๆ ครูก็เป็นบุคคลที่ใกล้ชิดเด็ก 22
และรู้จักเด็กเป็นอย่างดี ส่วนเด็กท่ีมีปัญหาทางด้านจิตใจมากจนครูไม่สามารถให้การช่วยเหลือได้ การส่งเด็กไป ปรึกษานักจิตวิทยาก็เป็นวิธีการหน่ึงท่ีจะช่วยเหลือเด็กได้ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อครูพบผู้เรียนที่มีปัญหา ก็ต้อง ให้การช่วยเหลอื ด้วยวิธีการท่ถี กู ตอ้ งเหมาะสมเป็นเบื้องต้น ก่อนที่จะให้ความช่วยเหลอื เป็นกรณีพิเศษต่อไป 23
ตัวอยำ่ งท่ี 1 การวจิ ัยเรื่อง การใชแ้ บบฝกึ ในการพัฒนาทกั ษะการอา่ นจับใจความ ของ ผเู้ รียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6/1 โดย นำงจันฑิตำ กุศลวัฒนะ อาจารย์ 2 ระดับ 7 โรงเรียนอนบุ าลเมืองอุทัยธานี สานักงานการประถมศึกษาอาเภอเมืองอุทยั ธานี สานกั งานการประถมศึกษาจงั หวัดอทุ ยั ธานี ข้อมูลพืน้ ฐำนของผู้วจิ ยั : นางจนั ฑิตา กศุ ลวัฒนะ เป็นผทู้ เี่ ขา้ รบั การอบรมเกีย่ วกับการวิจัยในชัน้ เรยี นหลายคร้ัง และตัดสินใจทาวิจัยในช้ันเรียนเรื่องนี้เป็นเร่ืองแรก โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารโรงเรียนและผู้เชย่ี วชาญ ด้านการวจิ ยั ในชน้ั เรียนหลายทา่ น วธิ ีกำรคดิ และขัน้ ตอนกำรทำวจิ ยั ดำเนินกำรดังนี้ 1. ปัญหำในกำรวิจยั ในการวัดผลระหว่างภาคเรยี นและปลายภาคเรียนท่ี 1 ผูส้ อนพบวา่ ผู้เรียนช้ันประถมศึกษาปที ี่ 6 /1 ขาด ทกั ษะในการอา่ นจับใจความในวชิ าภาษาอังกฤษ ทาให้ไมส่ ามารถเล่าเรื่องราวหรือปะติดปะต่อเร่อื งราวทีอ่ า่ นได้ ถกู ต้อง 2. สำเหตุของปัญหำ ผูส้ อนหาสาเหตุของปัญหา พบว่า ผู้เรยี นยงั ขาดแบบฝกึ ทักษะในการอ่านจับใจความวิชาภาษาอังกฤษท่ี เหมาะสมกับวยั และความต้องการของผู้เรียน 3. กำรแสวงหำแนวทำงกำรแก้ปญั หำ ผูส้ อนศึกษาแนวคิดและหลักการสอนอา่ นจบั ใจความวชิ าภาษาอังกฤษจาก Internet สรุปเป็นแนวทางใน การสรา้ งแบบฝึกหดั การอ่านจับใจความและการฝกึ อา่ นจบั ใจความ ดังนี้ 3.1 แบบฝึกหดั การอ่านจับใจความตอ้ งใช้คาศัพท์ทีผ่ ูเ้ รยี นคนุ้ เคย 3.2 การฝึกฝนการอา่ นต้องเร่ิมต้นตั้งแต่เด็กและควรฝึกทุกวัน 24
3.3 ควรมีภาพประกอบในแบบฝึกหัดทีใ่ ห้อ่าน 3.4 ควรใหผ้ ูเ้ รยี นอา่ นเรื่องท่ีมีความสนกุ สนาน 4. กำรพัฒนำนวัตกรรม ผู้สอนไดส้ ร้างแบบฝึกการอา่ นจับใจความโดยดดั แปลงจากหนังสอื Preparatory Comprehension for Primary One Book 4 ของ Casco Publications Pte Ltd. ซึ่งมีทั้งหมด 63 เรื่อง ผู้สอนเลือกมา 20 เรือ่ ง โดย พจิ ารณาจากแนวทางในการสรา้ งแบบฝึกการอ่านจับใจความและการฝกึ อ่านจบั ใจความข้างต้น แล้วนามาสร้าง เปน็ แบบฝกึ การอ่านจบั ใจความ และพสิ ูจนป์ ระสทิ ธภิ าพของนวตั กรรม โดยขอความรว่ มมือจากครูที่สอนวชิ า ภาษาองั กฤษ ศกึ ษานิเทศก์อาเภอและศึกษานเิ ทศกจ์ ังหวัด ใหช้ ่วยอ่านเน้ือหาและตรวจสอบความเหมาะสมกบั ปญั หาของกลุ่มผ้เู รียนระดบั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 แล้วผู้สอนนาความคดิ เห็นของผู้เชี่ยวชาญเหล่าน้นั มาปรบั ปรงุ แบบ ฝึก 5. กำรนำนวตั กรรมที่สรำ้ งข้นึ มำใช้ในกำรแก้ไขปญั หำและพัฒนำผู้เรียน ผูส้ อนนาแบบฝกึ ท่สี รา้ งข้ึนมาใช้ฝึกผู้เรียนทุกคนในชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6/1 ในภาคเรยี นท่ี 2 เพราะ ตอ้ งการใหผ้ ้เู รยี นมพี ัฒนาการด้านการอ่านจับใจความวชิ าภาษาองั กฤษดีขน้ึ 6. ผลกำรใช้นวตั กรรม ผสู้ อนไดศ้ ึกษาผลการใชน้ วตั กรรม 4 ด้าน คือ 6.1 คะแนนการสอบย่อยของผู้เรยี นขณะทาแบบฝึกหัด พบว่า ผเู้ รยี นส่วนใหญ่มีความสามารถใน การอา่ นจบั ใจความดี 6.2 คะแนนผลการอ่านจบั ใจความของผู้เรยี นหลังการเรียน พบว่า ความสามารถในการอ่านจับ ใจความของผ้เู รยี นอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างดี 6.3 การศึกษาความคิดเห็นของผู้เรียนท่ีมีต่อกิจกรรมการอ่านจับใจความ พบว่า ผู้เรียนส่วน ใหญม่ ีความพึงพอใจต่อกจิ กรรม โดยเฉพาะในการทสี่ ามารถต้ังช่ือเรอ่ื งท่ีอ่านได้เอง การมภี าพประกอบทีส่ อดคล้อง กับเน้อื เรื่อง เน้อื หาสนกุ สนานเหมาะกับวัยเด็ก 25
