งานสมโภชหลักเมือง ยะลา งานสมโภชหลักเมืองยะลาเดิมจังหวัดยะลาเป็นอาณาเขตหนึ่งในบริเวณ ๗ หัว เมือง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดปัตตานี เมื่อแยกออกเป็นเมืองหนึ่งต่างหาก ใน สมัยรัตนโกสินทร์ (ในรัชกาลที่ ๑ พ.ศ. ๒๓๓๓) มีเจ้าเมืองปกครองนับตั้งแต่แยก เป็นจังหวัดมาจนกระทั่งปัจจุบัน (พ.ศ.๒๕๐๕) รวม ๓๑ คน จากการดำริของ พ.ต.อ. (พิเศษ) ศิริ คชหิรัญ ครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ร่วมใน กันก่อสร้างหลักเมืองขึ้นที่บริเวณศูนย์วงเวียน หน้าศาลากลางจังหวัด โดยเริ่มวาง ศิลาฤกษ์ก่อสร้างเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๔ เวลา ๑๐.๓๐ น. โดยกรม ป่าไม้เป็นผู้จัดหาไม้ชัยพฤกษ์ จากป่าเมืองกาญจนบุรี เสาหลักเมืองมีลักษณะเป็นแท่งกลม ต้นเสาวัดโดยรอบได้ ๑๐๕ เซนติเมตร ปลายเสา ๔๘ เซนติเมตร สูง ๑.๒๕ เมตร มีเทพารักษณ์จากกาญจนบุรีมาประจำอยู่ วางบนฐานกลม แกะสลักลวดลายแบบไทย ลงรักษ์ปิดทองรอบฐานชั้นบนและกลาง แกะสลักเป็นรูปนักรบโบราณถือโล่และดาบ กล่าวกันว่าเป็นวิญญาณแม่ทัพคนหนึ่ง ของพระเจ้าตากสินมหาราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงพระสุหร่ายและทรงเจิมยอด เสาหลักเมืองและพระราชทานแก่ พ.ต.อ. (พิเศษ) ศิริ คชหิรัญ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๕ และได้ฤกษ์ประกอบพิธีฝังเสาและปักยอดหลักเมืองเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ เวลา ๑๒.๑๑ น. ยอดเสาหลักเมืองแกะเป็นรูปพระพรห มมี ๔ หน้า อันเป็นหลักแห่งความเมตตา กรุณ มุทิตา และอุเบกขา ส่วนศาลหลักเมืองก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กตบแต่ง ด้วยหินขัดทั้งหลังเป็นรูปจัตุรมุข หันหน้าไปตามทิศทั้ง ๔ มีบันได้ขึ้นทั้ง ๔ ทิศ รูป ลักษณ์สี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สอบสอง หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสลับสี ตัวศาลากว้าง ๖.๐๐ เมตร สูง ๖.๕๐ เมตร มีถนนทางเข้า ๔ ทิศ รอบ ๆ ตัวศาลมีสระน้ำและปลูกไม้ ประดับพันธุ์ไม้ไทย
ประเพณี ทำบุญตักบาตร เทโวโรหณะ
ป ร ะ เ พ ณี ทำ บุ ญ ตั ก บ า ต ร เทโวโรหณะ สถานที่จัดงานจะใช้วัดคูหาภิมุขเพราะวัดมีปูชนียสถาน และโบราณวัตถุที่สำคัญคือจะ มีบันไดลงจากเขาซึ่งคล้ายคลึง กับสมัยพุทธกาลที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงมา ชมพูทวีป ณ สังกัสนครกอร์ปกับวัดมี ศาสนวัตถุที่มีคุณค่าและมีสภาพเก่าแก่ที่สุด นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่องค์พระศาสดาสมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าลงจากเทวโลก หลักจากเสด็จขึ้นไปจำพรรษาอยู่ในดาวดึงส์ และตรัส พระอภิธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดาในเทวโลกมาตลอดระยะเวลา ๓ เดือน เมื่ออกพรรษา ก็เสด็จกลับมายังโลกมนุษย์ โดยเสด็จลงมาทางบันไดสวรรค์ที่ประตูเมืองสังกัสนครวันเสด็จลง มาจากเทวโลกนั้น เรียกว่า \"วันเทโวโรหะณะ” เป็นวันบุญกุศลที่สำคัญวันหนึ่งทางพระพุทธ ศาสนา พุทธศาสนิกชนจึงพร้อมใจกันทำบุญ ตักบาตรแก่พระสงฆ์ และถือเป็นประเพณีสืบต่อ กันมาจนถึงปัจจุบัน
ประเพณี \"แห่พระลุยไฟ\"
ประเพณี \"แห่พระลุยไฟ\" \" แ ห่ พ ร ะ ลุ ย ไ ฟ \" ภายในงาน ส ม โ ภ ช ศ า ล เ จ้ า แ ม่ ก อ เ ห นี่ ย ว ประเพณี\"แห่พระลุยไฟ\"จัดตั้งขึ้นบริเวณกลางลานหน้าศาลเจ้าแม่กอ เหนี่ยว(ฉื่อเซียงตึ้ง)อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ได้มีประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ มารอชมประเพณีแห่พระลุยไฟ กันจำนวนมาก ซึ่งการลุยไฟครั้งนี้ก็มีผู้ที่หามเกี้ ยองค์พระต่างๆ อาทิ เจ้าแม่ลิ่มกอเหนี่ยว,องค์พระโพธิ์สัตย์, องค์เจ้าแม่กวนอิม และองค์พระอื่นๆ รวม 11 เกี้ยว ทำพิธีลุยไฟ ก่อนที่จะอันเชิญองค์พระต่างๆ เข้าไปเก็บไว้ภายในศาลเจ้านั้น ก็จะมี การนำองค์พระทั้งหมด ลุยไฟ ซึ่งเป็นความเชื่อว่า เป็นการชำระล้างสิ่งไม่ดีทั้ง หลายที่ติดมา หลังจากออกตระเวนไปตลอดทั้งวัน สำหรับพิธีลุยไฟ เป็นสิ่งที่ชาวยะลาและนักท่องเที่ยวต่างอยากจะชม ถึงความอัศจรรย์ ที่ผู้ที่หามเกี้ยวหรือศิษยานุศิษย์ที่มีความศรัทธาในพิธีกรรม ว่าจะไม่เป็นอันตรายใดๆ ขณะลุยไฟอยู่ในกองไฟที่ร้อนและลุกท่วมหัว ซึ่งผู้ที่ หามเกี้ยวองค์พระเชื่อว่าเป็นความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระ นอกจากนั้น ก็ยังมีผู้ที่ศรัทธา ได้ร่วมลุยไฟ โดยเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของ องค์เจ้าแม่กอเหนี่ยว ที่จะปกป้องผู้ที่มีจิตศรัทธาที่นับถือองค์เจ้าแม่กอเหนี่ยว มาตลอด จึงร่วมลุยไฟเพื่อเป็นสิริมงคลต่อตนเอง โดยพิธีกรรมแห่พระลุยไฟ สร้างความตื่นตาตื่นใจ และเสียงเชียร์จากผู้ที่เข้าร่วมชมพิธี ซึ่งในพิธีกรรมนี้เชื่อว่าผู้ที่เข้าร่วมแห่เกี้ยวพระจะต้องกินอาหารเจ เป็น เวลา 15 วัน ก่อนมีพิธีแห่พระลุยไฟ ซึ่งประชาชนที่เข้าชมต่างก็ลุ้นระทึกและ ส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจแก่ผู้ที่หามเกี้ยวลุยไฟกันอย่างคึกคัก
ประเพณี ถือศิ ลกินเจ ศาลเจ้าแม่ฮุ ดโจ้
ป ร ะ เ พ ณี ถื อ ศิ ล กิ น เ จ ศาลเจ้าแม่ฮุ ดโจ้ ความสำคัญและคุณค่าทางสังคมและทางจิตใจ ศาลเจ้าแม่ฮุดโจว แต่ก่อนชื่อว่าศาลเจ้าพระหุตโต หลังจากเจ้าพระยาได้อันเชิญเจ้าแม่ ลิ้มกอเหนี่ยวมาจากปัตตานีก็ได้เปลี่ยน ชื่อว่า ศาลเจ้าแม่ฮุดโจว ประมาณทุก ๆ เดือนมีนาคม ของทุกปีจะมีการจัดงานประจำปี (งานวันเกิดเจ้าแม่) เป็นประจำทุกปีและจะมีเทศกาลกินเจ มี การแสดงมหรสพต่างๆ เช่น หนังตะลุง มโนราห์ ฉายภาพยนตร์การแปลง มีการจำหน่ายสินค้า ของกลุ่มแม่บ้านในพื้นที่ตำบลถ้ำทะลุ ในสมัยก่อนนั้นยังมีพิธีอย่างหนึ่งคือ คนทรงจะทำพิธีเอา มีดเฉือนลิ้นตัวเองแล้วเอาเลือดเขียนยันต์ที่หน้าผากของคน ที่หามเกี้ยวเจ้าแม่ แล้วให้คนหาม เกี้ยวเดินไปบนมีดดาบอันคมกริบขนาดโกนขนอ่อนขาดกระจุยไป โดยไม่เป็นอันตรายแต่อย่าง ใดแต่ภายหลังได้ถูกทางราชการบ้านเมืองฝ่ายปกครอง ออกคำสั่งห้ามพิธีอันหวาดเสียวนี้เสีย คงมีแต่พิธีลุยไฟเท่านั้นที่ยังคงกระทำมาจนทุกวันนี้ ศาลเจ้าพระหุตโต หรือที่มีชื่อเป็นทางการว่า ศาลเจ้าแม่ฮุดโจวเป็นศาลเจ้าเก่าแก่คู่บ้านคู่ เมืองของชาวบ้านถ้ำทะลุมาตั้งแต่โบราณ ตั้งอยู่หมู่ ที่ ๑ตำบลถ้ำทะลุ อำเภอบันนังสตาจังหวัดยะลา ซึ่งเป็นปูชนียสถานอันทรงความศักดิ์สิทธิ์แห่ง หนึ่งของชาวบ้านถ้ำทะลุ เดิมศาลเจ้านี้มีชื่อเรียกว่า \"ศาลเจ้าพระหุตโต \" ตามหลักฐานที่จารึก อยู่ในศาลเจ้า ปรากฏว่า ตั้งขึ้นเมื่อวันชัยมงคล ปีบวนเละที่ ๒ ศักราชราชวงศ์เหม็ง ตรงกับปี พุทธศักราช ๑๒๕๓ ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชา แห่งกรุงศรีอยุธยา แม้ศาลเจ้านี้ จะตั้งมาเก่าแก่นับได้หลายศตวรรษ แต่ด้วยบุญญาภินิหารของเจ้าแม่หลิมกอเหนี่ยว ศาลเจ้านี้ จึงมีความเจริญรุ่งเรือง และเป็นที่ศรัทธาของสาธุชนเสมอมามิได้ขาด อัตลักษณ์ (ที่โดดเด่น) อัตลักษณ์ของศาลเจ้าแม่ฮุดโจวจะมี การบวงสรวงทุกๆ ปี โดยจะจัดงาน ๓ วัน ๓ คืน เพื่อ ระลึกถึงเจ้าแม่ฮุดโจ้ โดยการตั้งเครื่องบวงสรวง เช่น หัวหมู ไก่ต้ม ผลไม้มงคล กระดาษเงิน กระดาษทองฯ มีการแห่พระลุยไฟและม้าทรง
เชิดสิ งโต กลางเมืองยะลา
เชิดสิ งโต กลางเมืองยะลา
ประเพณี แห่ เจ้าเบตง
ประเพณี แห่ เจ้าเบตง กลุ่มชนชาวไทยเชื้อสายจีนอำเภอเบตงจาก 5 สมาคม ประกอบด้วย บำเพ็ญบุญมูลนิธิ (กวางไส) , สมาคมกว๋ องสิ่วเบตง , สมาคมบำรุงราษฎร์ (แต้จิ๋ว) เบตง , สมาคมฮากกา และสมาคมฮกเกี้ยน รวมถึงนักท่องเที่ยวมาเลเซีย พร้อมใจกันแต่งชุดขาวออกรับขบวนแห่เจ้า พร้อมรอชมการเข้าทรง หรือการแสดงอภินิหารของเทพเจ้าต่างๆ ใน พิธีสมโภชและแห่เจ้าของมูลนิธิอำเภอเบตง โดยชาวจีนนั้นทุกบ้านจะมีการตั้งโต๊ะบูชารับพรจากเจ้าที่เวียนไปเยือน โดยเฉพาะหน้าร้านค้าต่างๆ ตลอดเส้นทางในเขตเทศบาลเมืองเบตง ซึ่งในขบวนจะมีการอัญเชิญองค์พระต่างๆ ขบวนแห่ขบวนสิงโต ขบวนล่อโก๊ว ขบวนแห่ธง ขบวนแห่องค์เทพเจ้าทุกองค์ของสานุศิษย์ นายประพงศ์ อัญชัญ ศรีชาติ ประธานมูลนิธิอำเภอเบตง กล่าวว่า ทางมูลนิธิอำเภอเบตงร่วมกับโรงเรียนจงฝามูลนิธิ สมาคมคนไทยเชื้อ สายจีนในอำเภอเบตง จัดงานพีธีสมโภชและแห่เจ้า มูลนิธิอำเภอเบตง ประจำปี 2556 เพื่อสักการะขอบคุณองค์ เทพเจ้าที่คอยดูแลทุกข์สุข และป้องกันภัยอันตรายแก่มวลมนุษย์ อีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์ประเพณีของชาวไทยเชื้อ สายจีนให้ดำรงสืบไป ส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชนปฏิบัติตนเป็นคนดีละเว้นความชั่ว นอกจากนี้ยังเป็นการส่ง เสริมการท่องเที่ยวให้เกิดการหมุนเวียนด้านเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดความรักสามัคคีและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับ อำเภอเบตงซึ่งเป็น เมืองท่องเที่ยวชายแดนอีกทางหนึ่งโดยกิจกรรมในครั้งนี้ ได้มีการแสดง แสง สี เสียง การขับร้อง เพลงจากตัวแทนสมาคมต่างๆ การแข่งขันหมากรุกจีน พิธีไหว้เจ้า พิธีสะเดาะเคราะห์ พิธีลุยไฟ ลุยกระเบื้อง นอกจากนี้มีการออกร้านจงฝานำโชคชิงรางวัลต่างๆมากมาย สำหรับผู้เขียนบอกตรงๆว่า ชินซะแล้วสำหรับเสียงปะ ทัดดังตลอดวันกับงานมูลนิธิหน้าโรงเรียนจงฝาในยามค่ำคืน ที่จะมีการรวมพลของชนชาวจีน เป็นภาพที่ดูแล้วน่า ชื่นชมถึงกุสโลบายของบรรพบุรุษ ที่ทำให้เกิดการรักสามัคคีในหมู่คนจีนไม่จะเผ่า หรือแซ่อะไร ล้วนรวมเป็นหนึ่ง เดียว ส่วนการกรีด เฉือน หรือทำร้ายร่างกาย
ศิ ลปะการแสดงมโนราห์
ศิ ลปะการแสดงมโนราห์ การแสดงมฌนราห์ หรือ โนรายังคงปรากฏ อยู่ในวิถีชีวิตของ คนทางภาคใต้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และยังคงมีการสืบสานกัน อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในกลุ่มคณะโนรา ที่ยังคงประกอบพิธีกรรม โนราโรงครูรักษาจารีตขนบธรรมเนียมการแสดง และพิธีกรรมอย่าง ต่อเนื่องการแสดงโนราโรงครู หรือที่เรียกว่าโนราลงครูเป็นการแสดง โนราเพื่อเชิญวิญญาณบรรพบุรุษโนราที่เรียกกันว่า ครูหมอโนราเพื่อ แสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ เพื่อแสดงในความเป็นมงคลแก่ชีวิต ในครอบครัว หรือเพื่อแก้บนให้ได้ตามที่ตนคาดหวังไว้ พิธีกรรมโนราโรงครู ยังส่งผลต่อ มโนราห์ หรือ โนรา เป็นการละเล่นพื้นเมืองภาคใต้ ที่สืบทอดกันมานานและ การปลูกฝังทัศนคติและค่านิยมแก่คณะ นิยมกันอย่างแพร่หลาย เป็นการละเล่นที่มีทั้งการร้อง การรำ บ้างก็เล่นเป็นเรื่อง โนรา ลูกหลาน ตายายโนรา และชาว แสดงตามคติความเชื่อที่เป็นพิธีกรรม สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลจากการร่ายรำ บ้านทั่วไป เพื่อเป็นการแสดงออกถึง ของอินเดียโบราณ ก่อนสมัยศรีวิชัย มาจากพ่อค้าชาวอินเดีย สังเกตได้จากเครื่อง การเคารพ ความสำนึกในความกตัญญู ดนตรีที่ เรียกว่า เบญจสังคีต ซึ่งประกอบด้วย โหม่ง ฉิ่ง ทับ กลอง ปี่ใน ซึ่งเป็น รู้คุณต่อครูบาอาจารย์ บิดามารดา พ่อ เครื่องดนตรีโนรา รวมถึงท่ารำของโนราหลายท่าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับการร่ายรำ แม่ ตายาย ทั้งที่ล่วงลับแล้ว และยังมี ของทางอินเดีย คาดว่าโนรากำเนิดขึ้นประมาณ พ.ศ.๑๘๒๐ ตรงกับสมัยสุโขทัย ชีวิตอยู่บุคคลที่ถูกเลือกเป็นคนทรงครู ตอนต้น เชื่อกันว่าโนราเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยที่หัวเมืองพัทลุง ปัจจุบันคือ หมอโนราจะต้องประพฤติปฏิบัติตนอยู่ ต.บางแก้ว จ.พัทลุง พิธีกรรมโนราโรงครูเป็นพิธีกรรมโนราโรงครูเป็นการแสดง ในศีลธรรมมีเมตตาความกรุณามีความ โนราประกอบพิธีกรรมที่ปรากฏอยู่ในวิถีของคนภาคใต้มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซื่อสัตย์ไม่ผิดลูกเมียผู้อื่น ตัดขาดจาก มีจุดมุ่งหมายสำคัญในการแสดง 3 ประการ คือ เพื่อเป็นการเคารพบูชา และ อบายมุขทั้งปวง หากฝ่าฝืนหรือไม่ได้ แสดงความกตัญญูต่อวิญญาณบรรพบุรุษ เพื่อแก้บนหรือแก้เหมฺรย และเพื่อ ปฏิบัติตามก็ไม่ได้รับการยอมรับจากครู ทำพิธีครอบครูโนราและรักษา โรคต่าง ๆ หมอโนรา และยังจะถูกลงโทษด้วยวิธี การต่าง ๆ เพื่อเป็นการปฏิบัติตนดอง ดังกล่าว นอกจากจะเป็นการควบคุม ตนเองแล้ว ก็ยังเป็นแบบอย่างแก่ชาว บ้านทำให้ได้รับความเชื่อถือศรัทธา จากชาวบ้านสังคมนั้นด้วย
ปันจักสี ลัตSCIBUZZ>
ปันจักสี ลัต SCI BปUัจZจZัก>สีลัต เป็นการแข่งขัน ปันจักสีลัต ... ศิลปะการต่อสู้และป้องกันตัวของชาวไทย ประเภททีมมีนักกีฬาลงทำการแข่งขัน ทีมละ 3 คน โดยการแข่งขันนั้น จะมี มุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้ได้แสดงให้เห็นไหวพริบด้านศิลปะการ ท่าเฉพาะ 100 กระบวนท่าซึ่งจะมีการ ต่อสู้เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพอนามัยและสร้างความสามัคคี เล่นด้วยมือเปล่าเพียงอย่างเดียว โดย ในหมู่คณะเด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดีการแสดงศิละมักประกอบท่าทางและ กระบวนการทำท่า จะเน้นที่ความถูก สีหน้าอารมณ์ให้มีความตลกขบขันจึงมักเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชม ... ต้องความพร้อมเพียงกันความแข็งแรง ของกระบวนท่าสีหน้า และท่าทางการ ปันจักสีลัต (PENCAK SILAT) เป็นคำที่มาจากภาษาอินโดนีเซียมา ออกอาวุธในแต่ละกระบวนท่าการ จDาEกTคAำIวL่า> \"ปันจัก\" (PENCAK) หมายถึงการป้องกันตนเองและคำว่า \"สีลัต\" (SILAT) หมายถึงศิลปะรวมความแล้วหมายถึงศิลปะการป้องกันตนเองกีฬา ประเภทนี้เดิมเป็นศิลปะการต่อสู้ของคน เชื้อสายมาลายู ในภาคพื้นเอเชีย แต่งกายชุดปันจักสีลัต ไม่จำเป็ร อาคเนย์ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน และพื้นที่ใน ต้องชุดสีดำ มีสายคาดเอวสีขาว จะมี จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย คือ ปัตตานี ยะลา สตูล นราธิวาส ความกว้าง 10 เซนติเมตร จะแต่งกาย และสงขลา เรียกว่า “สิละ” “ดีกา” หรือ “บือดีกา” เป็นศิลปะการต่อสู้ด้วย เหมือนกันไม่ควรสวมใส่เครื่องประดับ มือเปล่าเท้าเปล่า เน้นให้เห็นลีลาการเคลื่อนไหวที่สวยงาม มีบางท่านกล่าว ทุกอย่างลงสนาม การติดเครื่องหมาย ว่า สิละมีรากคำว่า ศิละ ภาษาสันสกฤต ทั้งนี้เพราะดินแดนของมลายูในอดีต หรือสัญลักษณ์ตราสมาคมควรติดไว้ที่ เคยเป็นดินแดนอาณาจักรศรีวิชัย ที่มีวัฒนธรรม อินเดียเข้ามามีบทบาทที่ หน้าอกด้านซ้ายมือ ตราสมาพันธ์ปัน สำคัญ จึงมีคำสันสกฤตปรากฏอยู่มาก ประวัติความเป็นมา ของปันจักสีลัต จักสีลัตไว้ที่หน้าอกด้านขวา ธงชาติติด นั้น มีตำนานเล่าต่อกันมาหลายตำนาน ซึ่งมีส่วนตรงกันและแตกต่างกันบ้าง ไว้ที่แขนขวา และผู้สนับสนุนต่าง ๆ ที่ แขนด้านซ้าย ขนาดของเครื่องหมาย ต้องไม่ใหญ่กว่าตราสมาพันธ์ปันจักสี ลัด ชื่อประเทศ ควรติดไว้ที่ด้านหลัง และไม่ควรสวมใส่เครื่องประดับต่างๆ ก่อนลงสนามทุกครั้ง
รำบำปาเต๊ะ
รำบำปาเต๊ะ ระบำปาเต๊ะ”ได้นำเอาขั้นตอนการทำผ้า ปาเต๊ะมาประยุกต์ ดัดแปลงเพื่อประกอบเข้ากับ ท่าเต้นรำของการแสดงพื้นเมืองภาคใต้ โดยจะ เริ่มจากการแบกภาชนะใส่เทียนไปเคี่ยวบนไฟ ร้อนละลายการถือกรอบไม้ออกมาขึงผ้าเพื่อมา เขียนลวดลาย ขั้นตอนการย้อมผ้า การนำผ้าที่ ย้อมมาตากและจบลงด้วย ทุกกลุ่มออกมาร่วม เริงระบำอย่างสนุกสนาน และแสดงความชื่นชม พอใจในชุดผ้าปาเต๊ะที่สวยงามเครื่องดนตรีที่ เล่นประกอบใช้วงดนตรีพื้นเมืองภาคใต้ DETAIL > ระบำปาเต๊ะเป็นระบำที่ประดิษฐ์ขึ้นโดย อาจารย์ดรุณี สัจจากุล ภาควิชา นาฏศิลป์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ได้ประดิษฐ์ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.๒๕๒๓ และ ได้นำมาปรับปรุงแก้ไขใหม่เพื่อนำออกแสดงหน้าพระที่นั่ง ณ พระตำหนักทักษิ นราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๒๘ ระบำชุดนี้ได้นำเอาขั้นตอนการทำผ้าปาเต๊ะมาประยุกต์ดัดแปลงประกอบ เข้ากับท่าเต้นรำของพื้นเมืองภาคใต้ ในการแสดงนั้นจะเริ่มจากการแบกภาชนะ ใส่เทียนไปเคี่ยวบนไฟจนร้อน การถือสะดึงออกมาขึงผ้า เขียนลาย ย้อมผ้า และจะจบด้วยทุกกลุ่มออกมาร่วมเริงระบำกันอย่างสนุกสนานด้วยความพอใจ ในชุดผ้าปาเต๊ะอันสวยงาม เครื่องดนตรีประกอบการแสดงใช้วงดนตรีพื้นเมือง ภาคใต้บรรเลงประกอบการแสดง
หนั งเต็งสาคอ
หนังเต็งสาคอ หนังเต็งสาคอ เป็นหนัง วายังกูเละ คือ หนังตะลุงของชาวไทยมุสลิม เป็น ตะลุงบันเทิง ศิลปินหนังตะลุง ศิลปะการเล่นเงาของชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม พื้นบ้าน ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 45 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความเชื่อว่าวายัง หมู่ 4 ตำบลท่าสาป อำเภอ กูเละได้รับแบบอย่างมาจากอินโดนีเซียโดยผ่านทาง เมือง จ.ยะลา โดยมีนายมะยา คาบสมุทรมลายูส่วนอินโดนีเซียรับแบบอย่างมาจาก เต็ง สาเมาะ อายุ 41 ปี นาย อินเดียอีกทอดหนึ่ง หนังตะลุงของคณะ \"หนังเต็ง สาคอ ตะลุงบันเทิง\" ผู้สืบทอด วายังกูเละเป็นการแสดงที่มีความผูกพันกับวิถีชีวิตของคนมลายูในพื้นที่เป็น ศิลปะการเล่นหนังตะลุงมาจาก อย่างมาก เฉกเช่นเดียวกับหนังตะลุงของชาวภาคใต้ในพุทธศาสนา เพราะวายังกู รุ่นพ่อมาเป็นเวลากว่า 18 ปี เละ ก็คือ หนังตะลุง เป็นการแสดงที่เข้าถึงอารมณ์ ความรู้สึก วัฒนธรรมพื้นถิ่น โดยผู้เป็นพ่อที่คนชายแดนใต้ แนบชิดสนิทสนมไปกับความเป็นพื้นบ้าน เข้าไปอยู่ในจิตใจของชาวบ้านยิ่งกว่าการ รู้จักในนาม \"หนังตะลุงอาแว แสดงชนิดใดๆ ความแตกต่างกันระหว่าง หนังตะลุง กับวายังกูเละ มีเพียงไม่กี่ สาคอ\" ซึ่งเป็นหนังตะลุงรูป ประการ คือ ภาษาที่ใช้เป็นสื่อ วายังกูเละ ใช้ภาษามลายูในการแสดง จังหวะ และ แบบของชาวมลายูที่กำลังจะ ท่วงทำนองเพลงที่ใช้ประกอบการแสดงจะหนักไปในทางเพลงมลายูมากกว่า และ สูญหายไป หากไม่ได้รับการส่ง ตัวหนังของวายังกูเละมีตัวหนังชวา ซึ่งเป็นตัวหนังที่ใช้รูปหน้าด้านข้าง ไม่หันหน้า เสริมจากภาครัฐอย่างจริงจัง ตรงแบบตัวหนังไทย และหน้าตาดูไม่เหมือนหน้าตาของมนุษย์อันเป็นไปตามหลัก ศาสนา
Search