ในคนื ทพี่ ระพุทธเจ้าเสดจ็ ปฏสิ นธิในครรภ์พระนางสิริมหามายา พระนางทรงพระสุบินนิมิตว่า มีช้างเผือกมงี าสามค่ไู ด้เข้ามาสู่พระครรภ์ ณ ทบี่ รรทม ก่อนทพ่ี ระนางจะมีพระประสูติกาล ทใี่ ต้ต้นสาละ ณ สวนลมุ พนิ ีวัน เมือ่ วันศุกร์ ขน้ึ สิบห้าคา่ เดอื นวิสาขะ ปี จอ 80ปี ก่อนพุทธศักราช (ปัจจุบนั สวนลมุ พนิ ีวนั อยู่ในประเทศเนปาล)ทนั ทที ป่ี ระสูติ เจ้าชายสิทธัตถะทรงดาเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว และมดี อกบวั ผุดขนึ้ มารองรับพระบาท พร้อมเปล่งพระวาจาว่า “เราเป็ นเลศิ ทสี่ ุดในโลก ประเสริฐทสี่ ุดในโลก การเกดิ คร้ังนีเ้ ป็ นคร้ังสุดท้ายของเรา” แต่หลงั จากเจ้าชายสิทธัตถะประสูตกิ าลได้แล้ว 7 วนัพระนางสิริมหามายากเ็ สดจ็ สวรรคาลยั เจ้าชายสิทธัตถะจึงอยู่ในความดูแลของพระนางประชาบดโี คตมี ซึ่งเป็ นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายาท้งั นี้ พราหมณ์ ท้งั 8 ได้ทานายว่า เจ้าชายสิทธัตถะมลี กั ษณะเป็ นมหาบุรุษ คอื หากดารงตนในฆราวาสจะได้เป็ นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็ นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑญั ญะพราหมณ์ผู้อายุน้อยทสี่ ุดในจานวนน้ัน ยนื ยนั หนักแน่นว่า พระราชกมุ ารสิทธัตถะจะเสดจ็ออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็ นพระพทุ ธเจ้าแน่นอน
ในวยั เดก็ เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาเล่าเรียนจนจบศิลปศาสตร์ท้งั 18 แขนง ในสานักครูวศิ วามติ ร และเน่ืองจากพระบดิ าไม่ ประสงค์ให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็ นศาสดาเอกของโลก จึงพยายามทาให้เจ้าชายสิทธัตถะพบเห็นแต่ความสุข โดยการสร้าง ปราสาท 3 ฤดู ให้อยู่ประทบัเมอ่ื เจ้าชายสิทธัตถะพระชนมายุ 16 พรรษา ทรงอภเิ ษกสมรสกบั พระนางพมิ พา หรือยโสธรา พระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซึ่งเป็ นพระญาตฝิ ่ ายพระมารดา จนกระทง่ั มพี ระชนมายุ 29พรรษา พระนางพมิ พาได้ให้ประสูตพิ ระราชโอรส มพี ระนามว่า “ราหุล” ซึ่งหมายถงึ “บ่วง”
เจ้าชายสิทธัตถะทรงเบือ่ ความจาเจในปราสาท 3 ฤดู จึงชวนสารถีทรงรถม้าประพาสอทุ ยาน คร้ังน้ันได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช โดยเทวทูต (ทูตสวรรค์) ทแี่ ปลงกายมา พระองค์จงึ ทรงคดิ ได้ว่า นี่เป็ นธรรมดาของโลก ชีวติของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นน้ัน ไม่มใี ครสามารถหลกี เลยี่ งเกดิ แก่ เจบ็ ตายได้จงึ ทรงเห็นว่าความสุขทางโลกเป็ นเพยี งภาพมายาเท่าน้ัน และวถิ ที างทจ่ี ะพ้นจากความทุกข์ คอื ต้องครองเรือนเป็ นสมณะ ดงั น้ันพระองค์จงึ ใคร่จะเสดจ็ ออกบรรพชาในขณะทม่ี พี ระชนม์ 29 พรรษา โดยพระองค์ทรงม้ากณั ฐกะ สู่แม่นา้ อโนมา ก่อนจะประทบั นั่งบนกองทราย ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ และเปลย่ี นชุดผ้ากาสาวพตั ร์ (ผ้าย้อมด้วยรสฝาดแห่งต้นไม้) และให้นายฉันทะ นาเคร่ืองทรงกลบั ไปยงั กรุงกบิลพสั ด์ุ
พระองค์มุ่งไปทแี่ ม่นา้ คยา แคว้นมคธ ได้พยายามเสาะแสวงทางพ้นทุกข์ ด้วยการศึกษาค้นคว้าทดลองในสานักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอทุ กดาบส รามบุตร แต่เมอ่ื เรียนจบท้งั 2 สานักแล้ว ทรงเห็นว่าน่ียงั ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์จากน้ันพระองค์ได้เสดจ็ ไปทแ่ี ม่นา้เนรัญชรา ในตาบลอรุ ุเวลาเสนานิคม และทรงบาเพญ็ ทุกรกริ ิยา ด้วยการขบฟันด้วยฟัน กล้นั หายใจและอดอาหาร จนร่างกายซูบผอมแต่หลงั จากทดลองได้ 6 ปี ทรงเห็นว่าน่ียงั ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงทรงเลกิ บาเพญ็ ทุกรกริ ิยา และหันมาฉันอาหารตามเดมิ ด้วยพระราชดาริตามทท่ี ้าวสักกเทวราชได้เสดจ็ ลงมาดดี พณิ ถวาย 3 วาระ คอื ดดี พณิ สายท่ี 1 ขงึ ไว้ตงึ เกนิ ไปเมอื่ ดดี กจ็ ะขาด ดดี พณิ วาระท่ี 2 ซ่ึงขงึ ไว้หย่อน เสียงจะยดื ยาดขาดความไพเราะ และวาระท่ี 3 ดดี พณิ สายสุดท้ายทขี่ งึ ไว้พอดี จึงมเี สียงกงั วานไพเราะ ดงั น้ันจึงทรงพจิ ารณาเห็นว่า ทางสายกลางคอื ไม่ตงึ เกนิ ไปและไม่หย่อนเกนิ ไป นั่นคอื ทางทจ่ี ะนาสู่การพ้นทุกข์ หลงั จากพระองค์เลกิ บาเพญ็ ทุกรกริ ิยา ทาให้พระปัญจวคั คยี ์ท้งั 5 ได้แก่ โกณฑญั ญะ วปั ปะ ภทั ทยิ า มหานามะ อสั สชิ ทม่ี าคอยรับใช้พระองค์ด้วยความคาดหวงั ว่าเมอ่ื พระองค์ค้นพบทางพ้นทุกข์ จะได้สอนพวกตนให้บรรลดุ ้วย เกดิ เสื่อมศรัทธาทพ่ี ระองค์ล้มเลกิ ความต้งั ใจ จงึ เดนิ ทางกลบั ไปทปี่ ่ าอสิ ิปตนมฤคทายวนั ตาบลสารนาถ เมอื งพาราณสี
พระองค์ตรัสรู้ ในตอนเช้าวนั เพญ็ เดอื น ๖ ปี ระกา ก่อนพทุ ธศักราช ๔๕ ในตอนน้ันนางสุชาดาได้นาข้าวมธุปายาสเพอ่ื ไปบวงสรวงเทวดา คร้ันเห็นพระมหาบุรุษประทับทโี่ คนต้นไทรด้วยอาการสงบ นางคดิ ว่าเป็ นเทวดา จึงถวายทอดข้าวมธุปายาสแล้วเสดจ็ ไปริมฝั่งแม่นา้ เนรัญชรา ตอนเยน็ วนั น้ันเองพระองค์ได้กลบั มายงั ต้นโพธ์ิทป่ี ระทับ พบคนหาบหญ้าชื่อโสตถยิ ะ คนหาบหญ้าได้ถวายหญ้าให้พระองค์ปูลาด ณ ใต้ต้นโพธ์ิ แล้วขนึ้ ประทบั หันพระพกั ตร์ไปทางทศิ ตะวนั ออก และได้ต้งั จติ อธิษฐานว่า แม้เลอื ดในกายของเราจะเหือดแห้งไปเหลอื แต่หนัง เอน็ กระดูก กต็ าม ถ้ายงั ไม่พบธรรมวเิ ศษแล้วจะไม่ยอมหยุดความเพยี รเป็ นอนั ขาด เมอ่ื ทรงต้งั จิตอธิษฐานแล้ว พระองค์กท็ รงสารวมจิตให้สงบแน่วแน่พระองค์เริ่มบาเพญ็ เพยี รทางจติ และในทส่ี ุดทรงชนะความลงั เลพระทยั ทรงบรรลุความสาเร็จ เมอ่ื พระองค์ทรงรู้เห็นอย่างนี้ จติ กพ็ ้นจากกเิ ลสท้งั ปวง พระองค์กต็ รัสรู้เป็ นพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า เมอื่ พระชนมายุ 35พรรษา ในวนั เพญ็ เดอื น ๖ ปี ระกาธรรมสูงส่งทพี่ ระพทุ ธเจ้าตรัสรู้น้ัน คอื อริยสัจ ทุกข์ สมุทยั นิโรธ และมรรค
ต่อมาพระพทุ ธเจ้าได้เทศน์พระธรรมเทศนาโปรดแก่ยสกลุ บุตร รวมท้งั เพอื่ นของยสกลุ บุตร จนได้สาเร็จเป็ นพระอรหันต์ท้งั หมด รวม60 รูป พระพทุ ธเจ้าทรงมพี ระราชประสงค์จะให้มนุษย์โลกพ้นทุกข์ พ้นกเิ ลส จงึ ตรัสเรียกสาวกท้งั 60 รูป มาประชุมกนั และตรัสให้พระสาวก 60 รูป จาริกแยกย้ายกนั เดนิ ทางไปประกาศศาสนา 60 แห่ง โดยลาพงั ในเส้นทางทไ่ี ม่ซ้ากนั เพอ่ื ให้สามารถเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาได้ในหลายพนื้ ทอี่ ย่างครอบคลมุ ส่วนพระองค์เองได้เสดจ็ ไปแสดงธรรม ณ ตาบลอุรุเวลา เสนานิคม หลงั จากสาวกได้เดนิ ทางไปเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในพนื้ ทีต่ ่างๆ ทาให้มผี ู้เลอื่ มใสพระพทุธศาสนาเป็ นจานวนมาก พระองค์จึงทรงอนุญาตให้สาวกสามารถดาเนินการบวชได้ โดยใช้วธิ ีการ “ตสิ รณคมนูปสัมปทา” คอื การปฏญิ าณตนเป็ นผู้ถงึ พระรัตนตรัย พระพทุ ธศาสนาจึงหยง่ั รากฝังลกึ และแพร่หลายในดนิ แดนแห่งน้ันเป็ นต้นมา
พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าได้เสดจ็ โปรดสัตว์และแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดระยะเวลา 45 พรรษา ทรงสดบั ว่า อกี 3 เดอื นข้างหน้าจะปรินิพพาน จึงได้ทรงปลงอายสุ ังขาร ขณะน้ันพระองค์ได้ประทบั จาพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมอื งเวลาสี แคว้นวชั ชี โดยก่อนเสดจ็ ดบัขนั ธ์ปรินิพพาน 1 วนั พระองค์ได้เสวยสุกรมทั ทวะทนี่ ายจุนทะทาถวาย แต่เกดิ อาพาธลง ทาให้พระอานนท์โกรธ แต่พระองค์ตรัสว่า“บณิ ฑบาตทม่ี อี านิสงส์ทสี่ ุด มี 2 ประการ คอื เม่ือตถาคต (พทุ ธองค์) เสวยบณิ ฑบาตแล้วตรัสรู้ และปรินิพพาน” และมพี ระดารัสว่า“โย โว อานนท ธมม จ วนิ โย มยา เทสิโต ปญญตโต โส โว มมจจเยน สตถา” อนั แปลว่า “ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวนิ ัยอนั ทเี่ ราแสดงแล้ว บญั ญตั แิ ล้วแก่เธอท้งั หลาย ธรรมวนิ ัยน้ัน จักเป็ นศาสดาของเธอท้งั หลาย เมอื่ เราล่วงลบั ไปแล้ว”พระพทุ ธเจ้าทรงประชวรหนัก แต่ทรงอดกล้นั มุ่งหน้าไปยงั เมอื งกสุ ินารา ประทบั ณ ป่ าสาละ เพอ่ื เสดจ็ ดบั ขนั ธ์ุปรินิพพาน โดยก่อนที่จะเสดจ็ ดบั ขนั ธ์ปรินิพพานน้ัน พระองค์ได้อปุ สมบทแก่พระสุภทั ทะปริพาชก ซ่ึงถอื ได้ว่า “พระสุภภทั ทะ” คอื สาวกองค์สุดท้ายทพ่ี ระพทุ ธองค์ทรงบวชให้ ในท่ามกลางคณะสงฆ์ท้งั ทเี่ ป็ นพระอรหันต์ และปถุ ุชนจากแคว้นต่างๆ รวมท้งั เทวดา ทมี่ ารวมตวั กนั ในวนั นี้ ในคราน้ันพระองค์ทรงมปี ัจฉิมโอวาทว่า “ดูก่อนภกิ ษุท้งั หลาย เราขอบอกเธอท้งั หลาย สังขารท้งั ปวงมคี วามเส่ือมสลายไปเป็ นธรรมดาพวกเธอจึงทาประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อนื่ ให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถดิ ” (อปปมาเทน สมปาเทต)จากน้ันได้เสดจ็ ดบั ขันธ์ปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามลั ลกษตั ริย์ เมอื งกสุ ินารา แคว้นมลั ละ ในวันขน้ึ 15 คา่เดอื น 6 รวมพระชนม์ 80 พรรษา และวันน้ีถอื เป็ นการเร่ิมต้นของพุทธศักราช
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: