Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สัจธรรมแห่งแนวพระราชดำริ สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

สัจธรรมแห่งแนวพระราชดำริ สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

Published by Chalermkiat Deesom, 2016-11-25 03:12:25

Description: สัจธรรมแห่งแนวพระราชดำริ สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

Search

Read the Text Version

จนได้ผลดี จึงขยายไปยังศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ อนื่ ๆ รวมถึงขยายไปยงั พื้นทตี่ ่างๆ ทมี่ ปี ัญหาเรื่องดินในสภาพภมู ิประเทศท่ตี า่ งกนั โดยนำมาศกึ ษาและทดลอง ตลอดจนการศกึ ษาเปรยี บเทยี บพนั ธ์หุ ญา้ แฝกท่ีเหมาะสมกบั สภาพพ้นื ท่ีตา่ งๆ ทรงตดิ ตามงานและทรงสนับสนุนใหป้ ลูกหญ้าแฝกเปน็ แนวตามรมิ รอ่ งน้ำและลาดเขา รอบพื้นทีก่ ักเก็บน้ำ หรือในสวนมะมว่ งหิมพานต์ เป็นต้น และทรงย้ำถึงความสำคัญของการถ่ายภาพไว้เปน็ หลกั ฐาน เพื่อแสดงให้เห็นสภาพ “ก่อน” และ “หลงั ” การปลูก อนั จะยนื ยันถึงประสิทธภิ าพของหญา้ แฝกได้ ศนู ยศ์ กึ ษาการพฒั นาอันเน่ืองมาจากพระราชดำรทิ ้งั ๖ ศนู ย์ เปน็ สถานท่ใี นการศกึ ษา ทดลอง และดำเนนิ การสนองพระราชดำรเิ กย่ี วกบั หญ้าแฝกอย่างมากมาย โดยมกี จิ กรรมเชน่ การศกึ ษา คน้ ควา้ ทดลองการนำหญา้ แฝกไปใช้ประโยชนใ์ นลักษณะต่างๆ ตลอดจนการขยายผลต่อเกษตรกร ทงั้ ยังได้มกี ารอบรมให้ความรูแ้ ละสาธิตวิธีการปลูกหญ้าแฝกในลักษณะต่างๆ ไว้ในศูนยศ์ ึกษาการพัฒนาฯ เพือ่ ให้ประชาชนผสู้ นใจทัว่ ไปได้ศึกษา ตลอดจนแจกจ่ายพันธุ์หญา้ แฝกให้กับผทู้ ีส่ นใจ ดังได้พระราชทานพระราชดำริ ณ ศูนยศ์ ึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอนั เนือ่ งมาจากพระราชดำริ อำเภอพนมสารคามจงั หวดั ฉะเชงิ เทรา เมือ่ วนั ที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๐ สรุปความดังนี้ “...ใหศ้ กึ ษาการปลกู หญา้ แฝกในดินดานของตำบลเขาหนิ ซอ้ น ซ่งึ ได้เคยใหท้ ำใน ดินดานท่ีเขาชะงมุ้ ฯ และห้วยทรายฯ การปลูกหญา้ แฝกรอบขอบแนวปา่ เพอื่ ป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของหน้าดนิ เศษใบไมท้ ร่ี ว่ งหลน่ จะชว่ ยทำใหด้ ินมกี ารพฒั นาทด่ี ีข้นึ เมือ่ ใบไม้ย่อยสลาย ส่วนหญ้าแฝกทีป่ ลูกในระหวา่ งไม้ยืนต้นจะไม่ตาย แตช่ ะงกั การเติบโตระยะหนงึ่ เมือ่ มีการตดั ไม้ออก แฝกก็เจรญิ ได้อีกครัง้ ให้ปลูกหญ้าแฝก ในดนิ ดาน โดยระเบิดดินดานเป็นหลุมแล้วปลูกหญ้าแฝกลงในหลุมเพอื่ ดันชนั้ ดินดาน ใหแ้ ตก สามารถดกั ตะกอน ตลอดจนใบไม ้ ทำให้เกดิ ดินใหม่ข้ึน...” นอกจากนี้ ยงั มีโครงการพัฒนาหญา้ แฝกในโครงการพัฒนาดอยตุง อนั เนือ่ งมาจากพระราชดำริจังหวัดเชียงราย มีการปลกู หญา้ แฝกเป็นเขื่อนธรรมชาติเพือ่ ป้องกันการชะล้างพังทลายของดินการกัดกร่อนผวิ ดิน การกัดเซาะดินไม่ให้เลอื่ นไหล และเพื่อกรองตะกอนดินทีน่ ้ำพามา ตลอดจนลดความเร็วของน้ำ ทำใหด้ นิ ดดู ซับนำ้ ไดด้ ขี ้ึน ซึง่ ประสบผลสำเร็จอยา่ งมาก สามารถปอ้ งกนั การสญู เสยีหน้าดนิ และนำ้ ทไ่ี หลทง้ิ ไปโดยเปลา่ ประโยชน์ ทำใหส้ ภาพธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มอนั สมบรู ณฟ์ น้ื คนื กลบั มาพรอ้ มทจ่ี ะนำพน้ื ทม่ี าใชป้ ระโยชนต์ อ่ ไป ดงั พระราชดำรสั ณ โตะ๊ เสวยท่ี ๑ ภายในพระตำหนกั ภพู งิ คราชนเิ วศน์อำเภอเมอื ง จังหวัดเชียงใหม่ เมอ่ื วันท่ี ๑๙ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๓๕ ความตอนหนึ่งว่า “...นำหญา้ แฝกไปปลกู ตามฐานปฏบิ ตั ิการตา่ งๆ และหม่บู า้ นใกลเ้ คียงแลว้ ขยาย ไปปลกู ทว่ั ประเทศ เนอ่ื งจากหญา้ แฝกมคี ณุ ลกั ษณะทเ่ี หมาะสมในการจดั ระบบอนรุ กั ษด์ นิ 94

โดยการปลูกเป็นแนวรัว้ กั้นตามระดับชัน้ และไดม้ ีการศึกษาทดลองใช้อย่างไดผ้ ลดี ในประเทศแถบเอเชยี หลายประเทศแลว้ นอกจากนย้ี งั พบวา่ การปลกู หญา้ แฝกยงั สง่ ผลให้ การเพาะปลกู พชื อน่ื ๆ ระหวา่ งแนวรว้ั หญา้ แฝกนน้ั ใหผ้ ลผลติ ไดอ้ ยา่ งเตม็ ทม่ี ากขน้ึ ...”  การปลูกป่าโดยไม่ตอ้ งปลูก เป็นแนวพระราชดำริเพื่อฟืน้ ฟูสภาพปา่ เสอื่ มโทรม โดยใช้หลกั กฎธรรมชาติ อาศัยวงจรปา่ ไมแ้ ละการทดแทนตามธรรมชาติ คือการสร้างสมดุลธรรมชาติด้วยวิธีปลอ่ ยให้ต้นไม้เติบโตอย่างอสิ ระ ไมเ่ ข้าไปรบกวนอยา่ งนอ้ ย ๕ ปี ปลอ่ ยให้ธรรมชาติช่วยในการฟืน้ ฟูธรรมชาติ โดยในช่วงเวลา ๕ ปีต้นไมจ้ ะงอกงามโดยอาศัยวงจรการเจริญเติบโต การทับถมทดแทนตามธรรมชาติ เกิดเปน็สภาพแวดล้อมทเี่ ออื้ ต่อการเติบโตของกล้าไม้ และให้เวลาพนั ธไ์ุ ม้ท่ีถกู ทำลายไดม้ ีชว่ งฟ้นื ตวัพืช และพรรณไม้ตา่ งๆ จะคอ่ ยๆเจริญเติบโต แตกหน่อ แตกกอช่วยให้ระบบนิเวศของสงิ่ มีชีวิตเริ ม่ เ กิ ด ขึ น้ แ ล ะ เ กื อ้ กู ล กั นต้นไม้เลก็ ๆ สามารถขึน้ คลมุดินไว้ให้เกิดความชุม่ ชื้น ไม้ยนื ต้นก็สามารถเติบโตให้ร่มเงาช่วยปกปอ้ งการระเหยของน้ำในดินและหากปล่อยปา่ ทิง้ ไว้ได้ถึง ๓๐-๕๐ ปี ป่าเต็งรังซึ่งเป็นปา่ โปร่ง มตี ้นไม้ขนาดเล็กและขนาดกลางขน้ึ กระจัดกระจาย จะกลายเป็นปา่ เบญจพรรณซง่ึ เป็นผนื ป่าท่มี ีไมข้ นาดกลางและเป็นแหล่งกำเนดิ ของไม้ที่มคี ณุ ค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ไมส้ กั ไมแ้ ดง ไมป้ ระดู่ เป็นตน้ พื้นทตี่ ัวอย่างการปลกู ป่าโดยไม่ต้องปลูกได้แก่ ศูนยศ์ ึกษาวิธีการฟื้นฟูทีด่ ินเสือ่ มโทรมเขาชะงุม้อนั เนือ่ งมาจากพระราชดำริ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบรุ ี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวมพี ระราชดำรัส เมือ่ วนั ท่ี ๔ ธนั วาคม ๒๕๓๗ ความตอนหน่งึ วา่ “...เรอื่ งตน้ ไม้ขึน้ เอง มีอีกแห่งหนงึ่ ที่ท่านทั้งหลายก็ควรจะไปได ้ เพราะไปงา่ ย คือโครงการเขาชะงมุ้ ที่จังหวดั ราชบุรี. ทีต่ รงนัน้ อยู่ใกล้ภูเขา เป็นทีท่ ีป่ ่าเสียไป เป็นป่าเสื่อมโทรม. ที่เรียกวา่ ป่าเสื่อมโทรมเพราะมันไม่มีตน้ ไม้ ไม่มีชนิ้ ดเี รมิ่ ทำ โครงการนนั้ มาประมาณ ๗ ปีเหมือนกัน. ไปดเู มอื่ สกั ๒ ปี หลงั จากท้งิ ป่านั้นไว้ ๕ ปี. ตรงนนั้ ไม่ได้ทำอะไรเลย แตป่ ่าเจรญิ เตบิ โตขนึ้ มาเป็นป่าอดุ มสมบูรณ์ไม่ต้องไปปลูก 95

สักต้นเดียว. คือว่าการปลูกป่านีส้ ำคัญอยูท่ ี่ปล่อยให้เขาขึน้ ไดค้ อื อย่าไปตอแยต้นไม้ อย่าไปรังแกตน้ ไม ้ เพยี งแต่วา่ คุ้มครองเขาหนอ่ ย เขาข้นึ เอง... ถา้ พดู เรื่องปลูกป่าน้ีจะยดื ยาวมาก ไมม่ สี นิ้ สดุ . แตจ่ ะต้องอธบิ ายอย่างนว้ี า่ ถา้ ได้ เลือกท่ีที่เหมาะสม แลว้ กท็ ิ้งใหอ้ ยอู่ ยา่ งน้ัน โดยไม่ไปรังแกปา่ ต้นไมก้ จ็ ะขึน้ เอง...” ผลจากการดำเนนิ งานตามพระราชดำริ ทำให้เขาชะงุม้ ซึ่งเดิมมีสภาพเปน็ ภูเขาดินลูกรังดินร่วนปนลูกรังและกรวดหิน ไมม่ ีแหล่งน้ำธรรมชาติ สภาพอากาศแห้งแล้ง ซึ่งป่าเดิมเป็นปา่ เต็งรังแต่ถูกบุกรุกทำลายจนเปน็ ภูเขาหัวโลน้ แห้งแล้งมาก เมอื่ ดำเนนิ การควบคุมมใิ ห้มกี ารบกุ รุกและป้องกันไม่ใหเ้ กดิ ไฟป่า ส่งผลใหพ้ ชื พนั ธไ์ุ มค้ อ่ ยๆ ฟ้นื ตวั งอกงามข้นึ ทีละเลก็ ละนอ้ ยจนกระท่ังมีไม้ใหญป่ กคลุมป่าอุดมสมบรู ณย์ ง่ิ ขน้ึ ทำให้สัตว์ป่ากลับมาอาศัยเพม่ิ มากขนึ้  การปลูกป่า ๓ อย่างประโยชน์ ๔ อย่าง เป็นแนวพระราชดำริเพื่อโครงการปลกู ปา่อกี ลักษณะหน่งึ โดยปลูกไม้ ๓ ประเภทคอื ไมใ้ ชส้ อย ไมก้ นิ ได้ และไม้เศรษฐกจิ นอกจากไดป้ ระโยชนต์ ามชื่อของไมแ้ ล้วยังช่วยรักษาความชุ่มชืน้ ให้แก่พืน้ ดินด้วย จึงเป็นการอนุรักษ์ดินและน้ำในเวลาเดียวกันดงั พระบรมราโชวาทในพธิ เี ปดิ การสัมมนาการเกษตรภาคเหนือ ณ งานเกษตรภาคเหนอื จงั หวดั เชยี งใหม่เมอื่ วนั ท่ี ๒๖ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๒๔ ความตอนหนงึ่ ว่า “... การปลกู ปา่ ถา้ ใหร้ าษฎรมปี ระโยชน์ ใหเ้ ขาอย่ไู ด้ ใหเ้ ขาใชว้ ิธปี ลกู ไม ้ ๓ อยา่ ง แต่มปี ระโยชน ์ ๔ อยา่ ง คอื ไมใ้ ช้สอย ไมก้ นิ ได ้ ไมเ้ ศรษฐกจิ โดยปลกู รองรบั การชลประทาน ปลูกรบั ซับนำ้ และปลกู อุดช่องไหลตามรอ่ งห้วยโดยรับน้ำฝนอย่างเดยี ว ประโยชนท์ ่ี ๔ คือ ได้ระบบอนรุ ักษด์ นิ และน้ำ... ปา่ ๓ อยา่ งน้ีมไี ว้ทำไม มไี วส้ ำหรับใหเ้ ปน็ ประโยชน ์ และเม่อื เปน็ ประโยชน์ตอ่ ราษฎร ราษฎรก็ไม่ไปตัดและก็หวงแหนไว้มิให้ใครมาตัด อนั นเี้ ป็นข้อสำคญั ที่ไหนเป็นป่า ทีเ่ รียบร้อยที่ยังไม่โกร๋น ราษฎรก็จะไม่ตดั เพราะรูไ้ ปหลายแห่งแล้ว ไปถามราษฎร 96

วา่ ป่าตรงนัน้ เป็นอย่างไร เขาบอกว่าป่ายังดแี ละถามว่าจะไปตดั ไหมเขาบอกว่า ไม่ตดั “ถ้าไปตัดเฮาแย่” เขาเข้าใจ ถ้าตัดไม้แล้วจะแห้งแล้งและดนิ จะทลายลงมา ถา้ เป็นทีท่ ำนากจ็ ะเสียหายหมด เขารู.้ .. เดีย๋ วนีท้ ุกคนก็คงเข้าใจแล้วว่า “ป่า ๓ อย่าง” นนั้ คืออะไร แต่ให้เขา้ ใจวา่ “ปา่ ๓ อยา่ ง” นม้ี ีประโยชน ์ ๔ อยา่ ง ไมใ่ ช่ ๓ อยา่ ง “ป่า ๓ อยา่ ง” ที่บอกว่า เปน็ ไมฟ้ นื เปน็ ไมผ้ ลและไมส้ รา้ งบา้ นน้นั ความจรงิ เปน็ ไมฟ้ นื กบั ไมใ้ ช้สอยกอ็ ันเดยี วกนั ไมส้ รา้ งบา้ น กับไม้ใชส้ อยก็อันเดยี วกัน แตเ่ ราแบ่งออกไปเป็นไม้ทำฟนื ไม้สร้างบ้าน รวมทัง้ ไม้ทำศิลปหัตถกรรม แลว้ ก็ไมผ้ ล...” ดังนัน้ การปลูกป่า ๓ อยา่ ง ประโยชน์ ๔ อยา่ ง จึงเป็นแนวพระราชดำริผสมผสานระหว่างการอนรุ กั ษแ์ ละฟ้ืนฟูทรัพยากรป่าไม้ ปอ้ งกันการบกุ รกุ ทำลายปา่ ควบคไู่ ปกบั การพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คม เช่น ศูนยศ์ ึกษาการพัฒนาภูพานอนั เนอื่ งมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร จากสภาพภูเขาท่ีเคยถกู บกุ รกุ จนแหง้ แลง้ กลับฟ้นื คนื ความอุดมสมบรู ณ์ตลอดปี จะเหน็ ไดว้ า่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วัทรงเข้าใจธรรมชาตแิ ละมนุษยอ์ ย่างเกื้อกูลกนั ทำใหค้ นอยู่ร่วมกบั ปา่ ได้อย่างยง่ั ยืน  การสรา้ งฝายอนรุ กั ษต์ น้ นำ้ พฒั นามาจากฝายแมว้ ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทอดพระเนตรเมือ่ ครั้งเสด็จพระราชดำเนนิ ไปทรงเยีย่ มราษฎรภาคเหนือซึง่ เปน็ ระบบชลประทานแบบง่าย เพื่อรักษาความช่มุ ชน้ื ใหแ้ กป่ ่าโดยเฉพาะกล้าไมอ้ ่อนท่ีกำลังเตบิ โต ฝายชะลอความช่มุ ช้นื หรอื check dam ทำจากวัสดุทห่ี าได้งา่ ยในบรเิ วณน้ัน เชน่ กอ้ นหนิ เศษไม้ ทำเปน็ ฝายก้ันน้ำเลก็ ๆ ตามรอ่ งน้ำ โดยการยกระดับนำ้ ให้สูงขึน้ และชะลอการไหลของนำ้ ให้ช้าลงด้วยการกั้นนำ้ ในร่องน้ำ น้ำสว่ นทีช่ ะลอและเก็บไว้ในฝายจะช่วยเพิ่มและยืดเวลาความชุ่มชื้นในดิน และชัน้ บรรยากาศในบริเวณโดยรอบให้ยาวนานเป็นการเพิม่ ความชุ่มชื้นให้กับผนื ป่า ทำให้ปา่ มีสภาพดีขึน้ ตามลำดับ สามารถกลบั มาผลติ นำ้ หล่อเลยี้ งประเทศได้ดังเดิม แหลง่ น้ำบนภูเขาไมเ่ หือดแห้งอกี ต่อไป ดังพระราชดำรัสเนือ่ งในโอกาสวันเฉลมิพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลยั สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมอื่ วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๗ความตอนหนึง่ ว่า 97

“...การปลูกป่า ปลูกหญ้าแฝก. สองอย่างนีต้ อ้ งทำเข้าคู่กัน. ได้ทำตัวอยา่ งให้ดู ที่จังหวดั นครนายก. เป็นพืน้ ทีเ่ ล็กๆ ได้ทำเป็นเขอื่ นกั้นน้ำสำหรับชะลอน้ำ ไม่ใช่ เขอ่ื นกนั นำ้ ใหญๆ่ หรอื เขอ่ื นเลก็ ๆ แตว่ า่ เปน็ ฝายเลก็ ๆในบรเิ วณนน้ั มฝี ายชะลอนำ้ ๓๕ ตวั . แตค่ ่าทำฝาย ๓๕ ตัวน้ี คนอาจจะนกึ ว่า ๓๕ ล้าน. ไม่ใช.่ ๒ แสนบาท ทำได้ ๓๕ ตวั . ยังไม่ไดเ้ ห็น แต่ว่ากล้าที่จะยืนยันได้ว่าได้ผล...ไปดวู า่ ป่าจะขนึ้ อย่างไร. เพิง่ เสร็จ มาไม่กี่เดอื น จะเห็นว่าป่านน้ั เจริญ ไมต่ อ้ งไปปลูกสักต้นเดียว มนั ข้ึนเอง...”  การฟ้นื ฟปู า่ ชายเลน พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวได้พระราชทานพระราชดำริแก่ นายโฆสติ ปัน้ เปีย่ มรัษฎ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในพระราชพิธี แรกนาขวัญ บริเวณสวนจิตรลดา เมื่อวนั ที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๓๔ สรปุ แนวพระราชดำริได้ว่า “…ปา่ ชายเลนมปี ระโยชนต์ อ่ ระบบนเิ วศของพน้ื ทช่ี ายทะเลและอา่ วไทย แตป่ จั จบุ นั ปา่ ชายเลนของประเทศไทย กำลงั ถกู บกุ รกุ และถกู ทำลายไปโดยผ้แู สวงหาผลประโยชน์ ส่วนตน จงึ ควรหาทางป้องกันอนุรักษแ์ ละขยายพันธุ์เพิม่ ขึน้ โดยเฉพาะต้นโกงกาง เป็นไม้ชายเลนทีแ่ ปลก และขยายพันธุ์ค่อนข้างยาก เพราะตอ้ งอาศัยระบบน้ำขึน้ นำ้ ลงในการเติบโตด้วย จึงขอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง คอื กรมป่าไม้ กรมประมง กรมชลประทาน และกรมอทุ กศาสตรร์ ่วมกันหาพืน้ ที่ที่เหมาะสม ในการทดลอง ขยายพันธโุ์ กงกางและปลกู สรา้ งปา่ ชายเลนกันต่อไป…” พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั มพี ระราชดำรใิ หฟ้ ้นื ฟปู ่าชายเลน เพอ่ื เป็นแนวป้องกนั ลมและป้องกนัการกดั เซาะชายฝ่ัง และเปน็ แหลง่ อาศยั ของสตั วน์ ้ำ ซ่งึ เป็นการสรา้ งความสมดลุ ใหแ้ กธ่ รรมชาตใิ หก้ ลับคนื สู่ความอดุ มสมบรู ณด์ งั เดมิ โดยมพี ระราชดำรใิ หม้ ีการศกึ ษาวจิ ยั พนั ธไ์ุ ม้ป่าชายเลน การรกั ษาสภาพแวดลอ้ มการสนบั สนนุ จัดระเบียบทีอ่ ยูอ่ าศัยของชุมชน การเพิ่มผลผลติ สตั ว์น้ำด้วยวิธีการทำประมงทีถ่ ูกต้องการเสริมสร้างความเขา้ ใจภายในชมุ ชนเกย่ี วกับปา่ ชายเลนและวิถีการดำรงชวี ติ ของชาวชมุ ชน ตลอดจนการสร้างทศั นคติให้เกิดความหวงแหนปา่ ชายเลนให้คงอยกู่ ับชุมชนอย่างยงั่ ยนื โดยตัวอยา่ งของการอนุรักษ์ฟื้นฟูปา่ ชายเลน ได้แก่ โครงการชุมชนพัฒนาป่าชายเลน ตำบลหัวเขา อำเภอสงิ หนครจงั หวดั สงขลา โครงการศูนย์ศกึ ษาธรรมชาติป่าชายเลนยะหริง่ อำเภอยะหร่งิ จังหวดั ปัตตานี โครงการศึกษาความเป็นไปไดใ้ นการฟนื้ ฟปู ่าชายเลน อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี 98

 โครงการพฒั นาพนื้ ที่ลุม่ นำ้ แม่ อาวอนั เนือ่ งมาจากพระราชดำริ จังหวัดลำพูน จากเดิมทมี่ กี ารบกุ รุกทำลายปา่ หน่วยงานทีเ่ กีย่ วข้องได้สร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการจัดการลุม่ นำ้ ของราษฎรในพื้นทีข่ ึ้น โดยการนำแนวพระราชดำริเกี่ยวกับป่าไมด้ ้านต่างๆมาผสมผสานเข้าด้วยกนั เพือ่ ให้การดำเนินงานเห็นผลเปน็ รูปธรรม ช่วยให้ป่าไม้ฟ้นื คืนสภาพ คนื ความสมบรู ณอ์ ยา่ งเห็นได้ชัดปจั จุบนั การบกุ รุกพืน้ ทปี่ ่าลดลง เนือ่ งจากมกี ารควบคุม ดูแล และป้องกันอย่างจริงจงั การเกดิ ไฟปา่ มนี อ้ ยลง ทำให้สภาพปา่ ฟ้ืนตวั ดีข้นึ มปี า่ เพม่ิ ขึ้นกว่า ๖๐,๐๐๐ ไร่ และผืนป่าเพ่ิมความอดุ มสมบูรณ์ขนึ้ มาก จนราษฎรสามารถใช้ประโยชน์จากป่าไดอ้ ย่างยัง่ ยนื  โครงการพัฒนาพนื้ ที่ลุม่ นำ้ ห้วยบางทรายตอนบนอันเนอื่ งมาจากพระราชดำริ จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งแต่เดิมพืน้ ทีน่ ีร้ าษฎรบุกรุกยึดถือครอบครองฟื้นทปี่ ่าต้นน้ำ ป่าดงหมแู ปลงที่ ๓ซึง่ ชาวบ้านเรียกว่า “ดงด่านขี”้ ซึง่ ในอดีตบริเวณนีม้ ีป่าไมอ้ ดุ มสมบูรณ์ มีสตั ว์ปา่ ชุกชุม จึงมีชาวบ้านเข้ามาบุกรุกถางปา่ เพือ่ นำไปเป็นพืน้ ทีเ่ กษตรกรรม หรือล่าสัตว์ปา่ และเลยี้ งวัว จนเปน็ ผลให้พื้นทีป่ า่ซึ่งเปน็ ตน้ น้ำลำพะยงั และห้วยบางทรายถกู ทำลายเกดิ ความเสียหายมากกวา่ ๔,๐๐๐ ไร่ ต่อมาในปี ๒๕๓๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวได้พระราชทานโครงการพัฒนาพืน้ ทลี่ ุม่ นำ้ห้วยบางทรายตอนบนอนั เนอื่ งมาจากพระราชดำริ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎร พัฒนาแหลง่ น้ำพัฒนาการเกษตรและอาชีพ รวมทัง้ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งการฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้นนั้ได้ให้ราษฎรเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ ราษฎรได้เข้ามาร่วมปลูกปา่ ต้นน้ำดงด่านข้ี ๒,๐๐๐ ไร่ และจดั ตัง้ กลมุ่ เพื่อการอนรุ ักษ์ปา่ ไม้ ปอ้ งกันไฟปา่ ด้านการอนรุ ักษ์ทรพั ยากรปา่ ไม้มีการรวมตัวช่วยกันดับไฟป่า ต่อต้านกลุม่ ลา่ สตั ว์ และผูล้ ักลอบตัดปา่ ไมจ้ นทำให้กลมุ่ ดังกลา่ วหยุดพฤติกรรมการลา่ สัตว์ นบั เปน็ การใช้พลังประชาชน ทมี่ จี ิตสำนึกตอบแทนคุณแผ่นดิน โดยมีเจา้ หน้าท่ีช้นี ำ 99

 โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ เปน็ โครงการทสี่ มเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถพระราชทานตามแนวพระราชดำริปลูกป่าในใจคน เพื่อให้คนอยูร่ ่วมกับป่าได้อย่างเกือ้ กูล โดยให้หนว่ ยงานต่างๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง ร่วมกันพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรในพืน้ ทีใ่ ห้อยูอ่ ยา่ งมคี วามสุขโดยยึดหลัก ๓ ประการ คอื รักษาสภาพป่าไว้มใิ หถ้ กู ทำลาย พื้นฟูสภาพปา่ ใหค้ ืนสูส่ ภาพธรรมชาติโดยใหม้ ีท้ังปา่ ธรรมชาตแิ ละป่าไมใ้ ชส้ อย และพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของราษฎรใหม้ อี าชพี และท่ที ำกนิ ถาวรให้คนอยกู่ ับปา่ ได้อยา่ งกลมกลนื และเกือ้ กูลกัน และเป็นผูด้ ูแลรักษาป่า โดยทรงยำ้ อยูเ่ สมอว่าการดำเนนิ การอนรุ ักษ์ฟืน้ ฟูสภาพป่าจะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้เกิดแก่ราษฎรทีอ่ าศัยอยูใ่ นพื้นทีน่ ัน้ ดังพระราชดำรัสคัดจากวารสารเศรษฐกิจและสังคม หน้า ๙๖ ฉบับพิเศษประจำปี ๒๕๔๕ความตอนหนึง่ วา่ “...ความจริงชาวเขา เขาเดินอยู่ในป่าในเขาก่อนที่พวกเราจะเข้าไปเสียอีก เพราะฉะนัน้ ต้องเห็นใจเขา เราตอ้ งชว่ ยเขา จะไปห้ามเขา ไปกวาดตอ้ นเขาลงมา อยูพ่ น้ื ลา่ งนนั้ เขาอาจลำบาก ทำมาหากินยาก ดงั นั้น จงึ ควรหาโครงการอะไรสกั อย่าง ทีจ่ ะให้อยู่กับที่ ไม่ขยายตวั ... ถ้าเราสามารถรว่ มกันจัดระบบไดด้ คี นกับป่าก็คงจะ อยรู่ ่วมกนั ได้ โดยไมต่ อ้ งทำลายซ่งึ กนั และกนั และแผน่ ดินทเ่ี ส่อื มโทรมผนื น้ี กจ็ ะกลบั มา เปน็ ประโยชนอ์ ย่างมหาศาลแกพ่ วกเรา...” โครงการบ้านเล็กในป่าใหญแ่ หง่ แรกเรม่ิ ท่อี ำเภออมกอ๋ ย จงั หวดั เชยี งใหม่ ตอ่ มาเม่อื ผลการดำเนินโครงการบา้ นเล็กในปา่ ใหญป่ ระสบผลสำเร็จ สามารถสร้างความเข้าใจและจิตสำนกึ ในการรักษาปา่ให้กับราษฎรทอี่ าศัยอยูใ่ นพืน้ ที่ อีกทงั้ สามารถโนม้ น้าวราษฎรให้ยุติการลา่ สัตว์และตัดไมท้ ำลายปา่ทำใหส้ ัตวป์ า่ ทเ่ี คย หลบหนีภยั เขา้ ไปอยู่ในปา่ ลึกกค็ อ่ ยๆ เรม่ิ ปรากฏออกมาสู่ป่าโปรง่ สภาพปา่ จงึ กลับคนืความอุดมสมบูรณ์ และสามารถสกัดกั้นเส้นทางการลกั ลอบขนยาเสพติดไม้แปรรูป และสัตว์ปา่ ด้วยพระองคจ์ ึงพระราชทานโครงการดงั กลา่ วในพื้นที่ตา่ งๆ เกอื บทั่วทกุ ภาคของประเทศ อาทิ บา้ นดอยดำจังหวดั เชียงใหม่ บ้านเย้าหนองห้า จงั หวดั พะเยา บ้านทันสมัย จังหวดั นครพนม บา้ นผานาง จังหวดั เลยและบา้ นนอ้ มเกลา้ จงั หวัดยโสธร เป็นตน้ 100

 โครงการป่ารักน้ำ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้ทอดพระเนตรเห็นความเสือ่ มโทรมของป่าไม้ ทนี่ ำไปสคู่ วามแห้งแลง้ ของแผน่ ดินในภาคอีสาน เนือ่ งจากมกี ารสบู นำ้ เกลือจากใตด้ ินขนึ้ มาเพอื่ นำไปใช้ประโยชน์ และบริเวณผิวดินปรากฏเป็นสา่ เกลอื แผ่กระจายเป็นบรเิ วณกวา้ งทำให้ไม่สามารถทำการเพาะปลูกพืชได้ พระองค์จึงมีพระราชดำริเพือ่ ฟื้นฟูสภาพดิน และปา่ ทเี่ สอื่ มโทรมให้กลายเปน็ บริเวณต้นนำ้ลำธารกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ และอนรุ ักษ์ทรัพยากรป่าไมเ้ ดิมไว้ ขณะเดียวกันก็ให้ปลูกป่าเสริมเพือ่ ควบคุมความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศด้วย “โครงการปา่ รักน้ำ” จึงกำเนดิ ขึน้ ในภาคอสี านเปน็ แหง่ แรกณบ้านถำ้ ต้วิ อำเภอส่องดาวจงั หวดั สกลนครโดยทรงใชว้ ธิ สี รา้ งความร้สู กึ รกั และหวงแหนตน้ ไม้ของประชาชน ใหป้ ระชาชนรักปา่ เหมือนเป็นสมบตั ิของตวั เอง เพอื่ ใหป้ ่ามีความอดุ มสมบูรณ์ ประชาชนมไี มไ้ วใ้ ชส้ อยและเพ่มิ พนู รายได้ ตลอดจนราษฎรท่ยี ากจนไดม้ ที ่ีดนิ ทำกนิ มอี าชพี และรายไดเ้ ล้ียงครอบครวัดังแนวพระราชดำริทที่ รงบนั ทึกไว้ด้วยพระองค์เอง เมอื่ ครั้งทที่ รงริเริม่ โครงการป่ารักน้ำ เมอื่ ๒๐ ปีทีผ่ า่ นมา ความตอนหนึง่ ว่า “…จำเปน็ ท่จี ะพยายามรักษาปา่ ไมน้ ้ันไว ้ กถ็ กู ต้องกบั ใจทจ่ี ะพยายามใหค้ นทไ่ี มม่ ี ทท่ี ำกิน ทำกินไดอ้ ยา่ งผาสุก ถา้ เราทำสำเรจ็ สักราย กจ็ ะรกั ษาป่าไมท้ ัว่ ประเทศได้…”เรียนรูจ้ ากหลักธรรมชาติ : วถิ ีปฏิบตั สิ กู่ ารพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื หลกั การทรงงานพัฒนาประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชนิ ีนาถ ดว้ ยการใช้ธรรมชาตมิ าช่วยในการแกป้ ัญหาต่างๆ ทงั้ การใช้ธรรมชาตชิ ่วยธรรมชาติการใชห้ ลกั อธรรมปราบอธรรม และการใชว้ ธิ กี ารปลกู ปา่ ในใจคน เพอ่ื ใหค้ นสามารถอยรู่ ว่ มกบั ปา่ ไดอ้ ยา่ งยง่ั ยนื นำสผู่ ลสำเรจ็ ของโครงการตามแนวพระราชดำรติ า่ งๆ ทช่ี ว่ ยแกป้ ญั หาเรอ่ื งดนิ นำ้ และสง่ิ แวดลอ้ มให้กลบั มามสี ภาพอุดมสมบูรณ์ จึงเปน็ ทีป่ ระจักษ์แลว้ ว่าการดำเนินงานตามแนวพระราชดำริ จะนำพาใหป้ ระชาชนคนไทยทุกคนมชี วี ิตอยา่ งมีความสุขอยา่ งยั่งยืนตลอดไป 101

๓. บริหารแบบบูรณาการ เอกลักษณ์อยา่ งหนึง่ ในการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวคือการทที่ รงประยุกต์นำความรแู้ ขนงตา่ งๆ มาใช้เพือ่ แก้ไขปัญหาและพฒั นาประเทศ ทรงศึกษาวิทยาการแตล่ ะประเภทอยา่ งลกึ ซง้ึ จนสามารถเขา้ ใจในวทิ ยาการเหลา่ นน้ั และสามารถนำจดุ ดีจดุ เดน่ ของความรตู้ า่ งๆมา“บรู ณาการ”ใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั สภาพของประเทศ และสภาพสังคมของแตล่ ะพน้ื ท่ี เพอ่ื ใหก้ ารทำงานเกดิ ประสทิ ธภิ าพมีความต่อเนื่อง และตอบสนองความตอ้ งการของราษฎรได้ตรงจดุ ดงั พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่นกั ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ เมื่อวันท่ี ๒๖ สิงหาคม ๒๕๑๙ ความตอนหน่งึ วา่ “...ถ้าแตล่ ะคนไดเ้ รียนรูม้ าดีแล้ว ก็สามารถที่จะปฏิบัติตามทีม่ ีความตัง้ ใจในใจ ตัง้ แต่เดยี๋ วนเี้ ป็นต้นไป อยากจะทำงานเพือ่ ส่วนรวม... ขอให้มีความสอดคล้อง มีความรูจ้ ัก และปรกึ ษาหารอื กับนักศึกษา เพือ่ นนกั ศกึ ษาทีศ่ กึ ษาในแขนงวิชาการ อื่นๆ ด้วย ปรึกษาหารือกันในกิจการที่กำลังทำ และในกิจการอืน่ ที่ไม่ใชว่ ่ากำลังทำ แต่ว่าก็เกี่ยวขอ้ งกับตวั เหมือนกัน ให้ปรึกษาหารอื กัน รูจ้ ักกันทุกคนในทางราบ หมายความว่า ในจำพวกทีม่ ีความรู้พอๆ กัน และทม่ี คี วามคดิ คล้ายๆ กนั … ตลอดจนครบู าอาจารยท์ ไ่ี ปช่วยใหก้ ารศกึ ษา กจ็ ะตอ้ งใหส้ อดคลอ้ งกนั เหมอื นกนั ไมใ่ ช่วา่ ครบู าอาจารยท์ ่มี วี ชิ าเฉพาะไปแลว้ กจ็ ะบงั คบั ใหม้ กี ารพฒั นาในดา้ นวิชาเฉพาะ ก็จะตอ้ งให้บรรดาคณาจารย์ต่างๆ ทีไ่ ปช่วยให้การปรกึ ษา ให้ปรกึ ษาระหว่างกันเอง คอื ระหว่างวิชาการต่างๆ เพอ่ื ใหก้ ารปรกึ ษานน้ั สอดคลอ้ งกันใหด้ .ี ..” 102

พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมือ่ วันที่๒๕ ตลุ าคม ๒๕๒๒ ความตอนหนึ่งว่า “...วิชานนั้ เมือ่ มีความเปลีย่ นแปลงมาเป็นลำดบั ตามภาวะและความจำเป็น ของโลก ก็ตอ้ งแตกสาขากวา้ งขวางมากหลายเปน็ ธรรมดา จนบางทที ำใหแ้ ลไม่เหน็ ว่า วิชาสาขาตา่ งๆ มาจากตน้ ตออนั เดียวกนั และลมื ไปวา่ วชิ าแต่ละสาขาน้นั มคี วามสมั พนั ธ์ สอดคล้องกันอยู่ เมือ่ เป็นดังนี ้ ที่สุดวิชาก็ขาดตอนจากกัน คนทีเ่ รียนและใชว้ ิชานนั้ ๆ ก็ไม่สัมพันธ์เก่ียวข้องกัน ไม่ปรองดองกัน ยังผลให้การงานติดขัดบกพร่องและ เสยี ประโยชนท์ พ่ี งึ ไดไ้ ปด้วยประการต่างๆ ดังน้นั ผ้ฉู ลาดจึงควรต้องศึกษาให้เห็นจริง และให้เข้าใจแจ่มแจ้งว่า วิชาท้งั หลายเก่ยี วโยงถึงกันเป็นส่วนประกอบของกันและกัน เปน็ ปจั จยั อดุ หนนุ กนั และกนั อยา่ งแนน่ แฟน้ แลว้ พยายามดึงเอาวิชาการ บุคคล กบั ทง้ั กิจการที่เกีย่ วขอ้ งมารวมกัน ส่งเสรมิ กัน เพอื่ ผลและประโยชนอ์ ันเลิศรว่ มกัน ของเรา...” และพระบรมราโชวาทพระราชทานในพธิ พี ระราชทานปรญิ ญาบัตร ณ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์เมือ่ ปี ๒๕๔๒ ความตอนหนงึ่ วา่ “...การศกึ ษาวทิ ยาการทกุ อยา่ ง ยง่ิ ศกึ ษาคน้ ควา้ มากขน้ึ เทา่ ใด กย็ ง่ิ จำเปน็ ตอ้ งกระทำ ใหล้ ะเอียดเฉพาะลงไปเทา่ น้นั และผ้ทู ่ไี ดผ้ า่ นการศกึ ษาระดบั น้ีมาแลว้ ยอ่ มจะถอื ตวั วา่ เปน็ ผเู้ ชย่ี วชาญเฉพาะวชิ า จะไมก่ า้ วกา่ ยกบั วชิ าทม่ี ไิ ดอ้ ยใู่ นขอบขา่ ยของตน แตใ่ นการใชว้ ชิ า การปฏบิ ตั งิ านน้ัน แมเ้ พียงงานเลก็ น้อยอยา่ งหน่งึ อยา่ งใดแต่เพียงอยา่ งเดียว กจ็ ำเปน็ ต้อง อาศัยหลกั วิชาหลายๆ สาขา นำมาเปน็ เคร่ืองชว่ ยปฏบิ ตั ิ จงึ จะสำเรจ็ ผลทด่ี ไี ด้ ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ หรอื นักวิชาการทกุ คนจงึ ไมค่ วรลมื วา่ วชิ าการทง้ั ปวงน้นั มคี วามสมั พันธเ์ กย่ี วเนอ่ื งถงึ กนั และต่างส่งเสริมสนับสนุนซ่ึงกันและกันอยู่ จะต้องนำมาใช้ประสมประสานกัน 103

ให้ถูกตอ้ งพอเหมาะพอดอี ยู่เสมอ เพราะอาจพดู ไดว้ ่าวิทยาการใดๆ ก็ตาม จะใช้ใหเ้ ปน็ ประโยชนแ์ ต่ลำพงั อยา่ งเดียว มิได้ เป็นหนา้ ที่ของนกั วิชาการทีจ่ ะตอ้ ง ทำความเขา้ ใจให้ชัดแจง้ แนน่ อนวา่ นอกจากแต่ละคนจะตอ้ งเช่ียวชาญในวิชา เฉพาะของตนแลว้ ยงั จำเปน็ อยา่ งยง่ิ ทจ่ี ะตอ้ ง เปิดตาเปิดใจให้กว้างขวางสว่างไสว เพอื่ เรียนรูใ้ ห้ทั่วถึง และเพือ่ ประสานกับ นกั วชิ าการอนื่ ๆ และคนอืน่ ๆ ให้ได้ โดยสอดคลอ้ งกนั ดว้ ย ประการสำคัญทส่ี ดุ ในเมอ่ื ปฏบิ ตั ิงานอนั ใดกบั ผ้ใู ดแลว้ จะต้อง พยายามรว่ มกนั พจิ ารณาปรกึ ษาใหเ้ ขา้ ใจ กันใหไ้ ด้ พรอ้ มกบั ระมดั ระวงั ปฏบิ ตั กิ าร ใหเ้ กอ้ื กลู สง่ เสรมิ กนั โดยตลอด งานทท่ี ำจงึ จะบรรลผุ ลเลศิ และเกิดประโยชน์ท่ีสมบูรณ์ ตามความมุ่งประสงค์ได้...” นอกจากนี ้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานสมั ภาษณ์เกีย่ วกับหลกั การทรงงานพัฒนาประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัว ในหนงั สอื “พระมหากษัตริย์นกั พฒั นา เพือ่ ประโยชนส์ ุขส่ปู วงประชา” ความตอนหนงึ่ วา่ “...ทรงนำความร้แู ละวชิ าการต่างๆมาใชร้ ่วมกนั หรือทส่ี มยั น้ีเรยี กวา่ “บรู ณาการ” ไม่ทิง้ แง่ใดแง่หนงึ่ อย่างเชน่ เรือ่ งอย่างนีใ้ นแนววิศวกรรมศาสตรท์ ำได้ แตว่ ่าอาจจะ ไมเ่ หมาะสมในเชงิ เศรษฐศาสตร์ หรอื เหมาะสมดใี นเชงิ เศรษฐศาสตรแ์ ละวศิ วกรรมศาสตร์ แตไ่ มเ่ หมาะสมกบั ความสขุ หรอื ความเจริญก้าวหนา้ ของประชาชน กไ็ มไ่ ด้...” การทรงงานอย่างบูรณาการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัว เพือ่ แก้ไขความเดือดร้อนในเรื่อง ต่างๆ ใหแ้ กพ่ สกนิกรนั้น ทรงมีวธิ ีคดิ อย่าง “องคร์ วม” หรอื มองอยา่ งครบวงจร ในการท่จี ะพระราชทานพระราชดำรเิ ก่ยี วกบั โครงการหน่ึงน้นั จะทรงมองเหตกุ ารณท์ ่จี ะเกดิ ข้นึ และแนวทางแกไ้ ขอย่างเชอ่ื มโยงกนั จากนัน้ พระองค์จะทรง “ทำตามลำดบั ขัน้ ” โดยเริ่มต้นจากสิง่ ทจี่ ำเปน็ ของประชาชนทส่ี ดุ กอ่ น แลว้ จงึแกไ้ ขปญั หาในเรอ่ื งตอ่ ๆ ไป หรอื ทรงทำในสง่ิ ทง่ี า่ ยไปหาสง่ิ ทย่ี าก ทำสง่ิ เลก็ ไปหาสง่ิ ใหญ่ อย่างเปน็ ลำดับขัน้โดยไมก่ ้าวกระโดด นอกจากน้ี ทรงเน้นการ “บริการรวมท่ีจดุ เดยี ว” ในลกั ษณะบริการแบบเบ็ดเสร็จเพ่อื ความสะดวกและประโยชน์แกป่ ระชาชน ดงั แนวพระราชดำรแิ ละพระราชกรณยี กจิ รวมท้งั โครงการตา่ งๆ ดงั น้ ี 104

แนวพระราชดำริ๓.๑ องค์รวม และบรกิ ารรวมที่จุดเดยี ว การเขา้ ไปชว่ ยแกไ้ ขปัญหาดา้ นตา่ งๆ ใหแ้ กร่ าษฎรน้ัน พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ทรงมวี ธิ กี ารคดิและทรงมองปัญหาตั้งแตภ่ าพใหญจ่ นถงึ ภาพเลก็ ในทุกๆ มติ ิ โดยทรงมองทกุ อยา่ งเช่ือมโยงกนั จากนนั้ทรงแก้ไขปญั หาอยา่ งเป็นระบบครบวงจรในทกุ ข้ันตอน ดงั แนวพระราชดำริ ดงั น้ี  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั ทรงมวี ธิ คี ดิ อยา่ งองคร์ วม (Holistic) ทรงมองสง่ิ ต่างๆ ทเ่ี กดิ ข้ึนอยา่ งเปน็ ระบบครบวงจร ทง้ั ในข้นั ตอนการวางแผนและการปฏบิ ตั ิ โดยการวางแผนจะตอ้ งมีเป้าหมายท่ชี ดั เจน เตรยี มการแกไ้ ขปัญหาท้ังระยะส้ันและระยะยาว สอดคล้องกบั สภาพภมู ปิ ระเทศ และวเิ คราะห์ปญั หาทีจ่ ะเกิดขึ้นในอนาคตอยา่ งเปน็ องค์รวม เพือ่ มใิ ห้เกิดปญั หาขึน้ ในอนาคต ดังพระราชดำรัสจากหนังสือแนวพระราชดำริด้านการบริหารจัดการกรุงเทพมหานครของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวความตอนหนง่ึ ว่า “...การจดั ระบบควบคมุ นำ้ ในคลองตา่ งๆ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การจดั ระบบระบายนำ้ ในกรุงเทพมหานครนนั้ สมควรวางระบบให้ถูกตอ้ งตามสภาพการณ์และลักษณะ ภมู ปิ ระเทศซ่งึ ควรแบง่ ออกเปน็ ๒ แผนด้วยกนั คอื แผนสำหรับใช้กบั ในฤดฝู นหรือในฤดู นำ้ มากน้ี กเ็ พอ่ื ประโยชนใ์ นการป้องกันนำ้ ท่วม และเพ่ือบรรเทาอุทกภยั เปน็ สำคญั แต่แผน การระบายนำ้ ในฤดแู ลง้ นน้ั กต็ อ้ งจดั อกี แบบหนง่ึ ตา่ งกนั ไป เพอ่ื การกำจดั หรอื ไลน่ ำ้ เนา่ เสยี ออกจากคลองดงั กล่าวเป็นหลกั ซง่ึ ท้ังสองระบบน้คี วรจะพจิ ารณาถึงวิธีการระบายน้ำ โดยอาศยั แรงโนม้ ถ่วงของโลกให้มากที่สุด ทั้งนีเ้ พือ่ ประหยัดคา่ ใชจ้ า่ ยในการควบคมุ ระดบั น้ำตามลำคลองเหล่าน.้ี ..” และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานสมั ภาษณใ์ นหนงั สอื“พระมหากษัตริย์นักพฒั นา เพอ่ื ประโยชนส์ ุขสูป่ วงประชา” ความตอนหนง่ึ วา่ 105

“...ทแ่ี กง่ กระจานมชี าวกะหรา่ งอาศยั อยมู่ าก พระองคเ์ สดจ็ ฯ เขา้ ไปเพอ่ื ทรงดแู ล ชาวบา้ นกล่มุ น้วี ่าควรจะเพาะปลกู อะไร ทำอยา่ งไรจะมอี ย่มู กี นิ และสามารถท่จี ะนำของ ไปขายหรือประกอบอาชพี อืน่ ๆ จึงทรงให้ความรู้ รวมถงึ ส่งเด็กๆ แถวน้นั เรยี นหนังสือ สง่ เสรมิ กจิ กรรมต่างๆ ท่จี ะช่วยใหเ้ ขามชี วี ิตความเปน็ อยดู่ ีข้นึ เจ็บไขไ้ ด้ปว่ ยกท็ รงรกั ษา โดยทำแบบครบวงจรในทกุ ๆ อย่าง พระองคท์ รงพัฒนาอย่างครบวงจร อะไรที่จะเสรมิ ให้ดขี ้นึ ไดท้ รงทำทุกอยา่ ง...”  ทรงมองทุกส่ิงเปน็ พลวตั ทีท่ ุกมติ ิเชอื่ มตอ่ กนั ในการทจี่ ะพระราชทานพระราชดำริเกย่ี วกับโครงการหน่งึ น้นั ทรงมองเหตกุ ารณท์ ่จี ะเกดิ ข้นึ และแนวทางแกไ้ ขอยา่ งเช่ือมโยงกนั ดงั เชน่ เรอ่ื ง “น้ำ”ทีท่ รงให้ความสำคัญอย่างยงิ่ ทรงพระราชดำริตั้งแต่จากฟากฟ้าสทู่ ะเล จะเห็นได้ว่าทรงพระราชดำริฝนหลวง เพือ่ แก้ไขปัญหาความแห้งแล้ง เมอื่ ฝนตกลงมาแล้วมพี ระราชดำริให้หาทางเก็บกักนำ้ ไว้ใช้โดยการอนรุ ักษ์และเพิม่ พื้นทีป่ ่าไม้ สรา้ งฝายต้นน้ำ ปลูกหญ้าแฝก สร้างอ่างเก็บน้ำบริเวณเชิงเขาและสร้างเขอื่ น เม่ือลงมาพนื้ ท่รี าบมพี ระราชดำรทิ ฤษฎใี หม่ ให้ประชาชนกนั พืน้ ทส่ี ่วนหน่งึ เพอ่ื กกั เก็บนำ้ ไว้ใช้ รวมทัง้ การสร้างแก้มลิง คนั กั้นน้ำ สร้างทางให้น้ำผ่าน การบำบัดนำ้ เสียด้วยกังหันนำ้ชยั พฒั นา สร้างทางระบายนำ้ ลงทะเล และการอนรุ ักษ์ป่าชายเลน สรปุ แนวพระราชดำริ 106

และพระราชดำรัสพระราชทานในโอกาสทคี่ ณะบุคคลต่างๆ เฝ้าทลู ละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล เนือ่ งในโอกาสวันเฉลมิ พระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสดิ าลัย สวนจิตรลดาพระราชวังดสุ ติ เมือ่ วนั ที่ ๔ ธนั วาคม ๒๕๒๖ ความตอนหน่ึงว่า “...ความจรงิ ตน้ เหตขุ องการทว่ มนน้ั ขอ้ ใหญก่ ค็ อื ไปสรา้ งบา้ นในบงึ ไปสรา้ งบา้ น ในท่ีลุม่ น่ันเอง แต่ทง้ั หมดนีก้ ็ที่จะพดู ว่าเพราะว่ามนุษยเ์ ราไปแกไ้ ข ไดไ้ ปเปลยี่ นแปลง ดดั แปลงธรรมชาต ิ จนทำใหธ้ รรมชาตนิ ่นั เปลย่ี นออกมาเปน็ คนละอยา่ ง อาจจะเรียกไดว้ า่ เปน็ ธรรมชาติเหมือนกัน เพราะว่าเป็นธรรมชาติของคน คนทจ่ี ะตอ้ งขวนขวายหาทอ่ี ย ู่ ขวนขวายหาความสบาย ขวนขวายท่จี ะสร้างอะไรท่เี ปน็ ประโยชนแ์ กต่ น แต่ว่าการสรา้ ง สิ่งต่างๆ ทีเ่ ป็นประโยชนแ์ ก่ตนนนั้ หรอื ทำอะไรทีด่ ดั แปลงธรรมชาต ิ ก็ย่อมอาจจะ ทำให้ธรรมชาตนิ ัน้ เปลี่ยนแปลงไปจริงๆ โดยที่ไม่อยูใ่ นความควบคุมของผู้ทีด่ ัดแปลง น่ันเอง...”  ทรงมองปญั หาต้งั แต่ภาพใหญจ่ นถงึ ภาพเลก็ ในทกุ ๆ มติ ิ ดงั เชน่ การแกไ้ ขปญั หาการจราจรน้ันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวทรงมองภาพรวมในการแก้ปญั หาจราจรทัง้ ระบบ และมีพระราชดำริใหแ้ กป้ ญั หาในภาพยอ่ ยทลี ะจดุ โดยจดั ลำดบั การดำเนนิ โครงการทไ่ี ดผ้ ลเรว็ กอ่ น จากนน้ั จงึ มโี ครงการอน่ืทตี่ ่อเนอื่ งอกี เนือ่ งจากการแก้ปญั หาจราจรทัง้ ระบบเปน็ เรื่องใหญแ่ ละต้องใช้เวลานาน จึงต้องแก้ไขปญั หาในจุดยอ่ ยทลี ะจุดก่อน หรือแก้ปัญหาในส่วนทที่ ำได้ก่อน เพือ่ ช่วยให้ปญั หาผ่อนคลายลง และเมื่อปญั หาในจดุ ยอ่ ยแตล่ ะจดุ ได้รับการแก้ไข ปญั หาภาพรวมทั้งระบบกจ็ ะคอ่ ยๆ หมดไป อยา่ งไรกต็ ามหากปัญหาทีเ่ กิดขึน้ เป็นปัญหาเฉพาะหน้าเร่งด่วน หรือเมือ่ ปัญหาถึงจุดวิกฤต ก็จำเป็นต้องแก้ปัญหาวิกฤตนัน้ ก่อน ดังพระราชดำรัสจากหนังสือแนวพระราชดำริด้านการบริหารจัดการกรุงเทพมหานครของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู วั ความตอนหนึ่งว่า 107

“...โครงการทไ่ี ดผ้ ลคงเปน็ ทท่ี นั ใจของทา่ นทง้ั หลาย ลำดบั แรกทจ่ี ะใหญโ่ ตพอสมควร คอื การทำทางแยกที่เชิงสะพานพระปิน่ เกล้า ซงึ่ จะใช้เวลาเพียงสามสีเ่ ดือนก็ทำ สำเรจ็ และเขา้ ใจว่าจะชว่ ยไดม้ าก. ตอ่ จากนนั้ ก็ได้ขยายสะพานผ่านฟา้ ซงึ่ ก็ทำได้ดี พอสมควรเหมือนกัน. เดีย๋ วนกี้ ำลังทำการขยายสะพานมัฆวาน ต่อไปก็ยังมีโครงการ ที่ต่อเนอื่ งไป ท่านจะเห็นไดว้ ่าทีท่ ำนเี้ ป็นส่วนเดยี วของการจราจร แต่วา่ ไม่สามารถ ทีจ่ ะแก้ไขจราจรได้เบ็ดเสรจ็ ทัง้ หมด ซงึ่ จะกินเวลาเป็นปี และงานเหล่านกี้ ็เป็น สว่ นเดียวของการแกป้ ญั หา. ตอ่ จาก สะพานมฆั วานนน้ั กม็ โี ครงการตอ่ ไป ใหม้ าทางถนนศรอี ยุธยา...” จากพระราชดำริองค์รวม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวมีพระราชดำริให้จัดการบริการรวมทีจ่ ุดเดียวแก่ประชาชนเพ่อื อำนวยความสะดวก ประหยดั เวลา และค่าใช้จา่ ย โดยมแี นวพระราชดำริ ดังนี้  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวทรงเน้นในเรื่องการสร้างความรู้ รัก สามคั คี และการร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกัน ด้วยการปรับลดช่องว่างระหว่างหนว่ ยงานทเี่ กีย่ วข้อง ทีม่ กั จะต่างคนต่างทำ และยึดติดกับการเปน็ เจ้าของเป็นสำคัญใหแ้ ปรเปลี่ยนเปน็ การรว่ มมอื กัน โดยไมม่ เี จา้ ของ ทำงานรว่ มกันเปน็ กลุ่มอยา่ งมีเอกภาพ เพื่อสามารถอำนวยประโยชนส์ ูงสดุ ให้แก่ประชาชน เป็นการพัฒนาแบบผสมผสานทใี่ ห้ผลเปน็ การ “บริการรวมที่จดุ เดยี ว” รูปแบบการบรกิ ารแบบเบ็ดเสร็จ หรือ One Stop Service ทีเ่ กิดขึน้ เป็นครัง้ แรกในระบบบริหารราชการแผน่ ดินของประเทศไทย พระองคท์ รงใหศ้ นู ยศ์ ึกษาการพฒั นาอนั เน่อื งมาจากพระราชดำริเปน็ ตน้ แบบในการบริการรวมทจ่ี ดุ เดียว เพ่อื ประโยชนต์ ่อประชาชนที่มาขอใช้บรกิ าร จะประหยัดเวลาและค่าใชจ้ า่ ย โดยมหี น่วยงานราชการตา่ งๆ มารว่ มดำเนินการและใหบ้ ริการประชาชน ณ ที่แห่งเดยี ว ดงั พระราชดำรัส ณ ศูนยศ์ ึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนอื่ งมาจากพระราชดำริ เมอื่ วันที่ ๑๑ สงิ หาคม ๒๕๒๖ เกี่ยวกับการทำงานแบบบรู ณาการว่า “...กรม กองตา่ งๆ ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับชีวิตประชาชนทกุ ด้านไดส้ ามารถแลกเปล่ียน ความคิดเหน็ ปรองดองกนั ประสานกนั ตามธรรมดาแต่ละฝา่ ยตอ้ งมศี ูนยข์ องตน แตว่ ่า อาจจะมีงานถือว่าเป็นศูนย์ของตัวเองคนอืน่ ไม่เกี่ยวขอ้ ง และศูนย์ศึกษาการพัฒนา 108

เปน็ ศนู ยท์ ร่ี วบรวมกำลงั ทง้ั หมดของเจา้ หน้าทท่ี กุ กรม กอง ท้งั ในด้านเกษตรหรอื ในดา้ น สงั คม ทง้ั ในดา้ นหางาน การสง่ เสรมิ การศกึ ษามาอยดู่ ้วยกนั กห็ มายความวา่ ประชาชน ซึง่ จะต้องใช้วชิ าการทง้ั หลายก็สามารถที่จะมาด ู สว่ นเจา้ หน้าทจี่ ะใหค้ วามอนเุ คราะห์ แก่ประชาชนก็มาอยู่พรอ้ มกันในที่เดยี วกันเหมือนกัน ซึง่ เป็นสองด้าน ก็หมายถึงวา่ ทีส่ ำคัญปลายทางคอื ประชาชนจะไดร้ ับประโยชน ์ และตน้ ทางของผู้เป็นเจ้าหน้าที่จะ ให้ประโยชน์...”  การแก้ไขปัญหาของประเทศชาติที่มีอยู่มากมายนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการอยา่ งเร่งด่วนและเบ็ดเสรจ็ ในข้นั ตอนเดยี ว การแก้ไขปัญหาโดยใช้วิธกี ารบูรณาการ จึงเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ โดยอาศยั ความรว่ มแรงรว่ มใจจากหนว่ ยงานทเ่ี กีย่ วข้องทกุ ฝ่าย เพื่อประสานความร่วมมือนบั ตั้งแต่การร่วมค้นหาสาเหตขุ องปัญหา ร่วมกันกำหนดแผนงาน รว่ มกันปฏบิ ัติ และร่วมกนั ประเมนิ ผลการทำงานซง่ึ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงเนน้ ยำ้ ใหท้ กุ ฝา่ ยรว่ มมอื กนัทำอย่างจริงจัง เพื่อให้ผลของการดำเนนิ งานไปถึงประชาชนท่ยี ากไรอ้ ย่างแท้จรงิ  อาศัยหลักวิชาการที่หลากหลายมาแก้ไขปัญหารว่ มกันแบบสหวทิ ยาการ ดงั ทีส่ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯสยามบรมราชกุมารี พระราชทานสมั ภาษณใ์ นหนงั สอื“พระมหากษัตริย์นกั พัฒนา เพื่อประโยชน์สุขสูป่ วงประชา”ความตอนหนึ่งวา่ “...นับเป็นการศึกษารปู แบบหนึง่ คือเป็น การศกึ ษาของคนทอ่ี ยตู่ า่ งหนว่ ยงานราชการ ตา่ งความร้ ู ต่างความคดิ มาทำงานร่วมกนั ในพ้ืนทเ่ี ดยี วกนั จะนำ ความรูข้ องตนเองมาทำอย่างไรให้พื้นทีต่ รงนีเ้ จริญ สามารถใช้ได้ แล้วคนรอบข้าง มีความสุข อย่างเช่น ศนู ย์ศกึ ษาการพฒั นาพกิ ุลทองฯ จังหวัดนราธวิ าส จะแกป้ ญั หา ในทอ้ งถ่นิ เรอ่ื งดนิ เปร้ียว จะทำอย่างไรจึงจะแก้ไขปัญหานไี้ ด้ ไมใ่ ชว่ า่ กรมชลประทาน อยู่ส่วนชลประทาน กรมพัฒนาที่ดินอยูส่ ่วนพฒั นาที่ดนิ กรมป่าไม้อยูส่ ่วนป่าไม้ กรมปศสุ ัตวอ์ ยูส่ ่วนของปศุสัตว์แตจ่ ะมารวมกัน ทุกหน่วยทุกคนนำความรแู้ ละ เทคนคิ ของตวั เองมาลงในโครงการเดยี วกัน เป็นการศกึ ษาร่วมกันในรูปแบบใหม่ เสรจ็ แล้วราษฎรก็มาด ู นักพัฒนาก็มาศึกษา เพอื่ นำความรูต้ รงนไี้ ปปรบั ใชใ้ นที่ของ 109

ตวั เอง หม่บู ้านบริวาร เขาก็จะนำไปทำ เม่ือทำไดผ้ ล สามารถลา้ งหนส้ี ินได้ คนๆ นัน้ ก็จะเป็นวิทยากรสอนคนอนื่ มีน้ำใจทีจ่ ะให้ความรใู้ นการช่วยคนอนื่ ต่อไป บางคน เมื่อเขาปลกู ไดแ้ ลว้ เหลอื กิน ใครมาขอเขากใ็ ห.้ ..”  การติดตามดูแล คอยแก้ไข ตรวจสอบ และปรับปรุงวิธีการอย่างสม่ำเสมอทั้งในส่วนของการบริหาร การจัดการ และการปฏิบัติการ เพือ่ ให้เกิดความผสมกลมกลนื และจะทำให้การดำเนนิ งานเปน็ ไปอย่างราบรืน่ สเู่ ป้าหมายทกี่ ำหนดไว้ ซึ่งสงิ่ ต่างๆ ทหี่ ลากหลายหนว่ ยงานได้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานนัน้ จะสง่ ผลให้ราษฎรผูร้ ับผลของการพัฒนาเกิดการเรียนรู้และนำไปสู่การดำเนนิ การด้วยตนเอง เกิดการพ่งึ พาตนเองและเป็นการพฒั นาที่ยั่งยนื ในท่ีสดุ๓.๒ ทำตามลำดับข้นั ในการทรงงาน พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั จะทรงเร่มิ ตน้ จากส่ิงท่จี ำเป็นท่ีสดุ ของประชาชนกอ่ นจากนั้นจงึ ทรงช่วยเหลือในเรือ่ งอืน่ ๆ ตอ่ ไปตามลำดบั ของความจำเปน็ โดยทรงทำสง่ิ ท่ีง่ายไปหาสงิ่ ทยี่ ากทำสิง่ เลก็ ไปหาสงิ่ ใหญ่ ทรงเนน้ การพัฒนาทีม่ ุง่ สร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนในช่วงเวลาทีเ่ หมาะสมเพอื่ มงุ่ สู่การพ่ึงตนเองได้ในทสี่ ุด ตามแนวพระราชดำริ ดงั นี้  การทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีลักษณะเด่นที่การทำตามลำดับขั้นความเรยี บง่าย เปน็ ไปโดยมเี หตผุ ล และทำอยา่ งเปน็ ระบบ โดยทรงเร่มิ ตน้ จากสง่ิ ทจ่ี ำเปน็ ของประชาชนที่สุดก่อน ได้แก่ สาธารณสขุ เมอื่ มีร่างกายสมบรู ณ์แข็งแรงแลว้ ก็จะสามารถทำประโยชน์ด้านอนื่ ๆต่อไปได้ ต่อจากนนั้ จะเป็นเรอื่ งสาธารณูปโภคขัน้ พืน้ ฐานและสิ่งจำเป็นในการประกอบอาชพี อาทิถนน แหลง่ น้ำเพ่อื การเกษตร การอปุ โภคบรโิ ภค ท่ีเออื้ ประโยชน์ตอ่ ประชาชนโดยไม่ทำลายทรพั ยากร 110

ธรรมชาติ รวมถึงการให้ความรูท้ างวิชาการและเทคโนโลยีทเี่ รียบง่าย เนน้ การปรบั ใช้ภมู ิปญั ญาท้องถิ่นทรี่ าษฎรสามารถนำไปปฏิบตั แิ ละเกดิ ประโยชน์สูงสดุ จากนั้นจึงแก้ไขปัญหาในเรอื่ งตอ่ ๆ ไป ด้วยทรงตระหนกั ว่าเมือ่ ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงจึงสามารถประกอบอาชีพเลีย้ งตนเอง และเมอื่ ได้รับการส่งเสริมให้สามารถหารายได้เลยี้ งตนเองไดแ้ ล้ว จึงขยายไปสู่การพฒั นาสงั คมและพัฒนาประเทศตอ่ ไป  การพฒั นาประเทศจำเปน็ ตอ้ งสรา้ งพนื้ ฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่ กอ่ น จึงคอ่ ยสรา้ งเสริมความเจรญิ และเศรษฐกิจขนั้ สงู โดยลำดับต่อไป ดังพระบรมราโชวาท เมอื่ วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗ ความตอนหน่งึ ว่า “...การพฒั นาประเทศจำเป็นต้องทำตาม ลำดบั ข้ัน ตอ้ งสรา้ งพ้นื ฐานคือความพอมพี อกนิ พอใชข้ องประชาชนสว่ นใหญเ่ ปน็ เบ้อื งตน้ กอ่ น ใชว้ ิธกี ารและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถกู ตอ้ ง ตามหลักวชิ า เมือ่ ได้พืน้ ฐานมั่นคงพร้อมพอสมควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้าง คอ่ ยเสรมิ ความเจริญ และฐานะเศรษฐกจิ ข้นั ทส่ี งู ข้นึ โดยลำดบั ต่อไป หากมงุ่ แตจ่ ะท่มุ เท สรา้ งความเจรญิ ยกเศรษฐกิจให้รวดเรว็ แต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการ สัมพนั ธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชน โดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิด ความไม่สมดุลในเรอื่ งตา่ งๆ ข้ึน ซงึ่ อาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด ดงั เหน็ ไดท้ อ่ี ารยประเทศกำลังประสบปญั หาทางเศรษฐกจิ อยา่ งรุนแรงในเวลาน้ี...”  ในการดำเนินโครงการพัฒนา หลักสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานอย่ตู ลอดเวลาคอื การทำสง่ิ ทง่ี ่ายไปหาสง่ิ ทย่ี าก ทำสง่ิ เลก็ ไปหาส่งิ ใหญ่ อยา่ กา้ วกระโดด หรือในแนวทางอนุรกั ษน์ ิยมสุดโต่ง เช่น ไมเ่ ร่งรัดนำความเจริญเข้าไปสชู่ ุมชนในภูมิภาคทีย่ ังมไิ ด้ทนั ตัง้ ตัวแต่ให้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อให้มคี วามสามารถในการรับมอื กับสถานการณ์ ของโลกภายนอกได้ซึง่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้บรรยายเรื่อง “แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวกับแนวทางการใช้ชีวิตในอนาคต” เมอื่ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ว่า สมยั นี้ตอ้ งการรวยและกา้ วไปส่คู วามเปน็ สากลอยา่ งรวดเร็ว จึงมกี ารกำหนดกตกิ าใหมๆ่ ขึ้นมา และออกแบบเคร่ืองมือไวม้ ากมาย โดยลืมหนั มาดพู ้นื ฐานของสงั คมไทย และความพร้อมของคน 111

สิง่ เหลา่ นที้ รงมพี ระราชกระแสรับสั่งมานานกวา่ ๕๐ ปี ดงั พระราชกระแสรับส่งั เก่ยี วกับโครงการพฒั นาพืน้ ท่ีหุบกะพง ความตอนหนงึ่ วา่ “ . . ห้ า ม ห น ว่ ย ร า ช ก า ร น ำ เครือ่ งจักรกลเข้าไปดำเนินการเร็วนกั เพราะวา่ ถ้าหากนำเครือ่ งจักรกลเข้าไป ดำเนินการแล้วชาวบ้านจะทิง้ จอบ ทิง้ เสียมและจะใช้ไม่เป็น และเขาจะ ช่วยตวั เองไมไ่ ดใ้ นระยะยาว...” และพระบรมราโชวาทพระราชทานในพิธี พระราชทานปริญญาบตั ร ณ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ความตอนหน่ึงวา่ “...การสร้างความเจริญก้าวหน้านี ้ ควรอย่างยิง่ ทีจ่ ะคอ่ ยสร้าง ค่อยเสรมิ ทีละเล็กละน้อยตามลำดับ ให้เป็นการทำไป พจิ ารณาไปและปรับปรุงไป ไม่ทำดว้ ย อาการเร่งรบี ตามความกระหายที่จะสรา้ งของใหม่ เพอื่ ความแปลกใหม่ เพราะ ความจริง ส่ิงท่ีใหมแ่ ทๆ้ นน้ั ไม่มี ส่ิงใหม่ทัง้ ปวงยอ่ มสืบเนื่องมาจากส่ิงเกา่ และต่อไป ย่อมจะตอ้ งเป็นสงิ่ เก่า...”  การดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมุ่งสร้างรากฐานที่มั่นคงก่อน จากนั้นจึงดำเนินการเพอ่ื ความเจรญิ กา้ วหน้าในลำดบั ต่อๆ ไป พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวทรงเนน้ การพฒั นาท่ีมุ่งสรา้ งความเข้มแขง็ ให้แก่ชุมชนก่อน แล้วมีการพัฒนาต่อไปให้ประชาชนสามารถพึง่ ตนเองได้นน่ั คอื ทำใหช้ ุมชนหมบู่ า้ นมคี วามเขม้ แขง็ ก่อน แลว้ จึงคอ่ ยออกมาสู่สังคมภายนอก พระองค์มีพระราชประสงค์ทจี่ ะช่วยเหลือราษฎรตามความจำเปน็ และเหมาะสมกับสถานภาพเพื่อทรี่ าษฎรเหลา่ นัน้ จะสามารถพึ่งตนเองได้ และออกมาสสู่ งั คมภายนอกได้อย่างไมย่ ากลำบากขณะเดียวกันจะต้องอนรุ กั ษ์และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม ส่งเสรมิ ความรู้เทคนคิ วิชาการสมัยใหมพ่ ร้อมๆ กันไปด้วย ดังพระราชดำรัสในพธิ ีเปดิ การประชมุ การสงั คมสงเคราะห์แห่งชาติ ครง้ั ท่ี ๕ ณ หอ้ งประชมุ ศาลาสนั ตธิ รรม เม่อื วนั ที่ ๖ เมษายน ๒๕๑๒ ความตอนหน่ึงวา่ “...การเขา้ ใจสถานการณแ์ ละสภาพของผทู้ ่เี ราจะช่วยเหลอื น้นั เปน็ สง่ิ สำคัญท่สี ดุ การช่วยเหลือใหเ้ ขาได้รบั สงิ่ ท่เี ขาควรจะไดร้ บั ตามความจำเป็นอย่างเหมาะสม จะเปน็ การชว่ ยเหลือที่ไดผ้ ลดที ี่สุด เพราะฉะนัน้ ในการช่วยเหลือแต่ละครัง้ แต่ละกรณี 112

จำเปน็ ทเ่ี ราจะพิจารณาถงึ ความต้องการและความจำเปน็ กอ่ น และตอ้ งทำความเขา้ ใจ กบั ผทู้ ่เี ราจะชว่ ย ใหเ้ ขา้ ใจด้วยวา่ เขาอยใู่ นฐานะอยา่ งไร สมควรท่จี ะได้รบั ความช่วยเหลอื อย่างไร เพยี งใด อกี ประการหน่ึง ในการช่วยเหลอื นนั้ ควรยึดหลกั สำคัญวา่ เราจะช่วย เขาเพือ่ ใหเ้ ขาสามารถช่วยตนเองไดต้ อ่ ไป...”  การทรงงานที่ดำเนินงานตามลำดบั ขน้ั ตอนนน้ั ทรงคำนึงถึงทุกปัจจัยและเง่ือนเวลา ให้มีความพอดี สมดุลรอบคอบ และสอดคล้องกับลักษณะของภูมิสังคม มิใช่การดำเนินงานในลกั ษณะก้าวกระโดดดังพระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะผูบ้ ริหารงานเร่งรัดพัฒนาชนบท ระดับผวู้ ่าราชการจังหวัดณ พระทนี่ ัง่ อมั พรสถาน เมอื่ วันที่๑๓ มิถุนายน ๒๕๑๒ ความตอนหน่งึ วา่ “...ยกตวั อย่างในแผนตอนพนื้ ฐานนนั้ มีตัวอย่างว่าจะต้องสรา้ งถนน สร้าง ชลประทานไว้สำหรับให้ประชาชนใช ้ สำหรับให้เจา้ หนา้ ทีไ่ ดเ้ ข้าไปปฏิบัตกิ ารได ้ คือไปชว่ ยประชาชนในทางบุคคล หรือในทางทีจ่ ะพฒั นาให้บุคคล มีความรอบรู้ และอนามัยแขง็ แรง ดว้ ยการให้การศกึ ษา และการรักษาอนามัย ขนั้ ท่สี ามถึงยอดน้นั กค็ อื การใหป้ ระชาชนในท้องท่ีสามารถทำการเพาะปลูก หรอื ทำการงานและค้าขายได้ สามขัน้ นีอ้ าจต้องกลับหัวกันบ้างก็ได ้ เพราะวา่ เหตกุ ารณ์ต่างๆ ไม่เหมือนกัน แล้วแตท่ ้องที ่ แล้วแตบ่ ุคคลทีเ่ ราจะไปช่วย จะยกตัวอย่างเชน่ วา่ การสร้างถนนนัน้ อาจไม่ใช่เป็นวิธีการพืน้ ฐานที่ผู้ที่สนใจในเรอื่ งเรง่ รดั พฒั นาที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เคยไปบอกให้ผูว้ ่าราชการจงั หวดั ทั้งนายอำเภอ ทั้งตำรวจ ให้เจา้ หนา้ ที่ต่อต้าน การใช้กฎหมายสนับสนนุ ผทู้ ่จี ะไปเบยี ดเบยี นประชาชน ด้วยการใชห้ ลกั มนษุ ยธรรมแทๆ้ หลักของเมตตา หลกั ของการปฏบิ ตั ิเพื่อส่วนรวมจริงๆ...” 113

ตัวอย่างพระราชกรณยี กจิ พระราชกรณยี กจิ ท่ีแสดงถงึ การคดิ อย่างเปน็ องคร์ วมในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั น้ันมีมากมายขอยกตัวอย่างพอสังเขป ได้แก่ การพัฒนาแหล่งน้ำ การบริหารจัดการนำ้ แบบบูรณาการ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม และโครงการพัฒนาพืน้ ทลี่ ุม่ น้ำปากพนังอนั เนือ่ งมาจากพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวทรงใช้แนวพระราชดำริองค์รวมในการจัดตั้งและดำเนินงานศูนยศ์ ึกษาการพัฒนาอันเนือ่ งมาจากพระราชดำริเพือ่ ให้เป็นต้นแบบในการบริการรวมทีจ่ ุดเดียวโดยมหี นว่ ยงานราชการต่างๆ มาร่วมดำเนินการและให้บรกิ ารแกป่ ระชาชน ณ ท่แี ห่งเดียว การทรงงานเพือ่ พัฒนาประเทศนัน้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวทรงทำตามลำดับขัน้ ตอนของความจำเป็นเร่งด่วน โดยพระราชกรณยี กิจทเี่ ห็นเด่นชัดว่าทรงให้ความสำคัญในลำดับแรกๆ คือการพฒั นาดา้ นการแพทย์และสาธารณสขุ ลำดบั ตอ่ ๆ มา คอื การพฒั นาและอนรุ กั ษด์ นิ และนำ้ นอกจากน้ีทรงให้ความสำคญั กบั การสร้างและใหค้ วามช่วยเหลอื ในสงิ่ ทจี่ ำเป็นของราษฎรก่อน พระราชกรณียกจิ แตล่ ะเร่ืองดงั กลา่ ว สรุปสาระสำคญั ได้ ดังนี้  การพัฒนาแหลง่ น้ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวทรงตระหนักถึงความสำคัญของน้ำต่อความอยูร่ อดของชีวิตทัง้ มนษุ ย์ สัตว์ และพืช เนอื่ งจากน้ำเป็นองค์ประกอบของสิง่ มีชีวิตทัง้ มวล ดังพระราชดำรัส ณพระตำหนักจติ รลดารโหฐาน เมอื่ วันท่ี ๑๗ มีนาคม ๒๕๒๙ ความตอนหน่งึ วา่ “...หลกั สำคัญวา่ ต้องมนี ้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพ่ือการเพาะปลกู เพราะวา่ ชวี ิตอยทู่ ่นี ่ัน ถ้ามีน้ำคนอยู่ได ้ ถ้าไม่มีนำ้ คนอยูไ่ ม่ได ้ ไม่มีไฟฟา้ คนอยูไ่ ด ้ แตถ่ ้ามีไฟฟา้ ไม่มีน้ำ คนอยไู่ มไ่ ด.้ ..” 114

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวทรงทราบความเดือดร้อนของประชาชนสว่ นใหญ่ทีป่ ระกอบอาชีพเกษตรกรรม ซง่ึ มักขาดแคลนนำ้ เพาะปลกู และไมม่ นี ้ำอปุ โภคบรโิ ภคอยา่ งเพยี งพอในฤดแู ล้ง นอกจากน้ันหลายพืน้ ทยี่ งั เกิดภาวะนำ้ ท่วม ทำความเสียหายแก่พืชผลและทรัพยส์ นิ อยูเ่ นอื งๆ ในฤดูฝน รวมทัง้การเกิดปัญหาสงิ่ แวดล้อม ทำให้นำ้ ตามแหลง่ ชุมชนในเมืองใหญ่ๆ เน่าเสียจนไม่อาจใช้ประโยชนไ์ ด้พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวทรงมองการแก้ไขปัญหาในองคร์ วมและพระราชทานพระราชดำริในการพัฒนาและบรหิ ารจัดการน้ำ โดยมีวิธดี ำเนินงานท่ีสำคญั ดงั นี้ ๑) การพฒั นาแหล่งน้ำจะเป็นรูปแบบใด มีพระบรมราชวินจิ ฉัยวางโครงการด้วยแผนทีอ่ ย่างเช่ยี วชาญ โดยตอ้ งเหมาะสมกบั รายละเอยี ดของสภาพพน้ื ท่ี และสภาพแหลง่ นำ้ ธรรมชาตทิ ่มี อี ย่ใู นแตล่ ะทอ้ งถิน่ เสมอ ๒) พิจารณาถึงความเหมาะสมในด้านเศรษฐกิจและสงั คมของท้องถ่นิทรงเน้นการช่วยเหลือชาวนาชาวไร่ในทอ้ งถิน่ ทุรกันดารและแร้นแค้นเป็นลำดบั แรก หลกี เลย่ี งการเขา้ ไปสรา้ งปญั หาความเดือดร้อนให้กับคนอีกกลมุ่ หนึง่ไมว่ า่ ประโยชนท์ างดา้ นเศรษฐกจิ เกย่ี วกบัการลงทนุ น้นั จะมีความเหมาะสมเพยี งใดก็ตาม ด้วยเหตุนจี้ ึงมีพระราชดำริว่า การทำงานโครงการพัฒนาแหลง่ นำ้ ทุกแห่ง ราษฎรในหมบู่ ้านที่ได้รับประโยชน์ จะต้องดำเนนิ การแก้ไขปัญหาเรื่องทดี่ ิน โดยจัดการช่วยเหลอื ผทู้ เี่ สียประโยชน์ตามความเหมาะสม เพ่อื ทางราชการจะสามารถเขา้ ไปใชท้ ่ีดนิ ทำการกอ่ สรา้ งได้ ซง่ึ เปน็ พระบรมราโชบายท่มี ่งุ หวงั ใหร้ าษฎรเขา้ มามีสว่ นรว่ ม และชว่ ยเหลือเก้อื กลู กนั ภายในชมุ ชนของตนเอง และมคี วามหวงแหนทจ่ี ะดแู ลบำรุงรกั ษาสิ่งก่อสรา้ งนนั้ ต่อไปด้วย โครงการพฒั นาแหล่งน้ำอนั เน่ืองมาจากพระราชดำริ มีจดุ มุ่งหมายเพอ่ื ชว่ ยแกไ้ ขปัญหา หรอื บรรเทาความเดือดร้อนเกีย่ วกับนำ้ จนสามารถสนองความตอ้ งการของราษฎรไดอ้ ย่างครอบคลุมในทุกๆด้านอย่างเปน็ องค์รวม โดยแบง่ เป็น ๕ ประเภท ดังน้ี ๑) การพฒั นาแหลง่ น้ำเพ่อื การเพาะปลกู และอปุ โภคบริโภค ไดแ้ ก่ การทำฝนเทียมหรอื ฝนหลวงโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำและฝายทดนำ้ งานขดุ ลอกหนองบึง และงานสระเกบ็ นำ้ ๒) ด้านการป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัย ได้แก่ การก่อสร้างคันกัน้ น้ำและคลองผนั นำ้การปรบั ปรงุ สภาพลำนำ้ การระบายนำ้ ออกจากพ้นื ทลี่ ุ่ม และโครงการแก้มลิง 115

๓) การแก้ไขปัญหาคณุ ภาพน้ำ ได้แก่ การแก้ไขปญั หานำ้ เค็ม รุกลำ้ ลำนำ้ ทำความเสยี หายแก่พื้นทีเ่ พาะปลูก การใช้คุณภาพน้ำดีช่วยบรรเทานำ้ เนา่ เสยี ในลำคลองในพืน้ ทเี่ มอื ง และกรุงเทพฯการบำบัดนำ้ เน่าเสียด้วยผกั ตบชวาและโดยวิธีการเติมอากาศ และโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาส่งิ แวดลอ้ มแหลมผกั เบ้ยี จังหวดั เพชรบรุ ี ๔) โครงการพฒั นาแหล่งนำ้ เพือ่ การอนรุ กั ษต์ ้นน้ำลำธาร โดยการสร้างฝายต้นนำ้ ลำธารหรือฝายชะลอความชมุ่ ชืน้ (Check dam) ๕) โครงการพฒั นาแหล่งน้ำเพือ่ การผลิตไฟฟา้ พลังนำ้ การดำเนินงานโครงการพัฒนาแหลง่ น้ำอนั เนือ่ งมาจากพระราชดำริส่วนใหญ่มวี ัตถุประสงค์เพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภคเป็นสำคัญ แต่มหี ลายโครงการทีม่ วี ัตถุประสงค์หลายๆ อย่างไปพร้อมกัน เพ่ือให้มีการใช้น้ำอยา่ งคมุ้ คา่ และเกดิ ประโยชนส์ งู สดุเช่น โครงการเข่อื นป่าสักชลสิทธ์ิโ ค ร ง ก า ร พั ฒ น า พ้ื น ท่ี ลุ่ ม น้ ำปากพนังอันเน่อื งมาจากพระราชดำริ โครงการเข่ือนขุนด่านปราการชล เป็นต้น ซึง่ โครงการพัฒนาเหล่านสี้ ามารถก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนทีม่ ีสภาพแร้นแค้นให้อยใู่ นฐานะ “พอมีพอกิน” จนถึงขั้น “มีกินมีใช้” และ“เหลือกนิ เหลือใช้” ในท่ีสุด ซง่ึ สง่ ผลประโยชน์ต่อประเทศชาตเิ ป็นส่วนรวมสรุปได้ดงั นี้ (๑) ชว่ ยให้พืน้ ที่การเกษตรมีน้ำอุดมสมบูรณ์ สามารถทำการเพาะปลูกได้ตลอดทัง้ ปีโดยหลายพืน้ ทีส่ ามารถทำการเพาะปลกู ได้มากกว่า ๑ ครั้งต่อปี ช่วยให้ได้ผลผลติ มากขึน้ และราษฎรมีรายไดเ้ พ่มิ ขนึ้ (๒) ชว่ ยบรรเทาอทุ กภัยและปัญหานำ้ ท่วมขังในพืน้ ที่เกษตรกรรมและในเขตชุมชนเมอื งใหญๆ่ เชน่ พน้ื ท่ีลุ่มน้ำเจา้ พระยาตอนลา่ ง กรงุ เทพฯ และปรมิ ณฑล อำเภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลาซงึ่ ชว่ ยลดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกจิ โดยรวมของประเทศ (๓) ชว่ ยให้ราษฎรมีน้ำเพอื่ อุปโภคบรโิ ภคทสี่ ะอาดอยา่ งเพียงพอตลอดปี ส่งผลใหร้ าษฎรมีสขุ ภาพพลานามัยดีข้ึน และยงั สามารถใช้เป็นแหล่งน้ำสำหรบั การเลีย้ งสตั วด์ ้วย 116

(๔) อา่ งเกบ็ นำ้ ขนาดตา่ งๆ ได้เปน็ แหลง่ เพาะพนั ธ์สุ ตั ว์นำ้ นานาชนิดและแหลง่ ประมงนำ้ จืดชว่ ยใหร้ าษฎรที่อย่ใู กลเ้ คยี งมีปลาบรโิ ภคในครวั เรือน และมรี ายได้เสริมเพิม่ ข้ึน (๕) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการอนุรักษ์ต้นนำ้ ลำธารอนั เนอื่ งมาจากพระราชดำริโดยการสรา้ งฝายกกั เกบ็ น้ำบรเิ วณตน้ น้ำลำธารเป็นช้นั ๆ พรอ้ มระบบกระจายนำ้ จากฝายตา่ งๆ ไปสู่พ้นื ท่ี๒ ฝ่ังของลำธารทำใหพ้ ้ืนท่ชี ่มุ ช้นื และปา่ เขยี วชอ่มุ ตลอดปี มลี กั ษณะเปน็ ปา่ เปยี กสำหรบั ปอ้ งกนั ไฟปา่โดยเปน็ แนวกระจายไปทัว่ บริเวณพื้นทีต่ ้นน้ำลำธาร ช่วยให้ทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศมคี วามอดุ มสมบูรณ์ (๖) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพือ่ การผลิตไฟฟ้าพลงั นำ้ เป็นการให้พลังงานทดแทนนำ้ มันเช้ือเพลงิ ทม่ี คี วามสำคัญยิ่งตอ่ การพฒั นาประเทศในปัจจุบนั และอนาคต (๗) การพฒั นาแหลง่ นำ้ หลายแหง่ สามารถใช้สนับสนุนภาคอตุ สาหกรรมในเขตลมุ่ น้ำ ส่งผลให้เขตเศรษฐกจิ ในพื้นทข่ี ยายตัว และยงั สามารถชว่ ยแก้ไขปญั หาคณุ ภาพนำ้ อกี ดว้ ย (๘) เปน็ แหลง่ ทอ่ งเท่ยี วและพกั ผอ่ นหยอ่ นใจ ซง่ึ นำไปส่กู ารสรา้ งงานและสรา้ งรายไดใ้ หก้ บัราษฎรเพ่มิ ข้นึ จึงกล่าวไดว้ า่ งานพัฒนาแหล่งนำ้ น้นั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวทรงดำเนินการทกุ ขั้นตอนทีจ่ ำเป็นต่อการดำรงชีวติ ของราษฎรอย่างเปน็ องค์รวมที่เห็นเด่นชดั เรือ่ งหน่งึ  การบรหิ ารจัดการนำ้ แบบบูรณาการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั มพี ระราชประสงคใ์ หท้ กุ หน่วยงานท่เี กย่ี วขอ้ งเร่ืองน้ำท้งั ประเทศทำงานรว่ มกันแบบบูรณาการ เพื่อเตรียมวางแผนร่วมกันรับมือกับปญั หาน้ำทีจ่ ะขาดแคลนมากขึน้โดยให้มุง่ เนน้ การบริหารนำ้ และบริหารแหล่งนำ้ ทีม่ ีอยใู่ ห้มกี ารจัดการทีร่ ่วมมือกันแก้ไขอย่างจริงจังโดยเฉพาะในปจั จบุ นั นำ้ สำรองของประเทศมอี ยา่ งจำกดั หากทกุ หนว่ ยงานไมม่ องภาพรวมวา่ จะประหยดั นำ้กนั อยา่ งไร ในอนาคตจะเกดิ ปญั หาหนักมากขน้ึ ท้งั น้ำท่ใี ชใ้ นการผลิตกระแสไฟฟา้ และนำ้ เพ่อื การเกษตร 117

ต้องมองหาจุดทีจ่ ะใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยไม่เนน้ ดา้ นใดดา้ นหน่ึงมากไป เมอื่ ปี ๒๕๔๑ พระบาทสมเด็จ พระเจา้ อย่หู วั จงึ มพี ระราชดำรใิ หห้ นว่ ยงาน ราชการและหน่วยงานต่างๆ ทงั้ ในและ ต่างประเทศรายงานสรุปสถานการณ์นำ้ ในประเทศไทย ผา่ นระบบเครอื ขา่ ยเพอ่ื การ จัดการทรัพยากรน้ำแห่งประเทศไทย เพอ่ื สามารถบรหิ ารจดั การนำ้ รว่ มกนั โดยระบบดังกลา่ วสามารถใช้งานได้จริงในปี ๒๕๔๕ นอกจากนี้ สืบเนอื่ งจากการเกิดปญั หานำ้ แลง้ มากในปี ๒๕๓๗ ต่อเนอื่ งจนถึงปี ๒๕๓๘ และเกิดน้ำท่วมใหญใ่ นหลายพืน้ ทขี่ องประเทศไทยในปี ๒๕๓๙พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวทรงเล็งเห็นความสำคัญของปญั หาดังกล่าว จึงมีพระราชดำริให้จัดตั้งหนว่ ยงานสำหรับดูแลเรื่องการบริหารจัดการนำ้ โดยเฉพาะ อนั เปน็ ทีม่ าของการจัดตั้ง “สถาบันสารสนเทศทรพั ยากรนำ้ และการเกษตร” ขึ้นเมอื่ ปี ๒๕๔๘ ดูแลและประสานระบบเครอื ขา่ ยเพื่อการจดั การทรพั ยากรน้ำของประเทศไทยในภาพรวม หลังจากนัน้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ดร.สเุ มธตนั ตเิ วชกลุ ประธานกรรมการสถาบันฯ และผู้อำนวยการสถาบนั ฯ เขา้ เฝ้าฯ กราบบงั คมทลู ถวายรายงานเกีย่ วกับสถานการณ์นำ้ ในประเทศไทยอย่างต่อเนือ่ ง ซึ่งในปัจจุบันได้ขยายผลการดำเนนิ งานเพิม่ เติมโดยการพัฒนาระบบคลังข้อมูลสภาพอากาศประเทศไทย เพื่อให้ได้ข้อมลู สภาพอากาศในแต่ละพืน้ ที่ของประเทศ เนือ่ งจากเป็นข้อมูลทีจ่ ำเป็นในการนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจในการบริหารจัดการรวมถงึ การตดิ ตง้ั สถานโี ทรมาตร ตรวจวดั สภาพอากาศ ปรมิ าณนำ้ ฝน และวดั ระดบั นำ้ เสรมิ ระบบโทรมาตรเดมิบรเิ วณเขื่อนภูมพิ ล จงั หวดั ตาก เข่ือนสิริกิต์ิ จังหวัดอตุ รดติ ถ์ เขือ่ นแควนอ้ ยบำรุงแดน จังหวัดพิษณโุ ลกและเขือ่ นป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบรุ ี รวมทงั้ พัฒนาระบบรายงานสนบั สนนุ การปฏิบัติการฝนหลวงพระราชทานใน ๔ เขื่อนดังกลา่ ว และต่อเชือ่ มข้อมลู ในระบบโทรมาตรเดิม ในพื้นทีเ่ ขือ่ นอุบลรัตน์จงั หวดั ขอนแกน่  การอนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงเนน้ ใหเ้ หน็ ถงึ ความสำคญั ของการพฒั นาประเทศและการอนรุ กั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่จะตอ้ งดำเนนิ ไปพรอ้ มๆ กันอย่างเป็นองคร์ วม โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในเรือ่ งของการรักษาระบบนเิ วศให้เกดิ ความสมดลุ เพอ่ื ให้ “คน” และ “ธรรมชาติ” อยรู่ ่วมกนั อยา่ งพ่งึ พาอาศัยและเออ้ื ประโยชนต์ อ่ กนั ตลอดไป 118

พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยในเรือ่ งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการแก้ไขปญั หาความเสอื่ มโทรมของทรัพยากรธรรมชาติเปน็ อยา่ งยงิ่ เนือ่ งจากในการพัฒนาประเทศในระยะเวลาทผ่ี า่ นมานน้ั ไดเ้ นน้ การเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ เปน็ สำคญั ทำใหเ้ ศรษฐกจิ ขยายตวั ในอตั ราท่สี ูงอย่างรวดเรว็ โครงสรา้ งทางเศรษฐกจิ ของประเทศไทยไดเ้ ปล่ียนไปสู่การผลติ ท่มี ุ่งสู่ภาคอตุ สาหกรรมและบริการเปน็ หลัก มกี ารใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติกันอย่างฟุ่มเฟือย โดยไม่มีการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติทีถ่ ูกทำลายให้กลับคืนสูส่ ภาพเดิม จนในทสี่ ุดได้ก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พระองค์จึงได้พระราชทานแนวทางแก้ไขในการพัฒนาและฟืน้ ฟูทรัพยากรธรรมชาติ ซึง่ มผี ลโดยตรงตอ่ การพฒั นาการเกษตร และทรงม่งุ ใหม้ กี ารพฒั นาและอนรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาติอยา่ งย่งั ยนืควบคกู่ บั การฟน้ื ฟทู รพั ยากรธรรมชาตทิ เ่ี สอ่ื มโทรม เพอ่ื เปน็ รากฐานของการพฒั นาประเทศในระยะยาวโดยทรงสนพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิง่ ต่อการทำนุบำรุงปรับปรุงสภาพของทรัพยากรธรรมชาติต่างๆทง้ั ปา่ ไม้ ทด่ี นิ แหลง่ นำ้ การประมง ใหอ้ ยใู่ นสภาพทม่ี ผี ลตอ่ การเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการผลติ อยา่ งมากทส่ี ดุ ดังนัน้ จึงได้มกี ารดำเนินโครงการต่างๆ มากมาย อาทิ โครงการอนรุ ักษ์พื้นทตี่ ้นนำ้ ลำธารโครงการปา่ รักน้ำ โครงการอนรุ กั ษพ์ นั ธพุ์ ชื และสตั วป์ ่า โครงการพัฒนาที่ดินเสื่อมโทรม โครงการพฒั นาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝก โครงการบำบัดนำ้ เสียทัง้ ในกรุงเทพฯ และในเมอื งหลักโดยใช้วิธีการต่างๆและโครงการศึกษาวจิ ยั และพัฒนาสิง่ แวดล้อมแหลมผกั เบยี้ อันเน่ืองมาจากพระราชดำริ ทุกโครงการดังกลา่ วมพี ระราโชบายสำคัญทชี่ ่วยให้การดำเนินงานประสบผลสำเร็จ นนั่ คือการให้ชุมชนเขา้ มามีส่วนร่วมในการพทิ ักษ์รกั ษาและได้รับประโยชน์จากทรพั ยากรธรรมชาติเหล่านอี้ ย่างเกือ้ กูลซงึ่ กันและกัน รวมทงั้ ส่งเสริมให้ราษฎรรู้จักการใช้ทรัพยากรธรรมชาติทีม่ ีอยู่จำกัดอย่างประหยัด เกิดประโยชนส์ ูงสุด และถูกต้องตามหลกั วิชาการ เพื่อประโยชน์ในระยะยาวซึง่ นำไปสูก่ ารพฒั นาอย่างยั่งยืน 119

 โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนงั อนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำริ โครงการนีเ้ ปน็ ตัวอยา่ งทีช่ ัดเจนที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาหรือการบริหารจัดการเชิงบูรณาการ โดยยึดสภาพพนื้ ที่และปัญหาของพนื้ ทีเ่ ป็นหลักในการวางแนวทางแก้ไขปัญหา การกำหนดวัตถุประสงค์และภารกิจรว่ มกัน เพือ่แกป้ ญั หาอยา่ งครอบคลุมในทุกๆ ด้านให้กับพน้ื ท่ี โดยไม่คำนึงถงึ เสน้ แบ่งเขตการปกครอง พน้ื ท่ลี มุ่ นำ้ ปากพนงั ท่ไี ดร้ บั พระราชทานพระราชดำรใิ หด้ ำเนินการแกไ้ ขปญั หา มพี ้นื ท่รี วมประมาณ๑.๙ ลา้ นไร่ ครอบคลุมพน้ื ท่ี ๓ จงั หวดั ไดแ้ ก่ นครศรธี รรมราช สงขลา และพทั ลงุ จงึ มีสภาพปัญหาศักยภาพ และความต้องการในแต่ละพืน้ ทีท่ แี่ ตกต่างกัน การดำเนนิ งานต้องอาศัยความร่วมมือจากหนว่ ยงานตา่ งๆ ท่เี กย่ี วขอ้ ง รวมถงึ การมสี ว่ นรว่ มจากภาคประชาชนในการกำหนดปญั หาและรว่ มกนัหาแนวทางแก้ไขปญั หา ในอดีต พืน้ ทีล่ มุ่ น้ำปากพนงั มปี ัญหาการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอยา่ งฟุม่ เฟือย โดยเฉพาะอย่างย่งิ การตัดไม้ทำลายป่าเพ่อื ทำสวนยางพารา ทำให้ดินถูกกัดเซาะและไหลลงแม่น้ำปากพนังและลำน้ำสาขา ทำให้ลำนำ้ ธรรมชาติมีปริมาณลดลงเรือ่ ยๆ จนถึงจุดวิกฤตทีท่ ำให้สภาพนำ้ จืด ในลมุ่ น้ำทเี่ คยมปี ีละ ๙ เดือน เหลอื เพียงปลี ะ ๓ เดือน ทัง้ ยังเกิดปัญหาอทุ กภัย การไหลบ่าของนำ้ เค็ม และสภาพดินเปรี้ยวสง่ ผลกระทบตอ่ เกษตรกรอย่างรนุ แรง การแก้ไขปัญหาทีด่ ำเนินการมาตัง้ แต่ปี ๒๕๓๘ – ๒๕๔๘ ปรากฏผลทีเ่ ปน็ รูปธรรม ได้แก่การปอ้ งกันน้ำเค็มจากทะเลทจี่ ะไหลเข้าไปในแม่นำ้ ปากพนงั และลำนำ้ สาขาได้อย่างสมบรู ณ์ ช่วยให้มีน้ำจืดไว้ใช้ตลอดทงั้ ปี และสามารถลดพื้นทนี่ ำ้ ทว่ มและย่นระยะเวลาในการระบายนำ้ ออกจากพื้นที่เกดิ อทุ กภยั ในอำเภอปากพนงั เชยี รใหญ่ และหวั ไทร รวมทง้ั มแี หลง่ นำ้ ดบิ สำหรบั ผลติ นำ้ ประปา จนสามารถสง่ น้ำเพือ่ ผลิตน้ำประปาในเขตอำเภอบางจาก เชียรใหญ่ ปากพนัง บอ่ ลอ้ ชะอวด และหวั ไทร นอกจากน้ี การควบคมุ ระดบั น้ำในพรชุ ว่ ยลดปญั หาการเกดิ ดนิ เปรย้ี ว น้ำเปรย้ี ว และไฟไหม้ปา่ พรไุ ด้การแบง่ เขตนำ้ จดื และนำ้ เคม็ ยงั ชว่ ยขจดั ปญั หาความขดั แยง้ ระหวา่ งเกษตรกรผเู้ ลย้ี งกงุ้ กลุ าดำกบั เกษตรกรทีใ่ ช้น้ำจืดทำการเกษตร และช่วยลดความเสยี หายแก่พื้นทนี่ าข้าว สามารถขยายพืน้ ทปี่ ลกู ข้าวนาปรังได้ผลผลิตต่อไร่เพมิ่ ข้ึน ตลอดจนสง่ เสริมใหร้ าษฎรเปล่ยี นอาชีพทำนากุ้งมาทำเกษตรผสมผสานมีรายได้เพม่ิ มากขึน้ 120

 พระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และสาธารณสขุ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั ทรงเหน็ ความสำคญัในดา้ นการแพทย์และสาธารณสุขเป็นลำดบั ตน้ ๆ ของพระราชกรณยี กจิ ทง้ั ปวง เนอ่ื งจากสมเดจ็ พระบรมราชชนกและสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนที รงสำเร็จการศึกษาทางด้านสาธารณสขุ ทรงตระหนักว่าสขุ ภาพอนามัยของประชาชนเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาประกอบกับในช่วงเวลา ๒๐ ปแี รกทที่ รงขึน้ ครองสริ ิราชสมบตั ินัน้ การแพทยแ์ ละสาธารณสุขของไทยยังไมเ่ จริญมีโรคระบาดเกดิ ข้นึ อย่างตอ่ เน่อื ง การคมนาคมยังไม่สะดวกราษฎรทีอ่ ยูใ่ นท้องถิ่นทหี่ ่างไกลและทุรกันดารจึงเดนิ ทางไปสถานพยาบาลลำบากมาก และสว่ นมากยงั อาศยั นำ้ จากแมน่ ้ำลำคลองในการดำรงชวี ติ เม่อื มโี รคระบาดจงึ ตดิ ตอ่ และระบาดไดง้ ่าย ดว้ ยทรงตระหนักว่า รา่ งกายท่แี ขง็ แรงและจติ ใจท่ีแจม่ ใสเบกิ บาน เปน็ หวั ใจของการทำใหช้ วี ติ มีความสุข ดงั พระราชดำรสั พระราชทานในพธิ พี ระราชทานรางวลั มหิดล ประจำปี ๒๕๓๙ เมอ่ื วนั ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๐ ความตอนหนงึ่ ว่า “...การแพทยแ์ ละการสาธารณสขุ เป็นพนื้ ฐานที่สำคญั อย่างหนงึ่ ของการ พฒั นาประเทศ ไมม่ ปี ระเทศใดในโลกจะเจริญ กา้ วหน้าไดอ้ ยา่ งสมบรู ณแ์ บบ หากประชากร ในประเทศนัน้ ๆ ยังมีสุขภาพพลานามัย ไมด่ ีพอ...” การทรงงานของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั เพือ่ ช่วยเหลือราษฎรในช่วงต้นจึงเนน้ ทกี่ ารแพทย์ และสาธารณสุข ทรงตัง้ กองทุนและก่อตัง้ มลู นิธิ ตา่ งๆ มากมาย อาทิ ทุนภมู พิ ล ทนุ โปลโิ อสงเคราะห์ทนุ ปราบอหิวาตกโรค ทุนวิจัยประสาท มูลนิธิราชประชามาสยั ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ และมลู นธิ ริ างวลัสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์รวมท้งั พระราชทานพระราชทรัพย์สร้างตึกผู้ป่วย อาทิตกึ มหิดลวงศานสุ รณ์ ทรงประกาศเชิญชวนประชาชนทางสถานีวิทยุ อ.ส. พระราชวังดสุ ิต รว่ มบริจาคและช่วยเหลอื ผูป้ ่วยและครอบครัว เสด็จพระราชดำเนนิ ไปทรงเยยี่ มพระราชทานกำลังใจแก่ผูป้ ่วย 121

แพทย์ และพยาบาล พระราชทานเรือเวชพาหน์ เพือ่ รักษาพยาบาลผูป้ ว่ ยทอี่ ยรู่ ิมแมน่ ้ำตลอดจนมีพระราชดำรใิ หพ้ ฒั นาห่นุ ยนตค์ ณุ หมอพระราชทาน เพอ่ื ชว่ ยประชาสัมพนั ธง์ านกาชาด และตอบปญั หาสุขภาพจติ นอกจากน้ี ยงั มีแพทยพ์ ระราชทาน ซ่งึ ออกหนว่ ยรกั ษาผ้ปู ่วยในชว่ งท่พี ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวัและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนี าถ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยยี่ มราษฎรตามภูมภิ าคต่างๆ อกี ทัง้ ยังทรงให้อบรมหมอหมู่บา้ น ให้แก่ราษฎรทีม่ ีความสมคั รใจได้มีความรูใ้ นการปฐมพยาบาลการจ่ายยาสามัญ และการให้ความรูเ้ กี่ยวกับการติดต่อราชการและสถานพยาบาล และพระราชดำริเก่ยี วกบั เสน้ ทางเกลอื คอื สบื หาตน้ ทางผลิตเกลือเพอ่ื เตมิ สารไอโอดนี กอ่ นส่งจำหน่าย เพอ่ื บรรเทาปญั หาประชากรเปน็ โรคขาดสารไอโอดนี ในภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื เปน็ ตน้ พระราชกรณียกิจอเนกประการดังกลา่ วนี้ ได้ช่วยให้ประเทศไทยผ่านพ้นโรคระบาดและโรคภัยไข้เจ็บนานปั การ รวมทัง้ เป็นตัวอย่างของประเทศที่ประสบปัญหาเดยี วกันในเวลาตอ่ มา  การพัฒนาและอนุรกั ษด์ นิ เม่ือพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั ทรงเรม่ิ งานพฒั นาประเทศ งานจดั และพฒั นาท่ดี ินเปน็ งานแรกๆทีพ่ ระองค์ทรงให้ความสำคญั ด้วยทรงเห็นวา่ ทีด่ ินเป็นปัจจยั พนื้ ฐานที่สำคญั มากเชน่ เดียวกับเรือ่ งนำ้ จึงได้ทรงเริ่มโครงการพัฒนาทีด่ ินหุบกะพง เมอื่ ปี ๒๕๑๑ โดยให้เกษตรกรจำนวน ๑๒๐ครอบครัวเข้าไปทำกินในพืน้ ที่ ๑๐,๐๐๐ ไร่ และมีสว่ นราชการต่างๆ เข้าไปช่วยเหลือราษฎรบกุ เบกิทที่ ำกิน อันเปน็ การแกไ้ ขปญั หาการไมม่ ที ด่ี ินทำกนิ ของเกษตรกร พระองค์ทรงเลือกพื้นทีป่ า่ เสือ่ มโทรม ทิง้ ร้าง ว่างเปลา่ นำมาจัดสรรให้แก่ราษฎรโดยให้สิทธิ์ทำกินชัว่ ลกู หลาน แต่ไม่ให้กรรมสิทธิ์ในการถือครอง งานจัดพื้นทที่ ำกินนคี้ รอบคลมุ ถึงกลมุ่ ชาวไทยภเู ขา เพอ่ื หยดุ ย้ังลกั ษณะการเพาะปลูกดำรงชพี ท่เี ป็นเหตใุ หเ้ กดิ การทำลายปา่ ไมไ้ ปเป็นจำนวนมากดว้ ยทรงมีหลักการในการจัดพื้นทีว่ ่าต้องวางแผนการจัดให้ดีเสียตั้งแต่ต้น โดยใช้แผนทแี่ ละภาพถ่าย 122

ทางอากาศช่วยด้วย ไมค่ วรทำแผนผังทีท่ ำกินเปน็ ลักษณะตารางสเี่ หลยี่ มเสมอไปโดยไมค่ ำถึงถึงสภาพภมู ปิ ระเทศ แตค่ วรจดั สรรท่ีทำกนิ ตามแนวทางพน้ื ที่รบั นำ้ จากโครงการชลประทาน พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ไดพ้ ระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย และคณะผแู้ ทนธนาคารต่างๆ ณพระตำหนกั จติ รลดารโหฐาน เม่ือวนั ท่ี ๑๔ มถิ นุ ายน๒๕๑๔ ความตอนหนง่ึ ว่า “...ในขณะน้ีข้อท่สี ำคญั สำหรบั ประชาชน คือจะต้องมที ่ที ำมาหากนิ และโดยเฉพาะ สำหรับผ้ทู ่ีเปน็ กสิกร จำเป็นที่จะให้เขามีทีด่ นิ ของตนเอง ตอ้ งสามารถทจ่ี ะผลติ ผลผลติ หาเลี้ยงชพี ตนเองใหไ้ ด้ดี และตอ้ งรกั ที่ทำกนิ ...” หลังจากการจัดพืน้ ที่ทำกินในระยะแรกแล้ว พระองคท์ รงขยายขอบเขตงานพัฒนาท่ดี ินดา้ นอน่ื ๆ ออกไป โดยเรม่ิ งานทางดา้ นวชิ าการมากขน้ึ เชน่ การวเิ คราะหแ์ ละการวางแผนการใช้ท่ีดินเพือ่ ให้มกี ารใช้ประโยชนท์ ดี่ ินอยา่ งเต็มขีดความสามารถ และให้เหมาะสมกับลกั ษณะสภาพดินทรงแนะนำให้เกษตรกรทดลองใช้วิธีการต่างๆ เพื่อบำรุงรักษาดิน ซึง่ วิธีการสว่ นใหญเ่ ป็นวิธีการตามธรรมชาติทีพ่ ยายามสร้างความสมดุลของสภาพแวดล้อมให้เกิดขึ้น เช่น ให้มีการปลูกไม้ใช้สอยรวมกับการปลูกพืชไร่ ซึง่ จะช่วยให้พืชไร่อาศัยร่มเงาของไม้ใช้สอย และได้รับความชุม่ ชื้นจากดนิ มากกว่าที่จะปลูกกลางแจ้ง เปน็ ตน้ ในระยะตอ่ มา พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ ัวทรงสนพระราชหฤทัยงานพฒั นาทีด่ ินที่มีสภาพธรรมชาตแิ ละปัญหาทีแ่ ตกตา่ งกันออกไปในแตล่ ะภูมิภาค จึงมีพระราชดำริเกีย่ วกับงานแก้ไขปัญหาทีด่ ินทเี่ น้นเฉพาะเรือ่ งมากขึ้น เช่น งานทดลองวิจัยเพือ่ แก้ไขปัญหาดินเค็ม ดินเปรี้ยวในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัญหาดินพรุในภาคใต้และทีด่ ินชายทะเล รวมทงั้งานเกย่ี วกบั การแกไ้ ขปรบั ปรงุ และบำรงุ รกั ษาดนิ ท่ีเส่ือมโทรมพงั ทลายจากการชะลา้ งท่ีเกดิ ข้นึ โดยท่ัวไปอกี ด้วย โครงการต่างๆ ในระยะหลงั จึงเป็นการรวบรวมความรู้ทัง้ ทางทฤษฎีและปฏิบัติ และนำเอาการพัฒนาหลากหลายสาขามาใช้ร่วมกัน ดังจะเห็นได้จากแนวคิดและตัวอย่างงานพัฒนาทีด่ ินในศนู ยศ์ กึ ษาการพัฒนาหลายแห่ง สำหรับทีด่ ินป่าสงวนทีเ่ สือ่ มโทรมและราษฎรได้เขา้ ไปทำกินอยูแ่ ล้วนัน้ ทรงเห็นวา่ รัฐน่าจะดำเนินการตามความเหมาะสมของสภาพพืน้ ทีน่ ัน้ ๆ เพือ่ ให้กรรมสิทธิแ์ ก่ราษฎรไดท้ ำกินอย่างถกู กฎหมาย แตม่ ไิ ดเ้ ป็นการออกโฉนดท่จี ะสามารถนำไปซอ้ื ขายได้ เพยี งแตใ่ หอ้ อกใบสัญญารบั รองสทิ ธิ 123

ทำกิน (สทก.) แบบมรดกตกทอดแก่ทายาทให้สามารถทำกินได้ตลอดไปและด้วยวิธีการน้ไี ด้ช่วยให้ราษฎรมีกรรมสิทธ์ิท่ีดินเป็นของตนเองและครอบครัว โดยไม่อาจนำท่ีดินน้ันไปขาย และไม่ไปบกุ รกุ พน้ื ท่ีป่าสงวนอนื่ ๆ อกี ตอ่ ไป  การสร้างและให้ความชว่ ยเหลอื ในสิ่งท่ีจำเปน็ กอ่ น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำรสั เมือ่ วนั ที่ ๔ ธนั วาคม ๒๕๒๓ เกย่ี วกับการพัฒนาประเทศว่าตอ้ งวินจิ ฉยั พจิ ารณาให้รอบคอบว่าอะไรควรทำเรง่ ด่วน อะไรควรทำได้ก่อนและอะไรท่ียังไม่ควรทำ ทรงยกตวั อยา่ งการเสดจ็ พระราชดำเนินทรงเยีย่ มราษฎรหมู่บา้ นหนึ่งที่จังหวดัสุโขทัย มีราษฎรเขา้ มากราบบังคมทลู ขอใหพ้ ฒั นาถนนลูกรงั ซง่ึ สัญจรไปมามีฝุ่นมาก ใหเ้ ปน็ ถนนลาดยางซ่งึ พระองคท์ รงมองวา่ การพฒั นาโครงสรา้ งพน้ื ฐานเปน็ เรอ่ื งท่จี ำเปน็ แตถ่ นนลกู รงั กย็ ังใชก้ ารไดพ้ อสมควรมสี งิ่ ท่เี รง่ ด่วนกว่าคือแหลง่ น้ำ เพอ่ื เก็บกกั นำ้ ไวเ้ พาะปลูกและไวใ้ ชอ้ ุปโภคบรโิ ภคได้ตลอดปี ซง่ึ จะชว่ ยให้ชาวบา้ นมีรายไดเ้ พ่ิมขึน้ ๒ - ๓ เทา่ แล้วการพฒั นาถนนก็คงเป็นเรื่องทีท่ ำได้งา่ ยในลำดบั ถดั ไป “...กเ็ ลยถามเขาวา่ พวกเราชอบกนิ อะไร ชอบกนิ ข้าวหรือชอบกนิ ฝ่นุ เขากบ็ อกว่า ชอบกนิ ข้าวถา้ ชอบกนิ ขา้ วกส็ มควรทจ่ี ะพฒั นาใหม้ ขี า้ วมากขน้ึ ใหม้ รี ายได ้ เมอ่ื กนิ ขา้ วไดแ้ ลว้ และมรี ายไดม้ ากขน้ึ การลาดยางพฒั นาถนนนน้ั เปน็ เรอ่ื งเลก็ งา่ ยมาก เขากพ็ อเขา้ ใจ...” และเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๑๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวเสด็จฯ เยีย่ มวัดสมัยสวุ รรณจงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี เจา้ อาวาสไดก้ ราบบงั คลทลู ขอพระราชทานอโุ บสถ ซง่ึ เดมิ มโี บสถอ์ ยแู่ ลว้ แตเ่ ปน็ เพยี งหลงั คา 124

สงั กะสี เสาไมม่ ีฝา ใครๆ อาจจะนึกว่าคงจะทรงพระราชศรัทธาพระราชทานโบสถ์ใหมท่ ัง้ หลัง สร้างอยา่ งวิจิตรตามแบบของกรมศิลปากร แต่หาเป็นเช่นนัน้ ไม่ ทรงพระกรุณาพระราชทานไมแ้ ละสังกะสีกับตะปูแก่วัด มีพระราชกระแสรับสัง่ กับเจ้าอาวาสให้ใช้วัสดุก่อสร้างทีพ่ ระราชทานนัน้ ต่อเติมตัวโบสถ์ที่มีอยู่กอ่ นแลว้ ใหพ้ อทจี่ ะใชเ้ ป็นท่ีประกอบสังฆกรรมไปก่อน แสดงให้เห็นชดั ในพระบรมราโชบายที่จะให้พฒั นาอย่างคอ่ ยเป็นค่อยไป ไมโ่ ปรดทจี่ ะให้เกิดโบสถห์ ลังงามและงดงามขึน้ ทา่ มกลางกระท่อมซอมซอ่ ของประชาชนผยู้ ากไร้และขดั สน  ศูนย์ศกึ ษาการพัฒนาอันเนอื่ งมาจากพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นความสำคญั ของการมี “ต้นแบบของความสำเร็จ”หรือตัวอย่างของการพัฒนาในแต่ละพื้นที่ และเปน็ แนวทางทรี่ าษฎรสามารถทำตามตัวอย่างได้โดยง่ายจึงมพี ระราชดำริจัดตั้ง “ศนู ย์ศกึ ษาการพัฒนาอนั เนอื่ งมาจากพระราชดำริ” ขึน้ ดังพระราชดำรัสเมื่อวันท่ี ๑๑ กนั ยายน ๒๕๒๖ ความตอนหนึ่งว่า “...เป็นการสาธิตการพัฒนาเบ็ดเสรจ็ หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกดา้ นของ ชวี ติ ประชาชนที่จะหาเลี้ยงชพี ในท้องทีจ่ ะทำอย่างไร และไดเ้ ห็นวทิ ยาการแผนใหม่ จะสามารถทจ่ี ะหาดูวธิ กี ารจะทำมาหากนิ ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ... ด้านหน่ึงกเ็ ปน็ จดุ ประสงค์ ของศูนย์การศึกษา ก็เป็นสถานทีส่ ำหรับค้นควา้ วจิ ัยในท้องที่ เพราะวา่ แต่ละท้องที่ สภาพฝนฟ้าอากาศและประชาชนในท้องทีต่ ่างๆ กัน ก็มีลักษณะแตกตา่ งกันมาก เหมอื นกนั ... กรม กองต่างๆ ทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับชีวิตประจำวันทุกดา้ นไดส้ ามารถแลกเปลีย่ น ความคดิ เหน็ ปรองดองกนั ประสานงานกนั ตามธรรมดาแต่ละฝา่ ยต้องมศี นู ยท์ ่รี วบรวม กำลงั ทงั้ หมดของเจา้ หน้าทที่ ุกกรม กอง ทั้งในด้านเกษตรหรือในดา้ นสังคม ท้งั ในด้าน หางานการส่งเสริมการศกึ ษามาอยูด่ ้วยกัน ก็หมายความว่า ประชาชนซึง่ จะต้อง 125

ใช้วิชาการทั้งหลายก็สามารถที่จะมาด ู ส่วนเจ้าหน้าที่จะให้ความอนุเคราะห์แก่ ประชาชนก็มาอยูพ่ ร้อมกันในทีเ่ ดียวกัน เหมือนกัน ซึง่ เป็นสองดา้ น ก็หมายถึงวา่ ที่สำคญั ปลายทางคอื ประชาชนจะไดร้ ับประโยชน์ และตน้ ทางของผู้เป็นเจ้าหน้าที่ จะให้ประโยชน์...” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวได้มีพระราชดำรัสถึงวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาฯ ความตอนหนง่ึ วา่ “...วัตถุประสงค์ของการจดั ตัง้ ศนู ย์ศกึ ษาการพัฒนาฯ ก็คือ การพัฒนาทีท่ ำกิน ของราษฎรให้มีความอุดมสมบูรณ์ขนึ้ โดยการพฒั นาทีด่ ิน พัฒนาแหล่งนำ้ ตลอดจนฟ้นื ฟปู า่ และใช้หลกั วชิ าการเกษตรในการวางแผนการเพาะปลกู และเลย้ี งสตั ว์ โดยใช้เงนิ จากการบรจิ าคจากผ้มู จี ิตศรทั ธาเปน็ ทนุ ในการพัฒนา ศนู ยศ์ ึกษาการพฒั นาฯ จะเป็นฟาร์มตวั อย่างทีเ่ กษตรกรทั่วไปและเจา้ หน้าทีฝ่ ่ายพัฒนาสามารถมาเยีย่ มชม ชมการสาธิตเกีย่ วกับการเกษตรกรรม เพอื่ เป็นการศึกษาหาความรู ้ นอกจากนนั้ ยังทำหนา้ ที่เป็นศนู ย์กลางการพฒั นาพนื้ ที่รอบๆ บรเิ วณโครงการให้มีความเจริญ เมือ่ ราษฎรเริม่ มีสภาพความเป็นอยูด่ ขี ึน้ ก็อาจพิจารณาจัดตัง้ โรงสีข้าวสำหรบั หมู่บ้านแตล่ ะกลุม่ ตลอดจนจดั ตัง้ ธนาคารขา้ วของแตล่ ะหมูบ่ ้าน เพอื่ ฝึกให้รจู้ ัก พง่ึ ตนเองได้ในทสี่ ดุ ...” ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนือ่ งมาจากพระราชดำริเปน็ ศูนย์รวมของการศึกษาค้นคว้าทดลองและปฏิบัติการพฒั นาในแขนงต่างๆ โดยยึดขอ้ เทจ็ จริงและปัญหาในแต่ละภมู ิภาคทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ หลกัโดยมแี นวทางและวัตถุประสงค์ในการดำเนินงาน ดงั น้ี เปน็ สถานท่ศี กึ ษา ค้นคว้า ทดลอง วิจยั เพอ่ื แสวงหาแนวทางการพฒั นา วธิ กี ารแกป้ ัญหา ตลอดจนเทคโนโลยีสมัยใหมท่ เี่ หมาะสมสอดคล้องกับสภาพแวดลอ้ ม และการประกอบอาชีพของราษฎรทีอ่ ยู่ 126

ในพืน้ ทนี่ นั้ รวมทัง้ ขยายผลจากความรู้ หรือการทดลอง และการวจิ ัยให้กระจายไปสู่ประชาชนอยา่ งกวา้ งขวางดว้ ยเทคนคิ วธิ กี ารอยา่ งงา่ ย โดยผา่ นการสาธติ และการอบรมในรูปแบบตา่ งๆ ในขณะเดยี วกนัก็มีผลการศึกษาทดลองทีไ่ ม่ประสบผลสำเร็จ แต่มีคุณประโยชน์ในฐานะเปน็ ตัวอย่างทไี่ ม่ควรดำเนนิ การตาม นอกจากนี้ ยังมสี ว่ นของการสาธิตเทยี บเคียง ระหว่างพื้นทีก่ ่อนและหลังการพัฒนาและการปรับปรุงดดั แปลงดว้ ย เปน็ แหลง่ แลกเปลี่ยนสื่อสารระหว่างนักวชิ าการ นกั ปฏบิ ัติ และประชาชน โดยใหศ้ นู ยศ์ ึกษาการพฒั นาฯ เป็นแหลง่ ผสมผสานวิชาการและการปฏิบัติ โดยเป็นแหล่งความรูข้ องราษฎร แหล่งศกึ ษาทดลองของเจ้าหน้าทผี่ ูป้ ฏิบตั ิงาน และแหล่งแลกเปลีย่ นถ่ายทอดประสบการณแ์ ละแนวทางแก้ไขปัญหาระหวา่ งคน ๓ กลุม่ คือ นักวิชาการ เจ้าหน้าที่ และราษฎร เปน็ การพฒั นาแบบผสมผสาน ศูนย์ศกึ ษาการพัฒนาฯเปน็ ตวั อยา่ งทด่ี ขี องแนวความคดิ แบบสหวทิ ยาการ โดยแตล่ ะแหง่จะเป็นแบบจำลองของพื้นทีแ่ ละรูปแบบการพัฒนาทีค่ วรจะเปน็ เพือ่ ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในพืน้ ทีน่ ัน้ ๆอันจะเปน็ ตัวอย่างว่า ในพื้นทีแ่ ละรูปแบบการพัฒนาพื้นที่ลกั ษณะหนงึ่ ๆ นนั้ จะสามารถใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ไดโ้ ดยวธิ ใี ดบา้ ง โดยใชค้ วามรทู้ กุ สาขาใหเ้ ปน็ ประโยชนเ์ กอ้ื หนุนกันอยา่ งทสี่ ดุ มใิ ช่การพัฒนาเฉพาะทางใดทางหนึง่ และระบบของศนู ย์ศกึ ษาการพฒั นาฯ จะเป็นการผสมผสานไมเ่ พยี งเฉพาะเรอ่ื งความรเู้ ท่าน้ัน แตต่ อ้ งมีการผสมผสานการดำเนนิ งานและการบริหารท่ีเปน็ ระบบด้วย เนน้ การประสานงานระหว่างส่วนราชการ แนวทางการดำเนินงานของศนู ยศ์ กึ ษา การพฒั นาฯทกุ แห่งเนน้ การประสานงาน แผน และการจดั การระหวา่ งกรม กอง และสว่ นราชการตา่ งๆ เพือ่ แก้ไขปญั หาระบบราชการ เป็นศูนย์บรกิ ารแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) กล่าวคือ ศูนยศ์ ึกษาการพัฒนาฯมีการศึกษา ทดลอง และสาธิต ให้เห็นถึงความสำเร็จของการดำเนินงานพร้อมๆ กันในทุกด้านทัง้ ด้านการเกษตร ปศุสตั ว์ ประมง ตลอดจนการพัฒนาทางด้านสังคม และงานศิลปาชีพ ในลกั ษณะของ “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติท่ีมีชีวิต” เม่อื ผ้สู นใจเข้าไปศึกษาดูงานโดยจะมีให้ดูได้ทุกเร่อื งในบริเวณศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ ทัง้ หมด ผสู้ นใจหรือเกษตรกรจะได้รับความรู้รอบด้าน อกี ทงั้ มีความสะดวกรวดเรว็ ซง่ึ นำไปสกู่ ารได้รับประโยชนส์ ูงสดุ 127

เมือ่ ผลการศึกษาของแต่ละศูนย์ประสบผลสำเร็จ จะทำการขยายผลไปยงั หมูบ่ ้านทีต่ ั้งอยรู่ อบๆ ศูนย์ฯ เรยี กวา่ “หมู่บ้านรอบศูนยฯ์ ”ซึ่งเป็นหมูบ่ า้ นเป้าหมายอันดับแรกโดยให้เกษตรกรเขา้ มารบั การอบรม หรอื จดั สง่ เจา้ หนา้ ท่ีออกไปให้คำแนะนำ เมอ่ื ส่งเสริมให้กับหมู่บ้านรอบศูนยจ์ นได้ผลในระดับหนงึ่ แลว้ หมูบ่ า้ นเหล่านจี้ ะทำหนา้ ทเี่ ปน็ หมูบ่ ้านตัวอยา่ งให้เกษตรกรพืน้ ทอี่ นื่ ๆ ทีห่ ่างออกไปได้เข้ามาศกึ ษาและดูงานได้ เพอ่ื สามารถขยายขอบเขตกวา้ งขวางออกไปเรอ่ื ยๆ นอกจากนี้ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ ยังได้ขยายผลการดำเนินงานทมี่ ปี ระสิทธิภาพแลว้ ไปสูพ่ ื้นที่แห่งอืน่ ในลักษณะของ “ศนู ย์สาขา” เพือ่ ทำการศึกษาเปน็ การเฉพาะเรือ่ งในพื้นทนี่ นั้ ๆ แลว้ นำผลการศึกษาไปสง่ เสรมิ ให้เกษตรกรนำไปใช้ในการประกอบอาชีพใหไ้ ด้ผลดียง่ิ ขน้ึ ปจั จุบนั ศูนยศ์ ึกษาการพัฒนาฯ มีอยู่ ๖ แหง่ กระจายอยู่ทั่วทกุ ภูมิภาคของประเทศ แตล่ ะศนู ยจ์ ะมีสภาพภมู ศิ าสตรท์ เ่ี ปน็ ตวั แทนของแตล่ ะภมู ภิ าคนน้ั ๆ ซง่ึ มสี ภาพปญั หาทแ่ี ตกตา่ งกนั โดยทำการศกึ ษา วจิ ยั และหาแนวทางการพฒั นาทเ่ี หมาะสมกบั พน้ื ทน่ี น้ั ๆ เพอ่ื พฒั นาใหม้ สี ภาพสมบรู ณส์ ามารถทำการเกษตรได้ ดงั น้ี ๑) ศูนย์ศกึ ษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอนั เนอื่ งมาจากพระราชดำริ จัดตั้งขึ้นเมือ่ วันที่ ๘สิงหาคม ๒๕๒๒ ท่ีอำเภอพนมสารคาม จงั หวดั ฉะเชงิ เทรา เนอ่ื งจากสภาพพ้ืนท่ีเสอ่ื มโทรมไมส่ ามารถทำการเกษตรได้เน้อื ดินเป็นทราย มีการชะล้างพังทลายของดินสูงขาดความอุดมสมบูรณ์ เน่อื งจากการบกุ เบกิ ปา่ ทส่ี มบรู ณเ์ พอ่ื ปลกู ออ้ ยมนั สำปะหลงั ยคู าลปิ ตสั ตดิ ตอ่ กนั เป็นเวลานาน โดยไม่มีการปรบั ปรงุ บำรงุ ดนิทำใหด้ นิ แปรสภาพเป็นทราย ผลผลติ พชื ที่ไดร้ บั ต่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวจึงมีพระราชดำริให้จัดตัง้ ศูนยศ์ ึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำรขิ น้ึ เพอ่ื พฒั นาใหเ้ ปน็ ศนู ยต์ วั อยา่ งดา้ นเกษตรกรรมทส่ี มบรู ณแ์ บบ มกี ารคน้ ควา้ทดลอง และสาธติ การพฒั นาท่ที ำกนิ ของราษฎรใหม้ คี วามอุดมสมบรู ณ์ โดยการพฒั นาท่ีดนิ และแหล่งนำ้ฟื้นฟูสภาพป่า วางแผนการเพาะปลูกและการเลยี้ งสัตว์ และสง่ เสริมศิลปาชีพหัตถกรรมพื้นบ้านและอตุ สาหกรรมในครวั เรอื น พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ทรงมีพระมหากรณุ าธคิ ณุ โปรดเกล้าฯ ใหจ้ ดั ต้งัโรงสขี ้าวพระราชทานไว้ทศี่ ูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ เพือ่ ให้มกี ารศึกษาการสีข้าวแบบสหกรณ์และใหบ้ รกิ ารชว่ ยเหลือเกษตรกรในหมู่บ้านรอบศนู ยฯ์ และบรเิ วณใกล้เคยี งอกี ดว้ ย โดยมีกรมพฒั นาท่ีดนิเปน็ หนว่ ยงานหลกั ในการประสานการดำเนินงานในพ้นื ท่ี 128

ผลสำเร็จของศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเน่อื งมาจากพระราชดำริ ได้ขยายผลไปสู่พื้นที่ตำบลเขาหินซ้อน ตำบลเกาะขนนุ และตำบลบา้ นซ่อง อำเภอพนมสารคาม และตำบลเสม็ดเหนอือำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งประกอบด้วยหมบู่ ้านรอบศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯรวม ๑๙ หมูบ่ ้าน เนอื้ ที่ ๑๔๐,๗๘๙ ไร่ โดยได้ดำเนนิ การฝกึ อบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรสนบั สนุน และช่วยเหลือดูแลให้มีการจัดตัง้ กลมุ่ เกษตรกร จนมคี วามเข้มแข็งและมีชีวิตความเปน็ อยูท่ ีด่ ีขึน้ นอกจากนี้ ปราชญช์ าวบ้านและผูท้ ปี่ ระสบความสำเร็จในการนำความรู้ทเี่ ข้ามาฝึกอบรมในศูนยศ์ ึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ ไปประกอบอาชีพ ยังได้ใช้บ้านของตัวเองเป็นศูนย์เรียนรูต้ ัวอย่างความสำเร็จตามแนวพระราชดำริ แก่คณะผสู้ นใจท่เี ข้าเยยี่ มชมศกึ ษาดูงาน ๒) ศนู ยศ์ กึ ษาการพฒั นาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จดั ตง้ั ขึน้ เมอ่ื วันที่ ๖ มกราคม๒๕๒๕ ท่ีอำเภอเมือง จงั หวดั นราธวิ าส สภาพพน้ื ทเ่ี ดมิ เปน็ “ดนิ พรุ” ซง่ึ เปน็ ดินเปรี้ยวและคุณภาพต่ำศูนย์ฯ แห่งนจี้ ึงทำหน้าทีศ่ ึกษาวิจัยดินพรุและพัฒนาดินอินทรีย์ ให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรมได้มากทสี่ ุด ตามแนวพระราชดำริ “โครงการแกล้งดิน” พร้อมทงั้ สง่ เสริมพัฒนาอาชีพในสาขาต่างๆ ทั้งการเกษตร เล้ียงสตั ว์ และการเกษตรอุตสาหกรรมทีเ่ หมาะสมกบั สภาพพื้นที่ ตลอดจนสง่ เสริมสนบั สนุนให้ประชาชนมสี ว่ นร่วมในการอนุรักษ์และรักษาระบบนเิ วศวิทยาให้คงความสมบรู ณ์เพอื่ ให้เกษตรกรสามารถพง่ึ ตนเองได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวพระราชทานพระราชดำริให้ศูนย์ฯ แห่งนที้ ดลองทำไบโอดีเซลนำน้ำมันปาล์มบริสทุ ธิ์มาใช้กับเครือ่ งจักรกลทางการเกษตร ต่อมาสำนักวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลยัสงขลานครินทร์ ร่วมกับศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ นำผลปาลม์ นำ้ มนั และนำ้ มันพืชทีใ่ ช้แลว้มาผลติ นำ้ มันไบโอดีเซลเป็นพลังงานทดแทนน้ำมันเชือ้ เพลงิ โดยมกี รมพัฒนาทีด่ ินเปน็ หนว่ ยงานหลักในการประสานการดำเนินงานในพนื้ ที่ 129

ศนู ยศ์ กึ ษาการพฒั นาพกิ ลุ ทองฯ ไดถ้ า่ ยทอดความรแู้ ละเทคโนโลยใี นการแกลง้ ดนิ ให้แก่เกษตรกรในพื้นท่ีตา่ งๆ ที่ประสบปัญหาดินเปรีย้ วจัด จนสามารถปลกู พชื ตามหลกั เกษตรทฤษฎีใหมไ่ ด้ นอกจากน้ีศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ยังได้รับผดิ ชอบศูนย์เรียนรูต้ ามแนวพระราชดำริ จำนวน ๒๑ จุดเพื่อเปน็ แหล่งเรียนร้โู ดยปราชญช์ าวบา้ นของโครงการ ๓) ศูนย์ศึกษาการพฒั นาอ่าว คงุ้ กระเบนอันเนอื่ งมาจากพระราชดำริ จัดตั้งขึ้นเมือ่ วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๔ ทอี่ ำเภอทา่ ใหม่ จังหวัดจันทบุรี ในอดีต ทีผ่ ่านมาประชาชนได้รับความเดือดร้อน ในการทำมาหากนิ เน่ืองจากพน้ื ท่ีบรเิ วณน้แี ละ ทะเลชายฝัง่ ใกลเ้ คียงอนั เปน็ แหลง่ ทรพั ยากร ธรรมชาตเิ สอ่ื มโทรมอยา่ งรนุ แรงพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สำรวจข้อเท็จจริง ซึง่ ทรงพบว่า สภาพปา่ ชายเลนรอบชายฝัง่ อ่าวคุง้ กระเบน ซึ่งเป็นเขตปา่ สงวนนัน้พ้ืนท่ีบางส่วนมีสภาพป่าเส่ือมโทรมลง และราษฎรได้บุกรุกเข้าไปจับจองและประกอบอาชีพอยู่จำนวนหนง่ึ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั จงึ มพี ระราชดำรใิ หจ้ ดั ต้งั ศนู ยศ์ กึ ษาการพฒั นาอ่าวค้งุ กระเบนฯขึน้ เพือ่ ศึกษาค้นคว้าปรับปรุงสภาพแวดลอ้ มด้านประมงชายฝงั่ เพือ่ ให้เกษตรกรสามารถเพิม่ ผลผลิตเพอ่ื การพ่ึงตนเองในระยะยาว ศูนย์ฯ แห่งนีด้ ำเนนิ งานในลกั ษณะ “สหวิทยาการ” โดยความร่วมมอื จากหลายหน่วยงานเพอ่ื สรา้ งรายไดแ้ ละใชท้ รพั ยากรทอ้ งถน่ิ ใหเ้ กดิ ประโยชนห์ ลายกจิ กรรมครอบคลมุ ถงึ การดแู ลรกั ษาสภาพปา่โดยการส่งเสรมิ การปลูกพชื เลย้ี งปลา หอย กุ้งระบบปดิ ที่ไม่ทำลายสงิ่ แวดลอ้ ม รวมถึงนำเลนจากการเลยี้ งกุ้งมาใช้ประโยชนด์ ้านเกษตรกรรมต่อ โดยมีการดำเนนิ งานในกจิ กรรมทส่ี ำคญั อาทิ การสง่ เสรมิและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมในพ้นื ท่รี อยต่อป่าชายเลนและเชิงเขา การอนุรักษ์ป่าชายเลนที่สมบูรณ์รอบอา่ วคงุ้ กระเบน การส่งเสรมิ และพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตวน์ ำ้ ชายฝัง่ โดยมีกรมประมงเป็นหนว่ ยงานหลกั ในการประสานการดำเนินงานในพื้นท่ี ผลสำเร็จของศูนยศ์ ึกษาการพัฒนาอา่ วคุ้งกระเบนฯ ทำให้สามารถพัฒนาและฟื้นฟูทรัพยากรชายฝัง่ ให้คงความอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายของนกเพิม่ ขึ้น หญา้ ทะเลมีแนวโน้มเพ่ิมข้ึน ความหนาแน่นของสัตว์น้ำกลุ่มหอยเพ่ิมข้ึน ปริมาณสัตว์น้ำท่ีจับได้เพ่ิมข้ึน ปลาพะยูนหวนคืนกลับมาสูอ่ า่ วคุ้งกระเบน คุณภาพนำ้ และดินอยใู่ นเกณฑ์มาตรฐาน เปน็ ผลให้ระบบนเิ วศ 130

ในอา่ วคุง้ กระเบนมีความสมบรู ณ์ทงั้ ชนิดและ ปริมาณสัตว์น้ำ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของ ชาวประมงขนาดเลก็ ดขี น้ึ นอกจากน้ี ประชาชน ท่ีนำองคค์ วามร้ทู ่ไี ดเ้ รยี นร้จู ากศนู ย์ฯ ไปปรบั ใช้ จนประสบความสำเรจ็ เกดิ ศนู ยเ์ รยี นรตู้ วั อยา่ ง ความสำเร็จตามแนวพระราชดำริ ในจังหวัด จนั ทบรุ ี ๔) ศูนย์ศกึ ษาการพฒั นาภูพานอนั เนอื่ งมาจากพระราชดำริ จัดตั้งขึ้นเมือ่ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ ท่ีอำเภอเมืองจังหวัดสกลนคร สภาพพ้นื ท่โี ดยท่วั ไปของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมักประสบปัญหาดินคุณภาพต่ำไมส่ ามารถอ้มุ น้ำไวไ้ ดแ้ ละมคี วามเคม็ เน่ืองจากขาดความอดุ มสมบูรณข์ องทรพั ยากรปา่ ไม้ น้ำ และแรธ่ าตุแหลง่ น้ำธรรมชาติมีไม่เพียงพอ ทำให้ดินขาดความชุม่ ชืน้ สง่ ผลต่อการเพาะปลกู มีการแผว้ ถางปา่เพ่ือประกอบอาชพี จนทำใหแ้ หล่งตน้ นำ้ และระบบนิเวศถกู ทำลาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัว จึงมพี ระราชดำริให้จัดตัง้ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนอ่ื งมาจากพระราชดำรขิ ้ึน เพ่อื เป็นแบบจำลองของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และเป็นพืน้ ทสี่ ว่ นยอ่ทีส่ อดคล้องกับการแก้ปัญหา และศึกษาวิธีการพัฒนาของภูมิภาคนไี้ ด้อย่างเหมาะสม โดยมงุ่ ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมทีเ่ หมาะสมกับสภาพแวดล้อมของภาคตะวันออกเฉียงเหนอืเนน้ ในด้านการปรับปรุงบำรุงดิน การเร่งรัดพัฒนาปา่ ไม้โดยอาศัยระบบชลประทาน และการปลูกพืชเศรษฐกิจทมี่ ผี ลต่อการเพิ่มรายได้ของเกษตรกร สำหรับเป็นตัวอย่างอันจะนำไปสูค่ วามสามารถในการพึง่ ตนเองได้ต่อไป และให้ราษฎรนำไปปฏิบตั ิในพื้นทขี่ องตนเองได้ กิจกรรมสำคัญทดี่ ำเนนิ การในศูนยฯ์ อาทิ การพัฒนาป่าไม้ในเขตปริมณฑลของศูนย์ฯ ด้วยระบบชลประทาน การพัฒนาแหลง่ นำ้ เพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค การสง่ เสริมพัฒนาอาชีพการเกษตร ปศุสตั ว์ และประมงรวมถึงการปลูกยางพารา สว่ นด้านการพัฒนาทีด่ ิน เนน้ การจัดการดินลกู รังเพื่อปลูกไม้ผล โดยมีกรมชลประทานเปน็ หนว่ ยงานหลักในการประสานการดำเนินงานในพ้ืนที่ ผลการศึกษา วิจัย ทดลอง ของศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ ประสบความสำเร็จและมีความโดดเด่นมาอย่างตอ่ เนื่อง มผี ลการทดลองกว่า ๒๐๐ เรื่อง ซึง่ สามารถนำมาขยายผลเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพเกษตรกรได้ และขยายผลสูศ่ ูนยส์ าขา ๓ แห่ง ได้แก่ โครงการพัฒนาพื้นทีล่ ุม่ นำ้ ห้วยบางทรายตอนบนอนั เนือ่ งมาจากพระราชดำริ จังหวัดมกุ ดาหาร โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มนำ้ กำ่ อนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำริ จังหวัดนครพนม และโครงการพัฒนาพ้ืนทล่ี มุ่ นำ้ ลำพะยังตอนบน 131

อนั เนอื่ งมาจากพระราชดำริ จังหวัดกาฬสินธุ์ นอกจากนี้ ประชาชนทีไ่ ด้เข้ามาฝกึ อบรมได้นำความรู้ทีไ่ ด้ไปใช้ในการประกอบอาชีพจนประสบความสำเร็จ และขยายไปศูนยเ์ รียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ ในจงั หวดั สกลนคร ๕) ศนู ย์ศกึ ษาการพฒั นาห้วยฮ่องไครอ้ นั เนอื่ งมาจากพระราชดำริ จัดตั้งขึ้นเมือ่ วันที่ ๑๑ธันวาคม ๒๕๒๕ ทีอ่ ำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ในคราวทีพ่ ระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัวเสด็จฯ ไปตรวจเขอ่ื นหว้ ยฮ้องไครต้ อนลา่ ง ทรงพบวา่ ผนื ดนิ ดังกลา่ วเปน็ พ้ืนทีป่ า่ เสอ่ื มโทรม ซ่ึงเกดิ จากการลกั ลอบตัดไม้และจากไฟไหม้ปา่ และดินส่วนใหญ่ถกู ชะล้างเหลอื เป็นหินลูกรังและกรวด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัว จึงทรงขอใช้บริเวณลมุ่ น้ำห้วยฮอ่ งไคร้ทงั้ ลมุ่ น้ำ จัดต้ังเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเน่ืองมาจากพระราชดำริ และได้พระราชทานแนวทางการดำเนนิ งานเนน้ การศึกษาค้นคว้ารูปแบบทเี่ หมาะสมของการพัฒนาพืน้ ทตี่ ้นนำ้ ลำธารเพ่ือประโยชน์ทางเศรษฐกจิ รวมทงั้ รปู แบบการพัฒนาตา่ งๆ ทท่ี ำให้เกษตรกรพ่งึ ตนเองได้โดยไม่ทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ อาทิ การพัฒนาให้เนน้ เรือ่ งการอนรุ ักษ์ต้นนำ้ ลำธารเปน็ พิเศษ ได้แก่การปลกู ปา่ ในพื้นทที่ มี่ กี ารนำระบบชลประทานภายนอกเข้ามาเสริม การปลกู ป่าตามแนวร่องเขาโดยใช้ฝายกักเกบ็ นำ้ ขนาดเล็กรกั ษาความชุ่มชื้นหรือ “Check Dam” การปลูกป่าในเขตพน้ื ทร่ี บั น้ำฝนศกึ ษาระบบการควบคุมไฟป่าในลักษณะ Wet Fire Break ควบคู่กับงานศกึ ษาพฒั นาปา่ ต้นนำ้ ลำธาร นอกจากน้ี ยังส่งเสริมให้ราษฎรในหมู่บ้านท่ีอยู่บริเวณรอบอ่างเก็บน้ำห้วยฮ่องไคร้เข้ามาอยู่ในแผนงานโครงการ โดยเฉพาะให้กรมประมงวางแผนจัดระบบการจับสัตว์นำ้ ให้พัฒนาพื้นที่ส่วนหนึง่ เป็นทุง่ หญ้าสัตว์เลีย้ ง และให้ศึกษาผลผลิตเกษตรเพ่ืออุตสาหกรรม เช่น หอม กระเทียมหญ้าหวาน รวมท้ังสมุนไพรท่ีเก่ียวข้องกับสุขภาพอนามัยและไม้หอม โดยมีกรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลกั ในการประสานการดำเนินงานในพื้นที่ 132

ผลการดำเนนิ งานของศูนยฯ์ ได้ขยายผลให้มกี ารก่อสร้างฝายทงั้ ในรูปแบบฝายผสมผสานฝายก่งึ ถาวร และฝายถาวร รวมทั้งสิ้นกว่า ๒๖,๓๙๑ แห่งในพน้ื ที่ต่างๆ นอกจากนี้ ได้ถ่ายทอดความรู้จากผลจากการศึกษาแก่ผสู้ นใจผ่านกระบวนการศึกษาและฝกึ อบรมทงั้ ในด้านการพัฒนาและอนรุ ักษ์ลำธารต้นน้ำ การทำประมงน้ำจืด การเกษตร และการเพาะเห็ดเศรษฐกิจ ขยายเป็นเครือข่ายเกิดศูนยเ์ รียนรู้ตวั อยา่ งความสำเรจ็ ตามแนวพระราชดำรเิ ปน็ จำนวนมาก ๖) ศูนย์ศึกษาการพฒั นาหว้ ยทรายอนั เนื่องมาจากพระราชดำริ จัดต้ังขึ้นเม่อื วนั ท่ี ๕ เมษายน๒๕๒๖ ในเขตพืน้ ทีข่ องพระราชนิเวศนม์ ฤคทายวัน ทีต่ ำบลห้วยทรายและตำบลชะอำ อำเภอชะอำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในอดตี พ้ืนท่นี ม้ี ีทรพั ยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีสตั วป์ า่ โดยเฉพาะเนือ้ ทรายอาศยั อย่เู ป็นจำนวนมาก จงึ ไดช้ อ่ื วา่ “หว้ ยทราย” ภายหลงั ราษฎรจากพน้ื ท่ตี า่ งๆ อพยพเขา้ มาอาศยั ทำกนิโดยบุกรุกแผ้วถางปา่ ทำการเกษตรอยา่ งผิดวิธี ทำให้พื้นทบี่ ริเวณดังกล่าวแปรสภาพอยา่ งรวดเร็วดินกลายเปน็ ดนิ ทรายและดินดานท่ีไมม่ ีแร่ธาตุ สง่ ผลใหร้ ะบบนเิ วศเส่อื มโทรมลงอยา่ งรวดเร็ว พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั มีพระราชดำรใิ หพ้ ฒั นาพน้ื ท่หี ว้ ยทรายใหเ้ ป็นศนู ยศ์ กึ ษาการพฒั นาเพือ่ ฟื้นฟูสภาพแวดล้อม ด้วยการปลูกป่าและจัดหาแหลง่ นำ้ โดยจัดให้ราษฎรทีท่ ำกินเดิมได้มีส่วนร่วมในการรกั ษาปา่ ไมแ้ ละไดป้ ระโยชนจ์ ากปา่ ไม้ ควบคไู่ ปกบั การพฒั นาเกษตรกรรมทเ่ี หมาะสมเพอ่ื พฒั นาอาชพีโดยเฉพาะอยา่ งยิง่ พืชจากพระราชดำริ ทีน่ ำไปสูท่ ฤษฎีการป้องกันการเสือ่ มโทรมและพังทลายของดินโดยทรงศกึ ษาถงึ ศกั ยภาพ “หญา้ แฝก” และไดพ้ ระราชทานพระราชดำรใิ หด้ ำเนนิ การศกึ ษาท่ศี นู ยศ์ กึ ษาการพฒั นาหว้ ยทรายฯ ซ่งึ มที รายแขง็ ดนิ เหนียว หนิ ปนู และแรธ่ าตตุ า่ งๆ รวมตวั กนั เปน็ แผ่นแขง็ คล้ายหนิยากท่ีพืชช้ันสูงจะเจริญเติบโต เมอ่ื ปลกู หญา้ แฝกในดนิ ดานพบวา่ รากหญา้ แฝกสามารถหยง่ั ลกึ ลงไปในเนอ้ื ดนิ ดานทำใหด้ นิ แตกรว่ นขน้ึ ส่วนหนา้ ดนิ จะมคี วามชนื้ เพมิ่ ขนึ้ ศูนยฯ์ แห่งนจี้ ึงเปน็ แบบอยา่ งของการฟื้นดิน โดยปลูกหญ้าแฝกเพือ่ การอนรุ ักษ์ดินและน้ำในรปู แบบต่างๆ ตามแนวพระราชดำริ และการพฒั นาฟืน้ ฟูสภาพปา่ เสือ่ มโทรม โดยวธิ ีการใหเ้ กษตรกร 133

มีสว่ นในการปลูก ปรับปรุง และรักษาสภาพป่า พรอ้ มๆ กบั มีรายได้และผลประโยชน์จากปา่ ด้วย โดยมีกองบญั ชาการตำรวจตระเวนชายแดนเป็นหน่วยงานหลกั ในการประสานการดำเนนิ งานในพนื้ ท่ี ผลสำเร็จยิง่ ของศูนยศ์ ึกษาการพัฒนาห้วยทรายฯ คือการพลกิ ฟืน้ ผืนดินทรายทเี่ สอื่ มโทรมซง่ึ ยากตอ่ การปลูกพชื ผลใดๆ กลับเป็นดนิ ท่ีอุดมสมบรู ณ์ ดว้ ยการปลูก “หญา้ แฝก” อันเป็นแนวพระราชดำริทฤษฎีการปอ้ งกันการเสือ่ มโทรมและพังทลายของดินซึง่ ประชาชนและหน่วยงานต่างๆ ทีไ่ ด้น้อมนำแนวพระราชดำรินำหญ้าแฝกไปปลูก ต่างพบว่า นอกจากหญา้ แฝกจะช่วยอนุรักษ์ดินและนำ้ แลว้ยงั สามารถแก้ปญั หาความแห้งแล้ง ใบใช้เป็นปุย๋ เปน็ อาหารให้โค กระบือ และนำไปทำเปน็ ผลติ ภัณฑ์ต่างๆ รวมทงั้ ปลูกเป็นพันธุ์ไว้ขายได้ ตลอดจนสามารถป้องกันนำ้ ทว่ มได้ เนือ่ งจากคุณสมบตั ิของหญ้าแฝกที่สามารถดดู ซับและชะลอการไหลบา่ ของน้ำได้ นอกจากนี้ ประชาชนทีอ่ าศัยโดยรอบศูนยศ์ ึกษาการพัฒนาห้วยทรายฯ และในภูมภิ าคอืน่ ๆได้รว่ มกับศนู ย์ศึกษาการพัฒนาหว้ ยทรายฯ และน้อมนำแนวพระราชดำรมิ าดำรงชีวิต อาทิ หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรทฤษฎีใหม่ และการปลกู หญ้าแฝกตามแนวพระราชดำริ โดยนำมาปรับใช้ในพื้นทขี่ องตน และประสบความสำเร็จ ได้ปรับเปลยี่ นวิถีชีวิตใหม่ จนมคี วามเป็นอยูท่ ีด่ ีขึ้นตามลำดับโดยบางรายเป็นต้นแบบถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกรในพื้นทีแ่ ละประชาชนทัว่ ไปได้เข้ามาศึกษาดูงานและนำไปประยกุ ตใ์ ช้ ศนู ย์ศกึ ษาการพฒั นาอันเนอื่ งมาจากพระราชดำริทงั้ ๖ แห่ง ได้ดำเนินงานสนองพระราชดำริเพื่อเปน็ แหล่งศึกษา ทดลอง สาธิต และเผยแพร่แนวพระราชดำริมากว่า ๓ ทศวรรษ ผลสำเร็จต่างๆได้แสดงให้เห็นถึงการนำแนวพระราชดำริไปสูก่ ารปฏิบัติอย่างได้ผลเป็นรูปธรรม ในพืน้ ทีศ่ ูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเน่อื งมาจากพระราชดำริทั้ง ๖ แห่ง 134

การพัฒนาตามแนวพระราชดำริทีไ่ ด้พระราชทานนัน้ ทำให้พืน้ ดินมีสภาพทีด่ ีขึ้นปา่ ไม้มคี วามสมบรู ณ์ พรรณไมแ้ ละสัตว์นานาชนดิ มปี ริมาณเพิ่มขึน้ อีกทงั้ นำ้ ฝนในพื้นทีก่ ็มปี ริมาณเพิ่มขึ้นด้วยส่งผลใหส้ ามารถทำการเกษตรกรรมไดผ้ ลผลติ ดียงิ่ ข้ึน ในวนั นี้ ศูนย์ศกึ ษาการพัฒนาอันเน่ืองมาจากพระราชดำรจิ ึงเป็นแหลง่ ศึกษาและเผยแพร่ความรู้อยา่ งครบวงจร ทสี่ ร้างประโยชน์ให้แก่ผืนแผน่ ดินไทยและราษฎรได้นำไปปรับใช้ในการดำรงชีวิตและประกอบอาชพี อยา่ งถกู ตอ้ ง และเหมาะสมในแตล่ ะพน้ื ท่ี สง่ ผลใหร้ าษฎรไดร้ บั ประโยชนอ์ ยา่ งทว่ั ถงึ และยง่ั ยนื ศนู ย์ศกึ ษาการพฒั นาฯ เปน็ ตวั อย่างแหง่ ความสำเรจ็ ในการบูรณาการดา้ นการบรหิ ารอย่างแทจ้ รงิไม่ว่าจะเปน็ การบริหารจัดการคน การบริหารงบประมาณ รวมทัง้ การวางแผนเพือ่ ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน เป็นวิธีการทีท่ รงใช้มากว่า ๓๐ ปี เป็นตัวอย่างให้แก่หนว่ ยงานของรัฐนำไปใช้ปฏิบัติและดำเนินการในปัจจุบัน อาทิ โครงการเรียนรูต้ ามรอยพระยุคลบาท โครงการทฤษฎีใหม่การบริหารงานแบบบรู ณาการของผูว้ ่าราชการจังหวัดและการพัฒนาประเทศ โดยมงุ่ เนน้ คนเปน็ศนู ยก์ ลางของการพัฒนาบริหารแบบบรู ณาการ : การทรงงานเพ่อื ประโยชน์สุขทยี่ ่ังยืน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวทรงมสี ัจธรรมแห่งแนวพระราชดำริทป่ี รากฏชดั เปน็ รปู ธรรมในการทรงงานทกุ ๆ เรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิง่“การทรงงานทีม่ ีการบรหิ ารอย่างบูรณาการ” เพือ่ แก้ไขปัญหาและความเดือดร้อนให้แก่พสกนิกร ทรงมองภาพใหญข่ องการแก้ไขอย่างเปน็“องคร์ วม”เสมอและหากยอ้ นกลบั ไปดโู ครงการอนั เน่อื งมาจากพระราชดำริตั้งแต่เริ่มแรกจนกระทัง่ ถึงปัจจุบัน จะเห็นว่าแนวทางการพัฒนาเหล่านนั้ เปน็ ไปตาม “ลำดับขนั้ ตอน”ตามความจำเป็น และทรงเน้นการ “บรกิ ารรวมทีจ่ ุดเดียว” โดยทรงมีเปา้ หมายสำคัญคือเพ่ือ “ประโยชนส์ ขุ แก่ประชาชน” และหวั ใจอนั สำคัญยิง่ ของการพัฒนาในทุกพระราชกรณียกิจนน้ั คือพระองคไ์ ด้ “ทรงวางรากฐานการพัฒนาอยา่ งยง่ั ยนื ” ใหแ้ กก่ ารดำรงชวี ติ ของประชาชนและการพฒั นาประเทศไทยไวแ้ ล้วอยา่ งรอบคอบและครบถ้วน 135

๔. ม่งุ ผลสมั ฤทธ์ิ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวทรงมงุ่ มนั่ ทจี่ ะช่วยเหลอื ประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตทดี่ ีขึ้นจึงทรงทำทุกวิถีทางเพือ่ ให้เกิดผลสมั ฤทธิ์ดังพระราชประสงค์ แนวพระราชดำริในการพัฒนาของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั มลี ักษณะพเิ ศษคอื ทรงม่งุ ผลของความ “ค้มุ ค่า” มากกวา่ ความ “ค้มุ ทนุ ”ดงั ทีเ่ คยมีพระราชกระแสว่า “ขาดทุนคอื กำไร” การลงทุนทีไ่ ม่คุม้ ทุนแตใ่ ห้ผลคุม้ คา่ คือความอยู่ดีมีสุขของประชาชน ถือเป็นกำไรทีจ่ ำเป็นต้องลงทุน แมก้ ารลงทุนนัน้ จะไม่คุ้มทุนและไม่กลับมาเปน็ตวั เงนิ อกี ท้ังยงั มีลกั ษณะ “ไมต่ ดิ ตำรา” คอื เป็นการพฒั นาท่ีอนโุ ลมและรอมชอมกบั สภาพแหง่ ธรรมชาติและสภาพของสังคมจิตวิทยาแห่งชุมชน รวมทัง้ ไมผ่ ูกยดึ ติดอยูก่ ับวิชาการและเทคโนโลยที ีไ่ มเ่ หมาะกับสภาพท่แี ทจ้ ริงของคนไทย นอกจากนี้ โครงการต่างๆ ทีพ่ ระองค์มีพระราชดำริและทรงศึกษาจนมีพระบรมราชวินิจฉัยออกมาในท้ายทสี่ ุดแล้ว มกั จะพบว่าเปน็ เรื่องง่ายและธรรมดา จนไมเ่ คยมผี ูใ้ ดคาดคิดมาก่อน ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในหมนู่ ักพัฒนาและนกั วิชาการว่า พระองคโ์ ปรดที่จะทำสิ่งทีย่ ากให้กลายเป็นง่าย ทำสิง่ ที่สลับซับซอ้ นให้เข้าใจงา่ ย ดังมีพระราชกระแสอยูเ่ นืองๆ ถึงคำว่า “ทำให้ง่าย” ซึง่ เป็นหลักสำคัญในการพัฒนาทกุ โครงการของพระองค์ ทงั้ ในแนวความคิดและด้านเทคนิควิชาการจะต้องสมเหตุสมผลทำได้รวดเร็ว และสามารถแก้ไขปญั หา ก่อประโยชน์ได้จริง ตลอดจนมุง่ ไปสูว่ ิถีแห่งการพัฒนาอยา่ งยั่งยืน โดยมีแนวพระราชดำริรวมท้ังตวั อย่างพระราชกรณีกจิ และโครงการตา่ งๆ ดงั น้ี 136

แนวพระราชดำริ๔.๑ ขาดทุนคือกำไร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวทรงถือว่า “การให้” และ “การเสียสละ” เป็นการกระทำอนั มผี ลเปน็ กำไร โดยทรงทำทกุ อย่างทีจ่ ำเป็นในช่วงเวลาทเี่ หมาะสม แมจ้ ะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากหรอื ตอ้ งขาดทนุ ทรงถือเปน็ การลงทนุ เพอ่ื ความอยูด่ ีมีสขุ ของราษฎร ตามแนวพระราชดำรดิ ังตอ่ ไปน้ี  “การให้” และ “การเสียสละ” เป็นการกระทำอนั มีผลเป็นกำไรคือ ความอยูด่ ีมีสุขของราษฎร ดังเห็นได้จากการสละทงั้ พระราชทรัพย์ พระวรกายและพระสติปญั ญา และเวลาเกือบทัง้ หมดของพระองค์ในการเสด็จพระราชดำเนนิ เพือ่ ทรงช่วยเหลอื ราษฎรตามถิ่นทรุ กันดารทัว่ ประเทศ ในปหี นงึ่ ๆ รวมเวลาประมาณ ๘ เดือน โดยทรงให้ความสำคัญกับผลลพั ธ์ทเี่ กิดขึน้จากการพัฒนาอันจะช่วยแก้ไขปัญหาและก่อให้เกิดประโยชนส์ ขุ แก่ปวงประชาชาวไทย เช่นในคราวเสด็จฯ เยือนประชาชนในเขตหัวหิน ทรงเห็นความลำบากของประชาชนในหมูบ่ า้ นเขาเต่าขาดแคลนนำ้ อุปโภคบริโภค อกี ทงั้ ช่วงนำ้ ทะเลขึ้นได้ไหลเข้าท่วมพื้นทเี่ กษตร ทำให้ผลผลิตเสียหายพระองค์จึงทรงสละพระราชทรัพยส์ ่วนพระองค์จำนวน ๖๐,๐๐๐ บาท ให้กรมชลประทานก่อสร้างอา่ งเกบ็ นำ้ เขาเตา่ ซึ่งนับเป็นโครงการตามพระราชดำรแิ ห่งแรก นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวทรงสละความสขุ สว่ นพระองค์ในการมุง่ มนั่ ปฏิบตั ิพระราชกรณยี กิจทัง้ ปวง ดังเปน็ ทปี่ ระจักษ์แก่สายตาชาวไทยและชาวโลก เพื่อขจัดทกุ ข์ บำรุงสขุแก่เหลา่ พสกนกิ ร นบั แต่ครองราชสมบตั ิจวบจนปจั จุบนั เป็นเวลากว่า ๖๗ ปแี ล้ว แมจ้ ะยังทรงพักพระวรกายในโรงพยาบาลก็ยังทรงงานติดตามและทรงคอยให้คำแนะนำการปฏิบัติงานพัฒนาด้านต่างๆเสมอมามิได้ขาด 137

 การดำเนนิ การใดๆ แม้จะ ต อ้ ง เ สี ย ค า่ ใช ้จ า่ ย ม า ก ห ร อื ต อ้ ง ขาดทุน หากเป็นการแก้ไขปัญหา แ ล ะ ก่ อ ใ ห้ เ กิ ด ป ร ะ โ ย ช น ส์ ุ ข แ ก่ ประชาชน ก็เท่ากับพระองคไ์ ด้กำไร โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ การดำเนนิ โครงการ เ พื ่อ แ ก้ ไ ข ป ัญ ห า ใ ห้ ป ร ะ ช า ช น แ ล ะ ประเทศชาติ ซึ่งไม่อาจประเมนิ ค่าได้ หากผลท่ีไดน้ ้นั คอื ความสขุ ของประชาชน ดั ง ค วา ม ห ม า ย ทพี ่ ร ะ บ า ท ส ม เด็ จพระเจา้ อยู่หวั มพี ระราชดำรัสในคราวพระราชทานแกค่ ณะบคุ คลต่างๆ ทีเ่ ขา้ เฝา้ ฯ ถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสวันเฉลมิ พระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจติ รลดา พระราชวงั ดุสิต เมือ่ วนั ที่ ๔ ธันวาคม๒๕๓๔ ความตอนหน่งึ วา่ “...ภาษาอังกฤษ “Our” หมายความวา่ “ของเรา”. “Our loss…”, “loss” ก็การเสียหาย “การขาดทุน”. “Our loss is our…”, “Our” นี่ก็คือ “ของเรา”. “Our loss is our gain…”, “gain” กค็ อื “กำไร” หรอื “ท่ไี ด”้ “สว่ นทีเ่ ป็นรายรับ”. เป็นอันวา่ พูดกบั เขาว่า “Our loss is our gain”. “ขาดทุนของเราเปน็ กำไรของเรา”. หรอื “เราขาดทุนเรากไ็ ดก้ ำไร”. ...” และดังแนวพระราชดำริของพระองค์ ตามคำบอกเลา่ ของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ในหนงั สือ“การทรงงานพัฒนาประเทศ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัว” ความตอนหนึง่ ว่า “สำหรับพระองค์จะเปน็ การแก้ไขปญั หาโดยใช้ค่าใช้จ่ายนอ้ ยทสี่ ุด ต่ำทสี่ ดุ แต่หากเห็นปญั หาทเี่ กี่ยวข้องกับมนษุ ยน์ ัน้บางครั้งแพงแสนแพงก็ต้องทำ เพราะชีวิตของมนุษยเ์ ราจะไปตีราคาแบบวัสดุสิง่ ของไมไ่ ด้ ซึง่ พระองค์ตรัสว่า ...ขาดทุน คือ กำไร Our loss is our gain...การเสยี คือ การได้ ประเทศชาติก็จะก้าวหน้าและการทคี่ นอยดู่ มี ีสขุ น้นั เป็นการนบั ท่ีเป็นมูลคา่ เงนิ ไมไ่ ด.้ ..”  การลงทุนเพอื่ ประโยชน์ของประชาชนและส่วนรวม ทรงเห็นว่าการลงทุนบางอย่างแม้จะต้องใช้ทนุ ทรัพยม์ หาศาล แต่หากผลทไี่ ด้คือความอยูด่ ีมีสุขของราษฎรอย่างยั่งยืน นับเป็นผลกำไรของประชาชน ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัว พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ทเี่ ข้าเฝา้ ฯ ถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมอื่ วันที่ ๔ธนั วาคม ๒๕๓๔ ณ ศาลาดสุ ดิ าลัย สวนจิตรลดา พระราชวงั ดสุ ิต ความตอนหนงึ่ ว่า 138

“...ในการกระทำใดๆ ถา้ เรา ย อ ม ล ง ทุ น ล ง แ ร ง ไ ป ก็ เ ห มื อ น เสยี เปลา่ แต่ในท่สี ดุ เรากลบั จะได้รับ ผลดี ทัง้ ทางตรง ทางออ้ ม. เรื่อง ตรงนีก้ ับงานของรฐั บาลโดยแท้ ถ้าหากวา่ อยากให้ประชาชนอยูด่ ี กินดี รฐั จะตอ้ งลงทุน ต้องสรา้ ง โครงการซงึ่ ต้องใชเ้ งนิ จำนวน เป็นร้อยเป็นพนั เป็นหมืน่ ล้าน. ถ้าทำไปกเ็ ป็น “loss” เป็นการเสยี เป็นการขาดทุน เป็นการจ่าย คือ รฐั บาลตอ้ งตงั้ งบประมาณรายจา่ ย ซึ่งมาจากเงินของประชาชน. แตว่ า่ ถ้าโครงการดี ในไม่ชา้ ประชาชนจะได้กำไร จะไดผ้ ล. ราษฎรจะอยูด่ ีกินดีขนึ้ จะได้ประโยชน์ไป สว่ นรฐั บาลไม่ได้อะไร. แต่ขอ้ นี้ถ้าดูใหด้ ๆี จะเห็นวา่ ราษฎรอยดู่ กี ินดี มีรายได ้ รฐั บาล ก็เก็บภาษไี ดส้ ะดวกไม่มีการหนภี าษี เพราะเมือ่ มีรายได้ดีขึน้ เขาก็สามารถเสียภาษี ไดม้ ากข้ึน...”  การ “ขาดทุน” เพือ่ การได้ “กำไร” อนั เป็นความอยดู่ ีมสี ุขของประชาชนนน้ั ประมาณค่าไม่ได้ โดยมีแนวพระราชดำริว่า การลงทนุ เพือ่ การใดแลว้ ช่วยก่อให้เกิดความอยูด่ ีมีสขุ แก่ราษฎรนัน้ไมอ่ าจประเมนิ มลู ค่าได้ หรือหากจะประเมินมลู ค่าแล้วยอ่ มกระทำได้ เช่น การขาดทนุ เพื่อลดจำนวนราษฎรทีท่ กุ ข์ยาก ยอ่ มสง่ ผลให้รัฐบาลสามารถลดภาระการสงเคราะห์หรือการช่วยเหลือนัน้ ได้อันเป็นประโยชน์ตอ่ ประเทศชาตโิ ดยสว่ นรวม ดงั พระราชดำรสั พระราชทานแกค่ ณะบุคคลตา่ งๆ ท่เี ขา้ เฝ้าฯถวายพระพรชยั มงคล ในโอกาสวนั เฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดสุ ดิ าลยั สวนจติ รลดา พระราชวงั ดสุ ติเมอื่ วนั ท่ี ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔ ความตอนหน่งึ วา่ “...การท่คี นอย่ดู ีมีความสขุ นั้น เป็นกำไรอีกอยา่ งหนงึ่ ซึ่งนับเปน็ มูลคา่ เงนิ ไม่ได้ แต่ว่าถ้าจะคดิ ให้เป็นมูลค่าเงินจริงๆ ก็คดิ ได้. เราตอ้ งจ่ายในสิง่ ทีไ่ ม่นา่ จะต้องจา่ ย เช่นทางรัฐบาล โดยกระทรวงมหาดไทย โดยกรมประชาสงเคราะห์ หรือกรมอืน่ ๆ จะต้องไปสงเคราะห์ราษฎรที่ยากจน ซึง่ ในปีหนึง่ ๆ ต้องใชเ้ งินเป็นจำนวนหลายร้อย หลายพนั ล้าน ในการสงเคราะห์ชาวบ้านทีย่ ากจน โดยไม่ไดอ้ ะไรกลับคืนมา. เพราะว่าราษฎรที่ยากจนนี ้ เขาไม่มีกำลังทีจ่ ะตอบแทนอะไรได้เลย. แม้จะทำงาน กไ็ มค่ อ่ ยได ้ เพราะความยากจน แต่ว่าถ้าเราสามารถท่ีจะทำให้เขาอยดู่ กี ินดขี น้ึ หน่อย. เขาจะสามารถหารายได้ได้มากข้นึ เราก็จะลดการสงเคราะห์ลงได.้ ..” 139

 การ “ลงทุน” ในช่วงเวลาทีเ่ หมาะสม ย่อมส่งผลคมุ้ ค่ามากกวา่ การที่จะปล่อยให้เสียโอกาสการพฒั นานัน้ ไป โดยเฉพาะอย่างยงิ่ หากเป็นการลงทนุ เพือ่ ให้มผี ลผลติ เพิม่ มากขึน้ หรือช่วยให้เกิดประโยชนส์ ขุ ต่อสว่ นรวมและประเทศ ถือเป็นสงิ่ ทีค่ ุ้มค่ากับการลงทนุ หากปลอ่ ยไว้ให้เนิน่ นานอาจจะทำให้เสียโอกาสการพัฒนาหรือการลงทุนตามหลักวิชาเศรษฐศาสตร์ ดังพระราชดำรัสในโอกาสคราวเดียวกัน ความตอนหนึง่ ว่า “...ถา้ หากรบี ทำโครงการ ๑๐ ลา้ นบาท น้ัน ก็ได้กำไรแล้วในปีแรก ชดเชยจำนวน ๒ ล้านบาท ที่วา่ แพงเกินไปนนั้ ไดแ้ ล้ว แต่ข้อสำคัญทีส่ ุด ถ้าอยากทำโครงการ ให้ไดเ้ ป็นมูลค่า ๘ ล้านบาทนนั้ จะต้อง เสียเวลาสอบราคา เสียเวลาทำแผนให้ รอบคอบ จึงยงั ทำไมไ่ ดใ้ นปนี ี ้ ปีน้ชี าวบา้ น จึงยังไม่ไดร้ ับผลดจี ากโครงการ คร้ันปี ตอ่ ไปปูนซีเมนตก์ ็แพงขนึ้ เศรษฐกิจก็เปลีย่ นแปลงไป ๘ ล้านบาทไม่พอแล้ว... จนกระทั่งเอาจริงในปีที่สาม อนุมัติ ๑๐ ล้านบาทก็ทำได ้ แต่ผลดีทีค่ วรจะได้รับ ตัง้ แต่ต้นจากโครงการนัน้ ก็ไม่ไดร้ ับ แล้วก็เป็นอนั ว่าต้องเสียเงิน ๑๐ ล้านบาทอยู่ด ี แตป่ ระชาชนตอ้ งทนเดอื ดร้อนไปอกี สองสามปี ถ้ายอม “ขาดทุน” คือยอมเสีย ๑๐ ล้านบาทตงั้ แต่ตน้ ก็สามารถทีจ่ ะ “ได้กำไร” คือประชาชนจะไดผ้ ลดตี งั้ แตป่ ีแรก ทางวชิ าเศรษฐกจิ แท้ๆ ก็เปน็ อยา่ งน้ีได้เหมอื นกัน มติหรอื คตพิ จนท์ ีว่ ่า “ขาดทุนทำให้ มกี ำไรได้” นั้น กเ็ ป็นอนั พิสจู นไ์ ด้แล้ว...”๔.๒ ไม่ติดตำรา หลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัว ทรงเน้นการอนโุ ลมและรอมชอมกับสภาพธรรมชาติ สิง่ แวดล้อม สภาพสงั คม และความเป็นอยขู่ องประชาชนในชุมชน โดยทรงประยกุ ต์ใช้หลกั วิชาอย่างซือ่ สัตย์และมีเหตุผล มงุ่ เรียนรู้จากประสบการณ์และทดลองหาแนวทางปฏิบัติโดยไม่ยึดติดกับทฤษฎีและหลักวิชาการ รวมทงั้ เทคโนโลยีทไี่ มเ่ หมาะสมกับสภาพชีวิตความเปน็ อยู่ท่แี ทจ้ รงิ ของคนไทย โดยมีแนวพระราชดำรดิ งั ตอ่ ไปนี้  อนุโลมและรอมชอมกับสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สภาพสังคม และความเป็นอยู่ของประชาชนภายในชมุ ชน เพือ่ ให้การพัฒนาในแต่ละพื้นทีไ่ ม่ทำลายหรือฝืนกับสภาพธรรมชาติ 140

และส่ิงแวดล้อมในพน้ื ท่ีน้ันๆ จนทำใหเ้ กดิ ความเสียหาย โดยการพฒั นาใดๆ ควรอย่บู นพ้นื ฐานของการให้คนและธรรมชาติอยูร่ ่วมกันอยา่ งอาศัยเกือ้ กูลกัน และทสี่ ำคัญอีกประการหนึง่ คือ จะต้องสอดคลอ้ งและเขา้ ได้กับขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณีของท้องถิน่ ในแตล่ ะแห่ง ซ่งึ จะสง่ ผลให้การพัฒนานน้ัไดร้ ับความร่วมมือจากราษฎร และเกดิ ผลท่ีเปน็ รปู ธรรมอยา่ งยงั่ ยืน ดังจะเห็นได้จากการทพี่ ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวมพี ระราชดำริจัดตัง้ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอนั เนือ่ งมาจากพระราชดำริขึน้ ตามภูมภิ าคต่างๆ เพื่อเปน็ ศูนย์รวมของการศึกษาค้นคว้าทดลอง วิจัย และแสวงหาแนวทางและวิธีพัฒนาด้านต่างๆ ทีเ่ หมาะสมสอดคลอ้ งกับสภาพแวดลอ้ มและการประกอบอาชีพของราษฎรทีอ่ าศัยอยูใ่ นภูมิประเทศนัน้ ๆ โดยคำนึงถึงสภาพทีแ่ ทจ้ ริงของพืน้ ทีแ่ ละปัญหาเปน็ ทีต่ ั้ง ดังพระราชดำรัสในโอกาสทปี่ ระธานคณะกรรมการพิเศษเพือ่ประสานงานโครงการอันเนือ่ งมาจากพระราชดำริ ผเู้ ข้าร่วมสัมมนาและบคุ คลต่างๆ ทเี่ กีย่ วข้องเข้าเฝ้าฯ เพือ่ รับพระราชทานพระบรมราโชบายเกีย่ วกับการดำเนนิ งาน ณ ศาลาดุสดิ าลัย เมือ่ วันที่๒๖ สงิ หาคม ๒๕๓๑ ความตอนหน่งึ วา่ “...ศูนยศ์ กึ ษาการพัฒนาน้ันแมจ้ ะมกี ารปลกู ข้าวกอ็ าจปลกู ขา้ วในลกั ษณะต่างกนั หรือดูวา่ ในภมู ิประเทศอยา่ งน้ีเราจะปลกู อย่างไรอาจไมถ่ ูกหลักวิชาก็ได ้ แตว่ ่าชาวบ้าน เขาทำอย่างนัน้ เราก็ทดลองบ้าง หรือว่าถ้าปลูกขา้ วไม่เกิดประโยชนก์ ็ลองแก้ไขโดยใช้ วิชาอนื่ บ้าง จะเป็นชลประทานก็ไดห้ รอื ด้านการพัฒนาทีด่ ินหรือดา้ นวชิ าการเกษตร มาประยุกต ์ เพอ่ื ท่ีจะให้ผลมากข้นึ รวมทั้งต่อจากปลกู แล้วทำอยา่ งไร เก็บรกั ษาอยา่ งไร หรอื สีอย่างไร ขายอย่างไร คือหมายความว่าให้สามารถทีจ่ ะแก้ปัญหาทัง้ ตน้ ทาง ปลายทาง”  ไม่ผูกมัดยึดติดกับวชิ าการ ประยุกตใ์ ชห้ ลักวชิ าอย่างซือ่ สัตย์และมีเหตผุ ล โดยไม่ยดึ ติดอยกู่ บั ตำราหรอื ทฤษฎจี นเกนิ ไป พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงมงุ่ หมายใหท้ กุ คนตระหนกั วา่ หลกั วชิ า 141

ทัง้ หลายจำเปน็ ต้องประยกุ ต์ใช้ด้วยวิจารณญาณอยา่ งมเี หตุผล และประสานสอดคล้องกับวิชาการอืน่ ๆอย่างเหมาะสม ด้วยความซื่อสตั ย์และสุจริตใจต่อวิชาการและวิชาชีพของตน รวมทงั้ มคี วามหนักแน่นและรอบคอบในหลักการ ไมน่ ำวชิ าการไปใชอ้ ย่างผิดพลาด เพราะจะเปน็ การทำลายเกยี รตภิ มู ขิ องตนเองและอาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงได้ ดังพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยมหิดล ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร เมือ่ วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๓๐ ความตอนหนงึ่ ว่า “…การใชว้ ชิ าความรใู้ ห้ถูกตอ้ งเป็นประโยชน ์ มีหลักสำคัญพึงยึดถือดงั น ี้ ประการแรก ในฐานะผมู้ วี ชิ าการและวชิ าชพี ระดบั สงู จะตอ้ งซอ่ื ตรงบรสิ ทุ ธใ์ิ จตอ่ วชิ าการและ วชิ าชพี ของตน หมายความว่าแตล่ ะคนจะต้องพยายามควบคุมความคดิ จิตใจให้มน่ั คง หนกั แน่น และรอบคอบในหลกั การ ไมใ่ หม้ กั ง่าย ไมใ่ หป้ ระมาทเลนิ เลอ่ แลว้ นำวิทยาการ ซึง่ เป็นของสูง ไปใช้อย่างผิดพลาดเพราะการกระทำ ดังนัน้ เป็นการทำลายวิชาและ ทำลายเกียรติภูมิของตนโดยตรง ทัง้ ยังอาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงมากมาย ขนึ้ ได้อย่างคาดไม่ถึง ประการที่สอง จะต้องเขา้ ใจให้ถูกวา่ การซือ่ ตรงบรสิ ุทธิ์ใจตอ่ วิชาการนัน้ มิไดห้ มายถึงการยึดตำราหรือ ยึดทฤษฎีจนเหนียวแน่นอย่างเอาหัวชนฝา หากมุง่ หมายให้ทกุ คนตระหนักว่า หลกั วิชา ทั ้ง ห ล า ย จ ำ เ ป็ น ต ้อ ง ป ร ะ ยุ ก ต ์ใ ช ้ด ้ว ย วจิ ารณญาณให้ถูกเหตถุ ูกผล ให้ถูกสัด ถูกส่วน และให้ประสานสอดคล้องกับ วิชาการอนื่ ๆ อย่างพอเหมาะพอด ี ผูฉ้ ลาด ย่อมจะต้องคำนงึ ถึงผลอันพงึ ประสงค์ ตามเป้าหมาย และพยายามพิจารณาใครค่ รวญอย่างละเอยี ดรอบคอบก่อนที่จะ นำมาใช้เสมอทุกครัง้ จึงหวังว่าท่านทั้งหลายจะไดน้ ำขอ้ แนะนำนไี้ ปขบคดิ ให้เป็น ประโยชนเ์ ปน็ ความเจรญิ แกต่ นเองแก่ผูอ้ ่ืนต่อไป…”  ไม่ยึดตดิ กับเทคโนโลยีทีไ่ ม่เหมาะสมกับสภาพชีวิตความเป็นอยูท่ ีแ่ ท้จริงของคนไทยโดยจะต้องคำนึงถึงหลกั ความจริงในสถานการณป์ ัจจุบัน ให้เหมาะสมกับการพัฒนาในแต่ละเรือ่ งแต่ละพืน้ ที่ ว่าควรจะต้องใช้เทคโนโลยีระดับใด ซึง่ บางพืน้ ทีอ่ าจไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยสี มยั ใหม่ทีท่ ำให้สิน้ เปลืองโดยใช่เหตุ และยังอาจไม่สอดคลอ้ งกับวิถีชีวิตความเปน็ อยขู่ องประชาชน ดังนนั้จะต้องไมห่ ลงไปกับกระแสของเทคโนโลยีทมี่ กี ารพัฒนาก้าวหน้าไปตลอดเวลา โดยควรใช้ปัญญาไตร่ตรองในการเลอื กสงิ่ ทเี่ หมาะสม และมงุ่ ทางสายกลางทเี่ น้นการปฏิบตั ิอย่างอะลมุ้ อลว่ ยด้วยความสามคั คีและมเี มตตาต่อกัน เพือ่ ให้การพัฒนานัน้ ๆ เกิดผลสัมฤทธิ์ ดังพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบตั รของสถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้า ณ อาคารใหม่สวนอัมพรเมอื่ วันที่ ๑๘ ตลุ าคม ๒๕๒๒ ความตอนหนงึ่ ว่า 142

“...เทคโนโลยที ่ดี ี ท่สี มบรู ณแ์ บบ จงึ ควรจะสรา้ งส่งิ ท่จี ะใช้ประโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งคุ้มค่า และมีความสูญเปล่าหรอื ความเสียหายเกิดขนึ้ น้อยที่สุด แม้แตส่ ิง่ ทีเ่ ป็นของเสียเป็น ของเหลอื ทง้ิ แลว้ กค็ วรจะไดใ้ ชเ้ ทคโนโลยแี ปรสภาพใหเ้ ปน็ ของใชไ้ ด ้ เช่น ใช้ทำขยะและ มูลสัตวใ์ ห้เป็นแก๊สและปุย๋ เป็นต้น โดยทางตรงขา้ มเทคโนโลยีใดทีใ่ ช้การไดไ้ ม่คมุ้ ค่า ก่อให้เกิดความสูญเปล่าและความเสียหายไดม้ าก จัดว่าเป็นเทคโนโลยีที่บกพร่อง ไม่สมควรจะนำมาใชไ้ ม่ว่าในกรณใี ด...” พระราชดำรัสในโอกาสทีส่ ถาบันเทคโนโลยแี ห่งเอเชีย ทูลเกลา้ ฯ ถวายเหรียญทองเฉลมิ พระเกยี รตคิ ณุ ในการนำชนบทให้พัฒนา เมอ่ื วนั ท่ี ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๓๐ ความตอนหน่งึ ว่า “…การใชห้ ลกั วชิ าหรอื ใชท้ ฤษฎใี หเ้ กดิ ประโยชนไ์ ดแ้ ทจ้ ริงน้นั จะตอ้ งใชใ้ หถ้ กู ต้อง และสอดคล้องพอเหมาะ พอด ี กับความเป็นอย ู่ ความคดิ ความเชือ่ และวฒั นธรรม ตามสภาพทีเ่ ปน็ จริงในภาคพน้ื ต่างๆ...” และพระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ทเี่ ข้าเฝา้ ฯ ถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสวนั เฉลมิ พระชนมพรรษา ณ ศาลาดสุ ดิ าลยั พระราชวงั ดสุ ติ เมอ่ื วนั ท่ี ๔ ธนั วาคม ๒๕๓๔ ความตอนหนง่ึ วา่ “...เรือ่ งที่สำคญั ก็คอื การทำมาหากินของประชาชนคนไทยซงึ่ ตอ้ งให้มี ความสะดวกสบาย มีการปกครองท่เี ปน็ ธรรม. ทุกสิง่ ทุกอย่างนี ้ จะต้องอาศัยหลักวชิ าทัง้ นนั้ แต่บางทีหลักวิชานนั้ เราไปเอา ตวั อยา่ งมาจากแหลง่ ทม่ี สี ภาพการณไ์ มเ่ หมอื นกบั ประเทศของเรา. ยกตวั อยา่ งในเมอื งไทย เด๋ียวนี้ แต่งตัวชุดสากลแบบน ี้ ก็ร้อน ไม่เหมาะสมกับภูมิอากาศของประเทศไทย แต่ก็ได้ดัดแปลงไปบ้าง มใิ ห้เครือ่ งแต่งตัวเหล่าน้รี อ้ นเกนิ ไป... 143