รายงานการวิจัยในชนั้ เรยี น การประเมินความพึงพอใจของนกั เรียนท่ีมตี ่อวิชาวทิ ยาศาสตร์ 6 ปีการศึกษา 2561 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 นายเดชมณี เนาวโรจน์ ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ โรงเรียนสมเดจ็ พระญาณสงั วร อาเภอคาเข่อื นแก้ว จังหวัดยโสธร สานักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 28 สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน(สพฐ.)
รายงานการวิจยั ในชนั้ เรียน การประเมินความพงึ พอใจของนักเรยี นที่มีต่อวิชาวทิ ยาศาสตร์ 6 ปีการศกึ ษา 2561 กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 3 ความเหน็ ของผเู้ ชยี่ วชาญ ความเห็นของหัวหน้ากลุม่ สาระการเรยี นรู้ ……………………………………………. …………………………………………… ……………………………………………. …………………………………………… (ลงชอื่ )…………………………….. (ลงชอ่ื )……………………………. (…………………………………………..) (นางสาคร ทองเทพ) …………./…………………/…….. ……………/………………/……… ความเหน็ ของหัวหน้ากลุ่มบริหารวิชาการ ความเห็นของรองผู้อานวยการ ……………………………………………. …………………………………………… ……………………………………………. …………………………………………… (ลงช่อื )…………………………….. (ลงช่ือ)……………………………. (นางสาวกติ ติมา สาระรักษ์) (นายเชิดชัย สิงห์คิบุตร) …………./…………………/…….. ……………/………………/……… ความเหน็ ของผู้อานวยการ …………………………………………….………………………………………………………… ………………………………….…………………………………………………………………… ………………………………………….…………………………………………………………… (ลงชอื่ )…………………………….. (นายเชษฐา ค้าคลอ่ ง) ………./…………………/……..
หวั ข้อวจิ ัย บทคดั ยอ่ รายงานการวิจยั ในชัน้ เรยี นการประเมินความพึงพอใจของนักเรยี นทม่ี ีต่อ ผวู้ จิ ยั วชิ าวิทยาศาสตร์ 6 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ปที ท่ี าการวิจัยเสรจ็ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 วฒุ กิ ารศกึ ษาสูงสุด นายเดชมณี เนาวโรจน์ พ.ศ 2561 ค.บ เอกวิทยาศาสตร์ท่วั ไป การวิจัยในช้นั เรยี น การจัดการเรียนการสอนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ 6 กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ทีม่ ี การใช้สอื่ ประสมเปน็ สื่อการสอน ชั้นมธั ยมศึกษาศึกษาปีท่ี 3 ครัง้ นี้ มคี วามมุ่งหมาย เพื่อศึกษาความพงึ พอใจของ นักเรียนท่มี ีต่อวชิ าวิทยาศาสตร์ 6 หลงั จากการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยใชส้ อื่ ประสม กล่มุ ประชากรท่ีใช้ใน การศกึ ษาค้นควา้ ได้แก่ นักเรียนระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวรในพระสงั ฆราชูปถัมภ์ ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2561 จานวน 87 คน ในการศึกษาค้นคว้าไดม้ าโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึง่ ไดก้ ลุ่มทดลองจากการส่มุ อย่างงา่ ย (Simple Sampling) ซงึ่ แบ่งกล่มุ ตวั อยา่ งเป็น กลมุ่ ทดลอง โดยจดั เรยี งคะแนนผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นจากมากไปหาน้อย โดยคละนักเรยี นเกง่ ปานกลาง และ ออ่ น เครื่องมือทีใ่ ชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้ ประกอบด้วย แบบสอบถามความพงึ พอใจท่ีผูเ้ รียนมตี ่อวชิ าวิทยาศาสตร์ 1 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จานวน 20 ขอ้ ค่าความเชอื่ ม่นั ท้ังฉบับเทา่ กับ 0.82 สถิตทิ ี่ใช้ในการวเิ คราะห์ ข้อมูล คอื ค่าเฉลย่ี และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน ผลการศกึ ษาค้นคว้าพบวา่ นกั เรยี นมคี วามพึงพอใจตอ่ การเรยี นวิทยาศาสตร์ 6 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก การศกึ ษาค้นควา้ ในครัง้ น้ีทาให้ได้สือ่ ประสมวิชาวทิ ยาศาสตร์ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ท่ีมี ประสทิ ธภิ าพ สามารถนาไปใชส้ อนใหผ้ ้เู รยี นบรรลุผลตามจดุ มุง่ หมาย
กติ ตกิ รรมประกาศ รายงานการวจิ ยั ในชั้นเรยี นฉบบั นี้สาเร็จสมบูรณไ์ ดด้ ้วยความกรุณาและความชว่ ยเหลืออย่างสงู ยง่ิ จาก นายเชษฐา คา้ คลอ่ ง ผู้อานวยการโรงเรยี นสมเด็จพระญาณสังวร ในพระสังฆราชปู ถัมภ์ และนายเชดิ ชยั สิงห์คิ บตุ ร รองผู้อานวยการโรงเรียนสมเดจ็ พระญาณสงั วรในพระสงั ฆราชูปถัมภ์ จังหวัดยโสธร ขอขอบคุณครูกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ทกุ ท่านที่ให้คาปรกึ ษา ชแ้ี นะ และขอบใจนักเรยี นช้ัน มัธยมศึกษาปที ่ี 3 ปกี ารศึกษา 2561 ทุกคนท่ใี ห้ความรว่ มมือในการทดลองในครง้ั น้ี ความดีท้งั หลายที่เกดิ จากงานวิจัยฉบับน้ผี ู้วิจยั ขอบูชาทดแทนพระคุณของคณุ พ่อบุญเรอื ง และคุณแมด่ วงปลี เนาวโรจน์ ท่ีอบรม สง่ั สอน ตลอดจนครอู าจารยท์ ุกท่านที่ทาใหผ้ ้วู ิจัยประสบความสาเรจ็ ใน การศึกษาครง้ั น้ี เดชมณี เนาวโรจน์
สารบญั บทท่ี หน้า บทคัดย่อ ก กติ ตกิ รรมประกาศ ข สารบญั ค บทนา ............................................................................................................................. 1 เอกสารและงานวจิ ัยท่เี กี่ยวข้อง ....................................................................................... 2 3 วิธดี าเนนิ การศึกษาค้นคว้า ............................................................................................. 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู ................................................................................................... 5 สรุปผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ ......................................................................... บรรณานุกรม .................................................................................................................... ภาคผนวก ................................................................................................................... ..... แบบสอบวดั ความพึงพอใจของนกั เรียน .................................................................... ประวตั ผิ ูศ้ กึ ษาคน้ ควา้ ................................................................................................
บทที่ 1 บทนา ภูมหิ ลัง (กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธกิ าร: 2546) วทิ ยาศาสตรม์ ีบทบาทสาคัญย่งิ ในสังคมโลกปจั จบุ นั และ อนาคต เพราะวทิ ยาศาสตรเ์ ก่ียวข้องกบั ชวี ิตของทุกคน ท้ังในการดารงชีวติ ประจาวันและในงานอาชีพต่างๆ เครื่องมอื เคร่อื งใชเ้ พื่ออานวยความสะดวกในชวี ติ และในการทางาน ลว้ นเปน็ ผลของความร้วู ทิ ยาศาสตร์ ผสมผสาน กบั ความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อ่ืนๆ ความรูว้ ทิ ยาศาสตร์ช่วยให้เกิดองค์ความร้แู ละความเขา้ ใจในปรากฏการณ์ ธรรมชาตมิ ากมายมีผลใหเ้ กิดผลการพฒั นาทางเทคโนโลยอี ยา่ งมาก ในทางกลบั กันเทคโนโลยที มี่ ีสว่ นสาคญั มากท่ี จะใหม้ ีการศึกษาค้นควา้ ความรทู้ างวทิ ยาศาสตรต์ ่อไปอย่างไมห่ ยุดยั้ง (พระราชบัญญตั กิ ารศกึ ษาแห่งชาติ 2542 ) มาตรา ๖ พระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ “ การจดั การศึกษา ตอ้ งเป็นไป เพ่ือ พัฒนา คนไทย ให้เปน็ มนษุ ย์ทีส่ มบรู ณ์ ทั้ง รา่ งกาย จิตใจ สตปิ ัญญา ความรู้ และ คุณธรรม มี จรยิ ธรรม และ วัฒนธรรม ในการดารงชีวิต สามารถอยูร่ ่วมกับ ผอู้ น่ื ไดอ้ ย่างมีความสุขจาก หลกั การดงั กล่าวข้างตน้ กระบวนการเรียนการสอนของครูตอ้ งมีการพัฒนาและปรบั ปรุงใหม้ คี ณุ ภาพและ มาตรฐานมากขนึ้ กว่าเดิม เปลย่ี นวธิ ีการเรียนปรบั กระบวนการสอนของครู เน้นให้นักเรยี นมีสอื่ การเรียนรู้ที่ หลากหลายมกี จิ กรรมทห่ี ลากหลายเพอ่ื กระตนุ้ ให้นกั เรยี นเกดิ การเรียนรู้ ” (พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ 2542 ) มาตรา ๘ พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ การจดั การศึกษา ให้ยดึ หลัก ดงั น้ี (๑) เป็น การศึกษาตลอดชีวติ สาหรบั ประชาชน (๒) ให้ สังคมมสี ว่ นรว่ ม ในการจัดการศึกษา (๓) การพฒั นา สาระและกระบวนการเรยี นรู้ ให้เปน็ ไป อย่างต่อเน่ือง จากหลกั การดังกลา่ วขา้ งตน้ กระบวนการเรียนการสอนของครูต้องมีการพฒั นาและปรับปรุงให้มี คณุ ภาพและมาตรฐานมากขน้ึ กว่าเดมิ เปลีย่ นวิธกี ารเรียนปรบั กระบวนการสอนของครู เนน้ ใหน้ ักเรยี นมีส่ือการ เรียนรทู้ ่ีหลากหลายมีกจิ กรรมที่หลากหลายเพื่อกระตุน้ ใหน้ ักเรียนเกดิ การเรยี นรู้ กรอบแนวคิดในการศึกษาคน้ ควา้ การศึกษาคน้ ควา้ ในครงั้ นีผ้ ู้ศกึ ษาได้ทาการพฒั นาการเรยี นการสอนโดยใช้สอื่ ประสมจดั กิจกรรมการ เรียนการสอนในรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ 6 ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2556 เปน็ กรอบ แนวคิดในการศกึ ษาคน้ ควา้ มีข้นั ตอนดงั น้ี (ไชยยศ เรอื งสุวรรณ 2548 : 161) 1. การวเิ คราะห์ (Analyze) 2. การออกแบบ (Design) 3. การพฒั นาบทเรียน (Courseware Construction) 4. การนาไปใช้ / ทดลองใช้ (Complementation) 5. การประเมนิ และปรบั ปรงุ แกไ้ ข (Evaluation)
ความมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า เพอ่ื ศึกษาความพึงพอใจของนักเรยี นทมี่ ีต่อกิจกรรมการเรียนการสอนในรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ 6 ชั้น มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรียนที่ 2/2561 โดยใชส้ อื่ ประสม ความสาคญั ของการศึกษาคน้ ควา้ ได้สื่อประสม รายวชิ าวิทยาศาสตร์ 6 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ทจ่ี ะนาไปใช้ปรับปรุงพฒั นาสื่อ และใช้เป็น เครือ่ งมอื ในการจัดการเรยี นการสอนวจิ ยั ในช้ันเรียนใหไ้ ด้มาตรฐานตอ่ ไป ขอบเขตของการศกึ ษาคน้ คว้า ประชากรที่ใชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้ ครง้ั น้ี ได้แก่ นักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นสมเด็จพระญาณ สงั วร ในพระสังฆราชูปถัมภ์ อาเภอคาเขอื่ นแกว้ จงั หวัดยโสธร มจี านวนนกั เรยี น 87 คน นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ 1. ความพงึ พอใจท่ีมีต่อวชิ าวิทยาศาสตร์ 6 หมายถงึ ความรู้สึกชอบหรอื ไม่ชอบทผ่ี ู้เรียนมตี ่อการ เรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ 6 ทีเ่ รยี นดว้ ยสื่อประสม จานวน 20 ข้อ ทผี่ ศู้ กึ ษาคน้ คว้าพัฒนาขน้ึ 2. ส่อื ประสม หมายถงึ การนาส่ือหลายๆประเภทมาใชร้ ่วมกนั ทั้งวัสดุ อปุ กรณแ์ ละวธิ กี ารเพื่อใหเ้ กิด ประสิทธภิ าพและประสิทธิผลสูงสดุ ในการเรียนการสอน โดยการใช้สอ่ื แต่ละอย่างตามลาดับข้ันตอนของเน้อื หา
บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กี่ยวข้อง การศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรียนท่มี ีต่อวิชาวิทยาศาสตร์ 6 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ผศู้ ึกษาค้นคว้าได้ศึกษาหลกั การ ทฤษฎแี ละผลงานท่ีเกยี่ วข้อง ตามลาดับดังน้ี 1. หลักสตู รการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 2 เอกสารท่เี กี่ยวกบั สอื่ ประสม 3. ความพึงพอใจท่มี ีตอ่ วิชาวทิ ยาศาสตร์ 6 4. งานวิจัยทีเ่ ก่ียวข้อง 4.1 งานวจิ ัยในประเทศ 1. หลักสตู รการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ทาไมต้องเรยี นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตรม์ ีบทบาทสาคญั ย่ิงในสังคมโลกปจั จบุ ันและอนาคต เพราะวทิ ยาศาสตร์เกย่ี วขอ้ งกบั ทกุ คนทั้ง ในชวี ิตประจาวนั และการงานอาชพี ตา่ ง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เครอื่ งมือเครื่องใช้ และผลผลิตต่าง ๆ ทม่ี นษุ ย์ได้ ใช้เพ่ืออานวยความสะดวกในชวี ติ และการทางานเหลา่ นี้ลว้ นเป็นผลของความรู้ วทิ ยาศาสตร์ ผสมผสานกบั ความคดิ สรา้ งสรรค์และศาสตรอ์ ืน่ ๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนษุ ยไ์ ด้พัฒนาวิธีคิดทง้ั ความคิดเปน็ เหตเุ ปน็ ผล คดิ สรา้ งสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มที ักษะสาคัญในการค้นควา้ หาความรู้ มีความสามารถในการแกป้ ัญหาอย่าง เป็นระบบ สามารถตดั สนิ ใจโดยใช้ขอ้ มูลทห่ี ลากหลายและมปี ระจกั ษ์พยานทต่ี รวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เปน็ วฒั นาธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเปน็ สังคมแห่งการเรียนรู้ ( Knowledge - based society ) ดงั นัน้ ทกุ คนจึง จาเปน็ ต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในธรรมชาตแิ ละเทคโนโลยีท่ีมนุษย์ สร้างสรรคข์ นึ้ สามารถนาความรู้ ไปใช้อย่างมีเหตุผล สรา้ งสรรค์ และมีคณุ ธรรม เรียนรู้อะไรในวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรม์ ่งุ หวังให้ผเู้ รียนได้เรียนรู้วทิ ยาศาสตรท์ ่ีเนน้ การ เชอื่ มโยงความรู้กับกระบวนการ มที กั ษะสาคัญในการคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหา ความรู้ และการแกป้ ญั หาท่ีหลากหลาย ใหผ้ ูเ้ รยี นมีส่วนรว่ มในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทากจิ กรรมดว้ ยการ ลงมือปฏิบัติจรงิ อย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดบั ชั้น โดยได้กาหนดสาระสาคญั ไวด้ ังนี้ * สิ่งมชี ีวติ กบั กระบวนการดารงชวี ติ สง่ิ มชี วี ิต หน่วยพ้นื ฐานของส่งิ มชี ีวิต
โครงสรา้ ง และหน้าทขี่ องระบบต่าง ๆ ของสง่ิ มชี ีวิต และกระบวนการดารงชีวติ ความหลายทางชีวภาพ การ ถา่ ยทอดทางพนั ธกุ รรม การทางานของระบบต่าง ๆ ของส่งิ มีชวี ติ วิวัฒนาการและความหลากหลายของ ส่งิ มชี ีวติ และเทคโนโลยชี วี ภาพ * ชีวิตกบั สิ่งแวดล้อม สง่ิ มีชีวติ ท่ีหลากหลายรอบตวั ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งส่ิงมชี วี ติ กับส่งิ แวดล้อม ความสมั พนั ธ์ของสง่ิ มีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ ความสาคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใชแ้ ละจดั การทรัพยากรธรรมชาตใิ นระดับท้องถ่นิ ประเทศ และโลก ปจั จัยที่มผี ลต่อการอยู่รอดของ ส่ิงมชี ีวติ ในสภาพแวดล้อมตา่ ง ๆ * สารสมบัติของสาร สมบัตขิ องวัสดแุ ละสาร แรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งอนภุ าค การเปลี่ยน สถานะ การเกดิ สารละลายและการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมขี องสาร สมการเคมี และการแยกสาร * แรงและการเคลอื่ นท่ี ธรรมชาติของแมเ่ หล็กไฟฟา้ แรงโน้มถ่วง แรงนิวเคลียร์ การออกแรงกระทาต่อวตั ถุ การเคลือ่ นทีข่ องวตั ถุ แรงเสียดทาน โมเมนต์การเคล่อื นที่แบบตา่ ง ๆ ในชวี ติ ประจาวนั * พลังงาน พลังงานกบั การดารงชวี ติ การเปล่ียนรูปพลังงาน สมบัตแิ ละปรากฏการณ์ ของแสง เสียง และวงจรไฟฟา้ คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ กัมมันตภาพรงั สีและปฏิกริ ิยานิวเคลียร์ ปฏสิ ัมพันธร์ ะหว่าง สารและพลังงาน การอนรุ ักษพ์ ลังงาน ผลของการใช้พลงั งานต่อชีวิตและสง่ิ แวดลอ้ ม * กระบวนการเปล่ยี นแปลงของโลก โครงสรา้ งและองค์ประกอบของโลก ทรพั ยากร ทางธรณี สมบัติทางกายภาพของดิน หนิ นา้ อากาศ สมบัตขิ องผวิ โลก และบรรยากาศ กระบวนการ เปลยี่ นแปลงของเปลอื กโลก ปรากฏการณ์ทางธรณี ปัจจัยท่ีมีผลตอ่ การเปล่ยี นแปลงของบรรยากาศ * ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ ววิ ัฒนาการของระบบสุรยิ ะ กาแล็กซ่ี เอกภพ ปฏิสัมพนั ธ์ และผลต่อสง่ิ มชี ีวติ บนโลก ความสมั พนั ธข์ องดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และโลก ความสาคัญของ เทคโนโลยอี วกาศ * ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสบื เสาะ หาความรู้ การแก้ปัญหา และจติ วทิ ยาศาสตร์ วิสัยทศั น์กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ส่งเสริมใหน้ กั เรยี นเปน็ บุคคลรักการแสวงหาความรู้ โดยใช้วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ มีความรบั ผดิ ชอบ นา ความรู้ท่ีได้จากการเรียนวทิ ยาศาสตร์ไปประยุกต์ใชใ้ นชีวิตประจาวนั และสามารถคิด วิเคราะห์ แกป้ ัญหาได้อย่าง เหมาะสม พนั ธะกิจ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ๑. พฒั นาผู้เรยี นใหส้ ามารถเรียนรู้วทิ ยาศาสตรไ์ ดเ้ ต็มตามศกั ยภาพ มีคณุ ภาพตามมาตรฐาน การศึกษาข้ันพื้นฐาน ๒. พฒั นาครแู ละบคุ ลากรให้มีศกั ยภาพในการพัฒนาการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ตาม มาตรฐานวชิ าชีพและมาตรฐานการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน ๓. ระดมทรัพยากร เทคโนโลยี แหล่งเรยี นรู้ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่ิน นวัตกรรม และปจั จัยต่างๆ
อยา่ งหลากหลายใหเ้ พียงพอและทันสมัย ๔. เน้นใหผ้ เู้ รียนมีส่วนร่วมในกระบวนการจดั การเรยี นรู้ ตามมาตรฐานการศึกษาขัน้ พื้นฐาน โดยยึดหลกั คุณธรรมนาความรู้ ประเดน็ ยทุ ธศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ๑. การพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ๒. การพัฒนาครูและบุคลากรในกลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ ๓. การพัฒนาการบรหิ ารจดั การในกลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ๔. การพัฒนาความรว่ มมือกับองค์กรอน่ื เพือ่ นาวทิ ยาศาสตรไ์ ปพฒั นาชมุ ชน เป้าประสงค์ กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ๑. ผเู้ รียนไดร้ บั การศกึ ษาด้านวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยีทมี่ ีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา ขั้นพ้ืนฐาน ๒. ครแู ละบุคลากรกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ไดร้ ับการพฒั นาให้มคี ุณภาพเต็ม ศกั ยภาพตามมาตรฐานวชิ าชพี ๓. ผเู้ รียนมีสว่ นรว่ มในการนาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีไปใช้ในการพฒั นาชุมชนและท้องถนิ่ สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ กลมุ่ สาระวิทยาศาสตร์ สาระที่ ๑ สงิ่ มีชีวิตกบั กระบวนการดารงชีวิต มาตรฐาน ว ๑.๑ เขา้ ใจหน่วยพ้นื ฐานของส่ิงมชี ีวิต ความสมั พนั ธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของ ระบบต่างๆของส่งิ มีชวี ิตทางานสัมพันธ์กัน มีกระบวนการสบื เสาะหาความรสู้ ือ่ สารสงิ่ ที่ เรยี นรูแ้ ละนาความรู้ไปใชใ้ นการดารงชีวติ ของตนเองและดูแลสิง่ มีชีวิต มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม วิวัฒนาการของส่งิ มชี วี ติ ความหลากหลายทางชวี ภาพ การใช้เทคโนโลยเี ทคชีวภาพที่ มผี ลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจติ วิทยา ศาสตร์ สือ่ สารสิง่ ท่เี รียนรู้ และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ สาระท่ี ๒ ชีวติ กับสิ่งแวดล้อม มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสง่ิ แวดล้อมในท้องถิ่น ความสมั พันธ์ระหว่างสง่ิ แวดลอ้ มกับสงิ่ มีชีวติ ความสมั พันธ์ระหวา่ งสง่ิ มชี วี ิตตา่ ง ๆ ในระบบนิเวศ มกี ระบวนการสืบเสาะ หาความรู้ และจิตวทิ ยาศาสตร์ สื่อสารส่งิ มีเรยี นรแู้ ละนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์
มาตรฐาน ว๒.๒ เขา้ ใจความสาคัญของทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ทรพั ยากรธรรมชาติใน ระดบั ท้องถ่ิน ประเทศ และโลก นาความรู้ไปใช้ในการจดั การทรพั ยากร ธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม ในท้องถิ่นอย่างยง่ั ยนื สาระที่ ๓ สารและสมบัติของสาร มาตรฐาน ว๓.๑ เข้าใจสมบัตขิ องสาร ความสัมพันธร์ ะหว่างสมบตั ขิ องสารกับโครงสรา้ งและแรงยึด เหนย่ี วระหวา่ งอนุภาค มกี ระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจิตวทิ ยาศาสตรส์ ่ือสารสง่ิ ที่ เรียนรู้และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว๓.๒ เข้าใจหลักการและธรรมชาตขิ องการเปลยี่ นแปลงสถานะของสาร การเกิด สารละลาย การเกดิ ปฏิกริ ยิ า มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจิตวทิ ยาศาสตร์ สื่อสารสง่ิ ที่เรยี นรแู้ ละนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ สาระท่ี ๔ แรงและการเคลื่อนที่ มาตรฐาน ว๔.๑ เข้าใจธรรมชาตขิ องแรงแม่เหลก็ ไฟฟ้า แรงโน้มถว่ ง และแรงนวิ เคลียร์ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ส่อื สารส่ิงที่เรยี นรู้และนาความรู้ไปใช้ ประโยชนอ์ ยา่ งถูกตอ้ งและมีคุณธรรม มาตรฐาน ว๔.๒ เขา้ ใจลกั ษณะการเคลื่อนท่แี บบต่าง ๆ ของวัตถุในธรรมชาติ มีกระบวนการ สืบเสาะหาความรู้และจติ วิทยาศาสตร์ สือ่ สารส่งิ ท่ีเรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ สาระที่ ๕ พลังงาน มาตรฐาน ว๕.๑ เขา้ ใจความสมั พันธ์ระหว่างพลังงานกบั การดารงชวี ิต การเปลย่ี นแปลงพลงั งาน ปฏสิ มั พันธ์ระหว่างสารและพลงั งาน ผลของการใช้พลงั งานตอ่ ชีวิตและส่งิ แวดลอ้ ม มี กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สือ่ สารส่งิ ทีเ่ รียนรูแ้ ละนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ สาระท่ี ๖ กระบวนการเปล่ียนแปลงของโลก มาตรฐาน ว๖.๑ เขา้ ใจกระบวนการต่าง ๆ ท่เี กิดขน้ึ บนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพนั ธข์ อง กระบวนการต่าง ๆ ทีม่ ผี ลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศ ภมู ิประเทศ และสัณฐาน ของโลก มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ และจิตวทิ ยาศาสตร์ ส่อื สารสง่ิ ท่เี รียนรู้ และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ สาระที่ ๗ ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ มาตรฐาน ว๗.๑ เขา้ ใจวิวฒั นาการของระบบสรุ ิยะ กาแล็กซแี ละเอกภพ การปฏสิ ัมพนั ธ์ภายในระบบ สรุ ยิ ะและผลต่อสงิ่ มชี ีวติ บนโลก มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และจิตวทิ ยาศาสตร์ สอ่ื สารสงิ่ ที่เรียนรแู้ ละนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว๗.๒ เข้าใจความสาคญั ของเทคโนโลยอี วกาศท่ีนามาใช้ในการสารวจอวกาศและ ทรพั ยากรธรรมชาติ ด้านการเกษตรและการสื่อสาร มกี ระบวนการสบื เสาะ หาความรู้ และจิตวทิ ยาศาสตร์ สอื่ สารส่ิงที่เรียนรู้และนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์อย่างมี คณุ ธรรมต่อชีวติ และส่งิ แวดลอ้ ม สาระท่ี ๘ ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาตรฐาน ว๘.๑ ใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และจิตวทิ ยาศาสตร์ มีกระบวนการสบื เสาะ หาความรู้ การแก้ปญั หา รวู้ ่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติท่ีเกดิ ขึ้นส่วนใหญ่มี รูปแบบทแ่ี นน่ อน สามารถอธบิ ายและตรวจสอบได้ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือท่ีมีอยู่ใน ช่วงเวลาน้นั ๆ เขา้ ใจวา่ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และสิ่งแวดล้อมมีความ เก่ยี วขอ้ งสัมพันธก์ ัน คุณภาพผเู้ รียน เมอื่ ผูเ้ รียนจบการศึกษาข้นั พื้นฐาน ๑๒ ปีแล้ว ผูเ้ รยี นจะตอ้ งมีความรคู้ วามเขา้ ใจในเน้ือหาสาระ วทิ ยาศาสตร์ มีทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มที ัศนคติและเจตคตทิ ่ีดีต่อวทิ ยาศาสตร์ ตระหนกั ในคุณคา่ ของวทิ ยาศาสตร์ และสามารถนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปพัฒนาคุณภาพชีวติ ตลอดจนสามารถนาไปเป็น เคร่อื งมือในการเรียนรูส้ งิ่ ตา่ งๆ และเป็นพน้ื ฐานในการศึกษาในระดบั สงู ข้นึ จบชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ เมื่อผู้เรยี นจบการศึกษาชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๓ ผู้เรียนควรมคี วามสามารถดังน้ี ๑. เขา้ ใจลกั ษณะและองคป์ ระกอบทส่ี าคัญของเซลล์สงิ่ มีชีวิต ความสมั พนั ธ์ของการทางานของระบบต่าง ๆการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เทคโนโลยีชวี ภาพ ความหลากหลายของสิ่งมชี วี ติ พฤตกิ รรมและการ ตอบสนองต่อสง่ิ เรา้ ของส่ิงมชี ีวติ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งส่ิงมีชวี ิตในส่ิงแวดลอ้ ม ๒. เข้าใจองคป์ ระกอบและสมบตั ิของสารละลาย สารบริสุทธิ์ การเปล่ยี นแปลงในรูปแบบของการ เปลย่ี นแปลงสถานะ การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี ๓. เขา้ ใจแรงเสยี ดทาน โมเมนตข์ องแรง การเคล่อื นที่แบบต่าง ๆ ในชีวิตประจาวัน กฎการอนุรักษ์ พลงั งาน การถ่ายโอนพลังงาน สมดุลความรอ้ น การสะท้อน การหกั เหและความเข้มของแสง ๔. เขา้ ใจความสัมพนั ธร์ ะหว่างปรมิ าณทางไฟฟ้า หลักการตอ่ วงจรไฟฟา้ ในบ้าน พลงั งานไฟฟ้าและหลักการเบ้ืองต้นของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ๕. เขา้ ใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก แหลง่ ทรัพยากรธรณี ปจั จัยทม่ี ผี ลต่อการ เปลีย่ นแปลงของบรรยากาศ ปฏบิ ัตภิ ายในระบบสุริยะ และผลทม่ี ตี อ่ สิ่งตา่ ง ๆ บนโลก ความสาคัญของ เทคโนโลยอี วกาศ ๖. เขา้ ใจความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งวิทยาศาสตรก์ บั เทคโนโลยี การพฒั นาและผลของการพฒั นาเทคโนโลยี ต่อคุณภาพชีวิตและส่งิ แวดล้อม
๗. ตัง้ คาถามทมี่ ีการกาหนดและควบคุมตัวแปร คดิ คาดคะเนคาตอบหลายแนวทาง วางแผนและลงมือสารวจ ตรวจสอบ วิเคราะห์และประเมนิ ความสอดคลอ้ งของข้อมูล และสร้างองค์ ความรู้ ๘. สอ่ื สารความคดิ ความรูจ้ ากผลการสารวจตรวจสอบโดยการพดู เขยี น จดั แสดงหรอื ใชเ้ ทคโนโลยี สารสนเทศ ๙.ใชค้ วามรูแ้ ละกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดารงชีวติ การศึกษาหาความรเู้ พิ่มเติม ทาโครงงานหรือสร้างชน้ิ งานตามความสนใจ ๑๐.แสดงถงึ ความสนใจ มงุ่ มัน่ รบั ผดิ ชอบ รอบคอบ และซอื่ สตั ย์ในการสืบเสาะหาความรูโ้ ดยใช้ เครอ่ื งมอื และวธิ ีการที่ให้ได้ผลถกู ตอ้ งเชอ่ื ถือได้ ๑๑.ตระหนักในคุณคา่ ของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชวี ติ ประจาวัน และการประกอบอาชีพ แสดงความชืน่ ชม ยกย่องและเคารพสิทธใิ นผลงานของผคู้ ิดค้น ๑๒.แสดงความซาบซงึ้ ห่วงใยมีพฤติกรรมเกย่ี วกบั การใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม อย่างรู้คุณค่า มีสว่ นรว่ มในการพทิ กั ษ์ ดแู ลทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ มในท้องถิ่น ๑๓.ทางานรว่ มกบั ผ้อู ่ืนอย่างสรา้ งสรรค์ แสดงความคิดเห็นของตนเองและยอมรบั ฟังความคดิ เหน็ ของ ผูอ้ ่นื จบชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ ๖ เมอื่ ผู้เรียนจบการศึกษาช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๖ ผเู้ รียนควรมีความสามารถดงั นี้ ๑. เข้าใจการรกั ษาดุลยภาพของเซลลแ์ ละกลไกการรักษาดุลยภาพของส่งิ มชี วี ิต ๒. เข้าใจกระบวนการการถ่ายทอดสารพนั ธกุ รรม การแปรผัน มวิ เทชัน ววิ ฒั นาการของส่งิ มีชีวติ และ ปจั จยั ท่ีมผี ลตอ่ การอยู่รอดของส่งิ มชี วี ติ ในสิ่งแวดลอ้ มต่างๆ ๓. เขา้ ใจกระบวนการ ความสาคัญและผลของเทคโนโลยีชีวภาพตอ่ มนุษย์ สิ่งมชี วี ิตและสง่ิ แวดล้อม ๔. เข้าใจชนดิ ของอนภุ าคสาคัญที่เปน็ ส่วนประกอบในโรงสร้างอะตอม การจัดเรยี งธาตใุ นตารางธาตุ การเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมีและเขียนสมการเคมี ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี ๕. เขา้ ใจชนิดของแรงยึดเหน่ียวระหวา่ งอนภุ าคและสมบัติตา่ งๆ ของสารทมี่ ีความสมั พันธ์กบั แรงยดึ เหนย่ี ว ๖. เขา้ ใจการเกิดปิโตรเลียม การแยกแกส๊ ธรรมชาตแิ ละการกล่นั ลาดบั สว่ นนา้ มันดิบ การนาผลิตภัณฑ์ ปโิ ตรเลียมไปใช้ประโยชน์และผลต่อส่ิงมีชีวิตและสงิ่ แวดล้อม ๗. เข้าใจชนดิ สมบตั ิ ปฏกิ ิริยาทีส่ าคัญของพอลิเมอรแ์ ละสารชวี โมเลกุล ๘. เขา้ ใจความสาคญั ระหวา่ งปรมิ าณทีเ่ ก่ยี วกบั การเคลื่อนท่แี บบตา่ ง ๆ สมบัติของคลนื่ กลคณุ ภาพของ เสยี งและการไดย้ ิน สมบตั ิ ประโยชนแ์ ละโทษของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า กัมมนั ตภาพรังสแี ละพลงั งานนิวเคลียร์ ๙. เขา้ ใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลกและปรากฏการณ์ทางธรณที ี่มผี ลต่อสง่ิ มีชีวิตและส่ิงแวดล้อม ๑๐. เขา้ ใจการเกดิ และวิวัฒนาการของระบบสุริยะ กาแล็กซี เอกภพ และความสาคัญของเทคโนโลยี อวกาศ
๑๑. เข้าใจความสัมพนั ธ์ของความร้วู ทิ ยาศาสตรท์ ่มี ผี ลต่อการพฒั นาเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และการ พฒั นาเทคโนโลยที ี่สง่ ผลให้มีการคิดค้นความรทู้ างวิทยาศาสตรท์ กี่ ้าวหน้า ผลของเทคโนโลยีต่อชวี ติ สงั คม และ สิ่งแวดล้อม ๑๒. ระบุปัญหา ตั้งคาถามท่ีจะสารวจตรวจสอบ โดยมีการกาหนดความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตวั แปรตา่ งๆ สืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่ง ต้งั สมมตฐิ านไปได้หลายแนวทาง ตัดสินใจเลือกตรวจสอบสมมตฐิ านท่เี ป็นไปได้ ๑๓. วางแผนการสารวจตรวจสอบเพ่ือแก้ไขปัญหาหรือตอบคาถาม วิเคราะห์ เชื่อมโยงความสัมพนั ธ์ของ ตวั แปรตา่ งๆ โดยใช้สมการทางคณิตศาสตร์หรอื สร้างแบบจาลองจากผลหรอื ความรทู้ ่ีได้รับจากการสารวจ ตรวจสอบ ๑๔. สอ่ื สารความคิด ความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบโดยการพดู เขียน จดั แสดงหรอื ใชเ้ ทคโนโลยี สารสนเทศ ๑๕. ใชค้ วามรูแ้ ละกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดารงชวี ติ การศกึ ษาหาความรู้เพ่ิมเตมิ ทา โครงงานหริสร้างชนิ้ งานตามความสนใจ ๑๖. แสดงถึงความสนใจ มงุ่ มั่น รบั ผิดชอบ รอบคอบ และซือ่ สัตย์ในการสบื เสาะหาความรโู้ ดยใช้ เคร่ืองมอื และวธิ กี ารทใ่ี ห้ไดผ้ ลถกู ตอ้ งเชือ่ ถือได้ ๑๗. ตระหนักในคณุ ค่าของความร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยที ีใ่ ช้ในชีวิตประจาวนั การประกอบชีพ แสดงถึงความช่นื ชม ภูมิใจ ยกยอ่ ง อ้างอิงผลงาน ชิ้นงานทเ่ี ปน็ ผลจากภมู ปิ ญั ญาท้องถนิ่ และเทคโนโลยีท่ี ทนั สมัย ๑๘. แสดงความซาบซึ้ง หว่ งใย มีพฤติกรรมเกย่ี วกบั การใช้และการรกั ษาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ ส่งิ แวดล้อมอย่างรู้คุณคา่ เสนอตวั เองร่วมมอื กบั ผู้ปฏิบัตกิ ับชมุ ชนและการป้องกนั ดูแลทรพั ยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดลอ้ มของท้องถน่ิ ๑๙. แสดงถงึ ความพอใจและเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้ หรอื แกป้ ัญหาได้ ๒๐. ทางานร่วมกับผู้อน่ื อย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้างองิ และเหตผุ ลประกอบ เกีย่ วกับการพัฒนาและการใช้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีอยา่ งมคี ณุ ธรรมต่อสังคมและสง่ิ แวดล้อม และยอมรบั ฟงั ความคิดเห็นของผู้อ่ืน
คาอธิบายรายวชิ าพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ ๖ กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๓ ภาคเรียนท่ี ๒ เวลา ๖๐ ชว่ั โมง จานวน ๑.๕ หน่วยกติ ศึกษา วเิ คราะห์ ระบบสุริยะ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งดวงอาทติ ย์ โลก ดวงจันทร์ ดาวเคราะหใ์ น ระบบสรุ ิยะ กลุม่ ดาวฤกษ์ กาแลก็ ซีและเอกภพ เทคโนโลยอี วกาศ กลอ้ งโทรทรรศน์ ดาวเทียม ยานอวกาศ ลักษณะของโครโมโซม ความสาคญั ของสารพันธกุ รรม กระบวนการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม โรค ทางพันธกุ รรม การใช้ประโยชนจ์ ากความรู้ดา้ นพนั ธุศาสตร์ องค์ประกอบของระบบนิเวศ การถ่ายทอด พลังงานของสงิ่ มีชีวติ สมดลุ ของระบบนิเวศ วฏั จักรของสารในระบบนิเวศ ประชากร ความหลากหลาย ทางชวี ภาพ ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น การใช้ทรัพยากรธรรมชาตอิ ย่างยั่งยนื ตาม ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง โดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสารวจ ตรวจสอบ การสบื คน้ ข้อมลู และการอภปิ ราย เพื่อให้เกิดความรู้ ความคดิ ความเขา้ ใจ สามารถส่ือสารสงิ่ ที่ เรยี นรู้ มคี วามสามารถในการตดั สนิ ใจ นาความรไู้ ปใช้ในชีวติ ประจาวนั มจี ติ วทิ ยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คณุ ธรรม และคา่ นิยมที่เหมาะสม รหัสตัวชว้ี ัด ว ๑.๒ ม.๓/๑, ม.๓/๒, ม.๓/๓, ม.๓/๔, ม.๓/๕, ม.๓/๖ ว ๒.๑ ม.๓/๑, ม.๓/๒, ม.๓/๓, ม.๓/๔ ว ๒.๒ ม.๓/๑, ม.๓/๒, ม.๓/๓, ม.๓/๔, ม.๓/๕, ม.๓/๖ ว ๗.๑ ม.๓/๑, ม.๓/๒, ม.๓/๓ ว ๗.๒ ม.๓/๑ ว ๘.๑ ม.๑/๑, ม.๑/๒, ม.๑/๓, ม.๑/๔, ม.๑/๕, ม.๑/๖, ม.๑/๗, ม.๑/๘, ม.๑/๙ รวมทัง้ หมด ๒๙ ตัวชี้วัด
ตัวชี้วดั ๑. สบื คน้ และอธิบายความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งดวงอาทติ ย์ โลก ดวงจนั ทรแ์ ละดาวเคราะหอ์ ืน่ ๆ และผลที่ เกิดขนึ้ ตอ่ ส่ิงแวดล้อมและส่งิ มชี ีวิตบนโลก ๒. สบื ค้นและอธบิ ายองคป์ ระกอบของเอกภพ กาแลก็ ซี และระบบสุริยะ ๓. ระบุตาแหน่งของกลุ่มดาว และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ๔. สืบค้นและอภิปรายความกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยีอวกาศทใ่ี ชส้ ารวจอวกาศ วตั ถุทอ้ งฟา้ สภาวะ อากาศ ทรพั ยากรธรรมชาติ การเกษตร และการส่ือสาร ๕. สงั เกตและอธิบายลกั ษณะของโครโมโซม ทมี่ ีหน่วยพนั ธุกรรมหรือยนี ในนวิ เคลียส ๖. อธบิ ายความสาคัญของสารพนั ธกุ รรมหรอื ดีเอน็ เอ และกระบวนการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม ๗. อภปิ รายโรคทางพนั ธุกรรมท่เี กิดจากความผิดปกตขิ องยนี และโครโมโซมและนาความรูไ้ ปใช้ ประโยชน์ ๘. สารวจและอธบิ ายความหลากหลายทางชวี ภาพในทอ้ งถิ่นที่ทาให้สิ่งมชี วี ติ ดารงชวี ิตอยู่ได้อยา่ งสมดลุ ๙. อธบิ ายผลของความหลากหลายทางชีวภาพที่มีต่อมนษุ ย์ สัตว์ พืช และส่ิงแวดล้อม ๑๐. อภปิ รายผลของเทคโนโลยชี ีวภาพตอ่ การดารงชีวิตของมนุษย์และส่งิ แวดลอ้ ม ๑๑. สารวจระบบนเิ วศตา่ งๆในท้องถ่นิ และอธบิ าย ความสัมพนั ธ์ขององค์ประกอบภายในระบบนิเวศ ๑๒. วเิ คราะหแ์ ละอธบิ ายความสัมพันธข์ องการถ่ายทอดพลังงานของสิง่ มีชวี ิตในรูปของโซอ่ าหารและ สายใยอาหาร ๑๓. อธิบายวฏั จกั รนา้ วฏั จกั รคาร์บอน และความสาคญั ที่มีต่อระบบนิเวศ ๑๔ อธบิ ายปจั จยั ท่มี ีผลต่อการเปล่ียนแปลงขนาดของประชากรในระบบนิเวศ ๑๕. วิเคราะห์สภาพปัญหาสง่ิ แวดล้อม ทรพั ยากรธรรมชาตใิ นทอ้ งถิ่น และเสนอแนวทางในการแกไ้ ข ปญั หา ๑๖. อธิบายแนวทางการรกั ษาสมดลุ ของระบบนิเวศ ๑๗. อภปิ รายการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอยา่ งย่งั ยืน ๑๘. วเิ คราะหแ์ ละอธบิ ายการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ตามปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ๑๙. อภิปรายปญั หาส่งิ แวดล้อมและเสนอแนะแนวทางการแกป้ ญั หา ๒๐. อภิปรายและมีส่วนรว่ มในการดแู ลและอนุรักษ์สงิ่ แวดลอ้ มในทอ้ งถน่ิ อยา่ งย่ังยนื ๒๑. ต้ังคาถามท่กี าหนดประเดน็ หรือตัวแปรที่สาคญั ในการสารวจตรวจสอบ หรอื ศึกษาคน้ คว้าเรอื่ งที่ สนใจได้อย่างครอบคลุมและเช่ือถอื ได้ ๒๒. สร้างสมมติฐานทีส่ ามารถตรวจสอบไดแ้ ละวางแผนการสารวจตรวจสอบหลาย ๆ วธิ ี ๒๓. เลือกเทคนคิ วธิ ีการสารวจตรวจสอบทง้ั เชิงปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพทไี่ ด้ผลเทีย่ งตรงและปลอดภัย โดยใชว้ สั ดแุ ละเคร่ืองมือทีเ่ หมาะสม ๒๔. รวบรวมขอ้ มูล จัดกระทาข้อมูลเชงิ ปรมิ าณและคุณภาพ ๒๕. วิเคราะห์และประเมนิ ความสอดคล้องของประจักษ์พยานกับขอ้ สรุป ทัง้ ท่สี นบั สนุนหรอื ขัดแย้งกบั สมมติฐาน และความผดิ ปกติของขอ้ มลู จากการสารวจตรวจสอบ ๒๖. สรา้ งแบบจาลอง หรือรูปแบบ ท่อี ธิบายผลหรือแสดงผลของการสารวจตรวจสอบ ๒๗. สร้างคาถามทีน่ าไปส่กู ารสารวจตรวจสอบ ในเรือ่ งท่เี ก่ียวขอ้ ง และนาความรทู้ ีไ่ ด้ไปใชใ้ น สถานการณ์ใหมห่ รืออธบิ ายเกยี่ วกับแนวคดิ กระบวนการ และผลของโครงงานหรอื ชิน้ งานให้ ผอู้ นื่ เขา้ ใจ ๒๘. บนั ทึกและอธบิ ายผลการสงั เกต การสารวจ ตรวจสอบ ค้นคว้าเพม่ิ เตมิ จากแหล่งความรู้ตา่ ง ๆ ให้ ไดข้ ้อมูลทเ่ี ชือ่ ถอื ได้ และยอมรับการเปล่ยี นแปลงความรู้ที่ค้นพบเม่อื มีขอ้ มลู และประจกั ษพ์ ยาน ใหมเ่ พ่มิ ข้นึ หรือโต้แยง้ จากเดิม ๒๙.จดั แสดงผลงาน เขยี นรายงาน และ/หรืออธิบายเกยี่ วกับแนวคดิ กระบวนการ และผลของโครงงานหรอื ชิ้นงานใหผ้ อู้ ื่นเขา้ ใจ
โครงสร้างรายวชิ า ว๒๓๑๐๒ วิทยาศาสตร์ ๖ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๓ ภาคเรียนที่ ๒ เวลา ๖๐ ช่วั โมง จานวน ๑.๕ หน่วยกิต หน่วยการเรยี นรู้ มฐ.ตัวชี้วัด สาระสาคญั เวลา น้าหนัก ๒๐ ๒๐ เอกภพและ ว๗.๑ โลกเปน็ ดาวเคราะหด์ วงหนงึ่ ใน เทคโนโลยีอวกาศ ม.๓/๑๒ - ระบบสุรยิ ะซึง่ มีดวงอาทติ ย์เป็นศูนย์กลาง ม.๓/๑๔ โดยโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ และ ว๗.๒ ขณะเดียวกนั กห็ มนุ รอบตวั เอง การท่ีโลก ม.๓/๑๕ หมุนรอบตัวเองทาให้เกดิ กลางวันกลางคืน ทิศ ปรากฏการณ์ข้ึนตกของดวงอาทติ ยแ์ ละ ดวงดาวทั้งหลาย จากการโคจรของโลกรอบ ดวงอาทิตย์จะปรากฏสรุ ิยะวิถี ระนาบสุริยะ วิธี ตาแหน่งดวงอาทติ ย์ข้ึนในแต่ละวันตลอดปี มีการเปลย่ี นแปลงแบบวัฏจกั ร และทาใหส้ ่วน ต่างๆ ของโลกได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ แตกต่างกัน เปน็ ผลใหเ้ กิดฤดูกาลพลงั งานจาก ดวงอาทติ ยเ์ กิดจากปฏกิ ริ ิยาเทอรโ์ มนวิ เคลยี ร์ ฟิวชนั ที่แกน่ กลางของดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทรเ์ ป็นบริวารของโลก การ โคจรรอบโลกของดวงจนั ทร์ทาใหเ้ กดิ ปรากฏการณ์ข้างขึ้น ข้างแรม น้าข้นึ นา้ ลง ดวงจันทรม์ ีแรงโน้มถ่วงน้อยกวา่ โลกประมาณ ๖ เทา่ ในระบบสุรยิ ะมดี าวเคราะห์ ซง่ึ แบง่ เป็นดาวเคราะห์ช้นั ในมี ๔ ดวง ดาว เคราะหช์ น้ั นอกมี ๕ ดวง ดาวเคราะหส์ ว่ น ใหญ่จะมดี วงจันทร์เปน็ บรวิ าร บางดวงมวี ง แหวนล้อมรอบ โลกเปน็ ดาวเคราะหด์ วงเดยี ว
หน่วยการเรยี นรู้ มฐ.ตัวช้ีวัด สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั เอกภพและ ว๗.๑ ในระบบสรุ ิยะมดี าวเคราะห์ ซ่ึงแบ่งเปน็ ดาว เทคโนโลยี ม.๓/๑๒ - เคราะหช์ นั้ ในมี ๔ ดวง ดาวเคราะหช์ ั้นนอกมี ๕ อวกาศ ม.๓/๑๔ ดวง ดาวเคราะห์ส่วนใหญ่จะมดี วงจันทร์เป็นบรวิ าร ว๗.๒ บางดวงมวี งแหวนล้อมรอบ โลกเปน็ ดาวเคราะห์ดวง ม.๓/๑๕ เดียวทม่ี สี ่งิ มีชีวิต ในระบบสรุ ิยะนอกจากดาวเคราะห์ แล้ว ยังมดี าวเคราะหน์ ้อย เศษวัตถขุ นาดเล็ก และ ดาวหางเป็นบรวิ าร เมอื่ วัตถุท้องฟา้ เหลา่ นี้เขา้ สู่ บรรยากาศของโลก อาจเกิดเปน็ ดาวตกหรอื ผีพุง่ ไต้ ฝนดาวตกและอุกกาบาต ระบบสรุ ยิ ะอย่กู ันเป็นระบบได้เพราะแรง ดงึ ดดู ระหวา่ งมวล ซ่งึ เรยี กว่า แรงโนม้ ถว่ ง ปรากฏการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างสง่ แรงดงึ ดูดซึง่ กันและกัน คอื ปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหวา่ งดวงดาวในระบบสุริยะ ดวงดาวทเี่ ราสงั เกตเห็นบนทอ้ งฟา้ เกอื บทุก ดวงเป็นดาวฤกษ์ จะมี ๕ ดวงเทา่ นน้ั ทีเ่ ปน็ ดาว เคราะห์ ดาวฤกษท์ ปี่ รากฏ นกั ดาราศาสตร์ได้จดั แบ่งเป็นกลุม่ ๆ เรียกว่า กลุ่มดาวฤกษ์ เชน่ กลมุ่ ดาวจักรราศี กลมุ่ ดาวที่ใช้บอกทศิ เหนือและฤดูกาล เพ่อื ความสะดวกในการศึกษาดวงดาวตา่ ง ๆ บน ทอ้ งฟ้า จงึ ใชแ้ ผนที่ซงึ่ แสดงตาแหน่งของดาวฤกษ์ และกลมุ่ ดาว เรียกว่า แผนทด่ี าว
หนว่ ยการเรียนรู้ มฐ.ตัวช้ีวัด สาระสาคญั เวลา น้าหนัก เอกภพและ ว๗.๑ ดาวฤกษส์ ่วนใหญบ่ นท้องฟา้ เคลื่อนทป่ี รากฏ เทคโนโลยี อวกาศ ม.๓/๑๒ - จากทิศตะวนั ออกไปทิศตะวันตก แตด่ าวเหนอื เป็น ดาวฤกษ์ท่ปี รากฏอยู่ทตี่ าแหน่งเดมิ ตลอดเวลา ม.๓/๑๔ เนอ่ื งจากแกนหมุนของโลกที่ผ่านข้วั โลกเหนอื ชีอ้ ยใู่ น ตาแหน่งใกลเ้ คียงกับดาวเหนือ เราสามารถหา ว๗.๒ ตาแหนง่ ดาวเหนอื และทิศเหนือได้จากกลุ่มดาวทใ่ี ชห้ า ม.๓/๑๕ ทศิ เหนือ คือ กล่มุ ดาวจระเข้ กลุ่มดาวค้างคาว และ กลุม่ ดาวเตา่ ระบบของดวงดาวท่ปี ระกอบด้วยดาวฤกษ์ เนบวิ ลา และวัตถทุ ้องฟา้ อ่ืนๆ รวมเรียกวา่ กาแลก็ ซี่ ระบบสรุ ยิ ะเป็นสว่ นหนึง่ ของกาแล็กซี่ทางชา้ งเผือก ระบบทร่ี วบรวมกาแลก็ ซ่หี ลายๆ กาแล็กซ่ีเข้าดว้ ยกัน ตลอดจนวัตถุต่างๆ ในท้องฟ้า เรียกวา่ เอกภพ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทาให้มนุษย์ สามารถสรา้ งกล้องโทรทรรศนเ์ พอื่ สารวจอวกาศ กล้องโทรทรรศน์เป็นอุปกรณ์ทช่ี ่วยขยายภาพวตั ถุใน ท้องฟ้าท่ีอยไู่ กลให้มีขนาดใหญ่ข้ึน กลอ้ งโทรทรรศน์มี หลายแบบ เชน่ กลอ้ งโทรทรรศน์ประเภทหักเหแสง กลอ้ งโทรทรรศน์ประเภทสะท้อนแสง เปน็ กล้องใชไ้ ด้ เฉพาะคลน่ื แสงทีต่ ามองเห็นไดเ้ ท่านั้น กล้อง โทรทรรศน์วทิ ยจุ งึ ถูกสรา้ งขนึ้ มาเพ่ือตรวจรบั คลื่นวิทยุ จากดวงดาว กลอ้ งโทรทรรศน์ดงั กล่าวเป็นกล้องท่ีต้ัง บนโลก ถกู รบกวนจากบรรยากาศท่ีห่อหมุ้ เชน่ เมฆ หมอก ฝน ส่วนคลนื่ รงั สีเอกซ์ รงั สีแกมมา เป็นรงั สี คลื่นสนั้ ไม่สามารถทะลผุ า่ นบรรยากาศได้ จึงได้ สรา้ งกลอ้ งโทรทรรศน์ขึ้น
หน่วยการ มฐ.ตัวชี้วัด สาระสาคญั เวลา น้าหนัก เรียนรู้ พันธุกรร ว๑.๒ ไปในอวกาศ เชน่ กล้องโทรทรรศนฮ์ ับเบลิ ซึง่ เปน็ ๒๒ ๓๐ ม ความสาเรจ็ จากการพัฒนาจรวด จนสามารถส่ง ม.๓/๑, ม.๓/๒, ดาวเทียมและยานอวกาศไปสู่อวกาศได้ - ม.๓/๓,ม.๓/๕, โครโมโซม ม.๓/๖ ดาวเทียมกบั ยานอวกาศ เหมือนกนั ตรงท่เี ปน็ - การ อปุ กรณ์ทอ้ งฟ้าท่มี นษุ ย์ประดิษฐ์ขึ้น แต่มีท่แี ตกต่างกนั ถ่ายทอด คือ ดาวเทยี มน้ันเปน็ อุปกรณ์ท่ีมนษุ ย์ส่งขึน้ ไปในวง ลักษณะ โคจรรอบโลก ระดบั สงู กลาง หรอื วงโคจรระดบั ตา่ เพือ่ ทาหน้าท่ีต่างๆ เช่น การส่ือสาร การพยากรณ์ ทาง สภาพภมู ิอากาศ การสารวจทรัพยากร และการศึกษา พันธกุ รรม ทางวทิ ยาศาสตร์อ่นื ๆ ในส่วนของยานอวกาศเปน็ - โรคทาง พาหนะท่ีนานกั บนิ อวกาศหรอื นาอุปกรณส์ าหรบั พนั ธุกรรม ออกไปสารวจอวกาศ เทคโนโลยีอวกาศช่วยให้มนุษย์เกิดความสะดวก สบาย และปลอดภัยขน้ึ ทั้งในด้านการสือ่ สาร การขนสง่ การประกอบอาชพี การดาเนินชีวิตประจาวัน เปน็ ตน้ สิง่ มชี วี ิตมลี กั ษณะที่คลา้ ยคลงึ และแตกต่างจากพ่อแม่ หรือบรรพบุรษุ พนั ธุกรรมและส่ิงแวดลอ้ มมีอิทธิพลต่อ ลกั ษณะท่ปี รากฏในส่ิงมีชวี ติ ลักษณะทางพนั ธกุ รรม หมายถึง ลักษณะทถี่ ่ายทอดไปตามสายพนั ธุ์จากบรรพ บรุ ษุ ไปยังลกู หลาน ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมถา่ ยทอดได้ ทางยนี โดยการนาของเซลล์สบื พันธุ์ ยีน คือหน่วยพนั ธุกรรมซง่ึ ควบคุมการ ถา่ ยทอดลักษณะของสิ่งมชี ีวิตมีอย่ใู นโครโมโซม ทัง้ ยีน และโครโมโซมตา่ งกม็ ลี ักษณะเป็นคๆู่ การถา่ ยทอด ลักษณะพนั ธุกรรมบางลักษณะในคน ซงึ่ ลักษณะ บางอยา่ งเปน็ ลักษณะเด่น และบางอย่างเป็นลกั ษณะ ด้อย
หนว่ ยการเรยี นรู้ มฐ. สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั ตวั ชี้วดั การแสดงออกของยนี บางตัวขึ้นอยู่กับสง่ิ แวดล้อมได้แก่ อาหาร ยารักษาโรค อายุและเพศ เป็นต้น ศกึ ษา การจดั เรยี งคู่ของโครโมโซมเพ่ือนาไปสู่แนวความคดิ เก่ียวกับการพัฒนาวิธกี ารต่างๆ ท่ีลดข้อผดิ พลาด และ เพิ่มความแม่นยา เพ่อื ประโยชนใ์ นการวนิ ิจฉยั โรค พันธกุ รรมบางชนิด ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม บางอยา่ งกาหนดโดยยนี ที่อยู่บนโครโมโซมเพศ เชน่ ตาบอดสี โรคฮีโมฟเี ลยี สงิ่ มชี ีวิตมีลกั ษณะที่คล้ายคลงึ และแตกตา่ งจากพอ่ แม่หรอื บรรพบรุ ษุ พนั ธุกรรมและส่งิ แวดลอ้ มมีอิทธพิ ล ต่อลกั ษณะทีป่ รากฏในส่ิงมชี ีวิต ลกั ษณะทาง พนั ธุกรรม หมายถึง ลกั ษณะที่ถา่ ยทอดไปตามสาย พันธุ์จากบรรพบุรุษไปยังลูกหลาน ลกั ษณะทาง พนั ธุกรรมถ่ายทอดได้ทางยนี โดยการนาของเซลล์ สบื พนั ธ์ุ ยนี คือหน่วยพันธุกรรมซึ่งควบคุมการถา่ ยทอด ลักษณะของสงิ่ มชี ีวิตมีอยู่ในโครโมโซม ท้ังยนี และ โครโมโซมต่างกม็ ลี ักษณะเป็นคๆู่ ลกั ษณะเดน่ /ด้อย การแสดงออกของยีนบางตัวขึ้นอย่กู ับสิ่งแวดล้อมได้แก่ อาหาร ยารกั ษาโรค อายแุ ละเพศ เป็นต้น ศึกษา การจดั เรียงคู่ของโครโมโซมเพ่ือนาไปส่แู นวความคดิ เกีย่ วกับการพฒั นาวธิ ีการตา่ งๆ ที่ลดข้อผิดพลาด และ เพ่ิมความแมน่ ยา เพือ่ ประโยชน์ในการวินิจฉยั โรค พนั ธกุ รรมบางชนดิ ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม บางอย่างกาหนดโดยยนี ที่อยู่บนโครโมโซมเพศ เชน่ ตาบอดสี โรคฮโี มฟเี ลีย โรคทางพันธุกรรมส่วนใหญ่ รักษาใหห้ ายขาดไม่ได้ แต่การให้ความรู้ทางพนั ธกุ รรม ชว่ ยลดจานวนผูเ้ ปน็ โรคพนั ธกุ รรมบางโรคได้
หน่วยการเรียนรู้ มฐ.ตัวชี้วดั สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั ความหลากหลาย ว๒.๑ ในระบบนเิ วศหน่งึ ๆ จะประกอบด้วยกลุ่มสิ่งมีชีวติ ทางชีวภาพ ม.๓/๗, ม. หลากหลายชนดิ แมใ้ นสิ่งมชี ีวติ เดยี วกันกย็ ังมีความ ๓/๘, ม.๓/ หลากหลายทางพนั ธุกรรมท่ีทาให้เกิดสายพันธ์ตุ า่ งๆ อนั ๙, ม.๓/๑๐ เปน็ รากฐานสาคัญท่ีเอื้ออานวยให้ส่งิ มชี ีวิตสามารถ ดารงชีวิตใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพการเปล่ียนแปลงของ ส่ิงแวดล้อมรอบๆตัวได้อย่างมีประสิทธภิ าพ และ สามารถดารงเผา่ พนั ธุ์ไดส้ ืบไป ระบบนิเวศ ว๒.๒ ในแตล่ ะท้องถน่ิ มีความหลากหลายของ ๑๕ ๒๐ สภาพแวดล้อม ซ่ึงแตล่ ะแห่งมลี กั ษณะเฉพาะแตกตา่ ง ม.๓/๑๑, ม. กนั ไป โดยแตล่ ะบริเวณเปน็ แหลง่ ท่ีอยขู่ องส่ิงมีชวี ิต ๓๑๒, ม.๓/ หลากหลายชนดิ ท่ีอาศยั อยู่รว่ มกันซงึ่ เรยี กว่า กลมุ่ ๑๓, ม๓/ สง่ิ มีชีวติ การอยูร่ ่วมกนั ของส่ิงมชี วี ิตเหล่าน้ี จะมี ๑๔, ม.๓/ ความสัมพนั ธ์ซง่ึ กันและกันและสมั พันธก์ ับสิง่ ไม่มีชีวติ ใน ๑๕, ม.๓/ สิ่งแวดล้อมนน้ั ๆดว้ ย ระบบท่ีสงิ่ มีชีวิตหลากหลายชนดิ ๑๖ มีความสมั พนั ธ์และสัมพนั ธ์กับสิ่งไมม่ ีชีวิตนี้เรยี กว่า ระบบนเิ วศ ซงึ่ มีอย่หู ลากหลายระบบในโลก เชน่ ระบบนเิ วศป่าร้อนชืน้ ระบบนิเวศป่าชายเลน ระบบ นเิ วศแนวปะการัง เปน็ ต้น ในระบบนเิ วศ ส่ิงมีชีวิตทส่ี ามารถเปลีย่ นพลังงาน แสงเปน็ พลงั งานเคมสี ะสมไว้ในโมเลกลุ สารอาหาร เรยี กว่าผผู้ ลิต ตวั อย่างของผู้ผลติ เช่น พชื สาหร่ายสี เขียว เปน็ ตน้ สาหรับสัตว์มบี ทบาทเปน็ ผ้บู รโิ ภค เนอ่ื งจากได้รับพลงั งานถ่ายทอดมาโดยการบริโภค สงิ่ มชี ีวติ อื่นเปน็ อาหาร เม่ือผู้ผลิตและผู้บริโภคตายลง จะถกู ย่อยสลายโดยผ้ยู อ่ ยสลายอนิ ทรยี ส์ าร ซึง่ สามารถ เปลย่ี นอินทรยี ์สารในซากส่ิงมีชีวิตใหเ้ ป็นอนนิ ทรยี ส์ าร กลับคืนสสู่ ง่ิ แวดลอ้ ม ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสิ่งมีชวี ิต โดยการกนิ กันเปน็ ทอดๆ และมีการถ่ายทอดพลังงาน ตามลาดบั ขนั้ ของการกิน เรียกวา่ โซอ่ าหาร
หนว่ ยการ มฐ.ตวั ช้วี ดั สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั เรียนรู้ นอกจากความสมั พันธ์ในลกั ษณะโซ่อาหาร ส่งิ มีชวี ติ หลายชนิดท่ีอยู่รว่ มกันยงั มคี วามสมั พนั ธใ์ นรูปแบบอ่ืนๆ เชน่ ความสมั พนั ธ์กนั แบบการล่าเหย่ือ ความสมั พันธ์ แบบภาวะอิงอาศัย ความสมั พันธ์แบบการได้ประโยชน์ รว่ มกัน ความสัมพนั ธแ์ บบภาวะพง่ึ พา เปน็ ต้น นอกจากนใ้ี นระบบนิเวศยังมีการหมุนเวียนสาร หรอื เรยี กอีกอย่างหนึ่งวา่ วัฏจักรของสาร เช่น วฏั จกั รนา้ วฏั จกั รคาร์บอน เป็นต้น สงิ่ มีชีวติ ชนิดเดยี วกนั ทอ่ี าศยั อยใู่ นบริเวณ ณ ชว่ งเวลาหนึง่ ๆ เรียกวา่ ประชากร ปัจจยั ต่างๆ ท่ี ทาใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงขนาดประชากร ได้แก่ การ เกดิ การตาย การอพยพเขา้ และการอพยพออก ใน ระบบนเิ วศหนึ่งๆ จะพบประชากรของสง่ิ มชี ีวิต หลากหลาย บริเวณทมี่ ปี ระชากรของสิง่ มชี ีวิต หลากหลายชนิด จดั เป็นบรเิ วณท่มี คี วามหลากหลาย ทางชีวภาพมาก ปจั จบุ ันประชากรมนุษย์มีแนวโน้มเพ่มิ ขึน้ ๕๗ ๗๐ และอัตราการใช้ทรัพยากรธรรมชาตกิ เ็ พ่ิมขนึ้ อย่าง ๓ ๓๐ รวดเร็ว รวมทง้ั การใช้ทรพั ยากรอย่างไมร่ ะมดั ระวงั ของ ๖๐ ๑๐๐ มนุษย์ จงึ ทาให้เกดิ ปญั หาส่ิงแวดล้อมตามมา เชน่ ปญั หาการลดลงของพ้นื ทีป่ า่ และทรพั ยากรสัตว์ปา่ มลพษิ ทางน้า มลพิษ ทางดิน เป็นต้น ดงั นน้ั เราทกุ คนควรมีจติ สานกึ ในการดแู ลรกั ษาธรรมชาติ ศึกษา วธิ กี ารใชท้ รพั ยากรอยา่ งคมุ้ ค่าและเกดิ ผลเสยี ต่อ ส่งิ แวดลอ้ มน้อย รวมระหว่างภาคเรยี น ประเมนิ ปลายภาคเรียน รวม
2. เอกสารทเี่ กยี่ วกบั สือ่ ประสม ราชบัณฑิตยสถาน (2542, หนา้ 66)ได้บัญญัติศัพท์คาว่า “multimedia” เป็นศพั ท์บญั ญตั ิ เทคโนโลยสี ารสนเทศไว้วา่ 1. สอ่ื ประสม 2.สอ่ื หลายแบบ กดิ านันท์ มลิทอง (2544, หน้า 6-7)อธิบายว่าสือ่ ประสม หมายถงึ การนาสือ่ หลายๆประเภทมาใชร้ ว่ มกัน ทั้งวัสดุ อปุ กรณ์และวิธกี ารเพ่ือให้เกดิ ประสิทธภิ าพและประสิทธิผลสงู สดุ ในการเรียนการสอน โดยการใช้สื่อแตล่ ะ อยา่ งตามลาดับข้นั ตอนของเนื้อหา และในปจั จุบันมีการนาคอมพวิ เตอร์มาใชร้ ่วมดว้ ยเพื่อ การผลติ หรือการ ควบคมุ การทางานของอปุ กรณ์ต่างๆ ในการเสนอขอ้ มูลทั้งตัวอกั ษร ภาพกราฟกิ ภาพถา่ ย ภาพเคล่ือนไหวแบบวดี ิ ทศั นแ์ ละเสียง คา “สื่อประสม” (Multimedia) มีความหมาย ในลกั ษณะวิธีการท่ีเรยี กว่า “วิธีการสื่อประสม” (Multimedia approach) หรอื “วธิ กี ารใชส้ ่อื ขา้ มกัน” (Cross-media approach) ซึง่ ข้ึนอยู่กับหลกั การนาสื่อ โสตทัศนแ์ ละประสบการณห์ ลากหลายมาใชร้ ่วมกบั สื่อการสอนอนื่ ๆเพื่อซอ้ นเสริมค่าซ่ึงกันและกนั โดยสามารถ แบ่งลกั ษณะการใช้สื่อประสมออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่(กดิ านนั ท์ มลิทอง, 2548, หน้า 191-193) สอ่ื ประสม I (Multimedia I) เปน็ ส่ือที่ใช้โดยการนาส่ือหลายประเภทมาใช้ร่วมกนั ในลักษณะสื่อประสม แบบด้ังเดมิ เชน่ นาวิดที ศั นม์ าสอนประกอบการบรรยายของผู้สอนโดยมสี ื่อสิ่งพิมพป์ ระกอบด้วย นาแผน่ วีซีดมี า ฉายภาพยนตร์ให้ชมภายหลงั การบรรยายเน้ือหา บทเรียน การใช้วสั ดภุ าพติดกระดานแมเ่ หล็กประกอบการเล่านิทานหรอื ให้ผ้เู รยี นเล่นเกม เพ่อื ฝึกทกั ษะภายหลงั การอา่ นเนือ้ หาจากหนงั สือเรยี น เปน็ ตน้ ส่ือประสม II (Multimedia II) เปน็ สือ่ ประสมที่ใชค้ อมพิวเตอร์เป็นอุปกรณใ์ นการนาเสนอสารสนเทศหรือ การผลติ สารสนเทศในรูปแบบของข้อความ ภาพน่ิง ภาพเคลือ่ นไหวแบบวดี ทิ ัศน์ ภาพกราฟิก ภาพแอนิเมช่นั และ เสียงโดยทีผ่ ูใ้ ชม้ กี ารโตต้ อบกับสือ่ โดยตรง ความหมายของส่ือประสมดังกล่าวสอดคลอ้ งกับแนวคิดของสมสิทธิ์ จิตรสถาพร(2547) ทีก่ ล่าวเสรมิ วา่ สอื่ ประสม (multimedia)หมายถงึ การใช้สอ่ื หลายอยา่ งประกอบกนั อย่างเปน็ ระบบ ในอดีต ใช้สือ่ ทีห่ ลากหลายด้วยกันแต่ปจั จบุ ันใช้คอมพวิ เตอร์ทาหน้าทน่ี าเสนอส่ือได้หลากหลายเหมือนกับในอดีต 3. ความพึงพอใจที่มตี ่อวชิ าแสงอาทิตย์และพลังงานท่ีมกี ารจัดการเรียนรโู้ ดยใชส้ อื่ ประสม 1. ความหมายของความพึงพอใจ มีนกั การศึกษาทงั้ ในและต่างประเทศได้ให้ ความหมายเกย่ี วกับความพึงพอใจในการเรียนรู้ไว้ ดังนี้ มอร์ส (สงั คม ไชยเมอื งสง 2547 : 43 อา้ งองิ จาก Morse. 1955 : 27 ) ได้ให้ ความหมายไว้ว่า ความพงึ พอใจหมายถงึ ทกุ สิ่งทุกอย่างท่ีสามารถถอดความเครยี ดของผู้ที่ทางานให้ลดน้อยลง ถ้า เกดิ ความเครียดมากจะทาให้เกิดความไม่พอใจในการทางาน และความเครยี ดนี้มผี ลจากความต้องการของมนษุ ย์ เมื่อมนุษย์มคี วามตอ้ งการมากจะเกดิ ปฏิกริ ยิ าเรยี กร้องหาวธิ ีตอบสนอง ความเครยี ดก็จะลดน้อยลง สเตราส์ และเซเลส (สงั คม ไชยเมืองสง 2547 : 43 อา้ งองิ จาก Strarss and Saylcs. 1960 : 5-6) ได้ให้ความเห็นวา่ ความพงึ พอใจเป็นความรู้สกึ พอใจในงานท่ีทา เต็มใจท่ีจะปฏิบตั งิ านน้ันให้ สาเรจ็ ตามวัตถปุ ระสงค์
กู๊ด (สังคม ไชยเมอื งสง 2547 : 43 อา้ งอิงจาก Good. 1973 : 161) ไดใ้ หค้ วามหมาย ไวว้ า่ ความพงึ พอใจหมายถึงสภาพหรอื ระดับความพึงพอใจท่ีเปน็ ผลมาจากความสนใจ และเจตคติของบุคคลท่ีมี ต่องาน จากความหมายของ ความพึงพอใจ ทม่ี ีผใู้ ห้ความหมายไว้ขา้ งตน้ ผู้ศึกษาคน้ ควา้ พอจะสรปุ ได้วา่ ความพึง พอใจ หมายถึง ความรสู้ กึ นึกคิดท่ดี ีของบุคคลที่มตี ่อการทางานหรอื การปฏบิ ัติกจิ กรรมในเชิงบวก ความรู้สกึ พอใจ ชอบใจในการร่วมปฏบิ ัตกิ จิ กรรมการเรียนการสอน 2. แนวคิดทฤษฎที ี่เกยี่ วกบั ความพงึ พอใจ สกอ๊ ตต์ (สงั คม ไชยสงเมือง 2547 : 44 อา้ งอิงจาก Scott. 1970 : 124) ได้ เสนอความคิดในเรื่องการจูงใจให้เกดิ ความ พึงพอใจต่อการทางานท่จี ะให้ผลในเชิงปฏิบัติ มลี กั ษณะดงั นี้ 1. งานควรมีสว่ นสัมพันธ์กับความปรารถนาส่วนตัว และมคี วามหมาย สาหรับผทู้ างานนน้ั ต้องมีการวางแผนและวัดความสาเร็จได้ โดยใช้ระบบการทางาน และการควบคมุ ท่ีมี ประสิทธภิ าพ 2. เพ่ือใหไ้ ดผ้ ลในการสร้างสิ่งจงู ใจภายในเปา้ หมายของงาน จะต้องมลี ักษณะดังนี้ 2.1 คนทางานมสี ว่ นในการต้ังเป้าหมาย 2.2 ผู้ปฏบิ ตั ิไดร้ บั ทราบผลสาเรจ็ ในการทางานโดยตรง 2.3 งานน้นั สามารถทาใหส้ าเร็จได้ เมอื่ นาแนวคิดน้มี าประยุกต์ใช้กบั การจัดกิจกรรมเรยี นการสอน นักเรยี นมีส่วนเลอื กเรียนตาม ความสนใจ และมีโอกาสร่วมกนั ตง้ั จุดประสงคห์ รอื ความมุ่งหมายในการทากจิ กรรมได้เลือกวธิ แี สวงหาความรู้ดว้ ย วิธที ่ีผู้เรยี นถนัดและสามารถค้นหาคาตอบได้ แคทซ์ (อรพิน จริ วฒั นศริ .ิ 2541 : Web Site ; อ้างอิงมาจาก katz. 1983 : 163) ไดก้ ลา่ วถงึ ทฤษฎีการใชป้ ระโยชน์และความพึงพอใจจากสอ่ื เปน็ ทฤษฏีที่ให้ ความสาคญั กับผู้บรโิ ภค (Consumer) หรือผรู้ ับสาร (Reciver) โดยผู้รบั สารจะอย่ใู นฐานะเป็นผกู้ ระทาการ เลือกใชส้ ื่อ (Active Selector of Media Communication) ซึ่งนับได้ว่า เปน็ มุมมองท่แี ตกต่างไปจากทฤษฎี เดมิ ทไ่ี ม่ใหค้ วามสาคญั กับผ้รู บั สารเพราะแตเ่ ดมิ ผู้รับสารถูกมองวา่ เปน็ เปน็ ผถู้ ูกกระทา ดงั นั้น สมมตุ ฐิ านของ ทฤษฎกี ารใช้ประโยชนแ์ ละความพึงพอใจในการสื่อสาร ผู้ส่งสารจงึ ไมอ่ าจคาดหมายความสัมพันธร์ ะหวา่ งขา่ วสาร กับประสิทธิผลของการส่ือสาร ผู้สง่ สารจงึ ไม่อาจคาดหมายความสมั พนั ธ์ระหว่างขา่ วสารกับประสทิ ธิผลของการ ส่ือการ เพราะท่ามกลางความสัมพนั ธ์ของตัวแปรทง้ั สอง มีปัจจยั ด้านการใช้สอ่ื ของผรู้ ับสารเขา้ มาเปน็ ตวั แปร แทรกซ้อนของกระบวนการสื่อสาร แคทซ์ ได้ทาการศึกษาและอธบิ ายเรื่องการใช้ประโยชนแ์ ละการได้รับความ พึงพอใจจากสอ่ื ดังภาพประกอบ 4
สภาวะทางจิตใจ สภาวะทางจิตใจ ความคาดหวงั เปิ ดรับสื่อมวลชนส่ือหรือแหล่ง และสังคม และสังคม จากส่ือ ข่าวสารรูปแบบต่าง ๆ (อนั ก่อใหผ้ ล มวลชนหรือ คือ) (ซ่ึงก่อใหเ้ กิด) (ซ่ึงก่อใหเ้ กิด) แหลง่ ขา่ วสารอื่น ๆ การไดร้ ับความพึงพอใจ ผลอื่น ๆ ท่ีตามมา(ท่ีไม่ได้ ตามที่ตอ้ งการ มุ่งหวงั ได)้ ตามท่ีตอ้ งการ ภาพประกอบ 1 การใชป้ ระโยชนแ์ ละการไดร้ ับความพึงพอใจจากส่ือ ทั้งน้ี ปัจจัยทเี่ ขา้ มาเกย่ี วข้องกบั ผู้รบั สารซง่ึ แคทซ์และคณะให้ความสนใจ คือ 1. สภาพทางสังคมและลักษณะทางจติ วทิ ยาของผู้รบั สาร (The Social and Psychological Origins) 2. ความต้องการ และความคาดหวังในการใช้ส่ือของผู้รับสาร (Need, Ex-pectation of the Mass Media) สองปัจจยั นาไปสู่พฤติกรรมการเปิดรับของผ้รู ับของผู้รับสารทแี่ ตกต่างกนั อนั เป็นผลมาจากความพงึ พอใจท่ีแตกตา่ งกัน และเน่ืองจากทฤษฎีให้ความสนใจกบั บทบาทของผู้รับสารวา่ เปน็ ผู้เลือกใชส้ ือ่ ได้มีการศึกษา ถึงปัจจัยตา่ ง ๆ ที่เกย่ี วข้องกับผู้รับสาร ( เช่น รายได้ การศึกษา ) โดยท้ังสองปัจจยั น้ี ได้รบั พจิ ารณาว่า นามาซึง่ เวลาวา่ งในการเปดิ รับสอ่ื ( Free Time of Media Use )ขณะเดียวกันสภาวะทางสงั คม และจิตใจที่ ต่างกนั ก่อใหม้ นุษย์มคี วามต้องการแตกตา่ งกนั ไป ความต้องการท่ีแตกตา่ งกนั นีท้ าให้แตล่ ะคนคาดคะเนสื่อแตล่ ะ ประเภทเพื่อสนองตอบความพึงพอใจได้แตกต่างกันไปดว้ ย เฮอร์เบอร์ก (สังคม ไชยสงเมือง 2547 : 45-46 อา้ งอิงจาก Herberg. 1959 : 113-115) ได้ทาการศึกษาค้นคว้าทฤษฎีที่เปน็ มลู เติมที่ทาใหเ้ กิดความพึงพอใจ เรยี ก The Motivation Hygiene Theory ทฤษฎนี ้ไี ด้กลา่ วถึงปจั จัยทท่ี าให้เกิดความพึงพอใจในการทางาน 2 ปจั จยั คือ 1. ปัจจยั กระตุ้น (Motivation Fact) เปน็ ปจั จยั ที่เกยี่ วกับการงาน ซง่ึ มีผลกอ่ ให้เกดิ ความพึง พอใจในการทางาน 2. ปจั จยั คา้ จุน (Hygien Factors) เปน็ ปัจจัยท่เี กี่ยวกับส่งิ แวดลอ้ มในการทางานและมหี น้าที่ ให้บุคคลเกิดความพึงพอใจในการทางาน ในการดาเนนิ กิจกรรมการเรยี นการสอน ความพึงพอใจเป็นส่งิ สาคญั ที่ จะกระตนุ้ ให้ผู้ทางานท่ีได้รับมอบหมาย หรอื ต้องการปฏบิ ตั ใิ หบ้ รรลผุ ลตามวัตถปุ ระสงค์ ครูผ้สู อนซ่งึ ในสภาพ ปจั จุบนั เป็นเพยี งผ้อู านวยความสะดวก หรือให้คาแนะนาปรกึ ษาถึงความพึงพอใจในการเรยี นรู้ การทาใหผ้ ู้เรียน เกิดความพงึ พอใจในการเรียนรู้ หรอื การปฏบิ ตั งิ านมีแนวคิดพื้นฐานทตี่ ่างกัน 2 ลกั ษณะ คอื
2.1 ความพึงพอใจนาไปสู่การปฏบิ ตั งิ าน การตอบสนองความต้องการผู้ปฏิบตั ิงานจนเกิดความพงึ พอใจ จะทาให้เกิด แรงจงู ใจในการเพิ่มประสทิ ธิภาพการทางานที่สงู กว่าผู้ไม่ไดร้ บั การตอบสนอง ทศั นะตามแนวคดิ ดังกล่าว สามารถแสดงดังภาพประกอบ 5 (สมยศ นาวีการ. 2525 : 155) ผลตอบแทนที่ ความพึงพอใจของ แรงจูงใจ การปฏิบตั งิ านท่ีมี ไดร้ ับ ผปู้ ฏิบตั ิงาน ประสิทธิภาพ ภาพประกอบ 2 ความพงึ พอใจนาไปสกู่ ารปฏิบตั งิ านท่มี ีประสทิ ธภิ าพ จากแนวคิดดงั กล่าว ครูผสู้ อนท่ตี ้องการใหก้ จิ กรรมการเรียนรทู้ ่เี น้นผเู้ รียนเปน็ สาคัญบรรลุ ผลสาเร็จ จึงตอ้ งคานึงถึงการจดั บรรยากาศ และสถานการณ์รวมทง้ั ส่ือ อุปกรณ์การเรียนการสอน ท่ีเอื้ออานวยต่อการเรยี นการสอน เพ่ือตอบสนองความพึงพอใจของผู้เรยี นให้มแี รงจูงใจในการทากิจกรรมจน บรรลตุ ามวตั ถุประสงคข์ องหลักสตู ร 2.2 ผลการปฏิบัติงานนาไปสู่ความพงึ พอใจ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งความพงึ พอใจ และผลการปฏิบัติงานจะถกู เชื่อมโยง ดว้ ยปัจจัยอ่ืน ๆ ผลการปฏบิ ตั ทิ ดี่ ีจะนาไปส่ผู ลตอบแทนทีเ่ หมาะสมซ่งึ ในที่สดุ จะนาไปสู่การตอบ สนองความพงึ พอใจ ผลการปฏบิ ัตงิ านยอ่ มไดร้ ับการตอบสนองในรปู ของรางวลั หรือผลตอบแทน โดยผา่ นการรับรเู้ ก่ยี วกบั ความยตุ ธิ รรมของผลการตอบแทน ซงึ่ เปน็ ตวั บง่ ช้ปี รมิ าณของผลตอบแทน ที่ผูป้ ฏิบตั ิงานได้รับ น่นั คือ ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานจะถกู กาหนดโดยความแตกต่างระหว่าง ผลตอบแทนท่ีเกิดข้นึ จริง และการรบั รู้เรื่องเกย่ี วกบั ความยุติธรรมของผลตอบแทนทรี่ ับรู้แลว้ ความพงึ พอใจจึงเกิดขนึ้ (สมยศ นาวีการ. 2521 : 119) จากแนวคิดพืน้ ฐานดังกล่าว เม่อื นามาใช้ในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ผลตอบแทน ภายในหรอื รางวลั ภายในเป็นผลด้านความรู้สกึ ของผู้เรียนท่ีเกิดข้นึ แกต่ วั ผเู้ รียนเอง เชน่ ความรสู้ ึกตอ่ ความสาเรจ็ ท่เี กดิ ข้นึ เมื่อสามารถเอาชนะความยงุ่ ยากตา่ งๆ และสามารถดาเนนิ งานภายใตค้ วามยงุ่ ยากทัง้ หลาย ได้สาเรจ็ ทาใหเ้ กดิ ความภาคภมู ใิ จ ความเชอื่ ม่นั ตลอดจนได้รับการยกย่องจากบุคคลอน่ื สว่ นผลตอบแทนภายนอก เปน็ รางวัลทผี่ อู้ น่ื จดั หาใหม้ ากกว่าที่ตนเองให้ตนเอง เช่น การได้รับคา ยกยอ่ งชมเชยจากครูผูส้ อน พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรอื แม้แต่การได้รบั คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ในระดบั ทนี่ า่ พอใจ สรปุ ไดว้ า่ ความพงึ พอใจในการเรยี น และผลการเรียนจะมีความสัมพันธ์กันในทางบวก ท้ังนีข้ นึ้ อยู่กบั กิจกรรมทผ่ี ูเ้ รียนไดป้ ฏิบตั นิ ้ัน ทาใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับการตอบสนองความต้องการด้าน รา่ งกายและจติ ใจ ซงึ่ เป็นสว่ นท่ีจะทาให้เกิดความสมบรู ณ์ของชีวติ มากนอ้ ยเพยี งใด น่นั คอื สง่ิ ที่ครูผู้สอนจะ คานงึ ถึงองคป์ ระกอบต่างๆ ในการเสรมิ สรา้ งความพึงพอใจในการเรยี นรใู้ หก้ ับผเู้ รียน
4. งานวิจยั ทีเ่ ก่ียวขอ้ ง พูลศรี เวศยอ์ ุราฬ (2543 : 66-75) ไดว้ จิ ยั เพ่ือศกึ ษาผลการเรียนผ่านเครือข่ายอนิ เทอรเ์ น็ตของ นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 โดยมจี ดุ มุ่งหมายเพ่อื ทาการพัฒนาเวบ็ ไซต์วชิ าสังคมศกึ ษาใหม้ ปี ระสิทธภิ าพตาม เกณฑ์ 85/85 เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนระหว่างแผนการเรียนของนักเรยี นท่เี รยี นผา่ นระบบเครือข่าย กับการเรยี นตามปกติ เปรียบเทยี บความคงทนในการจาระหวา่ งแผนการเรียนของนกั เรียนท่ีเรยี นผา่ นระบบ เครือข่ายกบั การเรียนตามปกตแิ ละเปรยี บเทียบความคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณของนกั เรยี นที่เรียนผา่ นระบบ เครอื ข่ายกบั การสอนปกติ ผลสรุปว่า 1) เวบ็ ไซตท์ ่ีพัฒนา มีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑท์ ี่กาหนด 2) ผลสมั ฤทธิ์ ทางการเยนของนักเรยี นทุกแผนการเรียนท่เี รยี นผา่ นระบบเครอื ข่ายสุงกวา่ การเรยี นตามปกติ 3) ความคงทนใน การจาของนักเรียนท่ีเรยี นผ่านระบบเครือข่ายพบวา่ หลังจากทดลองไป 21 วนั สงู กวา่ การเรียนปกติ หลงั จาก นั้นเมอื่ ผา่ นการทดลองไป 35 วนั พบวา่ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนไมแ่ ตกต่างกนั 4) ความคงทนในการจา ระหวา่ งแผนการเรยี นท่ีเรยี นผา่ นเครอื ข่ายทง้ั 2 คร้งั ไมแ่ ตกตา่ งกนั 5) ความคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียน ท่เี รยี นผ่านระบบเครือข่าย กับการเรียนตามปกตไิ มแ่ ตกต่างกัน 6) เจตคตขิ องนักเรยี นที่เรียนผ่านระบบ เครอื ข่ายทุกแผนการเรียนมีผลไปในทางบวก อาคม เนืองเนตร (2546 : 50-51) ได้ทาการวจิ ยั เรอื่ ง การพฒั นาบทเรียนบนเครือข่าย วชิ า ระบบสอื่ สารข้อมลู และเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ เรือ่ ง ภาษา HTML ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 มีจุดประสงคเ์ พื่อ พฒั นาบทเรยี นบนเครือขา่ ยที่มปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 ศกึ ษาคา่ ดัชนปี ระสิทธิผล ความคงทนในการ เรยี นรทู้ ี่เกิดขึน้ จากการเรียนบนเครือข่ายคอมพวิ เตอรโ์ ดยใชเ้ ครื่องมือ บทเรียนบนเครอื ข่าย แบบวัดความพึง พอใจแบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น สถติ ิที่ใช้ t-test (Dependent Sample) ประชากร จานวน 40 คน ผลปรากฏวา่ ค่าประสิทธิภาพเปน็ ไปตามเกณฑ์ 83.76/84.16 ค่าประสทิ ธิผล รอ้ ยละ 78 ระดับความพึง พอใจอย่ใู นระดับดีมาก ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนไมแ่ ตกตา่ งกัน พรพรหม ชปุ วา (2547 : 87-90) ไดศ้ กึ ษาวิจัย เร่ือง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์บน เครอื ข่าย วิชาระบบปฏิบัติ เรื่อง สว่ นประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ สาหรบั นักศึกษา ประกาศนียบัตร วิชาชีพช้นั สงู (ปวส.) ช้ันปที ี่ 1 แผนกคอมพิวเตอร์ธรุ กิจ โรงเรยี นยโสธร พณิชยการเทคโนโลยี อาเภอเมือง จงั หวัดยโสธร ผลการศึกษาค้นคว้าปรากฏวา่ มปี ระสทิ ธภิ าพ 81.38/87.22 ซึ่งสงู กว่าเกณฑ์ท่ีตั้งไว้ และบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ มีดัชนปี ระสทิ ธิผลเทา่ กับ 0.62 นอกจากนีน้ ักศึกษามคี วาม พึงพอใจ กบั บทเรยี นคอมพิวเตอรบ์ นเครือขา่ ยโดยรวมอยใู่ นระดับมาก สังคม ไชยสงเมือง (2547 : 76-81) ไดศ้ ึกษาวิจยั เรือ่ ง การพฒั นาบทเรียนบนเครือขา่ ย วชิ า ระบบสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ เรอ่ื ง เครือข่ายอินเทอรเ์ น็ต ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ของ นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรียนทา่ ขอนยางพิทยาคม อาเภอกันทรวชิ ัย จังหวัดมหาสารคาม จานวน 36 คน ผลปรากฏวา่ มีประสิทธิภาพ 89.90/85.83 และมีดัชนปี ระสิทธิผลเทา่ กบั 0.79 มีคะแนน เฉลยี่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนหลังเรียนเพิม่ ขน้ึ จากก่อนเรยี น อย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิที่ระดับ .01 และนกั เรยี นมี ความพงึ พอใจตอ่ การเรียนดว้ ยบทเรยี นบนเครือขา่ ยท่ีได้พัฒนาข้นึ โดยรวมอย่ใู นระดบั พอใจมาก
บทท่ี 3 วิธดี าเนินการศกึ ษาค้นคว้า การดาเนินการศึกษาค้นคว้าอิสระคร้ังน้ี ผศู้ ึกษาค้นควา้ ได้ดาเนินการตามข้ันตอนดังต่อไปน้ี 1. ประชากร 2. เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการศึกษาคน้ คว้า 3. วธิ ีดาเนนิ การสร้างเครอื่ งมือในการศึกษาค้นคว้า 4. สถติ ทิ ีใ่ ช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ประชากร ประชากรที่ใชใ้ นการศกึ ษาค้นควา้ ครั้งน้ี ได้แก่ นกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นสมเดจ็ พระญาณสงั วร อาเภอคาเข่ือนแก้ว จังหวดั ยโสธร ภาคเรียนท่ี 2 / 2561 มนี ักเรยี น 87 คน เครื่องมอื ท่ีใชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้ เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการศกึ ษาคน้ คว้าครั้งน้ี ประกอบดว้ ยความพงึ พอใจทมี่ ีต่อวิชาวทิ ยาศาสตร์ กลมุ่ สาระ การเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 3 เปน็ ชนดิ มาตราสว่ นประมาณคา่ ( Rating Scale ) 5 ระดับ จานวน 20 ขอ้ วธิ ีดาเนนิ การสร้างเครื่องมอื ในการศึกษาค้นควา้ 1. การสรา้ งสอื่ การเรียนการสอนโดยใชส้ อ่ื ประสม ผศู้ กึ ษาคน้ คว้าไดด้ าเนินการสรา้ งและพัฒนาสื่อ รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ 6 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ มีขั้นตอน การสรา้ งดงั นี้ 1.1 ศกึ ษาคาอธบิ ายรายวิชาและกาหนดจดุ ประสงค์การเรียนรู้ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ 6 กลุม่ สาระ การเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ตามหลักสูตรการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 อิง หลักสตู รโรงเรยี นสมเด็จพระญาณสังวร ปกี ารศกึ ษา 2559 1.2 แบง่ เนอ้ื หาสาระท้ังหมดเปน็ 6 หน่วยการเรียนรู้ดงั นี้ หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 ……………………………………………….. หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 ……………………………………………….. หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 ……………………………………………….. หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 4 ……………………………………………….. หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 …………………………………..หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 6 ………………………………………………..
2. การสรา้ งแบบวัดความพึงพอใจ ในการเรยี นด้วยสือ่ ประสม วิชาวิทยาศาสตร์ 6 ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ผ้ศู ึกษาค้นควา้ ดาเนินการสร้างแบบวดั ความพงึ พอใจตามขน้ั ตอนดงั นี้ 3.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การสร้างแบบวัดความพงึ พอใจ ผ้ศู กึ ษา คน้ คว้าได้ศึกษาการสรา้ งแบบวดั จากตาราวดั ผลทางการศกึ ษาของ สมนกึ ภัททิยธนี (2546 : 37 – 43) โดย กาหนดคา่ คะแนนเป็น 5 ระดบั ตามวธิ ขี องลิเคริ ์ท (Likert’s Scale) 3.2 ศึกษาข้อความที่แสดงถงึ ความพึงพอใจ และสร้างแบบวดั ความพึงพอใจเป็นแบบประเมินมาตรา สว่ นประมาณค่า(Rating Scale) จานวน 20 ข้อ โดยคานงึ ถงึ สิง่ ต่อไปนี้ 3.2.1 ขอ้ ความควรเขียนในแง่ความรสู้ กึ ความเชอ่ื หรือความตั้งใจท่จี ะกระทาสิ่งใดสงิ่ หนง่ึ ลง ไป ไม่ใช่เปน็ ข้อเท็จจรงิ 3.2.2 ข้อความจะต้องส้นั เขา้ ใจงา่ ย และชัดเจน 3.3 นาแบบวัดความพึงพอใจเสนอผู้เชย่ี วชาญเน้อื หาและวดั ผล จานวน 5 ทา่ น พิจารณา ตรวจสอบ ความเทีย่ งตรงเชิงเนื้อหา ผลการพิจารณาพบข้อบกพร่องดงั น้ี การใช้ภาษาในการถามไม่ถูกต้อง ข้อคาถาม บางข้อไมส่ ามารถวัดไดจ้ ริงและควรปรบั ใหส้ น้ั แตช่ ดั เจน ผู้ศึกษาได้นาข้อบกพร่องมาแก้ไขโดยปรบั ปรุงการใช้ สานวนภาษาใหถ้ ูกต้อง แก้ไขข้อคาถามบางข้อใหส้ ามารถวัดได้จรงิ ตามสภาพของบทเรียนและปรับข้อคาถามให้ สั้นอา่ นเข้าใจง่าย 3.4 นาแบบวัดความพงึ พอใจ ทผี่ ่านการปรับปรุงแก้ไขแล้ว จานวน 20 ข้อ ไปทดลอง(Try-out) กับนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรยี นสมเดจ็ พระญาณสงั วรฯ หาประสทิ ธิภาพของ เคร่อื งมอื 3.5 นาขอ้ มูลทไ่ี ดจ้ ากการประเมินมาวเิ คราะห์โดยกาหนดเกณฑ์ในการคดิ คะแนนเฉล่ยี ของ แบบสอบถามตามเกณฑ์ของ ศักด์ชิ ยั เสรีรัฐ (2530) ดังน้ี ถ้าคะแนนเฉลี่ยมีค่าน้อยกว่า 1.00-1.80 แสดงวา่ มีความพึงพอใจนอ้ ยท่สี ุด ถา้ คะแนนเฉลี่ยระหวา่ ง 1.81 – 2.60 แสดงว่ามีความพึงพอใจน้อย ถ้าคะแนนเฉล่ยี ระหว่าง 2.61 – 3.40 แสดงว่ามีความพึงพอใจปานกลาง ถา้ คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 3.41 – 4.20 แสดงวา่ มีความพงึ พอใจมาก ถ้าคะแนนเฉล่ียมากกว่า 4.21 – 5.00 แสดงว่ามีความพงึ พอใจมากท่ีสดุ 3.6 นาแบบวัดความพึงพอใจ จานวน 20 ข้อ มาหาความเชื่อม่ันทัง้ ฉบบั โดยใช้สตู รสมั ประสิทธ์ิ แอลฟา (Alpha –Coefficient)ตามวิธขี องครอนบาค (Cronbach) (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545 : 99) ไดค้ า่ ความ เชอื่ มัน่ ของแบบวดั ความพงึ พอใจทง้ั ฉบับ เท่ากับ 0.82
สถิตทิ ี่ใช้ในการศกึ ษาค้นคว้า 1. สถติ ิทใ่ี ชใ้ นการหาคา่ ความเชือ่ มั่นของแบบวดั ความพงึ พอใจ โดยใชส้ ูตร สมั ประสทิ ธแิ์ อลฟา( -Coefficient )ของครอนบาค(Cronbach) ดังนี้( บญุ ชม ศรีสะอาด. 2545 : 99 ) = si2 (k k 1 si2 1) เมื่อ แทน ค่าความเชื่อมัน่ k แทน จานวนขอ้ ของเคร่ืองมือช้ีวดั s 2 แทน ผลรวมของความแปรปรวนของคะแนนแตล่ ะข้อ i s 2 แทนความแปรปรวนของคะแนนรวม t 2. สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมูล 2.1 ค่าเฉล่ีย (Arithmetic Mean : X ) โดยใชส้ ตู ร ดงั นี้ (บุญชม ศรสี ะอาด. 2543 : 102) X = x N เมื่อ X แทน คะแนนเฉล่ยี x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จานวนคนในกลุ่มตวั อย่าง 2.1 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใชส้ ตู ร ดงั นี้ (สมนึก ภัททยิ ธนี. 2546 : 250) S = N X 2 X 2 N N 1 เม่ือ S แทน คา่ ความเบยี่ งเบนมาตรฐานของกลมุ่ ตวั อย่าง X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด X 2 แทน ผลรวมของคะแนนยกกาลงั สอง N แทน จานวนคนทงั้ หมดในกลุ่มตัวอยา่ ง
บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ในการวิเคราะหข์ ้อมูล ผศู้ ึกษาค้นคว้าไดเ้ สนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลตามลาดบั หวั ข้อดังต่อไปน้ี 1. สัญลักษณท์ ใี่ ช้ในการนาเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู 2. ลาดับขน้ั ที่ใช้ในการนาเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 3. ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู สญั ลกั ษณ์ทีใ่ ชใ้ นการนาเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ผ้ศู กึ ษาคน้ คว้าได้กาหนดความหมายของสัญลกั ษณ์ ในการวิเคราะหข์ ้อมูลเพือ่ ให้เกดิ ความเขา้ ใจในการ แปลความ และการเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ดงั ต่อไปน้ี N แทน จานวนนกั เรียน X แทน ค่าเฉลย่ี (Arithmetic Mean) S.D. แทน สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ลาดบั ขัน้ ทีใ่ ช้ในการนาเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ผู้ศกึ ษาคน้ คว้าได้ดาเนินการวิเคราะหข์ ้อมูลตามลาดับข้ันดังต่อไปน้ี วิเคราะหค์ วามพงึ พอใจของนักเรียนทีม่ ีต่อวิชาวทิ ยาศาสตร์ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3
ผลการวิเคราะห์ข้อมลู วิเคราะหค์ วามพึงพอใจของนักเรยี นท่ีมีต่อวิชาวทิ ยาศาสตร์ 6 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ชั้น มัธยมศึกษาปที ่ี 3 ซึง่ ปรากฏผลดังตาราง 1 ตาราง 1 ผลความพึงพอใจของนักเรยี นทีเ่ รียนด้วยส่ือประสม วชิ าวิทยาศาสตร์ 3 กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ความคดิ เหน็ ของนักเรียน S..D. ค่าเฉ ี่ลย แปลผล การวางแผนการสอน 0.57 4.14 มาก 4.22 มากทส่ี ดุ 1. มีการแจง้ เคา้ โครงการสอนของแตล่ ะสัปดาห์ 3.87 มาก 2. มีการแจง้ วัตถุประสงค์ของการเรียนรขู้ องแต่ละหนว่ ยอยา่ ง 0.62 4.21 มากที่สุด ชัดเจน 4.13 มาก 3. มกี ารเตรียมเอกสารประกอบการบรรยายและ/หรือ 0.72 4.11 มาก 4.00 มาก อุปกรณ์การฝึกปฏิบตั ลิ ว่ งหน้า 4.03 มาก 4. มกี ารช้แี จงหลักเกณฑ์การวดั และประเมนิ ผลอย่างชัดเจน 0.61 4.17 มาก 4.13 มาก วธิ ีการสอน 0.75 4.16 มาก 5. สามารถอธบิ ายเนื้อหาวชิ าและ/หรือขั้นตอนการฝึก 0.73 4.31 มากทส่ี ุด ปฏิบตั ิการได้อยา่ งต่อเนื่องสมั พนั ธ์กัน 0.76 6. ใชภ้ าษาในการสอนที่เหมาะสมเข้าใจงา่ ย 0.76 7. มีอปุ กรณ์การสอนส่อื /เอกสาร ทาใหเ้ ข้าใจเนอื้ หางา่ ย 0.6 ขึ้น 0.72 8. วธิ ีการสอนทาใหผ้ เู้ รียนสนใจเรียนตลอดเวลา 0.67 9. อาจารยส์ ามารถตอบคาถามได้อยา่ งชดั เจน 10. การยกตัวอยา่ งด้านจริยธรรมในเนื้อหาบทเรียน 0.73 11. มีการวัดผลผู้เรียนเป็นระยะและมีข้อแนะนาใหผ้ เู้ รียน ปรบั ปรงุ แก้ไข 12. เปิดโอกาสให้ผู้เรยี นแสดงคามคดิ เหน็ ซักถามปัญหา และสรปุ ประเด็นรว่ มกันในห้องเรยี น
ตาราง 1 (ตอ่ ) ความคิดเห็นของนักเรียน S..D. ค่าเฉ ่ีลย แปลผล พฤติกรรมการสอนทวั่ ไป 0.62 4.24 มากทส่ี ุก 13. ให้โอกาสผเู้ รียนได้ซักถาม 14 เขา้ สอนและเลกิ สอนตรงเวลา 0.67 4.10 มาก 15. มีความตงั้ ใจสอนและเข้าสอนโดยสม่าเสมอ 0.64 4.26 มากที่สุด 16. สอนครอบคลุมเน้อื หาตามทแี่ จง้ ไว้ในเคา้ โครงการสอน 0.58 4.26 มากทส่ี ุด 17. แนะนาเอกสารและแหลง่ คน้ ควา้ เพิ่มเตมิ 0.74 4.13 มาก 18. มอบหมายงานให้นกั เรียนทาอยา่ งเหมาะสมและสอดคลอ้ งกับ 0.64 4.17 มาก เนื้อหารายวิชา 19 ตรวจผลงานและให้ข้อคิดเหน็ ทเี่ ป็นประโยชนใ์ นระยะเวลาท่ี 0.73 4.14 มาก เหมาะสม 20. บคุ ลิกภาพเหมาะสม 0.73 4.04 มาก รวม 0.67 4.14 มาก ตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะ อยากเรยี นกับครูทุกวนั เสรมิ อปุ กรณก์ ารสอนให้ดีข้นึ หนอ่ ยนะคะคณุ ครู ครสู อนดีได้ความร้ดู ีคะ่ สอนดมี ากครบั ดมี ากครับ ควรมกี ารพูดให้นกั เรียนคิดตอบสนกุ สนานไม่เครียดและ ทาหอ้ งให้มสี ัญญาณเน็ตครบั ทาให้สอนเขา้ ใจง่าย ทาห้องให้มีสญั ญาณเน็ตค่ะ ขอบคุณท้ใ่ี ความรู้มากมายกบั นกั เรยี นครบั ควรมีกจิ กรรมให้ผอ่ นคลายบ้าง ทาห้องให้มีสญั ญาณอินเตอร์เนต็ ค่ะ������������ ทาใหห้ อ้ งมีสัญญาณเนต็ ความสนใจของนักเรยี น อยากให้พาเลน่ เกมคลายเคลียดด้วย มีความเครง่ ครดั มากกว่าน้ี คุณครสู อนดมี ากค่ะ ลดเวลาเรยี น เพม่ิ เวลารู้ ลดเวลาเรยี นเพิ่มเวลารู้ คณุ ครูสอนดีค้ะ������ ลดเวลาเรียนเพมิ่ กิจกรรมเลก็ น้อย คณุ ครสู อนดี เอกสารไมค่ ่อยพอเพียงต่อนักเรียน ทาไห้นักเรียนเข้าใจในการสอน นกั เรียนบางคนไม่สนใจ ครสู อนเข้าใจง่าย ทาใหน้ กั เรยี นเข้าดี และเขา้ ใจงา่ ย ผมงว่ ง^โดยไม่มสี าเหตุ อยากเรียนกบั ครูทุกวัน
จากตาราง 1 พบว่า นกั เรยี นมีความพงึ พอใจตอ่ การเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ 6 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โดยรวมอย่ใู นระดับ มาก มีคา่ เฉลย่ี ( X =4.14) เมอ่ื พิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ความพึงพอใจอยู่ในระดบั มากทส่ี ุด เรยี งลาดบั คา่ เฉลี่ยจากมากไปหาน้อย สามอันดับแรก ดังนี้ เปิดโอกาส ให้ผเู้ รยี นแสดงคามคดิ เหน็ ซักถามปัญหา และสรุปประเด็นรว่ มกนั ในห้องเรยี น ( X = 4.31) รองลงมาคือ มีความตั้งใจสอน และเข้าสอนโดยสมา่ เสมอ ( X = 4.26) สอนครอบคลมุ เนอ้ื หาตามท่แี จง้ ไวใ้ นเคา้ โครงการสอน ( X = 4.26) และให้ โอกาสผเู้ รยี นไดซ้ กั ถาม ( X = 4.24)
บทท่ี 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การศกึ ษาคน้ ควา้ ในครั้งนีเ้ พ่ือศกึ ษาความพงึ พอใจต่อวิชาวิทยาศาสตร์ 6 กลุม่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 มีขน้ั ตอนในการศกึ ษาค้นคว้า ดงั น้ี 1. ความม่งุ หมายของการศึกษา 2. สรปุ ผลการศึกษาคน้ คว้า 3. อภปิ รายผล 4. ขอ้ เสนอแนะ ความมุ่งหมายของการศกึ ษาคน้ ควา้ เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนกั เรยี นทีม่ ีต่อกจิ กรรมการเรียนการสอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ 6 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 ภาคเรยี นท่ี 2/2561 โดยใชส้ อ่ื ประสม สรปุ ผลการศกึ ษาคน้ คว้า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ 6 กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 โดยรวมอย่ใู นระดบั มาก มคี า่ เฉลย่ี ( X =4.14) อภิปรายผล จากการศกึ ษาค้นควา้ ครงั้ น้ี มีประเด็นสาคัญท่นี ามาอภิปรายผลได้ดังน้ี ผลการศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรยี น นักเรียนมคี วามพึงพอใจต่อการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 6 กลุ่มสาระการ เรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โดยรวมอยใู่ นระดับ มาก มีคา่ เฉล่ีย ( X =4.14) เมอื่ พจิ ารณาเป็น รายข้อพบว่า ความพึงพอใจอยูใ่ นระดับมากทส่ี ดุ เรยี งลาดับค่าเฉลยี่ จากมากไปหาน้อย สามอันดบั แรก ดังนี้ เปิดโอกาสให้ผู้เรยี นแสดงคามคดิ เห็น ซกั ถามปญั หา และสรุปประเด็นร่วมกันในหอ้ งเรยี น ( X = 4.31) รองลงมาคือ มี ความต้ังใจสอนและเขา้ สอนโดยสมา่ เสมอ ( X = 4.26) สอนครอบคลุมเน้ือหาตามทแ่ี จง้ ไว้ในเคา้ โครงการสอน ( X = 4.26) และใหโ้ อกาสผูเ้ รยี นไดซ้ กั ถาม ( X = 4.24) ทัง้ นเ้ี ปน็ เพราะครูการจดั การเรยี นการสอนทเ่ี น้นนกั เรยี นเป็นสาคญั มี การนาสือ่ เทคโนโลยีมาใช้ในการจดั การเรยี นการสอน ใช้สอ่ื ประสม เชน่ ใบงาน บทเรียนออนไลน์ วีดีทศั น์ การ ทดลอง ใบความรู้ แบบฝึกหัด เป็นตน้ ทาใหน้ ักเรยี นไดร้ บั สนกุ สนานเพลดิ เพลินในการเรียนการสอน บรรยากาศ ภายในหอ้ งเรียนอบอนุ่ เปน็ กันเอง ซึ่งสอดคล้องกบั งานวิจยั ของพลู ศรี เวศย์อุราฬ (2543 : 66-75) ได้วิจยั เพ่ือ ศกึ ษาผลการเรียนผา่ นเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ตของนักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 ผลสรปุ วา่ เจตคตขิ องนกั เรียนที่
เรียนผา่ นระบบเครือข่ายทุกแผนการเรยี นมีผลไปในทางบวกและสอดคลอ้ งกบั งานวจิ ัยของอาคม เนืองเนตร (2546 : 50-51) ไดท้ าการวจิ ัยเรอ่ื ง การพฒั นาบทเรยี นบนเครือข่ายฯ ผลปรากฏวา่ ระดับความพงึ พอใจอยู่ใน ระดบั ดีมาก ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนไมแ่ ตกต่างกัน และสอดคล้องกับงานวจิ ัยของพรพรหม ชุปวา (2547 : 87-90) ไดศ้ ึกษาวิจัย เรอ่ื ง การพัฒนาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์บนเครือขา่ ย วิชาระบบปฏิบัติ เร่ือง ส่วนประกอบ ของเคร่อื งคอมพิวเตอร์ สาหรบั นกั ศึกษา ประกาศนียบัตรวชิ าชพี ชนั้ สูง (ปวส.) ชนั้ ปที ี่ 1 แผนกคอมพิวเตอร์ ธรุ กิจ โรงเรียนยโสธร พณชิ ยการเทคโนโลยี อาเภอเมือง จังหวดั ยโสธร ผลการศึกษาค้นคว้าปรากฏว่า มี ประสทิ ธภิ าพ 81.38/87.22 ซงึ่ สงู กวา่ เกณฑท์ ี่ต้ังไว้ และบทเรียนคอมพิวเตอร์ มีดัชนปี ระสิทธิผลเท่ากบั 0.62 นอกจากนนี้ กั ศึกษามคี วามพึงพอใจ กับบทเรียนคอมพิวเตอร์บนเครือขา่ ยโดยรวมอยู่ในระดบั มาก และสอดคล้อง กับงานวจิ ัยของสังคม ไชยสงเมอื ง (2547 : 76-81) ได้ศึกษาวจิ ยั เร่อื ง การพฒั นาบทเรียนบนเครือข่าย วชิ า ระบบสอื่ สารข้อมลู และเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ เรอ่ื ง เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย ของ นักเรยี นระดับช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรียนท่าขอนยางพิทยาคม อาเภอกันทรวชิ ยั จงั หวัดมหาสารคาม จานวน 36 คน ผลปรากฏวา่ มปี ระสิทธิภาพ 89.90/85.83 และมดี ัชนปี ระสิทธิผลเทา่ กบั 0.79 มีคะแนน เฉล่ยี ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นหลังเรียนเพิ่มข้นึ จากก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิที่ระดบั .01 และนักเรียนมี ความพงึ พอใจต่อการเรยี นด้วยบทเรยี นบนเครือขา่ ยที่ได้พัฒนาขนึ้ โดยรวมอยู่ในระดับพอใจมาก ขอ้ เสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะของนักเรียน 1.1. ขอ้ เสนอแนะเกย่ี วกบั การสอน เทคนิค วิธีการ 1.1.1 ทดลองใหม้ ากกวา่ น้ี 1.1.2 อยากใหส้ อนแบบน้ีอีกทัง้ สนุกและได้ความรู้ 1.1.3 สอนให้ละเอียดกว่าน้ี 1.1.4 ยกตวั อยา่ งใหม้ ากกวา่ นี้ 1.2 ขอ้ เสนอแนะเก่ยี วกบั ส่ือการสอน 1.2.1 กาสอนดที าใหไ้ ด้คิดที่จะทาอะไรกท็ าได้และไม่ยากถ้าเราตง้ั ใจทจ่ี ะทา 1.2.2 เป็นสอื่ ทดี่ ีและมีประโยชน์ สื่อดี มีความน่าสนใจ ควรเพิ่มภาพ 1.3 ขอ้ เสนอแนะท่ัวไป 1.3.1 อยากใหท้ าแบบทดสอบตลอดวัน เพราะทาให้ได้ความรู้ความสามารถท่ีตนเองทาไดน้ ั้น มันไมย่ าก 1.3.2 ใหค้ รลู ดความโกรธมากกวา่ นี้ 2. ขอ้ เสนอแนะในการศึกษาค้นคว้าครงั้ ต่อไป 2.1 ควรจะมีการหาประสทิ ธิภาพของส่อื ด้วย 2.2 หาดชั นปี ระสทิ ธิผลของสือ่ การเรียน
บรรณานกุ รม กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, หลักสตู รการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544. (ฉบบั ปรบั ปรงุ 2545) กรงุ เทพฯ : กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, หนังสือสาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ กลมุ่ สาระการเรียนรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ในหลกั สตู รการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ ; โรงพิมพ์องค์การรบั ส่งสินคา้ และพัสดุภณั ฑ.์ 2545. กระทรวงศึกษาธกิ าร. พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พทุ ธศักราช 2542. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2542. บญุ ชม ศรีสะอาด. วธิ กี ารสร้างสถิติสาหรับการวจิ ยั . พิมพ์ครงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : สวุ รี ิยาสาส์น, 2538. ล้วน สานยศ และองั คณา สายยศ. เทคนคิ การวิจัยทางการศกึ ษา. กรุงเทพฯ : ศูนยส์ ่งเสริม วชิ าการ, 2538. วิรฬุ ห์ ลีลาฤทธิ์. เทคโนโลยีทางการศึกษา. กรงุ เทพฯ : วัฒนาพานิช, 2521. สมนึก ภทั ทยิ ธนี. การวดั ผลการศกึ ษา. พมิ พ์คร้งั ท่ี 4. กาฬสนิ ธ์ุ : ประสานการพิมพ์, 2546. สมยศ นาวกี าร. การบรหิ าร. พมิ พ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพฯ : บรรณกจิ , 2525.
ภาคผนวก
ประวตั ิผู้วจิ ยั ชอ่ื – ชอ่ื สกุล นายเดชมณี เนาวโรจน์ วนั เดอื น ปเี กิด วนั ที่ 6 กมุ ภาพนั ธ์ 2515 สถานทเี่ กิด 37 หมู่ 14 บ้านห้องขา่ ตาบลน้าคาใหญ่ อาเภอเมือง จังหวัดยโสธร 35000 สถานทอี่ ยู่ปจั จบุ นั 11 หมู่ 1 บา้ นนาแก ตาบลนาแก อาเภอคาเขอื่ นแก้ว จงั หวดั ยโสธร 35180 http://dechmanee.yst1.net e-mail : [email protected] โทรศัพท์ 0844170920 โทรสาร 045771081 ตาแหน่งหนา้ ท่ีการงานปจั จุบนั ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ สถานทท่ี างานปจั จบุ นั โรงเรยี นสมเด็จพระญาณสังวร ในพระสังฆราชปู ถัมภ์ อาเภอคาเข่ือนแกว้ จงั หวดั ยโสธร ประวตั กิ ารศกึ ษา จบชั้นประถมศึกษาปที ี่ 6 ทโี่ รงเรยี นบ้านหอ้ งขา่ จังหวัดยโสธร จบชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 และ 6 โรงเรยี นยโสธรพทิ ยาคม จงั หวดั ยโสธร จบปริญญาตรี ครศุ าสตร์บัณฑติ (ค.บ) วิชาเอกวทิ ยาศาสตร์ท่ัวไป สถาบนั ราชภฎั อบุ ลราชธานี จงั หวดั อบุ ลราชธานี จบปริญญาโท ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ วิชาเอกบริหารการศึกษา มหาวทิ ยาลยั กรุงเทพธนบรุ ี จงั หวัดกรุงเทพมหานคร ประวตั กิ ารทางาน บรรจุคร้งั แรก ปี พ.ศ 2538 โรงเรียนโพนงามพิทยาคาร จังหวดั ยโสธร
Search
Read the Text Version
- 1 - 40
Pages: