มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลมท่ี ๖ มันนอย จงทําชีวิตท่ีมันนอยใหมีคุณคาที่สุด เราไมรูวาเขาเขียนให เราเทา ไร แตท แี่ น ๆ คือวนั นี้เราไมประมาท เราใชชีวิตของเราอยาง มีคุณคา เราสละความสุขสบายสวนตัวมาประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติ บูชาพระพทุ ธเจา พระธรรมเจา พระสงั ฆเจา และนอ มเอาบญุ กุศลที่ เราตั้งใจทํานถี้ วายอุทิศเปนพระราชกศุ ลแดพระบาทสมเด็จในหลวง รัชกาลท่ี ๙ ถวายเปนพระพรชัยมงคลแดพระบาทสมเด็จในหลวง รัชกาลท่ี ๑๐ พระบรมวงศานุวงศทุกพระองค และอุทิศบุญกุศล ใหกับบิดา มารดา ญาติ ผูมีพระคุณกับเราท้ังหลาย สมกับที่วาเรา ไดเกิดมาเปนชาวพุทธ ไดรูวาอะไรดี ไมดี ไดตอบบุญแทนคุณผูมี พระคุณ ไดตอบบุญแทนคุณแผนดินเกิดท่ีเราไดเกิด ไดอาศัยเล้ียง ปากเลยี้ งทอ งจนไดถงึ อายขุ นาดนใ้ี นปจ จบุ ัน สดุ ทายในการกลาวธรรมบรรยาย อาตมาภาพขออาราธนา คุณพระศรีรัตนตรัย ขอจงมาดลบันดาลใหทานสาธุชนทั้งหลาย เจรญิ ดวยพรชยั ท้งั ๔ คือ อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ พรอ มท้ังปฏภิ าณ ธรรมสาร ธนสารสมบัติ ปรารถนาสิ่งหน่ึงประการใดท่ีเปนไปดวย ชอบและประกอบดวยธรรมขอใหความปรารถนาน้ัน ๆ ของทานจง สําเรจ็ ทุกประการเทอญ เจรญิ พร ๙๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๒ เลมที่ ๖ พระครูเมตตากิตตคิ ุณ (หลวงพอสมหมาย อตั ตะมะโน) วัดปา สนั ติกาวาส ต.ไชยวาน อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี แสดงเมื่อวันอาทติ ย ที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนาราม ราชวรวิหาร นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพทุ ธสั สะ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพทุ ธัสสะ สัพพะระโส ธมั มะระสัง ชินาติ อมิ สั สะ ธมั มะปะริยายสั สะ อัตโถ สาธายสั สะมันเตหิ สักกจั จัง ธัมโม โสตพั โพติ ๙๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลมท่ี ๖ ตั้งใจ ต้ังกาย เอา นั่งทาขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซาย วางมือ ขวาทับมือซาย ต้ังกายใหตรง ไมใหเอียงขางซายขางขวา ไมใหกม นัก ไมใหเงยนัก เรียกวานั่งฟงธรรม ปฏิบัติธรรม ลงมือปฏิบัติธรรม ดวยการน่ังเจริญสติ สมาธิ ถาผูท่ีไมไดน่ังขัดสมาธิก็นั่งใหสบาย นั่ง อยูทาไหนใหสบาย ๆ เรียกวาตั้งเคร่ืองรองรับธรรมะ กายไม กระดุกกระดิก แตงใหดีใหสบาย วานั่งสุขสบายอยางนี้ สบายเต็มท่ี แลวก็แตงใจ ใจเปนธรรม ธรรมแทคือใจ ใจนี่เปนธรรมชาติรู เปน ธรรมชาติอันหนึ่งเรียกวาธรรมชาติใจ เปนสิ่งท่ีเราไดมาดวยความ เปนธรรม ไมมีใครหยิบย่ืน ไมมีใครนํามาให แตใจน่ีเขาเปนใจ เปน ธรรมชาติรู สวนกายนี่ถือวาไดสมบัติของกายมาจากบิดามารดา ทั้ง สองอยางน้ี กายเรียกวาเปนรูปธรรม ใจเปนนามธรรม เรามีสมบัติ ธรรมอยูสองอยาง แตละทานแตละคน คือกายกับใจ กายเปนท่ีอยู อาศัยของใจ หรอื กายเปนเรอื นรบั เปนเคร่ืองมอื ของใจ ใจไมมีอะไร มีแตธรรมชาติรู แลวก็เปนท่ีสัมผัสหรือท่ีเกิดของสัญญา เวทนา สังขาร ความนึกคิดปรุงแตงก็เกิดข้ึนท่ีใจ อาศัยใจเปนที่เกิดเวทนา สุข ทุกข ที่เรารูวาเรามีสุขมีทุกขก็อาศัยเกิดข้ึนที่ใจ เรียกวา เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ อาการรับรู อาการรับรเู มื่อสุขเกิดข้นึ ความ สบายเกดิ ขน้ึ อาการรบั รเู มอื่ ทกุ ขเกิดข้ึน หรือเมื่อความเฉย ๆ ไมสขุ ไมทกุ ข กร็ ทู ่ีใจ ทําไมเราจึงตองมาฟงธรรมะ แลวมาปฏิบัติธรรมะ เพราะวาเรามีธรรมะ คือรูปธรรม มีใจคือนามธรรม และมีอาการ แหงขันธ ๕ ที่เกิดขึ้นท่ีเปนนามขันธ คือส่ิงท่ีไมมีตัวตน แตมีอาการ จําไดหมายรูนึกคิด ปรุงแตงสุขทุกขเฉย ๆ รับรูสุขทุกข รับรูนึกคิด ปรุงแตง รับรูเฉย ๆ อาการเหลาน้ีเกิดขึ้นจากการรู รูคือใจ เด๋ียวนี้ ๙๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๒ เลม ท่ี ๖ กายของเรายังไมฉลาด ใจคือความรู รูนี้เปนความรูก็จริงแตเปน ความรูทย่ี ังมีความหลงปดบังอยู เพราะฉะน้ัน จึงตองไดม าศึกษามา อบรม มาเรียนรูเร่ืองธรรมะ มาเรียนรูเร่ืองกายเร่ืองใจ มาเรียนรู เรื่องรูปธรรม คือกาย นามธรรมคือสุขทุกขเฉย ๆ จําไดหมายรู นึก คิดปรุงแตง แลวก็รับรูตามความนึกคิดปรงุ แตงน้ัน รับรูสุขรับรทู ุกข รับรูว ุนวายรับรสู งบ ไมไดเ กดิ ข้นึ ทอ่ี ่ืน เกิดขน้ึ ท่ีใจที่วา รู รูน เี่ อง เรามีสมบัติธรรมอยู ๒ อยาง แตวายังไมเขาใจ ไมแจมแจง จึงตองมารับการอบรม จึงตองมาฟงการพูดการกลาวธรรมะ แลวก็ มาปฏิบัติมาลงมือกระทํา แตงกายใหสงบ แลวก็แตงใจดวยอุปกรณ ดวยเคร่ืองมือท่ีจะปรับปรุงใจของเราใหเปนความรูดีรูชอบดวยการ ปฏิบัติ ไมมีส่ิงอ่ืนใดที่จะรักษาโรคทางใจของเรา ใจเปนโรค โรค ทุกข โรคยาก โรคเจ็บ โรคปวด โรคเหน่ือย โรคหิว โรคโลภ โรค โกรธ โรคหลง หลงยดึ มั่นถือมั่น เรยี กวา หลงกายหลงใจ หลงสุขหลง ทุกข หลงความนึกคิดปรุงแตง เรียกวา หลงสังขาร คิดสิ่งใดส่ิงหนึ่ง แลวก็หลงคิดหลงปรุงไปเร่ือย หลงไปตามอวิชชา หลงไปตามความ อยากของกิเลสที่มันเกิดข้ึน เพราะไมรูตามความเปนจริงนั่นเอง จึง เปนเหตุใหเกิดทุกขโทมนัสข้ึนภายในจิตใจของเรา ความทุกข โทมนัสเกิดข้ึนแลวไมมียารักษา ยาแกปวดทันใจก็รักษาไดแตปวด ทางกาย ปวดเจบ็ ทางรางกาย สว นความเจบ็ ปวดทางใจไมม ี มีแตยา ธรรมโอสถ ยาของพระพุทธเจาเรียกวา ยาธรรมโอสถ หรือพุทธ โอสถ สังฆโอสถ ก็เรียกวาธรรมะ ธรรมะคอื สติ เปน ธรรมคุม ครอง ธรรมะทุกสวน สติ-ความระลึกรู สติระลึกรูอยูกับใจ อยูกับผูรู เปน ยาธรรมะท่ีสนับสนุนใหกําลังแหงโอสถ ธรรมโอสถอยางอ่ืนมีกําลัง เชน สมาธิ สมาธิคือความท่ีจิตมีอารมณอันเดียว ตั้งมั่นรู รูอยูใน ๑๐๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลมท่ี ๖ ตัวเอง ต้ังมั่นอยูในความรูความระลึกรูปจจุบัน หรือตั้งมั่นอยูในลม หายใจเขาหายใจออก น่ีก็สมาธิ นี่ก็เปนยาธรรมโอสถ คือสมาธิ ธรรม ปญญา - สัมมาทิฎฐิ ทิฎฐิคือความเห็นชอบ นี่หากวา เห็นชอบดวยเหตุผลดวยความเปนธรรม เห็นความจริงตามสภาวะ แหงความเปน จริงในขนั ธ ๕ ทเี่ รามีสมั ผสั สมั พนั ธกนั อยู เรียกวาเห็น ความไมเท่ียง เห็นความทนอยูไดยาก เห็นความไมใชตัวใชตนใน ขันธ ๕ ในสังขาร ตามคําสอนของพระพุทธเจาที่ทรงแสดงในธรรมะ ทีเ่ รียกวา ธัมมนยิ าม สพั เพ สังขารา อนจิ จา คาํ วา สงั ขาร ก็คือสิ่ง ท่ีเกิดขึ้นมีจิตใจเปนเจาของดวย สิ่งที่ถูกปรุงแตงหรือถูกสรางข้ึน หรือถูกกอเกิดข้ึนดวยธรรมชาติคือ ดิน น้ํา ไฟ ลม ทําใหมีการ เกิดข้ึนเชน ในทะเลทราย ลมพัดทรายมารวมเปนกองเปนภูเขา นี่ เรียกวาเกิดข้ึน พอไมนานก็ถูกลมพัดซัดไปทางอื่น ภูเขาทรายกอง นั้นกไ็ ปปรากฏขนึ้ ที่อื่น อยางนีเ้ รียกวา สังขารท่ีเกิดขน้ึ โดยธรรมชาติ ดิน น้ํา ไฟ ลม หรือเกิดขึ้นดวยการคิดปรุงแตงของผูมีจิตวิญญาณ เชนสรางรถสรางรา สรางบานสรางเรือน เหมือนอยางศาลาท่ีพวก เราอาศยั น่งั ฟงธรรมอยูน้ี ถกู สรางข้ึนมา แตไ มมจี ติ ไมม ใี จ สิ่งเหลา น้ี เรียกวามันจะทนอยูไมได เรียกวา “ทุกขัง” มันจะทนเปนอยูอยาง นี้ตลอดไปไมได เด๋ียวมันก็จะแปรปรวนไป เรียกวา “ทุกขัง” “อนัตตา” หาความเปนตัวเปนตน เปนไปตามความอยาก อยาก ใหเปนตามความบังคับแตเขาเปนไมได แตเขาเปนไปตามธรรมชาติ ตามความจรงิ ของเขา เชน รา งกายของเรานี้เกิดมาแลว กม็ ีความเจ็บ มีโรคมีภัย แลวกแ็ กไ ปเรือ่ ย สดุ ทา ยกช็ ํารดุ ทรดุ โทรม แลวกส็ ลายไป ๑๐๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๒ เลมที่ ๖ อันน้ีคือความเปนจริงแหงธรรมะท่ีเรียกวา อนิจจัง - ไมเท่ียง ทุก ขงั - เปนทุกข อนตั ตา - ไมใชต วั ใชต น ใจของเราไมไดศึกษาใหรูใหเขาใจตามความเปนจริง ก็มา เสียอกเสียใจหรือมาขัดเคืองในความรู รูคือใจเกิดเปนความอยาก เกิดเปนตัณหา อยากใหเปนอยางนูนอยางน้ี แตมันไมเปนไปตาม ก็ เกิดเปนกริ ยิ า เปน อาการจากความทุกข ความไมส บายข้ึนภายในใจ ของเรา เพราะความหลง ความไมรูตามความเปนจริง เพราะความ ไมมีธรรมะ คือรูจริงเห็นจริงในสภาวะแหงสังขารตามความเปน จรงิ ดวยเหตุนี้ เพ่ือรักษาโรคแหงความทุกข โรคแหงความไมสบายท่ี เกดิ ขึ้นภายในจติ ใจของเรา ดวยธรรมะตามคาํ สอนของพระพุทธเจา จึงหันเขามาสูการปฏิบัติ เม่ือไดยินไดฟงแลวเร่ืองกายเร่ืองจิต จะรู ความจริงของเขาไดดวย สติ สมาธิ ปญญา นี่เปนยา สติเปนยา โอสถ สมาธิเปนยาโอสถ ปญ ญาเปนยาโอสถ เรียกวา ธรรมโอสถ หากวาผูใดประพฤติปฏิบัติธรรมะ เจริญสติใหตอเน่ืองกัน เชนกําหนดรลู มหายใจ ในเมื่อเราแตงกายดีแลว ก็ตั้งสติ ดูลมหายใจ เขาหายใจออก พรอมกับหายใจเขาก็นึก-พุท หายใจออกก็นึก-โธ ตามแบบที่พระพุทธเจาไดทรงสอน หรือหายใจเขากําหนดรู หายใจ ออกก็กําหนดรู ไมเที่ยง เขาไปก็ไมเที่ยง ออกมาก็ไมเที่ยง เพงมอง เห็นความเกิดความดับ เกิดกับดับ หรือเกิดกับตายอยูดวยกัน ใน ขณะเดยี วกันหายใจเขาไปน่ีเกดิ แลว ก็ดับพรอม หายใจออกมาก็เกิด แลวก็ดับพรอม เอาสติระลึกรูอยูกับอารมณอันเดียวเทาน้ี พระพุทธเจาปฏิบัติมากอน ทํามากอน เรียกวาเพงใจในลมหายใจ เขาหายใจออก ไมตองไปใสใจอยางอื่น ขณะท่ีเราปฏิบัติขณะน้ี เด๋ียวน้ี สนใจอยูแตกับหายใจเขาหายใจออกเทาน้ัน ส่ิงอยางอื่นจะ ๑๐๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๒ เลม ที่ ๖ เปน ตายรา ยดีอยา งไรทอดธรุ ะไป เพราะขณะนเ้ี รามาทาํ การงาน มา ทําการงานภาวนาการงานปฏิบัติธรรม เพ่ือใหสติระลึกรูกับลม หายใจสัมผัสสัมพันธกัน เมื่อมันสัมผัสสัมพันธกัน ละเอียดเขาไป เรียกวา ใจคอื ความรูของเรามันทิ้ง มันทิ้งความเขา ไปยดึ ไปถือสิง่ อน่ื แมแตยึดถือลมหายใจวาจะตองใหเปนอยางนั้นอยางน้ีก็ ไมใหมี คือไมใหแตง ไมใหอยาก ดูในจิต ในความนึกคิดในความรู ของเราดี ๆ แลวความอยากน่ีเรียกวาสละ สละดวยการนึกลม หายใจเขา หายใจออก หรือนกึ หายใจเขา -พุท หายใจออก-โธ น่เี ปน การฝกธรรมะในเบ้ืองตน เรียกวาสมถธรรม เพื่อทําสติระลึกรูให ตอเนื่องกัน แลวก็เปนสัมปชัญญะ-ความรูตัว เรียกวาใจรูใจ จะรู ตอเนื่องกัน รูการเคล่ือนไหวกับลมหายใจเขาหายใจออก ดูเขาดู ออก ๆ นี่ก็จะหายจากโรคความกังวลตาง ๆ รูสึกวาใจเบา ความรูน ่ี มนั รเู บา ๆ กายก็ไมห นกั ไมหนวงเพราะอุปาทานอยางอื่น เพราะเรา ทอดธุระ เราไมไดใสใจกับกาย รางกายสวนอ่ืนก็เหมือนกับวาไมมี จติ ใจเขาไปรับรูมันก็ไมมีอะไร ขณะนี้รูอ ยทู ่หี ายใจเขาหายใจออก นี่ จะทําใหกายเบาใจเบา เม่ือมันแนวแน ผานการนึกการระลึกเขาไป เหลือแตรู วาง รู สบาย แตวาสติระลึกรูแนวแน ใจคือความรู น่ี ๓ อยาง สติ ใจ อารมณกรรมฐาน คืออารมณที่เราเพง กลมกลืนกัน ๆ มนั ยงั เปน อาการหยาบ ๆ อยู อาการที่วาสติระลึกรู ถามันละเอียดเขาไป ทีนี้ก็ไปเหลือ แตอาการรู รูวาง รูเบา รูสบาย น่ันเรียกวามีรสมีชาติในการสัมผัส กบั คาํ วา ศลี -สีลสังวรณ คอื ความมีสตติ อ เนือ่ งกนั ใจจะไมค ดิ ไม ปรุง ไมฟุงซานวุนวาย มันแนบแนนเขา เปน สัมปชัญญะ เปน ความรูตัวเปนปจจุบัน ย่ิงมีรสชาติ น่ีเรียกวารสชาติของสติธรรม ๑๐๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๒ เลม ท่ี ๖ สมาธิธรรมสัมผัสกับใจ ไมมีรสชาติอยางอ่ืน ท่ีเราสมมติวาเปนรส รสที่สัมผัสกับล้ิน รสเปร้ียว รสหวานรสมัน รสขม อะไรนั่น จะไป เอาส่ิงเหลานั้นมาเปรียบเทียบ เปรียบเทียบไมได สูรสของสติธรรม สมาธิธรรมไมได มีความซาบซานซาบซึ้ง มีความชุมช่ืนเยือกเย็น ไม มีความสุขอ่ืนใดจะย่ิงไปกวาความสุขในสมาธิธรรม สติธรรม น่ี ความสุขท่เี ปน รสเปนชาตใิ นสตสิ มาธิ เมื่อเราฝกใหไดสมาธิแลว รูวาจิตของเราไมมีอาการ วอกแวก สายแสไปตามสิ่งที่กระทบสัมผัสทางอายตนะ แมแตทาง รางกายของเรา ความรอน ความเย็น สัมผัสเราก็ไมกังวล ไมกระวน กระวาย เพยี งแตรวู ารอ นรวู าเย็น แลว กต็ กไป สตกิ ับใจกลมกลืนกัน อยูกับธรรมชาติรูคือใจ ก็เปนความสุขละเอียด เรียกวามีรสมีชาติ จากความสุข มีสติตอเน่ืองและสมาธิ น่ี คําวาสมาธิธรรม ใจตั้งมั่น อยูกับใจ ใจมีอารมณอ ันเดียวเปน เคร่ืองรเู คร่ืองระลกึ จะมีความเบา ห า อ า ร ม ณ อ ะ ไ ร ห รื อ ว า ร ส ช า ติ อ า ร ม ณ จ า ก อ ย า ง อื่ น เ ข า ม า เปรียบเทียบไมได นี่เปนรสชาติแหงธรรมะ รสชาติแหงสติธรรม สมาธธิ รรม จรงิ ๆ และรสชาตขิ องปญ ญาธรรม เมื่อฝกสมถะ คือใจมีอารมณอันเดียวเปนท่ีต้ัง ไมวุนว่ี วุนวาย ไมสายแสไปตามความวิตกวิจารณคือความอยากอันโนน อัน นี่ ความอยากหายไป ความวิตกวิจารณหายไป มีแตความรูเปน อันหน่ึงอันเดียวกัน ทานจึงวารูอยูกับรู รูอยูกับรู เห็นอยูกับเห็น เห็นรูปเห็นใจ มันวางโลกธาตุ โลกท้ังโลกท่ีเคยมีสีสันวรรณะ มี ลักษณะรอ น ๆ หนาว ๆ ลกั ษณะสูง ๆ ตาํ่ ๆ มนั ไมมีความหมาย ไม มีสัญญาสังขารไปหมายม่ัน สัญญาสังขารก็รวมเขาอยูเฉพาะความรู คือใจ น่นั มีรสมีชาตอิ ยา งยงิ่ ๑๐๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๒ เลม ที่ ๖ เม่ือทําสมถธรรมใหไดกําลังแลวก็พิจารณา สวนเร่ือง พิจารณานเ่ี ปนเร่อื งปญญา ความเห็น ความดําริ เปนปญญา ทานจึง วา สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ ถามันรวมความรูความเห็นลงเปน ความเห็นที่ถูกตองก็เรียกวาปญญาชอบ ความดําริชอบ ความ เห็นชอบ นี่เปนกิริยา เปนอาการของสวนปญญา ในเม่ือเรากําหนด รูลมหายใจเขาหายใจออก มันรวมตั้งแนวลงไป ขอสําคัญ ระวัง ตรงทีเ่ หมอื นกบั ลมหายใจจะหมด เวลาสตกิ ลมกลนื กนั กบั ลมหายใจ กับความรูกลมกลืนกัน และก็หายใจ เหมือนกับหายใจเบาเขา ๆ ก็ จะกลัว กลัววาจะตาย กลัววาจะหมดลมหายใจ ก็เกิดความวิตก ขึ้นมา นั่นเรียกวาจิตถอนจากสมาธิ ก็มาเปนความหยาบ เปน ความรูหยาบ ๆ มานึก พุทโธ ๆ ๆ อีก ถาหากวาละเอียดเขาไปแลว ก็ไมตองไปกลัวเปนกลัวตาย มันจะตายก็ใหมันตายไป มันเจ็บมัน ปวด เจ็บก็เจ็บไป ปวดก็ปวดไป แตสตกิ ับความรใู หแนว เปนอันหนึ่ง อันเดียวกัน แลวก็วิตกหรือวานอมพิจารณา นอมพิจารณาลงสู ไตรลักษณ เอาไตรลักษณเปนหลัก เปนหลักของการเดินปญญา เปนหลักของการฝนปญญา ฝนดวยสติ ฝนดวยสมาธิ ฝนลงสู ลักษณะที่ไมเที่ยง เปนทุกข ทนอยูไดยาก และหาความเปนตัว เปนตนไมม ี ไมม อี ํานาจอันใดจะไปสกดั กนั้ ความเกิดและความดับ เมือ่ มันมีเกิดข้นึ แลวมนั ก็ตองดับไป สังขารรางกายของเราเกิดข้ึนมาจากการประชุม สังขาร ขันธ ๕ เกิดข้ึนมาในเบ้ืองตนเปนเด็กเลก็ ก็แกไป ๆ กําหนดรูเขาไป ตามความเปนจริง เหมือนชีวิตของเราที่ผานมา เราเห็นบุคคลอื่น สัตวอื่นก็ตกอยูในสภาวะอันเดียวกัน เรียกวาเกิดแลวทนอยูเปน ปจจุบันไมได เปนเด็กแลวจะใหเปนเด็กอยูอยางนั้นไมได หรือมี ๑๐๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๒ เลม ที่ ๖ ความสุขความสบายเพราะการอยู การรับประทาน การยืน การเดิน การน่ัง การนอน รางกายของเราเวลาไมมีโรคไมมีภยั หรือเวลาธาตุ อากาศมันไมวิปริตก็จะรูสึกวาเรามีความสุขความสบาย แตถาธาตุ มันวิปริต ธาตุภายนอก ผืนแผนดิน ดิน น้ํา ไฟ ลม มันวิปริต ความ รอนก็รอนมาก ๆ ความเย็นก็เย็นมาก มันก็จะเกิดความไมสบาย หรือแมแตในรางกายของเรามันเกิดความวิปริต เกิดเจ็บ เกิดปวย เปนโรคเปนภัยอะไร มันหาความสุขไมไดหรอก ทานจึงวา ทุกข คือ ความทนไดยาก มันมาดวยกัน คําวา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใน รูปธรรม ในนามธรรมเปน เหมอื นกัน คนอยูใหดงี ามใหสขุ สบาย เปน คนสวยงามจะใหสวยงามตลอดไปก็ไมได เดี๋ยวก็แปรสภาพไป ก็แก ไป เห่ียวแหงไป ยิ่งสุดทายถาย่ิงหมดลมหายใจแลว ก็ย่ิงไมมีตัวไมมี ตน ละลายไป ธาตดุ ินเปนดิน นํ้าเปนนํ้า ลมเปนลม ไฟเปน ไฟ นค่ี ือ อุบายที่เราจะตองใชปญญาวิตกวิจารณพิจารณาดูธรรมะท่ีมีอยูใน ตวั ของเรา ในกายของเรา คอื รปู รา งกายของเรา อาการ ๓๒ เมอ่ื กาํ หนดดกู าํ หนดรดู วยสติท่ตี อเนื่องกนั ตัง้ มน่ั เปน สมาธิ กระแสแหง ปญญา อาการของคาํ วาปญญาที่วารู เขาใจ เขา ใจในสัจ ธรรมทเี่ ปนธรรมะฝา ยปรมตั ถธรรม ฝายความเปนจริง เกดิ แก เจบ็ ตาย ไมเท่ียง เปนทุกข ไมใชตัวตน มันก็จะเขาใจ เขาใจ “อนิจจัง” คําวา อนิจจัง-ไมเที่ยง มันก็จะเขาใจไปหมด รูปไมเที่ยง เวทนา สญั ญา ภายนอกภายใน ตกอยใู นกระแสแหงความไมเท่ยี ง ตกอยูใน ความเปนธรรมที่ไมเที่ยงเหมือนกัน ตกอยูในความเปนธรรมท่ีวา ทุกข หรืออยูเปนปกติไมไดเหมือนกัน ตกอยูในธรรมท่ีเรียกวา “อนัตตา” ไมใชตัวใชตน มันจะรูมันจะเห็นแจมแจง ถารูเห็นแจม แจงดวยปญญา สติปญญาอันน้ี สติปญญาทํางานกลมกลืนกันใน ๑๐๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๒ เลมท่ี ๖ อิริยาบถท้ัง ๔ ไมไดเรียกวา ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทํา พูด คิด นี่ สติกับปญญากับใจกลมกลืนกันอยู ความรูน้ี เม่ือมันประชุมลง สวางจาข้ึนภายใน ความรู รู อนิจจังแทเปนอยางนี้ ทุกขังแทเปน อยางนี้ อนัตตาแทเปนอยางนี้ มันคือในใจของเรา มันไมมีตัวตน ภายในใจในธรรมชาติรู ๆ แตมันมีความรูอยู น่ันจึงวาเหลือแต โครง ส่ิงท่ีมาฉาบทา สิ่งท่ีมาอาศัยอยางอื่นไมมีแลว เหลือแตโครง ธรรม คอื คาํ วาปญ ญา หรอื คาํ วา รู รดู วยปญ ญาน่ี คอื รูอ นจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา มี ๒ อยาง ธรรมะท่ีรสมีชาติ สัมผัสกับจิตใจกับความรูของ เรา รูแท ๆ จะทําใหหายโรค โรคทุกข โรคอยาก โรคหิว โรคทุกข กายทุกขใ จจะไมม ี จะเหลอื แตเ ปน ธรรมชาติ รู ละ วาง วาง วางเฉย ส่ิงนี้เกิดข้ึน ส่ิงน้ีดับไป ก็รูตามความเปนจริง ส่ิงน้ีทนอยูไดยาก รูป ทนอยไู ดย าก เวทนาทนอยไู ดยาก สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ จะรูดวย ธรรม ดวยปญญาธรรม ดวยญาณทัสสนะ เกิดข้ึนจากการบริกรรม ภาวนา ในเบ้ืองตนที่เราประพฤติปฏิบัติ ถาเรามาทําอยางนี้ เรา กําหนดตั้งสติความระลึกรูมารูกับจิตใจของเราใหสติตอเน่ือง บริกรรม พุท-หายใจเขา โธ-หายใจออก ๆ อยางนี้ ทําใหชํานิ ชํานาญ เมื่อทําใหชํานิชํานาญก็เรียกวาเปนความท่ีเปนบารมี เปนนิสัยเปนปจจัย เพราะปกติเราไมไดทําอยางน้ี เราทําแตงาน อยางอ่นื เราทาํ แตง านสนองความอยากท่ีเรียกวา ตณั หา “ตัณหา” ทานแปลวา ความอยาก อยากดวยความหลง เรียกวาเปนตัณหา ความอยากที่เปนกิเลสหรืออยากท่ีเปนมลทิน เพราะมันจะทําความเศราหมอง ทําความเรารอน เปนเมฆ เปน หมอก เปน ผง เปน ธลุ ี เปน ฝุนละออง เขามาปกคลมุ กับธรรมชาติใจ ๑๐๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลมที่ ๖ ของเราเร่ือย ๆ สุดทาย ก็กลายเปนวาใจของเราท้ังดวงท่ีเปน ธรรมชาติแหงความรูก็กลายเปนไมรู คือไมรูความจริงตามเปนจริง ไมรูสมมติตามเปนจริง เมื่อไมรูสมมติตามเปนจริงมันก็ด้ินรน ความ ดิ้นรนมันเปนความรอน ความดิ้นรน ความทะเยอทะยาน มันเปน กามตัณหา เปนภวตัณหา เปนวิภวตัณหา เรียกวาเปนเหตุใหทุกข เกิด ในอริยสัจธรรมที่พระพุทธเจาทรงแสดงในอริยสัจ ๔ มันเปน กิริยา เปนอาการ กิริยาอาการแหงความอยาก กิริยาอาการแหง ความทุกข มันเกิดอยูที่ใจ มันมีใจเปนผูรูผูสัมผัสเทานั้น มันหลง หลงอยูที่ใจ จะทําใหมันรู ทําใหมันหายโรค ทําใหมันหายโรคกิเลส คือโรคความหลง โรคความขี้เกียจขี้คราน คือโรคทั้งน้ัน ไมอยากดู ไมอยากฝกหัดปฏิบัติ ไมอยากปฏิบัติธรรม ไมเห็นคุณคาของกาย ของใจท่ีตนเองมีอยูท่ีเรียกวาสมบัติธรรม รูปสมบัติ ใจสมบัติ หรือ วานามสมบัติ เม่ือไมรูเหตุก็ไมไดใสใจ ไมไดบํารุงรักษา ไมไดบํารุงบําเรอ ดวยความเปนธรรม แตวาใชเขาไปในทางที่ผิด ใชไปทางความหลง ตามความทะเยอทะยานอยาก เรียกวาใชสังขารหรือวาใชรูปกาย หรือวาใชจิตใจของเรา คําวาสติปญญามันเปนอาการท่ีเกิดขึ้น มีใจ เปนที่เกิด และมีใจเปนผูรู สวนการงานอยางอื่นเราใชกาย ใช รางกายของเราที่ประกอบไปดวย เนื้อหนังมังสา เอ็น กระดูก โครงสรางของกายนี้มีความแข็งแรงไมทุพพลภาพไมออนแอ ก็ใช เขาได จะใชใหว่ิง ใชใหเดิน ใชใหทําการทํางาน อดตาหลับขับตา นอน ซ่ึงธรรมชาติของเขา เขาจะตองพักผอนของเขา ในสวน ประสาทตาง ๆ ที่ประกอบอยูในรางกายของเรา ดิน นํ้า ไฟ ลม ที่ มันว่ิงไปตามเสนเอ็น ตามประสาทตาง ๆ หลอเลี้ยงรางกายใหมี ๑๐๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๒ เลม ที่ ๖ ความเปนปกติ เราก็มามีแตใชรางกายน่ีใหเขาทําการทํางาน ถึง เวลานอนก็ไมใหเขานอน ไมใหเขาพักผอน ถึงเวลากินก็ไมใหเขากนิ บางทีอดไวกล้ันไว บางทีกินก็ใหเขากินเกินไป กินเสียจนไมรูความ พอดี ก็เกิดความทุพพลภาพ เกิดโรค เกิดความวิปริตทางรางกาย เรียกวาเราอาศัยกาย แตเราไมดูแลรักษาเขาใหเปนธรรมให พอเหมาะพอดี ความนึกความคิดก็เปนเคร่ืองมือท่ีเราใชสรางสติปญญา ก็ ใชไปในทางอ่ืนเสีย ไมไดใชมาในทางรักษาตัวเอง ไมไดใชมาในทาง รูจกั การพักผอ น เพราะฉะน้นั จงึ เกดิ โทษ แลว ก็ไดรับโทษ ไมไดรับ คุณคาท่ีจะใหมีความสุขย่ิง ๆ ข้ึนไปจนถึงที่สุดแหงทุกขอันแทจริง คือถึงวิมุตติพระนิพพานดวยสติปญญาอันชอบ เพราะไมไดเห็น คุณคาในการที่จะฝกหัดปฏิบัติใหเปนธรรมในทางธรรมะ ไมเห็น คุณคาของคําวา ศีล สมาธิ ปญญา ไมไดทุมเทกายใจมาหลอหลอม หรือมาฝกฝนอบรมใหสติสมบูรณ ใหสมาธิมั่นคง ใหปญญาเฉียบ แหลมในการรูอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามความเปนจริง เพราะฉะนั้น จึงไดรับแตความทุกข เกิดมาถึงแมจะมีรางกาย สมบูรณบริบูรณ ไมขาดตกบกพรองแลว มิหนําซํ้ายังมีปจจัย ๔ เครื่องอํานวยความสะดวกใหอยูใหกิน อยากกินเวลาไหนก็บํารุง บําเรอหาแตของดิบ ๆ ดี ๆ สิ่งที่มีวิตามินมีคุณคาทางอาหารบํารุง เขา แตบํารุงเกินไป บํารุงมากไปจนเลยเถิดไป ก็เลยเกินความพอดี ทางสวนรางกาย สุดทายก็กลายเปนแก กลายเปนหมดเร่ียวหมด แรงไป ทั้งที่บํารุงแตส่ิงท่ีมีวิตามินมีคุณคา บํารุงเขาไป ๆ มันก็มีจุด มเี พดานความเปน อยู ใหความสขุ ทางกายของเขาอยู เมอ่ื มันเกนิ มัน เลยขอบเขตเลยอัตราของเขาไป ก็กลายเปนความทุกข กลายเปน ๑๐๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลมท่ี ๖ ใหความทุพพลภาพเพราะความแกความชํารุดทรุดโทรม สุดทายก็ แตกสลาย เลยไมไดอะไร ไมไดธรรมะอันแทจริง ไมไดความสุขอัน แทจรงิ ทางจิตใจก็เหมือนกัน ทางสติปญญาที่เราใชนึก ใชคิด ใช วิจารณญาณในการสรางสรรค สรางสรรคตั้งแตทางที่มันเกิดแลว มันก็เส่ือม มันจึงไมสมบูรณบริบูรณ มันจึงไมจบ ไมจบไมส้ิน ความ ทุกขความยากความลําบากท้ังหลายจึงไมจบ เพราะฉะนั้น จึงตอง หันมาใชงานตามทางที่พระพุทธเจาสอน เรียกวาทางธรรมะ เอา กายของเรามา เอาสติปญญา เอาสัญญาสังขาร มากําหนดรูลม หายใจเขาหายใจออก ฝกซอมจนรูวาสติความระลึกรูเปนคูของใจ มันทํางานอยูดวยกัน มันกลมกลืนกันอยู เรียกวาไมละท้ิงกัน ทาน เรียกวา สติกับใจ เชนเราบริกรรมพุทโธ ๆ เวลาเรามาน่ังทํา กรรมฐาน มานงั่ ปฏิบัตสิ มาธิ ความจริงคือเรามานัง่ ทาํ สติกับอารมณ รูใหตอเนื่องกัน เม่ือไมพลั้งไมเผลอทอดธุระจากกัน ทานเรียกวามี ความเพยี ร ความเพยี รชอบ การงานชอบ งานภาวนาต้ังสติรู หายใจเขาหายใจออก หายใจเขา-พุท หายใจออก-โธ ไมเปล่ียนไปอยางอื่น เรียกวาการ งาน ปฏบิ ตั ธิ รรม เจรญิ สตสิ มาธิเปน การงานชอบ จนมนั แนวแนสงบ ละเอียดเขาไป รูดวยตนเองวารูวามันละเอียด รูวาความรูของเรา ละเอียดเบา ไมหนกั ไมหนว ง ความเจ็บความปวดก็หายไป ปวดแขง ปวดขาก็ไมมี ปวดหลังปวดเอวเราก็รูถาหากวามันไมมีไมเกิดขึ้น ถึงแมมันจะมีขณะที่เราฝกฐานสําคัญคือสติ มันมีก็รูวามันมี มีก็ชาง มัน มันจะเจ็บจะปวดจะเปนอะไรก็ไมสนใจ สนใจแตคําบริกรรมกับ สติกับใจเทาน้ัน มันกลมกลืนกัน ไมทอดธุระเอาใจไปรูอยางอ่ืน ไม ๑๑๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลม ท่ี ๖ เอาสติไประลึกเรื่องอยางอ่ืน คือมีความเพียรชอบ ความเพียรไม ทอถอย วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ จะลวงทุกขก็ไดเพราะความเพียร ความไมท อ ถอย เมือ่ เพียรรูเพียรระลึก สุดทายมนั ก็จะลงสูฐานของ คําวาสมาธิ ความตงั้ ใจมัน่ ใจรูใจ ใจมนั่ ในใจ มันหนักแนน มนั สบาย ไมมีกังวลไมมีเรื่องอะไร โลกทั้งโลก สมมติทั้งสมมติในโลก ๓ มันไม มี มันก็มีแตใจรูวางวางสบาย ความเบา ความไมขัดของอะไร นั่น แหละ ที่วาความสบาย ที่วาไมสบายเพราะมันมีความขัดของ เดี๋ยว มันก็ไปยึดความเจ็บความปวด เดี๋ยวมันก็ไปนึกไปคิด จะไปอันโนน ทําอันนี้ การงานอันน้ันยังไมเสร็จ การงานอันโนนยังไมเสร็จ มันก็ จะสงสายไป น่ันเรียกวามันสงออก เพราะฉะน้ัน เวลาเราปฏิบัติสติ สมาธิ จึงใหทอดธุระอยางอ่ืน แลวก็ใหทอดธุระความอยาก ความ อยากเปน อยากมี อยากเปน อยา งนูน อยากมีอยา งน้ี อยากใหจ ิตสงบ ทานวาจติ สงบนี่ มันวาง มนั สขุ มันสบาย ไมต อ งไปกงั วล ไมตอง ไปวิตกกังวล ขณะนี้เราทํางาน เราลงมือทํางานแลว ลงมือตั้งสติ บริกรรมภาวนาแลว ใหอยูกับบริกรรมภาวนา อยู ๒๐ นาที ๓๐ นาที หรืออยางไรก็ไมตองไปกําหนด เอาปจจุบัน ขณะน้ี เดี๋ยวน้ี รูอยูนี่ หายใจเขา หายใจออก หายใจเขา หายใจออก เม่ือความเพียรพยายามใหมันตอเนื่องกันอยู สติกลาจน เปนสัมปชัญญะ ก็เปนสมาธิ เปนผลคือความม่ันคงของใจอยูใน อารมณอันเดียว มันกม็ ีความสขุ ความเบา ความสบาย ยังไมตองไป กังวลวาจะทําอยางไรตอไป ขอใหทําในเบ้ืองตน ทําสติตอเน่ือง เรียกวาสมถธรรม ใหมันไดกําลังแลว อันตอไปนั่นทานเรียกวา ปญญา หรือวิปสสนา หรือปฏิบัติวิตกวิจารณ ใหปญญาเกิดขึ้น เพราะปญญา ถาปญญาในภาวนามยปญญามันจะไมเกิดข้ึนเอง มัน ๑๑๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลมท่ี ๖ จะไมแจมแจง ถาปญญาในสมาธิ ปญญาในสติชั่วครูชั่วขณะนี่มันมี มันเกิดข้ึนเมื่อมีส่ิงสัมผัส ทีน้ีจะใหมันเปนภาวนามยปญญา จนไป เขาถึงวิสุทธิปญญา ปญญาบริสุทธิ์เกิดจากความรูแจงเห็นจริงใน สภาวธรรม จะตองฝก จะตองวิตก ที่ทานบอกวาวิตกในองคฌาน ในปฐมฌาน วิตกวิจารณ การวิตกวิจารณเรียกวาเปนการสราง ปญ ญา เปน การฝกปญ ญา หรอื วาโยนโิ สมนสกิ าร ความมนสิการใน อาการท่ีมันเกิดข้ึน เปนสุขบาง เปนทุกขบาง เปนเฉย ๆ บาง หรือ มันไมเที่ยง จําไดหมายรู เด๋ียวก็จําได เดี๋ยวก็ลืมไป เดี๋ยวก็หมายมัน่ เดย๋ี วกไ็ มห มายมน่ั จะตอ งอาศยั วิตกวจิ ารณ เรียกวา สรางปญ ญา เบ้อื งตน นส้ี รา งปญญาดว ยสตุ มยปญญา จากการไดยนิ ได ฟง เพราะฉะนน้ั พวกเราตองฟง ธรรมะกนั อยบู อ ย ๆ หรือในครง้ั พระบรมศาสดายังทรงพระชนมอยู จึงมกี ารฟงธรรมะเปนประจํา เวลาบาย พระพุทธองคทรงแสดงเร่ืองตา ง ๆ เรียกวาแสดงธรรมะ แสดงเหตุ เหตุอันน้ีเกิดขึน้ เรยี กวา มคี วามดีใหไดร บั ความสุข การทํา เหตุอยางน้ีจะไดร ับผลเปน ทุกขไดรับความวิบตั ิอะไรตา ง ๆ เรยี กวา พระพทุ ธเจา ทรงแสดงพระสูตร พระวนิ ยั พระอภิธรรมตาง ๆ ลวน แลวแตท รงแสดงกิริยาอาการของกายของใจ เพราะฉะนน้ั เรือ่ งท่จี ะ วติ กวิจารณหรอื สรา งปญ ญาจนใหเ กิดเปนภาวนามยปญ ญา ก็ตอง อาศัยการฟง การฟงธรรมะ เมือ่ ผูฟงเปน ฟงเรื่องอะไรกเ็ ปนธรรม ฟงเรอื่ งเขาดาเขาวากัน สามีภรรยาทะเลาะวิวาทกันกเ็ ปนธรรม ถา ฟง เปน ดเู ปนมนั จะรสู ึก ความรสู กึ ทีล่ ะเอยี ดที่เรยี กวา ปญญา มนั จะหย่ังเขา ไปถึงความไมเ ทีย่ ง เปน ทกุ ข ไมใชตัวตน มันจะสรปุ ความจริงท้ังหลายดวยปญ ญา ดวยความเห็นลงในลักษณะแหง ความเปน จริงคอื “อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา” ถามันเห็นความจริง ๑๑๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลมท่ี ๖ อยางน้นั ความยึดมน่ั ถือมนั่ ท่ีมนั เคยหลงเคยยดึ เคยเขาใจผดิ อยูม นั กจ็ ะโลง ไปดว ยความเหน็ ชอบ ดว ยความรูตามความเปน จริง เร่ืองปญญา ปญญานี่ตองฟง ฟงดวยสติ กําหนดรูแลวก็จะ มีความละเอียดดวยความเห็นดวยปญญา เชนทานแสดงเร่ืองความ ไมเท่ียง ขันธ ๕ มันไมเที่ยง ท่ีพระพุทธเจาทรงเทศนทรงสอน ใหปญจวัคคียฟง รูปง อนัตตา เวทนา อนัตตา สัญญา อนัตตา ภาษาบาลี สรุปแลวก็เรื่องรูปรางกายทั้งหมด สิ่งที่อาศัยอยูในกาย มันไมเท่ียง มันไมเท่ียง มันเปนทุกข เพราะมันไมเท่ียงมันจึงเปน ทุกข เพราะมันเปน ทุกขม นั ไมเ ทย่ี งมันจงึ ไมเปนตวั เปน ตน นีเ่ รียกวา เปน “อนัตตา” มันจะสรุปประมวลลงในจุดนี้ทั้งหมด ท่ีเรา พิจารณาอยา งละเอยี ดแยกแยะ แตส วนมากท่ีพิจารณาใหเปนธรรม ก็เรียกวามาพิจารณากายจิตของเรา พิจารณาความนึกความคิด คํา วาจิตมันเปนอาการนึกคิด “จิตตัง” คือนึกคิด นี่จึงวาฝนปญญา หรือใชปญญาวิตกวิจารณคิดพิจารณา นับแตอาการหยาบ ๆ ไป ในเบื้องตนในรางกายของเรา ประกอบดวยธาตุท้ัง ๔ คือ ธาตุ ดิน นาํ้ ไฟ ลม เรยี กวามหาภตู ธาตุ ธาตุใหญ ๆ ธาตทุ ่ีเปน ภตู เปนผีใหญ ในรางกายของเรา แลวมนั เปนผีอยางไร กเ็ ปน ผแี หละ พอ ดิน น้ํา ไฟ ลม มารวมกันเปนรูปรางกายของเราแลว มันก็ตอง กินดิน กินน้ํา กินลม กินไฟ คือมันตองใช กิน เม่ือมันมี การกินมันก็ถือวามันเปนผี ก็เอาดินมากิน ดินจากอะไร ดินจากปู จากปลา ดินจากหมูเห็ดเปดไก ก็เลยกลายเปนวาสัตวเล็กสัตวนอย ก็ถูกภูติผีใหญคือกายของเรากลืนกินไปหมด นี่ถึงวารางกายของเรา มันเปนผี กินหมู กินเปด กินไก กินปู กินปลา กินสัตวตาง ๆ นี่มัน เปนอยางนี้เพราะวามันหนุนกัน มันเปนสิ่งที่อาศัยกัน หนุนกัน ๆ ๑๑๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลม ท่ี ๖ ถือวาเปนมหาภูต \"มหาภูตรูป\" คือธาตุ ดิน น้ํา ไฟ ลม แลวก็ยัง เปนอาการยอยลงไปเรียกวา \"อุปาทายรูป\" เปนรูปอาศัย มีรูปหู มีรูปตา มีรูปจมูก มีรูปอวัยวะตาง ๆ เปนรูปยอยออกจาก ดินน้ํา ไฟ ลม เรียกวา \"อุปาทายรูป\" ทั้งหลายท้ังปวงนี่สุดทายจะตองคืน ไปสูของเดิมของเขา ดินเปนดิน น้ําเปนนํ้า ลมเปนลม ไฟเปนไฟ ใจ ของเราก็คืนไปสูความเปนใจท่ีมันถูกความโลภ เดือดดาล อาการ ความโกรธ เปนทุกขเดือดดาล หรือความหลงรกั หลงยึด หลงถือวา ตาเรา หูเรา เน้ือเรา หนังเรา ผมเรา เล็บเรา ฟนเรา อันนี้ทีแรกมัน เปนสมบัตขิ องความหลง เปน สมบตั ิของความโลภ ของความโกรธ เมื่อถึงวาระสุดทายมันจะตองคืน ใจก็จะคืนไปสูความ เปนใจ ไมมีอะไร โลภ โกรธ หลง โลภก็ไมมี โกรธก็ไมมี รอนก็ไม มี สุขก็ไมมี ทุกขก็ไมมี เย็นก็ไมมี ไมมีอะไร ใจเปนเพียง สภาวธรรมแหงความรูเฉยเทานั้น นี่จึงวา “ความรู” ไมรัก ไมชัง “ความรู” ไมสุข ไมทุกข ไมมีอะไร สุดทายแลวมันจะคืนใจลงสู ความไมม อี ะไร น่ันแหละจึงจะจบกนั เด๋ยี วน้มี นั มี เอาใจนแี่ หละมา ใหมันมีน่ันมีน่ี มีโลภ มีโกรธ มีหลง มีรัก มีชัง มีสมบัติพัสถาน มี ปจ จัย ๔ เงนิ ทองกองแกว มีลกู มหี ลาน มสี ามีภรรยา มีญาติ มมี ติ ร มีเพอื่ นรวมโลก เกิดแก เจบ็ ตาย ดว ยกนั อยูน ี่ เดี๋ยวน้มี ีอยู ท่ีเราประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรม สรางสติตอเนื่อง เพื่อให สมาธิ คือความม่ันคงแหงความรูเปนตัวของตัวเอง แลวก็สราง ปญญา เพื่อใหความรูใหมันรูตามเปนจริง มันถึงจะทําลายคําวา อุปาทาน ความไปยดึ ไปถือ ความถอื ผิด ความเขาใจผดิ ไมม ีแลว มัน จึงจะคืนใจที่เปนธรรมชาติรู ๆ นี่ คืนสูธรรมชาติรูอยางเดิม แลวจึง จะจบการทําการทํางานตาง ๆ จึงจะไมมาเกิดเปนหญิง เปนชาย ๑๑๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลมท่ี ๖ เปนพอ เปนแม เปนปู เปนยา เปนตา เปนยายเปนลูก เปนหลาน อะไรมันถึงจะจบไปหมด เพราะการไมมีการเกิดข้ึนอยางเดียว ไมมี อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นท่ีมันเคยมีก็ไมมี ในธรรมชาติรู ๆ ธรรมชาติใจของเรานี่มันจะเปนไดเห็นไดดวยการเจริญปญญา เพราะฉะน้ัน ในหลักประพฤติปฏิบัติ พระพุทธเจาจึงสอนวา ศีล สมาธิ ปญ ญา เปน อุปกรณ เปน เคร่อื งมือที่จะนําจิตใจอันเปนสมบัติ อันลนคาที่เปนธรรมชาติมีมาของใครของเรา ไมไดไปหยิบไปยืมไป ซ้ือไปหาจากใครมา ใจของใครของเรา เม่ือมันมีอยูเราก็รับผิดชอบ อยู ความโลภเกิดขึ้นก็ทุกขมาก เพราะมันรอนเดือดดาล ความหลง เกิดข้ึนก็งมงาย หลงน่ีก็หลงจริง ๆ มันไมใชเราใชใคร ก็ยังวาเราวา เขาอยู เรียกวาหลง หลงสุข หลงทุกข มันเกิดข้ึนอยูกับกายกับใจ พอทานปฏิบัตเิ จรญิ ธรรมะ ปฏบิ ตั ธิ รรมใหมีรสมชี าติ ตามที่อาตมาไดยกภาษิตขึ้นวา “สัพพะระโส ธัมมะระสัง ชินาติ” รสของธรรมชนะรสท้ังปวง คือรสชาติของความมีสติ ตอเนอ่ื งข้นึ ทาํ ใหเกดิ ใหม ี ใครยงั ไมต อ เน่ืองยังไมรู ถา มันตอเน่ืองกัน ก็จะรู รูเองเห็นเองวามันมีรสชาติ มีความสุข มีความเบา มีความ ละเอียดขนาดไหนในสภาวะแหงความรู คือใจของเรา เราจะรูดวย ตนเอง รสชาติของสติ สมาธิ เมื่อใจมันเปนอิสระจากอารมณ ทง้ั หลาย นั่นเรียกวา ใจเปนใจ ใจเปน ตวั ของตวั เอง ไมถูกคมุ อยดู วย โลภ โกรธ หลง ไมถูกคุมอยูดวย ทิฐิมานะ ความหลงผิด หลงถือตัว ถือตน มันจะเปนอิสระขนาดไหนถาจิตมีสมาธิ หรือเปนสมาธิ เรา จะรเู องเห็นเอง ย่ิงปญ ญามองเขาไปรูต ามเปนจริง รู อนจิ จัง ทกุ ขัง อนตั ตา ทัง้ กาย ท้ังจติ ทัง้ สมมติทัง้ หลาย รวมทัง้ หมดเลย ๑๑๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๒ เลม ท่ี ๖ สมมติทั้งสมมติในวัฏสงสาร ในโลก ๓ ท่ีทานวาวัฏสงสาร ในโลก ๓ โลกแหงความเปนเปรตอสูรกายสัตวนรก สัตวเดรัจฉาน โลกแหงความเปนมนุษยของเรา โลกแหงความเปนเทวบุตรเทวดา จนไปถึงอนิ ทรพรหม ยม ยกั ษ จนถงึ อาภัสราพรหม จนถงึ สุทธาวาส พรหมทั้ง ๕ ที่ไมมีความหลงยึดหลงติด มันวาง มันวาง โดย ธรรมชาติของใจแลว มันจะมีรสมีชาติเกิดจากปญญารูจริงเห็นจริง ใจไมมีอะไร เขาถึงความท่ีใจไมมีอะไร รูรู ไมมีอะไรติดอะไรของอยู ในความรูน้ัน มีแต “ความรูเฉย” เรียกวาไมมีทุกข ทุกขไมมีในใจ ใจไมมีในทุกข ทุกขไมมีในกาย กายไมมีในทุกข กายไมมีในจิต จติ ไมมีในกาย มนั จะไปเหลอื อยแู ตธ รรมชาติรูอนั นั้น เรยี กวา คืน ใจ คืนใจใหเปนอิสระของใจดวยธรรมะ ไมมีสิ่งอ่ืน มีแตการ ประพฤติธรรมปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะอยางย่ิง เจริญจิตภาวนา เจริญสมถภาวนา สมถธรรม เจริญวิปสสนาธรรม เจริญปญญา ฝก ปญญา ทแี รกมันตองอาศยั การฝก ไมวาส่ิงใด ๆ ทั้งหมดจะใหมันชํานิชํานาญตองฝกเสียกอน ฝกเรียนเปนแพทยเปนหมอ ฝกเรียนการปกครองอะไรตาง ๆ ฝก เรียนการกอสรางเคร่ืองใชไมสอยอะไรตาง ๆ ก็ตองฝกเสียกอน ตองฝกตองทดสอบ ทําใหมาก เจริญใหมากแลว สุดทายก็ใช ประโยชนจากส่ิงที่ศึกษาเลา เรยี น และลงมือสรางใหมนั เกิดมนั มขี ้ึน น่ีก็เหมือนกัน ฝกธรรมะ เพราะธรรมเปนเคร่ืองนําออกจากความ วุนวาย นําออกจากความทุกขท้ังทางกาย และทางใจ น่ีจึงตอง มาฝกใจใหมีสติธรรม เอาพุทโธ ๆ เปนอารมณในเบ้ืองตน ทําให มาก ไมมีหนทางอ่ืน บางทานบางคนถามวา ไมตอ งนึกพทุ โธ ๆ มี วิธีทําไหมใหมันสุขสงบสบายใจเปนสมาธิ มันไมมี เพราะวาการ ๑๑๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลมที่ ๖ ฝกจะใหเกิด ใหเปน ใหชํานาญในสิ่งใด มันตองมีเร่ืองใหฝก เสียกอน แมแตการชํานาญในการขีดการเขียน การอาน การพูด สําเนียงภาษาในโลกของเราน่ี ใชกันไมรูวากี่ภาษา ภาษาคน ภาษา สตั ว เขามที งั้ นนั้ เขากต็ อ งมาเรยี นกนั มาศึกษา ศกึ ษาแลวกท็ ดสอบ การทดสอบแลวก็ลงมือปฏิบัติ สุดทา ยกเ็ ขาอกเขาใจ สามารถพูดได คนก็พูดกับสัตวได แมแตวาเปนคนใบพูดเสียงไมมี เขาก็มีวิธีทําให เขาอกเขาใจกันได เพราะวามันมีวิธีทํา จะตองฝกเสียกอนจึงจะ ชํานาญ อันนี้ก็เหมือนกัน ฝกธรรม ปฏิบัติธรรม ฝกใหจิตใจของเรา มีสติธรรม เปนเคร่ืองรักษาใจคุมครองใจ ใหสมาธิเปนฐานที่ต้ังของ ใจ ของความรู ๆ ใหม ันม่ันอยูใ นส่ิงเดยี วได แลวก็ฝกปญญาแยกแยะใหความรูความเห็น สอดสอง แยกแยะจนเกิดเปนญาณทัสสนะ คําวา “ญาณทัสสนะ” น้ัน คือ อาการที่รูจากปญญา เพราะปญญามันเปนมรรค เปนการฝกอยู เม่ือฝกเมื่อรูแจมแจงถอนทุกขทั้งหลายออกจากหัวใจ เพราะไมมี อุปาทาน ความเขา ไปหลงมน่ั ยึดมัน่ ถือม่ันวา น่ันวานี่ อนั นั้นเปนแสง สวางแหงปญญาเรียกวา “ญาณทัสสนะวิสุทธิ” รูดวยความ บริสุทธิ์จากการฝกหัดปฏิบัติในการเจริญมรรค จะสําเร็จเปนผล เปนประโยชน เรียกวารักษาโรคกายโรคใจจบลงดวยกันทั้งหมด โรคกายก็จบ ไมมีโรคไมมีภัย ไมมีทุกขทางกาย เพราะธรรมชาตเิ ขา ก็เปนส่ิงที่ไมมีอยูแลว มันมีอยูที่ใจ ใจก็จบ เรียกวาทุกขใจก็ไมมี ความลุมหลงในใจก็ไมมี เพราะธรรมะคือ สติธรรม สมาธิธรรม ปญ ญาธรรม ในวันน้ี ไดนําปฏิบัติธรรมดวยการทําสมาธิภาวนาดังที่ กลา วแลว ในเบ้ืองตน ที่เรามานัง่ ทาํ สมาธิฟงธรรมะอยู นี่เรียกวา แตง ๑๑๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลมท่ี ๖ กาย น่ังสมาธิขาขวาทับขาซาย มือขวาทับมือซาย ต้ังกายใหตรง แลวก็แตงใจใหมีสติ ใหมีคําบริกรรมเอาพุทโธ ๆ หรือจะกําหนดลม หายใจเขาหายใจออกกเ็ อาใหแ นว แน น่เี รยี กวาแตงในวธิ นี ่งั ทําสมาธิ ถาเราจะเดินทําสมาธิ เดินกันใหลักษณะเปนอาการ ก็หาท่ีเดิน กลับไปกลับมาไมใหส้ันนัก ใหยาวเดินไดสัก ๒๕ กาว พอดี ๆ กลับไปกลับมา ทีร่ าบเรียบไมใหส ูง ๆ ต่าํ ๆ เสรจ็ แลวเราก็ไปยนื ทาง ตนทาง เรียกวาหันไปทางทิศตะวันตก-ทิศตะวันออก นั่นเปน ทิศทางทีโ่ ลง แตถ ามนั ไมม กี ็ไมใชวาเดนิ ภาวนาไมได ถา มันมที ศิ ไหน มันมีทางยาวก็ทําไดเหมือนกัน แตวาคํานวณเอาทิศตะวันตก-ทิศ ตะวันออก แลวก็ไปยืนในทางทิศตะวันตกเสียกอน หันหนาไปทาง ทิศตะวันออก ยืนใหตรง เอามือขวาจับมือซาย แลวก็กําหนดรวม กําหนดรูวาใจของเรามันไปรูอยูท่ีอื่นขางนอก ใหมันมารูอยูท่ีลม หายใจหรือรูอยูกลางหนาอกของเรา นอมนึกระลึกถึงศาสดา นึกถึง ที่พ่ึงคือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ๆ ๆ ๓ จบ แลวเดินกาวเอาขาขวา ออกไป-พุท ขาซาย-โธ ขาขวา-พทุ ขาซาย-โธ หรือขาขวา-พุทโธ ขา ซาย-ธัมโม ขาขวา-สังโฆ สลับกันไป พุทโธ ธัมโม สังโฆ ๆ ๆ ทํา ความระลกึ รู อยา ใหเผลอ ในระหวางเดินกลับไปกลับมา ไปถึงปลายทางก็หมุน หมุน ไปทางแขนขวาของเรา แขนขวาอยทู างไหนก็ใหหมุนกลับไปทางนั้น ไมใ หห มนุ ไปทางแขนซาย เพราะวาการย่าํ ตวั ไมด ี เดีย๋ วมันจะลม ถา หมุนไปทางขวามันเปนวงจรแหงการหมุนท่ีชํานาญ เพราะฉะน้ัน พระพุทธเจาพระองคจึงเรียกเอาการหมุนทางขวา เรียกวา ทักษิณาวัฏ ถาหมุนไปทางซายเรียกวา อุตตรวัฏ น่ันมันเปนการ หมุนที่ขัดกับเข็มนาฬิกา เข็มนาฬิกามันหมุนไปทางขวา หมุนไป ๑๑๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๒ เลม ท่ี ๖ เรื่อย ๆ ตามเข็มนาฬิกาหมุน หรือวาโลกมันคงจะหมุนไปอยางนั้น มันคงจะหมุนไปทางขวาเหมือนกันท่ีวาโลกหมุน ทานจึงถือเอาการ หมุนวนไปทางขวา แลวก็กลับมา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ๆ ต้ังสติ กําหนดไวใน ๓ รอบกลับไปกลับมา มันเผลอไหม ถามันเผลอ เอา ใหม พุทโธ ธัมโม สังโฆ ใหม จนรูแนว เออ ไมเผลอ ไมกด ไมเกร็ง จากน้ันก็เปลี่ยนมาเปนการกําหนด พุทโธ ๆ ๆ อยูกับลมหายใจเขา หายใจออกก็ได หรือจะกําหนดกับการกาว ขาขวา-พุท ขาซาย-โธ ขวา-พุท ซาย-โธ ใหมันไดจังหวะกลมกลืนกันไมขัดเคือง ก็เอาอยู น่นั แหละ สตกิ ็จอไมใ หเ ผลอ จนรูวามันไมเ ผลอ ๓ รอบ ๔ รอบ เดิน อยู ๑๐ นาที ๒๐ นาที ๓๐ นาที จนถึงชว่ั โมงมนั ก็ไมเ ผลอ นัน่ แหละ มนั ไดสมาธิแลว ถา เปน เคร่ืองยนตก็เรยี กวา หมุนตดิ สตารตเครอ่ื งยนตแ ลว มันติด น้ํามันมันก็ฉีดไปตามวงจรของเขาแลว มันก็ติดอยูน่ันแลว น่ี ก็เหมือนกัน จิตของเราเมื่อฝก มันเปนสมาธิ มันต้ังม่ัน ทั้งรูทั้ง ความรูกลมกลืนเปนอันหน่ึงอันเดียวกัน มันก็เปนสติอัตโนมัติ ทํางานอยูน่ัน โอย เดินอยูท้ังคืน ไมหยุดเลย จะไปทํางานทําอะไร ลมื การงานอยางอนื่ จิตมนั มุงแนว อยู ก็ใหมนั อยนู ั่นแหละ ไมตองไป เสียดายมันหรอกงานอยางอ่ืน หาเงินหาทองหาเงินลานเงินแสน ดวย ใหมันตกไป มันไมมีคุณคาเทากับสมาธิธรรม ปญญาธรรม ที่ จะเกิดขึ้นคุมครองจิตใจของเรา หรือวาทําสะอาด ทําความสะอาด สะอา นของขยะ ของกิเลส ของธลุ ีทงั้ หลาย ที่มันคลมุ มนั เกิดอยูกับ ใจ มันจะกําจัดออกไปไดดวยสติธรรม สมาธิธรรม ปญญาธรรม เปนไดถามันเดินถามันติด เรียกวาจิตมันรวมเขาเปนสมาธิ เดิน กลับไปกลับมาไมหยุดสักที เบาก็ไมปวด หนักก็ไมปวดหรอก รอน ๑๑๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลม ท่ี ๖ หนาวอะไรไมมีท้งั น้ัน ถา มนั ผา นไปแลว ทแี รกมนั ก็จะผานสิง่ เหลาน้ี แตถา ผทู จ่ี ติ เปน สมาธเิ รว็ มนั จะไมเหน็ ทุกขห รอก มันจะไมเ ห็นทุกข จากความรอนความหนาว ความเหน็ดความเหนื่อย ความเมื่อย ถา มันรวมลง แนวอยูอันเดียวเปนสมาธิอยูแลว บางคนที่มีนิสัยถาลง แลวมันลงลึก ลงครั้งเดียว ลงถึงฐานแนนแฟนเลย อยูท้ังวันทั้งคืน ไมมีทกุ ข นูนแหละจนกวา มันจะถอนเด๋ียวมันถอนเอง จนกวามนั จะ ถงึ วาระมนั มันถอนเอง วิธีเดินจงกรม วิธีฝกกิริยาแหงการเดิน เดินภาวนา น่ัง ภาวนากด็ งั ทีก่ ลา วแลว ยืนภาวนา ยืนตรง ๆ ยืนหาทีพ่ งิ ก็ได พงิ ใกล ตนไมก็ได หรือยืนอยูตรงกลางแจงก็ได ยืนเอามือขวาจับมือซายให ตรง ตั้งสติกําหนดเหมือนกันกับเราจะเดินภาวนา เดินจงกรม เหมือนกันกับจะนั่งสมาธภิ าวนา กาํ หนดรวมจติ รวมใจเขามา ใหมัน มาอยูภายในใจของตัวเอง ไมใหมันมาอยูกับเรอื่ งการเรื่องงาน เร่ือง ความรกั ความชังอะไรตอ อะไร มนั ฟงุ ซา นวนุ วาย กาํ หนดเขา มารูอยู ลมหายใจเขาออก แลวก็บริกรรมไปเลยถายืน บริกรรมพุทโธ หายใจเขา-พุท หายใจออก-โธ ถาสติมันทรงตัวตอเน่ือง ๆ กันมันก็ จะตรง ถาสติมันเผลอ การทรงตัวมันไมอยู เด๋ียวมันจะลม ถางวง นอนเวลายืนมันจะลมเร็ว ไมเหมือนเดิน ไมเหมือนนั่ง ถาถีนมิทธะ คือความเคลิบเคลิ้มความเผลอเขาครอบงําใจแลว ถา ยืนมันจะหงาย หลังลงเร็ว ก็ดี ฝก ถาคนชอบงวงชอบอะไร ฝกยืน ฝกยืนภาวนา หรือเดินภาวนา ถาน่ังมันก็จะหลับเร็ว ยิ่งไปฝกในทานอนก็หลับอยู ท้ังวนั ท้ังคืน ไมดี แตวามันฝกได ฝกภาวนาทําสมาธิ ถาฝกในทานอน เอาทา นั่งทานอนมันเหนื่อย เวลาจะนอนไมใหนอนเสียประโยชนเปลา ๆ ๑๒๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลม ท่ี ๖ ไมใ หน อนหายใจท้ิงเปลา ๆ นอนใหไดประโยชน ถานอนตะแคงขาง ขวา เอามือซายวางไปตามตัว เอามือขวาไปซอนไวใตแกมใตหู ตั้ง สติรูที่ลมหายใจ คอยดูวาเวลามันจะหลับน่ีมันจะหลับเวลาไหน ความรับรู รูสึกกับการหายใจมันจะขาดไปเวลาไหน ต้ังสติจอเอาไว ดี ๆ หายใจเขา-พุท หายใจออก-โธนอนภาวนา นี่นอนใหได ประโยชน นอนคิดนอนปรุงเร่ืองอยางอ่ืน คิดไปคิดมาจะนอนไม หลบั จะไดทุกข เพราะฉะน้นั ฝก นอนภาวนา เวลานอน นอนนึก พทุ โธ ๆ ถาสตมิ ันตอ เนอ่ื งเปนสมาธิในขณะนอนน่ีมันจะเหมอื นไมหลับ มันจะเหมือนเรานอนไมหลับ เพราะมันรูอยู เพราะฉะน้ัน ใครฝก ภาวนาในทานอนน่ี คือรางกายมันจะหลับอยู คนอ่ืนมาดูก็นอน หายใจซอด ๆ อยู แตในสติในความต่ืนน่ันมันไมหลับ มันสัมผัสได เรว็ ยิ่งใครนอนภาวนาใหจิตเปนสมาธิอยใู นทานอน จะมโี จรมีขโมย มีเหตุอะไรเกิดข้ึนมันจะรูไดเร็ว พระธรรมจะกระซิบ เด๋ียวจะมีเหตุ อันน้ันอันน้ี มันจะปลุกใหเรารูไดเร็ว ถึงแมวาโจรขโมยมันจะยอง เบาขนาดไหนก็จะไดยิน มันจะไดยิน หรือใครพูดแมแตไมพูดนึกอยู ในใจก็จะไดยิน เหมือนเสียงเขาพูดกันคุยกันได อันนี้เรียกวาจติ เปน สมาธิในเวลานอน ในอริ ยิ าบถนอน อันน้แี หละ ทั้ง ๔ อิริยาบถฝกภาวนาได ฝกปฏิบัติธรรมได ตั้งสติ กําหนดควบคูกับจิตใจของเราใหมันอยูกับอารมณอันเดียวได จิต รวมลงเปนสมาธิได แลวก็เกิดปญญาในอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน เกิดไดท้ังน้ัน เพราะฉะน้ัน พระอรหันต พระขีณาสพเจาบางองคท่ี ทานวาทา นบรรลธุ รรม บรรลโุ สดาปต ตมิ รรค ปตตผิ ล โสดาฯ สกทิ า คาฯ อนาคาฯ บางองคบางทานบางคนก็ฟงพระพุทธเจาแสดง ธรรมะ บางทานบางคนเพียงแตไปเห็นสิ่งใดสิ่งหน่ึงท่ีมันไมเที่ยงมัน ๑๒๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลมที่ ๖ มีเหตุก็กําหนดรู แมแตวาพระท่ีทานถูกเสือกัด ท่ีเขาวาพระอรหันต ในปากเสือน่นั มันมใี นตํารา พระทานพากันไปเจรญิ สมาธิภาวนาใน ดงเสือ เสือมันก็มาคาบพระกําลังนั่งสมาธิ เสือมันจะคาบพระกิน เปนอาหาร เพราะเน้ือหนังมังสังของคนมันเปนอาหารของเสือ เสือ มนั กต็ องมาคาบไปกิน แตพอเสือคาบพระอยใู นปาก ทานก็รอ งบอก เพ่ือนที่อยูในถํ้าดวยกัน “ชวยดวย ๆ” เพ่ือนของทานเพียงแตบอก วา “ไมมีใครชวยทานไดดอก ทานจงชวยตัวของทานเองเถิด” ทา นมสี ตทิ วนกระแสกลับเขามาหายใจ เรยี กวาภาวนาอยใู นปาก เสือแลวละ เสือมันก็สนใจอยูแตจะฉีกจะกัดกิน แตพระก็สนใจอยู ภาวนาวาจะชวยตนเอง สติสมาธิรวมเขาลงสูท่ีใจแลว ปญญา พลิกเห็นขันธ ๕ รูป นาม กาย ใจ มันเปนของไมเที่ยง ตัวเราท้ัง คนเสือก็ยังจะกินเปนอาหาร ก็ยังจะไปเปนอาหารของเสือ เปนคูถ เปนถายของเสือได แปรสภาพลงคืนสู ดิน น้ํา ลม ไฟ ปญญามันก็ ลามไปเลยทีน้ี ทานเรียกวาปญญากลา เพราะสติกลา สมาธิม่ันคง เพราะมีเหตุจะตาย กลัวจะตาย เสือคาบ ใหคนอ่ืนชวยทานบอกวา ไมมีใครชวยได ทานตองชวยตัวของทานเอง ไดบรรลุธรรม ถอน อุปาทานความยึดม่ันถือมั่นในธาตุในขันธ รูป นาม กาย ใจ ก็เหลือ แตใจท่ีเสือมันกินไมได ธรรมชาติรู ๆ บริสุทธิ์อันน้ัน มันไมไดเปน อาหารของใคร ไมไดเปนอาหารของกิเลสอาสวะ โลภ โกรธ หลง ไมไดเปนอาหารของเสือดวย น่ีจึงวาปญญา นี่มันรูเห็นความจริงได ไมใ ชวาจะไปรูเ หน็ แตใ นเวลานัง่ สมาธพิ ุทโธ ๆ แมแตเดิน ครูบาอาจารยบางองคทานเดินไปบิณฑบาต หรือทานเดินจงกรม เรื่องธรรมะ เพราะวาใจ ใจคือความรู มันเปน ธรรมชาติรูอยูแลว มันไมมี ยืน เดิน นั่ง นอน หรอกใจ มันเปน ๑๒๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๒ เลมท่ี ๖ ธรรมชาติรูอยา งเดยี ว เพราะฉะน้ัน ไดอธิบาย ไดแ นะนําแลว ก็ขอให นําไปประพฤติปฏบิ ัติเทานั้น เหลือแตจะลงมือทํา เหลือแตจะต้ังสติ กําหนดหายใจเขาหายใจออกไมใหพล้ังเผลอ ดวยการเดิน ดวยการ ยืน ดวยการนั่ง ดวยการนอน นี่ ๔ อิริยาบถภาวนาได ไมเลือกการ เลือกเวลา แลวพอผลท่ีไดรับมันคุมคา ใจของเรามีสมาธิธรรม มีปญญาธรรมเกิดขึ้น รูเห็นสภาวะธรรมตามความเปนจริง มันก็ ปลอยเองของมัน มันก็วางเองของมัน ไมมีใครไปบอกวาใหปลอย วางดอก รูความจริงเทานั้น สละพั้วะเดียวมันก็จบกัน สละความ หลง เปน ความรู จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ เหมือนอยางพวกเราสวดธัมม จักฯ กอนที่จะฟงธรรม นั่นเรียกวาธรรมะเขาสูใจ ใจเปนธรรมแลว สวางโลง ไมมีกลางวันและกลางคืน ไดรับผลประโยชน พนจาก ความ เกิด แก เจ็บ ตาย ไมตองมาทุกขมายาก ไมตองมาแยงมาชิง สถานที่ตาง ๆ ไมตองมาแยงชิงเงินทอง ขาวของ สามีภรรยา เรือน ชานบานชอง ไมตองมาแยงชิงปาไมพ้ืนดินกันเหมือนทุกวันนี้ ท่ีโลก ท้ังโลกแยงแผนดิน แผนน้ํา แผนฟาเขาก็ยังแยงกัน นานฟาตรงนี้ ของคนนน้ั ของประเทศน้ัน นา นน้ําตรงน้ี เรยี กวามาแยงกัน ถา ใคร มาลวงเกินก็ทําโทษทําภัยกัน มาทุกขมายาก นี่ปฏิบัติธรรมเพ่ือ นําไปสูความพนจากทุกขทั้งหลายทั้งปวง ทั้งในปจจุบันและในเบื้อง หนา เรียกวาทําประโยชนตน ทําประโยชนผูอ่ืนและทําประโยชน อยา งยิง่ คอื ไมตองมา เกิด แก เจ็บ ตาย อกี นั่นเอง ไดยินไดฟงแลวจง โอปะนะยิโก นอมธรรมน้ีไปสูการ ประพฤติปฏิบัติใหรูแจงเห็นจริงไดดวยตนของเราเอง แลวก็มี ๑๒๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลม ที่ ๖ ความเพียร อยาทอดธุระ อยาทอดท้ิงหนาที่ หรือธรรมะ การ ประพฤติธรรมปฏิบัติธรรมไปเอาการเอางานของกิเลส ของความ โลภ โกรธ หลง มันจะส่ังใหเราทําไมมีวันมีคืนหรอก อดตาหลับขับ ตานอน มันก็จะส่ังไปเร่ือยแหละกิเลส เพราะฉะน้ัน ใหเอาธรรมะ ตามคําสอนของพระพุทธเจา ฝกฝนอบรมกายจิตของตน โดยเฉพาะ อยางย่ิง จิตตภาวนา ดังที่กลาวมา ต้ังสติบริกรรมพุทโธ ๆ จน กลมกลืนเปนอันหน่ึงอันเดียวกัน ตั้งแตนั้นก็จะประสบพบ ความสขุ ความเจริญในธรรม ดวยอํานาจแหงบุญกุศลคุณงามความดีท่ีไดพากเพียร ประพฤติปฏิบัติมาโดยลําดับ ขอจงรวมเปนพละกําลังแหงบุญกุศล อํานาจแหงธรรมะ หรือพลังแหงพุทโธ ธัมโม สังโฆ เรียกวาอํานาจ แหงคุณพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ อํานาจแหงความเพียรไม ทอถอยของพวกเรา อํานาจแหงศรัทธาความเช่ือม่ัน จงรวม ประสทิ ธิป์ ระสาท ปรารถนาสิ่งใดเปนไปโดยชอบประกอบดว ยธรรม แลว ขอจงเปนผลสําเร็จ ๆ ในท่ีทุกสถานในกาลทุกเมื่อทุกทานทุก คนเทอญ ๑๒๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลม ท่ี ๖ “มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา” วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ป ๒๕๖๒ เลมท่ี ๖ ประธานบรหิ ารศาลาพระราชศรัทธา พระธรรมธัชมนุ ี เจาอาวาสวดั ปทุมวนาราม พระอดุลธรรมเมธี (โสฬส วีรญาโณ) ทีป่ รึกษา พสิ ูจนอ กั ษรบาลี พระกิตตสิ ารสธุ ี (เชดิ ชยั สีลสมั ปนโน) คณะทํางาน พระมหาชาญชัย ชยปุต̣โต พระมหานนทรัตน ชยานนฺ โท ออกแบบปก ปท มา เจียระศริ ิสิน ประสานงาน จณิ ณภัสร จิตเสรพี ชิ ยั พมิ พคร้งั ที่ ๑ ชฎาธาร โอษธศี และ พิมพที่ คณะทาํ งานศิลปวฒั นธรรม วทิ ยาลัยประชากรศาสตร จฬุ าลงกรณม หาวทิ ยาลยั สมศกั ด์ิ ตมุ ทอง สุดารตั น กนั ทะเนตร ตุลาคม ๒๕๖๓ จํานวน ๑,๐๐๐ เลม สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณ- มหาวิทยาลยั ๑๒๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๒ เลมที่ ๖ รายนามผูรวมบุญพมิ พหนังสือมรดกธรรม คณุ อภิชัย-คณุ ศริ พิ ร สุสมาวตั นะกลุ ๕๐,๐๐๐ ผศ.ดร.ปท พร สคุ นธมาน ๑,๐๐๐ คณุ ธรี ะพงษ ศรวี มิ ลวฒั นา ๓,๐๐๐ ผศ.ดร.ยศ อมรกิจวกิ ยั ๑,๐๐๐ คณุ พัชราพรรณ ภูบญุ ศรี ๓,๐๐๐ ผศ.ดร.รกั ชนก คชานบุ าล ๑,๐๐๐ ด.ญ.วรนนั ท สสุ มาวตั นะกลุ ๓,๐๐๐ ผศ.ดร.รตั ติยา ภลู ะออ ๑,๐๐๐ คณุ วชิ ัย สุขในใบบุญ ๒,๐๐๐ ศ.ดร.วพิ รรณ ประจวบเหมาะ ๒,๐๐๐ คณุ สาธิต สขุ ในใบบญุ คุณจนั ที โทบุตร คุณณัฐ สขุ ในใบบญุ ๑,๐๐๐ คุณจิราภรณ อานภุ าพ ๔๐ คุณโชตริ ส ลิขติ เจรญิ พาณชิ ย ๕๐๐ คณุ วรนิ ทรพ ร ตังตระกูลไพศาล ๒๐๐ คุณวรรณวภิ า สทุ ธิไกร ๒๐๐ คุณณฐั วัฒน มวงประเสรฐิ ๕๐ คุณกนกกร แยมสงวนศกั ดิ์ ๓๐๐ คณุ ดวงกมล ผลเพม่ิ ๑๐๐ คุณภมู ิพัฒน โภชฌงค ๓๐๐ คุณบุศรนิ บางแกว ๒๐๐ คุณณชั ชากญั ญ ชูชื่น ๓๐๐ วา ท่ีรอ ยตรี ประวัติ สายโน ๑๔๐ คุณประเทอื ง ล้มิ กลุ ๒๐๐ คณุ ปราณี แหวนทองคํา ๓๐๐ คุณสิทธ์ิ ยองประโคน ๒๐๐ คณุ ปาริชาติ เขตสมทุ ร ๑๐๐ คุณขยาวนจิ กมลศกั ดิ์พทิ กั ษ ๑๐๐ คุณวนิดา เซียสกลุ ๑๐๐ คุณหนูใหม ตรีบาตร ๑๐๐ คณุ วรรณวดี จันทรว ังโปง ๒๗๐ คุณธนภร เพ็ชรกําจดั ๒๐๐ คณุ ชาตรี หาศริ ิ ๒๐๐ คณุ ลลิ ะวรรณ ธรรมชาติ ๕๐๐ คณุ วษิ ณุ ญาณเนตร ๑๐๐ คณุ กชพร วงคช ัย คุณสมศกั ดิ์ ตุมทอง ๕๐๐ คณุ ชตุ ิกาญจน ธนาตยยศพล ๑,๐๐๐ คณุ อรพนิ พยุงวงษ ๑๐๐ คณุ เปมปญ ญภา ปญ ญาปวรี ๒,๐๐๐ ดร.ชลธชิ า อัศวนิรนั ดร ๑๐๐ คณุ สุวมิ ล หวังสมั ฤทธ์ผิ ล ๑,๐๐๐ คณุ วิรลั พชั ร มานิตศรศกั ดิ์ ๕๐๐ คุณ รงุ นภา ถริ เจรญิ สกุล คณุ รัชฎาภา แสงแกว ๑๐๐ ๕๐๐ ๑๒๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๒ เลม ที่ ๖ รายนามผูรวมบญุ พมิ พห นงั สอื มรดกธรรม คณุ กิมฮวย กลุ ัตถน าม ๑,๐๐๐ คุณวลยั ลักษณ เบอหนิง ๗๒๐ คณุ ณฐั นชิ เทงฮะ ๓๐๐ คณุ วิวดาว พงษเ รอื งเกียรติ ๑,๑๕๒ คุณเจนจิรา กติ ตกิ าร ๒๐๐ คณุ วลยั พรรณ เพ็ญชาติ ด.ช. ภาณุวชั ร กิตตกิ าร ๑๐๐ คุณภทั รานุช เขมจรัส ๗๒๐ คุณพิมพอ ปั สร งอนสวรรค ๑๐๐ คุณศริ ิวรรณ พลับอนิ ทร ๑,๐๐๘ คุณเพชรรัตน งอนสวรรค ๑๐๐ ผูไ มประสงคออกนาม ADORA GEMS ๒๐๐ พีน่ อ ย วัดปทุม ๗๒๐ คณุ ธรี เดช ศยามล ๑๐๐ คณุ วายนู อดุ มสจั จานนั ท ๓๐๐ คุณเครอื วัลย งอนสวรรค ๑๐๐ คุณจาตุรนต กิตตสิ รุ นิ ทร ๕๐๐ ด.ญ.ภรรมั ภา งอนสวรรค ๑๐๐ คุณอรณุ รตั น สวัสดทิ์ อง ๑,๐๐๐ คุณแมเ ฮียง ศริ ิเทพ ๑๐๐ คุณธนยิ า หทโยดม ๒๐๐ คุณอนวุ ัตร งอนสวรรค ๑๐๐ คณุ ณฐั า พิศภมู วิ ิถี ๓,๐๐๐ คณุ แมท องสขุ กสุ มุ าลย ๑๐๐ คุณสิรินทร พลจันทร ๕,๐๐๐ คณุ พอทองสู กุสมุ าลย ๑๐๐ คณุ วันทนยี ลอตระกลู ๑,๔๔๐ คุณณฐั กาญจน กสุ ุมาลย ๑๐๐ คณุ เนาวรตั น ตนั ตเิ วทย ๗๒๐ คุณกนั ยา กสุ มุ าลย ๑๐๐ คุณเอนก สสุ ุทธิ ๕๐๐ คุณจําลอง กุสุมาลย ๑๐๐ คุณชุณหพิมาณ ศุภธาเสฏฐ ๕๐๐ คณุ สรุ ิยา-คณุ รกั เร บญุ วสิ ัย ๑๐๐ คุณทพิ วรรณ พนั ธวงศศุภกร ๒๐๐ คณุ วยิ ะดา แกว เชยี งหวาง ๒๐๐ คุณถนอมศรี รตั นอนันต ๑,๐๐๐ คุณท้งิ ตาคาํ ๑๐๐ คณุ เพช็ รี รกั ษาเสรี ๕๐๐ คุณอุลัย ไชยะบุบผา ๑๐๐ คุณกนั ยารตั น รักษาเสรี ๑,๐๐๐ คุณภทั ราพร ตาคํา ๑๐๐ คุณจนั ทิมา รกั ษาเสรี ๕๐๐ คณุ สุกัญญา บุญวลิ ัย ๑๐๐ คณุ ทิพยวรรณ รักษาเสรี ๕๐๐ คณุ นฤพน สวสั ดนิ์ ที ๑๐๐ คณุ วรวรรณ โถทองคํา ๕๐๐ ด.ญ.พณิ ญาดา สวสั ดนิ์ ที ๑๐๐ คุณสมรกั ษ โลหวสิ ัย ๒,๐๐๐ ๕๐๐ ๕๐๐ ๑๒๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๒ เลม ท่ี ๖ รายนามผรู ว มบุญพมิ พหนังสอื มรดกธรรม คณุ ซนั ดีพ-คณุ อภรู วา ตัก ๑๐๐ คุณถนิมใจ สมทุ วณิช ๕๐๐ คุณอไุ รรตั น นาคา ๒๐๐ คณุ บุษกร พฤกษพงศ ๖,๐๐๐ คุณสมทรง ๑๐๐ คุณมนนภิ า พฤกษพงศ คุณเต ๒๐๐ คุณอรวรรณ ชมนารถ ๑,๐๐๐ คุณอรณุ ประเวรภัย ๑๐๐ คณุ อไุ รพรรณ พิพฒั นไพบูลย ๑,๐๐๐ ส.ต.อ.อดสิ ร กสุ มุ าลย ๑๐๐ แมชีนภาจร เหมะจนั ๒๐,๐๐๐ คุณวนิดา อา่ํ เอยี่ ม ๑๐๐ คุณธนติ า (คุณหมอนก) ๑๒,๐๐๐ ด.ญ.ชนดิ า กุสุมาลย ๑๐๐ คุณน้ํา-คณุ เปล รานแวน ส.ต.อ.ปญ ญาวุธ บตุ รพรม ๑๐๐ คุณปท มา เจยี ระศริ สิ ิน ๕๐๐ คุณอมรรตั น กสุ มุ าลย ๑๐๐ คณุ ไพโรจน ครี รี ัตน ๑,๐๐๐ ด.ช.ปย วุธ บุตรพรม ๑๐๐ คณุ ชอ รดา ชยั วีรจติ คุณสภุ ทั รา ไชยลือชา ๒๐๐ คณุ ธยานษิ ฐ จนั ทราภาส ๕๐๐ คณุ บานเย็น จันทรพ ิพฒั น ๑๐๐ คุณปญ ญนาถ นลิ สขุ ๑,๐๐๐ คณุ อุดมทรพั ย มาลา ๓๐๐ คณุ สรุ ีย ศภุ วิบลู ย ๑,๐๐๐ คณุ ธัญกมล สกลุ วนภรณ ๑๐๐ คุณเหมือนฝน ธารณธรรม ๑,๐๐๐ คณุ กาญจนา อิทธิพงศ ๑,๐๐๐ คณุ อภพิ ร อดุลยพิจติ ร ๑,๐๐๐ คณุ วิภาดา อทิ ธพิ งศ ๑,๐๐๐ คณุ วรลญั วลญั ช วริษฐพ ฒุ เิ มธ คณุ กรรณกิ า นนั ทวฒั นศ ริ ิ ๖๐๐ คุณวชั รพงษ มุขเชดิ ๕๐๐ คณุ ภาษกร นันทวฒั นศริ ิ คณุ ภควรรณ ศิลาเพชรจรัส ๒๐๐ พญ.พงศภารดี เตทะเกษตรนิ ๑,๐๐๐ คณุ พชิ ญานนิ ชวยนุกลุ ๓๐๐ คณุ พงศพ ัฒนา ธารมงคล คุณสุดารัตน กนั ทะเนตร ๑,๐๐๐ คุณณัฏฐกิ า เลิศฤทธิ์เรอื งสนิ ๕๐๐ คุณณิชารยี ภกั ดีนฤนาถ ๕๐ คุณสุภาภรณ ฟุงสาธติ คณุ สมศักดิ์ กานตภ ทั รพงศ ๒๐๐ คณุ วรรณทนา เขม็ ทอง ๓๐๐ คุณเหนือฟา กจิ จนิ ดาโอภาส ๕๐๐ คณุ วสุ ยวุ นบณุ ย ๒๐๐ คุณสุทธวิ รรณ เวชมนัส ๑,๐๐๐ ๑,๐๐๐ ๕๐๐ ๑๒๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๒ เลม ที่ ๖ รายนามผรู ว มบญุ พมิ พห นังสือมรดกธรรม คณุ ทิวา ณฤทัย ทวิ าเจรญิ ๓๐๐ คณุ ธิดารัตน จนั ทรฉายงาม ๑,๒๐๐ ๑๐๐ คณุ จดิ าภา อทิ ธพิ งศ ๕๐๐ คณุ พนอ วงศคํา ๑๐๐ คณุ ตอ ง กรนิ ทร ๕๐๐ ๑,๐๐๐ คณุ เลก็ (เพอ่ื น) ๖๐๐ คณุ ลมยั สขุ อว ม คณุ ธนดั ดา กรอิ ุณะ ๕๐๐ ๒๐๐ คณุ นํา้ ฝน ชาวโพธ์สิ ระ ๑๐๐ คณุ บเิ รน ปารกิ คณุ วรินทร สุขจิตต ๑๐๐ ๓๐๐ คุณศดานันท รักษาผล ๒๐ คณุ แปรนนา ปารกิ ๕๐๐ คณุ จารวุ รรณ วนั เพ็ง ๕๐ ๕๐๐ Mr. Rotha Sing ๒๐๐ คุณคชุ คูเชลิ้ ปารกิ คุณสารกิ า งามทานตะวนั ๒๐๐ ๑,๒๐๐ คุณอทุ ัย ทองบญุ ชู คุณแมก รรัฐ สทิ ธจิ ินดา ๔,๕๔๐ คุณนัฐพรรณ บุญทมิ ๑,๐๐๐ คณุ ประวุธ ปลดรัมย และ คณุ แมวิภา พงศส วุ รรณ ๑๐๐ คุณตนุ คณุ กงุ ๒,๘๘๐ ๑,๐๐๐ แพทยหญิง สขุ ฤทยั เลขยานนท ๑๐๐ คุณนภิ า จนั ทศรี ๑,๐๐๐ คณุ ศุภิสรา แกน แกว และครอบครวั ๕๐๐ ๑,๐๐๐ คณุ พรศกั ด์ิ โครตวงษ และครอบครวั คุณกรณศิ พัฒนชยั ๑,๐๐๐ คณุ สุเมธ ศรีเมอื ง และคณะวัดปทมุ ๒,๐๐๐ คุณสมบูรณ กาญจนรัศมีโชติ ๖๐๐ คณุ ศวิ นันท บุญโท ๓,๐๐๐ และครอบครัว คณุ พศิ าล-วิภาดา จรรยาเลิศอดุล ๖,๕๐๐ คุณนิชณา ลม้ิ พทิ ยา ด.ช. เปรมสรุ นิ ทร จรรยาเลิศอดุล ด.ช. ปลื้มสรุ นิ ทร จรรยาเลิศอดลุ คณุ กนั ยณฏั ฐ บุญกติ ตชิ ยั ด.ช. โปรดรินทร จรรยาเลศิ อดลุ คุณพมิ พศ ยา ลมิ้ พริ ิยะภาณณิ ผูไ มป ระสงคอ อกนาม (รวม) คณุ บญุ เปรม-คุณเพญ็ แข สารกิ ิจ คณุ ชลธิชา มาทสิ และครอบครวั คุณงามพรรณ ฐติ พิ รรณกลุ และครอบครัว คุณณรงค ผอ งแผว -คุณพรนภิ า ชน่ื อารมย คณุ อรวรรณา ฉายา และครอบครวั คณุ ธนกรณ ธนทวโี ชติ และครอบครวั คณุ สถิตย แถลงสัตย และครอบครวั คุณศิรวิ รรณ ศรีวมิ ลวัฒนา (นวพาณิชน) ๑๒๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ป ๒๕๖๒ เลมท่ี ๖ รายนามผูรว มบุญพมิ พห นังสอื มรดกธรรม คณุ สุพาพรค- คุณสมจิตร พัฒนประเสรฐิ ๑,๐๐๐ คุณลลิตา อยปู ระเสรฐิ และครอบครวั ๒,๐๐๐ คณุ สไบทอง ชัยประภาและครอบครวั ๗๒๐๐ คณุ ดศิ นิติ-ปญ ชนิติ-สณั หน ติ ิ โตววิ ฒั น ๗,๗๖๐ คณุ สมสมาน-อลสิ า-บุญจริ า โสตถิทตั ๒,๑๖๐ และ คุณสมมา บุญสง คุณสายบัวทอง-คณุ สมพงษ โดสุวรรณ ๑๐๐ คณุ สุกญั ญา จํานงคบ ญุ และครอบครัว ๑๐๐ คณุ กฤษฎี บญุ สวยขวัญและครอบครวั ๒๐๐ คุณจไุ รรตั น เปยมเพชรกุล และครอบครัว ๑๒๐ คุณมยุรี และคุณมาลี ดอนนภาพร ๒๐๐ คุณพมิ พช นก ตนั ติยทุ ธ ๑๐๐ ๑๓๐
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136