4 บทที่ 2 แนวคิดและทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยท่เี กย่ี วขอ้ ง ในการศึกษางานวิจัย เรื่อง ศึกษาทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก โดยใช้กิจกรรมศิลปะของ เด็กอนุบาล 1/2 โรงเรียนเทศบาล 1 วัดศรีเมือง ผู้ศึกษาได้ศึกษาเอกสารและผลงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ตา่ งๆ เพ่อื ประกอบการวจิ ยั ดงั ตอ่ ไปน้ี 1.เอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ งกับทกั ษะการใชก้ ล้ามเนอ้ื มอื มดั เลก็ 1.1.ความหมายของทักษะการใช้กลา้ มเน้ือมัดเล็ก 1.2.ความสาคญั ของทกั ษะการใชก้ ล้ามเนื้อมดั เลก็ 1.3.ทักษะการใชก้ ลา้ มเนือ้ มัดเลก็ 1.4.พฒั นาการทักษะการใช้กล้ามเนือ้ มัดเลก็ 1.5.การสง่ เสรมิ ทกั ษะการใชก้ ลา้ มเนือ้ มัดเลก็ 1.6.ทฤษฎที ีเ่ กีย่ วขอ้ งกับทกั ษะการใชก้ ล้ามเนือ้ มดั เล็ก 2.เอกสารและงานวิจยั ที่เกย่ี วขอ้ งกบั กิจกรรมศลิ ปะสร้างสรรค์ 1.ความหมายของศิลปะสรา้ งสรรค์ 2.ความสาคัญของกจิ กรรมศิลปะสรา้ งสรรค์ 3.ประเภทของกจิ กรรมศลิ ปะสร้างสรรค์ 4.คณุ ค่าของกิจกรรมศิลปะสรา้ งสรรค์สาหรบั เด็กปฐมวยั 5.หลกั การในการจัดกจิ กรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ 3.งานวิจยั ท่เี ก่ียวขอ้ ง 1.เอกสารและงานวจิ ัยท่เี กีย่ วข้องกบั ทกั ษะการใชก้ ล้ามเน้อื มอื มดั เลก็ 1.1.ความหมายของการพัฒนาทักษะการใช้กล้าเนือ้ มดั เล็ก ความหมายของความสามารถในการใช้กล้าเน้ือมัดเล็ก หมายถึง ความสามารถในการบังคับ ใช้กล้ามเน้ือ มือ นิ้วมือ และประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตาในการทากิจกรรมต่างๆ ได้อย่าง คล่องแคลว่ มัน่ คง มผี ใู้ หค้ วามหมายของความสามารถในการใชก้ ล้ามเนื้อมดั เลก็ ไว้ดงั น้ี พรรณี ช.เจนจิต,(2558) กล่าวว่า ความสามารถในการบังคับการเคล่ือนไหวของกล้ามเนื้อ แขน มือ และน้ิวมือ ในการทากิจกรรมต่างๆ โดยสัมพันธ์กับการใช้สายตา (Foman and Fleet, 1908) เน้นว่าเป็นความสามารถในการปรับตัวที่เด็กมีทักษะการใช้มือในการปฏิบั ติงานใน ชวี ิตประจาวนั ได้ เช่น การชว่ ยตงั เอง การแต่งตัว การทางานต่างๆ ตลอดจนการเล่น นภเนตร ธรรมบวร (2554:73) กล่าวว่า ความสามารถในการใช้กล้ามเนอื้ มัดเล็กเปน็ ความสมา รถในการบังคับกล้ามเน้ือเล็กส่วนต่างๆ ให้ทางานประสานกัน เช่น ตากับมือ นิ้วมือ ได้แก่ การวาด ภาพ การลากเสน้ การตัดกระดาษ การรอ้ ยลูกปดั และการลากเสน้ ตามรอยปะ เป็นตน้
5 ฟรอส์ทและคิศชิงเจอร์ (เยาวพา เดชะคุปต์.2552; 87 อ้างอิงจาก Fros & Kissinger.1974) กล่าวว่า ความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือมัดเล็ก เพ่ือทากิจกรรมต่างๆ ซึงความสัมพันธ์ระหว่าง กล้ามเนื้อมือและตาเกี่ยวข้องกบั ทกั าะตา่ งๆ ในการช่วยเหลือตนเอง เช่น การติดกระดุม รบั ลูกบอลที่ กระเดาะเพียงครงั้ เดียว อธิษฐาน พูลศิลป์ศักด์ิกุล(2556: 111) กล่าวว่า กล้ามเน้ือมัดเล็กเป็นกล้ามเนื้อท่ีใช้ในการ ทางานละเอียดท่ไี ม่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวของร่างกาย ส่วนใหญ่เป็นการใช้กล้ามเน้อื มดั เล็กท่ีน้วิ มือ โดยตอ้ งทางานสัมพัธ์กับสายตาด้วย กุลยา ตันติผลาชีวะ (2551: 101) กล่าวว่า ความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือมัดเล็ก หมายถึง การสร้างเสริมความสามารถในการหยิบ จับ คัดเขียน และทากิจกรรมทตี่ ้องใช้กล้ามเน้ือนิ้วมอื ฝา่ มือ และข้อตอ่ จากการศึกษาความหมายของความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก สรุปได้ว่า ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็ก หมายถึง ความสามารถในการบังคับการเคลื่อนไหวของ นว้ิ มือ กล้ามเน้ือมือ ไหล่ให้ประสานสัมพันธ์กับสายตาและประสาทสัมผัสให้ทางานประสานกันอย่าง เป็นอย่างดีในการเคลื่อนไหวต่างๆ เช่นการทากิจกรรมวาดภาพระบายสี ป้ันดินน้ามัน ร้อยลูกปัด ตอกเข็ม ต่อไม้บลอ๊ ก การร้อยเชือก การติดกระดุม เป็นต้น และรวมถึงการชว่ ยเหลอื ตนเองในการทา กจิ วัตปิ ระจาวันได้อยา่ งคลอ่ งแคลว่ และมปี ระสิทธภิ าพ 1.2.ความสาคญั ของทักษะการใชก้ ล้ามเน้อื มัดเลก็ กล้ามเน้ือมัดเล็ก เป็นอวัยวะที่สาคัญหนึ่งในการ ด้ประกอบกิจวัตรประจาวันด้วย ตนเอง การ ใส่ถอดกระดุมหลุดซิปการแปรงฟันผูกเชือกรองเท้างานศิลปรวมทั้งการขีดเขียนห้าเด็กใช้กล้ามเนื้อ เหล็กได้คล่องแคล่ว จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ เส้นด้านสติปัญญาให้ดีขึ้นเพราะกล้ามเน้ือ มัดเล็กมีสว่ นทาให้เด็กได้ใชม้ ือสารวจ สังเกตจากการสมั ผสั จับต้องในทุกๆกจิ กรรม (อธษิ ฐาน พลู ศลิ ป์ ศักดิ์กุล. 2556: 111) ซ่ึงการใช้มือเพื่อท่ีจะจับของเล่นและเรียนรู้ทักษะ ในการช่วยเหลือตนเองเช่น การกินอาหารและแต่งตัว (สมศรี เมฆ ไพบูลย์วัฒนา.2551: 22; อ้างอิงจาก อแวร์เนส. 2003: Online) เป็นการฝึกความพร้อมด้านกล้ามเนื้อมือ น้ิวมือให้แข็งแรง ใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว และการ ฝึกความสัมพันธ์ระหว่างตากับมือจะช่วยให้เด็กออกกาลังและพร้อมท่ีจะใช้ในการเขียน (พูนสุขบุณย์ สวัสดิ์.2554: 41) เด็กจะสามารถเขียนส่ิงใดก็ต่อเม่ือมีความสมารถในการใช้กล้ามเนื้อมือและสายตา ประสานสมั พันธก์ ันไดด้ ี (เยาวพา เดชะคปุ ต์.2558:123) ซึง่ จะทาใหก้ ารควบคมุ และการประสานงาน กันของกล้ามเน้ือมัดเล็กกับสายตามีความสัมพันธ์กับพัฒนาการของการรับรู้ และสติปัญญาของเด็ก ปฐมวยั (กุลยา ตนั ตผิ ลาชีวะ.2552:64) พัฒนา ชัชพงศ์ (2551:122) กล่าวถึงความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กไว้คือการพัฒนา กลา้ มเน้อื น้ิวมอื ใหแ้ ขง็ แรง เดก็ กพ็ รอ้ มที่จะลากลีลามือ ซ่ึงเป็นพืน้ ฐานการของการเขยี น เกียรติวรรณ อมาตยกุล (2559:9) กล่าวถึงความสาคัญของความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อ มดั เลก็ ไว้ดงั น้มี ือของคนเราคือฐานของสมองผู้ที่ได้รบั การบรหิ ารมือมาตั้งแต่เด็กๆ จะเป็นผู้ที่มีสมองดี มคี วามคิดฉบั ไว การฝึกฝนนความคล่องแคล่ว ว่องไวของการ ใช้กล้ามเน้ือน้ิวมือมีความสัมพันธ์อย่าง
6 มากกับความคิดอันฉับไวขอเด็ก ในทางตรงกันข้ามเด็กที่ไม่มีความสามารถเคลื่อนไหวนิ้วมือได้ คล่องแคล่วมกั จะคดิ อะไรชาไปด้วย จรัล คาภารัตน์ (2551:14) กล่าวถึง ความสาคัญของความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือมัดเล็ก ไว้ดังนนี้คือ ในขณะท่ีเด็กกาลังลากเส้นในลักษะขีดเข่ียไปมาน้ันสอมของเด็กได้จินตนาการท่ีไร้ ขอบเขต และทาใหเกลา้ มเนื้อประสาทตามคี วามสัมพันธ์กนั ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2551:101-102) ได้กล่าวถึงความสาคัญของความสามารถในการใช้กล้าม เน้ือมัดเล็กไว้ว่ามิได้หมายถึงเพียงการเขียนตัวอักษรตามความหมายของผู้ใหญ่แต่การเขียนของเด็ก อนุบาลเพียงการขีดเขียนไปมาก็เป็นการเขียนในขั้นเริ่มต้นแล้ว ซึ่งประโยชน์ของการเขียนก็เพ่ือสื่อ ความและแสดงออกถึงความคิดเห็นเป็นสื่อในการแสดงออกท่ีตามองเห็นโดยต้องใช้ความสัมพันธ์ ระหว่างตากบั มอื ในการบังคบั ควบคุมการทางาน จากการศึกษาความสาคัญของความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก สรุปได้ว่า ความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือมัดเล็กมีความสาคัญอย่างยิ่งต่อเล็กเป็นอย่างมากและเป็นอวัยวะท่ี สาคัญ ในการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมือ นิ้วมือ แขนทางานร่วมกันกับกล้ามเน้ือตาให้ประสานงานกัน อย่างลงตัว และทาให้เด็กสามารถทากิจวัจวัตรประจาวันต่างๆได้อย่างคล่องแคล่ว การบริหาร กล้ามเนือ้ มือกบั ตาบ่อยๆจะส่งผลใหเ้ กิดการพัฒนาสมองที่ดีตามไปด้วย ตลอดจนการขดี เขียนของเด็ก ตอ่ ไป 1.3.ทกั ษะการใช้กล้ามเน้ือมดั เล็ก เปน็ การบริหารส่วนของร่างกายที่เล็กกวา่ เช่น การจับคว้าสิง่ ของระหว่างน้ิวช้แี ละน้ิวโป้ง หรือ การกวาดน้ิวเท้าบนผืนทราย การฝกึ กล้ามเนื้อมดั เลก็ เหลา่ นี้ ไม่ใช่แค่ขยับนิ้วมอื หรือนวิ้ เท้าเท่านั้น ยัง รวมไปถึง การใช้ริมฝีปากและล้ินในการชิมรส และรับรู้ลักษณะรูปทรงส่ิงของ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการ บริหารกล้ามเน้ือเล็กเช่นกัน โดยปรกติแล้วทักษะการเคลื่อนไหวทั้งสองชนิดจะพัฒนาไปพร้อมๆ กัน เพราะการเล่นของเด็กๆ ส่วนใหญ่จะใช้กล้ามเนื้อทั้งสองแบบทางานร่วมกันน่ันเอง ในเด็กวัยแรกเกิด สมองยังไม่เติบโตเพียงพอที่จะควบคมุ การเดนิ การเคลอื่ นไหวตา่ งๆ โดยพัฒนาการของร่างกายจะเร่ิม จากหัวก่อนและไล่ลงไปที่ตัว ซึ่งเราจะเห็นว่าเด็กแรกเกิดน้ัน จะสามารถควบคุมปาก ริมฝีปาก หน้า และล้ินได้ดี ขณะที่ส่วนอื่นๆ ของร่างกายจะถูกพัฒนาข้ึนตามหลัง เด็กๆ จะเรียนรู้การต้ังคอ ก่อนท่ี จะตั้งไหล่และหลังให้ตรง พวกเขาจะสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของแขน ก่อนควบคุมการใช้มือ และไล่ไปถึงการใช้นิ้วหยิบจับส่ิงของ ซ่ึงร่างกายของคนเราช่วงวัยเด็กจะพัฒนาทักษะกล้ามเน้ือมัด ใหญ่ก่อนกล้าม เน้อื มัดเล็กเสมอ ดงั นั้นเราจะเห็นได้วา่ เด็กๆ จะสามารถนามอื มาประสานกันได้กอ่ นที่ จะเรยี นรู้การสลับของเลน่ ผ่านมอื จากซา้ ย ไปขวา หรือจากขวาไปซา้ ย ทักษะทงั้ สองชนิดจะทาไดด้ ขี ึ้น เร่ือยๆ ในวัยหัดเดิน และชานาญขึ้น เมอ่ื ร่างกายเติบโต โดยคุณพอ่ คุณแม่สามารถช่วยส่งเสรมิ ทักษะ พฒั นากล้ามเนือ้ ได้ ด้วยของเล่น เช่น เวลาท่ีเด็กสามารถน่ังได้โดยตัวเองแล้ว ให้ลองวางของเล่นที่เขา ชอบพ้นรัศมีมือเอ้ือมถึง ซึ่งเด็กจะต้องทรงตัวและลุกมาหยิบของเล่นของเขาเอง พ่อแม่เพียงแต่คอย ช่วยดูและเป็นกาลังใจให้เด็กใช้ขา แขน และน้ิวมือของเขาในการเคลื่อนไหว และหลังจากที่เด็กๆ สามารถเล่นของเล่นช้ินเก่าได้อย่างชานาญแล้ว ให้หาของเล่น หรือกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาทักษะใหม่ๆ ให้เขาได้ฝึกฝนกล้ามเนื้อต่างๆ แต่อย่าบังคับให้ทากิจกรรม หรือเล่นของเล่นที่ยากเกิดกว่าวัย หรือ
7 ความสามารถของเด็ก ซ่ึงคุณพ่อคุณแม่สามารถศึกษาเร่ืองความเหมาะสมของของเล่นกับวัยของเด็ก ได้ จากคาแนะนาข้างกล่อง หรือหาความรู้จากหนังสือเก่ียวกับเด็กต่างๆ การท่ีพ่อแม่ความความรู้ ความเข้าใจเร่ืองการพัฒนาทักษะต่างๆ ตามวัย จะช่วยให้เลือกของเล่นท่ีส่งเสริมพัฒนาการที่จาเป็น ของเด็กไดอ้ ย่างถกู ต้อง 1.4.พัฒนาการทักษะการใช้กลา้ มเน้ือมดั เล็ก สมาคมสหเศรฐศาสตร์แห่งประเทศไทย (2555:124) กล่าวถึง พัฒนาการความสามารถใน การใช้กล้ามเน้ือมัดเล็ก ดังนี้ เม่ืออายุ 3-4 ขวบจ จะเร่ิมใช้ช้อนป้อนอาหารเองได้ เมื่ออายุ 5-6 ขวบ จะขว้างรบั ลกู บอลได้คล่องแคล่ว มหาวิทยาลัยสโุ ขทันธรรมาธริ าช (2543:249) กล่าวถงึ พัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อ มดั เลก็ ของเด็กปฐมวัยดงั น้ี เด็กวัย 3 ขวบ ตอ่ แทง่ ไมส้ ีเหลีย่ มได้สงู ถึง 9-10 อนั ขยี นวงกลมได้แตย่ งั วาดรปู คนไม่ได้ เด็กวัยประมาณ 4-6 ขวบ การใช้มือก็มีความละเอียดขึ้น เด็กวัยนี้จึงมีความสามารถแต่งตัว เองได้ หวีผม แปรงฟัน ล้างหน้า ใส่รองเท้า ผกู เชือกรองเท้าได้ เม่ือปลาววัย ช่วยทางานเล็กๆ น้อยๆ ไดค้ วามสามรถในการเรียนดขี ้ึน เดก็ วยั 5 ขวบ รัยนรูสามเหลีย่ มได้ เด็กวัย 6 ขวบ เขียนรูสีเหล่ียมขนมเปียกปูนได้ การวาดรูปคนก็ต่อเติมมีรายละเอียดเพิ่มา กข้นึ จนเป็นรปู รา่ งคนครบบริบูรณ์ขึน้ อธิษฐาน พลศิลปศ์ ักดก์ิ ุล (2546:111) กลา่ วถงึ พฒั นาการความสามารถในการใช้กล้ามน้ือมัด เล็ก ขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญาวุฒิภาวะของสมองท่ีเป็นไปตามวัย โดยพัฒนาจากต้นแขนไปสู่ปลาย แขนหรอื จากต้นไปสปู่ ลายดงั น้ี อายุ 1 ปี สามารถใช้นิ้งโป้งและน้ิวชี้ได้แต่ยังไม่คล่อง จึงกาสิ่งของทั้งมือ และลากเส้นเป็น แนวตง้ั จากบลลงลา่ งขึ้นๆ ลงๆ ได้ อายุ 2 ปขี ึน้ ไป สามารถเขยี นโดยลากเสน้ ตามแนนอนสลบั ซา้ ยขวา สานกั เลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาตวิ ่าด้วยการศึกษาฯสหประชาชาติ (2549:23-27) กล่าวถงึ พฒั นาความสามารถในการใช้กลา้ มเนอ้ื มัดเลก็ ของเด็กปฐมวัย โดยแบง่ ตามความสามารถ ตามชว่ งวยั แรกเกดิ ถึง 6ขวบ สาหรับวยั 2-6 ขวบ ดงั นี้ อายุ 2-3 ขวบ รจู กั แต่งตวั และเลือกเสื้อผา้ ไดเ้ อง เขียนรูปหัวและตวั หรอื อาจส่วนอนื่ ๆ ของ รา่ งกายสามารถทางานงา่ ยๆได้ อายุ 4-5 ขวบ เขยี นรูปมหี ัว มีตัว มีสว่ นตา่ งๆ ของรูปร่างที่สาคญั ๆไดเ้ ขยี นรูปสเี หลย่ี มหรือ สามเหลย่ี มตามแบบได้ อายุ 6 ขวบ สามารถรับรูปบอลทโ่ี ยนมาใหจ้ ากระยะไกล 1 เมตร เขยี นรูปหวั มีตวั มี ขา แขน และมือได้ จันทรเ์ พ็ญ ศรีมนั ตะ (2551:70-81) กลา่ วถงึ พัฒนาการความสามารถในการใชก้ ลา้ มเน้อื มดั เลก็ ไว้ดังนี้
8 อายุ 3 ปี สามารถหยิบเศษผงโดยปิดตาข้างหน่ึงได้ ตัดกระดาษด้วยกรรไกรได้ วางบล๊อก 3 ชิ้น เป็นสพานได้ควบคุมดินสอให้อยู่ระหว่างหัวแม่มือและนิ้วมืออีกสองนิ้วได้ เขียนวงกลมทับตาม แบบและอักษรได้ วาดรูปโดยมีศรี ษะและอาจมสี ว่ นอืน่ ของร่างกายอีกสักสองอย่าง อายุ 4 ขวบสามารถปิดตาข้างเดียวหยิบและวางเศษผงหรือวัสดุเล็กๆ ไว้ทเี่ ดิมได้ ร้อยลูกปัด ได้ แต่ยังร้อยรเู ขม็ ไมไ่ ด้ ต่อบล๊อกเป็นหอคอย 10 ชัน้ ได้ จัดบลอ๊ ก 6 อนั เรยี งเป็นบันไดได้ 3 ชั้นได้ กด หัวแม่มือลงบนนิ้วแต่ละนิ้วได้ตามตัวอย่าง จับดินสอได้อย่างเด็กโต เขียนทับกากบาทและเขียน ตวั หนังสือทง่ี ่ายๆบางตวั เช่น ง บ ป ได้ วาดรปู คนมศี รี ษะและขาอาจจะมแี ขนและลาตวั ด้วย อายุ 5 ปสี ามารถร้อยรูเข็มได้ นาบล๊อกมาเรียงเปน็ บนั ได 3-4 ขั้น เขียนทับรูปสีเหลีย่ มจตั รุ ัส (ต่อมารูสามเหล่ียม) และตัวอักษรบางตัวได้ อักษรบางตัวเขียนได้โดยไม่ต้องมีคนบอกวาดรูปคนโดย เร่ิมต้นที่ลาตัวก่อนแล้วจึงวาดศีรษะ แขน ขาและหน้าตา และยังวาดบ้านพร้อมหลังคามีหน้าต่าง ประตู ปล่องไฟได้ด้วย ระบายสภี าพและความรมัดระวัง อายุ 6 ปี เขียนทับรูปสีเหลี่ยมจัสตุรัสได้ถูกต้อง เขียนทับรูปบันไดได้เรียบร้อยพยายามจะ วาดรปู สเี หลีย่ มขนมเปียกปนู วาดรปู สามเหลีย่ มไดถ้ ูกตอ้ งกว่าเม่ืออายุ 5 ปี สชุ า จนั ทร์เอม (2543:41-42) กลา่ วถึง ความสามรถในการใช้กล้ามเน้อื มัดเลก็ ตามชว่ งวัยดงั น้ี อายุ 3 ขวบ 1.ช่วยจัดโตะ๊ อาหารได้ ไม่ทาถ้วยชามหลน่ 2. ตอ่ แทง่ ไม้สเี่ หลีย่ ม 9 แท่งไดใ้ นทางสงู 3. สรา้ งสพานดดยใช้แทง่ ไม้ส่ีเหล่ยี ม 3 แท่งได้ 4. แตง่ ตัวเองได้ถ้าช่วยกลดั หรือปลดกระดุมได้ 5. ปลดกระดมุ ด้านหน้าเองได้ 6. เขียนแบบกากบาทไดเ้ ขยี นรปู คนตามที่สง่ั ได้ อายุ 4 ปี 1. กลัดกระดุมเสื้อเองได้ 2. เขียนกากบาทได้เหมอื น อายุ 5 ปี 1.ผกู เชอื กรองเท้าได้ 2.เขียนรูปสามเหลี่ยมได้เหมอื น 3. เขยี นตวั อักษร อายุ 6 ปี 1.สามารถใช้มือและใช้ตาประสานกนั ดีข้ึน 2.การจับดนิ สอในการเขียนทาไดด้ ขี น้ึ 3.ชอบวาดภาพระบายสีแต่จะทาได้ไมเ่ รยี บร้อยเพราะความไมอ่ ยนู่ ิ่งของเด็ก 4.เด็กชอบจะมองเดก็ อ่นื เล่นโดยท่ีมอื ของตนยงั ทางานต่อไปได้ไกล 5.ความสามารถใชม้ ือและตาพรอ้ มๆกนั ขณะเดินหรอื นั่งเขียนหนังสือตวั เลก็ ๆได้ 6.ชอบใช้มือหยบิ อาหารใสป่ ากมากกวา่ ใช้ชอ้ นกับส้อม
9 ดวงเดอื น ศาสตรภัทร (2555:117-129) สรปุ พัฒนาการด้านความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือ มดั เล็กของเด็กวัยต่างๆจากของกเี ซลไวด้ ังน้ี อายุ 3 ขวบ 1.ตอ่ ก้อนไม้ไดส้ ูง 9 ก้อน 2.ตอ่ ก้อนไม้เปน็ รปู สพานได้ 3.หยิบลกู กวาดใสข่ วดได้ 10 เมด็ ในเวลา 30 วนิ าที 4.เขยี นรปู วงกลมตามแบบได้ 5.เขียนรูปกากบาทได้ 6.จัดรูปเหลยี่ มใส่ช่องทาไดถ้ ูกตามแบบ 7.กินอาหารไดเ้ องโดยไมห่ กเลอะเทอะ 8.รนิ น้าจากเหยือกได้ 9.ใสร่ องเท้าไดเ้ อง 10.ใสเ่ สือ้ ท่ีไมม่ ีกระดุมได้ อายุ 4 ขวบ 1.เลียนแบบวางกอ้ นไม้เป็นรูปประตูได้ 2.วาดรูปคนมีสว่ นสาคญั 2 ส่วน 3.วาดรูปกากบาท 4.พบั กระดาษได้ 3 ทบ (ตามแบบ) 5.ลา้ งหนา้ ลา้ งมอื และแปรงฟันได้เอง 6.ใสเ่ สอ้ื ผา้ และถอดได้เองเฉพาะชน้ั นอก อายุ 5 ขวบ 1.ตอ่ ก้อนไม้ทาขัน้ บนั ไดได้ 2 ขัน้ 2.วาดรปู สามเหลีย่ มเหมือนแบบ 3.แตง่ ตัวและถอดเสื้อผา้ ได้เอง โนไม่ต้องชว่ ยเหลือ อายุ 6 ขวบ 1.เล่นตอ่ กอ้ นไม้ทาบนั ไดได้ 3 ข้ัน 2.วาดรูปคนมสี ว่ นคอ มอื และใส่เสอื้ ผ้า 3.แต่งตวั และผกู เชือกรองเท้าได้ สานักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาติ (2546:38-40) กลา่ วถงึ ความสามารถใน การใชก้ ล้ามเน้ือมือมัดเล็กดังน้ี วยั 4-5 ปี 1.เสยี บคลิปกระดาษลงบนกระดาษ 2.จับดินสอดว้ ยนวิ้ มอื ในท่าทางทถ่ี ูกตอ้ ง 3.พบั กระดาษซ้อนกัน 3 ทบได้และใชน้ วิ้ รรดตามรอยพบั 4.ประกอบภาพตดั ต่อ 6-10 ลงในกรอบ 5.มีความคล่องแคลว่ ในการใช้กรรไกรตัดกระดาษเปน็ รูป สี่เหลยี่ มและสามเหลย่ี ม
10 6.ปั้นดินน้ามันเป็นรูปล่างหยาบๆ ที่ผู้อื่นอาจไม่เขา้ ใจความหมาย 7.เขยี นรูปมหี ัว มีตวั มสี ว่ นตา่ งๆของร่างกายที่สาคญั ได้ 8.เขียนรปู สเี่ หลี่ยมหรือ สามเหลยี่ มตามแบบได้ 9.สามารถเขยี นเสน้ ตามรอยปะ 10.วาดรูปบ้านแบบง่ายๆ 11.ระบายสีรูปทรงและแบบอิสระให้งา่ ย ทีม่ ีขนาดใหญภ่ ายในขอบรปู 12.สามารถพับน้ิวมอื ของตนเองเอาขึ้นหรอื หดลงทีละนิว้ 13.สามารถกะขนาดรปู รา่ งของสิ่งของรูว้ า่ อะไรเล็กหรือใหญ่ วัย 5-6 ปี 1.สามารถรบั ลูกบอลทีโ่ ยนมาจากระยะไกล 1 เมตร 2.ใช้อุปกรณต์ ่างๆประกอบกันเล่นดิน น้ามนั เชน่ ขวด 3.กรอกน้า-ทราย ลงในภาชนะและเทออกได้ 4.ไขและหมนุ ลูกบิดประตดู ว้ ยกญุ แจ 5.เปิดปิดเข็มกลัดที่มีขนาดใหญ่ 6.รอ้ ยด้ายขนึ้ ลงผ่านรทู ี่เจาะกระดาษฝึกการเย็บ 7.ตอ่ แท่งไมเ้ ปน็ รูปต่างๆได้ 8.ประกอบภาพตัดต่อจานวนไม่เกิน 12 ชน้ิ เขา้ ด้วยกัน (ไม่มีกรอบ) 9.ประกอบภาพตัดต่อ 16 - 20 ชน้ิ เขา้ ดว้ ยกันลงในกรอบ 10.ใชก้ รรไกรได้คล่อง ตัดกระดาษตามรอยเป็นภาพตา่ งๆได้ 11.ปั้นดินน้ามันเป็นรูปสิ่งของทมี่ ีรายละเอียด สอื่ ความหมายให้ผ้อู ่ืนได้เข้าใจ 12.เขยี นรปู มีหวั มีตัว มีขาแขนและมือได้ 13 เขียนรูป ส่ีเหลยี่ มตามคาสั่งโดยไมม่ เี เบบ 14.ลอกแบบตัวพยัญชนะขนาดสูง 2-4 เซนติเมตร 15.เขียนตัวพยัญชนะ ตามรอยปะได้ 16.เขยี นชอื่ ตวั เองได้ 17.ระบายสภี าพที่มคี วามละเอยี ดเล็กโดยอยู่ในขอบเขต อาพรรณ ปญั ญาโรจน์ (2545:323) กล่าวถงึ ความสามารถในการใช้กลา้ มเน้ือมือมัดเลก็ ดังน้ี อายุ1ปี จับสิง่ ของดว้ ยนวิ้ หัวแมม่ ือและนิ้วช้ี จับดินสอกลางแท่งดว้ ยมืออุ้งมือแลว้ ขดี เขยี นไปมา อายุ2ปี ชักเล่นของเล่นที่ออกแรงมากข้ึน เช่น ตีหรือตอกด้วยค้อนดึงออกหรือสวม ใส่ของสิง่ ที่มรี ูปรา่ งเหมาะมอื และสสี ะดุดตา อายุ3ปี กลา้ มเน้ือแขง็ แรง ใช้มือหยิบจับอาหารตลอดจนใชช้ อ้ นตกั อาหารเข้าปากได้ ช่วยตัวเองในการแต่งกาย เช่น ถอดและใส่กระดุมเส้ือได้เองแต่ยังต้องการให้ผู้ใหญ่ช่วยเหลืออยู่ สามารถจบั ดนิ สอขดี เขียนได้ อายุ 4 ปี วัยนี้สามารถช่วยตัวเองในการแต่งตวั ล้างมอื แปรงฟนั ได้มากข้ึน
11 อายุ 5-6 ปี เด็กวัยนี้สามารถใช้กรรไกรตัดกระดาษตามรูปไดด้ ี ปั้นดินน้ามัน เย็บผ้า ดว้ ยเข็มเล่มโต วาดเขียนด้วยดนิ สอแหละสีนา้ ได้ จากท่ีกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า พัฒนาการความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็ก ปฐมวัยนั้นจะมีพัฒนาการเป็นไปอย่างมีระบบตามช่วงอายุของเด็กแต่ละวัย โดยจะพัฒนาจากน้ิวมือ ต้นแขนไปสู่ปลายแขนหรือจากต้นไปสู่ปลาย ซึ่งความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือเล็กโทรไปกับ กลา้ มเน้ือใหญแ่ ละระดับสตปิ ญั ญาตามวฒุ ิภาวะของสมองทเ่ี ปน็ ไปตามวยั 1.5.การส่งเสรมิ การพัฒนาทักษะการใช้กลา้ มเน้ือมัดเล็ก เยาวพา เดชะคุปต์ (2542:22) กล่าวถึง อุปกรณ์ทีส่ ง่ เสริมการใชก้ ล้ามเน้อื มือมัดเดก็ ไดแ้ ก่ 1.อุปกรณป์ ระเภทท่ีส่งเสริมการใช้กล้ามเนื้อมือกับสายตา (Eye Hand Coordination) เช่น การร้อยลูกปัด ร้อยเชือก ร้อยดอกไม้เย็บกระดุม รูดซิป เรียงสี เรียงไม้หนีบ ปักหมุด ตอกตะปู เป็น ตน้ 2.อุปกรณ์ประเภทหน่ึงท่ีจะกระทาต่อวัตถุ (Manipulative) เช่น การต่อบล็อกต่างๆ ได้แก่ บลอ็ กไม้ บล็อกชดุ บล็อกกลวง ตัวตอ่ พลาสติกต่างๆเปน็ ตน้ กุลยา ตันติผลาชีวะ (2547:103) กล่าวถึง กิจกรรมท่ีพัฒนากล้ามเน้ือเล็ก เพ่ือฝึกการทางาน ประสานสัมพันธ์ระหว่างตากับมือแล้ว ยังเป็นการพัฒนาทักษะการใช้มือ เนื่องจากการกระตุ้นจาก ปลายกล้ามเน้ือเล็กจะส่งผลต่อไปยังใยประสาททาให้เพิ่มความเจริญงอกงามของใยประสาท ซ่ึงมี หลายกิจกรรมดังน้ี 1.กิจกรรมการปั้นเป็นงานส่งเสริมการทางานของกล้ามเ่นื้อฝ่ามือ ข้อมือและนิ้วมือ ในการบีบ บิ ดึง นวด ทบุ และประดิษฐ์ ซ่ึงส่งผลให้เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมือ มีทักษะการ ใช้นิ้วในการทางานคลอ่ งตัวขึ้น วัสดุทีน่ ามาใช้ได้แก่ ดินเหนยี ว ดินนา้ มัน ปจั จบุ นั นยิ มใช้แป้งหรือแป้ง โด (Play Dough) 2.กิจกรรมการฉีกกระดาษ การตัด การประกระดาษบนภาพ โดยเน้นความสามารถ ของการจับ การถอื และการกระกะประมาณโดยแตกต่างกันดังนี้ เด็กอายุ 4-5 ปี 1. แปะกระดาษตามรปู รอยได้ 2. ตดั กระดาษตามรอยได้ เดก็ อายุ 5-6 ปี 1.ใชก้ รรไกรได้คลอ่ ง ตดั กระดาษตามรอยพับต่างๆได้ ปะติดตกแตง่ ภายในกรอบได้ 3.การวาดภาพระบายสี เดก็ อายุ 4-5 ปี 1.จบั ดินสอดว้ ยทา่ ทางท่ีถกู ต้องไดด้ ี 2.เขยี นรปู ตามแบบได้ 3.วาดรูปส่ิงทีค่ ุน้ เคยได้ 4.วาดรปู คนครบ ส่วนประกอบของรา่ งกายได้ 5.วาดรปู บ้านได้
12 6.ระบายสรี ปู ทรงและแบบอิสระไดใ้ นกรอบรูป เดก็ อายุ 5-6 ปี 1.วาดรูปคนและเสือ้ ผา้ ให้รายละเอยี ด 2.เขยี นรูปตามจินตนาการ หรือตามคาส่ังไดโ้ ดยไมม่ แี บบ 3.ระบายสีไม้สวยงามในภาพที่มีความละเอยี ดขนาดนีโ้ ดยอยู่ในกรอบรูป 4.การพบั การพับเป็นกิจกรรมเพ่ิมความสามารถในการควบคุมกล้ามเน้ือนิ้วมือ ข้อมือ และ การใช้ สายตาให้สัมพนั ธ์กบั มือ การพับแตล่ ะอายตุ า่ งกนั ซง่ึ ความสามารถแตกต่างตามวยั ดังนี้ เด็กอายุ 4-5 ปี 1.พับกระดาษซ้อนกนั 3 ทบได้ 2.ใช้น้ิวรดี รอยพับได้ 3.พับเปน็ รูปรา่ งอยา่ งง่ายได้ เชน่ จรวด เรอื เด็กอายุ 5-6 ปี 1.เรยี นพับกระดาษต่างๆได้ 2.พับกระดาษเป็นรูปรา่ ง 5. การฝกึ ความคลอ่ งของกลา้ มเนื้อเลก็ เป็นกิจกรรมท่ีฝึกการเคลื่อนไหวพื้นฐานของกล้ามเนื้อเล็ก ได้แก่ การต่อไม้บล๊อก การร้อย ลูกปัด รวมถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการหยิบจับ การใช้นิ้ว เช่น การเล่นเปียโน การดีดพิณ เป็นต้น ซงึ กิจกรรมฝึกความคล่องแบง่ ตามอายดุ ังน้ี เดก็ เลก็ มากกว่าอายุ 1-3 ปี 1.ร้อยลกู ปัด 2.รดู ซิป 3.ติดกระดมุ 4.ต่อไม้บล๊อก 5.แกะห่อของทผี่ กู กเชอื กหลวม เด็อนบุ าล 3-6 ปี 1.ต่อไม้บลอ๊ ก 2.จัดแยกสิ่งของ 3.ร้อยดา้ ย 4.ผูกเชือก สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2556:101-107) ไดเ้ สนอกจิ กรรมงานร้อยที่ ส่งเสรมิ การใชก้ ล้าเนื้อมดั เล็กของเด็กปฐมวยั 5-6 ปี ดังนี้ 1.รอ้ ยลกู ปัดเม็ดเล็กด้วยดา้ ยหรือเอน็ 2.รอ้ ยหลอดกาแฟดว้ ยเชือก 3.รอ้ ยเชอื กรองเท้า 4.หัดเยบ็ ผ้า (เปน็ รปู ภาพเจาะรูโดยรอบใชเ้ มไหมพรมรอ้ ยขึน้ ลงตามรทู ี่เจาะไว)
13 4.1 รอ้ ยดอกไม้ ใบไม้ โดยใชก้ า้ นมะพรา้ ว 4.2 ร้อยไหมพรมแลว้ ทอเป็นผนื อแวรเ์ นส (Awareness. 2003: Online) กลา่ วถึง การส่งเสรมิ ความสามารถในการใช้ กลา้ มเนือ้ มัดเลก็ โดยจดั กจิ กรรมใหม้ ือท้ัง 2 มอื ประสานสัมพันธก์ ัน ไดแก่ 1.การปรบมอื เพื่อกระต้นุ กล้ามเนอื้ มือและแขน โดยสามารถใช้ประกอบเพลงและ การเล่นเกม 2.การจัดกจิ กรรมการสมั ผสั ได้แก่ การใช้อปุ กรณ์ครีมโกนหนวด นา้ ทราย เมลด็ ข้าว หรือมกั กะโรนี และวาดภาพดว้ ยน้วิ มอื เชน่ การตักทรายขน้ึ ลง การละเลงสดี ว้ ยน้ิวมือ 3.การจดั กจิ กรรมทใ่ี ชม้ ือได้กาและจบั 3.1.ถอื ทีใ่ ส่ไว้มือหน่ึง ใชอ้ ีกมือหนึง่ หยิบของใส่หรือหยิบของออกจากทใ่ี ส่ 3.2.ถอื แท่งไว้ทมี่ ือหนึ่ง ใช้อีกมอื สวนแหวนหรอื ถอดแหวนออกจากแท่ง 3.3.เอาแหวนออกจากเสา 3.4.ถอื กระดาษด้วยมือหนงึ่ อีกมือใชข้ ดี เขียน 3.5.รอ้ ยของเลน่ โดยใช้ไมแ้ ทนเข็ม 3.6.หมนุ กล่องของเล่นที่มตี ๊กุ ตาโผล่ออกมา 3.7.ตกั นา้ อีกถว้ ยหนึง่ ไปอกี ถ้วนหนึง่ 4.การจัดกจิ กรรมท่ีใชม้ ือได้เคล่อื ไหว 4.1.หยบิ สิง่ ของลงในกล่อง 4.2.เลน่ ของเล่นเครื่องมือชา่ ง 4.3.วางลกู ปัดรวมกนั 4.4.ร้อยลูกปดั เมด็ ใหญ่ 4.5.หมุนถงั นา้ ฟชิ เชอร์ และเทอร์รี่ (Fisher and Terry.1997:284) กลา่ วมวา่ การจัดประสบการณ์ให้แก่ เดก็ เพ่ือสง่ เสริมกลา้ มเน้ือมดั เลก็ ของเดก็ ที่เรยี นเขยี นไว้ดงั นี้ 1.การวาดรปู ระบายสี จัดที่ให้วาดบนพ้ืนฐานหรือกระดาษท่ีใช้ขาต้ัง เสน้ ต่างๆ ที่ เด็กตอ้ งใชใ้ นการเขยี นอักษร เช่น เส้นตรง วงกลม หรือเส้นพ้ืนฐานต่างๆ นน้ั จะพบไดจ้ ากการวาด ของเด็ก 2.การออกแบบให้เด็กได้ออกแบบเอง เช่น ลวดลายท่ีขอบรูปภาพของจุลสารที่ห่อ หนังสือ รูปทรงของถงุ กระดาษใสถ่ ั่ว ความคดิ ในการออกแบบของเด็กจะมาจากลีลาเสน้ และอ่นื ๆ 3. ถาดทรายทาไดง้ า่ ยและเดก็ ๆ จะรสู้ กึ สนกุ สนานมากในการใช้นิ้ววาดเส้น 4.ระบายสดี ว้ ยมอื แอนเดอร์สันและแลพพ์ (Anderson and Lapp. 1979:102) กล่าวถึง วิธีส่งเสริมให้เด็กมี ความสามารถในการใชก้ ล้ามเนอ้ื มดั เล็ก คือ ฝกึ กล้ามเน้ือมือ และฝึกการบังคับเครือ่ งมือท่ีใช้เขียน ให้ เด็กได้พัฒนากล้ามเนื้อเล็กของมือด้วยการเล่นต่างๆ เช่น เล่นโทรศัพท์ จัดโต๊ะ เปลี่ยนเสื้อตุ๊กตา ตัด กระดาษด้วยกรรไกร เขียนภาพด้วยน้วิ มือ ปั้นดนิ เหนียว ถกั สาน และฝกึ ใช้ชอล์กเขียนบนกระดานดา หรือใช้สีเทียนในกระดาษแผ่นใหญ่ๆ ให้การฝึกฝนเก่ียวกับพื้นฐานในการเขียนโดยตรง เข้าใจรูปร่าง
14 ตัวอักษรท่ีแท้จริง และรู้จัก วิธีเขียน เด็กจะได้รับการขียนวงกลมเป็นอันดับแรงๆ โดยมีการกาหนด ทิศทางที่เริ่มต้นให้ เช่น เขียนรูปนาฬิกา ขนมกลมๆ ลูกบอล ฟองสบู่ เป็นต้น ต่อจากนั้นก็เชื่อมโยง วงกลมกับเส้นตรง เช่น ให้วาดภาพเกวียนมีล้อ วาดภาพไก่งวงมีขนไก่ท่ีหาง วาดภาพไม้ตะพดมีหัว กลม สุมนา พานิช (2549:24) กล่าวถึง วิธีการส่งเสริมความสามรถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเลก็ ไว้ คือ การฝึกให้เด็กใช้น้ิวมือวาดภาพ ระบายสี ปั้น ตัดกระดาษ เขียนหนังสือ ทากิจกรรมอ่ืนๆ ในเรื่องการ ช่วยเหลือตัวเอง เช่น ตดิ กระดมุ รดู ซิป ฯลฯ พูนสุข บุณย์สวัสดิ์ (2544:41-42) กล่าวว่า วิธีการส่งเสริมความสามรถในการใช้กล้ามเน้ือมัด เล็ก ไว้ดังนี้ 1.ให้เล่นโยน-รับลูกบอล โยน-รับหว่ งยางหรือลูกชว่ ง 2.ให้เล่นเกมและการละเลน่ ทใ่ี ชม้ ือนั่งเลน่ กับที่ เชน่ หมากเกบ็ อีตัก หมากขมุ ฯลฯ 3.ให้ใช้ไม้ขีดเขียนเล่นบนดิน ใช้น้ิวมือขีดเขียนเล่นทรายและขุดอุโมงค์ กิอเจดีย์ ทราย ใชช้ อลก์ ขีดเขยี นกระดานเล่น 4.ให้เล่นกบั งานศลิ ปะ เชน่ ใหว้ าดภาพระบายสดี ว้ ยสีเทียนหรือสไี ม้ ใหว้ าดภาพดว้ ย พกู่ นั หรือแปรงทาสีอนั เลก็ ๆและใชส้ ีนา้ สฝี ุน่ หรือสีโปสเตอร์ ให้วาดภาพดว้ ยนวิ้ มือด้วยแป้งมนั ผสมสี หรือโคลน ให้วาดภาพด้วยกาวน้าโรยทรายสี หรือโรยข้ีเลื่อยไม้ป่นผสมสี หรือกากมะพร้าวป่นผสมสี ให้วาดด้วยเชือกหรือหลอดด้าย ให้พมพ์ภาพด้วยเศษวัสดุ หรือฟองน้า หรือกระดาษขยุ้ม หรือใบไม้ ก้านกลว้ ย ให้เล่นสีบนกระดาษหยดสี เทสี เป่าสี ทบั สี ลบู สี ให้ทางานกระดาษด้วยเล่นป้ันแป้งที่ผสม สีใส่อาหาร ดินนา้ มัน ดนิ เหนยี ว ป้ันทรายผสมนา้ ใหป้ ระดิษฐ์สิ่งของจากเศษวสั ดุ 5.ให้เล่นของเล่นที่ใช้มือ นิ้วมือ เช่น เล่นโทรศัพท์ เล่นเปล่ียนเส้ือผ้าตุ๊กตา รูดซิป ติดกระดุม ผูกเชือกรองเท้า เล่นใส่ของลงกรอบหรือในชอ่ งท่ีมีรูปคล้ายของนั้น เช่น ใส่หมดุ ลงในช่อง กระดานหมุด ใส่รูปทรงลงในกล่องหยอดรูปทรง สวมลูกกลมแท่งไม้ เล่นร้อยลูกปัด เล่นเย็บผ้าบน แผ่นหนังตอกตาไก่ เล่นถักสานด้วยกระดาษเส้นหรือพลาสติกเส้น เล่นต่อไม้บลีอก ต่อเลโก้ เล่นภาพ ตัดต่อ เลน่ กรองน้า เล่นกอ่ เจดีย์ 6.ให้เลน่ เคร่ืองเล่นดนตรีสาหรับเดก็ เช่น เขย่าลกู แซค ตีกลอง ตีฉาบ ตีฉ่งิ ตรี ะนาด เป่าปี่ ดีดเปียโน ดีดกีตาร์ฯลฯ เครื่องดนตรีเหล่านี้ทาจากเศษวัสดุเหลือใช้ก็ได้ จากเอกสารท่ีกลา่ วมา สรุปดว้ ่า การส่งเสรมิ ความสามารถในการใช้กล้ามเนอื้ มัดเลก็ เป็นการ ใช้ฝึกใช้มือ นิ้วมือ ในการหยิบจับสัมผัสสิ่งของต่างๆรอบตัว วัสดุอุปกรณ์ท่ีหลากหลายและฝึกทักษะ ในการใช้กล้ามเนือ้ มดั เล็กในการเคลื่อนไหวต่างๆ ตลอดจนการทากจิ วัตรประจาวนั ในแต่ละวัน 1.6.ทฤษฎที ่ีเกยี่ วขอ้ งกับการพัฒนาทกั ษะการใชก้ ล้ามเน้อื มัดเลก็ กเี ซล (ประมวญ ดิดคินสัน. 2554: 178-179; อ้างอิงมาจาก Gesell.1947) ซึ่งเปน็ นกั จติ วทิ ยา พัฒนาการ กล่าววา่ ความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือมัดเลก็ ของเดก็ สามารถแบ่งออกเป็นระยะและมี ข้ันตอนการพัฒนาการ โดยเริ่มจากข้ันแรก คือ การใช้มือตะปบ ขั้นต่อมาจับของด้วยน้ิว 4 นิ้วติดกัน กับฝ่ามือ โดยเริ่มใช้ฝ่ามือตอนใกล้ๆสันมือ ต่อมาเล่ือนไปใช้กลางใจมือ จากนั้นหัวแม่มือจึงค่อย เคลอ่ื นมาชว่ ยจับขั้นสุดท้ายคือการหยิบของด้วยหวั แม่มอื กบั ปลายน้วิ ซึ่งท้งั หมดเป็นกลา้ มเน้อื เล็กที่มี
15 ความสาคัญแกช่ วี ิต เพราะเป็นรากฐานของบคุ คล เม่อื เจรญิ เติบโตเปน็ ผู้ใหญ่พฤตกิ รรมของบุคคลจะมี อิทธิพลมาจากสภาพความพร้อมทางร่างกายได้แก่ กล้ามเนื้อ ต่อกระดูกและประสาทต่างๆ สิ่งแวดล้อมเป็นเพียงส่วนประกอบของการเปล่ียนแปลง โดยท่ีกีเซลได้แบ่งพัฒนาการเด็กออกเป็น 4 ดา้ นดังนี้ 1.พฤติกรรมด้านการเคลื่อนไหว (Motor Behavior) เป็นความสามารถของร่างกายท่ี ครอบคลมุ ถงึ การบงั คับอวยั วะต่างๆ ของรา่ งกายและความสัมพนั ธ์ทางดา้ นการเคล่ือนไหวทงั้ หมด 2.พฤติกรรมด้านการปรับตัว (Adaptive Behavior) เป็นความสามรถในการประสานงาน ระหวา่ งระบบการเคล่ือนไหวกับระบบความรูส้ ึก (Motor Sensory Coordination) เชน่ ประสานงาน ระหว่างตากับมือ (Eye –Hand Coordination) ซึงดูได้จากความสามารถในการใช้มือของเด็ก (Manipulation) เช่น ในการตอบสนองต่อสิ่งที่เป็นบาศก์ การส้ันกระด่ิง การแกว่งกาไร ฯลฯ ฉะนั้น พฤติกรรมด้านปรบั ตวั จึงสมั พันธ์กับพฤติกรรมทางการเคล่ือนไหว 3.พฤติกรรมทางด้านภาษา (Language Behavior) ประกอบด้วยวิธีสื่อสารทุกชนิด เช่น ทา่ ทางการเคลื่อนไหวทา่ ทางกาย ความสามารถในการเปล่งเสียง 4.พฤตกิ รรมทางด้านนิสยั สว่ นตวั และสงั คม (Personal-Social Behavior) เปน็ ความสามารถ ในการปรับตัวของเด็กระหว่างบุคคลกับกลุ่มภายใต้แวดล้อม และสภาพความเป็นจริงนับเป็นการ ปรับตัวที่ต้องอาศัยความเจริญของสมอง และระบบการเคล่ือนไหวประกอบในส่วนท่ีเก่ียวกับ ความสามารถในการใชก้ ล้ามเนือ้ มกั เลก็ กีเซลพบว่ากอ่ นทค่ี นเราจะทาอะไรง่ายๆ เช่น หยิบอาหารใส่ปากได้นนั้ มกี ารเรยี นรู้หลายขั้น ขนั้ แรกทารกใชม้ ือตะปบ ขนั้ ต่อมาจับของดว้ ยมือ 4นิ้วติดกันฝ่ามือ โดยเริ่มใชฝ้ ่ามือตอนใกล้ๆ สนั มือ ต่อมาจะเล่ือนไปใช้ใจกลางมือ คร้ันแล้วใช้หัวแม่มือค่อยๆ เล่ือนมาจับ ข้ันสุดท้าย คือ การหยิบของ ดว้ ยนว้ิ หวั แม่มอื กบั ปลายนิ้ว ยง่ิ ไปกวา่ นั้น กเี ซลได้ตัง้ ข้อสังเกตวา่ การควบคุมปฏบิ ตั กิ ารแหง่ กล้ามเนื้อ ของคนเรามีพัฒนาการเริ่มจากศีระษะจรดเท้า เรยี กว่า Cephalo –Caudal Sequence คือหนั ศ๊รษะ ได้ก่อนชันคอ แล้วจึงคว่า คืบ นัง่ คลาน ยนื เดิน และวง่ิ ตามลาดับ สว่ นพัฒนาการควบคุมปฏิบัตกิ าร กล้ามเนื้อ เร่ิมจากใกล้ลาตัวก่อน เรียกว่า Proximdistal Sequence ท่ีแขนขาทารกย่อมบังคับการ เคลื่อนไหวแขนขา ได้ก่อนมือและเท้าเดก็ ใช้แขนคล่องก่อนมือและใช้มอื คล่องก่อนน้ิวดังน้ันเด็กเล็กๆ เม่อื ต้องการจบั อะไรก็ผวาไปทง้ั ตัว ต่อมาจึงยื่นออกไปเฉพาะแขนแลว้ จึงใช้มอื และนิ้วดังกล่าวถา้ จะให้ เด็กเล็กๆเขยี นหนังสือมักจะตัวโตเพราะกล้ามเนื้อมือยังใช้ไม่คล่อง ได้แต่วาดแขนไปก่ว่างๆต่อมาเม่ือ การบังคับกล้ามเนอ้ื บรรลุวฒุ ิภาวะแลว้ จึงใหเ้ ขียนตัวเล็กๆไดเ้ พราะสามารถบังคับกล้ามเน้อื มือและนิ้ว ได้ อรี ิคสัน (สิรมิ า ภิญโญอนันตพงษ์.2545:47;อ้างอิงจาก Sprinthall. 1998) กลา่ วถึงพัฒนาการ ของเดก็ วัย 2-3 ปี ขัน้ การควบคุมด้วยตนเองหรอื สงสัยอายโดยเด็กเร่มิ เรยี นรู้ท่กี ารช่วยตนเองสามารถ ควบคุมตนเองและทางานง่ายๆ ได้เหมาะสมกับวัยเช่นการหยิบอาหารเข้าปากซ่ึงถ้ามีการบังคับหรือ เขม้ งวดมากเกนิ ไปอาจจะรู้สกึ ว่าตนเองไม่สามารถทาไดจ้ ะส่งผลใหเ้ ด็กเกิดการ พ่ึงพาผู้อน่ื เคปฮาร์ท (โทมัส,อาร์.เมอเร.2545:427-433; อ้างอิงจาก Kephart.1971) ได้กล่าวถึง พัฒนาการเป็นลาดับขั้นของเด็ก คือ เริ่มจาการรับข่าวสารข้อมูลของเด็ก ( information processingstage) เรียกว่า innate หรือ stimulus-responde refex period (ระยะท่ีมีอยู่เดิมแต่
16 กาหนดหรือระยะของปฏิกิริยาการกระตุ้น – ตอบสนองโดยอัตโนมัติ) ระยะน้ีเด็กจะมองกระพริบตา สะดุ้ง หมนุ ตัวและทาอะไรตามแบบอัตโนมัติ ระบบประสาทและกลา้ มเนื้อจะค่อยๆเจริญเตบิ โตขึ้นมา ท่ีละน้อยปฏิกิริยาอัตโนมัติบางอย่างจะมีการปรับให้เข้าตามสถานการณ์ จากนั้นขั้นการรับรู้ (perceptual stage) จะเชื่อมโยงหรือปรับให้เด็กแยกภาพและพ้ืนได้ โดยอาศัยประสบการณ์ ของ เด็กเม่ือเด็กมีกิจกรรม จะต้องอาศัยกล้ามเนื้อมัดเล็ก เช่น การจับวัตถุเล็กๆ เด็กจะกระตุ้นน้ิวหัวม่ือ และนิ้วชี้ให้บีบเข้ามาในทิศทางตรงกันข้ามเพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องออกแรงกระตุ้นส่วนอื่นๆ เมื่อ เด็กเรียนรู้บบรลุควบคุม จะทาให้เด็กสามารถบังคับมือให้เขียนหนังสือแยกมุมมองที่เหมาะสมและ เคลื่อนไหวกล้ามเน้ือไปสู่ส่ิงน้ันได้ และเร่ิมพัฒนาการไปสูการค้นหาโดยอาศัยตา และประสาทสัมผัว ต่างๆ เพื่อใหเ้ รียนรแู้ ละสมั พันธก์ ับการใชก้ ลา้ มเน้อื ในการเคลือ่ นไหวอย่างถูกต้องและคลอ่ งแคลว่ จากที่กล่าวข้างต้น จะเห็นว่าทฤษฎีเก่ียวกับความสามารถในการการใช้กล้ามเน้ือมัดเล็กเด็กมี พัฒนาการของความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็กเร่ิมจากการเคลื่อนไหวอวัยวะในส่วนของ กล้ามเน้ือใหญ่ก่อนแล้วจึงค่อยๆ พัฒนาเป็นการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ซึ่งจะเป็นความรู้ไปตามวุฒิภาวะ และการเรียนร้ขู องเด็ก โยที่การรบั รดู้ า้ นประสาทสมั ผัสของการทางานประสานกันได้อย่างคล่องแคล่ว ของกล้ามเน้ือเล็กน้ันจะอาศัยความรู้สึกประสบการณ์ของเด็กซ่ึงจะช่วยให้ควบคุมกล้าเน้ือเป็นไป อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ 2.เอกสารและงานวจิ ยั ที่เกยี่ วข้องกบั กจิ กรรมศิลปะสร้างสรรค์ 1.1.ความหมายของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ จากการศึกษาการใช้คาเรียกกิจกรรมศิลปะพบว่า มีการใช้คาท่ีหลากหลากแตกต่างกันไป เช่น ศิลปะ ศิลปศึกษา และศิลปะสร้างสรรค์ในการศึกษาคร้ังน้ีผู้ศึกษาใช้คาว่า กิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ ถึงแม้จะมีผู้ใช้คาศัพท์แตกต่างกันไป แต่ให้ความหมายของคาต่าง ๆ ไว้ ใกล้เคียงกัน ดงั นี้ เลิศ อานนัทนะ (2555: 44) กล่าวว่า ศิลปศึกษา หมายถึง การนากิจกรรมทางศิลปะมา ประยกุ ตใ์ ช้ให้เกดิ ประโยชน์ทางการศึกษา เพ่ือพัฒนาเดก็ ในด้านต่าง ๆ แต่ไมไ่ ด้มีจดุ หมายเพือ่ เตรียม ตวั เดก็ ให้เตบิ โตขน้ึ เป็นศิลปินหรือจติ รกรในอนาคตแต่ประการใด วรณิ ตงั้ เจรญิ (2555: 60) กล่าววา่ ศลิ ปะเด็ก คอื ศิลปะทีเ่ ดก็ แสดงออกตามสภาพความ สนใจ การรับรู้และความพร้อมของเด็กแต่ละคน โดยท่ีการแสดงออกน้ันจะแสดงออก ด้วยวิธีการ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ผา่ นวสั ดุท่เี หมาะสมและปรากฏเป็นผลงานศิลปะทรี่ ับร้ไู ด้ดว้ ย ประสาทตา สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2546ก: 13) ได้ให้ความหมาย ของ กิจกรรมศิลปะไว้ว่า กิจกรรมศิลปะ หมายถึง กิจกรรมที่เก่ียวข้องกับงานศิลปศึกษาต่าง ๆ ได้แก่ การวาด การระบายสี การปั้น การพิมพ์ภาพ การพับ การตัด ฉีก ปะ และประดิษฐ์เศษวัสดุ ท่ี มุ่งพัฒนากระบวนการสร้างสรรค์ การรับรู้เก่ียวกับความงาม และส่งเสริมกระตุ้นให้เด็กแต่ละคนได้ แสดงออกตามความรู้สึก และความสามารถของตน
17 ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ (2545: 25 – 27) กล่าวว่า บทปรัชญาให้ความสนใจ ศิลปะและ นิยามศิลปะทั้งความหมายกว้าง และเฉพาะเจาะจง ซึ่งมีความเห็นสอดคล้อง และแตกต่างกัน มากมาย และได้สรุปความหมายของศิลปะ ดังน้ี 1. ศิลปะคือ การจาลองแบบ (Art as Imitation) 2. ศิลปะคือ การแสดงออก (Art as Expression) 3. ศิลปะคือ ประสบการณ์ (Art as Experience) 4. ศลิ ปะคือ การแสดงออกซึ่งอารมณ์ หรือส่ิงทอ่ี ยู่ภายในของชวี ิต กรมวิชาการ (2545: 2) ให้ความหมายของศิลปะไว้ว่า ลักษณะธรรมชาติของ ศิลปะเป็น การเรียนรู้ เทคนคิ วิธีการทางานตลอดจนการเปิดโอกาสให้แสดงออกอย่างอิสระ ทาให้ ผู้เรยี นได้รับ การส่งเสริมสนับสนุนให้คิดริเริ่มสร้างสรรค์ ดัดแปลง จินตนาการ มีสุนทรียภาพ และเห็นคุณค่า ของศลิ ปวัฒนธรรมไทยและสากล สกนธ์ ภู่งาม (2545: 20) กล่าวว่า ศิลปะคือ ส่ิงท่ีสื่อความหมายชอบ ไม่ชอบ ของผู้ ปฏิบัติการทางศิลปกรรมท่ีแสดงออกด้วยความชานาญ ที่สะท้อนในรูปแบบของปฏิกิริยาการ รับรู้ โดยผู้ชม มานพ ถนอมศรี (2546: 14) กล่าวว่า ศิลปะเป็นผลงานสร้างสรรคจ์ากภูมิปัญญา ของ มนุษย์ที่ถ่ายทอดออกมาโดยผ่านส่ือ เทคนิควิธีการต่าง ๆ มีหลากหลายรูปแบบ และผลงานท่ีจะ ได้รับการยกย่องวา่ เป็นศิลปะน้ัน ต้องมีคุณค่าต่อจิตใจ หรอื ก่อให้เกิดการสะเทือนอารมณ์ จากที่ กล่าวมาสรุปได้ว่า กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ หมายถึง กิจกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับงานศิลปะต่าง ๆ ท่ี เปดิ โอกาสใหเ้ ด็กได้แสดงออกถงึ ความรูส้ ึกนึกคดิ และจนิ ตนาการโดย วิธกี ารตา่ ง ๆ อยา่ งอสิ ระ 1.2.ความสาคัญของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์มีความสาคัญอย่างมากต่อเด็กปฐมวัย ดังที่ นักวิชาการหลายท่าน ไดก้ ล่าวไว้ดงั นี้ เลิศ อานนัทนะ (2535: 44) กล่าวว่า กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์มีบทบาท สาคัญในการท ทาให้เด็กมีความสุข จิตใจร่าเริง เบิกบาน รู้สึกว่าตนเองมีคา่ ชีวิตมีความหมาย ก่อให้เกิดความรัก ความภาคภูมิใจในตนเองและผู้อ่ืน มีจิตสานึกในคุณค่าความงามของศิลปะธรรมชาติ และ สิ่งแวดล้อม นอกจากน้ียังทาหน้าท่ีเป็นเครื่องมือในการส่ือความเข้าใจของเด็ก เด็กทุกคนสามารถ แสดงออกทางศิลปะได้ตามระดับความสามารถของแต่ละคน เนอ่ื งจากธรรมชาติของกจิ กรรมศิลปะมี หลายรูปแบบ ตลอดจนสามารถเลือกระดับกิจกรรมต้ังแต่ระดับง่ายไปจนถึง ระดับยาก เพ่ือ ตอบสนองกบั ระดับความสามารถของเด็ก ทีม่ คี วามแตกตา่ งกันเป็นอย่างดี นิตยา ประพฤติกิจ (2546: 100) ได้กล่าวถึงความสาคัญของกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ไว้ ดงั นี้ 1. เป็นการกระตุ้นให้เดก็ รูจ้ ักช่วยเหลือตัวเอง 2. ช่วยส่งเสริมให้เดก็ รู้สึกซาบซ้ึงในความงามทอี่ ยู่ รอบตัว 3. ช่วยในการระบายอารมณ์ของเด็ก 4. ช่วยในการพัฒนากล้ามเนื้อ 5. ช่วยให้เด็กรู้จักการ สังเกต การสืบคน้
18 อินทรัมพรรย์ และคณะ (2559: 268) ได้กลา่ วถึงความสาคัญของ ศลิ ปะวา่ ทาให้เดก็ เกดิ การ เรียนรู้จากการทากิจกรรมด้านศิลปะ ได้แก่ 1. การเป็นผู้รู้จักกาลเทศะ ให้เด็กรู้จักแบ่งแยกเวลา เล่นกับเวลาทางานได้ อย่างเหมาะสมรู้จักการรอโอกาสเม่ือต้องใช้อปุ กรณร์ ่วมกบั ผู้อ่นื 2. การเป็นผู้ทกี่ ล้าพดู กลา้ แสดงออกในสงิ่ ทตี่ นคดิ 3. การเปน็ ผรู้ จู้ ักสงั เกตสิง่ รอบตัวแลว้ นาไปใช้ในกจิ กรรมศลิ ปะ 4. การเป็นผู้รจ้ ักความเป็นระเบยี บสวยงามและรกั ความสะอาด 5. การเป็นผู้รู้จักรักของใช้เป็นของส่วนตัวและส่วนรวม การมีนา้ ใจ ช่วยเหลอื ซ่งึ กนั และกัน การเป็นคนรู้จักประหยัด ใช้อุปกรณ์และวัสดุในขนาดและจานวนที่จาเป็น ต่อรูปแบบของงาน การ เป็นผู้ความรับผิดชอบ ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ (2545: 37-39) กล่าวว่า ความสาคัญของศิลปะมีผล ต่อการ ดารงชีวิตของมนษุ ย์ไดอ้ ยา่ งนา่ อศั จรรย์ ดังน้ี 1. ศิลปะเพ่ือการผ่อนคลาย โดยการระบายความรู้สึกนึกคิด หรือความคับข้องใจออกมา เพราะความรู้สึกของมนุษย์นั้นมีท้ังความสุข ความทุกข์ ความเจ็บปวด ความฝัน และความหวัง ความร้สู กึ เหล่าน้ีสามารถระบายออกได้ โดยผ่านสื่อทางศลิ ปะอย่างอิสระ 2. ศลิ ปะเพ่ือการพัฒนาจิตใจ ความสาคัญของศิลปะในแง่การพัฒนาจิตใจน้ัน เบอร์นาร์ด (Bernard) นักจิตวิทยาได้กล่าวไว้ว่า คนที่มีสุขภาพจิตดี คือ คนท่ีทางานในหน้าที่ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ มีความชื่นชมยินดีในงานท่ีทา มีความเอ้ือเฟื้อเห็นอกเห็นใจผู้อ่ืน และไม่มีอารมณ์ เครยี ดจนเกินไปนกั ดังนั้น ถ้าจติ ใจปกติ ทางานต่างๆ ก็จะสาเรจ็ ลลุ ว่ งไปด้วยดี 3. ศิลปะเพื่อพัฒนาสังคม ศิลปะเป็นสื่อสาคัญที่ช่วยให้สัมพันธภาพของคน ในสังคมดาเนิน ไปอย่างสงบสุข เพราะสามารถที่จะใช้ศิลปะเป็นตัวกลางในการจัดกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน ดังเห็นได้ จาก เอเซียนที่ได้รวมเอาประเทศทั้ง 10 ประเทศมารวมกลุ่มกัน โดยใช้ศิลปะ และวัฒนธรรมเป็น ส่ือเช่ือมสัมพนั ธไมตรีของแต่ละประเทศ 4. ศิลปะเพื่อการบาบัด ความสาคัญของศิลปะในเรื่องของการบาบัด สารานุกรม ศึกษาศาสตร์ปี 2539 ได้ให้คาจากัดความของคาว่า การบาบัดด้วยศิลปะ (Art Therapy) หมายถึง การใช้กิจกรรมศิลปะ หรือผลงานศิลปะ เพ่ือวิจิยหาข้อบกพร่องของบุคคลที่ กลไกการ ทางานของร่างกายหย่อนสมรรถภาพ ซึ่งมีสาเหตุเนื่องมาจากความผิดปกติบางประการ ของ กระบวนการทางจิต และเพอ่ื ใช้กิจกรรมศลิ ปะที่เหมาะสมช่วยในการรักษาให้มสี ภาพดีขน้ึ เบญจา แสงมะลิ (2545: 262) กล่าวว่า ศิลปะเป็นส่ือการแสดงออกของเด็กในสิ่งที่เด็ก ทาเหน็ รู้สกึ และคดิ กจิ กรรมศลิ ปะให้โอกาสเดก็ สารวจ ทดลอง แสดงความคิด ความรสู้ กึ เกี่ยวกับ ตัวเด็ก สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว ความสามารถในการจนิ ตนาการ สังเกต และ ความรู้สึกทด่ี ีต่อตนเอง และผู้อนื่ มีมากข้ึน เพราะขณะที่เดก็ ทางานกบั วัสดุต่างๆ เด็กมีความรบั ผิดชอบในการเลือก และการ กาหนดรูปรา่ ง ใช้การตัดสนิ การควบคุมประสบการณท์ ี่เปน็ ผลสาเรจ็ จะสรา้ งความเชอ่ื มัน่ ในตนเอง และร้คู ุณค่าของความเปน็ มนุษย์
19 จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า กิจกรรมศิลปะมีค่าต่อการพฒั นาเด็ก ทาให้เด็กมี ความสุข จิตใจ รา่ เริง รสู้ ึกวา่ ตนมคี ่ามคี วามหมายเป็นตัวกระตุ้นให้เดก็ รจู้ ักช่วยเหลือตนเอง กลา้ พดู กล้าแสดงออก ฝึกการสังเกต สารวจส่ิงต่างๆ รอบตัว และยังรู้จักผ่อนคลาย ระบายความรู้สึกนึกคิด หรือความคับ ข้องใจของตนโดยผ่านสื่อทางศิลปะออกมา ทั้งยังเป็นเคร่ืองมือในการส่ือ ความเข้าใจของเด็ก รวมท้ังส่งเสรมิ กระบวนการกล่มุ และพัฒนาความคดิ สร้างสรรค์ โดยเฉพาะกิจกรรมศิลปะท่ผี ู้เรียนได้มี โอกาสสัมผัสกับวัสดุอุปกรณ์ท่ีหลากหลาย เด็กได้นับจานวน ได้รู้ค่าจานวนของสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ ผลงาน จานวนสีท่ีใช้ทากิจกรรม เป็นตัวกระตุ้นใหเ้ ด็กเกิดความสนกุ สนาน มีความกระตือรือร้นใน การทากิจกรรมอกี ด้วย 1.3 จุดมงุ่ หมายของกจิ กรรมศลิ ปะสร้างสรรค์ การทาความเข้าใจจุดประสงค์ของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ช่วยให้ครูและผู้ที่ เก่ียวข้องมีความเข้าใจและจัดกิจกรรมได้อย่างเหมาะสม การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์มี จุดมุ่งหมายหลายประการ ดังได้มีผู้สนใจศึกษาและสรุปไว้ ดงั นี้ เลศิ อานนัทนะ (2555: 44-46) ได้ กลา่ วถึงจุดมุ่งหมายของกจิ กรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ไว้ ดงั น้ี 1.ดา้ นการส่งเสริมพัฒนาการดา้ นสติปญั ญา 1.1 เพ่ือพฒั นาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ 1.2 เพอื่ เสรมิ สรา้ งความฉบั ไวในการเรียนรู้ 1.3 เพือ่ ฝกึ ทกั ษะการสงั เกต 1.4 เพ่อื ฝึกกระบวนการทางดา้ นสติปัญญา เช่น การแก้ปัญหา การตดั สนิ ใจ การ วางแผน รวมทั้งการประเมินค่าในผลงานทตี่ นไดแ้ สดงออกจนสาเรจ็ 1.5 เพื่อพฒั นาภาษา สือ่ สารความคิดของตนเองให้ผู้อื่นเขา้ ใจได้ 2.ดา้ นการสง่ เสริมพัฒนาการดา้ นร่างกาย 2.1 เพ่ือพฒั นากลา้ มเนื้อเลก็ และประสานสมั พันธร์ ะหว่างตากบั มือ 2.2 เพ่ือฝึกให้เด็กมีโอกาสได้ใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในการ เคลื่อนไหว เพื่อความแข็งแรงและมที ักษะในการทางานคลอ่ งแคลว่ ดีขึ้น 2.3 เพอ่ื ฝกึ ทกั ษะในการแสดงออกทางศิลปะผ่านรปู แบบกจิ กรรมท่ีหลากหลาย 3.ด้านการสง่ เสริมพัฒนาการดา้ นอารมณจ์ ิตใจ สังคม 3.1 ผอ่ นคลายความเครียด มสี ขุ ภาพจิตดี ชื่นชมในส่ิงทส่ี วยงาม 3.2 เพื่อส่งเสริมความเชื่อมั่นในตนเอง 3.3 เพอื่ สง่ เสรมิ ให้เกิดความสนใจและเขา้ ใจธรรมชาตริ อบตัว 3.4 เพ่ือส่งเสริมให้เด็กเกดิ ความรู้สกึ ท่ีดีงามตอ่ ผู้คน สามารถมองโลกด้วย สายตาที่สวยงาม สดใส 3.5 เพือ่ สง่ เสริมคุณธรรมและจรยิ ธรรมในดา้ นความอดทน ความ เอ้ือเฟือ้ เผ่อื แผ่
20 3.6 เพื่อช่วยบาบัดอาการทางจิตของเด็ก เช่น เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง เศร้าซึม เป็นตน้ 3.7 เพอื่ ฝกึ การทางานรว่ มกบั ผู้อื่น เพ่อื เปน็ พ้นื ฐานของการอยรู่ ่วมกนั ใน สงั คม 3.8 เพือ่ ฝึกความรบั ผิดชอบในหน้าทท่ี ไ่ี ดร้ ับมอบหมาย 3.9 เพ่ือส่งเสริมให้เดก็ กล้าแสดงออก 3.10 เพ่อื ฝึกให้เด็กมีวินยั ในตนเอง รูจ้ ักทางานท่มี รี ะเบยี บ 3.11 เพื่อเรียนรู้และฝึกหัดทางด้านสังคม เช่น การปรึกษาหารือ การรอคอย การประณี ประนอม ร้จู ักลดความต้องการของตนเองลง สัตยา สายเชื้อ (2541: 39-40) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ไว้ดังน้ี 1. เปดิ โอกาสใหเ้ ด็กได้แสดงออกอย่างอสิ ระ เพือ่ เสริมสร้างความฉับไว้ดา้ น การรบั รู้ ครไู ม่ ควรบบี บังคับใหเ้ ด็กทาในสิ่งที่ครูต้องการ ครูควรย่ัวยุใหเ้ ด็กได้ขัดเขียนหรือ แสดงออกอย่างอิสระตาม ความพอใจ ถึงแม้ว่าจะเพียงชัว่ ระยะสน้ั ๆ กต็ าม 2. ส่งเสริมปลูกฝังทักษะประสาทสัมผัสและทัศนะดา้ นการเห็น และปลกู ฝังความคดิ ริเริ่มสร้างสรรค์ รักสวยรักงาม มองเห็นความงามตามธรรมชาติ เช่น ใบไม้ ดอกไม้ ต้นหญ้า ดอก หญ้า ผเี สอื้ แมลง ท้องฟ้า พ้นื น้า ลาธาร 3. ให้เดก็ รู้จักสงั เกตและพิจารณาสง่ิ ตา่ ง ๆ ในด้านศลิ ปะ ถา้ ไม่สามาถนาเด็ก ออกไปข้าง นอกสถานท่ีได้ ครูควรหาภาพนิ่ง สไลด์ และวีดีทัศน์ นามาให้เด็กดู เพ่ือที่เด็กจะได้ สังเกตและพูดคุย กัน นอกจากน้ี ครูอาจให้สังเกตต้น ไม้บ้าน รถยนต์ รถไฟ ดอกบัว ใบบัว ใบตอง กล้วย ใบกล้วย และผลไมอ้ ื่นๆ 4. ฝึกใหเ้ ด็กได้มโี อกาสใช้อวยั วะส่วนต่างๆ ของรา่ งกายใหแ้ ข็งแรง และมีความพร้อม เช่น การป้ันดิน ปั้นแป้ง ขยากระดาษ การสังเกตของเด็กจะทาให้เด็กอยากสร้าง กิจกรรมเพ่ือฝึก กลา้ มเนือ้ มอื และตาให้สัมพนั ธ์กนั 5. ให้เด็กรู้จักใช้เครื่องมือเคร่ืองใช้ประกอบการเรียนการสอน เช่น พู่กัน จานสี แก้วน้า แปง้ เปยี ก กาว และกระดาษ รู้จักใช้เกบ็ รกั ษาความสะอาด 6. ให้เด็กรู้จักชนิดและจานวนของสีทั้งที่เกิดข้ึนในธรรมชาติและสีท่ีมนุษย์ สร้างข้ึน เช่น สี จากพืช ดอกไม้ และดิน วัสดมุ สี ี และสวี ิทยาศาสตร์ เชน่ สเี ทียน สนี ้า ฯลฯ 7. ฝึกทักษะในการแสดงออกทางศิลปะ ซึ่งอาจจะไม่ใช่กิจกรรมทางการวาด อย่างเดียว อาจจะเป็น ตัด ฉีก ปะ เขียนภาพด้วยนวิ้ มอื หรือพับกระดาษ พิมพ์สี ทดลองสี พ่นสี เป่าสี เทสี หยดสี หลาย ๆ กจิ กรรม 8. ฝึกให้เด็กรู้จักทางานที่มีระเบียบและเก็บกวาดล้าง รักษาความสะอาดเพ่ือ ความมีวินัย ในตนเอง จากท่ีกล่าวมาสรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมศิลปะมีจุดมุ่งหมายสาคัญเพื่อ ประโยชน์ทางการ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ แสดงออกทางศิลปะ และปลูกฝังทักษะประสาท สัมผัส พัฒนา กล้ามเนื้อเล็ก ทักษะด้านการเห็น ฝึกให้เด็กนับและรู้ค่าของจานวนของสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้
21 ประกอบการทากิจกรรมศิลปะ โดยมุ่งพัฒนาเด็กให้ครบทุกด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคม และสติปัญญา 1.4 ประเภทของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ กิจกรรมศิลปะสาหรับเด็ก ปฐมวัย มีวัสดุอุปกรณ์ในการทากิจกรรมหลากหลาย ชนิด ซ่ึงถือว่าเป็นเคร่ืองมือที่ช่วยให้เด็กได้ฝึก การนับจานวนได้อย่างดี และมีผู้กล่าวถึงประเภท ของกิจกรรมศิลปะไว้ต่างกันดังนี้ สานักงาน คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2546: 13 – 14) แบ่งกิจกรรม ทางศิลปะสาหรับเด็ก ปฐมวยั เปน็ 7 ประเภท ดงั น้ี 1. กิจกรรมวาดภาพและระบายสี เป็นกจิ กรรมการสรา้ งภาพ 2 มิติท่ีเด็กเขียนลง ไปด้วยความรู้สึกของตนเองให้เปน็ สัญลักษณ์ ลวดลายต่าง ๆ แทนการ ใช้คาพดู เชน่ 1.1 การวาดภาพด้วยสีเทยี นและสไี ม้ 1.2 การวาดภาพด้วยสนี า้ เชน่ พู่กัน ฟองนา้ 2. กิจกรรมการเลน่ กับสนี ้า 2.1 การเปา่ สี 2.2 การหยดสี 2.3 การเทสี 3. กจิ กรรมการพมิ พภ์าพ 3.1 การพมิ พ์ภาพด้วยส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เชน่ นิ้วมอื ฝ่ามือ ฯลฯ 3.2 การพมิ พ์ภาพจากวัสดธุ รรมชาติต่าง ๆ เช่น พชื ผัก ผลไม้ ฯลฯ 3.3 การพิมพ์ภาพจากวัสดเุ หลอื ใช้ต่าง ๆ เชน่ ฝาจุกขวด ลกู กุญแจ ฯลฯ 3.4 การพิมพ์ภาพด้วยการขยมุ้ กระดาษ 3.5 การใหเ้ ดก็ ใช้กระดาษบางวางซ้อนวัสดทุ ่ีมีลายนนู แล้วใช้ดินสอสถี ู จะได้ ภาพเหมือนแบบ 4. การป้นั 4.1 คลงึ ใหเ้ ปน็ เสน้ ป้ันเป็นแผน่ ปั้นเปน็ กอ้ นกลมหรอื สีเ่ หล่ยี ม 4.2 ป้นั ตามเรือ่ งราวหรอื นิทานที่ครูเล่าตามจินตนาการ 4.3 ป้ันแปง้ ทาขนมง่าย ๆ เช่น ขนมบัวลอย เปน็ ต้น 4.4 ปั้นตามใจชอบ เป็นรปู คน สัตว์ สิง่ ของเคร่ืองใชแ้ ละอน่ื ๆ 5. การฉีก ตัด ปะ กระดาษ เปน็ กิจกรรมทใ่ี ช้กระดาษต่างๆ มาฉีก ตัด และ นามาติดบน กระดาษทาให้เป็นภาพ กระดาษที่ใช้ไม่ควรแข็งหรือเหนียวเกินไป เช่น กระดาษสีมัน กระดาษ หนงั สอื พมิ พ์ กระดาษวารสาร เปน็ ต้น การฉกี ตัด ปะกระดาษทาไดห้ ลายวิธี ได้แก่ 5.1 ฉีกกระดาษเปน็ ชิ้นตดิ ซ้อนเรยี งกนั 5.2 ฉกี กระดาษเปน็ ชน้ิ ติดลงบนภาพหรือขอบเขตที่กาหนดให้ 5.3 ฉีกกระดาษลงบนรปู ท่ตี ัดไว้ให้ แล้วให้เด็กฉีกกระดาษสว่ นเกินออก
22 5.4 ฉกี กระดาษเปน็ รปู ทรงเรขาคณติ เช่น สามเหลีย่ ม สี่เหลย่ี ม วงกลม เป็นต้น 5.5 แบง่ กระดาษท่ีฉกี เปน็ รูปเรขาคณิตตดิ ลงบนกระดาษอีกแผน่ ใหเ้ ปน็ รปู ตา่ ง ๆ 5.6 ฉกี หรอื ตัดกระดาษอิสระเป็นรูปจินตนาการ 6. งานพับกระดาษ เป็นการประดิษฐ์กระดาษให้มีลักษณะเป็นภาพ 3 มิติ เปน็ กิจกรรมที่ ต้องอาศัยการทางานประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเน้ือตา มือ และนิ้วมือพับกระดาษให้ เป็นภาพ ตามขนั้ ตอน โดยครูใช้การอธิบายประกอบแผนภมู ิลาดับขน้ั ตอนการพับ ซึ่งลาดับข้ันตอน น้ันไม่ควร ยากเกินความสามารถของเด็ก 7. งานประดิษฐ์เศษวัสดุ เป็นการรวบรวมเศษวัสดุจากกระดาษ เช่น กล่อง กระดาษชนิด ต่างๆ เศษกระดาษ กระดาษห่อของขวัญ แกนกระดาษชาระ ฯลฯ มาประดิษฐ์เป็นส่ิง ต่างๆ ตาม แบบอย่างหรือความคิดอิสระ และใช้วัสดุอื่น ๆ ในการประกอบหรือตกแต่งเพ่ิมเติม เพื่อให้งาน สมบูรณ์ขึ้น เช่น กาว กรรไกร เศษไหมพรม แท่งไม้ไอศกรีม หลอดกาแฟ รวมถึง งานกระดาษ เสน้ ทใ่ี ช้กาวประกอบรปู รา่ งตา่ งๆ สัตยา สายเช้ือ (2551: 66-163) ได้แบ่งกิจกรรมทางศิลปะสาหรับเด็กปฐมวัยเป็น 7 ประเภท ดังน้ี 1. กิจกรรมวาดเส้นและระบายสี 1.1 กิจกรรมวาดเส้นตามแบบมือ 1.2 การเขียนภาพด้วยสเี ทียน 1.3 การเขยี นภาพด้วยสีน้าและสเี ทียน 1.4 การสร้างสรรคดว์ ย้ สตี ามแบบทกี่ าหนดให้ 1.5 เทคนิคการขดูสเี ทียน 1.6 การพับสี 1.7 การเป่าสี 1.8 เทคนคิ สีซึม 2. กิจกรรมศิลปะด้วยสีธรรมชาติ 2.1 การเขียนภาพด้วยนิว้ มอื 2.2 การวาดเส้นด้วยกาวลาเท็กซ์ 2.3 การเขียนภาพด้วยใบตาลงึ 2.4 การเขียนภาพด้วยขมน้ิ 2.4 การเขยี นภาพด้วยดอกอัญชัน 2.5 การเขียนภาพด้วยปนู แดง ดนิ ลกู รงั 2.6 การเขียนภาพด้วยดินโคลน 2.7 การสร้างภาพด้วยดอกไม้ ใบหญ้า 2.8 การสรา้ งภาพด้วยนา้ มะนาวหรอื สารสม้
23 2.9 การเขียนภาพด้วยดา่ งทบั ทมิ 2.10 เทคนคิ การเขียนสผี สมทราย 3. กจิ กรรมภาพพมิ พ์ 3.1 ภาพพมิ พ์จากวัสดุ 3.2 การพิมพ์ภาพด้วยเสน้ ด้าย 3.3 การพมิ พ์ภาพด้วยกระดาษขยุ้ม 3.4 การพิมพ์ภาพด้วยดินนา้ มัน 3.5 การพมิ พ์ภาพด้วยใบไม้ 3.6 การพมิ พ์ภาพด้วยมนั เทศและมะละกอ 3.7 การพิมพ์ภาพด้วยก้านกล้วย 4. กิจกรรมประติมากรรม 4.1 การปน้ั ดินเหนยี วหรอื ดนิ นา้ มัน 4.2 การปน้ั กอ้ นแปง้ 4.3 การป้นั กระดาษเปื่อยผสมแปง้ เปียก 4.4 การปนั้ หน้ากาก 4.5 การป้ันกระดาษ (ขยากระดาษ) 4.6 โมบาย 5. กิจกรรมกระดาษ 5.1 การขยากระดาษ 5.2 การสร้างสรรค์ภาพด้วยกระดาษทิชชู (หรือเศษกระดาษย่น) 5.3 กจิ กรรมการฉกี ตัด ปะดว้ ยกระดาษ 5.4 กจิ กรรมสรา้ งภาพด้วยวธิ ีโมเสก 5.5 การสร้างภาพด้วยกระดาษ (บิดกระดาษ) 5.6 ศิลปะดว้ ยกระดาษม้วน 5.7 หนา้ กากดว้ ยกระดาษ 5.8 การพับกระดาษ 6. กจิ กรรมประดษิ ฐ์ตกแตง่ 6.1 กิจกรรมประดษิ ฐต์ กแต่ง 6.2 กิจกรรมการประดษิ ฐต์ กแตง่ ภาพสัตว์ (ในน้า) 6.3 กิจกรรมประดษิ ฐต์ กแตง่ จากขวดพลาสติก 6.4 กจิ กรรมประดษิ ฐ์เครอ่ื งดนตรีด้วยเศษวัสดุ 6.5 กิจกรรมการประดษิ ฐ์เศษวัสดุ 6.7 กิจกรรมตกแต่งลายบนภาชนะดนิ เผา
24 7. กิจกรรมการจัดนทิ รรศการเด็ก 7.1 กจิ กรรมนทิ รรศการทุกสปั ดาห์ 7.2 กจิ กรรมนิทรรศการวันสาคัญ 7.3 กจิ กรรมนิทรรศการเสรมิ ความรู้ จากท่ีกล่าวมาสรุปได้ว่า การแบ่งประเภทกิจกรรมศิลปะสามารถแบ่งเป็น 7 ประเภท ไดแ้ ก่ กจิ กรรมวาดภาพและระบายสี กิจกรรมการเลน่ กับสนี ้า กจิ กรรมการพิมพ์ภาพ กจิ กรรมการ ปั้น กิจกรรมการฉีก ตัด ปะกระดาษ กิจกรรมการพับกระดาษ และกิจกรรมงาน ประดิษฐ์เศษ วัสดุ และวัสดุอุปกรณ์ท่ีใช้ในการทากิจกรรมทุกกิจกรรมท่ีกล่าวมายังสามารถฝึก ทักษะการนับ จานวนได้อีกด้วย ซึ่งงานวิจัย ฉบับนี้ได้จัดกิจกรรมการวาดภาพระบายสี กิจกรรมการ พิมพ์ภาพ และกิจกรรมการปน้ั เพราะเป็นกิจกรรมทเี่ ด็กเล็กระดับอนุบาล 1 สามารถทาได้ และ เขา้ ใจง่ายขน้ึ 1.5 แนวคดิ และทฤษฎที ี่เก่ียวขอ้ งกับกิจกรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ การจัดกิจกรรมศิลปะสาหรับเด็กปฐมวัย นอกจากจะต้องคานึงถึงข้ันพัฒนาการ ตามวัย และพัฒนาการทางศิลปะของเด็กแล้ว จาเป็นจะต้องคนึงถึงแนวคิดและทฤษฎีการสอน ศิลปะควบคู่ กันไปด้วย โดยมผี ู้กลา่ วถงึ แนวคดิ และทฤษฎที ่เี กย่ี วข้องกับศิลปะสรา้ งสรรค์ไว้ ดงั น้ี โลเวนเฟลด์ (Lowenfeld, 1954 อ้างถึงใน พัชรี ผลโยธิน และวรนาท รักสกุล ไทย 2557: 16) ได้แบ่งลาดับข้ันของพัฒนาการทางศิลปะเด็กพร้อมกับกาหนดช่วงอายุในแต่ละ ขั้นไว้ ดงั นี้ 1. ขั้นการขีดเขี่ย (Scribbling Stage) พัฒนาการระยะน้ีอยู่ในช่วงอายปุระมาณ 2-4 ปี โดยช่วงต้น พฤติกรรมของเด็กแสดงออกในลักษณะการขีดเข่ียอย่างเปะปะ ไม่สามารถ บังคับ ทิศทางได้ เม่ือเด็กสามารถบังคับกล้ามเนื้อใหญ่ได้ดี ลักษณะเสน้ จะยาวมากข้ึน มีทศิ ทาง ใกล้เคียง กัน เส้นซ้า ๆ วน ๆ อาจดูยุ่ง ๆ แต่ก็มองเห็นได้ว่าแตกต่างจากช่วงต้น เม่ือเด็กผ่านขั้นขีด เข่ียท่ี ควบคุมได้ เดก็ จะมีพฤติกรรมท่ีควบคู่กับการขดี เข่ียคอื การเล่าเร่ือง การพดูส่ิงที่ทา บางครั้ง ภาพที่ เด็กวาดดูไมร่ ู้เรอื่ ง ไม่สามารถเขา้ ใจได้ จะเข้าใจก็ตอ่ เม่ือได้ฟงั จากการเล่าของเด็ก ในช่วงน้ี เด็กจะมี จินตนาการสูง 2. ขน้ั กอ่ นสัญลักษณ์ (Pre - Symbolic Stage) พฒั นาการระยะน้ีอย่ใู นชว่ งอายุ ประมาณ 4 – 7 ปี เป็นการพัฒนาต่อเนื่องจากข้ันสุดท่ายของการขีดเขี่ยท่ีเด็กสามารถควบคุม กล่ามเน้ือได้ดี ข้ึน เด็กจะสามารถขีดเขียนเป็นรูปร่างตามความคิดของตน เช่น รูปวงกลมแสดง แทนศีรษะ ความสาเร็จในขน้ั น้ีสาคัญมาก เพราะจะตอบสนองต่อความเช่ือมน่ั ในตนเองของเดก็ 3. ขั้นสัญลักษณ์ (Symbolic Stage) พัฒนาการระยะนี้อยู่ในช่วงอายปุระมาณ 7-9 ปี ในขั้นนี้เด็กจะแสดงออกมาเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งสัญลักษณ์เหล่านั้นแสดงให้เห็นถึงความคิด รวบยอด ของคนและสง่ิ แวดลอ้ม ผลงานศลิ ปะของเดก็ ในข้ันน้จี ะแตกต่างกันในรายละเอียด แต่ไม่แตกต่างกัน ในชนดิ ของสัญลักษณ์
25 4. ข้ันเร่ิมต้นเหมือนจริง (Inceptive Realism Stage) พัฒนาการระยะน้ีอยู่ในช่วง อายุ 9 – 11 ปี การแสดงออกทางศลิ ปะในขั้นน้ี เริม่ มีแนวโน้มที่จะไปสู่การมองเห็น สภาพแวดล้อมที่เป็น จริง และเป็นธรรมชาติมากขึ้น เด็กจะพยายามถ่ายทอดสิ่งต่างๆ ต ามท่ีตาเห็น ถ่ายทอด ความสัมพนั ธ์ของส่ิงต่าง ๆ ตามการรับรู้ 5. ข้ันเหมือนจริงเชิงวิเคราะห์ (Analytical Realism Stage) พัฒนาการระยะนี้อยู่ ในช่วง อายรุะหว่าง 11-13 ปี การทางานศิลปะในข้ันน้ีเร่ิมพัฒนาสู่การเขียนแบบเหมือนจริงมาก ขึ้นการ ใช้สี รูปร่าง ช่องไฟ พ้นื ผิว จะพิถีพิถันมากขึ้นจนเป็นข้อสังเกตในการเปลี่ยนแปลงจาก ข้นั กอ่ นจน เห็นไดอ้ ยา่ งชดัเจน เช่น มีการสรา้ งบรรยากาศมัวสลัว แจม่ ใส 6. ข้ันเหมือนจริง (Realism Stage) พัฒนาการระยะนี้อยู่ในช่วงอาย ุ13-15 ปี เด็กวัยนี้ รู้จักวิจารณ์ วิเคราะห์ตัวเอง เด็กสามารถดูงานศิลปะออก ดูผลงานศิลปินได้เข้าใจมากข้ึน แสดงออกไดด้ ี ถา่ ยทอดได้ตามความตอ้ งการ 7. ขน้ั คน้ พบตัวเอง (Recoverable Stage) พัฒนาการระยะนอ้ี ยใู่ นชว่ งอายุ 15 ปี เป็นต้น ไป ในขั้นน้ีเด็กได้รวบรวมเอาปัญหาอุปสรรคและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่พบในขั้นที่หกเป็น ฐาน นาไปสู่การค้นพบตวัเอง นอกจากนี้ สันติ คุณประเสริฐ (2557: 63-64) ยังได้แบ่งลาดับข้ัน พัฒนาการใน การเรียนรู้ศิลปะ ท้ังในลักษณะการเรียนรู้ด้านการแสดงออกและด้านการรับรู้เป็น 3 ขน้ั ดงั นี้ 1. ขั้นไร้เดียงสา เป็นข้ันที่บุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับศิลปะด้วยความกล้า ปราศจาก อิทธิพล ของความรู้หรือลักษณะตา่ ง ๆ ในสังคม ส่ิงต่าง ๆ เกิดจากความเข้าใจหรอื ความต้องการ ภายในของ เด็กโดยมิได้คานึงถึงความต้องการของคนภายนอก ความกล้านั้นถ่ายทอดออกมาได้ หลายรูปแบบ เช่น ทางคาพูด การสร้างงานศลิ ปะ 2. ขั้นตามสังคม เมื่อเด็กโตข้ึนอีกระยะหนึ่งจะเกิดการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในสังคม มากมาย เด็กจะสร้างความคิดรวบยอดจากสามัญสานึก จากลักษณะท่ีเป็นที่ยอมรับของสังคม ลักษณะงาน ศิลปะจะเป็นระเบยี บ สะอาดเรยี บร้อย 3. ขัน้ การกล่อมเกลา เป็นขนั้ ท่ีเปลี่ยนสภาพจากการรับรูจ้ ากสามัญสานกึ มา เป็นการศกึ ษา ด้วยความคิดจากความรู้และเหตุผล จากท่ีกล่าวมาสรุปได้ว่า ลาดับขั้นของพัฒนาการและการ เรียนรู้ทางศิลปะที่ครู หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย ควรทาความเข้าใจอย่างลึกซึ้งมี 2 ขั้นซึ่ง ได้แก่ ข้ันแห่งการขีดเขี่ย หรือข้ันไร้เดียงสา เด็กยังไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อได้ พอช่วงปลายของ ข้ัน เด็กจะสามารถ ควบคุมกล้ามเนื้อท่ีใช้ในการขีดเขียนได้ดีข้ึน จึงพัฒนามาสู่ขั้นก่อนสัญลักษณ์ โดยเด็กสามารถขีด เขียนเป็นรูปร่างตามจินตนาการโดยปราศจากอิทธิพลของส่ิงแวดล้อมอื่นๆ ซ่ึง ความสาเร็จในข้ันน้ีจะตอบสนองต่อความเชื่อม่ันในตนเองของเด็ก ครูจึงควรให้กาลังใจโดยการ ยอมรับในผลงานของ เด็กเพื่อเปน็ พืน้ ฐานของการพัฒนาในขั้นตอ่ ไป
26 1.6 หลักการและแนวทางในการจัดกิจกรรมศลิ ปะสร้างสรรคส์ าหรับเด็กปฐมวัย 1.6.1 หลักการในการจดั กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ในการจัดประสบการณ์ศิลปะสรา้ งสรรค์ ใหก้ ับเดก็ ต้องคานึงถึงตัวเดก็ เป็น สาคัญ ด้วยเหตุทเี่ ด็กทุกคนมขี ีดความสามารถในด้านศลิ ปะแตกต่าง กัน แต่เด็กแต่ละคนก็สามารถท่ี จะพัฒนาได้ภายในขอบเขตความสามารถของตน ศิลปะเป็น แนวทางหน่ึงในการส่งเสริมการ แสดงออกของเด็ก เด็กจะหาโอกาสท่ีจะแสดงออกด้วยการถ่ายทอด ความรู้ ความรู้สึกและความ เข้าใจ ซึ่งส่ิงเหล่านี้ถ่ายทอดมาจากประสบการณ์และจินตนาการของ เด็กแต่ละคน เลิศ อานนัทนะ (2555: 45) กล่าวว่า การแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เป็น วิธีจัด ประสบการณศ์ ลิ ปะวิธีหนึ่งซ่งึ มีคณุ ค่าแก่เดก็ ดงั นี้ 1. เปิดโอกาสให้เดก็ เลอื กแนวความคดิ หรอื เน้อื เรือ่ งของตนเองในการแสดงออก 2. เปิดโอกาสให้เดก็ ไดแ้ สดงออกอยา่ งอิสระตามวิธีการของตน 3. ให้สิทธิในการสร้างงานด้วยตนเอง ปีเตอร์สัน (Peterson, 1958: 101 อ้างถึงในธนวดี ศุกระกาญจน์ 2554: 26) กล่าวว่า เด็กทุกคนมีขีดความสามารถของการสร้างสรรค์ในด้านศิลปะ แตกต่างกนั แต่เด็กแตล่ ะคน ก็สามารถปรับปรงุ และพัฒนาข้ึนได้ภายในขอบเขต และความสามารถ ของตนเช่นเดยี วกัน นอกจากนี้เด็กเลก็ ๆ มีการสรา้ งสรรค์และตอ้ งการแสดงออกทั้งทางดา้ นความคิด และความรู้สึก ต่างๆ ศิลปะเป็นแนวทางหนึ่งในการแสดงออกของเด็ก ซ่ึงเด็กต้องการโอกาสได้ แสดงออกท้ังยัง สามารถถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึก และความเข้าใจรวมทั้งบุคลิกภาพ และความ เป็นอิสระของเดก็ ออกมาได้ ส่ิงเหลา่ นี้ถ่ายทอดมาจากประสบการณ์ และจินตนาการของเด็กแต่ละ คน กรมวิชาการ (2546: 2) กล่าวว่า การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ศิลปะให้แก่เด็ก ปฐมวัย จะต้อง คานึงถึงจุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ความสนใจ ความสามารถตามวัย พัฒนาการ ทางศลิ ปะ และสภาพแวดล้อมของเด็ก สานกั วิชาการ และมาตรฐานการศกึ ษา (2549: 53) กลา่ ว ว่า หลักการจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ให้แก่เด็ก จะต้องคานึงถึงหลักจิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาการศึกษา และจะต้องมีเวลาให้เด็กปฏิบัติกิจกรรมอย่างเหมาะสม ซ่ึงการจัดกิจกรรม ประจาวันสาหรับเด็กอายุ 3-4 ขวบ ควรใช้เวลาทากิจกรรม 10-20 นาที เด็กอายุ 5-6 ขวบ ใช้ เวลาทากิจกรรม 20- 30 นาที และวิชาศิลปะ จะใช้ระยะเวลานานขึ้น ต้ังแต่ 40-60 นาที หรือ มากกว่านั้น นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมประจาวัน ต้องกาหนดระยะเวลาในการจัดกิจกรรมให้ เหมาะสมกบั วัยของเด็กในแต่ละวัน และยดื หยุน่ ได้ตามความตอ้ งการ ความสนใจของเด็ก เช่น เด็ก ช่วงอายุ 3 ปี มีความสนใจช่วงสั้น ประมาณ 8 นาที เด็กช่วงวัย 4 ปี มีความสนใจช่วงส้ัน ประมาณ 12 นาที เด็กช่วงวัย 5 ปี มี ความสนใจช่วงส้ัน ประมาณ 15 นาที ดังนั้น การจัด กจิ กรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ จึงควรจัดให้เดก็ ทาทุกวัน โดยอาจจัดวันละ 3-5 กจิ กรรม ใหเ้ ด็กเลอื กทา อยา่ งน้อย 1-2 กิจกรรม ตามความสนใจ การจัดกิจกรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ตอ้ งมุ่งใหเ้ กดิ ประโยชน์ แก่เด็กปฐมวัยท้ังในด้านการส่งเสริม ความคิดสร้างสรรค์ การส่งเสริมให้มีคุณสมบัติที่พึงประสงค์ การเป็นท่ียอมรับจากเพ่ือนๆ และ การส่งเสริมให้มีความรู้สึกท่ีดีต่อตนเอง โดยครูหรือผู้จัดกิจกรรม จะต้องศึกษาถงึ พัฒนาการและธรรมชาติของเด็กในด้านการแสดงออกทางศิลปะ กิจกรรมต้องเอ้ือให้
27 เด็กเกิดความมั่นใจ กล้าคิด กล้าทา ตระหนักถงึ คุณค่าของตนทมี่ ีต่อกลุ่ม และมีความภาคภูมใิ จต่อ ผลงานท่ที าสาเร็จได้ดว้ ย ตนเอง 1.6.2 แนวทางในการจัดกจิกรรมศิลปะสร้างสรรค์ การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สาหรับ เด็กปฐมวัย เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริม ให้เด็กได้คิดอย่างอิสระ คิดจินตนาการตามความต้องการและ ความสามารถของเด็ก มุ่งให้เด็กเป็น ผู้ริเริ่มสร้างสรรค์งาน ผู้นาทางความคิดและจินตนาการอย่าง กว้างขวาง ช่วยให้เด็กมีอสิ รภาพและ กระตือรือร้นตอ่ การรับรู้ส่งิ ต่างๆ ได้ โดยครูต้องมีความเชื่อมั่น ในตัวเด็ก กระตุ้นให้กาลังใจและสนับสนุนให้เด็กได้แสดงออกตามทักษะความสามารถตามวัยที่พึง กระทาได้ เพื่อให้เด็กได้รับ ผลสาเร็จในการทากิจกรรมตามความสามารถ ซึ่งจะช่วยใหเด็กเกิด ความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง ซ่ึงมี ผู้ให้แนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ดังนี้ ฮิลเดอร์แบรนด์ (Hilderbrand, 1975: 228-229 อา้ งถึงในธนวดี ศกุ ระกาญจน์ 2554: 29-30) กลา่ วถึงแนวทาง ในการจัดกจิ กรรมศลิ ปะสรา้ งสรรคใ์ หก้ บั เดก็ ปฐมวัย ไว้ ดงั น้ี 1. ให้ความสาคัญในกระบวนการทางานของเดก็ มากกวา่ คานงึ ถงึ ผลงานเดก็ 2. ให้ความสนับสนุนการแสดงออกทางด้านการสร้างสรรค์ โดยหลีกเล่ียง การให้เด็กวาด ลอกเลยี นแบบหรือวาดภาพระบายสีจากสมดุ ภาพ ทาให้เด็กไมไ่ ด้ใชค้ วามคดิ อิสระ ซ่ึงท้งั สองแบบนี้มี อทิ ธพิ ลต่อการสร้างสรรค์ 3. แสดงความชื่นชมต่อผลงานความกา้ วหน้าของเด็ก 4. วางแผนและเตรยี มกจิ กรรมตา่ ง ๆ สาหรบั เด็กใหพ้ ร้อม 5. จดั เตรียมวัสดอุ ปุ กรณ์ต่าง ๆ ให้เด็กสามารถหยิบไดง้ า่ ยและสะดวกใน การใช้ 6. หลีกเลี่ยงคาถามทวี่ า่ “กาลงั ทาอะไรอยู่” หรอื เดาว่าส่ิงทเ่ี ดก็ ทาคืออะไร 7. ฝกึ ฝนและแนะนาใหเ้ ด็กได้ลองฝึกปฏิบัตดิ ้วยตนเอง รจู้ ักการแสดงออก และมีทัศนคติท่ี ดตี ่องานศิลปะ โดยคานงึ ถึงความเหมาะสมตามวุฒิภาวะของเดก็ ด้วย 8. ให้คิดว่ากิจกรรมทางด้านศิลปะมีความสาคัญเหมือนกับการจัดประสบการณ์ในการเขียน และการอ่าน 9. ให้ความรู้ในดา้ นศิลปะแก่เด็ก เชน่ เรื่องสี ขนาด และรปู รา่ ง เป็นต้น 10. อธิบายให้ผู้ปกครองเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายและแนวทางในการส่งเสริม การสร้างสรรค์ ทางด้านศลิ ปะแกเ่ ด็ก สุดารัตน์ เพชรรูจี (2555: 60) ได้เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ สาหรับเด็กปฐมวัยไว้ ดังน้ี 1. จดั กิจกรรมท่ีสนกุ สนานและสอดแทรกความรู้ทางศิลปะบ้างเลก็ น้อย เช่น ระบายสีด้วย แปรงหรือพู่กันขนาดใหญ่ การวาดภาพด้วยน้ิวมือและมือ เขียนรูปด้วยสีเทียน แท่งใหญ่ๆ ปั้นดิน เหนียวหรือดินน้ามัน (ให้เล่นกับดิน) ทาโครงสร้างต่างๆ ด้วยกล่องกระดาษ แท่งไม้ฉีกกระดาษปะ ตดิ เปน็ ภาพ พมิ พ์ภาพด้วยวัสดุต่าง ๆ เชน่ ไม้จิ้มฟัน ไมข้ ีด แขนงไม้ เป็นต้น
28 2. กระตุ้นให้แสดงออกโดยใช้เร่ืองราวจากประสบการณ์ของเด็กเอง และมีตัวเองเข้าไป เกีย่ วข้องเสมอ เช่น ให้หวั ข้อว่า ฉันกับครู ฉันกับเพ่อื น ฉันกับพ่อแม่ ฉันไปตลาด สัตว์ที่ฉนั ชอบ บ้านของฉนั เปน็ ต้น 3. ขณะท่ีทางาน ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เคล่ือนไหวได้เต็มที่ เพราะเด็ก วัยน้ีไม่ชอบนั่ง โต๊ะทางาน ชอบทางานบนพื้น หรือยืนท่ีโตะ๊ 4. ให้ทางานเป็นกลุ่มบ้าง เพื่อฝึกให้มีพฒั นาการทางสังคม แต่ครูต้องคอย ช่วยเหลืออย่าง ใกล้ชดิ เพ่อื ให้ทางานด้วยกันได้ 5. ตระหนักอยู่เสมอว่าต้องเปิดโอกาสให้เด็กแสดงออกมากที่สุด ผลงานจะเป็นเช่นไรไม่ สาคัญบางครัง้ รูปจะดูเหมอื นกบั มีสีเละเทะ เสน้ ลายไมแ่ นน่ อน นั่นคือสงิ่ ท่เี ด็กภาคภูมิใจ 6. อย่าสอนวิธกี ารเขียนภาพเป็นข้ันตอน หรือเขียนให้ดูแลให้เด็กทาตาม หน้าที่ของครูคือ ผู้กระตุ้นด้วยคาพดู แล้วให้เด็กทาเอง เพื่อเป็นการเสริมความคิดสร้างสรรค์ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2546: 28-29) ได้กาหนดแนวการจัดกิจกรรมศิลปะสาหรับเด็กปฐมวัย โดย คานงึ ถึงความเหมาะสม ความสนใจ และความต้องการของ ผ้เู รียนเป็นหลัก ดงั น้ี 1. เตรยี มจัดโต๊ะและวัสดุใหพ้ รอ้ มโดยอาจมอบหมายให้เดก็ รบั ผิดชอบช่วยจัดในแต่ละวัน 2. สร้างบรรยากาศในการทากิจกรรมให้มีความสดชื่นแจ่มใส และมีอิสระให้เด็กเลือกทา กจิ กรรมอยา่ งมรี ะบบ 3. ให้เดก็ เลือกทากจิ กรรมอยา่ งอิสระตามความสนใจของตน 4. การเปลี่ยนหมุนเวียนการทากิจกรรม ครูต้องกาหนดข้อตกลงกับเด็กว่าในกรณีท่ีโต๊ะ/ กลุ่มใดมีเด็กครบหรือเต็มตามจานวนท่ีกาหนดหรือจัดไว้แต่เด็กสนใจที่จะทากิจกรรมนั้นบ้างเด็ก จะตอ้ งคอยจนกวา่ จะมที ว่ี ่างหรอื ให้เลือกเล่นในมุมเล่นก่อน เมือ่ มีท่ีว่างจงึ จะสามารถเข้าทากจิ กรรม สร้างสรรคืท่ีตนสนใจได้ 5. กิจกรรมใดเป็นกิจกรรมใหม่สาหรับเด็ก ครูควรแนะนาอุปกรณ์และ วิธีใช้ขณะเด็กทา กิจกรรมครูต้องคอยชแี้ นะให้คาปรกึ ษา 6. ควรกระตนุ้ ให้เด็กรู้จักคิดแกป้ ัญหา 7. เม่ือทางานเสรจ็ หรอื หมดเวลา ต้องใหเ้ ดก็ เก็บวัสดุ เครือ่ งมือ เคร่ืองใช้เขา้ ที่และดแู ลทา ความสะอาดห้องเรยี นให้เรยี บร้อยทกุ ครงั้ 8. เม่ือเด็กทางานเสร็จ อาจให้เด็กเล่าอธิบายผลงานของตนท้ังนี้เพื่อพัฒนา ภาษา และ ทกั ษะการคิดของเด็ก กิจกรรมศลิ ปะสร้างสรรค์ท่ีเหมาะกับเด็ก ได้แก่ กิจกรรมการเล่นสี กิจกรรม วาดเส้นระบายสี การพิมพ์ภาพ การปน้ั งานกระดาษและประติมากรรม เปน็ ต้น การจดั กิจกรรม ควร เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกด้วยตนเองอย่างเสรี ในกิจกรรมท่ีมีความเหมาะสมกับวัย และ ความสนใจ มคี วามท้าทาย ยีดหยุ่นไดม้ ีบรรยากาศท่ียวั่ ยุ สนุกสนาน มคี วามพรอ้ มใน ด้านอุปกรณ์ สภาพแวดล้อม และมกี ิจกรรมศลิ ปะท่หี ลากหลาย
29 1.7 บทบาทหน้าท่ีครูในการจัดกจิกรรมศลิ ปะสร้างสรรคส์ าหรับเดก็ ปฐมวัย ครมู ีอิทธพิ ลต่อ เด็กทั้งในแง่ความรู้สึก ทัศนคติ ความตั้งใจในการสร้างสรรค์งาน ดังนั้นเพื่อให้เด็กเกิดแรงจูงใจใน การสร้างงานศิลปะ ครคู วรตระหนักในบทบาทหน้าที่ของตนเอง ตั้งแต่ขั้นก่อนดาเนินกจิ กรรม ขั้น ดาเนนิ กจิ กรรม จนกระท่ังถึงขน้ั หลังดาเนินกิจกรรม สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2556ข: 15-16) ไดร้ ะบถุ ึง บทบาทของ ครูในการจัดกิจกรรมศลิ ปะไว้ดงั นี้ 1. ข้ันกอ่ นดาเนนิ กจิ กรรม 1.1 ครตู อ้ งศกึ ษาพัฒนาการดา้ นศิลปะของเดก็ และควรรู้ประสบการณ์ของเด็กแต่ละ คน 1.2 ร่วมวางแผนการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมนอกสถานท่ีกับเด็ก และสารวจสถานที่ ก่อนพาเดก็ ออกไป 1.3 จดั เตรียมวัสดอุ ปุ กรณ์เอาไว้ล้วงหน้า ควรพยายามหาวสัดธุ รรมชาตใิ น ท้องถ่ิน มาใช้ก่อนเปน็ อันดบั แรก และวัสดทุ ีจ่ ะนามาใช้ตอ้ งเหมาะสมกบั ระดับพฒั นาการของเด็ก 1.4 การจัดวางวัสดุ ควรวางไว้ในทท่ี ่ีเดก็ สามารถมองเห็นและหยิบไดเ้ อง ทั้งน้เี พ่ือ กระตุ้นให้เดก็ อยากทากจิ กรรมและรู้สึกมีอิสระในการทา 1.5 ครูควรเปิดโอกาสให้ด็กได้ช่วยเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เช่น ช่วยผสมสี นวด ดนิ นา้ มัน 1.6 ก่อนทากิจกรรมครูต้องอธิบายวิธีใช้วัสดุท่ีถูกต้องให้เด็กทราบ พร้อม ทั้งสาธิต ให้จนเข้าใจ เช่น การใช้พู่กันหรือกาว จะต้องปาดพู่กันหรือกาวนั้นกับภาชนะท่ีใส่ เพื่อ ไมใ่ หก้ าวและสเี ลอะเทอะ 1.7 จัดกิจกรรมไว้หลาย ๆ กิจกรรม เพื่อให้เด็กมีอิสระในการเลือกทาใน สิ่งท่ีตน พอใจ 2. ขน้ั ดาเนนิ กิจกรรม 2.1 จัดกิจกรรมภายใต้บรรยากาศของความรัก ความอบอุ่น และเป็นกันเอง จะ ทาให้เดก็ เกิดความรู้สกึ ปลอดภัย ได้รับการคุ้มครองป้องกันและส่งผลให้เกิดความเช่อื ม่ันใน ตนเอง และกลา้ แสดงออกในทส่ี ุด 2.2 ดแู ลเด็กให้สร้างสรรคผ์ ลงานด้วยความพยายามของตนเอง กล้าคิด และ กล้า ตดั สนิ ใจทจี่ ะทา 2.3 ควรกระตุ้นให้เด็กรู้จักคิดเมื่อพบปัญญา เช่น พบว่าเด็กวาดภาพรถยนต์ ไม่มี ล้อ แทนที่ครูจะบอกให้เด็กเติมล้อ ครูอาจใช้คาถามว่า “รถคันน้ีแล่นได้อย่างไร” เพราะ การ ถามเช่นนี้จะทาให้เด็กคดิ และเกดิ ความเชือ่ มน่ั ท่ีพบคาตอบเอง 3. ขน้ั หลังดาเนนิ กจิ กรรม
30 3.1 ครูเก็บผลงานทุกครงั้ ไว้ในกลอ่ งเก็บผลงานของเดก็ แตล่ ะคน เขยี นชื่อ นักเรียน ผู้เป็นเจ้าของให้มีขนาดอักษรสูงประมาณ 1 เซนติเมตร (ไม่ต้องเขียนนามสกุล) ใน ระยะแรกตอ้ งมีเคร่ืองหมายประจาตวั เด็กตดิ คู่กันด้วย 3.2 เม่ือถึงวันสุดสัปดาหห์ รือสองสปั ดาห์หรือสิ้นเดือน ครูควรฝากผลงาน กระดาษ ไปให้ผู้ปกครองดูบ้าง เพื่อทราบพัฒนาการของบุตรหลาน ส่วนผลงานอื่น ๆ เช่น การ ประดษิ ฐเ์ ศษวัสดุ การรอ้ ย อาจให้เด็กนากลับในวันท่ีสะดวก 3.3 ครูควรประเมนิ ผลตัวผเู้ รยี น โดยสงั เกตสิ่งต่อไปนี้ 1) การควบคุมกล้ามเน้ือเลก็ กล้ามเนอ้ื ใหญ่ และการประสานสัมพันธ์ ระหว่างมือ กับตา 2) ความแปลกใหม่กว่าผลงานเดมิ ไม่ลอกเลียนแบบผู้อื่น 3) ภาพวาดของเดก็ เหมาะสมกบั วัยหรอื ไม่ 4) ความม่ันใจในตนเองและความมีคุณธรรม เชน่ ความรับผิดชอบ การแบ่งปัน การรอคอย เปน็ ต้น 3.งานวจิ ยั ท่ีเกีย่ วข้อง ผกาการต์ น้อยเนียม.(2556). ความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือมัดเล็กของเด็กอายุ 4-5 ปี ท่ี ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปสร้างสรรค์ด้วย ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ของเดก็ อายุ 4-5 ปี หลังจากไดร้ ับการจดั กจิ กรรมศิลปสร้างสรรค์ดว้ ยดินโดยภาพรวม อยใู่ นระดับดี มี นยั สาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 สรุปว่าการจัดกจิ กรรมศิลปสร้างสรรค์ด้วยดินส่งเสริม ใหเ้ ด็กอายุ 4-5 ปีมคี วามสามารถในการใช้กล้ามเนอ้ื มัดเลก็ สูงขึ้น รวิพร ผาด่าน.(2557).ความสามรารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมศิลปสร้างสรรค์การฉีก ตัด ปะเศษวัสดุ ผลการวิจัยพบว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม ศิลปสร้างสรรค์การฉีก ตัด ปะเศษวัสดุ มีความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กหลังการทดลองอยู่ ในระดบั ดี ซ่ึงสงู กว่าก่อนทดลองอยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิตทรี่ ะดับ .01 นางหทัยรัตน์ สงสม.(2556: บทความ) ผลการใช้ชุดการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อพัฒนา กลา้ มเนอื้ มดั เลก็ ของเดก็ ปฐมวยั ปีที่ 2 โรงเรยี นเทศบาล ๕(บ้านตลาดเก่า) ผลการวจิ ยั พบว่า 1.ชดุ การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์เพ่ือพัฒนากล้ามเน้ือมัดเล็กของเด็กปฐมวัยปีที่ 2 โรงเรยี นเทศบาล ๕ (บ้านตลาดเก่า) เทศบาลนครยลา อาเภอเมือง จังหวัดยะลา ปีการศึกษา 2556 มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ที่กาหนด 80/80 กล่าวคือ ชุดการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อพัฒนากล้ามเน้ือมัดเล็ก มี ประสทิ ธภิ าพ 91.53/93.71 2.เด็กที่ได้รับการจัดประสบการณ์โดยใช้ชุดการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กมี การพัฒนากล้ามเน้ือมัดเล็กแตกต่างจาก่อนการจัดประสบการณ์โดยใช้ชุดการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ เพ่ือพฒั นากลา้ มเนื้อมัดเลก็ อยา่ งมีนัยสาคยั ทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .05 ญาณิศา บญุ พมิ พ์. (2555). การสง่ เสรมิ พฒั นาการทางด้านกลา้ มเนือ้ เล็กของเด็กปฐมวยั โดยใช้
31 กิจกรรมประกอบอาหารประเภทขนมไทย.ผลการวิจัยพบว่า พัฒนาการด้านกล้ามเน้ือเล็กของเด็ก ปฐมวัยสัปดาห์ก่อนการทดลองและตลอดช่วงการทดลองสัปดาห์ที่ 1 – 8 มีค่าเฉลี่ยโดยรวมแตกต่าง กันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ.01 ( F = 2242.935) และมีการเปล่ียนแปลงเพิ่มข้ึนอย่างมี นัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ.01ทุกช่วงสัปดาห์ส่วนพัฒนาการรายด้านคือ ด้านความคล่องแคล่ว ( F =1047.886) ด้านความยืดหยุ่น( F = 900.357) ด้านความถูกต้องและความสามารถในการควบคุม ( F = 749.117) ดา้ นการประสานกนั ( F =826.550) และดา้ นการรับรโู้ ดยใช้การสมั ผสั ( F =751.067) แตกต่างกนั อย่างมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ.01 แต่มกี ารเปลยี่ นแปลงเพิม่ ขนึ้ บางชว่ งสัปดาห์ โดยการ จัดกิจกรรมประกอบอาหารประเภทขนมไทยส่งผลต่อพัฒนาการด้านกล้ามเน้ือเล็กโดยรวมร้อยละ 99.4(Partialη 2 = .994) แ ล ะ ส่ ง ผ ล ต่ อ พั ฒ น า ก า ร ด้ า น ก ล้ า ม เ นื้ อ เ ล็ ก ร า ย ด้ า น ร้ อ ย ล ะ 98.7,98.5,98.2,98.3,และ 98.2 ตามลาดับ สรุปว่าการจัดกิจกรรมประกอบอาหารประเภทขนมไทย สง่ ผลตอ่ การสง่ เสริมพัฒนาการดา้ นกลา้ มเนอื้ เลก็ ของเด็กปฐมวยั ให้เพม่ิ ขึน้ อย่างชดั เจน คาวัง สมสุวรรณ (2551: 74)ได้ศึกษาพัฒนาการด้านกลา้ มเนื้อเลก็ ของเด็กปฐมวยั ทไี่ ด้รับการ จัดกิจกรรมการป้ันดิน ผลการศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัยก่อนการจัดกิจกรรมและหลังการจัดกิจกรรม การปั้นดินในแต่ละช่วงสัปดาห์มีพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อเล็กโดยเฉลี่ยรวมแตกต่างกันอย่างมี นยั สาคัญทางสถิติท่ีระดบั p<.05 และ เด็กปฐมวยั ท่ีได้รับการจดั กจิ กรรมการปนั้ ดินมีการเปลี่ยนแปลง และความแตกต่างของคะแนนพัฒนาการด้านกล้ามเน้ือเล็กโดยเฉลี่ยรวมและแยกเป็นรายด้านก่อน การจัดกิจกรรมและหลังการจัดกิจกรรมในแต่ละช่วงสัปดาห์แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ระดับ p < .05 โดยเด็กปฐมวัยพฒั นาการด้านกล้ามเน้ือเล็กโดยเฉลย่ี รวมและ แยกเปน็ รายด้านหลัง การจัดกจิ กรรมในแตล่ ะช่วงสัปดาห์สูงกวา่ ก่อนการจัดกจิ กรรม จากเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก สรุปได้ว่า ความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือมัดเล็ก ของกล้ามเนื้อมือ นิ้วมือ และการประสานสัมพันระหว่างมือ กบั ตา เปน็ พนื้ ฐานสาคัญในชีวติ ประจาวัน และการทากิจกรรมต่างๆเพื่อพัฒนาความพรอ้ มให้เดก็ เกิด การเรียนรู้มีรูปแบบและวิธีการท่ีหลากหลายสามารถพัฒนาเด็กได้หลายด้าน และบทบาทครูมีส่วน สาคัญที่จะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ตามเป้าหมายของการจัดกิจกรรมน้ันๆ ซึ่งประสบการณ์เหล่านั้น เป็นองค์ประกอบสาคัญที่ส่งผลทาให้เด็กเกิดความพร้อมทุกด้านเป็นพ้ืนฐานของการศึกษาในระดับ ตอ่ ไป
32 กรอบแนวคิดงานวจิ ยั ความสามารถกลา้ มเนือ้ มือมัดเล็ก กจิ กรรมศิลปะสรา้ งสรรค์ - ด้านความคลอ่ งแคล่วในการใช้กล้ามเนื้อ แผนภาพท่ี 2.1 กรอบแนวคิดงานวิจยั มดั เล็ก - ด้านความยืดหยุ่นในการใช้กลา้ มเน้อื มัด เล็ก - ด้านความสามารถในการใช้กลา้ มเน้ือมัด เลก็ - ด้านการประสานสัมพนั ธร์ ะหว่างมือกับ ตาในการใช้กล้ามเนือ้ มดั เล็ก
Search
Read the Text Version
- 1 - 29
Pages: