Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การตีความและการประเมินคุณสาร

การตีความและการประเมินคุณสาร

Published by MheemiChannel, 2022-08-22 03:11:12

Description: การตีความและการประเมินคุณสาร

Search

Read the Text Version

การตีความและการประเมิน คุณค่าสาร

GEN 101 วิชาภาษา ไทยเพื่อการสื่อสาร การตีความและการประเมินคุณสาร เสนอ อาจารย์ปรภัสร์ มาสะอาด

คำนำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาGEN101 ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร ที่รวบรวมหนังสือที่ได้รับรางวัลซี ไรต์ประเภทนวนิยายจำนวน 11 เรื่องได้แก่เรื่อง ลับแลแก่งคอย,ช่างสำราญ,คำพิพากษา,เวลา,ตลิ่งสูงซุง หนัก,อมตะ,ปูนปิดทอง,ลูกอีสาน,ความสุขของกระทิ,พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบ ดำ,ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน มาทำการตีความและประเมินคุณสาร เพื่อสรุปและนำมาทำเป็น E-BOOK เล่มนี้ ทางคณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับผู้ที่สนใจนวนิยายเรื่องต่างๆข้างต้น และหากมีข้อผิดพลาดประการใดทางคณะผู้จัดทำต้องขออภัยมา ณ ที่แห่งนี้ด้วย สารบัญ

สารบัญ 05-07 ลับแล แก่งคอย 08-10 11-13 ช่างสำราญ 14-16 คำพิพากษา เวลา 17-19 ตลิ่งสูง ซุงหนัก 20-22 อมตะ 23-25 ปูนปิดทอง ลูกอีสาน 26-28 ความสุขของกะทิ 29-31 พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำ ของแมวกุหลาบดำ 32-34 ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน 35-37 39 บรรณานุกรม

ลับแล แก่งคอย อุเทศ เหมะมูล ปีที่ตีพิมพ์ : พ.ศ. ๒๕๕๒ สำนักพิมพ์ : แพรวสำนัก

ตีความตามเนื้อหา : ผู้เขียนได้นำประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็กของตนมาผสมผสานกับเหตุการณ์สมมติ โดย พื้นเพและภูมิลำเนาเดิมเขาเกิดที่อำเภอแก่งคอย แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับอำเภอลับแลแต่อย่างใด ตีความตามน้ำเสียง : อุเทศ เหมะมูล เล่าด้วยน้ำเสียงที่ลึกซึ้งทำให้เห็นภาพหรือจินตนาการตาม ตัวบท : เริ่มจากตัวละครเอกของเรื่องคือ ลับแล เป็นผู้เล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่รุ่นปู่ย่า พ่อแม่ จนถึงชีวิต ของ ตนเอง โดยเล่าเริ่มจาก ปีใหม่ พ่อของลับแล เป็นลูกชายคนโต ซึ่งปู่กับย่าอพยพมาจากจีน และได้ มาทำงานเป็น คนสวน ต่อมาเมื่อปู่เสียชีวิตไป พ่อก็ต้องกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวคอยเลี้ยงดูผู้เป็นแม่และน้องๆ พ่อได้ไป ทำงานในโรงงานปูนซีเมนต์ที่อำเภอแก่งคอย ด้วยความพยายามและความอดทนทำให้พ่อ มีฐานะที่ดีขึ้น จนวัน หนึ่งพ่อได้พบกับลออ ทั้งสองมีลูกชายหนึ่งคนชื่อ แก่งคอย หลังจากคลอดไม่นาน ลออก็เสียชีวิต ทำให้พ่อโศก เศร้าเสียใจมาก จนมีทิพย์เข้ามาดูแลแก่งคอยแทน ความใกล้ชิดระหว่างพ่อกับทิพย์ทำให้ทั้งสองได้เป็นสามีภรรยา กันโดยมีลูกชายอีกคนชื่อ ลับแล ทั้งสองชอบไปเล่นในป่าด้วยกัน แก่งคอยพี่ชายของลับแลเป็นคนที่ชอบงาน ศิลปะมาก แต่พ่อไม่สนับสนุนให้เขาเรียน เขาเลยหนีออกจากบ้านไปแอบเรียนด้วยตนเองและเมื่อกลับมาก็สร้าง แต่ปัญหาต่างๆที่ทำให้ครอบครัวเดือดร้อนจนลับแลทนไม่ไหวเลยฆ่าแก่งคอย ต่อมาเมื่อพ่อเสียชีวิต เหลือแต่แม่ กับลับแลสองคน จนวันหนึ่งแม่ก็มีสามีใหม่และพาลับแลไปอยู่ที่วัดกับหลวงพ่อด้วยเหตุที่ว่าลับแลดูเปลี่ยนไปชอบ ทำอะไรแปลกๆคล้ายถูกผีเข้า ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้ลับแลก็ได้เล่าให้หลวงพ่อฟัง แต่สุดท้ายเมื่อถึงวันที่แม่มาหาลับแล และแม่ก็ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดที่ลับแลเล่าไป แม่จึงบอกว่าเรื่องที่ลับแลเล่านั้นเป็นเรื่องโกหก โดยแม่ก็เล่าความจริง ว่า แก่งคอย นั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุ ๕ ขวบแล้วด้วยโรคบาดทะยัก ส่วนลับแลนั้นเมื่อก่อนเป็นเด็กดี เชื่อฟังพ่อ แม่ ชอบงานศิลปะ แต่พ่อไม่ให้เรียนจนหนีออกจากบ้าน หลังจากพ่อเสียชีวิตก็กลับมาด้วยพฤติกรรมที่เปลี่ยน ไป ชอบสร้างปัญหา ทำอะไรแปลกๆคล้ายถูกผีเข้า เลยเอามาให้หลวงพ่อช่วยทำพิธีไล่ผีออกจากร่างของลับแล หลังจากที่หลวงพ่อทำพิธีก็ได้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในร่างของลับแลก็คือ แก่งคอยพี่ชายของเขานั่นเอง

บริบท : ประสบการณ์ชีวิตสามชั่วอายุคน แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมจากอดีตสู่ปัจจุบัน รวมทั้ง วัฒนธรรม ความเชื่อ และการกระทำทั้งด้านดีและไม่ดี ทั้งด้านที่เป็นความจริงและด้านที่เป็นความลวง เรื่องราว ระหว่างความจริงกับความลวงที่เราสามารถเลือกได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น โดยในเรื่องนั้นได้ซ่อนความลวง เอาไว้อย่างแยบยล จนไม่สามารถแยกออกจากเรื่องจริงได้ นั่นคือถูกกลวิธีในการเล่นลวงให้ผู้อ่านเข้าใจว่าแก่งคอย มีตัวตนจริง การสื่อสาร : วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ วิเคราะห์ : เล่าเรื่องชีวิตเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งที่ในชีวิตจริงเขาถูกอำนาจแห่ง \"ความถูกต้อง\" ควบคุมเอาไว้โดยไม่รู้ ตัว ความคิด และการดำเนินชีวิตที่ถูกกำหนดไว้นั้นมีพลังอำนาจเกินกว่าจะขัดขืน ทางออกของเขาที่ดูเหมือนว่ามี อยู่เพียงทางเดียวนั้นก็คือ การสร้างตัวตนลวงอีกคนหนึ่งขึ้นมา จนเกือบจะนำไปสู่การแตกสลายของตัวตน ซึ่งเป็น ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ วิพากษ์ : เป็นการเล่าถึงปัจจุบันก่อนแล้วจึงเท้าความกลับหาอดีต โดยดำเนินเรื่องจากการถามของเจ้าอาวาสที่นำ ไปสู่เรื่องเล่าแบบย้อนกลับหาอดีต ซึ่งดูน่าสนใจมาก วิจารณ์ : จากเรื่องผู้แต่งแต่งเรื่องได้ดีและสามารถลวงให้ผู้อ่านคล้อยตามได้จริง ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถดี มาก ในส่วนของผู้สรุปเองก็มีการสรุปและเล่าได้ชัดเจน ทั้งในเรื่องของเรื่องย่อ การดำเนินเรื่อง แก่นเรื่อง มีการพูด ถึงรายละเอียดของตัวละคร ที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้น รวมถึงกล่าวถึงคุณค่าด้านต่างๆของเรื่องได้อย่างสร้างสรรค์ คุณค่าด้านแนวคิด : สามารถนำแนวคิดไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ในเรื่องของการดำเนินชีวิตด้วยหลักธรรมต่างๆ เพราะหลักธรรม เปรียบเสมือนคำสอนหรือเครื่องเตือนใจ เตือนสติในการแก้ไขปัญหาต่างๆได้

ช่างสำราญ เดือนวาด พิมวนา ปีที่ตีพิมพ์ : พ.ศ. ๒๕๔๖ สำนักพิมพ์ : สามัญชน

ตีความตามเนื้อหา : เรื่องราวในหนังสือ ช่างสำราญ นี้ถูกนำเสนอผ่านตัวละครที่ชื่อว่า เด็กชายกำพล ช่างสำราญ ที่อายุเพิ่ง ๕ ขวบเอง เด็กชายผู้ที่ต้องประสบกับปัญหาครอบครัวตั้งแต่ยังเล็ก โดยที่ตัวเขาไม่ได้เป็นผู้สร้างปัญหาดังกล่าวขึ้น เขาเองก็ไม่รู้เลยว่าทำไมพ่อแม่ของ เขาถึงต้องทะเลาะกัน แม่ของเด็กชายกำพล ช่างสำราญ ทิ้งเขาไปมีสามีใหม่ ในขณะที่คุณพ่อของเขาก็ไม่มีปัญญาที่จะเช่าห้องพักต่อ คุณ พ่อของเขาจึงจำเป็นต้องบอกเลิกห้องเช่าเนื่องด้วยปัญหาความยากจน ความที่ไม่มีเงิน โดยที่คุณพ่อของเด็กชายกำพล ช่างสำราญจำใจ ต้องทิ้งลูกชายของเขาไว้กับเพื่อนบ้านในละแวกห้องเช่านั้นเอง เด็กชายกำพล ช่างสำราญ จึงจำเป็นต้องใช้ชีวิตในช่วงวัยกำลังเติบโตโดยเป็นผู้ขออาศัยอยู่ตามบ้านของเพื่อนบ้านต่าง ๆ อย่างน่าสงสารมาก ๆ ตีความตามน้ำเสียง : เล่าด้วยภาษาเขียนที่ลึกซึ้งทำให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการ ตัวบท : เด็กชายกำพล ช่างสำราญ เด็กชายที่ถูกทอดทิ้งเพราะแม่มีชู้และพ่อก็มีภรรยาใหม่เขาถูกทิ้งให้อยู่ภายใต้การอุปการะของเพื่อน บ้านในชุมชนห้องแถวของแม่ทองจันทร์เด็กชายรอคอยการกลับมาของพ่อและแม่อย่างไม่มีทีสิ้นสุดในระหว่างนั้นเขาต้องพบกับความรู้สึก ที่ถูกละเลย หลงลืมความน้อยเนื้อต่ำใจในชะตากรรมของน้อง แม้การที่เขาไม่มีพ่อและแม่คอยดูแลจะทำให้เขามีเสรีภาพไปไหนมาไหนได้ ไม่มีใครสนใจ แต่อีกด้านหนึ่งเขาก็รู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกินเด็กชายกำพลต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น เรียนรู้ประสบการณ์การเล่นใน กลุ่มเพื่อน รู้จักกับความขัดแย้งและเรียนรู้กับความซับซ้อนในโลกของผู้ใหญ่ ในเรื่องนั้นเป็นการเล่าเรื่องราวจากความไร้เดียงสาของเด็ก บันทึกชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่มีฐานะยากจน มีบรรยากาศของงานศพ งานแต่ง งานบุญ และมหรสพต่าง ๆ บริบท : ผู้เขียนกลับเลือกเสนอให้เห็นระบบความสัมพันธ์ อันสะท้อนถึงเยื่อใยไมตรีที่นับเป็นพลังเชิงบวกมากกว่า ราวกับจะสื่อว่า.. แท้ แล้วการดำรงอยู่ของผู้คน ถึงแม้จะมีอุปสรรคขวางกั้น แต่มันก็จะสามารถดำเนินไปได้เสมอหากมนุษย์เราไม่อัตคัดน้ำจิตน้ำใจแก่เพื่อน ร่วมสายพันธ์ เรื่องราวใน \"ช่างสำราญ\" พร้อมจะประทับแน่นอยู่ในซอกหลืบแห่งความทรงจำของผู้อ่านไม่รู้สิ้น โดยเฉพาะในยามถวิลหา \"แง่งามความดี\" ที่มนุษย์เราพึงมีต่อกัน

การสื่อสาร :วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ วิเคราะห์ : หนังสือช่างสำราญเป็นวรรณกรรมที่เป็นการเขียนในลักษณะของเรื่องสั้นเป็นตอน ๆ ที่นำเสนออย่างต่อเนื่อง เรื่องราวในหนังสือช่างสำราญนี้ เป็นการนำเสนอผ่านตัวละครเด็กที่ชื่อ กำพล เด็กน้อยผู้ที่ต้องประสบพบเจอกับปัญหา ต่างๆ มากมายอาทิเช่น สภาพครอบครัวความเป็นอยู่ ความรุนแรง การพนัน การเอารัดเอาเปรียบ ปัญหาด้านการศึกษา และความยากจนที่เด็กอย่างเขาต้องเจอ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนปัญหาสังคมที่เริ่มจากจุดเล็ก ๆ ในสังคมคือสถาบัน ครอบครัวเมื่อครอบครัวแตกแยกพ่อแม่ทิ้งลูกให้กลายเป็นเด็กกำพร้าและเด็กกลายเป็นความรับผิดชอบของคนในสังคมใน ชีวิตของเด็กและความไร้เดียงสาก็ยังมีความหวังและยังคงเฝ้ารอคอยพ่อแม่ให้กลับมาหาเด็กชายกำพลใช้ชีวิตอย่างไม่มี ใครมาบงการหรือถูกบังคับ แต่เด็กชายกำพลก็ไม่มีความสุขเท่ากับครั้งที่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูกเขามีความรู้สึก น้อยเนื้อต่ำใจจากการถูกทอดทิ้งและถูกละเลยนอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงปัญหาสังคมของเด็กที่ขาดครอบครัวดูแลใน สมัยนี้ได้ดีอีกด้วย วิพากษ์ : ลักษณะเด่นของเรื่องช่างสำราญคือสามารถอ่านแยกเป็นตอน ๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องอ่านต่อกันจนจบ เพราะ แต่ละตอนรวบรัดจบสมบูรณ์เป็นเอกเทศในแต่ละตอนแล้ว“ ช่างสำราญจึงเป็นเหมือนกับการรวมเรื่องสั้นมากกว่าที่จะ เป็นนวนิยายเพราะในความเป็นนวนิยาย“ ช่างสำราญ” ไม่มีโครงเรื่องที่เด่นชัดมี แต่โครงเรื่องรองที่ร้อยเรียงเข้าด้วยกัน ขาดการเรียงลำดับของเนื้อเรื่องเหตุการณ์ทั้งหมดจึงไม่มีจุดหมายอื่นใดร่วมกันนอกจากการรอคอยอย่างไม่สิ้นสุดของกำ พลตอนจบของ“ ช่างสำราญ” เหมือนไม่จบคนอ่านจะรู้สึกเหมือนถูกทิ้งเช่นเดียวกับชีวิตของเด็กชายกำพลที่หมดความ หวังไปเรื่อย ๆ ในสิ่งที่รอ วิจารณ์ : การใช้ลักษณะของความเป็น tragicomedy มาเล่าเรื่องราวของกำพลนั้น ทำให้จุดมุ่งหมายของผู้เขียนในความ ต้องการที่จะนำเสนอชีวิตของเด็กที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง ที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “ปัญหาสังคม” อย่างหนึ่ง นั้นถูกนำเสนอออก มาในบรรยากาศที่ไม่เคร่งเครียดและบีบคั้นจนเกินไปได้เป็นผลสำเร็จ วิธีการนำเสนอเรื่องแบบนี้ประสบความสำเร็จในแง่ ที่ทำให้นวนิยายเรื่องนี้มีความแตกต่างไปจากงานเขียนอื่นที่มักจะบอกเล่าเรื่องราวของปัญหาแบบ “กำพล” นี้ด้วยน้ำ เสียงที่สมจริงและจริงจัง ซึ่งอาจทำให้เนื้อหาของงานวรรณกรรมมีลักษณะของความเป็นข่าวและบทความทาง หนังสือพิมพ์และด้วยความเป็นจริงที่ว่าปัญหาแบบนี้มีอยู่มากมายไม่เพียงแต่ในสังคมไทยเท่านั้น คุณค่าทางวรรณศิลป์ : การเล่าเรื่องราวจากความไร้เดียงสาของเด็ก บันทึกชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่มีฐานะยากจน มี บรรยากาศของงานศพ งานแต่ง งานบุญ และมหรสพต่าง ๆ คุณค่าทางแนวคิด : เนื้อเรื่องสะท้อนสังคมได้ดี ทำให้คนอ่านได้เห็นสภาพสังคมได้อย่างเห็นได้ชัด

คำพิพากษา ชาติ กอบจิตติ ปีที่ตีพิมพ์ : พ.ศ. ๒๕๒๕ สำนักพิมพ์ : ต้นหมาก

ตีความตามเนื้อหา : เพราะสังคมทำให้เขาเป็นคนเลว โดยที่เขายังไม่ได้กระทำผิดอะไรเลย เป็นเเค่เรื่องเข้าใจผิดที่สังคมไม่คิดจะหาความ ถูกต้อง ตีความตามน้ำเสียง : ชาติ กอบกิตติ เล่าโดยใช้คำบรรยายที่แสดงถึงความโกรธและเสียใจเเละถ้อยคำที่ไม่ซับซ้อนทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย ตัวบท : เป็นเรื่องราวของภารโรงที่ชื่อว่า”ฟัก” ที่โรงเรียนเล็กๆ ภายในตำบลหนึ่ง ฟักเป็นคนดี เเละฟักมักช่วยเหลือ คนอื่นเสมอ เเต่จุดเริ่ม ต้นที่ทำให้ฟักได้พบเจอกับคำว่า “พิพากษา” เริ่มจาก พ่อของฟักได้เสียชีวิตลง เเล้วฟักก็ได้สืบทอดหน้าที่ภารโรงต่อจากพ่อของเขา เเล้ว ฟักจะต้องอยู่กับภรรยาของพ่อของเขา เหตุการณ์เลวร้ายลงเมื่อนางสมทรงเมียที่จิตไม่ปกติของพ่ออยู่ๆก็ไปประกาศต่อหน้าคนมากมายว่า ฟักคือผัวตน เเละชาวบ้านก็เลือกที่จะเชื่อ ว่าฟักเป็นทำจริงๆ ไม่ว่าฟักจะเเก้ตัวยังไง ก็ไม่มีใครเชื่อ เเละนางสมทรงมักหาเรื่องมาให้ฟักอยู่ เรื่อยๆ ชีวิตเขาจึงมีแต่ปัญหาแวะเวียนมาตลอดจนไม่มีใครอยากจ้างเขาทำงาน ด้วยความโศกเศร้าน้อยใจ ฟักจึงเผลอกินเหล้าที่สัปเหร่อให้ เข้าไปเป็นจำนวนมาก จนเมาไม่รู้เรื่อง ทำให้สัปเหร่อต้องเดินไปส่งถึงบ้าน ฟักรู้สึกติดใจอาการมึนเมาของเหล้าจึงอยากทำอะไรก็ทำ เหล้า มอบความกล้าให้แก่เขาทุกวัน ชายหนุ่มจึงอยู่แต่กับเหล้า ทุกคนมองฟักในเเง่ลบมากขื้น เเละฟักได้ไปเอาเงินที่เขาฝากกับครูใหญ่ใว้ เเต่ครู ใหญ่ปฏิเสธที่จะให้ทั้งๆที่เป็นเงินของฟักเอง ฟักจึงโมโหเเละประกาศให้ทุกคนรู้ว่าครูใหญ่โกงเขา เเต่กลับไม่มีใครเชื่อเขาเเล้วยังโดนจับเข้า คุกอีก เเละครูใหญ่อยากจะเอาหน้าโดยการนำฟักออกมาจากคุก เเลกด้วยกับการก้มกราบ เเละฟักก็ได้ออกมา เเต่ฟักก็ตรอมใจตายด้วยพิษ เหล้าในที่สุด บริบท : เนื้อเรื่องหลัก: คือสังคมที่ตัดสินคน โดยไม่คิดจะรับฟัง โครงเรื่อง: เต็มไปด้วยเเนวคิด เเละเน้นถึงความสำคัญของเหตุการณ์ การพลิกผันของชีวิต โดยให้ตัวละครเอกเป็นผู้ถูกกระทำเเละ ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ตัวละคร: ฟัก(เป็นตัวเอกของเรื่อง) นางสมทรง(เมียของพ่อฟัก) ที่ทำให้ฟักต้องเจอกับปัญหาต่างๆ

การสื่อสาร :วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ วิเคราะห์ : เนื่องจากชีวิตของภารโรงผู้นี้ได้ถูกทำร้ายโดยสาเหตุจากการกระทำความดีของเขาเอง นวนิยายเรื่องคำ พิพากษา จึงเป็นการเสนอเรื่องราวแนวคิดของคนที่อยู่ตัวคนเดียว ที่มักตกเป็นเหยื่อของความเชื่อ และคำตัดสิน ของ สังคมไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม ส่งผลให้คนๆนั้นต้องอ้างว้างโดดเดี่ยวทุกข์ทรมาน ทั้งร่างกายและจิตใจ ผู้เขียนได้สร้างเรื่องราวโดยใช้สังคมชนบทของไทยเป็นฉากมีตัวละครชื่อ “ฟัก” เป็นตัวเอกของเรื่อง ปัญหารุมเร้าฟัก มากมายจนดิ้นไม่หลุด เมื่อไม่มีทางออกจึงหนีจากโลกของความเป็นจริง สร้างโลกใหม่ที่เขาหลงคิดว่าเป็นหนทางออกไปสู่ อิสรภาพ ท้ายที่สุดเขาได้รับอิสรภาพที่แท้จริงนั่นคือความตาย วิจารณ์ : เป็นเรื่องราวที่อาจจะเกิดขึ้นได้จริงในหลายๆ สังคม คนดีบางครั้งก็ใช่ว่าจะได้รับแต่สิ่งดีๆ หากฟักไม่ยึดติดใน ความดีจนเกินไป ก็อาจจะไม่ตกอยู่ในสภาพนี้ หรือไม่ก็หนีไปเริ่มต้นใหม่ที่อื่น แต่เพราะความยึดติด ความยึดมั่นถือของตัว ฟักเอง ประกอบกับรักในบ้านเกิด จึงมีจุดจบที่ไม่ดีสักเท่าใหร่ วิพากษ์ : นวนิยายเรื่องนี้ ยังสอนให้เราไม่ไปเผลอตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่ได้เห็นหรือได้ยิน เพราะเพียงเรามองเขาผิดไป นั่น อาจกระทบต่อชีวิตของเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ต้องมองหาข้อเท็จจริง อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ เพราะการเผลอไปตัดสินใคร คนหนึ่งเพียงผิวเผินไม่ใช่สิ่งที่ดี คุณค่าทางวรรณศิลป์ :เป็นนวนิยายปลุกเร้าและกระตุ้นเตือนสำนึกทางสังคมของผู้อ่านในระดับลึก ส่งผลให้คำพิพากษา ได้รับเสียงตอบรับอย่างยาวนาน ปลุกกระแสการวิจารณ์วรรณกรรมอย่างต่อเนื่องทั้งยังเคยได้รับการสร้างเป็นละคร โทรทัศน์และภาพยนตร์ คุณค่าด้านแนวคิด : นวนิยายเรื่องคำพิพากษา คงให้แง่คิดที่ดีว่า เราควรต้องกลั่นกรองและใช้วิจารณาญาณถึงทุกเรื่อง ราวในสังคมที่มันเปลี่ยนไป ให้ดีที่สุด อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลของการใช้ความคิด ที่มันอาจทำให้เราได้ไปหลงตัดสิน ใครอย่างเยือกเย็นด้วยอคติที่เรามี โดยแทบจะไม่รู้ถึงความจริงทั้งหมด การเห็นอาจเป็นเพียงแค่แง่มุมเดียวที่ได้รับรู้ แล้ว มันจะก่อให้เกิด “อคติ” ที่จะมาบดบัง ปิดกั้น ถึงมโนธรรมของศักดิ์ความเป็นมนุษย์ออกจากกัน

เวลา ชาติ กอบจิตติ ปีที่ตีพิมพ์ : พ.ศ. ๒๕๓๖ สำนักพิมพ์ : หอน

ตีความตามเนื้อหา : เรื่องเวลาเป็นการดำเนินเรื่องตามลำดับเวลา โดยตัวละครในเรื่องที่เป็นคนดูเป็นผู้เล่าเรื่อง ตัวละครที่เป็นผู้เล่าเรื่อง นั้นเป็นผู้กำกับการแสดง เขาไปนั่งดูละครเวทีเรื่องหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นละครที่น่าเบื่อในรอบปี ซึ่งเรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยฉากและบรรยากาศบน เวทีของละครเวทีที่เขามาดูว่าบนเวทีมีแต่ความมืด ไม่มีเสียงเคลื่อนไหว แล้วก็มีแสงพุ่งมาจับที่นาฬิกาทรงโบราณ มีเสียงนาฬิกา ลูกตุ่ม นาฬิกาแกว่งไปมา นาฬิกาบอกเวลาตีสี่สี่สิบห้านาที และเห็นร่างคนนอนอยู่ มีเสียงตะโกนแห้งๆในความมืดว่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ” ซึ่งเสียงนี้จะดังเป็นระยะๆตลอดเรื่อง แล้วก็เกิดความเงียบขึ้น แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างเชื่องช้าเรื่องราวก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้น ซึ่งเสียงที่ดังเป็น ระยะและความเงียบนี้เป็นการสร้างความสงสัยให้กับผู่อ่านว่าบนเวทีจะเกิดอะไร ซึ่งผู้เขียนต้องการปมปัญหาให้กับผู้อ่าน โดยจากเนื้อเรื่อง ตัวละครผู้เล่าเรื่องนั้นก็บรรยายถึงลักษณะและความรู้สึกต่างๆในการแสดงไปเรื่อยๆจนการแสดงบนเวลาได้ปรากฏขึ้นเป็นเรื่องราวของ สถานสงเคราะห์คนชราในโรงพักฟื้นซึ่งเป็นการดำเนินเรื่องราวของชีวิตคนชราที่อาศัยอยู่ที่นั่น โดยมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้น มีปัญหาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเงินหาย มีการต่อปากต่อคำกับของตัวละคร มีเสียง “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริง” จากห้องปริศนามาเป็นระยะและยังเป็น ปมปริศนาให้กับผู้อ่านเป็นระยะว่าห้องนั้นมีอะไร จนวันหนึ่งที่มีคนมาเลี้ยงข้าวคุณยายที่โรงพักฟื้นจึงทำให้รู้ว่าในห้องนั้นมีอะไร ในเรื่องนี้ ตัวละครที่เล่าเรื่องก็จะนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเวทีมาสะท้อนกับชีวิตตัวเอง ว่าถ้าชีวิตตัวเองเป็นแบบนี้จะทำอย่างไร ถ้าเป็นละครที่ตัวเอง กำกับฉากนี้จะทำอย่างไรให้น่าสนใจ เรื่องราวก็ดำเนินชีวิตของคนชราต่อไปเรื่อยๆ จนมีตัวละครที่เป็นคนชราคนหนึ่งตายซึ่งก็คือตัวละครที่ ชื่อว่ายายอยู่ซึ่งแกตายอย่างสงบซึ่งการตายของตัวละครนี้ก็เป็นทำให้เรื่องราวเดินทางมาถึงจุดจบ เป็นการเฉลยห้องปริศนานั้นให้กับผู้ชมที่ ดูละครเวทีและผู้อ่านได้รู้ว่าในนั้นมีอะไร แต่เมื่อเปิดห้องนั้นดูก็กับไม่พบอะไรเลยกลับเป็นห้องว่างป่าว ไม่มีเครื่องใช้ของใช้ที่ยืนยันว่าเคยมี คนเคยอยู่เลย การจบเรื่องของเรื่องนี้จบแบบให้ผู้อ่านได้คิดเองว่าห้องว่างเปล่านั้นคืออะไร ตีความตามน้ำเสียง : นักเขียนได้เขียนถึงเรื่องราวที่เต็มไปด้วยปมปริศนาต่างๆชวนให้สงสัยและทำให้ผู้อ่านเกิดการคิดตามอยู่ตลอด

ตัวบท : เวลา ใช้วิธีการเล่าเรื่องโดยสมมติให้ผู้อ่านเป็นผู้กำกับภาพยนตร์คนนี้ที่กำลังดูละครเวทีเกี่ยวกับชีวิตคนแก่อยู่ ใน บางช่วงให้ตัวผู้กำกับฯนี้สนทนากับผู้อ่านและตัดสลับกับมุมกล้อง โดยดำเนินเรื่องผ่านช่วงเวลาในแต่ละชั่วโมงตั้งแต่เช้า จนเย็น ตอนจบเป็นการหักมุม โดยเฉลยว่าในห้องกรงที่ดูเหมือนว่ากักขังคนแก่คนหนึ่งที่คอยตะโกนซ้ำ ๆ ซาก ๆ ว่า \"ไม่มี อะไร ไม่มีจริง ๆ\" ก็ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ ในห้องนั้น บริบท : ชายเขียนบทเป็นคนที่ขยันทำงาน ไม่มีเวลาให้ครอบครัว ทำงานทุ่มเทกับงานจนลืมดูแลตัวเองและคนใน ครอบครัวสุดท้ายไม่เหลือใคร อาจจะกล่าวได้ว่าชายเขียนบทเป็นผู้ดำเนินเรื่องหรือเล่าเรื่องนี้ทั้งหมดก็ว่าได้ การสื่อสาร = วิเคราะห์ – วิจารณ์ – วิพากษ์ วิเคราะห์ : ฉากและบรรยากาศมุ่งเน้นการอธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจและมีการใช้นขลิขิตเพื่ออธิบายฉากและบรรยากาศและ กิจกรรมของตัวละคร เป็นงานเขียนซึ่งบรรยายฉากและบรรยากาศได้ดี เมื่อได้อ่านจะทำให้เกิดความรู้สึกดูละครซ้อน ละคร การดำเนินเรื่องตอนต้นหรือตอนเปิดเรื่องใช้การบรรยายให้เห็นถึงฉากและบรรยากาศโดยรอบ พร้อมกับการแสดง ความรู้สึกของผู้ชมละครเวทีและความคิดในการสร้างภาพยนตร์ของตัวละครที่ผู้เขียนสร้างขึ้น ทำให้เกิดงานเขียนที่แสดง ถึงการถ่ายทำภาพยนตร์สลับกันไปมากับบทละครเวทีและเนื้อเรื่องนวนิยาย เช่น การตัดไปตัดมาของภาพนาฬิกา วิจารณ์ : เป็นนิยายเรื่องที่น่าสนใจ เพราะว่า เวลา คนแต่ล่ะคนมีเท่ากัน และก็ใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่าเพราะเราไม่รู้ว่าวัน ข้างหน้าเราจะมีชีวิตอยู่ถึงเมื่อไหร่ วิพากษ์ : เป็นการนำเอาเรื่องของคนสูงอายุซึ่งเป็นเรื่องที่ “น่าเบื่อ” หรือเป็นเรื่องสามัญธรรมดาที่คนทั่วไปมองข้าม นำ มาเล่าได้อย่างมีชีวิตชีวา สะเทือนอารมณ์ และให้แง่คิดทางด้านสัจธรรมแห่งชีวิตด้วยนวัตกรรมการเล่าเรื่องที่ซับซ้อนแต่มี เอกภาพและมีความกลมกลืนกับเนื้อเรื่อง คุณค่าทางวรรณศิลป์ : ใช้คำที่สละสลวย กินใจ อีกทั้งยังมีการใช้โวหารต่างๆ เช่น การบรรยาย การพรรณนา คุณค่าด้านแนวคิด : สามารถนำแนวคิดไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ในเรื่องของการดำเนินชีวิตด้วยหลักธรรมต่างๆ เพราะ หลักธรรม เปรียบเสมือนคำสอนหรือเครื่องเตือนใจ เตือนสติในการแก้ไขปัญหาต่างๆได้

ตลิ่งสูง ซุงหนัก นิคม รายยวา ปีที่ตีพิมพ์ : พ.ศ. ๒๕๒๗ สำนักพิมพ์ : นำอักษรการพิมพ์

ตีความตามเนื้อหา : เป็นเรื่องราวการใช้ชีวิต การดำรงอยู่ การอาศัยพึ่งพิงกับสิ่งธรรมชาติการดำรงอยู่ของคนชนบทที่มีหลากหลายอาชีพ เช่น ควาญช้าง ช้างแกะสลักไม้ หรืออื่นๆ นวนิยายเล่มนี้ สื่อให้เห็นถึงภูมิปัญญาชาวบ้านและการเป็นควาญช้างการเลี้ยงช้างและการ ถนอมช้างการเข้าใจความรู้สึกของช้างเหมือนที่เข้าใจความรู้สึกของคน การให้ความสำคัญกับช้างหรือการให้ความสำคัญกับสัตว์ป่าการช่วย กันตัดไม้แบกซุงในการทำสะพานและเป็นการให้ช้างมาช่วยแบกซุง ในเนื้อหาจะเป็นเรื่องราวชีวิตของคำงายและได้มีลูกเมียและได้รู้ถึงการ เสียลูกจากอุบัติเหตุทางน้ำ และตัวเองก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางซุงและได้สูญเสียช้างที่ตัวเองเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กๆเพราะว่าพ่อของเขาได้ขาย ช้างให้กับคนอื่นและคำงายก็ได้ไปเรียนแกะสลักไม้กับเพื่อนเขา ที่ชื่อบุญฮามและได้แกะสลักไม้เป็นอาชีพต่อมาหลังจากนั้นเขาก็ได้แกะสลัก ช้างตัวใหญ่เพื่อที่จะรักษาคำพูดกับพ่อของเขาว่าถ้าเขาแกะสลักไม้ช้างตัวใหญ่ได้ พ่อของเขาจะซื้อช้างคืนมาให้เขาจนเกิดเป็นเรื่องราวที่ สะท้อนชีวิตของหลายๆคนและให้เห็นถึงมุมที่ไม่มีใครได้เคยเห็น ตีความตามเนื้อเสียง : เป็นการเรียบเรียงโดยใช้คำพูดของคนและบทสนทนาในนั้นเหมือนกับการพูดจริงๆ และใช้น้ำเสียงที่กระชับเหมือน คนสมัยก่อน เป็นภาษาที่อ่านง่ายและเข้าใจถึงแม้จะมีคำที่สั้นแต่ก็เป็นภาษาที่สนุก อ่านแล้วไม่เครียด พอได้อ่านแล้วอยากอ่านต่อจนจบ เทคนิคการใช้ภาษาและการเขียนของหนังสือเล่มนี้ เป็นภาษาที่ค่อนข้างคุ้นหูคุ้นตาน้ำเสียงที่ใช้ในการพิมพ์ใช้ง่าย คนอ่านจะมีอารมณ์ที่ เข้าใจบทที่อ่านและเวลาอ่าน ก็จะรู้สึกว่าเป็นคำพูดจริงๆไม่ใช่การเขียนเฉยๆ เทคนิคการพิมพ์ที่ใช้ในการเลียนเสียงชีวิตจริงจะไม่ใช่ใคร ก็ได้ที่นำมาเขียนแต่ต้องเข้าใจถึงตัวละครบทบาทที่จะเขียนและสมมุติเหตุการณ์ขึ้นมาและเขียนลงไปเพื่อที่จะให้คนอ่านเข้าใจและเข้าถึง มากขึ้น ตัวบท : เรื่องราวของขวัญช้างที่ชื่อคำงายเป็นชาวบ้านชนบทที่ชอบการเลี้ยงช้างและมีช้างเป็นของตนเองและเป็นเรื่องราวของชีวิตตัวเอง ตั้งแต่ยังวัยเด็กจนถึงสิ้นชีวิตชีวิตของช้างหนึ่งตัวมีผลต่อชีวิตของคำงายชีวิตของเขา ขึ้นอยู่กับช้าง ที่ชื่อว่า พลายสุด คำงายเป็นคนเก่งและ เรียนรู้ง่าย และในวันที่ช้างของเขาถูกฆ่าไปโดยพ่อของเขา เขาก็ดิ้นรนที่จะหาเงิน โดยการไปเรียนแกะสลักกับเพื่อนของเขา ที่ชื่อ บุญห้าม หลังจากนั้นเขาก็ได้แต่งงานกับหญิงที่ชื่อมะจัน และมีลูก และได้เสียลูกของเขาไปด้วยอุบัติเหตุทั้งนั้น ตัววเขาก็เสียชีวิตด้วยกับอุบัติเหตุ ใน การลากซุง

บริบท : เนื้อเรื่อง เป็นเรื่องเกี่ยวกับภูมิปัญญาชาวบ้าน และภูมิปัญญาของควาญช้าง ที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการ เลี้ยงสัตว์ป่า การใช้ชีวิตการเอาตัวรอดการดิ้นรน เพื่อสิ่งที่อยากได้และสิ่งที่เคยมีดั้งเดิม การสื่อสาร = วิเคราะห์ – วิจารณ์ – วิพากษ์ วิเคราะห์ : ซุงหนัก หมายถึง การใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และการเจออุปสรรค และนายนิคม ก็ได้ถ่ายทอด ผ่านนวนิยาย ให้เห็นถึง การใช้ชีวิต และถ่ายทอด วัฏจักร วัฒนธรรม การดำรงชีวิต ภูมิปัญญาชาวบ้าน ให้คนอ่านได้เข้าใจ วิจารณ์ : ผู้วิจารใช้ทฤษฎีการตีความ ในการเข้ามาวิจารณ์ โดยการตีความของตัวละครเอก รวมถึงลักษณะต่างๆที่มีผลต่อ ตัวละครที่นำไปสู่แก่นเรื่องได้ วิพากษ์ : องค์ประกอบ ภาษาในการใช้สื่อออกมาเป็นที่เตะตาในการอ่าน ด้วยการเขียนที่กะทักรัดและเข้าใจง่าย การสื่อ เนื้อเรื่องออกมาทำให้ได้ข้อคิดหลายข้อ คุณค่าทางวรรณศิลป์ : ตลิ่งสูง ซูงหนัก แสดงให้เห็นคุณค่าของชีวิต ในชีวิตของมนุษย์เรานั้น เกิดครั้งเดียวและตายครั้ง เดียว แต่สิ่งที่อยู่ตรงกลางนั้น เราจะต้องสร้างขึ้นเอง อยู่ที่ว่า เราจะใช้เวลาส่วนนั้นไปทำอะไร ในบางทีเราอาจจะสตัฟฟ์ สิ่งที่ไม่ชีวิตโดยไม่รู้ตัว จนลืมรักษาสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มีจิตใจ ตัวอย่างเช่น ในบางครั้งนั้น เรามัวสนใจแต่วัตถุ หลงอยู่ใน วัตถุนิยม สนใจแต่ในโลกโซเชียล จนหลงลืมที่จะดูแล เอาใจใส่คนที่อยู่รอบตัวเรา เช่น คุณพ่อ คุณแม่ เป็นต้น คุณค่าด้านแนวคิด : เป็นนวนิยายที่มีคุณค่าทั้งในด่านเนื้อหาและกลวิธีการเล่าเรื่อง โดยเมื่อพิจารณาจากชื่อเรื่องแล้ว จะ เห็นว่ามีความน่าสนใจ และสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง โดยตลิ่งสูงเปรียบได้กับ อุปสรรค ปัญหาต่าง ๆ ที่เราต้องเจอในชีวิต และซุงหนัก เปรียบได้กับ ภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ตัวละครเอกในเรื่องตลิ่งสูง ซุงหนัก

อมตะ ปีที่ตีพิมพว์ิม: ลพ.ไศท.รนิ๒่ม๕น๔ว๓ล สำนักพิมพ์ : สยามประเทศสำนักพิมพ์

ตีความตามเนื้อหา : เป็นนวนิยายที่นำเสนอประเด็นวิวาทะระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีศีลธรรมกับสัญชาตญาณเถื่อน เป็นแก่นหรือแกนหลัก นอกจากนี้ยังมีประเด็นรองหลายประเด็น เช่น ความรักกับความแค้น ธุรกิจการค้ากับความเป็นมนุษย์ การต่อสู้กับ การยอมจำนน อิสรภาพกับการจองจำ ในระดับกายภาพและจิตวิญญาณและอีกหลายประเด็นล้วนแต่ท้าทายการตรวจสอบอย่างยิ่ง ตีความตามน้ำเสียง : ผู้ประพันธ์แสดงเนื้อหาที่จริงจังหนักแน่น แต่ด้วยสไตล์การนำเสนอที่ทันสมัยและเป็นสากล ไม่ซับซ้อนแต่ซ่อนเงื่อน เพื่อความบันเทิงสมดุลและลื่นไหลด้วยภาษาและท่วงทำนองแห่งกวีสวยงามด้วยจินตนาการอันละมุนละไมจึงทำให้นวนิยายเรื่องนี้อ่านสนุก พร้อมกันนี้ผู้อ่านก็จะได้รับสารสัจจะไปด้วย ตัวบท : พรหมินทร์เป็นเจ้าของธุรกิจครบวงจรยักษ์ใหญ่ของประเทศรวมไปถึงฟาร์มสัตว์ โรงพยาบาล และสถาบันวิจัยเกี่ยวกับการโคลน สิ่งมีชีวิตเขาพยายามผลักดันให้รัฐบาลออกกฎหมายที่เอื้อต่อธุรกิจหลายๆ อย่างของเขา หนึ่งในร่างกฎหมายที่เขาพยายามผลักดันมาตั้งแต่ ๒๒ ปีก่อนคือ ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการโคลนนิ่งมนุษย์ เพื่อใช้ในทางการแพทย์และการพาณิชย์ในวาระต่อไป เบื้องต้นเพื่อใช้ตัวโคลนเป็น อะไหล่เปลี่ยนถ่ายอวัยวะเมื่อทรุดโทรมระหว่างที่กฎหมายยังไม่ผ่านเขาอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายทำการโคลนมนุษย์และหนึ่งในนั้นคือ โคลนของเขาเอง ซึ่งเขาเลี้ยงดูมาในฐานะลูกชายคนหนึ่ง ชีวัน เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะภรรยาของเขาซึ่งไม่เห็นด้วยได้ บอกเรื่องนี้กับชีวันซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน หลังจากสับสนและหนีหายไปพักหนึ่งชีวันก็กลับมาด้วยยอมจำนนให้พรหมินทร์ใช้เป็นอะไหล่ด้วย หัวใจที่ห่อเหี่ยวทั้งภรรยาของพรหมินทร์และชีวันต้องได้รับการฟื้นฟูทางจิตโดยได้พบกับอรชุนผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดจิต ก่อนจะรู้ภาย หลังว่าอรชุนคือ โคลนของพรหมินทร์ที่หนีไปและตั้งใจกลับมาเพื่อแก้แค้นและช่วยเหลือ บริบท : ผู้เขียนนำเอาประเด็นความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มาผูกเรื่องและสร้างตัวละครที่เป็นภาพแทนของพระพุทธศาสนาและ วิทยาศาสตร์ กล่าวคือการนำเอาความรู้ทางพระพุทธศาสนามาสอดแทรกในเนื้อหาและการเปรียบทียบความเจริญก้าวหน้าทาง วิทยาศาสตร์ในอนาคตการทำโคลนนิ่งมนุษย์และเปลี่ยนถ่ายอวัยวะเป็นตัวแสดงให้เห็นถึงความรักตัวกลัวตายและสัญชาตญาณแห่งการเอา ตัวรอดอันเป็นธรรมชาติภายในที่ผลักดันให้แสวงหาวิธีการเอาตัวรอดหาความเป็นอมตะในแบบรูปธรรม

การสื่อสาร :วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ วิเคราะห์ : พรหมมินทร์อยากเป็นอมตะโดยใช้วิธีโคลนนิ่งเพื่อจะเปลี่ยนถ่ายอวัยวะกับตัวโคลที่เขาสร้างขึ้นมา ชีวัน เป็น หนึ่งในคนโคลนที่ไต้รับการเลี้ยงดูจากพรหมมินทร์ เมื่อเขารู้ความจริงเรื่องการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะเขาจึงเสียใจมาก แต่ใน อีกด้านหนึ่งอรซุนโคลนอีกคนของพรหมมินทร์เขามีอาชีพเป็นนักจิตบำบัด เขาถูกจ้างมาเพื่อบำบัดศศิประภาภรรยาของ พรหมมินทร์ และบำบัดจิตใจของชีวัน เขาเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักพุทธศาสนา เขารับหน้าที่บำบัดศติประภาและชีวันอย่าง เต็มใจเพราะจริงๆแล้วเขาต้องการที่จะแก้แค้นพรหมมินทร์ที่ไม่รู้จักคุณค่าของชีวิต เมื่อถึงวันที่ชีวันต้องเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ กับพรหมมินทร์ อวัยวะบางส่วนของชีวันจะต้องถูกย้ายไปที่ร่างกายของพรหมมินทร์ อรชุนทราบข่าวจึงขอแลกตัวกับชีวัน พรหมมินทร์ต้องการสมองของอรชุน การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี พรหมมินทร์สามารถเปลี่ยนถ่ายสมองได้สำเร็จ โดยเขาอยู่ ในร่างของอรชุน วิจารณ์ : เป็นนักเขียนที่ตั้งใจสร้างสรรค์งานอย่างมีคุณค่า มีแนวการเขียนหลายแนว ประกอบกับความคิดที่หลากหลาย สามารถแสดงทัศนะในด้านต่าง ๆ ของสังคมปัจจุบันได้อย่างถึงแก่น วิพากษ์ : แม้มี ‘เป้าหมาย’ ทางอุดมคติที่ดี คือต้องการช่วยเหลือคนโคลน แต่ ‘”วิธีการ’ ที่เขาเลือกใช้กลับมีแนวโน้มไป สู่ปัญหาที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งขัดกับหลักการทางศาสนาที่เขาพร่ำสอนอยู่ตลอดทั้งเรื่อง คุณด้านวรรณศิลป์ : เมื่อพิจารณางานทางวรรณกรรมอันเปรียบเสมือนภาพสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของ มนุษย์ในห้วง เวลาหนึ่ง วรรณกรรมเป็นการแสดงความคิดเห็นผ่านภาพแทนคือตัวละคร ทั้งนี้ท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องและก้าวกระโดดวรรณกรรมได้ทำหน้าที่เป็นภาพสะท้อนความเจริญก้าวหน้าทาง วิทยาศาสตร์ผสมผสานกับหลักคิดทางพระพุทธศาสนาโดยนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบคู่ตรงข้าม (Binary Opposition) ระหว่างวิทยาศาสตร์อันเป็นรูปธรรมและศาสนาที่เป็นนามธรรมไต้อย่างน่าฉุกคิดและน่าสนใจ คุณค่าด้านแนวคิด : ความเป็นอมตะในมุมมองทางพระพุทธศาสนาและทางวิทยาศาสตร์ มีความสัมพันธ์กันคือ ไตรลักษณ์ในด้านอนิจจตาในพระพุทธศาสนาและการโคลนนิ่งในด้านวิทยาศาสตร์มอง ความเสื่อมของสังขารด้านร่างกาย ไตรลักษณ์ด้านทุกขตาในพระพุทธศาสนาและการโคลนนิ่งในด้านวิทยาศาสตร์ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของ สังขารมนุษย์ว่าทำให้เกิดความทุกข์และไตรลักษณ์ด้านอนัตตาในพระพุทธศาสนาและการโคลนนิ่งในด้านวิทยาศาสตร์มุ่ง หาวิธีการให้หลุดพ้นจากความทุกข์ โดยตัวบทเน้นในด้านร่างกาย

ปูนปิดทอง ปีที่ตีพิมกพ์ฤ:ษพณ.ศา.อโ๒ศ๕ก๒สิน๘ สำนักพิมพ์ : สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น จำกัด

ตีความตามเนื้อหา : สองเมืองและบาลี ผลพวงจากครอบครัวแตกแยกเขาและเธอมีแผลลึกแม้บัดนี้ความเจ็บปวดจะหายไปแต่ก็ยังทิ้งรอย ให้เห็นอย่างยากจะปกปิด ตีความตามน้ำเสียง : กฤษณา อโศกสินเล่าด้วยเนื้อหาที่ลึกซึ้งเสียใจและมีความหนักแน่น ตัวบท : สองเมือง ชายหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ ผู้เป็นลูกชายคนโตของนายทวีกับนางสายทอง ที่เลิกร้างกันและต่างฝ่ายต่างมีคนใหม่ นายทวี มีเมียอีกสองคนและมีลูกใหม่อีกสองคู่ในขณะที่ผู้เป็นแม่ลงเอยด้วยการเป็นเมียน้อยของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่สร้างบาดแผลอันเจ็บปวดให้กับ สองเมืองในวัยที่ยังเป็นเด็กชายแต่โชคดีที่เขามีอาสาวที่คอยเลี้ยงดูฟูมฟักแม้ไม่อาจเติมเต็มช่องโหว่ในหัวใจ แต่อาก็สามารถทำให้เขาไม่ถึง กับออกนอกลู่นอกทางกับครอบครัวของเพื่อนสนิทที่เข้าใจและเห็นใจ จนรับเขาเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวให้เขาได้มีแหล่งพักพิงยามอ้างว้างกล่อมเกลาให้เขาเป็นชายหนุ่มที่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัว จนมีฐานะทางสังคมที่มั่นคงทว่าฉาบฉวยในเรื่องของความสัมพันธ์เขาคบหากับผู้หญิงแบบรักๆเลิกๆ มาหลายต่อหลายคนจนกระทั่งมาพบ กับบาลี น้องสาวของเพื่อนสนิทที่เคยผูกพันกันมาแต่เล็กแต่น้อย ความที่รู้สึกว่าพวกเขาเป็นคนหัวอกเดียวกันทำให้เขารู้สึกอยากจะหยุดที่ เธอ ฝ่ายนางเอก บาลี เธอก็เป็นผลผลิตของครอบครัวแตกแยกเช่นเดียวกันกับสองเมืองแม่ของเธอไม่ใช่ภรรยาคนแรกของพ่อเธอมีพี่ชาย ต่างแม่ผู้ทนพิษบาดแผล(ทางใจ)ไม่ไหวฝังความเกลียดชังบุพการีไว้จนตัวตายพ่อกับแม่ของเธอใช้ชีวิตคู่เพียงระยะเวลาอันสั้นแม่ทิ้งเธอไป แต่งงานใหม่กับฝรั่งและไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกพ่อแต่งงานใหม่กับผู้หญิงที่อายุมากกว่าเธอไม่กี่ปี มีลูกสาวอีกสองคนตัวอย่างความสัมพันธ์ อันแตกแยกของพ่อกับแม่ทำให้เธอไม่มีศรัทธาต่อการใช้ชีวิตคู่ทั้งๆ ที่เธอหิวความรักแต่เธอก็ไม่เชื่อในความรักเธอคบหาและเลิกรากับชาย หนุ่มหลายคนจนกระทั่งมาพบกับสองเมืองผู้ที่เธอเคยผูกพันสนิทสนมฉันพี่ชาย เธอตัดสินใจที่จะลองใช้ชีวิตคู่กับเขา ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเธอจะยังไม่มีอะไรกับเขาจนกว่าต่างฝ่ายต่างจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายคือคน ที่”ใช่”สำหรับตนเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหากับลูกที่อาจจะเกิดมา

บริบท : สะท้อนความเข้าใจในการดำเนินชีวิต ให้เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ในฐานะพ่อแม่ ที่ต้องรับผิดชอบต่อ ครอบครัว โดยผ่านตัวละครเปรียบเทียบความงดงามและความเลวร้ายของการใช้ชีวิต ให้เกิดความรู้สึกนึกคิดร่วมกันและ เป็นส่วนช่วยกระตุ้นให้ตระหนักถึงการใช้ชีวิตครอบครัว การสื่อสาร-การวิเคราะห์-วิจารณ์-วิพากษ์ การวิเคราะห์ : ผู้อ่านต้องใช้วิจารณญานในการอ่าน คิด วิเคราะห์ตาม แล้วต้องรู้จักแยกแยะที่จะเลือกปฏิบัติตาม ตัวอย่างที่ดีจากตัวละครในเรื่องเพื่อเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิต วิจารณ์ : ผู้วิจารณ์ใช้ทฤษฏีการตีความ ในการเข้ามาวิจารณ์โดยตีความในตัวพระเอกนางเอง รวมทั้งลักษณต่างของตัว ละครนั้นๆ วิพากษ์ : เป็นการเปรียบเทียบระหว่างปูนปิดทองกับสังคมไทยยุคปัจจุบันไว้ได้อย่างน่าสนใจว่างานชิ้นนี้มีทั้งส่วนที่ เหมือนและส่วนที่ต่างก็คือลักษณะร่วม ทั้ง 2 ประเด็นนั้นสำคัญเท่าๆกัน สิ่งที่น่าสนใจก็คือเรื่องของสังคม โดยเฉพาะเรื่อง ของโลกาภิวัฒน์ที่ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คุณค่าทางวรรณศิลป์:ใช้ภาษาน่าอ่าน เล่าเรื่องน่าอ่านและคำพูดสวยงาม คุณค่าด้านแนวคิด : เป็นนวนิยายชีวิตที่หนักหน่วงแต่ก็รู้สึกอิ่มเต็ม คุ้มค่าคุ้มเวลาที่ได้อ่านค่ะมีแง่คิดในการดำเนินชีวิต หลายบทหลายตอนที่อ่านแล้วรู้สึกกระทบใจ

ลูกอีสาน คำพูน บุญทวี ปีที่ตีพิมพ์ : พ.ศ. ๒๕๕๒ สำนักพิมพ์ : สำนักพิมพ์บรรณกิจ

ตีความตามเนื้อหา : เกร็ดชีวิตเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนออกมาเขียน เล่าชีวิตช่วงเด็กในแผ่นดินที่ราบสูงสะท้อนออกมาเป็นเรื่องราวชีวิตชนบท แสดงให้เห็นถึงความเป็นอยู่สภาวะธรรมชาติ ตีความตามน้ำเสียง: คำพูน บุญทวี เล่าเรื่องถ้อยคำที่ลึกซึ้งและเข้าใจได้ง่าย ตัวบท : เด็กชายคูน ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นชนบทของอีสาน แถบที่จัดได้ว่าเป็นถิ่นที่แห้งแล้งแห่งหนึ่งของไทยชีวิตความเป็นอยู่ของ ครอบครัว เด็กชายคูน ประกอบด้วยพ่อแม่ และลูก ๓ คน และเพื่อนบ้านในละแวกนั้นไม่มีความแตกต่างกันนัก นั่นก็คือความจนข้นแค้นต้องหา อาหารตามธรรมชาติทุกอย่างที่กินได้ เมื่อความแห้งแล้งอย่างรุนแรงมาเยือน ครอบครัวเพื่อนบ้านก็เริ่มอพยพออกไป แต่ครอบครัวของเด็ก ชายคูนและกลุ่มที่สนิทชิดเชื้อกันยังคงอยู่ เพราะเขามีพ่อและแม่ที่เอาใจใส่ ขยันขันแข็งไม่ย่อท้อภัยและอุปสรรคต่างๆ ตลอดจนมองเห็น ความสำคัญของการศึกษา แม้จะยากจนอย่างไร เด็กชายคูนก็ได้เข้าเรียนในระดับการศึกษาประชาบาล บริบท : แก่นของเรื่อง เน้นให้การดำรงชีวิตเมื่อสี่สิบปีก่อน โครงเรื่อง แบบดั้งเดิมที่เน้นถึงความสำคัญของเหตุการณ์ โดยให้ตัวละครเอกเป็นผู้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์และสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นปม ปัญหาของเรื่อง ตัวละครเด็กชายคูน ตัวเอกของเรื่อง และพ่อแม่พี่น้องอีก ๒ คนของเขา บทสนทนา ผู้แต่งใช้ภาษาแบบชาวบ้านสนทนา ฉาก ธรรมชาติความแห้งแล้ง บรรยากาศ สะท้อนความเป็นอยู่ของชาวอีสาน

การสื่อสาร = วิเคราะห์ – วิจารณ์ – วิพากษ์ วิเคราะห์ : ผู้เขียนได้เล่าถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี ตลอดจนความเชื่อของชาวอีสาน โดยผ่านเด็กชายคูน รวมไปถึงการ บรรยายถึงสภาพความเป็นไปตามธรรมชาติของผู้คนและสภาพแวดล้อม เช่น การเกี้ยวพาราสีกันของทิดจุ่นและพี่คำกอง จนท้ายที่สุดก็ได้แต่งงานกัน การออกไปจับจิ้งหรีดของคูน การเดินทางไปหาปลาที่ลำน้ำชีเพื่อนำปลามาทำอาหาร และ เก็บถนอมเอาไว้กินนานๆ ด้วยการทำปลาร้า เป็นต้น เรื่องราวทั้งหมด นั้นเน้นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ แสดงวิธีการของการ ดำรงชีวิตตามธรรมชาติในถิ่นอีสานเป็นสิ่งสำคัญ วิจารณ์ : วรรณกรรมลูกอีสานที่ผู้เขียนได้เขียนขึ้นจากประสบการณ์จริงที่ผู้เขียนได้พบเห็นมาที่ผู้เขียนมุ่งเน้นให้ผู้อ่านได้ รับรู้ถึงวิถีชีวิตของคนอีสานและเล่าถึงชีวิตช่วงเด็กของผู้เขียนสะท้อนออกมาเป็นเรื่องราว ชีวิตชนบทแสดงให้เห็นถึงความ เป็นอยู่สภาวะธรรมชาติ ความสุข ความทุกข์ และการต่อสู้อย่างทรหด อดทนกับความแปรปรวนของธรรมชาติ วิพากษ์ : จะสอดแทรกเนื้อหาที่ตลกขบขันและยังแฝงเนื้อหาหลักธรรมคำสอนไว้ต่างๆมากมายไม่ว่าจะสอนให้รู้จักความ กตัญญูต่อพ่อแม่ ความเสียสละ ความมีน้ำใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ขยันทำมาหากิน ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ตัวอย่างคำสอนของพ่อที่สอนคูน “เรื่องน้ำใจ พ่อของคูนเคยสอนคูนเหมือนกันว่าคนมีชื่อนั้นคือ คน รู้จักสงสารคนและ ช่วยเหลือคนตกทุกข์ ถ้าไม่มีสิ่งของช่วย ก็เอาแรงกายช่วย และไม่เลือกว่าคนๆ นั้นจะอยู่บ้านใด อำเภอใด” คุณค่าทางวรรณศิลป์ : นิยายเรื่อง “ลูกอีสาน” ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานวรรณกรรมแนวสัจนิยม ที่่เสนอภาพให้ ความรู้สึกเหมือนจริง คุณค่าของวรรณกรรมแนวนี้ยังถือเป็นการบันทึกหลักฐานด้านวิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรมของ ผู้คนที่เกิดขึ้นในฉากหลังของเรื่องราวนั้น และลูกอีสานก็ได้บันทึกชีวิตคนอีสานยุคก่อนไว้ได้อย่างชัดเจน คุณค่าด้านแนวคิด : นวนิยายเรื่องนี้นำเสนอคุณสมบัติความอดทน เด็ดเดี่ยว รักถิ่น และมีวัฒนธรรมของคนอีสานได้ อย่างงดงาม ข้อสรุปลงท้ายที่ผู้วิจารณ์กล่าวว่า “ความเป็นอีสานอยู่ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องให้ใครอื่นมาสงสาร เพราะความ สงสารมักควบคู่ไปกับการดูถูกแบบลึก ๆ นั่นเอง”

ความสุขของกะทิ งามพรรณ เวชชาชีวะ ปีที่ตีพิมพ์ : พ.ศ. ๒๕๔๖ สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์

ตีความตามเนื้อหา : การเล่าเรื่องของเด็กผู้หญิงวัยอายุ ๙ ขวบที่อาศัยอยู่กับตายายการที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งต้องเจอทั้งความทุกข์และความ สุขและการที่เธอต้องสูญเสียผู้เป็นแม่ตั้งแต่ยังเด็ก ตีความตามน้ำเสียง : ภาษาที่ใช้มีความลึกซึ้งทำให้สัมผัสได้ถึงรู้สึกถึงตัวละคร ตัวบท : ความสุขของกะทิ เล่าเรื่องราวของน้องกะทิ เด็กหญิงวัย ๙ ขวบที่กำลังจะต้องสูญเสียแม่ ซึ่งป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง แม่ รู้ตัวดีว่าไม่สามารถเลี้ยงดูกะทิได้ จึงฝากกะทิให้ตากับยายเลี้ยง กะทิเติบโตมาด้วยความรักของตาและยาย มีชีวิตอย่างสุขสบายในบ้านหลัง น้อยริมคลองอันอบอุ่น กะทิมีครอบครัวที่เอาใจใส่ ดูแลกะทิด้วยความรัก และความห่วงใยจากใจจริง เธอมีคุณตาที่เคยเป็นทนาย ซึ่ง สามารถเรียกเสียงหัวเราะจากกะทิและครอบครัวได้อยู่เสมอๆ คุณยายของกะทิเป็นคนที่เคร่งครัด และหัวโบราณ แต่ถึงกระนั้นก็สอนกะทิ เรื่องต่างๆนานา อาทิ เช่น การทำอาหาร การอยู่ในสังคม เป็นต้น พี่ทองเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจกะทิเป็นอย่างดี และเป็นคนที่มีบุญคุณต่อ กะทิ เพราะว่าพี่ทองเคยช่วยชีวิตกะทิไว้ตอนกะทิเป็นเด็กเล็ก น้าฎาและน้ากันต์ซึ่งเป็นคนที่ห่วงใยกะทิ และคอยหาสิ่งดีๆให้กะทิอยู่เสมอ และเป็นคนที่พูดปลอบใจกะทิในยามที่กะทิเศร้าโศกเสียใจ และที่ขาดไม่ได้ก็คือ แม่ของกะทิ ที่ถึงแม้จะจากไปก่อนวัยอันควรแต่ก็จัดสิ่ง ต่างๆไว้ให้กะทิอย่างดิบดี ด้วยความรัก และเอาใจใส่จากใจ บริบท : งามพรรณมีความรู้สึกอยากเขียน ประจวบเหมาะกับเวลาว่างพอดี จากนักแปลเริ่มสร้างตัวตนขึ้นด้วยการเริ่มเขียน โดยหาประเด็น ที่จะเขียน ซึ่งงามพรรณเล่าว่าเกิดจากความน้อยใจ ผู้เขียนกล่าวว่า“เราน้อยใจที่คนอื่นกลับบ้านเกิด เราเป็นคนกรุงเทพฯ คนอื่นกลับบ้าน กันหมด อย่างมากเราก็แค่ไปเที่ยว แต่เราเป็นคนกรุงเทพฯ คนภาคกลาง เราเป็นเด็กธรรมศาสตร์ด้วยค่ะ นั่งริมแม่น้ำบ่อย ก็คิดในใจว่า อยากจะเล่าอะไรที่เกี่ยวกับแม่น้ำ เกี่ยวกับคลอง แล้วมันค่อยๆ เป็นภาพขึ้นมาเอง ว่าถ้าเราจะให้มีใครสักคนมีบ้านแบบนั้น ใช้ชีวิตง่ายๆ ความสุขที่เกิดขึ้นจากง่ายๆ ก็เลยกลายเป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมา”

การสื่อสาร-การวิเคราะห์-วิจารณ์-วิพากษ์ วิเคราะห์ : นวนิยายชุดความสุขของกะทิทำให้รู้ว่าความสุขของคนในครอบครัวเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่การมีสายเลือด เดียวกันเป็นความผูกพันที่เเนบเเน่นและทำให้มีความเข้าใจกัน เช่น กะทิถึงแม้เกิดมาไม่เคยเจอหน้าพ่อแต่ก็ไม่เคยโทษพ่อ และแสดงออกว่ารักพ่อ วิจารณ์ : ความสุขของกะทิเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวจากแนวคิดของผู้เขียนโดยการผ่านสื่อสารด้วยภาษาที่เรียบง่าย เข้าใจง่ายและแสดงให้เห็นถึงวิธีชีวิต และเป็นหนังสือนวนิยายที่ควรทำต่อไปเรื่อยๆ วิพากษ์ : ความสุขของกะทิ ตัวละครมีความลงตัวของตัว ตากับยายที่มักขัดแย้งกันนั่นเป็นเหตุให้กะทิได้ใกล้ชิดกับตา และล่วงลับความรู้บางอย่างตอนตาคุยโทรศัพท์ยายชอบทำกับข้าวโดยมีพี่ทองมาช่วยขูดมะพร้าวทั้งที่พี่ทองไม่ใช่ญาติแต่ ก็มีความสนิทสนมกับกะทิลุงต้องไม่ค่อยถูกกันกับยายเพราะต่างก็รักกะทิกันทั้งคู่น้าฎากับน้ากันต์ พี่อ้อย ต่างก็ให้ความ สำคัญกับแม่ทั้งที่ก็ไม่ใช่ญาติเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงทั้งความขัดแย้ง และสอดคล้องกันของแต่ละตัวละคร คุณค่าด้านวรรณศิลป์ : วรรณศิลป์คือศิลปะการประพันธ์ มีความสุนทรียภาพอันเกิดจากความงามด้านการประพันที่มี ความประสานกลมกลืนกันในองค์ประกอบแต่ละด้าน ทั้งด้วยลีลาภาษาอันประณีตงดงาม มีเนื้อหาสละสลวยเเละแนวคิด ที่แฝงอยู่ในเรื่อง ทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกคล้อยตาม คุณค่าด้านแนวคิด : ความสุขของกะทิให้เเนวคิดว่าชีวิตคนเรามีทั้งสุขเเละทุกข์ ซึ่งเป็นนวนิยายที่เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย เพราะสามารถสอนให้เรามีความคิด มีสติ เผชิญหน้ากับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น และต่อสู้กับมันจนผ่านไปได้

พุทธศักราชอัสดงกับ ทรงจำของทรงจำของ แมวกุหลาบดำ วีรพร นิติประภา ปีที่ตีพิมพ์ : พ.ศ. ๒๕๖๑ สำนักพิมพ์ : สำนักพิมพ์มติชน

ตีความตามเนื้อหา : เป็นเรื่องราวของครอบครัวจีนอพยพครอบครัวหนึ่งซึ่งถูกเล่าคู่ขนานไปกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของไทยและ ประวัติศาสตร์โลก ผ่านสายตาของยายศรีและหลานดาว รวมถึงเจ้าแมวกุหลาบดำ เล่าย้อนปะติดปะต่อความทรงจำแหว่งวิ่นเข้าเป็นเนื้อ เดียว ปมปัญหาสำคัญของเรื่องคือ การพยายามกลับไปหาราก (origin) หรือบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ความฝันของทวดตงใน การกลับไปสู่จีนแผ่นดินใหญ่ โดยสำนึกตลอดเวลาในความเป็นจีนของตนเอง และใช้รากนั้นเป็น ‘ที่พำนักแห่งจิตวิญญาณ’ เช่นเดียวกับตัว ละครอีกหลายๆ ตัวในเรื่อง ซึ่งล้วนแต่มีที่ยึดเหนี่ยวแตกต่างกันไป ตีความตามน้ำเสียง : นำเสนอเรื่องที่เข้าใจง่ายมีภาษาที่สละสลวยเนื้อเรื่องค่อยเป็นค่อยไปทำให้ผู้อ่านเข้าถึงอารมณ์ของตัวละคร ตัวบท : ความทรงจำของคนความทรงจำของแมวความทรงจำที่คลุมเครือวุ่นวิ่นจนแทบไม่อาจจำแนกรู้ได้ว่า เราอยู่ในโลกจริงหรือสมมติ ประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองชัดพาให้ชีวิต ความรักต้องระหกระเหินเกินบรรยาย ครอบครัวจีนอพยพที่พยายามตามหา “ข้าน” ทั้งในความหมายของสถานที่และบ้านภายในจิตใจซึ่งตัวละครต่างรู้สึกในทางเดียวกันว่า ไม่อาจหยัดยืนอย่างเต็มตัวในพื้นที่ใดๆ ได้ จะเดินต่อก็แปลกแยก จะหวนกลับก็ไม่อาจย้อนคืนที่จริงแล้ววีรพร คิดพล็อตเรื่องนี้ไว้ก่อนนวนิยาย ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต ครบรส ด้วยสำนวนภาษาแบบวีรพรนิติประภา รวมถึงบทเพลง อาหาร และรสนิยมวิไล คละเคล้าตลาดทั้งเรื่อง บริบท : โศกนาฎกรรมของผู้คนบนประเทศไร้ทรงจำ “วีรพร นิติประภา” เห็นถึงความเว้าแหว่งในทรงจำของผู้คน จึงหยิบฉากตอนของ เหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในประเทศที่แทบจะไม่มีความทรงจำนี้มาเขย่าขย้อนเล่น แล้วจับเรื่องราวทั้งหมดเข้าไปอยู่ในความทรงจำของแมว ตัวหนึ่ง ซึ่งมันก็นึกออกและบอกเล่าออกมากระท่อนกระแท่นตามประสาแมว ทั้งสิ่งที่เห็นและได้ยินเองจากคนในบ้านที่อาศัยอยู่และเรื่อง เล่าที่ผู้คนเล่าสู่กันฟังที่มันเองก็ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงระบบจำของคนเราที่มักนึกออกเป็นห้วง ๆ และมักเป็นทรงจำที่ เข้าข้างตัวเองเสมอด้วยการสื่อสาร ให้เข้าใจถึงการต่อสู้ดิ้นรนของชีวิต

การสื่อสาร-การวิเคราะห์-วิจารณ์-วิพากษ์ วิเคราะห์ : เป็นหนังสือที่สอนอะไรหลายอย่างสะท้องถึงสังคมในอดีตจนถึงปัจจุบันที่แทบจะไม่มีความแตกต่าง วิจารณ์ : แม้ว่าจะมีวรรณศิลป์ไพเราะเฉกเช่น ไส้เดือนตาบอดฯ และมีตัวละครที่พังวิ่นไม่ต่างกัน แต่ข้อแตกต่างที่ชัดเจน คือตัวละครใน พุทธศักราชอัสดงฯ แสดงเจตจำนง (will) ของตนเองออกมาอย่างชัดเจน วิพากย์ : ความพยายามในการกลับไปหารากเปรียบเสมือนการถอยกลับอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เว้นแต่เราจะกำหนดจุดเริ่มต้น ให้ตัวเองไว้ในแห่งหนใดสักแห่ง และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของการกลับไปสู่รากเหง้าอาจเป็นการกลับไปเพื่อพบว่าไม่มีอะไรจริง แท้ให้เราจับฉวย สิ่งที่ทวดตงสูญเสียคือแสงแห่งความหวังไว้ส่องนำชีวิต เพราะเขามองย้อนกลับไปข้างหลัง หากแต่ความ หวังนั้นอยู่ข้างหน้า อยู่ที่การกำหนดมั่นและมุ่งไปยังจุดหมายบางอย่างแม้ว่าความหวังจะริบหรี่เหมือนแสงอาทิตย์อัสดง และไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะไปถึงเป้าหมายเมื่อไหร่แต่แค่เพียงแสงจางบางๆ นั้นก็พอแล้วที่จะทำให้สิ่งใหม่ ๆ งอกงามขึ้น มา คุณค่าทางวรรณศิลป์ : ร้อยเรื่องราวที่มีความละเอียดซับซ้อนและประเด็นที่หลากหลายเข้าด้วยกันอย่างแยบคายและ กลมกล่อม ทั้งยังเป็นเรื่องเล่าผ่านภาษาสละสลวย ด้วยสิ่งที่นำเสนอนั้นแข็งแรงและคมชัดมากขึ้น อีกทั้งงานของเธอมักจะ ทำให้รู้สึกสั่นสะเทือนเสมอ เนื่องจากเล่นอยู่กับประเด็นความถูกผิดทางศีลธรรม และวีรพรมักจะหอบพาเรื่องราวไปสุด ทางชนิดที่เราคาดไม่ถึง แถมยังเก็บแม้กระทั่งรายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุดในเรื่องมาใช้ครบทุกเม็ด คุณค่าด้านแนวคิด : การใช้ความทรงจำและประวัติศาสตร์ความรู้สึกส่วนบุคคล ซึ่งกลายเป็นความทรงจำร่วมของสังคมมี ทั้งเรื่องที่เลือกจะเล่า และเรื่องที่จะเลือกจะลืม แหว่งวิ่นและคลุมเครือ

ประชาธิปไตย บนเส้นขนาน วินทร์ เลียววาริณ ปีที่ตีพิมพ์ : พ.ศ. ๒๕๓๗ สำนักพิมพ์ : สำนักพิมพ์ดอกหญ้า

ตีความตามเนื้อหา : เป็นการจำลองภาพในเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีความสำคัญในยุคต่างๆ นับตั้งแต่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย แม้จะไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบเต็มใบ จนถีงในช่วงหกสิบปีต่อมาที่มีการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยแต่ละขั้น มีการถ่ายเทอำนาจจากบุคคล หนึ่งไปหาอีกกลุ่มบุคคลหนึ่ง โดยถ่ายทอดผ่านการดำเนินชีวิตของบุคคลสองคน ที่แตกต่างกันในด้านการใช้ชีวิตและด้านอุดมการณ์ แต่ทั้ง สองมีจุดมุ่งหมายปลายทางเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง สิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน และได้มาชึ่งการมีประชาธิปไตยที่เต็มใบ เปรียบ เสมือนทางเดินเพื่อไปหาประชาธิปไตย แต่เดินเป็นแนวที่ขนานไม่สามารถจะใช้วิธีร่วมกันได้ ตีความตามน้ำเสียง : นักเขียนได้เขียนออกมาด้วยถ้อยคำที่เข้าใจได้ง่ายและคำพูดที่ไม่ซับซ้อนรวมไปถึงทำให้เนื้อเรื่องชวนหน้าติดตามมีคำ พูดที่เข้าถึงอารมณตัวละคร ตัวบท : เสือย้อยมีถิ่นอาศัยอยู่แถบเมืองเพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี ผู้ที่เป็นโจรแต่มีแววตาที่ฉลาด ดูมีการศึกษาที่สูงที่ไม่เหมือนกับโจร ทั่วไป ที่เป็นเช่นนี้เพราะชายผู้นี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า หลวงกฤษดาวินิจ บุคคลที่มีการศึกษาสูงและเป็นทหารที่มีความจงรักภัคดีต่อสถาบัน พระมหากษัตริย์ผู้ที่ต่อต้านการปฏิวัติที่ต้องการอำนาจของบุคคลเพียงบางกลุ่มจนถูกบีบบังคับให้มาเป็นโจร อีกคนหนึ่งคือนายตำรวจที่มี ชื่อว่า ร.ต.ต ตุ้ย พันเข็ม นายตำรวจที่มีอุดมการณ์สูงรักประเทศยิ่งชีวิต ผู้มีบทบาทตั้งแต่นายตำรวจธรรมดาที่ปราบโจรที่มีชื่อต่างๆ จนเป็น ที่เลืองลือจนได้รับฉายาว่า “จ่าตุ้ยปืนผี” จนถึงนายตำรวจที่มีบทบาทอย่างสูงทางการเมืองในยุค 60 ปีของการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ นาย ตำรวจที่เป็นคนสนิทของผู้นำประเทศที่มีอำนาจมหาศาลที่สุดในยุคหนึ่งของประเทศทั้งสองเป็นทั้งเพื่อนและศัตรูกันทางด้านแนวคิด บริบท : ผู้เขียนได้นำเอาความจริงในประวัติศาสตร์การเมืองรวมไปถึงการนำเอาบุคคลในประวัติศาสตร์มาอ้างอิงผสมผสานไปกับเนื้อเรื่อง ทำให้มีเนื้อเรื่องความเข้มข้นชวนให้น่าติดตามโดยผ่านตัวละครสมมุติชายสองคนคือตุ้ยกับบย้อยโดยชีวิตที่ต่างกันสุดขั้ว การสื่อสาร-การวิเคราะห์-วิจารณ์-วิพากษ์ วิเคราะห์ : ผู้แต่งกล่าวถึงความคิดเรื่อง เส้นขนาน ครั้งแรกในเรื่องผ่านคำพูดของเสือย้อย หรือหลวงกฤษดาวินิจกับร.ต.ต ตุ้ยว่า “เราทั้งสองกำลังยืนอยู่คนละฝ่าย คนละอุดมการณ์ ยืนอยู่บนเส้นขนาน ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูก ไม่มีสีขาว ไม่มีสีดำ” หาก ตีความจากบริบทแล้ว ย้อย และ ตุ้ย ต่างเป็นตัวแทนของสองฝั่งการเมือง คือฝ่ายต่อต้านกับฝ่ายรัฐบาล ตามลำดับ ซึ่งเปรียบ เสมือนเส้นตรงสองเส้นที่ต่างก็มุ่งตรงไปสู่เป้าหมายเดียวกันคือประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ เพียงแต่ต่างอุดมการณ์เท่านั้นและสิ่งที่ ทำจะถูก หรือผิดก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายใครเป็นผู้มีอำนาจ และกำหนดกฎเกณฑ์ให้เข้าข้างพรรคพวกของตนเองก็เท่านั้น

วิจารณ์ : ความคิดเรื่อง เส้นขนาน นี้นับเป็นข้อคิดที่ดีสำหรับเยาวชนทีเดียว เพราะนี่คือสัจธรรมของโลกที่อาจไม่มีสอนในตำรา ทั่วไป เรื่องความถูกผิด สิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำเป็นสิ่งที่สำคัญที่เยาวชนควรจะตระหนักถึงและสามารถใช้ความคิดวิเคราะห์ได้ ว่าอะไรควรทำ หรือไม่ควรทำได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ปฏิบัติตามที่ผู้มีอำนาจสั่งเพียงอย่างเดียวโดยปราศจากการไตร่ตรองใด ๆ เพราะเมื่อใดที่สังคมเป็นเช่นนั้น เหตุการณ์ที่น่ากลัวที่สุดจะสามารถบังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อย่างที่หนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอใน ตอน ๒๕๐๘ว่ามีการกวาดล้างคอมมิวนิสต์จนเกิด วันเสียงปืนแตก ที่ชาวบ้านตอบโต้กลับเจ้าหน้าที่รัฐบาล หรือเหตุการณ์สลาย การชุมนุมในเดือนตุลาคม และวันพฤษภาทมิฬในปี ๒๕๑๖ ๒๕๑๙ และ ๒๕๓๕ ตามลำดับ ล้วนเป็นเหตุการณ์โศกนาฏกรรม นองเลือดที่มีแต่ผู้บริสุทธิ์ต้องมาเข่นฆ่ากันเพียงเพราะอีกฝ่ายคิดเห็นไม่ตรงกับตนเอง หรือผู้มีอำนาจสั่งการมาเท่านั้น ซึ่งไม่เคย และไม่มีวันเป็นทางออกของปัญหาที่ยั้งยืนได้เลย วิพากษ์ : บทเรียนอันสำคัญที่ทุกคนควรศึกษา อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ เลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีกเป็นหนึ่งในบทเรียนที่เยาวชน นักเรียน หรือผู้ที่สนใจได้มาศึกษาประวัติประชาธิปไตยไทย ว่าล้มลุกคลุกคลานมาอย่างไรบ้างในแง่มุมที่มีอารมณ์ ความรู้สึกร่วมด้วย เพื่อตอกย้ำความขมขื่นของเหตุการณ์ที่ผ่านมา แล้ว ร่วมกันป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำขึ้นอีก คุณด้านวรรณศิลป์ : กลวิธีทางวรรณศิลป์ของเรื่อง ซึ่งอาจเรียกได้อย่างง่ายว่าความคิดสร้างสรรค์ในการพรรณนาของผู้แต่ง กลวิธีเหล่านี้เองที่เป็นปัจจัยสำคัญช่วยขับเน้นให้เรื่องมีอารมณ์ที่เข้มข้น สนุก หรือกระทบจิตใจผู้อ่านเช่นในฉากแรกของบท เกริ่นนำ ผู้แต่งเปิดเรื่องด้วยการพรรณนาสภาพอากาศที่รุนแรงและแปรปรวนของพายุฝนที่ “กระพือปีกพิโรธกวาดล้างต้นไม้ ใหญ่น้อยหักโค่นลงดิน” ประโยคนี้ใช้กริยา กระพือปีก และ พิโรธ กับประธานที่ไม่มีชีวิตช่วยแสดงถึงภาพความรุนแรงของพายุ ราวกับสิ่งมีชีวิตที่ฉุนเฉียวรุนแรงพร้อมจะทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางทางมัน นอกจากจะเป็นการสื่อภาพที่มีชีวิต และเคลื่อนไหวใน ภาพความคิดของผู้อ่านได้แล้ว ฉากเปิดเรื่องดังกล่าวยังสามารถเป็นสัญลักษณ์ชี้นำบรรยากาศความวุ่นวายโดยรวมของเรื่องว่า ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของไทยได้ผ่านมรสุมสุดเกรี้ยวกราดมาแล้วเท่าใด กระนั้นก็ยังคงตั้งตระหง่านอยู่มาถึงทุกวันนี้เฉก เช่นต้นไทรที่ได้อ้างถึงในตอนแรก คุณค่าด้านแนวคิด : ผู้แต่งสะท้อนให้เห็นแนวคิดเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของบุคคลที่มีอุดมการณ์ขัดแย้งกับฝ่ายรัฐบาลจึงทำให้มี ชีวิตอยู่นสังคมอย่างลำบาก ต้องพลัดพรากจากครอบครัวและบ้านเมืองที่ตนอาศัยอยู่และยังถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ นักการ เมืองบางกลุ่มมีเล่ห์เหลี่ยมมาก มักหาผลประโยชน์ใส่ตนเอง ทั้งนี้ยังมีแนวคิดเกี่ยวกับสภาพสังคมแนวคิดทางด้านาการเมืองอีก มากมาย

บรรณานุกรม อุเทศ เหมะมูล.(๒๕๕๒).ลับแล แก่งคอย. : แพรวสำนักพิมพ์ รูปภาพปกหนังสือนวนิยายแต่ละเล่ม เดือนวาด พิมวนา. (๒๕๔๖).ช่างสำราญ. : สำนักพิมพ์สามัญชน ลับแลแก่งคอย/ https://www.goodreads.com/book/show/8536101 ชาติ กอบจิตติ.(๒๕๒๕).คำพิพากษา. : สำนักพิมพ์ต้นหมาก ช่างสำราญ/https://www.su-usedbook.com/products_detail/view/4983018 ชาติ กอบจิตติ.(๒๕๓๖).เวลา. : สำนักพิมพ์หอน คำพากษา/ https://images.app.goo.gl/jPc38gdy9moQjkgY8 นิคม รายยวา.(๒๕๒๗).ตลิ่งสูง ซุงหนัก. : สำนักพิมพ์นำอักษรการพิมพ์ เวลา/ https://images.app.goo.gl/gv2LezmonjV5PJDN8 วิมล ไทรนิ่มนวล.(๒๕๔๓).อมตะ. : สยามประเทศสำนักพิมพ์ ตลิ่งสูง ซุงหนัก/ https://images.app.goo.gl/aojSuxt4r2E8fYPZA ก0ฤ1ษณา อโศกสิน.(๒๕๒๘).ปูนปิดทอง. : สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น จำกัด อมตะ/ http0s4://images.app.goo.gl/kvpuDsVgge3mtCG56 คำพูน บุญทวี.(๒๕๕๒).ลูกอีสาน. : สำนักพิมพ์บรรณกิจ ปูนปิดทอง/ https://images.app.goo.gl/F6LhHC8x8PgHHLJ47 งว0ีาร2มพพรรนริตณิปเรวะชภชาา.(ช๒ีว๕ะ.๖(๒๑๕).๔พุ๖ทธ).ศคักวารมาชสุอขัสขดองงกกับะททิ.รง: จแำพขรอวงสทำรนงักจพำิขมอพ์งแมวกุหลาบดำ. ลคูกวาอีมสสาุขนข/อhง0tกt5pะทsิ:///himttapgse:/s/.iampapg.geos.oa.pglp/.Lg5oSon.gply/nSqtpQHRVexKSuAz6Uaup6Bzve49 :สำนักพิมพ์มติชน พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ/ https://images.app.goo.gl/cAWsEyDcWCWaRNoA9 ว0ิน3ทร์ เลียววาริณ.(๒๕๓๗).ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน. : สำนักพิมพ์ดอกหญ้า ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน/ https://images.app.goo.gl/1X69a83sFG9gVGPf7

รายชื่อผู้จัดทำ กลุ่มที่1 นายกนกพล เลียวตระกูล นายกฤตพงศ์ จงเพ็งกลาง นายซาราส อรุณพูลทรัพย์ นายธนบดินทร์ ชัยสงคราม นางสาว ธัญนิชชา มูฮำหมัดกาเซ็ม นางสาวปลายประดับ อุปัญญ์ เลขที่๕๘ เลขที่๖๒ เลขที่๗๘ เลขที่๕๒ เลขที่๒๕ เลขที่๕๔ นางสาวพรนัชชา ไชยธงรัตน์ นางสาวพิมพ์มาดา ทรงประโคน นางสาวภณิดา บุตรศรี นายภูมิไผท รอดหมื้น นางสาวอัยย์มี่ ฉิมหิรัญ เลขที่๗๙ เลขที่๔๘ เลขที่๒๙ เลขที่๗๑ เลขที่๕๑


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook