มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ เราทามาจากเมื่อไร อดีตชาติท่ีผ่านมา หม่ืนชาติ แสนชาติ อนันต- ชาติ เราไปทาอะไรมาบ้าง เพราะฉะน้ัน สรุปแล้วนะ กรรมมัน ผลักดัน เพราะฉะนั้น ท่านจึงให้รักษารักษาศีล กรรมมันมีอยู่ ๒ กรรม กรรมดีให้ผลเป็นสุข กรรมชั่วให้ผลเป็นทุกข์ เมื่อกรรมดี ให้ผลมีความสขุ กายสบายใจ ร่าเริงบันเทิงลืมเน้อื ลืมตัววา่ ตนเองจะ ไม่เป็นอะไร พอกรรมชั่วมันได้โอกาสมันได้ช่องได้ทางมันให้ผล พอ กรรมชัว่ มนั ใหผ้ ล ทนี ี้โวยวายกลัวโนน่ กลัวตาย ทง้ั ที่ตนเองไม่ได้ตาย ไม่ได้แตกไม่ได้ดับ ส่วน จิตใจดวงจิตดวงใจแท้ ๆ แตกไม่เป็น ดับ ไม่เป็น มีแต่มำหลงมำเกิด มำยึดเอำสมบัติอันเดิม สมบัติอันเดิม คืออะไร ? คอื ธำตทุ ้ัง ๔ ธำตุดิน ธำตนุ ้ำ ธำตุไฟ ธำตุลม หลวงปู่ว่าทั้งหมดท้ังโลกน้ีมีของ ๔ อย่างเท่านั้น นอกนั้น มนั สมมตเิ รยี ก มันสมมตขิ นึ้ ใหม้ นั มาเฉย ๆ มีของ ๔ อยา่ งเทา่ นั้น ท่ี เรามองเห็นด้วยตาเนื้อของเราธรรมดา ๆ ก็มีแต่น้ากับดิน ส่วนไฟก็ เปน็ นามธรรม ความร้อนไมม่ ตี นมีตัว ลมกเ็ ปน็ นามธรรมไมม่ ตี นไม่มี ตวั สขุ กไ็ มม่ ตี นมตี ัว ทกุ ขก์ ็ไม่มีตนมตี ัว เยน็ กไ็ มม่ ตี นมีตวั ร้อนก็ไม่มี ตนมีตัว สรุปแล้วพวกเรำมันหลงอะไรเน่ีย ? มันหลงตน หลวงปู่ ว่ำ “มันหลงตน” เพราะฉะน้ัน พยายามปฏิบัติ ให้มันรู้ตน ให้มัน เห็นตน เม่ือมันรู้ตนเห็นตน มันจะหาหนทางให้มันหยุดการเกิด ทีน้ี จริง ๆ แล้ว สุดทำ้ ยปลำยทำงที่พระพุทธเจ้ำมำส่ังมำสอนพวกเรำ อยำกให้พวกเรำมำปฏิบตั ิ ให้มันหยุดในกำรเกิด ถำ้ ไมเ่ กดิ มันก็ไม่ แก่ ถ้ำไม่แก่มันก็ไม่เจ็บ ถ้ำไม่เจ็บมันกไ็ ม่ตำย มันก็หมดแล้ว กาย ไมม่ ี เวทนาไมม่ ี กายไม่มี สัญญาไม่มี กายไม่มี สังขารไม่มี สังขาร คือ ความปรุง ความแต่ง ความคิด ความนึก ดีใจ เสียใจ รัก ชอบ ชัง หลง เกลียด สังขารร่างกายไม่มี กายไม่มี ๕๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ วิญญาณก็ไม่มี วิญญาณ--การรับทราบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มัน ก็ไม่มี สุดท้ายมันก็ดับหมด มีอะไร เพราะฉะน้ันท่ีพระพุทธเจ้าท่าน เห็น และพระอริยะเจ้าทั้งหลายท่านเห็นทุกข์ ท่านเห็นมาก ถ้าจะ จัดเป็นเปอร์เซ็นต์น่ะหลักล้าน ล้าน ๆ เห็นสุขก็ล้าน ๆ เปอร์เซ็นต์ เห็นทุกข์ก็ล้าน ๆ เห็นเหตุให้ทุกข์เกิดตัว สมุทัย ก็เป็นล้าน ๆ เปอร์เซ็นต์ เหน็ นโิ รธ คือความดบั ทุกข์ก็เปน็ ล้าน ๆ เหมือนกนั ทนี ี้ เม่ือมันเต็มทุกอย่างแล้ว มันก็จะหายจากความอยาก จะอยากเป็น อะไร ? จะอยากไดอ้ ะไร ? จะอยากมอี ะไร ? ของดีท่ีสดุ ก็ คือ จิตใจ ของพวกเรำทุกคน เพราะอย่างนั้นจึงอยากให้ทุกคนมาปฏิบัติ มา ทาตนของตนให้เป็นท่ีพึ่งของตน ท่านถึงบอกว่า “อัตตำ หิ อัตตะ โน นำโถ ตนนั้นแลเป็นท่ีพึ่งของตน โก หิ นำโถ ปโร สิยำ คนอ่ืน ใครเลำ่ จะเปน็ ท่พี ึง่ ได้” เม่ือทาตนของตนให้เป็นท่ีพ่ึงได้แล้วไม่ต้องไปพึ่งใครหรอก ไม่ต้องไปพึ่งโรงพยาบาล ไม่ต้องพึ่งหมอ ไม่ต้องพ่ึงยา เพราะว่า จิตใจของเรำ มันแตกไม่เป็น มันดับไม่เป็น มันไม่มีรูป ไม่มีร่ำง จะเอำอะไรมำแตก จะเอำอะไรมำดับ ถ้ำจิตใจไม่ไปยึดปัจจัยเหตุ ให้ทุกขเ์ กดิ ท่รี ำ่ งกำย สรปุ แล้วนะของดีท่ีสุดน้ันคือ ทุกข์ ถา้ พดู ว่า ใหเ้ หน็ ทุกข์บอกวา่ ถา้ เห็นทกุ ข์มนั ว่ากาหนดเข้าไป กาหนดเขา้ ไป ๆ ไปเห็นความจริงว่ามันไม่มี ถ้าจิตมนั ผ่านเข้าไปได้แล้ว กาหนดดู อยู่ ในจิตก็ไม่มี อยู่ในกายก็ไม่มีแล้ว สรุปแล้ว ตัวสุข ตัวทุกข์ เลย กลำยเป็นตัวอุบำทว์ ตัวอุบำทว์มันไม่มีตนไม่มีตัว เกิดแล้วมันก็ ดับของมัน มันเปน็ อนิจจัง มนั เปน็ ทุกขัง มนั เปน็ อนัตตำ เพราะฉะน้ัน ให้พวกเรำตื่นจำกหลับ ตื่นเน้ือตื่นตัว รีบ พำกันประพฤติปฏิบัติสร้ำงคุณงำมควำมดีเอำไว้ เรำเกิดขึ้นมำ ๕๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ เป็นมนษุ ยน์ ่มี ันแสนยำกเด้อ เกดิ ข้ึนมำแล้วกว่ำจะมำพบธรรมคำ สอนของพระพุทธเจ้ำ และกว่ำจะมำมีผู้ชี้บอกทำง มันยำกแสน ยำกเหลือเกิน เพราะฉะนั้น ท่านเปรียบเทียบเหมือนกับแอกควาย นาลอยอยู่ตามน้ากลางมหาสมุทรทะเลกับเต่าเสียตา เต่าตาบอด โผล่ขึ้นมาไปสวมกับแอกนานั้น มันยากถึงขนาดนั้น เพราะฉะน้ัน ให้เราต่ืนจากหลับรีบกระทาบาเพ็ญ และเวลำปฏิบัติก็อย่ำไปกลัว ตำย นักปฏบิ ตั เิ วลำเวทนำมันเกิดข้นึ มำ มนั คือธรรม ใหด้ มู ันก่อน มันจะตายจริงหรือ พิสูจน์ความตายลองดู หรือมันเจ็บมาก ๆ มัน ปวดมาก ๆ จนหาท่ีปลงที่วางไม่ได้ เต็มท่ีลองเสียสละลองดู โอ้ย! จะตายแลว้ ๆ จรงิ ๆ แล้วมนั ไม่ตาย ถ้ามันจะตาย มันจะแตกจะดับ ร่างกายมันจะต้องพิกล พิการ มันจะต้องวิปริตอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน มันถึงจะแตกดับ น่ัง สมาธิธรรมดาเฉย ๆ มันไม่ตาย แต่ถ้าตายจะให้เขาออกอากาศลง หนงั สือพิมพ์น่นั มันไม่ตายจรงิ หรือจรงิ ๆ แลว้ คาที่ว่า ตาย ๆ ๆ นี่ ก้อนสกนธ์ร่างกายธาตุทั้ง ๔ เขาแตกออกจากกันต่างหาก เมื่อจะ สมมุติว่าตายหรือไม่สมมุติเขาก็แตกไปโดยธรรมชาติของเขา เพราะ อะไรล่ะ ? เพราะว่า มีควำมเกิดข้ึนเบื้องต้น มีควำมแปรปรวน ท่ำมกลำง มีควำมแตกสลำยไปในที่สุด มันไม่เท่ียง ถ้ารู้แล้ว ถ้า ใครรู้ละ รู้วาง ถูกทางปัญญา รู้แล้วไม่ให้ยึด รู้แล้วไม่ให้ติด ปล่อย วางท้ังหมด ทาจิตใจให้มันว่าง ไม่ให้มีอะไรอยู่ในนั้น พระพุทธเจ้ำ ท่ำนสอนว่ำ “ทุกข์ควรกำหนดรู้ ควรพิจำรณำ ควรวิจัยวิจำรณ์ ให้เห็นจรงิ ตำมควำมเปน็ จริง” สมุทัย เหตุใหท้ ุกข์เกิด ท่ีท่านเรียง พระสูตรไว้ใหพ้ วกเราสวดทาวัตรเชา้ ๕๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ “..ชำติปิ ทุกขำ, ชะรำปิ ทุกขำ มะระณัมปิ ทุกขัง, โสกะปะริเทวะทุกขโทมะนัสสุปำยำสำปิ ทุกขำ, อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข, ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข, ยัมปิฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง, สังขิตเตนะ ปัญจุปำทำนักขันธำทุกขำ, อิทังโข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง..” นั่นมันเป็นตัว สมุทัย มันเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด หรือมิเช่นนั้น โลกท้ังโลกหมดท้ัง ต้นไม้ภูเขาทั้งถนนหนทางรถเรือ ทุกอย่างท่ีเรามองเห็นด้วยตาเนื้อ ธรรมดา มีแต่ตัวเหตุตัวปัจจัยเป็นตัวสมุทัย ทาให้จิตใจเป็นทุกข์ ทั้งหมด หรือแม้ในก้อนสกนธ์ร่างกายของพวกเราตัวนี่ ท้ังภายนอก และภายใน อาการ ๓๒ ตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เย่ือในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ไส้ใหญ่ ไส้ น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า น้าดี น้าเสลด น้าเหลือง น้าเลือด น้า เหงื่อ น้ามันข้น น้าตา น้าลาย น้ามูก น้ามันไขข้อ น้ามูตร แต่ละ อยา่ ง ๆ มนั เป็นเหตเุ ปน็ ปัจจยั เป็นตวั สมทุ ยั เป็นเหตทุ าใหท้ กุ ขเ์ กดิ ทีนี้ ทุกข์มันเกิดมันเกิดท่ีไหน ? ทุกข์มันเกิดท่ีจิตน่ี มัน ไม่ได้เกิดที่กำย ส่วนร่างกายมันมีธาตุ ๔ มี ดิน มีไฟ มีน้า มีลม ตับ เขาก็ไม่รู้จักสุขจักทุกข์ นั่น หัวใจก็ไม่รู้จักสุขจักทุกข์ อวัยวะ ตับ ปอด อาการ ๓๒ เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ผู้ที่รู้สึก ๆ ก็คือ จิตใจเรำ เมื่อเข้าไปยึด ผลสะท้อนมาจิตเข้าไปรับเข้าไปยึด เกิดเป็นทุกข์ ถ้า เราปล่อย ถ้าเราไม่เข้าไปยึด อะไรมันจะเกิดข้ึนมันก็ไม่มีอะไร เพรำะฉะน้ัน ให้เรำมำพิจำรณำค้นคว้ำก้อนสกนธ์ร่ำงกำยของ พวกเรำ มนั มำจำกท่ไี หน ? สุดท้ำยปลำยทำงมนั จะไปท่ีไหน ? ให้ รจู้ ักที่ไปทม่ี ำของรำ่ งกำย ๕๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ ทีน้ี ก้อนสกนธ์ร่างกายของพวกเราน่ี แต่จริง ๆ แล้วมัน ไม่ใช่ของเรา ถ้าจะต้ังช่ือให้มันถูกต้องคือ ธาตุน้าก็เป็นของมารดา ธาตุดินก็เป็นของบิดา จะถามว่าของพวกเราอยู่ตรงไหน ? ไม่มีเลย ใชส้ มบตั ิของบดิ ามารดา ผูท้ ี่ใชเ้ ปน็ เป็นคุณเปน็ ประโยชน์แก่ตนของ ตน ผู้ใช้ไม่เป็น เป็นบาปเป็นกรรม เอาสมบัตขิ องเขา บิดามารดาไป ทาความชั่วเสียหาย ไปเหยียบย่าทาลาย ไปยกพ่อยกแม่ท่ีสูง เพราะฉะนน้ั พระพทุ ธเจ้าและพระอริยะเจ้าท่านก็มีพระมารดาพระ บิดาของท่าน เพราะฉะนั้น ท่านมาสอนให้พวกเรามากราบมาไหว้ เรยี กวา่ นะโม ข้ึนก่อน นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระโต สัมมาสมั - พทุ ธสั สะ “อริยสัจธรรมท้ัง ๔” อริยะ แปลว่ำ ธรรมอันประเสริฐ ของพระอริยเจ้ำ ทุกข์ สมุทัย เหตุให้ทุกข์เกิด มันก็มารวมอยู่ท่ีน่ี ละ่ สรปุ แลว้ ของดีทส่ี ุด คอื ทกุ ข์ ถ้ำผ้ใู ดเห็นทกุ ข์มำก ๆ จติ จะพ้น ทกุ ข์ พน้ ตรงไหน ? ตรงทจ่ี ิตมันไมเ่ ข้าไปยึดว่ามันเป็นฟนื เป็นไฟ วา่ มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ทุกข์เกิด เพราะฉะนั้น ให้พิจำรณำว่ำเป็น ของไม่จีรังย่ังยืน แปรปรวน เปลี่ยนแปลง พิจำรณำให้เป็นของ สกปรกโสโครก พิจำรณำดูให้ถ้วนท่ัว หรือพิจำรณำให้มันเป็น ธำตุก็ได้ อย่างท่านพิจารณาปัจจัยเคร่ืองอาศัยของร่างกาย ที่ท่าน ยกข้ึนมาเปน็ พระสูตรให้พวกเราสวด เพอื่ ใชส้ วดใหพ้ วกเราร้เู ราเห็น เห็นจรงิ ตามความเป็นจรงิ ๕๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตมุ ตั ตะเมเวตงั ส่งิ เหล่านน้ี สี่ กั แตว่ ่าเป็นธาตุตามธรรมชาตเิ ท่าน้นั กาลงั เปน็ ไปอยู่ ตามเหตุตามปัจจยั อยเู่ นืองนิจ ยะทิทงั จีวะรัง ตะทปุ ะภุญชะโก จะ ปุคคะโล เหล่านค้ี ือจวี ร คาที่ว่าจวี ร ผา้ ท่ัวไป ท้งั ผ้าขาว ผา้ ดา ผา้ แดง ชื่อว่าผ้าทงั้ หมด ยะทิทงั จีวะรัง ตะทปุ ะภญุ ชะโก จะ ปคุ คะโล สงิ่ เหลา่ น้คี ือจีวร และผู้ที่บริโภคจวี รนนั้ ธาตมุ ัตตะโก เปน็ สกั ว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านัน้ นสิ สัตโต ไมใ่ ชส่ ัตว์ นชิ ชีโว ไม่ใชช่ ีวติ สุญโ ว่างเปลา่ ธาตุปัจจยั ที่ร่างกายอาศัยอยู่ น่ีมนั กเ็ ปน็ ของว่างเปล่า ยะถาปัจจะยงั ปะวัตตะมานงั ธาตมุ ตั ตะเมเวตัง สงิ่ เหลา่ น้ีนเี่ ปน็ สักวา่ ธาตุตามธรรมชาตเิ ทา่ น้นั กาลังเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจยั เป็นอยู่อย่างเนืองนิจ ยะทิทงั ปิณฑะปาโต ตะทปุ ะภญุ ชะโก จะ ปุคคะโล ส่ิงเหลา่ นค้ี ือบณิ ฑบาต และบุคคลคนผ้บู รโิ ภคบิณฑบาตน้ัน ธาตมุ ัตตะโก เป็นสกั ว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านัน้ นสิ สตั ตโต ไม่ใช่สตั วอ์ นั ย่งั ยืน นชิ โี ว ไม่ไดเ้ ป็นชีวิตอันเปน็ บุรุษบุคคล สญุ โ ว่างเปลา่ จากความหมายแหง่ ความเป็นตวั ตน สัพพานิ ปะนะ อมิ านิ จีวะรานิ อะชิคจุ ฉะนยี านิ อิมงั ปูตกิ ายงั ปตั วา, อะติวิยะ ชิคจุ ฉะนียานิ ชายันติ ๕๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ คร้นั มาถูกเข้ากับกายอันเน่าอยู่เป็นนจิ นแ้ี ลว้ ย่อมหลายเปน็ ของน่าเกลียดอย่างย่ิงไปด้วยกัน ยะถาปจั จะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตงั สิง่ เหล่าน้ีน่เี ป็นสักวา่ ธาตุตามธรรมชาติเทา่ นัน้ กาลงั เปน็ ไปตามเหตตุ ามปัจจัยอยู่เนืองนิจ ยะทิทงั เสนาสะนัง ตะทุปะภุญชะโก จะ ปคุ คะโล ส่งิ เหล่าน้ีคือเสนาสนะ และบุคคลผู้บรโิ ภคเสนานะนัน้ ธาตุมัตตโก เปน็ สักวา่ ธาตุตามธรรมชาติ นิสสตั โต ไม่ใช่สตั ว์อนั ย่ังยืน นิชชโี ว ไม่ใชช่ วี ิตอันเป็นบรุ ุษบุคคล สญุ โ ว่างเปล่าจากความหมายแหง่ ความเปน็ ตวั ตน สัพพานิ ปะนะ อิมานิ เสนาสะนานิ อิชิคุจฉะนียานิ ก็เสนาสนะทั้งหมดนี้ ไมเ่ ป็นของนา่ เกลียดมาแต่เดมิ อมิ ัง ปตู ิกายงั ปตั วา อะตวิ ิยะ ชคิ จุ ฉะนียานิ ชายนั ติ ครัน้ มาถูกเข้ากบั กายอนั เนา่ อยเู่ ปน็ นจิ น้ีแลว้ ย่อมกลายเป็นของนา่ เกลยี ดอย่างยิง่ ไปดว้ ยกนั ยะถาปัจจะยัง ปะวตั ตะมานงั ธาตุมัตตะเมเวตัง สง่ิ เหล่าน้ีน่เี ปน็ สักแตว่ า่ ธาตตุ ามธรรมชาตเิ ทา่ นน้ั กาลังเป็นไปตามเหตุตามปจั จัยอยู่เนอื งนิตย์ ยะทิทัง คลิ านะปจั จะยะเภสชั ชะปะริกขาโร, ตะทุปะภุญชะโก จะ ปคุ คะโล สิ่งเหล่านี้คอื เภสัชบรขิ ารอนั เกอ้ื กลู แกค่ นไข้ และบุคคลผู้ใชส้ อย และผ้บู รโิ ภคเภสชั บรขิ ารนน้ั ธาตมุ ัตตะโก เปน็ สกั แตว่ า่ ธาตุตามธรรมชาติ นสิ สัตโต มใิ ช่เปน็ สตั วอ์ นั ยั่งยืน ๕๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ นชิ ชีโว มิใช่เปน็ ชีวติ อันเปน็ บุรุษบคุ คล สญุ โ ว่างเปล่าจากความหมายแหง่ ความเป็นตวั ตน สัพโพ ปะนายัง คลิ านะปจั จะยะ เภสัชชะปะรกิ ขาโร อะชิคุจฉะนโิ ย ครนั้ มาถูกเขา้ กับกายอันเนา่ อยเู่ ป็นนิจนีแ้ ลว้ อิมัง ปตู ิกายัง ปตั วา อะตวิ ิยะ ชคิ จุ ฉะนิโย ชายะติ ยอ่ มกลายเป็นของนา่ เกลียดอยา่ งยิง่ ไปดว้ ยกนั มันเป็นธำตุเป็นปัจจัยไปหมด ร่ำงกำยของพวกเรำมันมี ธำตุท้ัง ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม หำหนทำงจะทำยังไง จะปลดจะเปลอ้ื ง จะปล่อยออกจำกจิตจำกใจของเรำได้ หาหนทาง ทีน้ี ที่มันเจ็บไข้ ได้ป่วย ธรรมะของอาจารย์สงบท่านว่า อะโรค๎ยำ ปะระมำลำภำ ถ้าท่านแปลตามศัพท์ธรรมชาติธรรมดา แปลว่า ผู้ไม่มีโรคเป็นลาภ อันอยา่ งยิ่ง แต่อาจารยส์ งบท่านวา่ “โรค๎ยา ปรมาลาภา ผู้มโี รคเปน็ ลาภอย่างยิ่ง” ถ้าผู้ใดเข้าไปพิสูจน์โรคจริง ๆ แล้ว ลาภมันจะเกิด ลาภมันจะเกิดตรงไหนของมัน เมื่อจิตเดินเข้าไปเห็นความจริงแล้ว จิตมันก็จะผ่านโรคผ่านทุกข์ผา่ นเวทนาเข้าไป เมอ่ื ผ่านเขา้ ไปได้แล้ว มนั จะไมม่ ีอะไรอยู่ในน้ัน อยู่ในจิตของเราแท้ ๆ มันจะวา่ ง เพราะฉะนั้น ปฏิบัติพยายาม ทำจิตใจให้มันว่ำงจำก อำรมณ์ หยุดน่ิง อย่ำให้มันสับสน อย่ำให้มันตึงเครยี ด ปล่อยวำง อำรมณ์ เมื่อมันมำกระทบทำงตำ ก็ให้มันรู้เท่ำสักแต่ว่ำเห็น อย่ำ เข้ำไปยึดยึดมั่นถือม่ัน พิจำรณำให้เห็นคุณของรูปท่ีเรำเห็น เห็น โทษของรูปที่เรำเห็น เสียงก็เหมือนกันเมื่อมันมากระทบหูเรา มัน เสียงดีหรอื เสียงไม่ดี เสยี งมันกม็ ีดมี ชี ั่ว เสยี งไมด่ ีไม่ชวั่ รูปก็มรี ปู ดีรูป ๕๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ ชั่ว รูปไม่ดีรูปไม่ชั่ว มันก็มีอยู่ตามธรรมชาติ ต้ังแต่เราเกิดมาเขาก็มี อย่อู ยา่ งน้ี ตายไปเขาก็มีอยูอ่ ยา่ งนี้ โลกอันน้เี ขาก็มีอยู่อย่างน้ี เพราะฉะนั้น ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกล่ิน ล้ินกับรส กายกบั สัมผัส อันนี้ อายตนะภายนอกกบั อายตนะภายในกระทบกัน มันทาให้เกิดตัณหาทาให้เกิดความอยาก รวมกันแล้ว ๒ กับ ๖ เป็น ๑๒ ทีนี้ก็อดีต ๑๒ อนาคต ๑๒ ปัจจุบัน ๑๒ ทีน้ี ๑๒ กับ ๓ เท่ากบั ๓๖ อดตี ๓๖ ปจั จบุ นั ๓๖ อนาคตยังไม่มาถึง ๓๖ น้ีสามสิบหกสาม ครงั้ มนั กเ็ ป็นตัณหา ๑๐๘ มนั เกดิ ขนึ้ ที่ ตา หู จมูก ล้นิ กาย ใจ ของ พวกเรานี้ มีโยมพวกหน่ึงอยู่กรุงเทพฯ ไปกราบหลวงปู่ม่ันท่ี พิพิธภัณฑ์ที่วัดสุทธาวาส มีครูบาอาจารย์ท่านเขียนคตธิ รรมหลวงปู่ มัน่ เอาไว้ ตากพ็ นั หน่ึง หกู ็พันหน่ึง จมูกก็พันหนง่ึ ลิน้ กพ็ ันหนึ่ง กาย ก็พันหน่ึง ใจก็พันหนึ่ง มันหกพันนี่ มันวุ่นมันวายสารพัดอย่างมัน เกิดข้ึน แม้กระท่ังหลับไปมันก็ยังฝันต่ออีก แต่ละอย่างของปลอม ของหลอกของลวงตัวเอง มันหลอกตัวเอง หลอกตัวเอง หลอกให้ ยินดี หลอกให้ยินร้าย หลอกให้ดีใจ หลอกให้เสียใจ หลอกให้รัก หลอกให้ชัง หลอกให้โกรธ หลอกให้เกลียด สารพัดวุ่นวาย เกิดแล้ว ก็ดบั ๆ วนุ่ วาย เพราะฉะน้ันจึงให้มาปฏิบัติ เอาอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง มาผูกมัน หำอุบำยผูกจิตของตนเองให้มันหยุดนิ่ง เมื่อจิตของ ตนเองหยุดนิ่งเป็นสมำธิแล้ว ถ้ำมันไม่สงบลึกเข้ำไป ท่ำนก็ให้ค้น พิจำรณำร่ำงกำยพิจำรณำกำยของพวกเรำ มันมีอะไรบ้ำงอยู่ใน ร่ำงกำยให้มันหำยสงสัย มันจะไม่สงสัย จิตใจมันจะได้ถอนออก พวกเราปฏิบัติไปจากพระโสดาเล่ือนไปพระสกิทา ขั้นพระอนาคามี ๕๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ ผล รา่ งกายกบั จติ ใจน่ีมนั จะขาดตอนกันจรงิ ๆ เปรียบอุปมาอุปไมย เหมือนกับนา้ น้าเปรยี บอปุ มาอปุ ไมยเหมือนกับจติ ใจ ขวดนา้ เปรียบ อุปมาอุปไมยเหมือนกับร่างกายของเรา อยู่ด้วยกันแต่มันไม่เข้ากัน ทาไมถึงมันไม่เข้ากัน ? เพราะมันรู้ เพราะฉะนั้นให้ปฏิบัติให้มันรู้ เม่ือมันรู้แล้วมันได้บอก เหมือนเรารับประทานอาหาร เมื่อมันอิ่ม แล้ว มันจะบอกของมันเอง มันจะรู้เองเห็นเองของใครของเรา อย่ำ ไปสงสัยกำรปฏบิ ตั ิ บำงคนเขำ้ ใจวำ่ พระพุทธเจ้ำและพระอริยเจ้ำ เสดจ็ เข้ำสูพ่ ระปรินิพพำนไปหมดแล้ว หมดมรรคหมดผล แปลวำ่ ไม่รจู้ กั มรรค มรรค คือ หนทำง สัมมำสงั กัปโป ดำริออกจำกกำย กายกับกามอนั เดียวกัน ดำริออกจำกกำยดำริออกจำกกำม “กำยกำม” กามตัวน้ี ถ้าไม่มี กามพวกเราก็ไม่ได้เกดิ แตว่ า่ เกิดมาแลว้ ทีนกี้ ามตัวน้ีมนั มีท้งั คุณมัน มีท้ังโทษ โทษมันก็มหันต์ คุณมันก็อนันต์ มันมีทั้งคุณทั้งโทษ ถึงว่า ท่าน หำหนทำงหำวิธีใช้สติใช้ปัญญำค้นคว้ำ ทำยังไงจิตใจของ เรำจะถอนออกจำกร่ำงกำยน้ีได้ จะท้ิงร่ำงกำยน้ีได้ น่ีมรรคข้อที่ สอง สัมมำกัมมันโต กำรทำมำหำเล้ียงชีพ อย่ำไปให้มัน กระทบตนอย่ำไปทำให้บุคคลอื่นสัตว์อื่นเขำเป็นทุกข์เป็นร้อน สัมมำกัมมันโต กับ สัมมำอำชีโว เลี้ยงชีวิตให้มันชอบ ประเภท อาหารที่พวกเราบริโภค ท่ีพระพุทธเจ้าท่านสอนท่านบอกว่าอาหาร มังสา ๑๐ อยา่ ง เนอื้ มนุษย์ เน้อื ชา้ ง เนอื้ มา้ เนอื้ สนุ ัข เนอ้ื งู เนอ้ื หมี เนอื้ เสอื โครง่ เน้ือเสอื ดาว เนื้อเสอื เหลือง ถา้ ผใู้ ดไปบริโภคทา่ นว่าไม่ ถูกหนทาง ไม่ถูกทางมรรค หรือการงานการค้าการขาย ค้าขาย มนุษย์ ค้าขายสัตว์ท่ีมีชีวิตฆ่าเป็นอาหาร ค้าขายสัตว์ป่า ค้าขาย ๕๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ ศาสตราอาวุธ ค้าขายเคร่ืองดักสัตว์ ค้าขายเคร่ืองประหัตประหาร สัตว์ ค้าขายยาพิษ มันก็ผิดหนทาง มันเล้ียงชีวิตไม่ถูกต้อง สัมมำ- กมั มนั โต กบั สมั มำอำชีโว สัมมำวำยำโม เพียรละบำปท่ีเกิดข้ึนแล้ว ผู้ท่ีไม่เคยรักษา ศลี ก็เพียรพยายามละข้นึ มา เม่ือรกั ษาได้แล้วก็เพียรรักษาบุญกุศลท่ี เรากระทาบาเพ็ญไว้แล้วไม่ให้หมดไปส้ินไปจากจิตจากใจของพวก เรียกว่า สัมมำวำยำโม ละบาปท่ีเกิดขึ้นแล้ว เพียรทากุศลยังให้ เกิดขึ้น สมั มำวำยำโม สัมมำสติ ระลึกให้มันชอบ อย่าไปนึกจองล้างจองผลาญ อาฆาตพยาบาทบุคคลอื่นสัตว์อ่ืน อย่าไประลึกเบียดเบียนสัตว์อ่ืน บุคคลอื่น ระลึกให้มันชอบ ระลึกส่ิงที่มันเป็นศีลเป็นธรรม - สัมมำสติ สัมมำสมำธิ ต้ังใจไว้ให้มั่นชอบ ทีน้ีท่านให้ช่ือให้นามไวว้ ่า ธรรมคุ้มครองโลก มี “หิริ” ควำมละอำยแก่ใจต่อบำปต่อกรรม “โอตตัปปะ” ควำมเกรงกลัว กลัวต่อบำปต่อกรรม ท่านถึงว่า ธรรมคุ้มครองโลก จะถามว่าโลกอยู่ไหน ? “โลกใน” ก็คือ ร่างกาย เรากับใจเรา ถ้าจิตของเรายังยึดม่ันถือม่ันร่างกายว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์เป็นบุคคล จิตใจของเรามันยังเป็นโลกอยู่ มันยังไม่เป็น ธรรม “โลกใน” ร่ำงกำยจิตใจเรำ “โลกนอก” บุคคลอื่นสัตว์อ่ืน ต้นไม้ภูเขำเถำวัลย์ท้ังหลำยทั้งปวง เรียกว่ำ โลก “โลก” แปลว่ำ หมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิจหิวอยู่เป็นนิจ ทำไมมันถึงหิว ? เพรำะ จิตใจมนั ไม่เต็ม เพราะฉะนั้น จึงให้มาปฏิบัติมาทาจิตใจให้เต็ม เพราะเม่ือ จิตใจเต็มแลว้ จะอยากได้อะไรจะอยากมีอะไร ของดที ่ีสุดกค็ ือจิตใจ ๖๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ ของใครของเรา สรปุ แล้วของดีทสี่ ดุ ในโลกนค้ี ือ ศลี อย่ำลมื ผูม้ ศี ีล กบั มธี รรม “คนมศี ลี เหมือนดินมีนำ้ คนไมม่ ศี ลี เหมอื นดินไม่มีน้ำ” ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ถ้ามันเป็นศีลเป็นธรรมจริง แล้ว มัน จะมีศีลตัวเดียว ศีล ๕ ก็มีศีลตัวเดียว ศีล ๘ ก็มีศีลตัวเดียว ศีล ๑๐ ก็มีศีลตัวเดียว ศีล ๒๒๗ ก็มีศีลตัวเดียว ถ้ามันเป็นศีลแล้ว เพราะฉะนั้น ให้พวกเราทาความเข้าใจ ถ้าพวกเราทั้งหลายแหล่ อยากพ้นทุกข์ “อยากพน้ ทุกข์ ให้วางสุขในโลก อยากพน้ โศกโศกาอาลยั ใหว้ างสุขในรกั สุขทุกข์นี้ของมปี ระจาโลก มนุษย์จะโศก เพราะสขุ ทุกข์ทั้งสอง เม่อื ละสุขละทุกข์ไดเ้ หมือนใจปอง ไม่เศรา้ หมองขุ่นมัวชว่ั นริ ันดร์” เอวัง ฯ ก็มีดว้ ยประการฉะน้ี ยะถา วารวิ ะหา ปูรา ปะรปิ ูเรนติ สาคะรัง หว้ งน้าท่เี ตม็ ย่อมยงั สมุทรสาครใหบ้ ริบรู ณไ์ ดฉ้ ันใด เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานงั อปุ ะกัปปะติ ทานที่ท่านอทุ ิศให้แล้วแตโ่ ลกน้ี ย่อมสาเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแลว้ ได้ฉันนนั้ อจิ ฉติ งั ปัตถติ งั ตมุ หัง ขออิฏฐผลท่ีท่านปรารถนาแล้ว ตัง้ ใจแล้ว ขปิ ปะเมวะ สะมชิ ฌะตุ จงสาเรจ็ โดยพลนั สพั เพ ปเู รนตุ สังกัปปา ขอความดาริท้งั ปวงจงเต็มที่ จนั โทปัณณะระโส ยะถา เหมอื นพระจนั ทรว์ นั เพ็ญ มะณโิ ชตริ ะโส ยะถา เหมือนแก้วมณีอันสว่างไสวควรยนิ ดี ๖๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ สพั พีติโย วิวชั ชนั ตุ ความจัญไรทงั้ ปวง จงบาราศไป สัพพะโรโค วนิ ัสสะตุ โรคทั้งปวง (ของทา่ น) จงหาย มา เต ภะวตั ตนั ตะราโย อนั ตรายอยา่ มีแกท่ ่าน สขุ ี ทีฆายุโก ภะวะ ทา่ นจงเป็นผมู้ ีความสุขอายุยนื อะภวิ าทะนะสีลิสสะ นิจจงั วฑุ ฒาปะจายิโน จตั ตาโร ธมั มา วฑั ฒนั ติ อายุ วณั โณ สุขัง พะลงั ธรรมท้ังสป่ี ระการ คอื อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ ยอ่ มเจรญิ แกบ่ คุ คลผมู้ ีปรกติไหว้กราบ ปรกตอิ ่อนน้อม (ต่อผู้ใหญ่) เปน็ นิตย์ ฯ ๖๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ พระรำชสุมนต์มนุ ี (บุญร่วม อัตถะกำโม) ผู้ช่วยเจ้ำอำวำส วดั บรมนิวำส แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ แสดงเมื่อวนั อำทิตย์ ที่ ๒๐ มกรำคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ ศำลำพระรำชศรทั ธำ วดั ปทุมวนำรำม รำชวรวหิ ำร นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พุทธัสสะฯ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พุทธสั สะฯ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พทุ ธัสสะฯ “เย จติ ตงั สัญญเมสสันติ โมกขันติ มำระพนั ธะนำติ” ๖๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ เบื้องหน้าแต่นี้ไป จะได้รับประทานถวายวิสัชนาพระธรรม เทศนาใน จิตตสัญญามรรคกถา ฉลองศรัทธาปสาทะ ประดับ ปัญญาบารมี เนื่องในพิธีบาเพ็ญมหากุศลครบวาระ ๑๔๙ ปี ชา ตกาลของหลวงปู่ม่ัน ภูริทัตตมหาเถระ พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายพระ กรรมฐานบูรพาจารย์ที่สาคัญยิ่งแห่งวัดปทุมวนาราม อีกท้ังวัดท่ีมี ความเกี่ยวข้องกับท่าน เช่น วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี วัดเจดีย์ หลวง จังหวัด เชียงใหม่ วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร วัดต่าง ๆ เหล่าน้ี กไ็ ดบ้ าเพ็ญกุศลในวาระน้เี ช่นกัน วนั นค้ี ณะสงฆว์ ัดปทุมวนา ราม โดยมีพระเดชพระคุณพระเทพญาณวิศิษฏ์ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ แทนพระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าอาวาส พรอ้ มท้งั อุบาสก อุบาสิกา และศิษยานุศิษย์มีกุศลจิตเต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งความกตัญญู กตเวทิตาธรรม อันเป็นธรรมเครอื่ งดาเนินแห่งเราคนดี ดังพระมหามุนีเจ้าภาษิตว่า เกวะลำ ภิกขะเว สัปปุริสสะ ภูมิ ยะทิทัง กตัญญุตำ กตเวทิตำ แปลความว่า ภิกษุท้ังหลาย ความรู้คุณูปการที่ท่านทาแล้ว ทาตอบแทน คือภูมิแห่งคนดี มนต์ พิธีแห่งน้ี หากจะกล่าวว่าเป็นสัปปุริสสมาคม สมาคมแห่งคนดี ท้ังหลาย คงไม่ผิด เพราะว่าคนดีนั้น มักคิดแต่เรื่องดี พูดแต่เร่ืองดี ทาดี ทาแต่กรรมดี ด้วยความคิดดี พูดดี ทาดีแห่งคนดีนี่แหละ งาน มงคลคร้ังน้ีจึงออกมาดดู ี เป็นสาราณียมงคลสถานแก่ผู้ไดท้ ัศนาการ เม่ือวานนี้ก็ได้ทาพิธีอัญเชิญอัฐิธาตุขององค์หลวงปู่มั่น มา ประดิษฐานที่โต๊ะหมู่บชู าบนศาลาพระราชศรัทธาแห่งน้ี ทง้ั น้ี กเ็ พ่ือ น้อมถวายสักการะบูชาเป็นพิเศษแก่พระสงฆ์ผู้เป็นบุญญเขตของ โลก พระผเู้ กดิ มาเพื่อทาประโยชน์นาความสขุ แก่มหาชน ๖๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ บุคคล ๓ ประเภทท่ีเกิดมา เมื่อเกิดมาในโลกย่อมเกิดมา เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนในบุคคล ๓ ประเภทน้ัน พระผู้มีพระ ภาคเจ้าตรสั ไวใ้ นโลกสูตรว่า ภิกษทุ ัง้ หลาย บุคคล ๓ ประเภทนี้ เมอ่ื เกิดมาในโลกย่อมเกิดมาเพ่ืออนุเคราะห์โลก เพ่ือประโยชน์สุขแก่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คือ ๑ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระอรหันตขีณาสพ ผู้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว และ ๓ พระพุทธ สาวกเสขะ บุคคลที่ยังต้องศึกษาและปฏิบัติอยู่ ผู้สดับมาก ฉลาด เฉียบแหลมด้วยการอบรม สมบูรณ์ด้วยศีลและจริยาวัตร และตรัส สรปุ ไวว้ า่ บุคคลทง้ั ๓ ประเภทน้ี ช่อื ว่าประเสริฐสุดในหมู่เทวดาและ มนุษย์ท้งั หลาย เพราะอะไร เพราะให้แสงสว่าง คือ ปัญญา เทศนาอัฏฐังคิกมรรคอัน ประเสริฐ เปิดประตูสู่พระนิพพาน มุ่งชาระจิตตสันดานให้พ้นจาก กิเลสอาสวะ หำกมหำชนไม่ประมำทในไตรสิกขำ คือ ศีล สมำธิ ปญั ญำแล้ว ย่อมสำมำรถทำตนให้พน้ จำกสันตทุกขใ์ นอตั ภำพอัน นี้ได้ ในอรรถกถา ท่านกล่าวว่า พุทธบุคคลมี ๔ คือ พระสัพพัญญู พุทธะ พระปัจเจกพุทธะ พระจตุสัจจะพุทธะ และพระสุตพุทธะ พระผ้บู าเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศบริบูรณ์ ชือ่ วา่ พระสัพพญั ญูพทุ ธะ พระ ผูบ้ าเพ็ญบารมี ๒ อสงไขย แสนกัลป์ ชอื่ ว่าพระปัจเจกพุทธะ พระผู้ หมดสิ้นกิเลสอาสวะแล้ว ช่ือว่า พระจตุสัจจะพุทธะ พระผู้ศึกษา แตกฉานในพระไตรปิฎกพร้อมท้ัง อรรถกถาฎีกา ช่ือว่าพระสุต- พุทธะ หากจะถามว่าหลวงปู่มั่น ท่านเป็นพุทธบุคคลประเภทใด คาตอบนั้น ครน้ั ไดส้ ดบั ศึกษาชวี ประวัติ ตลอดจนถึงผลงานในทุก ๆ ดา้ น เราท่านท้ังหลายกค็ งพอทีจ่ ะวินิจฉัยเองได้วา่ เป็นประเภทใด ๖๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ หลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาเถระ เกิดในสกุล “แก่นแก้ว” เม่ือ วนั พฤหสั บดี เดอื นยี่ ปมี ะแม ตรงกับวนั ท่ี ๒๐ มกราคม พทุ ธศักราช ๒๔๑๓ ที่บ้านคาบง อาเภอโขงเจียม หรืออาเภอศรีเมืองใหม่ใน ปัจจุบัน จังหวัดอุบลราชธานี บิดา ชื่อ คาด้วง มารดา ช่ือ จันทน์ แก่นแก้ว เป็นบุตรคนโตของตระกูล รูปร่างเล็ก เข้มแข็ง ว่องไว นิสัยเด็ดเดี่ยว เฉลียวฉลาด อายุ ๑๕ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรท่ี วัดบ้านคาบง ดารงม่ันในสามเณรสิกขา ใฝ่ใจศึกษาพระธรรมวินัย เรียนรู้ในสานักอาจารย์ได้อย่างรวดเร็วแต่เมื่อบวชอยู่ได้ ๒ พรรษา มารดาบิดาได้ขอให้ลาสิกขาออกมาช่วยงานบ้าน หลังลาสิกขาแล้ว ได้มีโอกาสศึกษาธรรมะในสานักหลวงปู่เสาร์ กันตะสีโล ซ่ึงได้เดิน ธุดงค์มาปลักกลดอยู่ใกล้หมู่บ้าน ต่อมาได้ถวายตัวเป็นศิษย์ติดตาม หลวงปู่เสาร์ เดินทางเข้าไปเมืองอุบลราชธานี ได้เข้าไปอาศัยอยู่วัด เลียบ อายุได้ ๒๓ ปี หลวงปู่มั่นได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดศรี ทอง หรือวัดศรีอุบลรัตนารามในปัจจุบัน จังหวัดอุบลราชธานี ใน วันท่ี ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๓๔ มีพระอริยกวี (อ่อน ธม̣มรก̣ขิโต) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสีทา ชยเสโน เป็นพระ กรรมวาจาจารย์ พระครูประจักษ์อุบล (สุ้ย ญาณาสะโย) เป็นพระ อนุสาวนาจารย์ ได้นามฉายาว่า ภูริทตั โต แปลวำ่ ผู้ให้ดวงปญั ญำ เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้กลับไปศึกษาอยู่ท่ีวดั เลยี บตามเดิม ปี พุทธศักราช ๒๔๔๐ ได้ออกไปปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่เสาร์ท่ีภูหลน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นที่แรกท่ีเริ่มบาเพ็ญจิตตภาวนา แล้วได้ ขออาจารย์แยกจาริกไปยังท่ีต่าง ๆ ท้ังท่ีฝ่ังประเทศไทย และ ประเทศลาว จนถึงประเทศพม่า ปีพุทธศักราช ๒๔๔๗ หลังบวชได้ ๑๔ พรรษา หลวงปู่ม่ัน ได้ลงมาท่ีกรุงเทพมหานครเพื่อศึกษาอักษร ๖๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ สมัย และศึกษาพระธรรมวินยั กับพระอาจารย์ท่ีท่านให้ความเคารพ นับถือ คือพระเดชพระคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท- เถระ) อดีตเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส โดยอยู่จาพรรษาที่วัดปทุมวนา- รามแห่งน้ี เป็นเวลา ๓ ปี ระหว่าง ๓ ปี ที่อยู่นั้น ก็หม่ันเดินเท้าไป ศึกษาพระธรรมวนิ ัย กบั พระเดชพระคณุ พระอาจารย์ วัดบรมนวิ าส โดยสม่าเสมอมิได้ขาด ปีพุทธศักราช ๒๔๕๕ ได้ออกธุดงค์กรรมฐานเพียงลาพังใน ภาคกลาง ที่ถ้าสาริกา จังหวัดนครนายก ท่ีถ้าสิงโต จังหวัดลพบุรี เป็นต้น จนได้ความรู้แจ่มแจ้งประจักษ์ใจ หมดความสงสัยใน พรหมจรรย์ จึงได้เดินทางกลับภาคอีสาน ในการเดินทางกลับคร้ังนี้ ทา่ นมเี มตตาแสดงธรรมแก่พระภิกษสุ ามเณร และสาธชุ นท่ัวไป โดย สอนเน้นให้ยึดม่ันในสัทธรรม ตระหนักในข้อวัตร รักษำคุณแห่ง สมณะ คือศีลย่ิงชีวิต แม้ประสบควำมทุกข์ยำก ต่ำง ๆ นำนำก็ อย่ำทิ้งไตรสิกขำ คือ ศีล สมำธิ ปัญญำ และสอนเน้นเรื่องใกล้ตัว คือ ให้พิจำรณำกำย เริ่มจำกมูลกรรรมฐำน คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เพรำะเมื่อพิจำรณำกำย เห็นแจ้งประจักษ์ชัด จิตของผู้ ปฏิบตั ิกจ็ ะพ้นจำกสมมติ และอยูใ่ นวมิ ตุ ติ สนิ้ สุดพรหมจรรย์ ปีพุทธศักราช ๒๔๗๑ หลวงปู่มั่นได้กลับมาจาพรรษา ที่วัด ปทุมวนารามแห่งนี้อีกคร้ัง หลังออกพรรษาพระเดชพระคุณอุบาลี คุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโทเถระ) ได้พาข้ึนไปท่ีจังหวัดเชียงใหม่ ได้อย่จู าพรรษาท่ีวดั เจดียห์ ลวง ๑ พรรษา แล้วลาพระอาจารย์จาริก ธดุ งค์เพยี งลาพังท่ีเขตภาคเหนือหลายแห่ง อยอู่ นเุ คราะห์มหาชนใน ภาคน้ัน ๑๑ ปี ที่ถ้าดอกคา ตาบลน้าแพร่ อาเภอพร้าว จังหวัด เชียงใหม่ หลวงปู่มั่น ได้พูดปรารภธรรมกับหลวงปู่ขาว อะนาละโย ๖๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ ว่า “ผมหมดงานที่จะทาแล้ว อยู่สานกระบุงตะกร้า คอยช่วยเหลือ พวกทา่ น ลูกศษิ ย์ลูกหาไดบ้ า้ งก็เท่านน้ั ” ปีพุทธศักราช ๒๔๘๒ พระเดชพระคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุลเถระ) เจ้าอาวาสวัดโพธสิ มพร จังหวัดอุดรธานี ได้นิมนต์ท่าน ให้กลับไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือเ พ่ื ออนุเ ครา ะห์ ลูกศิ ษย์ ที่ สนใจใฝ่ธรรมะ เม่ือกลับถึงภาคอีสานแล้ว อยู่จาพรรษา ๒ ปี ที่วัด ป่าโนนนิเวศน์ จังหวัดอุดรธานี ๓ ปี ท่ีวัดป่าบ้านนามน ตาบลตอง โขบ อาเภอโคกศรีสุพรรณ และ ๕ ปี ท่ีวัดบ้านหนองผือ หรือวัดป่า ภูริทัตที่เราว่า ตาลนาใน อาเภอพรรณานิคม ทั้งสองแห่งน้ีตั้งอยู่ จังหวัดสกลนคร สาหรับหน้าที่ในคณะสงฆ์ สมัยท่ีอยู่ในจังหวัด เชียงใหม่นั้น ท่านได้ตราต้ังเป็นพระครูวินัยธร ฐานานุกรมของพระ เดชพระคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันทเถระ) และได้รับ แต่งต้ังให้เป็นพระอุปัชฌายะ โดยพระบัญชาจากสมเด็จ พระสงั ฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (สุจิตตม์ หาเถระ) เจ้าคณะ ใหญ่ คณะธรรมยุต และได้ปฏิบัติภาระหน้าท่ีนั้น เป็นไปด้วยความ เรียบรอ้ ยก่อนจะเดินทางกลบั ภาคอีสาน ทา่ นกไ็ ด้งดภาระน้นั เสีย หลวงปู่ม่ัน ภูริทัตตมหาเถระ ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย อย่างเคร่งครัด ถือธุดงค์วัตรเป็นปกตินิสัย ใจเด็ดขาด ฉลาดในการ อบรมสมถและวิปัสสนา จนภายหลังมา มีผู้กล่าวว่ากรรมฐานสาย บริกรรมพุทโธ มีปรากฏในประเทศไทยเป็นเวลานาน ซ่ึงท่าน อาจารย์เป็นบุคคลสาคัญผู้ให้กาเนิดการปฏิบัติแนวน้ี เป็นที่รู้จักกัน อย่างแพร่หลาย คือ พระอาจารย์ม่ัน ภูริทัตโต ด้วยเหตุนี้ท่านจึง ได้รับยกย่องว่าเป็นพระอาจารย์สายวัดป่า สืบมาจนถึงปัจจุบัน พุทธบุคคลน้ันเม่ือจะปรินิพพาน หรือละสังขาร จะเกิดกรุณาจิตคิด ๖๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ สงสารสัตวอ์ ื่นเสมอ กอ่ นจะปรินพิ พาน ทาไมพระพุทธเจ้าทรงเลือก ท่ีจะปรินิพพานที่เมืองกุสินารา แม้พระอานนท์ได้กราบทูลไม่ให้ เสด็จไปที่เมืองนั้น โดยท่านให้เหตุผลว่า เป็นเมืองเล็ก ไม่สมพระ เกียรติเอกัตบุคคลที่สาคัญของโลก ควรจะปรินิพพานที่เมืองใหญ่ ๆ เชน่ เมอื งราชคฤห์ เมืองสาวตั ถี เมอื งโกสมั พี เมืองพาราณสี เปน็ ต้น จึงจะเหมาะสมกับฐานะ ถึงกระนั้น พระพุทธองค์ก็ยังเสด็จไป เพราะอะไร ในอรรถกถามหาปรินิพพานสูตรท่านกล่าวว่า ท่ีทรงเลือก เมืองกุสินารานั้น ก็เนื่องด้วยเหตุผล ๓ อย่าง อย่างแรกเพื่อจะได้ ตรสั มหาสทุ ัสสนสตู ร เพราะเดิมทีนนั้ เมืองกสุ ินารา เคยเปน็ ราชธานี ที่ยิ่งใหญ่ในอดีต นามว่า กุสาวดี ซ่ึงมีพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่า มหาสุทสั สนะปกครอง จึงไม่ควรมองว่าเป็นเมืองเลก็ เมืองรอง อยา่ ง ที่ ๒ เพื่อโปรดสุภัททะปริพาชก ซ่ึงเป็นพุทธเวไนย พระพุทธเจ้า เท่านั้นที่ทรงสามารถสอนเขาให้บรรลุธรรม นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีสาวกองค์ใดสอนเขาให้บรรลุธรรมได้ จริงตามน้ัน เม่ือสุภัททะ ปริพาชกได้เข้าเฝ้าและทูลถามปัญหา เม่ือพระบรมศาสดาตรัส วิสัชชนาจบ ท่านขอบวช ไม่นานนักท่านก็ได้สาเร็จเปน็ พระอรหันต์ อย่างท่ี ๓ ถ้าเสด็จไปปรินิพพานที่เมืองใหญ่ซ่ึงมีกาลังไพร่พล เหนือกว่า พระบรมสารีริกธาตุอาจไม่ถูกแบ่งปัน สงครามแย่งชิง พระธาตุน้ันอาจเกิดข้ึน แต่ถ้าท่ีใดมีโหรพราหมณ์อยู่ด้วย ที่น้ันก็จะ เกดิ สนั ตสิ ุขอย่างนา่ อศั จรรย์ ก่อนจะละสังขาร หลวงปู่มั่น ภูริทัตตะมหาเถระ ได้กล่าว ว่า “ผมนะ ต้องตายแน่นอนคราวนี้ แต่การตายของผมเป็นเรื่อง ใหญ่ของสัตว์ และทุก ๆ คนท่ัวไปอยู่มาก ด้วยเหตุนี้ ผมจึงมาเรียน ๖๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ ท่านทั้งหลายให้ทราบว่า ผมไม่อยากตายอยู่ท่ีน่ี ถ้าตายอยู่ท่ีนี่จะ เป็นการกระเทือน ทาลายชีวิตสัตว์ไม่น้อยเลย สาหรับผมตายเพียง คนเดียว แต่สัตว์ที่พลอยตายเพราะผม มีเป็นจานวนมาก เพราะคน จะมามาก ท้ังท่ีน้ีไม่มีตลาดแลกเปลี่ยนซ้ือขายกัน นับแต่ผมบวชมา ไม่เคยเลย ไม่เคยคิดให้สัตว์ได้รับความลาบากเดือดร้อน โดยไม่ต้อง พูดถึงการฆ่าเขาเลย มีแต่ความเมตตาสงสารเป็นพ้ืนฐานของจิตใจ ตลอดมา ทุกเวลาได้แผ่เมตตาจิตอุทิศส่วนกุศลแก่สัตว์ไม่เลือกหน้า โดยไม่มีประมาณตลอดมา เวลาตายแล้วจะกลายเป็นศัตรูคู่เวรกับ สัตว์ ให้เขาล้มตายลงจากชีวิต เพราะผมเป็นเหตุเพียงคนเดียวน้ัน ผมทาไม่ลง อย่างไรขอให้นาผมไปตายทสี่ กลนคร เพราะท่ีนั้น เขามี ตลาดอยู่แลว้ คงไม่กระทบกระเทอื นชีวิตของสตั ว์มากเหมอื นทนี่ ี่” ในอวสานหลวงปู่มั่นฯ ได้มรณภาพวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๙๒ ดารงธาตุขันธ์อยู่ได้ ๗๙ ปี ๙ เดือน ๒๑ วัน เป็น ๗๙ ปี ๙ เดือน ๒๑ วัน อันมีคุณูปการะนานัปการแก่ พุทธศาสนิกชนทุกทั่วหล้า ธรรมดาแห่งสังขารทั้งปวงนั้น อุปปาโท ปัญญายติ เกิดขึ้นปรากฏ วะโย ปัญญายติ เสื่อมไปปรากฏ ฐิตัสสะ อัญญะฐัตตัง ปัญญำยติ ดารงอยู่แล้วแปรเป็นอ่ืนปรากฏ หลวงปู่ ม่นั ภรู ทิ ัตตมหาเถระ กไ็ ม่พน้ สภาวะธรรมดาแห่งสงั ขารทงั้ หลายนั้น แต่คุณความดีและคุณประโยชน์ท่ีองคห์ ลวงป่ทู าไว้ หาไดเ้ สอื่ มไปไม่ ยังคอยกระตุ้นใจให้ชนะตานุสรณ์ถึงอยู่เสมอ พระบรมศาสดาตรัส วา่ “รูปงั ชรี ะติ มัจจำนงั นำมะโคตตัง นะ ชรี ะติ สงั ขำรของสัตว์ ย่อมเสือ่ มสลำยไป แต่คณุ ควำมดี และคุณประโยชนท์ ีไ่ ด้ทำไว้ หำ ไดเ้ สอ่ื มไปไม่ ยงั อย่ใู นโลกน้ตี ลอดไป” เมอื่ พระบรมศาสดาประทับ อยทู่ วี่ ดั นิโครธาราม พระเจา้ มหานาม กษัตรยิ ์กรุงกบลิ พัสด์ ไดเ้ สด็จ ๗๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ เข้าเฝ้าแล้วตรัสเล่าความรู้สึกในพระทัยว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทาไมหนอ เวลานั่งใกล้ ๆ พระองค์ หรือพระภิกษุที่ฝึกจิตดีแล้ว ใจ สงบนิ่งอย่างเป็นอัศจรรย์ คร้ันกลับเข้าเมืองไม่ทันไร ความสุขใจ หายหมด ได้ความหดหู่และความกลัวมาแทนท่ี ท้ังท่ีมีเหล่าทหาร กล้าห้อมล้อมเฝ้ารักษา ปัญญากลับมืดมน สติระลึกถึงคุณพระ รัตนตรัยไม่ได้เลย ข้าพระองค์คิดว่าหรืออายุสังขารของเราจะส้ิน แลว้ ถ้าเปน็ แบบนี้ คตภิ พเบอ้ื งหนา้ ของเราเลวรา้ ยแน่ พระเจ้าขา้ ” พระพุทธองค์ตรัสว่า “มหาบพิตร พระองค์อย่าหวาดวิตก ไปเลย กาลกริยาของพระองค์ไม่เลวร้ายดอก มหาบพิตร กายของ คนเรานั้นรวมกันด้วยมหาภูตรูป ๔ มีกาเนิดแต่มารดาบิดา เติบโต มาด้วยขา้ วสกุ ขนมหวาน มกี ารแตกสลายเปน็ ธรรมดา กายน้ีเมือ่ ไม่ มีวิญญาณครอง ถูกท้ิงปล่อยซากให้อืดพองในป่าช้า ก็เป็นอาหาร อันโอชาของหมู่กา อีแร้ง สุนัขป่า เป็นอาทิ มหาบพิตร หม้อเนยใส หรือหม้อน้ามันท่ีโยนลงน้า กระทบกับกระแสน้าแล้วแตกกระจาย กรวดหินดินทราย กจ็ ะจมลงใต้นา้ แต่เนยใสหรอื น้ามันหาจมไม่ มนั เกาะตัวกันลอยอยู่บนผิวน้าฉันใด จิตของบุคคลท่ีได้รับการอบรม ด้วยธรรม คือ ศรัทธำ ศีล สุตะ จำคะ ปัญญำ ก็ฉันน้ัน ย่อมนา บคุ คลน้ันไปส่ภู พภมู ทิ ่ีสงู ขึ้น วิเศษข้ึน มหาบพิตร จิตของพระองค์ได้รับการอบรมด้วยธรรมทั้ง ๕ น้ัน เป็นประจา กลัวทาไมกับความตาย ซ่ึงเป็นธรรมชาติของชีวิต สัตว์ พระพุทธดารัสในพระสูตรนี้ บ่งช้ีอะไร บ่งชี้ให้เรารู้ว่า ร่างกาย ของเรานัน้ เปน็ สงั ขาร มีการเกิดขน้ึ ตงั้ อยู่ และดบั ไป เม่อื แตกสลาย กก็ ลับไปสู่สภาพเดิม คอื ธาตดุ ินก็เป็นดิน ธาตนุ า้ ก็เป็นน้า ธาตลุ มก็ เป็นลม ธาตุไฟกเ็ ปน็ ไฟ แต่ใจเราน้นั ถ้ายงั มีเชื้อแห่งกรรมดีกรรมชั่ว ๗๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ อยู่ ท้ังยังไม่รู้จักจตุราริยสัจก็จะท่องเท่ียวไปในสังสารวัฏหาท่ีสุด ไม่ได้ หากจะถามว่ากายกับใจ อันไหนสาคัญกว่ากัน หลวงปู่มั่น กล่าวถึงความสาคัญของจิตใจว่า “กำรบำรุงรักษำส่ิงใดใดในโลก กำรบำรุงรักษำตนในใจเป็นเย่ียม” จุดท่ีเยี่ยมยอดสุดของโลก คือ “ใจ” ควรบารุงรักษาด้วยดี ได้ใจแล้ว คือได้ธรรม เห็นใจแล้ว คือ เห็นธรรม รู้ใจแล้ว คือรู้ธรรมท้ังมวล ถึงใจตนแล้ว คือถึงพระ นพิ พำน ใจนค้ี อื สมบัติอนั ล้าคา่ จงึ ไม่ควรอย่างย่ิงท่จี ะมองขา้ มไป คนท่ีพลาดใจ คือคนท่ีไม่สนใจปฏิบัติต่อดวงใจดวงวิเศษใน ร่างกายน้ี แม้จะเกดิ กชี่ าติ พันชาติ ก็คือผเู้ กดิ พลาดอย่นู ั่นเอง ในอทุ เทสบทว่า “เย จิตตัง สัญญะเมสสันติ โมกขันติ มำระพันธะนำ” แปลว่ำ “ผู้สำรวมจติ จะพน้ จำกบ่วงแห่งมำร” “จิต” คืออะไร คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ ทาหน้าท่ีเห็น ทาหน้าที่ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้ สัมผัส รู้สึกนึกคิด จิตเป็นธรรมชาติที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ด้วย กาย ไม่มีรูปร่างสัณฐานใดใด เกิดข้ึน ตั้งอยู่ ดับไป ภาษาพระ เรียกว่า “อุปำทะฐีติภังคะ” จิตมีพลังอานาจ สั่งสมท้ังกรรมดีและ ช่วั มพี ลงั อานาจใหท้ งั้ คุณและโทษอยา่ งใหญห่ ลวง ดงั ที่พระผู้มีพระ ภาคตรัสไว้ในอังคุตตรนิกาย เอกนิบาตว่า “ภิกษุทั้งหลำย จิตที่ ไม่ได้ฝึกอบรมย่อมทำให้เส่ือมจำกประโยชน์อันใหญ่หลวง ส่วน จิตที่ฝึกอบรมดีแล้วย่อมไม่ทำให้เสื่อมเสียจำกประโยชน์อันใหญ่ หลวง ดงั นี้” กเิ ลสกาม คือ เจตสิกท่เี ศร้าหมอง ทาให้รักใคร่ ให้อยากได้ ได้แก่ ตัณหา ความอยาก ราคะ ความกาหนัด อคติ ความไม่พอใจ เป็นอาทิ จัดว่าเป็นมาร เพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดี และ ทาให้เสยี คน วตั ถุกาม คอื รูป เสยี ง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ อันน่าชอบ ๗๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ ใจ จัดว่าเป็นบ่วงแห่งมาร เพราะเป็นอารมณ์เคร่ืองผูกใจให้สัตว์ยึด ตดิ อยู่ การสารวมจิตเพ่อื ให้พน้ จากบ่วงแหง่ มารน้ัน มี ๓ วธิ ี ดงั นัยที่ กล่าวไว้ในธรรมวิจารณ์ว่า ๑ สารวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อไม่ให้ความยินดียินร้ายครอบงา เม่ือตาเห็นรูป หูฟัง เสียง จมูกดมกลิ่น ล้ินล้ิมรส กายต้องโผฏฐัพพะทั้งที่น่าปรารถนา และไมน่ ่าปรารถนา สอง มนสิการกรรมฐานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันท์ คือ อสุ ภะ กายคตาสติ หรือมนสิการ มรณานุสติ เป็นอาทิ สามเจริญ วิปัสสนา คือ พิจารณาแยกธาตุขันธ์อายตนะ ให้เห็นปรากฏชัดตาม เป็นจรงิ อยู่ทุกเวลาวา่ ธำตุ ขันธ์ อำยตนะ นั้น ล้วนเปน็ ไตรลักษณ์ คือ ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตำ มิใช่ตัวตนเรำเขำ ท้ัง ๓ ข้อน้ี สรุปก็คือ ภาเวตัพพธรรม ๓ ได้แก่ ศีลขันธ์-กองศีล สมาธิขันธ์-กอง สมาธิ ปัญญาขันธ์-กองปัญญา ผู้สารวมจิตด้วยอาการดังนี้ จักพ้น จากบ่วงแห่งมารได้ เหมือนพุทธบุคคลทั้งหลายที่ได้กล่าวมาได้พ้น แล้ว หลวงปู่ม่ัน ภูริทัตตมหาเถระ เป็นพุทธสาวกสุปฏิปันน บุคคล มีผลงานประจักษ์ชัดท้ังปริยัติ และปฏบิ ัติ เป็นพระมหาเถระ ท่ีพุทธศาสนิกชนชาวไทยให้ความเคารพนับถือยิ่ง ด้วยเหตุน้ี ในปี พุทธศักราช ๒๕๖๓ คือ ปีหน้าก็จะเป็นวันครบรอบ ๑๕๐ ปี ชา ตกาล เพื่อประกาศเกียรติคุณให้แผ่ไพศาลไปยังนานาประเทศ ๒ หน่วยงานของรัฐบาล คือ กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวง วัฒนธรรม จึงเสนอชื่อให้ท่านเป็นบุคคลสาคัญของโลก นับเป็นข่าว ดีน่าอนโุ มทนาสาธุการย่ิง ๗๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ อิมินา กะตะปุญเญนะ ด้วยอานาจกุศลราศีน้ี ที่คณะสงฆ์ วัดปทุมวนารามโดยมีพระเดชพระคุณพระเทพญาณวิศิษฏ์ ผู้ปฏบิ ัติ หน้าทีแ่ ทนเจา้ อาวาส พรอ้ มด้วยคณะอุบาสก อุบาสกิ า และศิษยานุ ศิษย์ มีกุศลจิตบาเพ็ญแล้วนี้ จงสาเร็จเป็นอนุคามิกะ ปุญญ์วิถี ตามท่ีกตัญญูกตเวทิตาบุคคล ในมณฑลน้ีได้ปรารภทุกประการ รับประทานถวายวิสัชนาพระธรรมเทศนา ในจิตตส มรรคกถา สมควรแกเ่ วลา ขอยุตลิ งด้วยประการ ฉะน้ี ยะถา วาริวะหา ปรู า ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อโิ ต ทนิ นงั เปตานัง อปุ ะกปั ปะติ อิจฉิตัง ปัตถติ ัง ตมุ หงั ขปิ ปะเมวะ สะมชิ ฌะตุ สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถามะณิ โชติระโส ยะถา ฯ สพั พตี โิ ย วิวชั ชันตุ สพั พะโรโค วินสั สะตุ มา เต ภะวัตวันตะราโย สขุ ี ทฆี ายุโก ภะวะ ฯ อะภิวาทะนะสลี ิสสะ นิจจงั วฑุ ฒาปะจายิโน จตั ตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลงั ฯ ๗๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ พระครกู ิตตอิ ุดมญำณ (หลวงปไู่ ม อินทฺ สริ )ิ วัดป่ำภูเขำหลวง ต.ระเริง อ.วังนำ้ เขียว จ.นครรำชสีมำ แสดงเมือ่ วันอำทิตย์ ท่ี ๓ กุมภำพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ ศำลำพระรำชศรทั ธำ วดั ปทมุ วนำรำม รำชวรวหิ ำร อยู่กันสงบ ๆ สักพักหนึ่งก่อน ทาความสงบซะก่อน ก่อนท่ี จะฟังเทศน์ให้อยู่สงบนิ่ง ๆ ไปก่อนสักพักหน่ึง ให้อารมณ์มันดี ๆ เสียก่อน การฟังเทศน์ ถ้าเราอยู่ในความสงบ มันจะได้ธรรมะดี จะ เข้าใจธรรมะ ถ้าขาดความสงบก็ไม่ค่อยจะมีธรรมะ ธรรมะจะเกิดก็ เกิดข้ึนจากความสงบ สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็สอนให้ทาความ สงบ ทุกอย่างก็ทามาก่อนแล้ว คิดก็คิดมามากแล้ว ทางานก็ทามา หมดแล้ว อย่างพระพุทธเจ้านี่ ทามาหมดทุกอย่างก่อนท่ีจะมา อุปสมบท ทามาหมดทุกอย่าง มันก็ไม่พ้นทุกข์ มีหมดทุกอย่าง ๗๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ พระพุทธเจ้ำมหี มดทุกอยำ่ งตอนทีเ่ ป็นฆรำวำสอยู่ กย็ งั ไม่พ้นทุกข์ มีแต่จะทุกข์ต่อไป ท่ำนก็เลยออกบวช ออกบวชหำควำมสงบพอ หำควำมสงบได้ก็รู้จักแนวทำงที่จะพ้นจำกทุกข์ เพรำะฉะนั้น พวกเรำก็ทำควำมสงบไปกอ่ นนะ พวกเราได้ศึกษาดูหรือยัง พนื้ ทข่ี องวดั ประวตั ิความเป็นมา เป็นอย่างไร ที่วัดสระปทุมเป็นวัดท่ีสาคัญในสมัยก่อน หลวงปู่ม่ัน ทา่ นมาอยูจ่ าพรรษาอยู่ท่ีนี่ถึง ๔ ปีนะ อยู่ทีน่ ่ี ไมใ่ ชเ่ ป็นเรอื่ งธรรมดา เป็นพ้ืนที่ที่บริสุทธ์ิ เป็นพระอรหันต์มาเหยียบแล้ว ก็โดยเฉพาะ อย่างยิ่งหลวงปู่มั่นเข้ามาเหยียบพื้นท่ีตรงนี้ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นก็มา ประชุมกันท่ีน่ี สมัยก่อนหลวงปู่อ่อนก็เลา่ ให้ฟังว่าวัดสระปทุมเปน็ ท่ี ชาระอธิกรณ์ สมัยก่อนหลวงปู่ม่ันไปอยู่เชียงใหม่แล้วยังต้องมาท่ีน่ี ถ้าหลวงปู่มั่นไม่ลงมาจากเชียงใหม่ อธิกรณ์ท่ีเกิดขึ้นก็ไม่สงบ ไม่มี ใครรับ ถึงจะกล่าวโจษเท่าไร ก็ไม่รับ อานาจไม่พอ อานาจบารมีไม่ พอ แต่หลวงปู่มั่นท่านไม่ต้องไปเห็นคาหนังคาเขาหรอก ใครเป็น อะไรพระภิกษุ ขอเพียงหลวงปู่มั่นได้พูดคาเดียวเท่านั้นรับหมดทุก คน ถ้าองค์ไหนทาผิดพระธรรมวินัยสมัยก่อน เพราะฉะนั้นต้องมา ชาระ สมัยก่อนเจ้าคุณอุบาลี ฯ ก็ให้ไปนิมนต์หลวงปู่ม่ันจากที่ เชียงใหม่ให้มาท่ีนี่ ตอนที่หลวงปู่มั่นไปจาพรรษาเชียงใหม่ หลวงปู่ ม่ันไปอยู่เชียงใหม่ถึง ๒๐ ปี อยู่ยาวนานท่ีสุดคือ เชียงใหม่ ทาไมถึง ไปอยเู่ ชยี งใหมย่ าวนาน เพราะบรรยากาศมนั ดี ท่เี ชียงใหม่สมยั ก่อน มันเปน็ ป่าดงดิบ หลวงป่เู ป็นพระนอ้ ย ชว่ งน้นั เป็นพระนอ้ ยเณรน้อย อยู่ ก็ไปแสวงบุญที่เชียงใหม่ ไปแล้วไม่มีใครรบกวน ไปที่นู่น ชาวบ้านคนเชียงใหม่เขาถือ เขาเคารพพระ พระเมือง ก็คือพระท่ี ๗๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ ภาคเหนือ เขาไม่รู้จักพระกรรมฐาน ไม่รู้จักพระป่า ถ้าพระป่าไปนี่ ไปบิณฑบาต ไม่มีใครใส่บาตรหรอก ขนาดวัดหลวงปู่เปล่ียน บ้าน โป่ง มีหมู่บ้านอยู่ในนั้น เป็นบ้านใหญ่เลย ๑,๕๐๐ หลังคาเรือน ไป บิณฑบาต ได้ ๗ เจ้า พระเต็มวัดไปบิณฑบาตได้ ๗ เจ้าเท่าน้ันเอง เขาเคารพแต่พระวัดบ้าน แต่ถึงจะน้อยครอบครัวแต่ก็ไม่เคยอด ไม่ เคยอดกิน อ่ิมทุกวัน อ่ิมทุกวัน แต่ได้ปฏิบัติมาก อาศัยการปฏิบัติ เป็นศูนย์รวมของพระกรรมฐานทางภาคเหนือที่หลวงปู่ม่ันท่านไป สร้างวดั อรญั ญวเิ วกขน้ึ ท่แี มแ่ ตง หลวงปู่มน่ั ทา่ นไปอยวู่ ัดสันติธรรม เชียงใหม่บ้าง จาพรรษาที่เชียงใหม่ ก็ออกไปอยู่แม่แตง แล้วก็ไป ประกาศศาสนาทางภาคเหนือ ก็มีหลวงปู่ตื้อ หลวงปู่แหวนติดตาม ไปเป็นชุดแรก ท่ีลงไปประกาศศาสนาทางภาคเหนือ ส่วนภาคกลาง เราก็อาศยั วัดบวรฯ วัดสระปทุม วัดบรมนิวาส เป็นเบื้องตน้ ต่อมาก็มีวัดอโศการามเกิดขึ้น พอวัดอโศการามเกิดข้ึน ต่อมาก็มีวัดหลวงปู่วิริยังค์เกิดขึ้น อันน้ีพวกท่ีเกิดข้ึนมาคราวนั้นก็ ถือว่ามีผู้นาได้ยาวนาน ตอนนี้ก็ได้แก่หลวงปู่วิริยังค์ วัดธรรมมงคล เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ได้จัดกิจกรรมอบรมครูสมาธิได้มากท่ีสุด มีคน รู้จักทั่วประเทศไทย แต่ของเรา พระผู้หลักผู้ใหญ่ขาดไป อย่างวัด สระปทุมของเรา พอขาดพระผู้ใหญ่ไป ก็ทาไม่ค่อยจะติดต่อกัน เท่าไร นอกจากยุคนี้ ลูกหลานของพวกเราซ่ึงเป็นมหาท้ังหลายจะ มาช่วยกันฟ้ืนฟู ฟ้ืนฟูการปฏิบัติขึ้นมา แต่การปฏิบัติ ถ้าพูดถึงว่า พ้ืนท่ีของเรามันเหมาะสม มันเหมาะสมที่เป็นทางเดิน ใช้ทางเดิน แล้วก็มีต้นไม้ ปลูกต้นไม้ไว้ มันเหมือนอยู่ในป่า ป่ากลางกรุง แต่ถ้า เราเข้ามาด้วยความแสวงหาความสงบ ทุกคนเข้ามาก็มาอาศัยพื้นท่ี ในการปฏบิ ัติ การปฏบิ ตั ิมันมคี รบวงจร ทายงั ไงมนั ถงึ จะครบวงจร ๗๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ วงจรของพระกรรมฐาน จริง ๆ แล้ว พระกรรมฐานไปอยู่ ในปา่ ในเขา ครบวงจร คาวา่ “กรรมฐำน” ไมไ่ ดอ้ ยทู่ ีอ่ ่นื ทไ่ี กล ก็อยู่ ในตัวของพวกเรำทุกคน ถ้าหากเราได้ปฏิบัติ เราก็จะเข้าใจเร่ือง กรรมฐาน แต่ถ้าไปเรียกชอ่ื มันก็ดูเหมือนกรรมฐานกันหมด แต่จรงิ ๆ แล้วมันเป็นกรรมฐานแต่ชื่อก็มี อย่าให้มันมีแต่ช่ือ ให้มันเป็น กรรมฐานถึงแก่นแท้ แก่นแท้ของกรรมฐานมันเป็นอย่างไร พระ กรรมฐานที่ออกธุดงค์กรรมฐานกันจริง ๆ อันน้ันยึดม่ันตามคาสอน ของพระพุทธเจ้าตามพระธรรมวินัย ถึงจะไปอยู่ในป่าในเขาก็ยึด พระธรรมวินัยเป็นหลักเกณฑ์ ผิดข้อเดียวไม่ได้ ไม่มีใครจะไปทาผิด ถ้าได้ออกธุดงค์กรรมฐานกันแล้วก็เข้มงวดกวดขันกัน ส่วนมากจะ เกิน พระกรรมฐานรุ่นเก่าจะเกินพระธรรมวินัยซะมากกว่า อย่างนี้ เกินแบบไหน บางรูปท่านก็ใช้ความอดทน ใช้ความอดทนมากท่ีสุด เท่าทจ่ี ะมากได้ อดทนเร่อื งอดหลบั อดนอน อันน้เี ป็นธรรมชำตขิ องพระกรรมฐำนที่จะใชค้ วำมอดทน กัน อดนอน อดอำหำร นอนน้อย (ถ้ำนอน) ฉันน้อย ปฏิบัติมำก นอนน่ี นอนช่ัวครู่ ถึงจะมีการนอนก็มีกาหนด ฝึกนอน พากันฝึก นอน ฝึกนอน นอนแบบไหน ทุกคนก็นอนหมดทุกคน เกิดมาก็นอน หมด แต่กรรมฐานต้องมาฝึกใหม่ ฝึกนอนน้อย ปฏิบัติมาก กลางวนั นี่ ไม่มีนอน กลางคืนก็จะไปนอน เท่ียงคืนนอน นอนกาหนด ๒ ชั่วโมง ใช้เวลา ๒ ชั่วโมง นอน ๒ ช่ัวโมง หลับหรือไม่หลับก็ไม่รู้ ขอ แต่ว่าได้นอนพัก อันน้ีฝึกจนเป็นนิสัย แล้วก็ฝึกมากข้ึนไปกว่าน้ันอีก นอน ๑ ชั่วโมง ๒๔ ช่ัวโมง นอน ๑ ช่ัวโมง นอนพักเฉย ๆ พักท่า ไสยาสน์ นอนนี่ไม่ใช่จะนอนหลับเลยนะ นอนภาวนาอีกด้วย ให้มี สติ บางทีเรานอนภาวนาอย่างนั้น มันก็ไม่ได้หลับหรอก จิตมันก็ ๗๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ สงบเป็นสมาธิต่อไป ผลสุดท้ายก็ลุกขึ้นมาเดินเหมือนเดิม น่ีแหละ คือการปฏิบตั ิ ฝึกหนกั ๆ เขา้ เปลีย่ นเวลาแล้ว ฝกึ ไมต่ ้องนอน ทาอย่างไรถึงจะทาสมาธิให้ได้มากที่สุด ไม่ยอมนอน คนไม่ นอน ถ้าไปฝืนเลยถึงกับเป็นโรคประสาทก็มี ถ้าเราฝึกไปเร่ือย ๆ ไป เรื่อย ๆ ใช้เวลายาว ๆ เป็นปี อาจจะ ๒ ปี ๓ ปี ไปเรื่อย ๆ ความคุ้นเคยเกิดขึ้น และการปฏิบัติท่ีเราฝึกไม่นอน เราก็สามารถท่ี จะไม่นอนได้ตลอดทั้งปี อยู่อิริยาบถทั้ง ๓ พระกรรมฐานฝึกกัน ใช้ ความแข็งขันอดทนกันแบบน้ี ที่หลวงปู่นี่ก็ ฝึกไม่ได้ตลอดท้ังปีดอก บางปีท่ีมากท่ีสุดก็ ๘ เดือนท่ีไม่นอน ๘ เดือนก็ ไม่ใช่ ๘ เดือน ปี หน่ึงมี ๑๒ เดือน หักเวลานอนไป ๒ เดือน เดือน ๗ คือ เดือน ๖ เดือน ๗ นี่เราก็นอนแล้ว ฝึกนอนก่อนเข้าพรรษา ๒ เดือน พอ เข้าพรรษา ต้ังสัจจะอธิษฐานอยู่เนสัชชิกอีก ก็ไม่นอนอีก ออก พรรษาก็เดินธุดงค์ไปเร่ือย นู่นแหละ ใกล้ ๆ จะเข้าพรรษาอีกเดือน ๒ เดือนก็พัก พักเสียก่อน พอพักแล้วก็พอให้ได้กาลังเตรียม เขา้ พรรษาอีก พอเข้าพรรษากต็ งั้ สัจจะอธษิ ฐานอยเู่ นสัชชกิ อกี หลวงปู่ทาอย่างน้ีมาแต่ก่อน ทาหลายปี ก็คิดว่าตัวเองทา มาก แต่ก็คิดว่าตัวเองทาหน่อยเดียว คิดแล้วมันทาได้หน่อยเดียว ไม่ใช่มาก ท่ีเราคิดว่าทาได้หน่อยเดียว มานึกถึงพระสาวกของ พระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาล พระจักขุบาลท่านปฏิบัติ ท่านไม่นอน ตลอดชีวิต เป็นผู้ปฏิบัติอย่างอุกฤษฎ์ ตอนแรกเราก็คิดว่าคาว่าไม่ นอนน่ี มนั ไมท่ รมานไปเหรอ ถา้ พดู ถึงวา่ ทรมาน มนั ก็ทรมานคนที่มี ความต้องการในทางโลก แต่สาหรับผู้ต้องการในทางธรรม ไม่ใช่ เรื่องทรมาน ดีดว้ ยซ้าไป ถ้ำเรำได้ปฏิบตั ิมำก ๆ คอื เรำปฏิบตั ิมำก เรำได้ทุกลมหำยใจเข้ำออก ของดีได้ทุกลมหำยใจเข้ำออก ลม ๗๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ หำยใจเข้ำออกมันเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์กับเรำมำก เรำ ไม่ได้ขำดสติ กำรท่ีเรำมีควำมมุ่งม่ันในกำรปฏิบัติอย่ำงนี้ ทำให้ เรำได้ควำมรู้ ควำมรู้เกิดข้ึน โดยไม่ต้องไปเรียนตำมหนังสือ ไม่ ต้องไปเอำควำมรู้ของใคร เอำควำมรู้ท่ีเกิดขึ้นจำกประสบกำรณ์ ของเรำเอง ถึงจะเรียกว่ำเรำไดธ้ รรมะ ถ้าจะไปอ่านหนังสือประวัติหลวงปู่ ครูบาอาจารย์ เอามา เล่าให้กันฟังก็เหมือนตาบอดคลาช้าง หลับตาแล้วก็คลาไป ใครคลา ถูกตรงไหนก็ว่าอันน้ันมันเป็นอย่างน้ี แต่ถ้าเราปฏิบัติได้แล้วไม่มีข้อ สงสัย มันกระจ่างแจ้งเลยก็เหมือนกับที่เรามองไปอย่างน้ี เราก็จะ เห็นทุกอย่างแล้วมันก็ไม่ต้องสงสัยแล้ว ไม่ต้องมีใครสอนหรอก ขนาดเห็นสีเขียวเป็นป่า ต้นไม้ ก็รู้ว่าต้นไม้แล้ว ถ้าเดินไปใกล้ ๆ ต้น อะไร ก็จะรู้แล้วว่าต้นอะไรบ้าง มันเป็นอย่างนี้ ถ้าเราปฏิบัติให้จิต มันสงบ ขอให้มันสงบเสียก่อน สงบรักษาจิตให้มันสงบ ให้มันอยู่ใน อารมณอ์ ันเดียวเสียก่อน อยา่ เพ่ิงไปรีบหันทันดว่ นว่าอยากได้อันน้ัน อยากได้อย่างน้ี อย่าไปสนใจคาพูดของคนอื่น มันไม่ใช่ของเรา อยากไดจ้ นใจจะขาดมันก็ไม่ไดห้ รอก ถา้ ไมใ่ ช่ของเรา เราตอ้ งการให้ ความสงบเกิดข้ึนเท่านน้ั พอ สว่ นอย่างอ่ืนจะเกิดขน้ึ อันน้นั เปน็ เรื่อง ของจิต เป็นเร่ืองของบุญบารมีของใครของมันท่ีจะเกิดข้ึนในเวลา เราปฏบิ ัติ ใครจะสงบจะรู้อะไร เกดิ อะไรข้ึนมาเป็นเร่ืองของบุคคลคน นั้น ไม่ใช่ว่าหลวงปู่ครูบาอาจารย์มีธรรมะ ปฏิบัติได้แล้ว จะเอา ธรรมะไปยัดใส่หัวใจใหล้ ูกศิษยใ์ ห้ไดข้ ึ้นมาเหมือนครบู าอาจารย์ มัน เป็นไปไม่ได้ แต่พูดให้ฟังได้ หลวงปู่ครูบาอาจารย์ท่านพูดให้ฟังได้ แต่ลูกศิษย์จะทาตามหรือเปล่า อันนี้เป็นอย่างน้ี ท่ีสมัยพุทธกาลก็ ๘๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ เหมือนกัน สมัยปัจจุบันก็เหมือนกัน สมัยหลวงปู่มั่น หลวงปู่อ่อน ท่านเล่าให้ฟังว่า เพียงพระลูกศิษย์คิดอะไรข้ึนมา อยู่ด้วยกันคิด อะไรข้ึนมา ท่านรู้หมดแล้ว เพียงคิดผิดเท่านั้นโดนให้ฟังเทศน์แล้ว ท่านกจ็ ะดุทันทีเลยอย่างนี้ คือรูท้ ันจติ ผ้ทู ี่ร้จู ริงแล้ว ทา่ นจะรู้ทันจิต ของลูกศิษย์ลูกหา บางทีก็อบรมพระเณรเต็มศาลาอยู่ตรงนี้ หลวงปู่ ท่านยงั ประกาศในบางครงั้ ว่า เออ้ อยา่ เพิง่ เลิกกนั นะ เด๋ยี วเขากาลัง จะมาฟังเทศน์ กาลังเดินทางมา อ้าว น่ังสมาธิคอย เวลาเท่านั้น เท่านี้ จะมาถึงอย่างน้ี ก็มาจริง ๆ ถึงเวลาก็มา แล้วพวกเราถ้าเจอ อยา่ งน้ัน ศรทั ธาจะเกดิ ไหม หลวงปู่ม่ันทาให้พระลูกศิษย์ลูกหาเกิดศรัทธา พอเกิด ศรัทธาก็เกิดความเคารพในคาสอนของหลวงปู่ด้วยความเคารพ หลวงปู่พูดอะไรก็เช่ือฟัง สอนให้เดินจงกรมก็ต้ังใจเดินจงกรม สอน ให้น่ังสมาธิก็น่ังสมาธิ ต่างองค์ก็ต่างขยันหมั่นเพียรไม่ยอมหยุด ผล สุดท้ายก็ได้รับผลสาเร็จ ขี้เกียจไม่ได้ กลัวขายหน้าว่างั้น ใครล่ะจะ ขายหน้า ก็หลวงปู่มั่นเปิดเผยเอง น่ังไม่ก่ีชั่วโมงแล้วก็ไปอวดตัวเอง ว่ามาปฏิบัติธรรมอย่างนี้ หลวงปู่ม่ันท่านรู้หมด จะนอนหลบอยู่ท่ี ตรงไหน ท่านพูดเลย ไปนอนคิดไปนอนคุยกันอะไรอย่างน้ี ท่านเอา มาพูดประจานใหค้ นฟังหมด นค่ี อื ความกลัวของพระ ด้วยความกลวั ก็ไม่กล้าคิด จะนอนแต่วันก็ไม่กล้านอน ผลสุดท้ายก็เดินจงกรม น่ัง สมาธิ ภาวนาแขง่ ขนั กัน เม่อื ทาไมห่ ยุดจิตมนั ได้รบั ความสงบ ประวัติของหลวงปู่ครูบาอาจารย์ลูกศิษย์หลวงปู่ม่ันแต่ละ ท่านแต่ละองค์ ไปอ่านดูประวัติให้ครบดู เอาอย่างนี้ ทางสุรินทร์ก็ เอาหลวงปู่ดูลย์ พวกพระผู้ใหญ่ ทางอุบลฯ อย่างน้ี แล้วก็ทาง จังหวัดอุดรฯ อย่างน้ี อุดรฯ มีเยอะนะ อุดรฯ มีหลวงปู่บุญมาเป็น ๘๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ พระอาวุโสสมัยก่อน รองลงมาก็หลวงปู่อ่อนที่พรรษาติดต่อกันท่ี จงั หวัดอดุ รฯ พอลงมารุน่ นอ้ งลงมาอีก ก็คอื หลวงปู่ขาว ก็รนุ่ น้องลง มาอกี แลว้ พวกทเ่ี ลก็ ลงมาอีกก็หลวงตา หลวงปูจ่ นั ทรศ์ รี วดั โพธสิ ม พร เป็นเณรน้อยบวชใหม่ ๆ ไปอุปัฏฐากหลวงปู่อ่อน ขนาด ๑๐๐ กว่าปี หลวงตาน้องมาอีก ๒ ปีอีก หลวงตามหาบัวยอดกรรมฐาน เกิดข้ึนท่ีจังหวัดอุดรฯ บุญหล้านี่ก็ไปอยู่ที่ภูก้อน มีหลายองค์ท่ีอยู่ จังหวัดอุดรฯ ส่วนหนองคายก็หลายองค์ไปถึงนครพนม ท่ีจังหวัด สกลฯ ก็มีหลายองค์ สกลฯ สมัยก่อน มีหลายองค์ท่ีสาคัญ ๆ โดด เด่นขึ้นมาก็คือหลวงปู่ฝั้น ต่อมาก็หลวงปู่วัน หลวงปู่จวน อย่างนี้ แหละ สมัยน้ัน หลวงปู่จวนก็ออกจากถ้ากลองเพลไป ไปอยู่จังหวัด กาญจน์ ไปอยู่ภูทอก หลวงปู่จวนน่ีได้ธรรมะแบบง่าย ๆ ปฏิบัติ เต็มท่ีแลว้ ไม่ใช่วา่ ไดง้ ่าย ๆ ส้มู าเกอื บตายแล้ว แต่เวลาจะไดน้ อนขา ไขว้ห้างรวมจิตเข้าไปมันได้หวึบขึ้นมาเลย แต่ตอนนั่งจริง ๆ มัน ไมไ่ ด้ สูม้ าเกือบตายแล้วทนมาเกือบตาย อดหลบั อดนอน อดอาหาร อดมาหมดแล้ว แต่พอจะได้ พออานิสงส์มันเต็ม บารมีมันเต็มแล้ว อย่อู ิริยาบถใดมนั กไ็ ด้ หลวงปจู่ วนตอนนอนอยู่มนั ก็ไดแ้ ล้ว ความคิด ความรู้ หลวงปู่ก็เคยไปสัมผัส เคยไปสัมผัสกับ หลวงปู่จวนแต่ก่อน เราก็ไม่อยากลองอะไรหรอก ไปปฏิบัติร่วมกับ ท่านอยู่ที่ภูทอก สร้างภูทอกมาใหม่ ๆ ยังไม่มีศาลา ยังไม่มีกุฏิมี กระท่อม ไปอยู่ท่ีลานหิน ก็ปลูกเพิง เอาใบหญ้าคามามุงหลังคา เป็นศาลา พ้ืนยังเป็นหินราบยังไม่มีศาลา เอาไม้ที่ในป่าขนาดขามา ทาเสา ค้าให้มันอยู่ร่มก็เท่านั้นเอง เวลากวาดตาด (ลานหิน) ตอน บา่ ย วนั นนั้ มันคิดอย่างไร คดิ อยากไปอุปฏั ฐากหลวงปู่จวน อยากจะ ไปนวดท่าน เอ้ เราพอจะมีบญุ บารมีพอได้นวดหลวงปู่ครบู าอาจารย์ ๘๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ หรือเปล่าหนอ นึกในใจ ก็กวาดตาดไป ท้ังนึกในใจ ทั้งกวาดตาด อยากจะได้บุญ เห็นหลวงปู่ท่านกวาดตาดมา เราก็กวาดตาดกาลัง นึกอยู่อย่างน้ี ท่านก็เดินเข้ามาหาเลย เอาผ้าขาวม้าที่อยู่บนศีรษะ มาตขี า นอนลงกับก้อนหิน เอา้ มานวด อยากนวดหลาย นเ่ี พียงเรา คิด เรากวาดตาด เราคิดอยู่ คิดดูดิ ทาให้เราประทับใจได้ทุกวันไม่ ลืม คือความรู้ของพระกรรมฐาน ท่านรู้ได้ยังไง เรากวาดตาดเราก็ คิดอยู่นี่ ท่านก็กวาดตาดอยู่นู่น นี่คือความรู้ของพระกรรมฐาน หลวงปู่ครบู าอาจารยเ์ ป็นอย่างนี้กันเยอะ รุ่นกอ่ น ๆ ย่งิ หลวงปู่อ่อน นี่ นึกอะไรไม่ได้เลย เจอทุกครั้ง ขอแต่นึกขึ้นมา นี่แหละทาให้เรา ได้รับความสงบสติอารมณ์ของตนเองโดยอัตโนมัติ เพราะมีครูดี อาจารย์ดี ลกู ศษิ ยก์ ด็ ีตามมนั เป็นอย่างนี้ เพรำะฉะนั้นพวกเรำที่มำพื้นที่แห่งนี้ เป็นพื้นที่ของพระ อรหนั ต์มำเหยียบตรงน้ี หลวงปู่มั่นจำพรรษำอยู่ทนี่ ี่ถึง ๔ ปี ไม่ใช่ เปน็ เร่ืองธรรมดำ เพรำะฉะนนั้ เรำเข้ำมำอยู่ทีน่ อี่ ยำ่ ให้เสียศกั ด์ศิ รี เด้อ อย่ำมำทำลำยสถำนท่ีอันบริสุทธิ์ เข้ำมำให้มำด้วยใจจริง มำ ปฏิบัติ ให้จิตใจของเรำสะอำดบรสิ ุทธ์ิ เหมือนกับสถานที่ท่ีหลวงปู่ ครูบาอาจารย์มาประทับเอาไว้ ประทับสร้างคุณงามความดีเอาไว้ท่ี ตรงน้ี แล้วมาก่อกาเนิดไว้ท่ีใจกลางของเมืองกรุงเทพฯ ที่นี่เรามา จากต่างจังหวัดก็มี เราก็มาท่ีน่ี มารวมกันท่ีน่ี มาปฏิบัติท่ีน่ี มาหา ความสงบที่นี่ ท่ีนี่มีกิจกรรมทามา เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว แต่ไม่ได้ ตดิ ตอ่ กนั ขัด ๆ เขิน ๆ ไปเป็นช่วง บางช่วงก็หลวงปกู่ เ็ ข้ามาพกั บ่อย แล้วก็ไม่ไดเ้ ข้ามาพัก จะเป็นเวลา ๓๐ กว่าปีไดแ้ ล้วทไี่ ม่ได้เข้ามาพัก แต่ก่อนก็เข้ามาพักอยู่ พักอยู่เร่ือย ๆอยู่ แล้วก็มาพักวัดบรมฯ บ้าง มาพักวัดท่นี บ่ี ้าง แล้วกไ็ ปวดั บวรฯ บ้าง แต่ก่อนนะ ๘๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ ต่อมากไ็ ปพักท่วี ดั ธรรมมงคล มหี ลวงปู่วริ ิยังคเ์ กิดขน้ึ มา มา ตงั้ วัดทน่ี น่ั กไ็ ปพักที่นน่ั วดั อโศการาม เข้ามาในกรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่วา่ เราอยากจะมาเท่ียว มาก็เพราะกิจนิมนต์ ที่ญาติโยมนิมนต์มา มาก็ มาร่วมในงาน ถ้ามีงานอย่างท่ีวัดอโศการาม ก็มาในงานพิธีเขา นิมนต์มาเทศน์ มาแสดงธรรม วัดธรรมมงคลก็มาแสดงธรรมทุกปี หลายปี ตั้งแต่บวชชีพราหมณ์มา ก็จริง ๆ แล้วก็ยังไม่อยากเทศน์ เทา่ ไรหรอก ยงั คดิ ว่าตวั เองเป็นพระผนู้ ้อยอยู่ กย็ ังไม่อยากเทศน์ แต่ ความเรียกร้องของหมู่คณะ ท้ังพระสงฆ์ ท้ังศรัทธาญาติโยม ก็มี เยอะก็จาเป็นต้องเทศน์ให้ฟัง ที่ได้เอามาเทศน์ ก็เป็นประสบการณ์ ในปา่ ท้งั นัน้ ไมไ่ ด้มาจากทอ่ี ่ืนท่ีไกลหรอก จริง ๆ แล้ว ไม่อยากมา แต่มันแรงบันดาล คือศรัทธาญาติ โยมได้นิมนต์มา ได้ไปท่ัวประเทศก็ได้แรงบันดาลจากศรัทธาญาติ โยม จากพระภิกษสุ ามเณร สมยั ก่อนก็ภิกษสุ ามเณรทอ่ี ยตู่ ามชนบท ก็ได้ฝึกฝนอบรมมาอย่างท่ีพวกมหาฯ บวชอยู่บ้านนอกก็ต้องเรียน กรรมฐานกันก่อนเด้ เรียนกรรมฐานกันก่อน แต่ใครจะเข้าใจไม่ เข้าใจเป็นเร่ืองหนึ่ง แต่จากน้ันก็ครูบาอาจารย์ ถ้าเห็นว่ามีแววก็ส่ง มาเรียนหนังสือทางกรุงเทพฯ เพราะมันมีสานักเรียนทางกรุงเทพฯ ถ้าต่างจังหวัดมันไม่มีครูสอน พระก็มาอยู่กรุงเทพฯ กันหมด ก็เลย มาอยู่กรุงเทพฯ ก็มาเรียนหนังสอื เรียนธรรมะ เรียนนักธรรม เรียน บาลีกัน แต่ส่วนท่ีจะปฏิบัติหรือไม่ปฏบิ ัตนิ ้ันเป็นเรื่องหน่ึง ที่ส่วนตัว เปน็ ส่วนตัว วิธีการเรียนอะไร รู้แล้ว ทุกคนรู้แล้ว เพราะเรียนมา แต่ เหลืออยู่ท่ีปฏิบัติ อย่างที่หลวงปู่มาเรียน ไม่ได้เข้ามาเรียนใน กรุงเทพฯ เรียนอยู่ในป่าอย่างเดียว เข้านาค พอมาเข้านาคยังไม่ได้ ๘๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ บวชเณรเลย พอมาเข้านาค ปลงผมแล้ว วันแรกถือไตรสรณคมน์ รักษาอุโบสถศีลแล้ว จากวันนั้นทานม้ือเดียว ฉันม้ือเดียวมา จน ตลอดทุกวันนี้ ตั้งแต่วันเข้านาคมา คือระเบียบของพระกรรมฐาน คอื ไปบวชแล้ว ปลงผมแลว้ ใส่ชุดขาวใหถ้ อื ไตรสรณคมน์ แล้วรับศลี แปด รักษาอุโบสถศีล ท่านก็ให้ทานมื้อเดียว กินม้ือเดียว เหน็ด เหนื่อยเม่ือยล้า ก็อดเอา ใครสู้บ่ได้ ก็ได้สึกก็เป็นอย่างนั้น หลวงปู่ก็ คิดเหมือนกัน คิดเหมือนกัน ว่าเราเคยทานมา วันละ ๓ ม้ือ ๔ มื้อ พอไปนอนวัดจะให้เราทานมื้อเดียวมันจะไหวเหรอ มันจะไม่ตาย เหรอ พอเข้ามาก็ตาย ก็จะให้มันตาย ก็ตัดสินใจอย่างน้ี ตายให้มัน ตาย พอเรามาอดอาหาร มันก็หิว เหนื่อย มันก็ทรมาน แต่ก็ยอม ตาย แล้วก็นึกไปถึงหลวงปู่ครูบาอาจารย์ ท่านฉันม้ือเดียวแล้วก็ ฉนั น้อยดว้ ย ฉันมือ้ ละนดิ เดยี ว บางวนั ท่านก็ไมฉ่ นั บางทกี ็ ๔–๕ วนั ๗ วัน ๘ วัน ท่านก็ไม่ฉัน ๑๕ วัน ไม่ฉันอย่างนี้ ท่านน่ังตลอดท้ังคืน อย่างนี้ กลางคืนท่านก็นั่งอยู่ แต่ก่อนไม่มีไฟฟ้าจุดแต่ตะเกียง หมุน ไส้ตะเกียงลูกเล็ก ๆ พอแดง ๆ มันเปลืองน้ามัน สมัยก่อน น้ามันไม่ คอ่ ยมี น้ามันก๊าด ใช้น้ามันก๊าด ก็นงั่ ทา่ นกน็ งั่ อยู่อย่างน้นั หลวงปู่ได้ ยินคาพูดของท่าน ท่านพูดว่าเราบวชมา เราไม่ค่อยได้นอน ท่านว่า อยา่ งนี้ เรามีแตน่ ั่งสมาธิ เราปฏบิ ตั ิอย่างเดยี ว ท่านว่าอย่างนี้ เอ้ เรา ก็ไปแอบ ๆ ดูกลางคืน เดินไปเห็นแสงไฟอยู่กุฏิ ก็เดินย่อง ๆ ไป กลางคืน เที่ยงคืนก็เดินไป เดินไปยังไม่ถึง ห่างจากกุฏิประมาณสัก ๒๐ กว่าวาอย่างนี้ ท่านกระแอมแล้ว เราก็ถอยกลับเข้าทางจงกรม ตี ๑ ตี ๒ ก็ย่องไปอีก กเ็ หมอื นเดิม แอบดอู ยา่ งนัน้ เปน็ อาทิตยห์ น่ึง ก็ยังเหมือนเดิมอยู่ เอ้ เรามันคิดโง่ไปไหม หลวงปู่ท่านไม่นอน เราก็ ๘๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ ไม่นอนเหมือนกนั ฝึกไมน่ อนเหมือนกัน ฝกึ ตงั้ แต่ตอนเป็นนาค เป็น นาคอยู่เดือนหนึ่ง เดือนหนึ่งต้ังใจปฏิบัติ น่ังสมาธิคิดว่ามันจะไม่ลุก มันไม่ได้ มันจะตายเด้ มันจะตาย มันปวดเหน็บข้ึน เหน็บ โอ้ย มัน ไม่ใช่ธรรมดา น่ังไป ๒๐ นาที ๓๐ นาที เหน็บมันข้ึน จ้วดจ้าด จ้วด จ้าดนี่ ข้นึ ถึงศีรษะเลยเด้ ใจจะขาด นค่ี อื ความทกุ ข์ของการน่งั สมาธิ หลวงปเู่ ป็นมาก่อน พวกเราเป็นไม่เป็นก็ไม่รู้นะ คิดว่าไม่แพ้กันท่ีเจ็บ หลวงปู่ ทาอย่างน้ันมา ต้ังแต่เป็นนาคมา ๑ เดือน แต่ก็เห็นหลวงปู่ศรี ท่าน นั่งไม่ลุก ท่านนั่งได้ทั้งวันน่ังได้ทั้งคืน เราเป็นหนุ่มด้วยน่ังไม่ถึง ชว่ั โมงก็จะตายแลว้ กเ็ หน็ เหตกุ ารณ์อย่างนัน้ พยายามท่ีจะสเู้ หมือน อย่างท่าน แต่สู้แต่ละคร้ัง มันก็จะตายทุกครั้งแพ้ทุกคร้ัง น่ีคือ คนท่ี ยงั ไม่รู้ธรรมะ ไม่เห็นธรรมะ กย็ ังจะตอ้ งแพ้เป็นเร่ืองธรรมดา แตเ่ รา อย่าไปถอยเราต้องสู้ต่อไป หลวงปู่ก็เห็นเหตุการณ์อย่างน้ันมา แล้ว ก็ทาไปกับหลวงปู่ครูบาอาจารย์มาเรื่อย ๆ ถึงเวลาเดินจงกรม ทา วตั ร ลงศาลามา กเ็ ข้าทางจงกรมเลย เดนิ จงกรม เดนิ ไป ๒ ชั่วโมงก็ ลุก เดินจากทางจงกรมมาเข้ากุฏิเข้าที่น่ัง ใจน่ีคิดว่า ตอนท่ีเดินอยู่ มันยังไม่ปวดขา กูจะนั่งมันถึงสว่างนู่นล่ะ คิดว่าแต่พอไปถึง ๒๐ - ๓๐ นาที มันปวดแล้วเหน็บขึ้นแล้ว ชาข้ึนไปหมดท้ังตัว จนคิดว่า โอ้ย กูเนี่ย มันเป็นกรรมอะไรหนอ ทาไมนั่งคุยกันอย่างน้ี ไม่มีคาว่า เป็นเหน็บ ง่วงก็ไม่มี ขาก็ไม่ปวด แต่ไปนั่งสมาธิขึ้นมาหมด ๒๐ - ๓๐ นาที เทา่ นนั้ มนั จะตายแลว้ อันน้ีแหละ เร่ืองมารที่เข้ามารุมเร้าของร่างกายสังขารของ พวกเรา สาหรับผู้ปฏิบัติทุกคนคงจะรู้หรอก เราไปน่ังดูหนังดูละคร รับรองว่าไม่ง่วงก็แล้วกัน ยิ่งไปเจอสาว ๆ คุยกัน สว่างก็ไม่ง่วงนอน ๘๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ สาว ๆ ก็เหมือนกัน เจอไอ้หนุ่มก็ไม่ง่วงหรอก ใช่ไหม อันนี้มันถูก กิเลส พอไปนั่งเอาธรรมะเท่านั้น ๓๐ นาที จะตายแล้ว เคยยืนดู หนังดูหมอลากลางแจ้งกลางแปลงจนสว่าง ไปยืนสมาธิ พุทโธ พุท โธ ยังไม่ถึง ๓๐ นาทีเด้ โอนเอน จะล้มแล้วลองนิ่ง ๆ ดูนะ ลองดู จนกว่าจะได้ถึงสว่าง ลองดู ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิ ไม่ถึงสว่างหรอก หลวงปู่เคยยนื ถงึ สว่างนะ ข้นั แรกกเ็ ดิน เดนิ เสยี กอ่ น พอเดนิ แลว้ จิต มันสงบในทางจงกรม มันไปไมไ่ ดแ้ ลว้ เพราะมนั สงบมนั ต้องนิ่ง ดูอยู่ กับความสงบ พอเรานิ่งอยู่ในความสงบ มนั กย็ ง่ิ สงบมากข้นึ ในขณะ ท่ียืนอยู่น้ัน มันเหมือนกับว่าเราไม่ได้ยืนกับพื้น มันเหมือนกับว่าเรา ไปดูอะไรอยู่สูง ๆ มีหอปราสาทราชวังอะไรไปอยู่ท่ีนู่น มันก็ เพลิดเพลินไปจนกว่าจิตจะถอนออกจากตรงน้ัน หมดเวลาตรงนั้น จิตย้อนเขา้ มา เรายืนอยู่ตรงน้ี มันสวา่ งแลว้ โดยอตั โนมัติ มันจะเป็น อย่างนี้ คือถ้าจิตมันสงบ แต่ถ้าจิตมันยังไม่สงบ ถึงยังไงก็ฟึดฟัด ๆ ล่ะ ทุกคนก็ไม่ตาหนิใครหรอก เราก็เคยตาหนิ เคยเป็นใน ตัวเองมา อันนี้ด้วยความอดทนอดกลั้นต่อสู้มา มันทาอยู่คนเดียว มันไม่มีกาลังใจไม่มีครู ทาท้ังปีท้ังเดือนมันก็ได้เท่าน้ัน แต่ตอนที่จะ ได้มันได้ตอนท่ีอยู่กับหลวงปู่ครูบาอาจารย์ เห็นท่านปฏิบัติท่านได้ อะไรให้เราเห็น เหน็ ทา่ นปฏิบตั นิ ัง่ จนสว่างทุกคนื ๆ ก็ยงั ทาไมไ่ ด้ ยงั ไม่อศั จรรย์ใจเท่าไร ยงั ไมม่ ีสิง่ ที่จูงใจเปน็ กาลังให้เราต่อสู้กับการเอา ชีวิตเข้าไปแลกกับสิ่งตัวน้ี ตอนที่จะได้คือแต่ละวัน หลวงปู่ท่านตื่น เช้าขนึ้ มาจะพูด จะออกบณิ ฑบาต ท่านจะถามวนั นี้จะมีคนตกั บาตร ก่ีคน เวลาบิณฑบาตเราก็คิดว่าคนนั้นเคยใส่คนนี้เคยใส่ เราก็ตอบ ทา่ นไป ๙ คน ๑๐ คน เราก็ว่าไปตามวันเวลา ถ้าวนั ไหนคนจะมาใส่ ๘๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ บาตรจากทางไกลมาใส่ ท่านจะถาม เอย้ บ่ แม่น ท่านว่ามอื้ นเี้ ขามา เพ่มิ อีก จากในเมอื งเขามาเพมิ่ อกี ๔ คน เวลาเราไปบิณฑบาต หลังจากใส่บาตรก็มานับดูเหมือน อย่างท่านพูด อาหารท่ีญาติโยมจะไปจังหันจะฉันอะไรพรุ่งนี้เช้า ถามต้ังแต่ทาวัตรเย็น เราก็คิดว่าตอบเดา ๆ ไป เอ้ย วันพรุ่งนี้ มี อาหารพิเศษเว้ย ท่านก็จะบอกอย่างน้ี ท่านรู้แม้กระทั่งอาหาร แต่ ละวัน ๆ คนจะมาแต่ละคร้ัง คนจะมาอย่างน้ี ฉันเช้าเสร็จ ท่านก็จะ บอกเลย ทา่ นก็จะบอกวา่ วนั นีล้ ้างบาตรเสร็จแล้วอย่าเพงิ่ ไปไหนเด้อ มพี ระจะมาเวลานั้นจะมาถึงเรา ก็ไปกฏุ ิท่านบอกให้เอาเส่ือเอาไรมา ปู เอากามากรองน้าเรียบร้อย ถึงเวลาท่านก็บอกใหไ้ ปรับเลย มาถึง น่ันแล้ว ไป ๆ รับ ไล่ลงกุฏิไปเลยนะทุกคร้ังจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเรา ได้พระอย่างน้ันเป็นครูเป็นอาจารย์ กาลังใจตัวน้ีท่ีหลวงปู่ได้ธรรมะ มาก็เพราะอย่างนี้ เห็นท่านได้อย่างน้ันเราก็มีกาลงั ใจเด้ เราทายังไง ถงึ จะไดเ้ หมอื นอย่างหลวงปู่ เราจะตอ้ งตง้ั ใจปฏิบตั ิอย่างเตม็ ท่ี สมัยพุทธกำล พระพุทธเจ้ำท่ำนมีสำวกมำก ๆ พระพุทธ องค์ท่ำนก็สอนอย่ำงน้ี เอำของจริงมำพูดอย่ำงน้ีถึงได้เกิดศรัทธำ แล้วก็มีควำมต้ังใจปฏิบัติ ตอนท่ีปฏิบัติถึงยังไงมันก็ต้องสู้กัน สู้ กันเอำใจเข้ำมำเดิมพันจนตัดสินใจ มันสู้หลายรอบ มัน ๒ เดือน กว่าแล้ว เป็นนาคก็ ๑ เดือนแล้ว เป็นเณรก็เดือนกว่า เดือนกับ ๓ อาทิตย์แล้ว จะเข้า ๓ เดือนแล้ว ยังไม่ได้อะไรเลย ได้แต่ปวดขากับ ง่วงหงาวหาวนอน แต่ใจมันจะเอาให้ได้ พุทโธของเรามันไม่เคยขาด อยู่แล้ว แต่ว่าความอดทนของเรามันไม่พอ สู้ไม่พอ ผลสุดท้าย ตัดสินใจเอาตายเป็นเดิมพันเลย ว่าง้ันเถอะ เอาตายเข้าเดิมพัน เรา จะไม่ลุกจากที่นี่เป็นเด็ดขาด ให้มันขาดจากที่นี่ไปเลย ขาน่ี ถ้ามัน ๘๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ ปวดก็ให้มันขาดไปเลย เรำเอำธรรมะเสียดีกว่ำ ตัดสินใจสู้ สู้ก็เอำ พุทโธอย่ำงเดียว ไม่ต้องไปอยำกได้อะไร วำงทั้งหมดในสิ่งท่ีมัน เคยอยำก ที่หลวงปู่ครบู ำอำจำรย์ทำ่ นร้เู รำก็ไม่อยำกรแู้ ลว้ เรารู้ว่าพุทโธ ลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว ผลสุดท้าย หลับตาลงไป มันมืด มืดดามืดต้ึบเลย ความมืด อ้าว เราเป็นผู้ไม่ บริสุทธิ์มันก็มืดอย่างนี้ จะให้มันเหมือนหลวงปู่ครูบาอาจารย์มัน เป็นไปไม่ได้หรอก ศีลธรรมก็ไม่บรสิ ุทธิ์ เกิดข้ึนมาไม่รู้กี่ปีมาแล้ว มา บวชเน่ีย มันฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทาบาปมาเท่าไรแล้ว มันจะให้บริสุทธ์ิ เหมือนหลวงปู่ครูบาอาจารย์ มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ตอนนี้เรามา ได้ปฏิญาณตน ถือไตรสรณคมน์ถือศีลแล้ว รักษาศีลแล้ว บวชเป็น พระภิกษุสามเณรมาแล้ว เราต้องเอาให้ได้ มันไม่สว่างมันได้มืด ขอให้เราได้ทาสมาธิเราก็พอใจ แต่เราจะไม่กลับไปทาบาปอีกเป็น เด็ดขาดในชีวิตของเรา นี่คือความหนักแน่น ความหนักแน่นในการ รักษาศีล พอเรามกี ารตัดสนิ ใจอยา่ งน้ัน เราก็พยายามฝึกเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาไปไม่ยอมหยุด ฝ่าฝืนเวลาไปเรื่อย ๆ เคยนั่งได้ ๓๐ นาที ก็เพิม่ เป็น ๔๐ นาที วันหลังก็ ๕๐ นาที วนั หลงั ก็ชัว่ โมง ชวั่ โมง ๑๐ นาที เพิ่ม ๑๐ นาทีไปเร่ือย ๆ จนถึง ๒ – ๓ ชั่วโมงไป มันก็ยัง ไม่ได้ ถ้าไม่ถึง ๓ ช่ัวโมง ขาได้ดึงออกมันปวด แต่พอมันจะหลุดตรง นี้ มนั หลุดหมดเลย มันหลุดหมด เหน็บกไ็ ม่มี ขากไ็ ม่ปวด ง่วงก็ไม่มี เหนื่อยก็ไม่มี หนักก็ไม่มี มืดก็ไม่มี พอมันได้ เวลามันได้ วันน้ันได้ ตดั สินใจเอาให้ตายเลย ก็ใช้ความอดทนต่อสู้ไปเรื่อย ๆ จนไปถึงเที่ยงคืน โอ้ย มัน มืดมันเจ็บมันปวดมากที่สุด อ้าว กูได้ตั้งสัจจะแล้วจะปล่อยให้มัน ขาดเน่ีย ขาให้มันขาดไปเลย มันจะตายก็ให้มันตายไปเลย ตายแลว้ ๘๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ มันจะได้ไปเกิดง่าย ๆ เกิดมาไว ๆ ให้มันรู้จักพระพุทธศาสนาเลย รู้จักธรรมะคาส่ังสอนของพระพุทธเจ้าเลย คือมีความตั้งใจอย่างนั้น ตั้งสัจจะอธิษฐานเอาไว้ อยากจะตายไว ๆ ไม่ได้เสียดายชีวิตน้ี อยากจะพ้นกรรมในชาติน้ีไว ๆ ท่ีเราได้ทากรรมเอาไว้ในชาติน้ี มัน คิดอยากจะตายใช้กรรม เหมือนกับเราเป็นหนี้ ไปใช้หนี้ให้มันจบ อย่างน้ี มันเลยไม่กลัวตาย เม่ือมันไม่กลัวตายเราเลยได้น่ังสมาธิ เต็มท่ี สู้ไป ดูลมหายใจ ดูความมืดไปเร่ือย ๆ ถึงเวลามันเต็ม มันพุ่ง ออกมาโดยอัตโนมตั ิ เสยี งดังตมู !! พอตูม !! มันสว่างเลยเหมือนเขา จุดพลุ พอตูม !! มันสว่าง แบกความมืดออกไป พอตูม !! มันพุ่งออก จากหน้าของเราออกไป พุ่งออกไปจากหน้าพุ่งออกไปแล้วมันเป็น ก้อนกลม ๆ เหมอื นลูกบอลใหญ่ ขนาดใหญ่ สว่างจา้ ไอ้ความมืดอยู่ ทีนี้ มันไม่ดูแล้วนะ ความเจ็บความปวดอยู่ท่ีน้ี มันไม่ดูแล้ว มันก็ไป อยทู่ ด่ี วงสวา่ ง ตอนที่มันจะได้เป็นอย่างนั้น ตอนที่จิตของเราจ้องอยู่ตรง น้ันมันก็ขยายตัวออก ผลสุดท้ายมันมีข้างหน้า ข้างหลัง สว่างหมด รอบหมดเลย ข้างซ้าย ข้างขวา ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างล่าง ข้างบน ไม่มีอะไรปิดกั้นเลยทีนี้ ข้างล่าง พอเรากาหนดดู มันทะลุลงเมือง บาดาลเมืองพญานาค มันไปได้หมดทุกที่เลย จิตมันจะเหน็ หมด พอ พุ่งข้ึนบนอากาศก็เห็นปราสาทราชวัง เทพเทวดา มันไปได้หมด มัน เป็นอัตโนมัติ ไม่ใช่เราอยากจะเห็นหรอก แต่มันไป จิตมันไป มันรู้ ไกลไปเร่ือย พอมันเป็นอย่างน้ัน เข้าใจแล้วว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ มันเป็นอย่างไร คำว่ำ “ควำมรู้” มันรู้อย่ำงไร มันเกิดขึ้นมำ อย่ำงไรจำกสมำธิ พอเป็นอย่ำงน้ัน ควำมมืดไม่มีร่ำงกำยของเรำ ควำมหนักไม่มี ตั้งแต่วันนั้นมำเหน็บไม่ข้ึน เรำจะนั่งเท่ำไรเหน็บ ๙๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ ไม่ขึ้น แต่ก่อนนั่ง ๒๐ นำที ๓๐ นำที เหน็บข้ึนแล้วถึงศีรษะเลย ทรมำนขนำดไหน หลังจำกนั้นมำ พอนั่งปั๊ป จิตมันก็เข้ำจุดสว่ำง แล้ว มันก็จะวำงสิ่งเหล่ำน้ีท้ังหมด ตัวของเรำก็จะเบำ อันนั้นทำ ใหเ้ รำมกี ำลงั ใจ ไดเ้ ข้ำใจเร่ืองกำรปฏิบตั ิให้มำกขึ้น เมื่อเราทาไปเรื่อย ๆ ธรรมะมีมากเหลือเกิน ยิ่งเราทาไป เรื่อย ๆ ภพชาติมีก่ีภพชาติมันจบไม่เป็น มันรู้มันไม่รู้พร้อมกัน ทีเดียว วันหน่ึงอาจจะรู้เร่ืองหนึ่ง เรื่องหนึ่งอาจจะรู้เรื่องหนึ่ง แต่ เรื่องชีวิตของเราอดีตชาติของเราเป็นยังไง ๆ เคยบวชใน พระพุทธศาสนากี่ภพก่ีชาติ มันก็ย้อนไป ๒ – ๓ ปี อาจจะย้อนที หนึ่ง บางทีปีหน่ึงอาจจะย้อนทีหนึ่งแต่ละเรื่อง ปีละเร่ืองสองเรื่อง อย่างนี้ มันมีกาลังใจมันสนุกมันสุข มีความสุขกับการทาสมาธิ เพราะฉะนั้นพระกรรมฐานที่ไปอยู่ในป่าลกึ เขา้ ปา่ เขา้ เขาไป ไม่มีสิ่ง ใดรบกวน ไปน่ัง สะพายบาตรไปนั่ง ก่อนไปนั่ง ตอนเดินอยู่ก็เริ่ม เกิดนิมิตแล้วเด้ เดินไปเดินลัดป่าลัดเขาไป ก็ได้นิมิต แล้วก็อยาก หลับตาก็น่งั นัง่ กไ็ ดธ้ รรมะแล้วต่อเร่ืองเลยทนี ้ี เรอ่ื งไมจ่ บก็ไม่ได้เดิน เป็นอย่างนั้น นี่เป็นความสุขของพระกรรมฐาน เหมือนกับที่เราไป เห็นเหมือนกับผีบ้า นั่งไม่ดูหน้าดูตาใคร เฉย อะไรจะกินก็ไม่กิน นั่ง เหมือนกับไม่มีลมหายใจเข้าออกเลย จริง ๆ แล้วมีความสุขมาก มี ความสุขมากเลยทัง้ กลางวันกลางคนื ไม่ร้หู นาวรู้ร้อน ทดสอบดูว่า เวลาเราน่ังสมาธิ จิตสงบง่ายเท่าไร ใช้ เวลานานไหม เดือนเมษา ลองเอาผ้าห่มหนา ๆ มาคลุมโปง นั่งตาก แดดตอนเที่ยง เดือนเมษา แดดร้อน ๆ จิตของเราจะเป็นสมาธิได้ ไหม นี่คือการพิสูจน์ตัวเอง พอไปนั่งปุ๊ปเหง่ือกาลังซึม จิตมันรวม แล้ว พอมันรวมแลว้ มันเย็นสบายอยูใ่ นนั้น อยใู่ นผ้าห่มหนา ๆ น่ังไป ๙๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ จนบ่าย ๔ โมง ๕ โมง แดดอ่อนแล้วก็ใช้ได้แล้ว พอใช้ได้ก็ภูมิใจล่ะ ที่น้ี ออกจากนั่นไปกวาดตาด ทากิจวัตรต่อไป หน้าหนาวช่วงปีนั้น มันหนาวมาก น้าค้างลงมาจะเป็นแม่คะนิ้ง ใบหญ้าเป็นน้าแข็งหยด ขาว ไปนง่ั ทดสอบกบั ความหนาว ถอดผา้ จวี รออก เหลือแตผ่ ้าอังสะ ก็น่งั อยู่บนกอ้ นหนิ หนาวติว้ ๆ เขา้ มา จิตรวมเขา้ ไป ภายใน ๓ นาที ของเรามันรวมแล้ว นานท่ีสุดของเรามัน ๓ นาที รวมป๊ัปเข้าไปมัน ได้แล้ว มันทะลุไปทั้งหมดท้ังโลก มันไม่ได้สนใจความหนาวแล้ว สนุกสนานอยู่ พอออกจากสมาธิได้แสงสมาธิขึ้นมาลาง ๆ ได้ผิงแดด แล้ว มันเอาชนะความหนาวได้ นี่มันละได้หมดเวทนาท้ังหลายได้ หมดโดยอตั โนมตั ิ เวลาเราสวด มหาพาสวด บารมี ๓๐ ทัศ ปารมีสัมปันโน อิติปิโส ภควา อุปปารมีสัมปันโน อิติปิโส ภควา ปรมัตถะปารมีสัม ปันโน อิติปิโส ภควา ธรรมมันก็เป็นอย่างน้ี เรากาลังปฏิบัติอยู่น้ีก็ เป็นการสร้างปารมี ปารมีสมั ปนั โน พอนั่งไประยะหนึง่ ทีจ่ ะสงบบ้าง ไม่สงบบ้างก็เป็นระยะ ปารมี พอได้ฌานได้ญาณขึ้นบ้างก็ปรมัตถ- ปารมี นี่คืออัตโนมัติมันเป็นอย่างนี้ มันละไปด้วยความเด็ดขาดของ มันของธรรมะ พอมันได้มันจะวางท้ังหมดความทุกข์ท้ังหมดมันจะ ไม่มี หลับตาลงไปมันเคยมืดมันก็จะไม่มืด มันก็จะสว่างแล้ว เหมือนกับปิดม่าน เปิดม่านเปรียบเทียบอย่างนั้น พอเราหลับตาลง ไปมันปิดม่าน พอจิตรวมป๊ัปมันเปิดอย่างน้ีเลย สว่างหมดเลย เหมือนกับไม่ได้หลับตา มันง่าย เวลามันง่ายก็สบายแล้ว แล้วเราจะ ทาได้ไหม ถ้าสู้ตายเหมือนอย่างที่หลวงปู่พูดไป ตัดสินใจตายได้ไหม ถา้ ขา้ มตัวนไ้ี ด้ ได้แน่นอน ๙๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ ส่วนกิเลสเป็นของง่ายกว่าน้ี ความโลภ ความโกรธ ความ หลง ง่ายกวา่ อยา่ งทเี่ รานง่ั ตรงนี้ ไม่มใี ครคิดถึงกิเลสหรอก อย่างให้ น่งั พทุ โธก็พทุ โธไป มนั ไปหยดุ ตรงไหนกห็ ยุดอยู่ตรงน้ันแล้วก็ทาไมกู สู้มันไม่ได้หนอ กูสู้มันไม่ได้หนออยู่อย่างน้ัน ทาไมมันปวด ทาไมมัน ปวด คนอื่นปวดเหมือนกูไหม มันบ่น แต่มันไม่ได้บ่นออกมาทาง ปากหรอกไม่ใช่ทางเสียง แต่ว่ามันบ่นในใจมันก็จะเป็นอย่างน้ี ทุก คนก็อยากได้ดี แต่สู้ตรงนี้ไม่ได้ ทุกคนก็อยากพ้นทุกข์ แต่ชวนไป บวชก็ถอยหลังหมด เราคิดอย่างนี้ก็แล้วกัน เราทาอย่างนี้ก็เป็นการ สร้างบารมีสัมปันโนไป ทาอย่างไรถึงจะได้ปรมัตถะสักที พอไปถึง ยะ ๆ ก็ถอยหนา้ ถอยหลงั มันไม่สจู้ รงิ ระยะของพระพทุ ธเจา้ นิง่ แล้ว เขา้ ฌานแล้ว ระยะของพวกเรามันถอยหน้าถอยหลัง มันเป็นอยา่ งน้ี ไดแ้ คน่ ้ีก็ไปเปรียบเทยี บกันแลว้ ใครได้โสดาปัตติมรรค ใครได้โสดาปัตติผล ใครได้อรหันต์ ใ ค ร มี ฌ า น มี ญ า ณ ก็ ไ ป โ ก ห ก กั น ท่ั ว ป ร ะ เ ท ศ ไ ป ห ม ด ทุ ก วั น นี้ เพราะฉะนัน้ มันไม่ถูกทางถ้าไปพูดอยา่ งนน้ั ใหป้ ฏิบตั ใิ ห้มันดจี รงิ ให้ มันรู้จริงเสียก่อน แม้แต่ตัวเอง เราปฏิบัตินั่งสมาธิทุกวันได้นิมิต ขึ้นมา เออ วันนี้ได้นิมิตอย่างนี้จริงหรือเปล่า พอถึงเวลามันเป็นจรงิ อย่างนี้เป็นจริงครั้งนี้ วันหลังมานิมิตอีกก็อาจเป็นเร่ืองใหม่แต่เป็น นมิ ิตคล้าย ๆ กนั จริงหรอื เปล่าเที่ยวน้ี แต่ไม่นานมันกม็ าตรงป๊ปั เลย วันหลังก็นิมิตอีกจริงหรอื เปล่า ไม่มีคาว่าเช่ือง่าย ๆ นะนิมิต จนเกิด ความชานิชานาญ ถา้ นมิ ติ ก็ต้องเป็นนมิ ติ ติด ๆ กัน ถา้ เราไม่เชอ่ื ก็ ๒ – ๓ คร้ังติด ๆ กันม่ันใจแล้ว พูดออกมาไม่ผิด ก็เคยมันเป็นอย่างนี้ มาหลายครั้ง ก็เอ้อ เราก็ชักจะม่ันใจ เห็นหลวงปู่ครูบาอาจารย์ทา่ น เป็นน้อ ก็ม่ันใจว่าเราเป็นเหมือนอย่างหลวงปู่แล้วเหรอ เป็นเหมือน ๙๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ อย่างพระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจา้ ในสมัยพุทธกาลแล้วเหรอ ถงึ จะเอาไปเทียบ แค่เสน้ ขนเสน้ เดยี วของทา่ นเรากภ็ มู ิใจแล้ว ภมู ิใจ เดินจงกรมมันเหมือนกับเดินบนพื้นดินมันเบา มันภูมิใจกับการ ปฏิบัติของเรา น่ังก็เหมือนกับลอยขึ้น เดินก็เหมือนกับเท้าแตะพ้ืน นิดเดียว ในเม่ือมันเป็นอย่างน้ันแล้ว มันไม่ได้รับน้าหนักในตัวของ เรา มันจะเบา เบาน่ีมันมีความสุขเด้ แล้วจะเอาที่ไหนมาปวดขา เหนบ็ ทีไ่ หนมนั จะมี มันไมม่ ี พอไม่มีสว่ นน้ีในจติ มันจะรวมเข้าไปมัน ก็สว่าง พอสว่างแล้วมันก็ไปตามแสงสว่าง มันก็ไม่อยู่ที่นี่ จิตมันก็ ไม่ได้รับรู้ในร่างกายสังขารหรอก แล้วมันจะไปรับเวทนาได้อย่างไร มันเป็นอัตโนมัติอย่างนี้ น่ีคือกำรปฏิบัติที่เกิด “ควำมรู้” อยำกให้ พวกเรำทุกคนมีควำมต้ังใจปฏิบัติแบบท่ีว่ำอยำกหลุดพ้น อยำก ให้มันพ้นไปอย่ำงน้ี ทำยังไงมันถึงจะพ้น กลับไปบ้านเมื่อไรก็เจอ ทุกข์เมื่อน้นั บางคนไม่อยากกลับบ้านกม็ ี โอ๊ย กไู มอ่ ยากกลับบา้ นเด้ เข้าบ้านแล้วกูใจจะขาดแต่ก็จาเป็นต้องไปอย่างนี้ กรรมมันเป็น อย่างน้ีคนเรา ทาอย่างไรถึงจะออกจากกรรมตรงน้ีได้ ทุกคนไม่มี ใครอยากจะสู้กับทุกข์ อยากจะหาสุขใส่ตัวเอง แต่สุขที่แท้จริงอยู่ที่ ไหน หาไม่เจอสักที ก็เพราะอย่างนี้ หลวงปู่ก็หามาต้ังแต่ยังไม่ได้ บวช หามาจนอายุ ๑๘ ปี แล้วได้มาบวช บวชเป็นเณรอยู่ ๒ ปี หนี เข้าวัดมา ตอนอายุ ๑๘ ปีแล้ว บวชมาก็ตั้งใจปฏบัติเลย ท่ีมีระยะ หน่ึงได้มาเรียนหนังสือบาลีอยู่ปีหนึ่ง ปี ๒๕๑๒ ท่ีเรียนบาลีก็เพราะ ฟังธรรมหลวงตา ฟังเทศน์หลวงตา หลวงตาท่านเทศน์ฉะฉาน เหลือเกนิ แปลธรรมะก็เกง่ แปลบาลีก็เก่ง ๙๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ เรา โอ๊ย ชั้นป. ๔ อยู่บ้านนอก เขียนหนังสือบาลีก็จะไม่ถกู จุดตรงไหนก็ไม่ค่อยจะเป็นก็เลยมาเรียนบาลี มาเรียนบาลีก็ท่อง กาลังจะแปลภาคจบพอดี ตอนน้ันยังไม่ได้บวช เริ่มมาหัดแปลธรรม บท สมัยน้ันสอบเปรียญ ๓ ที่น่ีก็ท้ังแปลทั้งบวช จะไปสอบประโยค ๓ กับเขา ซ้ือหนังสือมาเพิ่งหัดแปล พวกหมอประกาศเขาชวนไป ทอดผ้าป่าท่ีภูทอก หลวงปู่จวนอีกที่หนึ่งก็เลยไป พาเขาไปเพราะ เขาไม่เคยไป เราก็พาเขาไป ทอดผ้าป่าเสร็จ ฟังเทศน์ฟังธรรมหลวง ปู่จวนเสร็จแลว้ นอนคืนหน่ึง ตอนเชา้ มาถวายอาหารแล้วก็ออกจาก ที่น่ัน แลว้ กม็ าวดั ป่าอดุ มสมพร พอออกมาวัดป่าอุดมสมพร หลวงปู่ ฝ้นั ท่านน่งั อยบู่ นเกา้ อท้ี ก่ี ฏุ ิ รถเรากว็ ง่ิ มา มาจอดใหล้ ง เขากว็ ่งิ ลงไป ห้องน้า พอหลวงปู่ฝ้ันมองเห็นหลวงปู่ ก็บอกรีบเข้ามา ๆ กวักมือ เอาเลย เดี๋ยวโยมเขาจะมาก่อน พอเข้าไปก็ไปกราบท่ีเท้าท่าน ท่าน ก็จบั ศรี ษะ แลว้ ก็ฮา้ ไปอยู่ที่ไหนมา ท่านวา่ ไปอยู่ท่ไี หนมา ทา่ นถาม ว่าไปจาพรรษาอยู่ท่ีไหนมา ก็เลยตอบท่านว่าไปอยู่วัดเหล่างา ขอนแก่นมาครบั ผม ทา่ นก็วา่ ไปอยไู่ รมา วดั ปา่ เหลา่ งา ขอนแก่นนั่น เราไปอยู่มาก่อนแล้ว ก็เลยบอกท่านว่า เกล้ากระผมไปเรียนบาลี ท่ี วดั ชีจันทรค์ รบั ผม ไปเรียนบาลี ไปเรยี นหาทางออก ท่านวา่ นะ หลวงปู่ฝ้ันท่านว่าเรียนบาลีเรียนหาทางออก เราก็นึกในใจ ไม่พูดออกมาเป็นการต่อเถียงกัน ก็นึกว่าเกล้ากระผมไปเรียนบาลี ไม่ใช่ว่าไปเรียนมาเพ่ือหาทางออก เรียนมาเพื่อเอาธรรมะไปปฏิบัติ แลว้ ไปสอนหมู่คณะศรัทธาญาตโิ ยมในวันต่อไปในข้างหน้า นึกในใจ พอนึกอย่างนี้ข้ึนมา หลวงปู่ฝ้ันท่านพูดข้ึนมาเลยว่า ความคิดนี่มันดี อยู่ นีอ่ าจารย์ฝ้นั เปน็ คนพูด กลบั ไปคดิ ใหม่นะ มันมีวิชามนั มีความรู้ มันอยากลองวิชาความรู้ เราก็คิดปฏิเสธ เอ้ มีความรู้อยากลอง ๙๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ ความรู้ มีวิชาอยากลองวิชา กลับไปขอนแก่นไปคิดใหม่นะ นี่ อาจารย์ฝ้ันเป็นคนพูดนะ มันไม่ใช่ทางไปนิพพานแล้ว นั่งรถกลับมา กค็ ิดมาจนถึงขอนแกน่ จากสกลนครมาถึงวัด ๓ วนั ๓ คืน คดิ ตลอด มาคิดได้ว่าคิดไปถึงเพื่อนที่เรียนอยู่ช้ันประถมด้วยกัน นอนเขียน หนังสอื อย่ทู ่ีโรงเรยี น โรงเรียนไม่มโี ตะ๊ นอนเขยี น สมัยกอ่ นโรงเรียน วัด เพ่ือนเป็นลูกมหาเปรียญ ๙ ประโยคมาอยู่วัดบรมนิวาส พ่อเขา สกึ ไป ไปแต่งงานไดล้ ูกชายคนน้ี เรยี นหนังสือพร้อมกัน พ่อกเ็ ป็นครู สอน มีวชิ าอยากลองวิชาเปน็ แบบน้ีเหรอ กลับไปคิดใหม่ นอ่ี าจารย์ ฝ้ันเป็นคนพดู นะ ท่านตบหนา้ อกเลย ตุ้มๆ กลับไปเน่ียคดิ ใหมน่ ะ นี่ อาจารย์ฝั้นเป็นคนพูดนะ คิดอยู่ ๓ วัน ๓ คืน พอคิดได้ ตี ๓ แต่ง บาตร จัดบริขารออกจากวัด ไม่เรียนหนังสือตั้งแต่บัดน้ันจนถึง ปจั จุบันน้ี ออกธุดงค์ต่อไป น่ีแหละ ธรรมะของหลวงปูฝั้นไม่ได้มาก เลย ถา้ คนไม่มีอุปนิสยั พูดแคน่ ั้นจะได้เร่ืองเหรอ ใช่ไหมล่ะ เรากเ็ ลย มาคดิ วา่ เอ้ พอเราเข้าป่ารบั รองตัวเอง เรานีช่ นะกิเลสแลว้ ท้งั หลาย แต่พอไปคิดถึงคาหลวงปู่พูด ถ้าหลวงปู่ครูบาอาจารย์พูดนี่มันไม่ผิด เราจะต้องไปแล้วไม่ต้องฝ่าฝืน ไปนี่ มี ๑ ไม่มี ๒ ไปเลย เข้าป่ารอบ ท่ี ๒ ไม่ง้ันคงได้เป็นพระมหาฯ อยู่ในเมืองแบบน้ีแล้ว คงไม่รู้จักการ เดินธุดงค์กรรมฐานมากเท่าไรแล้ว ก็จะได้สัมผัสนิด ๆ หน่อย ๒ ปี ๓ ปี แต่นี่ยังดีกลับเข้าป่าอีกหลายปี เดินล่องทั่วประเทศเลยทีนี้ น่ี คือการไปสัมผัสทางป่าทางเขา ความทุกข์ยากลาบากอยู่กินแบบ พระป่า สมัยก่อนลูกน้องขุนส่าแตกมาจากเมืองลาว สมัยก่อนเขา สงครามกันนะ เขาแตกมาก็ไปอยู่ทางภาคเหนือ ภาคอีสานตามป่า ๙๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ ตามเขา เขาก็จนนะ เราเป็นพระป่ายังไปอาศัยกินกับเขาอยู่เลย อาศัยกินกับพวกจน ๆ นี่แหละ ไม่มีหม้อ เขาก็เอาปี๊ปแขวนไว้ ได้ ข้าวมาเขาก็เทท้ิงตรงน้ี เอาน้าใส่ต้มท้ังวัน ได้ผักมาก็มาท้ิงตรงน้ี ได้ สัตว์มาเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มาทิ้งตรงน้ี ๑๕ วัน ๓๐ วัน ไม่เคยปรุงไม่ เคยเปล่ียนน้า ต้มต่อไปอยู่อย่างนี้ ก็ไปกินกับเขา จนกลิ่นเหม็น หม้ออาหารจนเหม็นก็ยังได้กินกับเขา มันถึงขนาดนั้น พระ กรรมฐานไม่กินก็ไม่ได้ ก็ต้องคิดว่าเขากินได้เขาไม่ตาย เราก็ไม่ตาย เห็นเขากินอยู่ทุกวัน เขาก็ไปทางานอยู่ รับจ้างตัดไม้ให้พวกนายทุน ทางเมืองเหนือ ก็ไปบิณฑบาต เขาก็เอาอันนั้นแหละมาตักใส่บาตร ให้ เหมือนข้าวต้มเละ ๆ ทั้งผัก ทั้งหนู พวกหนู พวกกระรอก กระแตนามาท้ิงตรงนั้นเลยเด้ ท้ิงลงเป็นตัวต้มไปไม่หยุดก็เป่ือย ก็ กินมันอย่างนน้ั ไม่มีเครือ่ งปรุงหรอก เรากไ็ ปอาศัยกินกับเขา เอาชีวิตรอดเปน็ ยอดดี ก็ได้ภาวนา ดีอยู่ ภาวนาด๊ีดี แต่จะพูดถึงอาหาร ถ้าปัจจุบันน้ีกลับไปกินคงจะ อ้วก อ้วกแตกเลย ขนมันก็ไม่ถอนเด้ มันต้มลงไป กระต่ายมันท้ิงลง ไป มนั ไมเ่ อาขนออกเด้ ท้งั ขนทัง้ อะไรมนั เอาลงหมดท้งั ตัวเลยเด้ นนั่ แหละ กินของป่ามันเป็นอย่างน้ัน พวกมูเซอ กะเหร่ียง อีก้อ พวก ยางอยใู่ นปา่ ในเขาสมัยก่อน ไปอยูก่ บั พวกชาวเขา แต่ไปอยู่กบั เขาก็ รักเขาเด้ เขาจะเคารพภิกษสุ ามเณร ลกู เขาตวั เลก็ ๆ เขากม็ าว่งิ หิ้ว ของเรา เวลาเราบิณฑบาตได้ มาคอยหิ้วถือน่ันถือน่ี วิ่งตามนาหน้า เราไปถึงกุฏิไปที่พักกระท่อมน้อย เราฉันแล้วก็แบ่งไว้ให้เขา ได้มา น้อยก็ฉันน้อยต้องเหลือไว้ให้เด็กด้วย ใช้ดี เด็กชาวเขามันแข็งวิ่งขึ้น เขา ใช้อะไรมันวิ่งแจน้ เลย ใช้คนกรงุ เทพ ฯ คงล้มคะมาตายแล้ว ๙๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ อันน้ีเป็นเด็กชาวเขา ไปอยู่กับเขาก็เป็นชาวเขากับเขา มี ความสุขเวลาจะทาทางจงกรม เรียกมาดายหญ้าน่ี โอ้ว มันขยัน ทา ซะเตียนเลย เด็กชาวเขาใช้ง่าย น่ีคือการไปธุดงค์กรรมฐานได้ ประสบการณ์มาเป็นเวลาหลายปี หลวงปู่ก็ชอบติดตามศิษย์หลวงปู่ มั่น ก็เดินทางไปทางอุบลฯ ไปบ้านเกิดของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่ม่ัน ไปดวู ดั เก่าทา่ น แลว้ ก็ไปวดั นน่ั วดั นี่ ไปนครพนมไปดวู ัดทที่ า่ นปฏิบัติ ธรรม ตรงไหนท่ีท่านมีลูกศิษย์ตรงไหนก็ไปหลายวัด แล้วก็มาทาง สกลนคร ไปหมดทุกวัดท่ีเป็นสายของหลวงปู่มั่นสมัยก่อน แล้วก็ลูก ศิษย์หลวงปู่ม่ันรุ่นใหญ่ หลวงปู่ได้ไปหมด ติดตามไปหาครบหมด ทางเชียงใหม่ก็ไปหลวงปู่ต้ือ หลวงปู่แหวน หลวงปู่สิม ต่อมาก็หา หลวงปู่หลวง หลวงปู่แว่นท่ีอยู่วัดป่าสทุ ธาวาส แล้วก็หลวงปู่สมิ กไ็ ป จาพรรษาอย่ทู ีถ่ า้ พระสบายกเ็ อาไปทน่ี ู่น ผลสุดท้ายก็ไปหาหลวงปู่แว่นอีก พระกรรมฐานก็ไปทาง ภาคเหนือกันเยอะ หลวงปู่ก็ติดตามไปหลายที่ไปจนถึงปักษ์ใต้ แล้ว ก็มีสายกรรมฐานทางปักษ์ใต้ลงไป ข้ึนไปทางอุดร ฯ แล้วก็ตามดูว่า ข้อวัตรปฏิบัติจะเป็นอย่างไร เราก็ตามไปดูแต่ละท่านนี่ ยอดเยี่ยม ดีเด่นที่เราตามหามันประทับใจ ที่จังหวัดเลยก็ไปหาหลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุย เพ่ือนรุ่นพี่ ครูบาอาจารย์รุ่นเดียวกัน ไปปฏิบัติแถว จังหวัดเลยด้วยกันก็หลายรูป สมัยก่อนน่ีคือมันต้องมีหมู่มีพวก ไป แล้วเนี่ยต่างคนก็ต่างปฏบิ ัติ ตกบ่ายมาก็พากันกวาดตาด ทากิจวัตร เสร็จแล้วก็พากันไหว้พระสวดมนต์ เข้าทางจงกรมของใครของมัน เช้ามาก็ออกบิณฑบาต ใครจะฉันก็ไป ถ้าใครไม่ฉันก็ไม่ต้องออก บิณฑบาต บางทีอยู่กัน ๑๐ รูป ออกบิณฑบาตเพียง ๔ - ๕ รูป ไม่ ค่อยฉันกันเด้ พระหลายอยู่แต่ออกบิณฑบาตเพียง ๒ - ๓ รูป ออก ๙๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ บิณฑบาตถือว่าได้ฉันเพราะโยมเขาทาบุญตักบาตร แต่พวกหน่ึงอยู่ ไป ๔ - ๕ วัน ๗ - ๘ วัน ถึงออกมาบิณฑบาต สลับกันไปแบบนี้ คือ สมัยก่อนปฏิบัติกันอย่ำงน้ัน ไม่ได้สอนกันมำกแต่มีจิตใจเอำใจใส่ ในเร่ืองพระวินัย จะเอำหนังสือพระวินัยมำอ่ำน ศีลแต่ละข้อให้ เขำ้ ใจ ทำอยำ่ งไรจะไม่ผิดศีล ทำอยำ่ งไรเรำจะเปน็ ผู้บริสุทธิ์ กำย บริสุทธิ์ วำจำบริสุทธ์ิ ใจบริสุทธิ์ เรำจะสงบเสง่ียมเจียมตัว อยำ่ งไร จะไม่กระทบกระเทอื นกับกำรปฏิบตั ิของเรำ ถ้ำเรำบริสุทธิ์มันก็ไม่กระทบกับกำรปฏิบัติ จิตของเรำก็ จะสงบได้ง่ำย มันประกอบกันเด้ รักษำศีลกับสมำธิมันเป็น องค์ประกอบกันเลย พวกเรำรักษำศลี ยังเป็นปำรมีสัมปันโนอยู่ ก็ ใหร้ กั ษำศลี ๕ ให้บริสทุ ธ์ิกแ็ ล้วกัน ต้องหนกั แนน่ เด้ ไปสังคมก็อย่า เอาสังคมมาอ้างว่าสังคมเขาก็กินเหล้าเมายาเป็นเร่ืองธรรมดา มัน ไม่ใช่ธรรมดาเด้ กินเมื่อไรมันก็ผิดเม่ือนั้น ทาผิดศีลข้อไหนมันก็ผิด เมื่อนั้น ศีล ๕ ข้อน่ี อย่าไปทดสอบอย่าไปทดลอง สมมติก็ไม่ได้ น้า นา้ ชา พระฉนั ได้ไม่เป็นอาบัติ น้าเยน็ พระก็ฉันได้ไมเ่ ป็นอาบตั ิ แต่ถา้ เกิดว่าสมมติสนุกขึ้นมา คุยกันสนุกสนานคุยกัน เอ้ย ได้กินเหล้ากัน เว้ย ชนแก้วกัน กรึบ อ้า ไม่ใช่เหล้าหรอก แต่เป็นเหล้าสมมติก็ผิด แลว้ สมมตไิ มไ่ ดเ้ ลยเรือ่ งพระวินัยเรอื่ งศลี เพราะฉะน้ันอย่าไปสมมติอย่าไปเล่น ไม่ใช่ของเล่น ธรรมะ ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของเล่น ต้องจริง ๆ นะ คือข้อตักเตือน ตักเตือนคืออย่าไปเล่นก็แล้วกัน ข้อผิด ไม่เชื่อก็ถามมหาดูสิ เป็น พิธีกร ถามดู สมมติได้ไหมว่าเป็นสุราแล้วก็ด่ืมลงไป ผิดอาบัติไหม ผิดไม่มีพลาดเลย สมมติไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ แต่ถ้าสมมติมันจะเป็น มันเป็นความประมาท ปะมำโท มัจจุโน ปะทัง ควำมประมำทเป็น ๙๙
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110