6.4 การสงั เกตความสนใจของผ้เู รียนทมี่ ีต่อการทากิจกรรมฝกึ ทกั ษะการอ่านจับใจความ พบว่า ในระยะแรกผเู้ รยี นสนใจรว่ มทากจิ กรรม แตต่ อนหลงั เมือ่ แบบฝกึ ยากข้นึ ผู้เรียนเรมิ่ ลดความสนใจในบทเรียนแต่ยัง รว่ มในกจิ กรรมทค่ี รูจัดขึ้น กำรจดั ทำรำยงำนกำรวจิ ัย ผู้สอนได้จัดทารายงานการแก้ปัญหาการสอนอ่านจับใจความ วิชาภาษาอังกฤษ โดยมีรายละเอียดดังน้ี 1. ชื่อเรื่อง : รายงานวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิการ เร่อื ง การใชแ้ บบฝึกในการพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความของ ผเู้ รียนช้นั ประถมศึกษา ปที ่ี 6/1 2. เนอื้ หำทเ่ี ขียนในรำยงำนกำรวิจัย : ผเู้ ขียนนาเสนอเป็นหวั ข้อตามลาดบั ดังนี้ การสะท้อนความคดิ ก่อนปฏิบตั ิการ วัตถปุ ระสงค์ของการศึกษาค้นคว้า การวางแผนการปฎิบตั ิการ การปฏบิ ตั กิ ารศึกษาทดลอง การนาเสนอผลการทดลอง สรปุ และอภปิ รายผลการทดลอง อา้ งองิ ภาคผนวก - แบบฝกึ การอ่านจับใจความ 20 ชดุ 3. บทวิเครำะห์ของผเู้ ขียน : จดุ เดน่ ของงานวจิ ยั เรอ่ื งน้ีอยู่ทคี่ วามพยายามของครู ที่จะนานวตั กรรมท่ีมีหลักการในการสรา้ งมารองรบั มกี ารศึกษาขอ้ มลู ความร้เู กี่ยวกบั เร่ืองแบบฝึกอยา่ งกว้างขวางและทนั สมัยใชใ้ นการพฒั นางาน งานวจิ ยั เรอ่ื งนี้เปน็ ตัวอย่างที่ดใี นแงข่ องการพฒั นานวตั กรรมโดยมีแนวคิดทเี่ หมาะสมมารองรบั 26
ตวั อยำ่ งท่ี 2 การวจิ ยั เร่อื ง การพฒั นาการคิดของผู้เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 ของนำงอไุ ร เทีย่ งอยู่ อาจารย์ 2 ระดับ 7 โรงเรียนบ้านวังทับยา สานกั งานการประถมศึกษาอาเภอเมอื งพจิ ติ ร สานักงานการประถมศกึ ษาจังหวัดพิจติ ร ขอ้ มูลพื้นฐำนของผู้วิจัย : นางอุไร วังทับยา เป็นผู้ทสี่ นใจในการคดิ คน้ หาวิธีการสอนทเ่ี หมาะสมเพ่ือทีจ่ ะนามาใช้ ในการพฒั นาผู้เรยี นในแตล่ ะด้าน และเป็นครคู นแรกทปี่ ระกาศเผยแพร่ผลงานการวจิ ัยในช้นั เรียนของตนเอง ใน วารสาร “สำนปฏิรปู ” ซง่ึ ทาให้ผู้เขยี นสนใจและได้รบั รายงานฉบบั นี้ นางอุไร วังทับยา เขยี นวา่ “ดิฉนั ได้จัดทา รายงานการวจิ ัยปฏบิ ัตกิ ารในชน้ั เรียนเรอ่ื ง การพฒั นากระบวนการคดิ ของผ้เู รยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ข้นึ (โดย ไมย่ ึดรูปแบบการวจิ ัย)” ปัจจุบนั รายงานการวจิ ัยในชั้นเรียนเล่มนี้ไดร้ ับการพิมพเ์ ผยแพรโ่ ดยมลู นิธิสดศรี-สฤษดิ์ วงศ์ วธิ กี ำรคิดและขนั้ ตอนกำรทำวิจยั ดำเนินกำรดังน้ี 1. ควำมเปน็ มำและควำมสำคญั ของปญั หำ ในชว่ งสปั ดาห์แรกของการเรียนกลมุ่ สร้างเสรมิ ประสบการณช์ วี ิตของผู้เรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ผสู้ อน ค้นพบว่าผเู้ รยี นมคี วามคุ้นเคยกับการเรยี นร้ดู ว้ ยการอ่านหนังสอื เรียนสาเร็จรูปที่ซ้ือจากสานักพิมพ์ เพราะเวลาท่ี ครูเข้าห้องสอนผู้เรียนจะเปิดหนังสือเรียนทันที และมีความกล้าแสดงออกน้อยมาก ผู้เรียนส่วนใหญ่ขาดความ ม่ันใจในตัวเอง ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าพูด เวลาครูถามจะพูดตะกุกตะกัก ขาดความตอ่ เน่ือง เวลาที่ครูสอนโดย ให้ผ้เู รียนฝกึ ปฏิบัติ ผูเ้ รยี นไม่กล้าลงมอื ทา ไม่สามารถคดิ ตัดสินใจเองได้ ครตู ้องบอกให้ทาตามทีละขั้น ไม่คุ้นเคย กบั การทางานกลุ่ม 2. สำเหตขุ องปัญหำ ผสู้ อนหาสาเหตขุ องปัญหา พบวา่ ผเู้ รียนขาดทักษะในการคิด และขาดทักษะในการทางานรว่ มกนั เป็น กลุ่ม 3. กำรแสวงหำแนวทำงกำรแก้ปัญหำ 27
ผ้สู อนศึกษาหลักการและแนวคิดจากเอกสารทเี่ กยี่ วข้อง คือ 3.1 แนวทางในการจดั การเรียนการสอนตามหลกั สตู รประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 (ฉบับ ปรับปรงุ พุทธศักราช 2533) 3.2 นโยบายการปฏิรูปการศกึ ษาของกระทรวงศึกษาธิการ 3.3 แผนพัฒนาการศึกษาฉบับที่ 8 ( พ.ศ.2540 - 2544) ของสานกั งานคณะกรรมการการ ประถมศึกษาแหง่ ชาติ 3.4 แนวคิดเร่อื งการสอนให้เดก็ คดิ หลงั จากศึกษาเอกสารแลว้ ผสู้ อนได้สรปุ เป็นควำมคดิ ของตนเองว่าต้องการพัฒนาการคิดของผเู้ รยี น ผ่าน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสร้างเสริมประสบการณช์ ีวติ โดยการสง่ เสริมใหผ้ เู้ รียนได้พัฒนาการคดิ แบบ ตา่ ง ๆ โดยเร่มิ นาสง่ิ ที่ใกล้ตัวเด็กมาเปน็ เน้ือหาในการสอนที่เชอ่ื มโยงไปสู่การคดิ 4. กำรพฒั นำนวตั กรรมและผลกำรใชน้ วัตกรรม ผ้สู อนไดส้ ร้างนวตั กรรม แบบฝกึ คิด ฝึกเขยี น ฝกึ เรียนทบี่ า้ น โดยดาเนนิ การดงั นี้ 4.1 การวางแผนดาเนนิ งาน ( Planning ) (1) เข้ารับการอบรมโครงการพฒั นาบคุ ลากรแกนนาเพ่ือเปน็ ตน้ แบบการปฏิรูปการเรยี นรู้ ของสานักงานการประถมศึกษาจังหวดั พจิ ิตร (2) สงั เกตพฤตกิ รรมการเรียนของผู้เรยี น ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 5 และบนั ทึกผลการสังเกต 4.2 การปฏิบัติการในช้ันเรยี น (Action) ทาแบบฝกึ คดิ ฝึกเขยี น ฝึกเรียนท่บี ้านโดยออกแบบเปน็ แผ่นกระดาษเปลา่ และใหผ้ ้เู รียนร่วม สร้างแบบฝึกกบั ครู โดยครูต้งั คาถามในเรื่องทผ่ี เู้ รยี นอยากรู้ แล้วใหผ้ ู้เรยี นนากลบั ไปฝกึ คิดที่ บ้าน ร่วมกบั บคุ คลในครอบครวั ทุกวนั ตลอดปีการศกึ ษา 2543 28
4.3 การสังเกตประเมนิ ผล (Observation) (1) ในทา้ ยช่วั โมงการสอนกลุ่มสรา้ งเสริมประสบการณช์ ีวิตครูซักถามใหผ้ เู้ รยี นสะทอ้ น ความคดิ จากคาถามที่นากลบั ไปคดิ ท่ีบา้ นร่วมกนั ครสู ังเกตการร่วมอภิปราย และจด บันทึก พบว่า ผ้เู รยี นมคี วามกระตอื รือรน้ ที่จะรับแบบฝกึ คดิ ฝึกเขียน ฝกึ เรียนที่บา้ นไป ปฏบิ ตั ิ (2) การฝึกคิดในช่วงแรกผเู้ รียนยงั ขาดทักษะในการคดิ การเขยี น จะตอบคาถามไม่ตรง ประเดน็ ผ้สู อนนาประเดน็ น้ีมาร่วมคิดวิเคราะห์กบั ผู้เรียนในห้อง และเสนอแนะการ ปรบั ปรงุ แก้ไขให้ผู้เรียน ในช่วงหลงั กระบวนการคดิ ของผู้เรยี นดขี ึน้ มกี ารพฒั นาการ เขยี นหนงั สือ การตอบคาถามทต่ี รงประเด็น มากขึ้น (3) สง่ิ ท่ีผู้สอนสังเกตพบจากพฤติกรรมการสนใจแบบฝึก คือ ผเู้ รยี นหลายคนชอบวาดภาพ ระบายสี ลงในแบบฝึกคิด ฝกึ เขยี น ฝึกเรียนที่บ้าน 4.4 การสะท้อนผลการปฏิบัติ (Reflection) (1) มอบหมายให้ผู้เรยี นรวบรวมความคดิ ท่ีกลุ่มเพื่อนแสดงความคิดเหน็ ร่วมกันจดั ทาเป็น รายงาน (2) สิน้ ปีนาผลงานของผ้เู รียนมาจดั แสดงให้ผปู้ กครอง ผู้เรียน เพื่อนผู้เรยี น คณะครูใน โรงเรยี น และผูท้ ส่ี นใจเขา้ ชมแลกเปล่ียนเรียนรู้ซ่ึงกันและกัน 5. กำรจดั ทำรำยงำนกำรวิจัย ผู้สอนไดจ้ ดั ทารายงานการพัฒนาการคดิ ของผู้เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 5 โดยมีรายละเอียดดังน้ี 5.1 ชอื่ เรอื่ ง : รายงานการวจิ ัยปฏบิ ัตกิ ารในชนั้ เรยี น เร่อื ง การพฒั นากระบวนการคิดของผู้เรียน ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 5 5.2 เนอื้ หาทีเ่ ขยี นในรายงานการวิจัย : ผูเ้ ขยี นนาเสนอเปน็ หวั ขอ้ ตามลาดับ ดังน้ี ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา การวางแผนการดาเนนิ งาน 29
การปฏบิ ตั กิ ารในช้ันเรยี น การสงั เกตประเมนิ ผล การสะท้อนผลการปฎบิ ตั ิงาน สารบญั ตาราง ภาคผนวก - แบบฝึกคดิ ฝึกเขยี นฝึกเรยี นที่บ้านและแบบประเมนิ ต่าง ๆ - รายงานผลการจดั นทิ รรศการของผเู้ รียน 5.3 บทวเิ คราะห์ของผู้เขียน : งานวจิ ยั เรื่องนผ้ี ู้วิจยั เปน็ ผทู้ ี่มองเหน็ ปัญหาการไม่กลา้ คิดหรอื ไม่กล้าแสดงความคดิ เห็นของผู้เรยี น จึงได้ จดั ทาแบบฝกึ คดิ ฝึกเขียน ฝกึ เรยี นท่ีบ้านขน้ึ ซ่ึงเปน็ การจัดการเรยี นร้ทู ี่พยายามใหผ้ ู้ปกครองเขา้ มามสี ่วนรว่ มใน การทาการบ้านกับผูเ้ รียน และพยายามทาวจิ ยั เร่อื งน้ีโดยนากระบวนการ P A O R ทม่ี นี กั วชิ าการหลายท่าน เสนอแนะใหเ้ ป็นกระบวนการวจิ ัยในช้ันเรยี นมาใช้ 30
ตัวอยำ่ งที่ 3 การพฒั นาผู้เรียน เรื่อง การย่อความ ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2543 ของหมวดวิชำภำษำไทย โรงเรยี นพิบูลประชาสรรค์ กองการศึกษาสงเคราะห์ กรมสามัญศึกษา ข้อมูลพ้ืนฐำนของผู้วจิ ัย : คณะอาจารย์หมวดวิชาภาษาไทย โรงเรียนพบิ ลู ประชาสรรค์ มคี วามสนใจในการทา วิจยั ในช้ันเรียนด้านวชิ าภาษาไทยหลายเร่ืองและเร่ืองน้ีเปน็ เร่ืองหน่ึงที่ไดร้ ับการเผยแพร่เป็นเอกสารสิ่งพิมพ์ วธิ กี ำรคดิ และขัน้ ตอนกำรทำวิจยั จากการสอนวิชาภาษาไทย เรอ่ื ง การย่อความ ของผูเ้ รยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 4 ภาคเรยี นที่ 1 ผูว้ จิ ัยพบวา่ ในจานวนผ้เู รียนท่ีส่งการเขยี นย่อความในชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4/1 – 4/3 จานวน 54 คน มีคนเขียนย่อความไม่ถูกต้อง จานวน 45 คน ครูจึงตอ้ งการพัฒนาทักษะการเขียนยอ่ ความของผเู้ รยี นทง้ั 45 คนนี้ โดยให้ผู้เรยี นทากจิ กรรม ตามลาดับ โดยกจิ กรรมต้น ๆ ผู้สอนจัดเตรยี มให้ กิจกรรมที่ 4 – 5 ผูเ้ รยี นเปน็ ผู้ลงมือปฏิบัตเิ อง เมื่อเปรียบเทยี บ ความก้าวหนา้ ในการยอ่ ความก่อนเรยี นและหลงั เรียน ดงั น้ี รายการ กอ่ นเรียน(คน) หลังเรียน(คน) 1. ไมม่ ปี ัญหาการยอ่ ความ 9 21 2. วางรูปแบบไมถ่ ูกต้อง 33 15 3. ย่อเน้ือเร่ืองไมถ่ ูกตอ้ ง 5 3 4. วางรูปแบบและย่อเนื้อเรื่องไม่ถูกต้อง 37 12 จากผลการทดลอง ผ้วู จิ ัยได้ข้อสรปุ ดงั น้ี 1. การท่ใี ห้ผเู้ รียนประเมินการย่อความ รวมทงั้ การให้ผเู้ รยี นฝึกยอ่ ความทถ่ี กู ตอ้ ง เปน็ การกระตุ้นให้ ผเู้ รยี นมีทักษะการยอ่ ความเพิ่มมากข้ึน 2. การให้ผเู้ รียนได้ประเมินการยอ่ ความจากสถานการณ์ท่กี าหนดให้ ทาใหผ้ เู้ รียนฝึกคดิ และเขียนแนว ทางการย่อความที่ถูกตอ้ ง เป็นการกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นคิดแก้ปัญหาและหาทางแก้ปญั หา เพ่ือพัฒนาการ ย่อความ 3. ผูเ้ รียนมีความกระตือรือรน้ ในการย่อความ สังเกตได้จากการค้นหาข้อความท่ีต้องการย่อ 4. ผู้เรยี นย่อความจากเร่ืองที่ต้องการได้ถูกต้องมากย่งิ ข้ึน 31
5. ครมู ีความภมู ิใจทส่ี ามารถทาให้ผเู้ รียนที่มปี ัญหาในการย่อความให้สามารถย่อความได้ถูกต้องเพ่ิม มากข้ึน 6. ผู้เรยี นทไ่ี มม่ ปี ญั หาการยอ่ ความเพิ่มข้ึนเพียง 12 คน อาจจะเนื่องมาจากสาเหตดุ งั นี้ 6.1 เวลาทใี่ หผ้ เู้ รียนทากจิ กรรมฝกึ ย่อความเป็นเวลาหลังเลกิ เรียนแล้ว เวลา 15.30 – 16.20 น. ทาใหผ้ ้เู รียนรีบกลับบา้ น กลวั รถติดทาให้มีเวลาเขียนน้อย 6.2 ผ้เู รียนมาเรยี นไม่ต่อเนื่องกนั บางวนั มา บางวนั ไมม่ า ทาให้ไมเ่ ขา้ ใจขัน้ ตอนการยอ่ ความที่ ถูกต้อง 6.3 ผู้สอนรวมผู้เรียนท่ีมีปญั หาการย่อความมาฝึกพร้อมกนั ต้งั แต่ ม.4/1 – 4/3 ทาใหผ้ เู้ รยี นทฝ่ี ึกมี จานวนมาก ทาให้การดูแลและการให้คาแนะนาไม่ทัว่ ถึง 32
ตวั อย่ำงท่ี 4 รายงานการศึกษาเด็กเป็นรายกรณี เด็กหญิงเตย (จนั ทรารัตน์) ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6 ของนำงสิรมิ ำ กลนิ่ กุหลำบ อาจารย์ 3 ระดบั 9 โรงเรยี นวัดไทรใหญ่ สานักงานการประถมศึกษาอาเภอไทรน้อย สานกั งานการประถมศึกษาจังหวดั นนทบรุ ี ครตู ้นแบบสานักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 ขอ้ มูลพ้ืนฐำนของผู้วจิ ัย : นางสิริมา กล่นิ กหุ ลาบเป็นครูท่ีมผี ลงานการศึกษาเด็กเปน็ รายกรณีค่อนข้างมากและ เป็นผู้ทที่ าวิจยั ในช้ันเรียนด้วยวธิ นี ้ีอยา่ งตอ่ เนื่องสมา่ เสมอ ปัญหำทำงพฤตกิ รรมของเตย 1 . เตย มุมมองที่ครูพบ ผู้สอนศกึ ษาพฤติกรรมของเตยโดยการสังเกต การบันทึกพฤติกรรม การศึกษาจากประวัตขิ องเตย การ สมั ภาษณ์ แลว้ สรุปส่งิ ทีพ่ บเป็นหลายหมวดหมู่ เช่น ดา้ นครอบครวั ดา้ นอารมณ์ ดา้ นการเรียน ดา้ นนิสัย ด้าน ความตอ้ งการ ด้านร่างกาย ขอยกตัวอยา่ งสิ่งที่ครสู รปุ จากการสังเกตดา้ นครอบครัว ดา้ นอารมณ์ ดา้ นการเรียน และด้านนสิ ยั ของเตย ดงั นี้ 1.1 ดา้ นครอบครัว อยู่กับยาย ลุงสง่ เงนิ ใหเ้ รียนหนังสอื พอ่ ฟ้องหย่าแม่ พ่อมีภรรยาใหม่ แม่มสี ามใี หม่ มีลกู เมอื่ อายไุ ด้ 6 ปี แม่เลี้ยงนาไปทิง้ ไว้กลางทุ่งนา ยายไปรับมาอยู่ด้วย 1.2 ด้านอารมณ์ เกลยี ดพ่อ ใจน้อย เอาแต่ใจตนเอง ท้ารบ ใจรอ้ น อารมณ์รุนแรง ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ 33
ไม่ชอบความรนุ แรงจากคนอื่น 1.3 ดำ้ นกำรเรียน ชอบวชิ าสงั คมศึกษา ไม่ชอบวชิ าคณติ ศาสตร์ เรียนรู้ได้ดจี ากการค้นคว้า ทางานกลมุ่ ไมด่ ี ทางานเด่ียวไดด้ มี าก สมาธิสัน้ ชอบกฬี า 1.4 ดา้ นนิสัย ชอบหนเี ทย่ี วหา้ งสรรพสินคา้ คบเพื่อนผชู้ ายมากกวา่ ผ้หู ญิง ไม่มรี ะเบยี บไมอ่ ยู่ในกติกา ทาตัวหา้ วหาญเหมือนชาย ชอบคบเพื่อนร่นุ น้อง ขม่ ขู่ หยิบของผู้อื่นโดยพลการ ชว่ ยงานอาสาดีมาก ชว่ ยเพื่อนดี 2. สรุปพฤติกรรมของเตย เตยมีปญั หาดา้ นพฤติกรรม คือ เป็นคนค่อนข้างกา้ วรา้ ว ชอบทะเลาะกับเพือ่ น ทาร้าย แยง่ ของเพ่ือนโดย การกระชากจากมือ ไมเ่ ชื่อฟงั ตอ่ ต้าน ชอบออกคาสัง่ ตะโกนเสียงดัง ชอบขโมย 3. สำเหตขุ องปัญหำ จากการศึกษาประวตั แิ ละพฤตกิ รรมของเตย ครสู รุปวา่ มีสำเหตมุ ำจำกปญั หำทำงบ้ำน เพราะถูก ทอดท้ิงจากพ่อ แม่ และแม่เลีย้ งตั้งแตอ่ ายุ 5 ขวบ จนถึงปจั จบุ นั ตวั อยำ่ งกำรบันทึกพฤติกรรมของเตยบำงตอน “ ตอนเช้าสงั เกตเห็นเตยใสเ่ ส้ือผ้าไม่ถูกต้องตามระเบียบสอบถามไดค้ วามวา่ ไฟไหมห้ อ้ งพัก ตารวจยังไมใ่ ห้ เข้าไปหยบิ สิง่ ของจึงไม่มเี ส้ือนักเรียนใส่” ครสู ิรมิ า ครปู ระจาชั้น 34
“หนเู กลยี ดผชู้ ายทั้งโลก พ่อทาให้แมเ่ จ็บ หนูเกลยี ดพอ่ ” เตย “หนเู กลยี ดวชิ าเลข ครไู ม่เข้าใจเด็ก ครกู ็รู้ ครูคนอ่นื หนยู อมหมดแลว้ แต่ครเู ลขหนูรบั ไมไ่ ด้ เขานา่ จะร้หู นู มปี ัญหา ร้องไหไ้ ป ราพนั ไป” ครสู ริ ิมากับเตย 4. ครูแก้ปัญหำโดยกำรปรบั พฤติกรรมของเตย โดยใชเ้ ทคนคิ 4.1 การหยดุ ยั้ง เม่อื เตยมพี ฤติกรรมก้าวร้าว ขวา้ งกลอ่ งดินสอในหอ้ ง ครจู อ้ งมองนิ่ง ๆ เม่อื เตยสงบลง ครูบอก วา่ อยา่ งนจ้ี ะนา่ รักกวา่ มาก 4.2 การแก้ไขให้ถูกต้องเกนิ กวา่ ทที่ าผดิ ครูใชว้ ิธีปรับพฤติกรรม 2 วิธี คือ (1) ให้เกบ็ ของให้เรียบรอ้ ย หลังจากท่ีเตยมีอารมณ์ดีขึน้ แลว้ เพราะเตยมีอารมณ์รุนแรงมาก ถ้า สง่ั ขณะเกิดเหตจุ ะมีปฏิกริริยาตอบโตร้ นุ แรงกว่าเติมมาก (2) ให้จัดหอ้ งเรียนให้เรียบร้อย เปน็ การลงโทษให้ทางานเพิ่มขึ้น 4.3 การทาสัญญากับเตย เมื่อเหตุการณ์สงบลง ครูขอพบเปน็ การสว่ นตวั ถามสาเหตุของการกระทาท่รี ุนแรงขวา้ งปา สิ่งของ จากนัน้ ขอสญั ญาจะไม่ทาอีก 4.4 ใหค้ วามเป็นกันเอง ความรักความอบอุน่ ดแู ล เอาใจใส่ โอบไหล่ พูดคยุ ด้วย เตยยอมเรยี กครปู ระจาชั้นว่าแม่ เข้ามากอด ครถู ือโอกาส อบรม ปลูกฝงั ความเป็นคนดี มสี ติ การใชเ้ หตผุ ล ตัวอย่ำงกำรบันทกึ พฤติกรรมของเตยของครปู ระจำชัน้ “ วนั น้เี ตยมากอด ซบอยู่ ถามว่าแม่ไปไหนเม่ือวานไม่พบเลย\" เด็กเปล่ียนทีท่าอ่อนโยนลง ครูสิริมา ครูประจาช้นั ป. 6/1 35
5. ผลของกำรปรบั พฤติกรรม เตยมคี วามกา้ วร้าวลดลง มเี พ่ือนมากขน้ึ รับผดิ ชอบงานดขี ้ึนระดับหนึ่ง ต้งั ใจทางานให้สาเร็จแตม่ ีข้อแมว้ า่ ตอ้ งเปน็ หัวหน้ากล่มุ ชอบทางานกับผ้เู รยี นชายมากกว่าผเู้ รยี นหญงิ โดยให้เหตุผลกับครวู า่ เพอื่ นผู้ชายไม่เรอื่ งมาก แต่พฤตกิ รรมของเตยทด่ี ีขน้ึ ไม่คงทน นาน ๆ คร้ังจะก้าวรา้ วอกี ถา้ มเี หตกุ ารณก์ ระทบใจ ห้องเรยี นสงบข้นึ กว่าเดิมจนสน้ิ ปีการศกึ ษา 6. พฤติกรรมของเตยหลงั จำกปรบั พฤตกิ รรม และเรยี นจบชั้นประถมศึกษาปที ี่ 6 เลิกเกลยี ดผู้ชาย มีแฟน เลน่ กฬี า ย้มิ แย้มแจม่ ใส ไมย่ อมใคร ปกปอ้ งเพ่ือน พบกระเป๋าสตางคน์ าไปมอบใหค้ รู 7. กำรเขยี นรำยงำนกำรวิจัย 7.1 ชอื่ เรื่อง : รายงานการศกึ ษาเด็กเป็นรายกรณี เด็กหญงิ เตย (จันทรารตั น์) ช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 6 7.2 หวั ขอ้ การเขียนรายงาน ปัญหาทางพฤติกรรม เตยมุมมองที่ครูพบ ลกั ษณะของเด็กท่ีมีปัญหาทางพฤติกรรม วธิ ศี กึ ษา ภาพฉายของเตย (การบนั ทึกพฤติกรรม คาพดู และการแสดงออกของเตย ทีค่ รู ผสู้ อนสงั เกตเหน็ หรือมเี พื่อนครู หรอื เพอื่ นของเตยมาเล่าให้ครฟู ัง) กระบวนการปรบั พฤตกิ รรม ภาพฉายของเตยหลังการปรบั พฤติกรรม ภาพฉายของเตยหลังจากเรียนจบชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 36
7.3 บทวเิ คราะห์ของผู้เขียน : การศึกษารายกรณเี รือ่ งน้ี ผทู้ าวิจัยมกี ารศึกษาขอ้ มลู ของเตยอย่างรอบดา้ น แมแ้ ต่ข้อมูลท่เี ปน็ คาบอกเล่าของเพ่ือนครู หรือของผเู้ รียนบางคนท่ีใกล้ชดิ กับเตยก็จะถกู ผ้วู ิจยั บนั ทึกไว้ เป็นแบบบันทึกสัน้ ๆ ในวันที่ ไดร้ บั ข้อมูล ซ่งึ จากการบนั ทกึ ข้อมลู อย่างเป็นระบบนเ่ี อง ทาใหผ้ ู้วจิ ยั สามารถวิเคราะห์ปัญหาของเตยและแกป้ ัญหา ให้เตยไดใ้ นระดบั หน่ึง ส่วนการทารายงานการวิจัยผ้วู ิจัยเขียนเป็นรายงานสั้นประมาณ 6 หนา้ และนาเสนอเปน็ ภาพฉายและแผนผงั มโนภาพ ทาใหส้ ามารถเปรียบเทียบพฤตกิ รรมของเตยก่อนการปรบั พฤติกรรมและหลงั การ ปรับพฤติกรรมชดั เจนขึ้น กำรใชแ้ ละกำรเผยแพรผ่ ลงำนกำรวจิ ัยในช้นั เรียน เนอ่ื งจากการทางานวจิ ัยในชัน้ เรยี นเป็นกระบวนการแก้ปญั หาและพัฒนาผู้เรยี นของครเู ป็นการสรา้ งความรู้ ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และการพัฒนานวัตกรรมท่ีหลากหลายของครู โดยท่ีครูแต่ละคน และผเู้ รียนแต่ละ คนหรือแต่ละกลุ่มจะมีลกั ษณะแตกต่างกัน ผลการแกป้ ัญหาของครู ความรู้ท่ีครูพบจากการทาวิจยั ในช้นั เรียน หรือ แมแ้ ต่นวตั กรรมที่ครูใช้และได้จากการวิจัยในชั้นเรียนต่างก็เปน็ ประโยชน์สาหรบั ครูในกลุ่มอนื่ ที่พบผเู้ รยี นท่ีมีปัญหา เดียวกันหรือต้องการพัฒนาจะไดเ้ ลือกไปใช้กบั ผูเ้ รียนของตนเอง ครูไมจ่ าเป็นต้องหาวิธีการแก้ปัญหาของตนเองใหม่ ทกุ ครัง้ การศึกษา การเผยแพร่หรือการแลกเปล่ียนเรยี นรู้งานวจิ ัยในชัน้ เรยี นซงึ่ กันและกัน จะทาใหค้ รมู ีมมุ มองใน การทางานและการแกป้ ัญหาในชั้นเรยี นทห่ี ลากหลายจากประสบการณ์ของความเปน็ ครูทส่ี ง่ั สมกันมา มีความมน่ั ใจ ทจี่ ะคิดริเร่ิมแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนตามแนวทางของตนเองเพมิ่ ขึ้น มีความภูมิใจในวชิ าชพี ความเปน็ ครขู อง ตนเองมากข้ึน และท่สี าคญั คือ ครูจะมผี ลงานการสรา้ งความรู้ด้วยตนเองมากขึ้น และมีฐานะของการเป็นครูท่ีใช้ ความรทู้ ีต่ นเองสรา้ งขึ้นร่วมกัน มาพฒั นาการจดั การเรียนร้ใู นห้องเรียนของแต่ละคนมากกว่าการนาความรู้ท่ลี อก แบบหรือจามาจากนกั วชิ าการหรือผูท้ ่ีไม่มปี ระสบการณ์การเป็นครมู าใช้สอน หรอื การนานวัตกรรมต่างประเทศมา ใชโ้ ดยไมค่ านึงถงึ บรบิ ทของสังคมและวฒั นธรรมไทย กำรนำผลกำรวิจัยในชน้ั เรยี นไปใช้ ครสู ามารถนาผลการวิจัยในชั้นเรียนไปใชไ้ ดใ้ นหลายลักษณะ คือ 1. การแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพและเป็นไปตามธรรมชาติ ผู้เรียนในแต่ละ หอ้ งเรยี นหรือชน้ั เรยี นหรือรายคนตา่ งก็มปี ญั หา มศี ักยภาพในการเรียนรู้แตกต่างกัน มีความถนดั มีความสามารถ และมธี รรมชาติของตนเองแตกต่างกันไปดว้ ย การวจิ ยั ในช้ันเรยี นจะชว่ ยให้ครูสามารถนาผลท่ีไดจ้ ากการวจิ ยั การ 37
แก้ปญั หา หรือการพัฒนา หรือการปรับพฤติกรรมผู้เรียนมาใช้ใหเ้ หมาะสมกับผูเ้ รียนได้ และงานวจิ ยั ในชั้นเรียนที่ หลากหลายทีค่ รูทาข้ึน กจ็ ะช่วยให้ครมู ีนวตั กรรมท่จี ะเป็นทางเลือกในการแกป้ ัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนได้มากขึ้น 2. การสรา้ งองค์ความรู้ของครเู กี่ยวกับวิธกี ารพฒั นาหรือการแก้ปัญหาของผู้เรยี น หากครทู างานวิจัยในช้นั เรยี นอย่างมีระบบจะทาให้ได้ผลงานทม่ี ีความหนักแนน่ สามารถสรา้ งเปน็ องค์ความรูข้ องตนเองได้ เชน่ ครูท่ีทาวจิ ยั ในช้นั เรียน เรอ่ื ง การพัฒนาหรือการแก้ปญั หาการอา่ นสะกดคาด้วยนวัตกรรมตา่ งๆ หากครูทาอยา่ งต่อเน่ือง ใช้ นวัตกรรมในการแก้ปญั หาแต่ละคร้ังแตกต่างกันออกไป เชน่ ใชแ้ บบฝกึ หรอื บทเรียนโปรแกรม หรอื คอมพวิ เตอร์ ช่วยสอน หรือการใหผ้ เู้ รยี นสรา้ งบัตรคาการอ่านสะกดคาท่ีตนเองอ่านไมไ่ ด้มาฝกึ อ่าน หรอื ครูกบั ผเู้ รียนชว่ ยกันทา หนงั สอื เลม่ เล็ก หรอื หนงั สือเสริมการอา่ นมาฝกึ ใหผ้ ้เู รยี นอ่านสะกดคา ก็จะทาให้ครูได้ชุดของนวัตกรรมเพื่อ แก้ปัญหาหรือพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคาของผู้เรียน ทาให้ครูมีองค์ความรู้ท่ีจะใช้สอนผู้เรียนหรือแก้ปัญหา ของผู้เรียนหรือพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถในการอ่านสะกดคาได้อยา่ งเหมาะสมกบั ผเู้ รยี นเป็นรายคน และมี นวตั กรรมการเรยี นรูท้ ี่มปี ระสิทธิภาพไว้ใช้ในการสอน การพฒั นาหรอื การแก้ปญั หาของผเู้ รยี น เป็นองค์ความรู้ท่ีครู สร้างขึ้นจากพนื้ ฐานของผ้เู รียนของตนเอง ซึ่งครูกส็ ามารถสร้างและพฒั นาชุดนวตั กรรมนใี้ หม้ ีคุณภาพต่อไปได้ และบทเรียนจากการสรา้ งองค์ความรู้ท่ีใชส้ อนเรื่องการอา่ นสะกดคาน้ยี ังชว่ ยให้ครูได้แนวทางในการสร้างองค์ความรู้ ใหม่ๆ โดยสามารถนาบทเรียนและประสบการณ์การทาวิจัยในช้นั เรียนชว่ งต้น ๆ นี้ ไปใชเ้ ป็นพนื้ ฐานในการสร้าง และพฒั นาองค์ความรู้เร่ืองใหม่ของครูตอ่ ไปได้ ครูกจ็ ะเปน็ ผูส้ รา้ งองค์ความรู้และใช้องค์ความรู้ที่ตนเองสรา้ งข้ึน เพื่อใชใ้ นการสอน การพฒั นา การแก้ปัญหาใหก้ ับผ้เู รยี นของตนเอง เป็นผผู้ ลติ ความรู้ไม่ใชผ่ ใู้ ช้ความรขู้ องผอู้ ื่นมา สอนผู้เรยี นของตนเองเพยี งฝ่ายเดียวอีกต่อไป 3. การพฒั นาครูผู้ทาวิจัยในชัน้ เรยี นไปสู่ความเป็นครูนกั วิชาการและครูมืออาชีพ จากพระราชบัญญัติ การศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ทีก่ าหนดให้ครูต้องมใี บอนุญาตประกอบวิชาชพี ทาให้ครูมคี วามจาเปน็ ต้องทางาน ของตนเองให้มรี ะบบ เช่น ตอ้ งพัฒนาผเู้ รียนให้ไดผ้ ลดีมากทสี่ ุด คือ มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของชมุ ชนมากท่สี ุด หรือสามารถพัฒนาผู้เรียนให้ได้คณุ ภาพตามความต้องการของผปู้ กครองและชมุ ชนมากท่ีสดุ จากการที่ครูต้องจัด การศึกษาโดยเน้นผู้เรยี นเป็นสาคัญ เพื่อให้ผเู้ รียนเป็นผู้ที่มีความสามารถในการพึง่ พา ตนเอง สามารถคิดวเิ คราะห์ คิดสงั เคราะห์ คดิ อย่างมวี ิจารณญาณได้ ทาใหค้ รตู ้องพัฒนาตนเองให้มคี วามสามารถในการพ่ึงพาตนเองในการ สรา้ งความรู้ หรอื การพัฒนาประสบการณ์ของตนเองมาเป็นวิธีการในการแก้ปญั หาหรอื พัฒนาผ้เู รียนอยา่ งมีระบบ ซ่ึงวธิ กี ารที่ครูควรจะตอ้ งนามาใช้คือการทาวิจัยในชน้ั เรียน เพือ่ พฒั นาตนเองส่คู วามเป็นครูมอื อาชพี 4. การพัฒนาโรงเรียนสู่มาตรฐานการประเมินคณุ ภาพภายในสถานศึกษาเพ่อื รองรบั การประเมนิ คุณภาพ ภายนอก ทาให้ครูจาเป็นต้องใช้ผลการวิจัยในช้นั เรียนมาเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาและพัฒนาผเู้ รยี น เพราะ ครตู ้องพฒั นาผเู้ รียนรอบด้าน ทัง้ ในแงข่ องการเรยี นรูต้ ามหลักสตู รและการมีพฤตกิ รรมทพี่ ึงประสงค์ของสังคมใน 38
แง่ของการเป็นสมาชิกท่ีดีของสังคม คือ การเป็นคนดี คนเก่ง คนมีความสุข และภาคภมู ิใจในความเป็นไทย ซ่ึง ผู้เรยี นจาเปน็ ต้องใช้ทักษะในการดารงชีวิตบางประการ เช่น ทักษะการคิดแบบตา่ ง ๆ ทักษะการอย่รู ่วมกันใน สงั คมอย่างมคี วามสุข และที่สาคัญ คือ การมที กั ษะในการพ่งึ พาตนเอง ทักษะในการเปน็ ผ้ผู ลิตงานมากกว่าการ เปน็ ผู้บรโิ ภคงาน รวมท้งั มีทกั ษะในการวจิ ัยเพ่ือแก้ปัญหาและพฒั นางานดว้ ย กำรเผยแพรผ่ ลงำนกำรวิจัยในช้ันเรียน การเผยแพรง่ านวิจยั ในช้ันเรยี นของครสู ามารถทาได้หลายลักษณะ ซงึ่ ในทนี่ ี้ ขอจาแนกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของครูที่ทาวิจยั ในชั้นเรยี นและสว่ นของหน่วยงานท่เี กี่ยวข้อง 1. สว่ นของครูที่ทางานวจิ ัยในชน้ั เรยี น ครูทท่ี างานวจิ ยั ในชั้นเรยี นสามารถเผยแพรง่ านวิจัยของตนเองได้ หลายทาง เช่น 1.1 การเผยแพร่โดยใช้เอกสาร ส่ิงพิมพ์ เช่น การส่งรายงานการวิจัยในชั้นเรียนของตนเองให้ผ้ทู ี่ สนใจแกป้ ญั หาการจัดการเรียนรู้ หรอื การปรบั พฤตกิ รรมของผู้เรยี นรว่ มกัน 1.2 เขยี นรายงานการวิจัยในชัน้ เรยี นใหมใ่ หเ้ ปน็ รูปแบบของบทความหรอื เร่ืองเล่าหรือการเล่า ประสบการณ์ เพื่อสง่ ไปเผยแพร่ทางวารสาร ทางรายการวทิ ยหุ รอื โทรทัศน์เพือ่ การศึกษา หรือคอลมั นท์ เ่ี ก่ียวกับ งานทางการศึกษาหรือทางวิชาการต่างๆ 1.3 การสรา้ งเครือข่ายเพื่อนครูนักวิจัยในช้ันเรียน เพ่ือช่วยเหลือ แลกเปล่ียนความรู้และ ประสบการณ์ในการวจิ ัยในชั้นเรยี นรว่ มกัน 2. สว่ นทีเ่ ป็นหนว่ ยงานที่เก่ยี วข้อง เช่น หน่วยงานตน้ สังกดั ระดับโรงเรียน กลุม่ โรงเรยี น อาเภอ จงั หวดั กรม กระทรวง สถาบนั อุดมศึกษาตา่ งๆ รวมทัง้ หนว่ ยงานภาคเอกชน เชน่ องค์กรพัฒนาเอกชนท่สี นใจการพัฒนา การศกึ ษา ชมรมท่ีเกี่ยวข้องกับการศกึ ษา ควรใหก้ ารสนับสนุนการวิจยั ในชน้ั เรยี นของครโู ดยการจัดเวทีใหค้ รไู ด้ เผยแพรง่ านวิจัยในช้ันเรียนของตนเองโดยการจัดให้มกี จิ กรรมตา่ ง ๆ เช่น 2.1 การเสวนาเชิงวชิ าการกลุ่มเล็กในพืน้ ที่ เพอื่ ให้ครูนาผลงานการวจิ ยั ในชัน้ เรยี นของตนเองมา แลกเปล่ียนเรยี นรูป้ ระสบการณ์การทางานและการทาวิจยั ในช้นั เรียนร่วมกัน 2.2 จดั ประชุมเชงิ วิชาการเพ่ือการนาเสนอผลงานการวิจยั ในชนั้ เรยี น เปน็ เรอื่ งเฉพาะด้าน หรอื เป็น ระดับช้นั หรือนาเสนอรวมกนั ทัง้ หมด การนาเสนอเฉพาะด้าน เช่น 39
(1) ดา้ นการศึกษาผเู้ รียนเป็นรายกรณีและการปรับปรุงแก้ไข (2) ด้านการพัฒนาการเรียนรู้กลุม่ วชิ าต่าง ๆ เช่น ภาษาไทย คณติ ศาสตร์ ศิลปะ สุขศึกษา และพลศึกษา สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม วิทยาศาสตร์ การงานอาชพี และ เทคโนโลยี ภาษาตา่ งประเทศ เปน็ ตน้ (3) การนาเสนอเปน็ ระดับชั้น เชน่ ระดับปฐมวัย ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ตอนตน้ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายระดับอาชวี ศึกษา 2.3 การจัดต้งั ศนู ยห์ รือสถาบนั การพัฒนาการทาวจิ ยั ในชัน้ เรยี นเพือ่ เปน็ ศนู ย์กลางการพฒั นา งานวิจัยในชัน้ เรยี นของครแู ละเป็นแหล่งเผยแพร่งานวจิ ัยในชัน้ เรยี นของครู โดยครูท่ีทาผลงานการวจิ ยั สามารถส่ง งานมาเผยแพร่ในศูนย์หรือสถาบันแหง่ น้ี ในขณะเดียวกนั ครทู ต่ี ้องการศึกษางานวจิ ยั ในชัน้ เรียนกส็ ามารถมาศึกษาที่ ศนู ย์หรือสถาบันแห่งน้ีได้ โดยอาจจดั ทาเป็นศูนยห์ รือสถาบันในระดับกลุ่มโรงเรียน อาเภอ จังหวดั หรอื ระดับชาติก็ ได้ 40
Search
Read the Text Version
- 1 - 43
Pages: