จกั รใด ขับดนั ยคุ ไอที พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) มงคลวารอายุครบ ๙๓ ป คุณหญิงกระจางศรี รกั ตะกนิษฐ ๑๒ ตลุ าคม ๒๕๕๐
จกั รใด ขับดนั ยคุ ไอที ๖,๐๐๐ เลม© พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑,๕๐๐ เลมISBN 974-94143-8-1 ๕๐๐ เลม ๕๐๐ เลมพิมพครั้งที่ ๑ Ñ ตลุ าคม ๒๕๕๐ ๕๐๐ เลม ๕๐๐ เลม- ทุนพิมพห นังสอื วดั ยญาณเวศกวัน ๕๐๐ เลม- มงคลวารอายคุ รบ ๙๓ ป คุณหญงิ กระจางศรี รกั ตะกนษิ ฐ ๕,๐๐๐ บาท- มงคลวารอายุครบ ๘๑ ป คุณหญงิ ลมลุ ศรี โกศิน ๔,๐๐๐ บาท- มงคลวารคลา ยวันเกิด คุณกานดา อารยางกูร ๔,๐๐๐ บาท- มงคลวารคลา ยวนั เกิด คุณบุบผา คณิตกุล ๑,๐๐๐ บาท- มงคลวารอายคุ รบ ๖๖ ป ดร.สพุ จน ทองนพคุณ- ครอบครวั ศรปี รัชญาอนนั ต- ครอบครวั บุญญาวานชิ ย- คณุ พชั ธร กิตินุกูลศิลป- คณุ ศศิธร วีระไวทยะแบบปก: พระชัยยศ พุทฺธิวโรพิมพท่ี บรษิ ัท พมิ พสวย จาํ กัด ๕/๕ ถนนเทศบาลรงั สฤษฎเหนอื แขวงลาดยาว เขตจตจุ ักร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐ โทร. ๐-๒๙๕๓-๙๖๐๐ www.pimsuay.com
สารบญัอนุโมทนา กจักรใด ขับดันยุคไอที ๑ปฏิสนั ถาร ๑ภาค ๑ สังฆทานครัง้ ใหญ ท่ีคลุมไปถึงคอ นป ๓วนั อาสาฬหบูชา กับวันเขา พรรษา มาตอ กัน ๓เขาพรรษา มาถวายสงั ฆทานใหญ ทเี ดยี วได ๓ เดือน ๔ทําบญุ อยแู คสงั ฆทานไมพ อ ตองตอใหครบสาม หรือสิบ ๖บุญจะเพิม่ ขยาย เมือ่ ใจแผกวา ง และปญญาเห็นไกล ๘ทาํ บุญครบ ๕๐ ป ทมี่ วี นั อาสาฬหบชู า ๙เหตุการณข องวนั อาสาฬหบูชา เกิดมาแลว ๒๕๙๕ ป ๑๒ภาค ๒ จกั รตวั ใหม ทีข่ ับดนั ยคุ ไอที ๑๕ธรรมจักรหมุน ทางเปนมัชฌิมา ถึงพุทธศาสนาทนั ที ๑๕พอจักรเกิดขึ้น อารยธรรมกข็ ยับเคลอ่ื น ๑๖ธรรมจกั รหมุนมา พาอารยธรรมเขาสวู ิถี ๑๘“จกั ร” เล็กก็สาํ คัญ “จักร” ใหญก ็อัศจรรย ๒๐“จักร” ถงึ มือคน ก็เร่ิมตนผนั อารยธรรม ๒๑“จกั ร” ขับเคล่ือนอารยธรรม สยู คุ ใหมแหง อตุ สาหกรรม ๒๔“จกั ร” พาอารยธรรม กา วข้ึนยุคใหมท่ีชื่อไอที ๒๕“จักร” บอกความเปนญาติมิตร วาลกึ ลงไปยงั มนั่ ๒๖“จกั ร” จะหมุนไปทางไหน อยูท ค่ี นเปน เสรที าส หรอื เสรีไท ๒๘“จกั ร” หมนุ อยางไร “เครอื ขาย” จึงกลายเปน “ตาขาย” ๓๐“จกั ร” นัน้ ไซร ไฉนตอ งหมนุ ไปในทางสายกลาง ๓๓“จักร” จะขับเคลอื่ นอารยธรรมได ตองหมุนไปดว ยปญญา ๓๕“ทางสายกลาง” พาคนถึงจดุ หมาย นําอารยธรรมใหศรวี ไิ ล ๓๘
จักรใด ขับดันยคุ ไอทีหนึ่ง ปฏิสนั ถาร วันนี้ โยมญาติมิตรสาธุชน มีใจเปนกุศล มาทําบุญในวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา โดยพรอมกัน ดวยความสามัคคีต้ังแตในครอบครวั เปน ตนไป คุณพอ คุณแมมากับลูก บางทีก็มากับคุณปู คุณยา คุณตา คุณยาย หรือญาติพ่ีนอง โรงเรียนก็มากัน ทั้งคณะผูบริหารครอู าจารย และลูกศษิ ย ญาติมติ รท้งั หลายก็มาทําบญุ รว มกนั การทําบุญรวมกันนี้ ไดบุญหลายอยาง ทําบุญเฉพาะตัวก็ไดบุญอยูแลว ทานบอกไววา ถาทําบุญดวยตนเอง ไดบุญข้ันที่หนึ่ง ถาชวนผูอ่ืนทําบุญดวย ก็ไดบุญเพ่ิมอีกเปนสองชั้น เพราะเปนการทําบุญของตนเองดวย แลวทําใหคนอ่ืนไดบุญดวย คนหนง่ึ ธรรมกถา ของ พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ในงานทําบุญเขาพรรษา และเวียนเทยี นวนั อาสาฬหบูชา ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เดมิ ต้งั ชื่อเรื่องวา “เอาวงกลม มาหมุนพาเราไป แตอ ยาใหต ัวหมนุ ติดอยูใ นวงกลม”)
๒ จกั รใด ขับดนั ยคุ ไอทีอื่นก็เลยพลอยไดบ ญุ ขยายบุญใหก วา งขวางออกไป นอกจากน้ัน นํ้าใจท่ีรวมกันนั้น ก็เปนบุญเปนกุศลอยูในตัวแลว คือ มีเมตตาไมตรี มีจิตหวังดีตอกัน เปนตน ชวยใหบรรยากาศมีความสุข สดช่ืน รื่นเริง สุภาพออนโยน เปนมิตร มีไมตรีจิตมาประกอบเขาดว ย จึงเปน การเพิม่ กาํ ลังบุญ มองในแงพระศาสนา ก็คือมีกําลังผูท่ีมาค้ําจุนอุดหนุนทําใหพ ระพทุ ธศาสนาดํารงมัน่ คงย่ิงขึน้ ฉะนั้น เม่ือถึงวันสําคัญ พุทธศาสนิกชนจึงไมเพียงมาทําบุญเฉยๆ แตชวนกันมาทําบุญ และก็จึงขออนุโมทนาทั้งสองชั้น ท้ังในแงที่แตละทานมีใจศรัทธามาทําบุญ แลวก็มีใจปราถนาดีเมตตาไมตรชี วนญาติมิตรมาทําบุญดว ยกนั ยงิ่ กวานน้ั วันน้ียังเปน วันที่ทาํ บุญสองอยา งดวย เม่ือกีน้ ว้ี าทาํ บญุ สองชัน้ คอื ดวยตนเอง แลว ก็ชวนกันมา ทีน้ีก็ทําบุญสองอยาง คือ ทําบุญวันเขาพรรษา กับทําบุญวันอาสาฬหบูชา ซอนกนั มาทเี ดียว ไดท าํ สองอยา งเลย
ภาค ๑ สังฆทานครัง้ ใหญ ทค่ี ลุมไปถึงคอ นป --วันอาสาฬหบูชา กบั วนั เขา พรรษา มาตอ กัน ความจริง วันสําคัญสองอยางนี้ คนละวัน ตางวันกัน แตเรารวมมาทําบญุ ในวันเดยี วกนั วันนี้แทๆ คือ วันอาสาฬหบูชา เปนวันทําการบูชาพระรัตนตรัยเพ่ือระลึกถึงเหตุการณสําคัญ คือการที่พระพุทธเจาทรงแสดงปฐมเทศนา นวี่ นั หน่งึ สว นอกี วันหน่งึ คือพรุงน้ี วนั แรม ๑ ค่ํา เดือน ๘ สําหรับปน้ีก็เปน เดือน ๘ หลงั เปน วนั เขา พรรษา ความจริง การทําบุญสองวันนี้ ตางกันคนละอยาง ญาติโยมท่ีรูเขาใจชัดเจนก็แยกไดถูก แตสําหรับบางทานที่ยังไมคุน ก็ถอื โอกาสทบทวน เปน การแยกใหเกดิ ความเขา ใจชดั เจนวา ท่ีเราทาํ พิธถี วายเทยี นพรรษาและผาอาบน้ําฝนไปเม้ือกี้น้ันเปนการทําบุญในโอกาสเขาพรรษา คือสําหรับวันพรุงนี้ แตทําใหเสร็จไปเสยี กอ น สวนพิธีสําหรับวันอาสาฬหบูชา ก็คือที่กําลังจะทําตอไปไดแ ก การเวยี นเทียน
๔ จักรใด ขับดันยุคไอที ทีนี้ การที่เราเอางานบุญสองอยางมาทําในวันเดียวกัน ก็เพราะวาสองวันน้ีอยูใกลกัน ติดตอกัน แตพิธีก็แยกเปนสองตอนคือ ถวายเทียนพรรษาและถวายผาอาบนํ้าฝน ก็แยกไปตอนหนึ่งแลวพิธีเวียนเทียนก็แยกไปอีกตอนหน่ึง ใหเห็นชัดกันไป ถึงจะเอามารวมกันก็ไมมีปญหาอะไร แตตองเขาใจใหชัด ก็เลยถือโอกาสพูดจาเลา ใหฟ ง เปนเรือ่ งของความรเู ขาใจเลก็ ๆ นอยๆเขา พรรษา มาถวายสังฆทานใหญ ทีเดียวได ๓ เดอื น ทีนี้จะเลาใหฟงท้ังสองวันนิดหนอย ก็ตองพูดเร่ืองวันเขา พรรษากอ น ทง้ั ๆ ทวี่ นั เขาพรรษาท่ีจรงิ เปนวันพรงุ นี้ วันเขาพรรษา เปนวันสําคัญทางพระวินัย เปนเร่ืองของพระสงฆท่ีจะตองอยูประจําท่ีตลอดเวลา ๓ เดือนในฤดูฝน ซึ่งเร่ิมตนในวนั แรม ๑ ค่ํา เดือน ๘ เมื่อพระสงฆปฏิบัติตามพระวินัย ญาติโยมพุทธบริษัทฝายคฤหัสถก็มาสนับสนุน ก็เลยเกิดประเพณีทําบุญขึ้นมา เปนการอปุ ถมั ภพ ระสงฆเ พือ่ ใหท านมีกาํ ลังทจ่ี ะปฏบิ ัตศิ าสนกิจ สาระของการทําบุญในวันสําคัญทางพระวินัย พูดงายๆ ก็คือมาอุปถัมภพระสงฆ เชนวา พระสงฆอยูจําพรรษาจะตองมีผาอาบนํ้าฝน โยมก็พากันนําผาอาบนํ้าฝนมาถวาย พระสงฆจําพรรษาตองมกี ารศึกษาเลาเรยี น ทาํ กิจวตั รตางๆ เชน ทําวัตรสวดมนต ซ่ึงบางทีก็เปนเวลาคํ่าคืน ตองอาศัยแสงสวาง ญาติโยมก็เอาเทยี นพรรษามาถวาย อยางนี้แหละ การทําบุญเขาพรรษาดวยการถวายเทียนพรรษาและผาอาบน้ําฝนก็เลยเกิดขึ้นมา แลวก็ขยายเปน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๕ประเพณีใหญโต มีการหลอเทียน มีการแหเทียน เปนเรื่องสืบกันมาแตโ บราณ การเขาพรรษา การจําพรรษา ท่ีจริงเปนเร่ืองของพระ แตโยมมาสนบั สนุนใหพ ระมกี าํ ลังปฏิบัติศาสนกิจ การทําบุญวันเขาพรรษานี้ เห็นชัดๆ วาเปนการมาบํารุงสงฆ โยมมาถวายเคร่ืองสนับสนุนชวยความเปนอยูและการทํากิจของทานในระยะยาว จึงเปนการถวายสังฆทาน คร้ังใหญ หรือครั้งพเิ ศษเลยทเี ดียว ในฤดูเขาพรรษาจะมีพระมากเปนพิเศษ เพราะเรามีประเพณีบวชเรียน ทําใหมีพระใหมเพิ่มเขามา แลวก็จะมีการศึกษาเลา เรยี นเปนพเิ ศษ แตเด๋ียวนี้ ประเพณีนี้ไดเส่ือมถอยลงไป ผูบวชที่จะอยูจําพรรษาเหลือนอยลง หลวงพอจังหวัดหนึ่งเคยเลาใหฟงวา ที่จังหวัดของทานในเขตเทศบาลทั้งจังหวัด พรรษาน้ันไมมีผูบวชอยจู ําพรรษาเลยแมแตรปู เดยี ว นี่ก็คือประเพณีน้ีไดเสื่อมถอยลงไป กลายเปนวาบวชนอกพรรษากันแคประมาณ ๑ เดือน บางทีก็ส้ันกวาน้ัน เหลือ ๑๕ วันบาง ๗ วันบาง ประเพณีบอกวาบวชเรียน แตบวชแค ๗ วันน่ียังไมทนั ไดเ รยี นอะไร เวลาน้ี โยมมีศรัทธามาก พากันมาถวายสังฆทานเปนอันดบั ๑ เลย ที่จรงิ นั้น อยางทพ่ี ูดเมื่อกี้ โยมทําบุญวันน้ีแหละคือสังฆทานท่ีแทจริง และเปนครั้งใหญพิเศษดวย โยมไดทําไปแลวสบายใจไดเลย
๖ จกั รใด ขบั ดันยคุ ไอทีทําบุญ อยูแคสังฆทานไมพอ ตองตอใหครบสาม หรือสบิ เร่ืองถวายสังฆทานน้ัน ถาทําอยางวันนี้ ก็เต็มท่ีเลย แตถามาถวายสังฆทานกันแบบกระจัดกระจาย อยางที่พบบอยๆ นั่นสิเปน ปญหามาก พระก็อยากจะฉลองศรัทธาโยม แตกําลังตัวเองก็ไมพ อ โดยเฉพาะกําลงั ในแงเวลา จึงตองท้ังขอทําความเขาใจ และขอความรวมมือโยมวาการทําบุญอุปถัมภพระน้ัน ไมใชเฉพาะดวยทาน หรือบํารุงดวยวัตถุปจจัย ๔ เทานั้น แตเราสามารถอุปถัมภดวยการสนับสนุนศาสนกิจ คือ ใหพระมีเวลาไปทํางานของทาน ไปใหการศึกษาไปอบรม ไปสั่งสอนตางๆ ถาโยมชว ยอยา งนี้ ก็เปน การทําบุญดวย การท่ีพระศาสนาจะดํารงอยูไดยั่งยืนนานน้ัน ทานหรือพวกวัตถุปจจัยนั้นเปนเพียงเคร่ืองอุดหนุนนะ โยมตองเขาใจ คือเปนเครอ่ื งอดุ หนุนเพือ่ ใหพ ระมีกําลังทาํ งานทีเ่ รยี กวา ศาสนกิจ พระศาสนาอยูไดดวยศาสนกิจ ท่ีแท คืองานของพระที่ไปใหก ารศึกษา อบรม สงั่ สอน เผยแพรธ รรมะน่ีแหละ เพราะฉะน้ัน โยมจะตองนึกไววา การท่ีเรามาถวายทาน ก็เพ่อื ใหพระสงฆไ ดมีกําลังไปทํางานเหลา น้ี ทีน้ี ถาทานมีพอแลว วัตถุปจจัยมีมากแลว โยมก็อุปถัมภใหพระมีกําลังไปทํางานดวยการใหเวลา เปนตน โยมก็ไดบุญไดกุศลเพ่ิมข้นึ ไป แมแตเพียงทราบวาพระทานทํางานสอนในวัดก็ตาม ไปสอนนอกวัดก็ตาม แลวโยมช่ืนใจดวย น่ีโยมก็ไดบุญแลว เรียกวา
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๗เปน ปตตานโุ มทนามัยกศุ ล ลองไปดูซิ หลักการทําบุญมีตั้ง ๑๐ อยาง ที่เรียกบุญกิริยาวตั ถุ ๑๐ ไมใชตดิ อยแู คท าน เมือ่ ไรก็ทานๆ ๆ ๆ แตศลี ภาวนา ไมกาวหนา ไปเลย แลวที่แบงยอยเปนบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ น้ัน ควรจะทํากันใหครบ แลว บญุ ท่ีสําคญั มากในทีส่ ดุ ก็มาบรรจบทีป่ ญญา รวมแลวก็คือ เราทําบุญทางวัตถุ (ทาน) แลวก็บุญทางพฤติ-กรรม กาย วาจา (ศีล) ตอ ดว ยบุญทางจิตใจ (จิตตภาวนา) ไปเต็มกันที่บญุ ทางปญ ญา (ปญ ญาภาวนา) ถาอยแู คท าน เรากอ็ ยแู คข้ันวัตถุเทานน้ั จริงอยู ถาเราทําทานอยางถูกตอง ก็ไมใชอยูแควัตถุอยางเดียว เวลาถวายทานเราก็ตองมีจิตใจ ตองมีเจตนา มีศรัทธา ใจจึงมาดวย ชวยทําใหพฤติกรรมตองดีไปเอง คือเปนพฤติกรรมที่สงเสริม สนับสนุน ชวยเหลือเกื้อกูล ทํานุบํารุง นี่คือศีลก็มา และจิตใจก็ดี ต้ังแตมีเมตตาปรารถนาดี มีความเคารพ สดชื่นเบิกบานผอ งใส ทาํ ทานพรอมกบั ไดบุญทางจติ ใจ พอถวายทานแลว ก็ไดฟงพระสงฆแนะนําสั่งสอนใหความรูธรรมะ ไดปญญารูเขาใจ แลวก็ไดพิจารณามองเห็นประโยชนของทานที่ตัวไดบําเพ็ญไปวา พระทานไดอาศัยทานที่เราถวายไปนีแ้ ลว ทานมกี ําลงั แลว ทานก็จะไปปฏิบัติธรรม จะไปเลาเรียนศึกษา ไปบําเพ็ญสมถภาวนา วิปสสนาภาวนา เพราะทานมีกําลังจากทานท่ีเราถวาย แลวทานก็ไปสั่งสอนญาติโยมประชาชน ทําใหพระศาสนาแผขยายไพศาล ชวยใหประชาชน
๘ จกั รใด ขบั ดนั ยคุ ไอทีหรือสงั คมอยูกันรม เย็นเปนสุข เมอื่ มองเหน็ วา ทานที่เราทํานี่ เรามองเห็นดวยปญญาวามีประโยชน มีคุณคามหาศาล โยมก็มีปติ ปลาบปลื้มใจ อยางน้ีจึงจะไดบ ุญจรงิ เตม็ ความหมาย ไมใชนึกแควาไปถวายสังฆทาน พอถวายเสร็จก็จบ แลวก็ไปนึกวาดภาพวาเดี๋ยวเราคงจะถูกล็อตเตอรี่ท่ีหนึ่ง ร่ํารวยไดเปนเศรษฐี ไมใชแคน ั้น ตองมองใหกวาง อยางนอยใจตองดี ตองสดชื่นเบิกบานผองใส ใหไดความสุขตั้งแตเวลาที่ถวายไปเลย แลวก็สุขย่ังยืนดวย นกึ เมื่อไรก็มีปต ิ ปลาบปลมื้ ใจ อ่มิ ใจ มีความสุขทกุ ทไี ป เพราะฉะนั้น แมแตทําทาน ก็ตองใหไดครบ ใหไดทั้งศีลพวงมากับทาน ดานจิตใจก็ไดสมาธิมาพวงกับทาน จนกระท่ังปญญากพ็ วงมากับทานเสรจ็ นคี่ อื ถวายทานอยางถกู ตอ งบุญจะเพ่ิมขยาย เม่ือใจแผก วา ง และปญญาเห็นไกล แตบางครั้งเราไมจําเปนตองถวายวัตถุก็ได อยางที่วา ถาวัตถุมีเพียงพอแลว เราก็ทําบุญดวยการอุปถัมภศาสนกิจของพระสงฆ ใหรูเขาใจวา พระสงฆทานมีหนาท่ีอะไร เมื่อทานฉันอาหารแลว ทานมีกําลังกายแลวทานก็ไปทําหนาที่นั้น เม่ือทานทาํ หนา ทถี่ กู ตอง ใจของเราก็ชืน่ ชมเบิกบาน เรากอ็ นุโมทนาดว ย เราจะสงเสริมใหพระสงฆทําหนาที่ของทานไดอยางไร เราจะชวยใหพระศาสนาเจริญข้ึน ใหธรรมะแพรหลายขยายไปไดอยางไร ถาเราคิดอยางน้ีแลว บุญจะเจริญเพ่ิมพูนไมรูจักจบเลย
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๙เรยี กวา กาวไปในบญุ แลว บุญก็จะเจริญงอกงามจนกระทัง่ ไพบูลย เพราะฉะนั้น ชาวพุทธอยาไดหยุดติดอยูแคบุญข้ันตนอยางเดียว ตัวเองก็ตองกาวหนาตอไปในบุญใหสูงขึ้นไป แลวก็ชักนําคนอ่ืนแผขยายบุญใหแผไพศาล แลวท้ังชีวิตของเราและสงั คมกจ็ ะดีงามมคี วามสขุ บุญตองพฒั นา ไมใชเ มื่อไรๆ ก็อยแู คน ั้น ไมไ ปไหนสกั ที เอาละ กลับมาเร่ืองเกา เปนอันวาวันน้ี ญาติโยมมาทําบุญเขาพรรษา ก็คือมาอุปถัมภศาสนกิจ เชน ใหพระมีผาอาบนํ้าฝนใหทานมีเทียนพรรษาคือดวงไฟแสงสวาง ท่ีจะไดใชศึกษาเลาเรียนอานตํารับตํารา ทําวัตรเชา-คํ่า สวดมนต ภาวนา ไดเรียนรูไดเ ขา ใจอะไรตางๆ แลว แสงสวางของวัตถุ ก็กลายเปนแสงสวางของปญญา เราถวายวัตถุแสงเทียนหรือแสงประทีปน้ี มีความหมายขยายไปถึงแสงแหงปญญาดวย ก็ขอใหโยมทุกทานไปกันใหถึงปญญา เปนอันวา เราไดมาทําบุญอุดหนุนพระสงฆใหทํากิจพระศาสนา การทําบุญเขาพรรษาเปนการทําบุญชวงยาวหมายความวา วันนี้เราถวายทานในวันเร่ิมตนพรรษา แลวทานก็อาศัยทานที่เราถวายนี่ใชไปอยางนอย ๓ เดือน น่ีคือสังฆทานครง้ั ใหญ โยมกส็ บายใจปล้ืมใจไดเ ตม็ เปย มเลย เรอื่ งเขาพรรษา ก็เอาแคพอเขาใจเทา นี้
๑๐ จักรใด ขบั ดันยคุ ไอทีทําบุญครบ ๕๐ ป ทม่ี วี ันอาสาฬหบชู า ตอไปเรือ่ งที่สอง ก็คอื การทําบุญวันอาสาฬหบูชา ซึ่งเปนตัววันจริงที่ตรงในวันนี้ อันมีพิธีสําคัญอยูที่การเวียนเทียน ญาติโยมจาํ นวนมากมุงมาเวยี นเทยี น เวียนเทียนนั้น ไมใชเรื่องของการเขาพรรษา แตเปนเรื่องของอาสาฬหบูชา และเร่ืองวันอาสาฬหบูชามีความหมายวาอยางไร ก็แทบจะไมตองอธิบาย เพราะถือวารูกันอยูแลว อาจจะพดู พาดพงิ เพยี งนิดหนอย อยางไรก็ตาม อาสาฬหบูชาครั้งนี้มีขอที่ควรจะเอยถึงเปนพิเศษหนอยหนึ่ง คือวา วันน้ีตองถือวาเปนวันฉลองครบ ๕๐ ปของการเกดิ ขน้ึ แหง พิธอี าสาฬหบชู า หลายทานลมื หมดแลว วันอาสาฬหบูชาเพ่ิงเกิดข้ึนมาได ๕๐ ป ครบครึ่งศตวรรษวันน้ี จะถือเปนวันฉลองก็ได แตไมมีใครคิดฉลองเลย เร่ืองเปนอยา งไร แตกอนนี้เคยเลาใหฟง ดูเหมือนจะเลาหลายครั้งแลววาประเพณีทําบุญบูชานี่ปกติแตเดิมมาเรามีวันเดียว คือวันวิสาข-บูชา คอื วันประสตู ิ ตรสั รู และปรินิพพานของพระพทุ ธเจา แลวเนื่องกันกับวันวิสาขบูชา พอปรินิพพานแลว ก็เลยมีอีกวันหนึ่งพวงมา คือวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ท่ีเรียกวา“วันอฏั ฐมีบชู า” คือวนั แรม ๘ คํ่า ตอจากวนั วสิ าขบชู า โบราณมีแค ๒ วันเทานี้ แตปจจุบันวันอัฏฐมีบูชาแทบไมมีใครรูจักแลว เพราะแทบไมไดจัดกัน ก็เหลือเพียงวันวิสาขบูชาเปนหลักมาตลอด
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๑ วิสาขบูชาน้ี ในประเทศพุทธศาสนาก็มีทุกประเทศ แมวาบางประเทศจะไมไดถือจันทรคติ อยางญี่ปุนเขานับวันวิสาขบูชาตามแบบปฏิทินสุริยคติ คือแบบเดือนมกราคม กุมภาพันธ ฯลฯพฤษภาคม เขาไมไดน บั เดือนหกอยา งเรา ทีนี้ของเราก็มีวิสาขบูชามาตลอด ในสมัยอยุธยาจัดเปนงานใหญ แตพอมารัตนโกสินทรหลังกรุงแตกแลว ชาวพุทธไทยแตกกระสานซานเซ็น ประเพณีก็เลยเสื่อมหาย จนกระทั่งสมเด็จพระสังฆราชมี ในสมัยรัชกาลท่ี ๒ ทรงเสนอฟนฟูข้ึนมา ใหทํากันเปน การใหญ แตกไ็ มไ ดเขม แขง็ มน่ั คงจนกระทง่ั เดี๋ยวนี้ เราตองยอมรับวา วิสาขบูชาของเราไมเขมแข็งม่ันคงเหมือนในศรลี งั กา ทีเ่ ขาสืบทอดมาแตโบราณจนปจจุบัน เขามี ๗วัน ๗ คืน ทาํ กันเปนการใหญม าก เอาละ เปนอันวา ของไทยเราก็มีวิสาขบูชาเปนแกนมาจนกระทั่งถึงรัชกาลที่ ๔ ในหลวงรัชกาลท่ี ๔ ก็ทรงเปนผูนําจัดใหมพี ธิ บี ูชาในวนั เพ็ญเดอื น ๓ ขึน้ ทีเ่ รยี กวา “มาฆบชู า” เวลาผานมาๆ จนกระท่ังถึง พ.ศ. ๒๕๐๐ รัฐบาลไทยไดจัดงานบุญใหญเรียกวา “ฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ” ที่ชาวบานชอบเรยี กวา ฉลองกึ่งพุทธกาล พอทําบุญฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษเสร็จ ทางคณะสงฆตอนน้ันมีการปกครองแบบเกา ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆพ.ศ. ๒๔๘๔ ซึง่ มีคณะสงั ฆมนตรี ตอนน้ันสังฆมนตรีวาการองคการศึกษา ช่ือวาทานเจาคุณพระธรรมโกศาจารย อยูวัดมหาธาตุ ในกรุงเทพฯ แตเปนเจา
๑๒ จักรใด ขับดันยุคไอทีคณะจังหวัดชลบุรี ทานก็เสนอขึ้นมาวา วันท่ีพระพุทธเจาทรงแสดงปฐมเทศนาน้ี นาจะถือเปนเหตุการณสําคัญท่ีควรฉลองหรือทาํ บญุ บูชาดว ย คณะสังฆมนตรีก็เสนอไปยังรัฐบาล ซ่ึงตอนน้ันมีจอมพลป. พิบูลสงคราม เปนนายกรัฐมนตรี รัฐบาลก็เห็นดวย และไดประกาศใหม วี ันสาํ คญั ทางพระพุทธศาสนาเพิ่มข้ึนอีกวันหนึ่ง คือ“วันอาสาฬหบูชา” เปนวันบูชาเน่ืองในการแสดงปฐมเทศนาประกาศธมั มจกั กัปปวตั ตนสูตร นั่นคือ ปถ ัดจาก พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่ฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ ก็เปน พ.ศ. ๒๕๐๑ เม่ือนับมาถึงวนั นก้ี ็จงึ ครบ ๕๐ ป เพราะฉะนั้น วันน้ีจึงเปนวันครบ ๕๐ ปของการมีพิธีอาสาฬหบูชา น่ีกเ็ ลยเลา เปน ความรูใ หญ าติโยมฟงเหตุการณข องวันอาสาฬหบูชา เกิดมาแลว ๒๕๙๕ ป ทีน้ีพอมีเปนหลัก ๓ วันแลว คือ วันวิสาขบูชา มาฆบูชาอาสาฬหบูชา ก็เลยมาคิดกันวา เออ ๓ วันน้ี เรามาเรียกเปนวันพระรตั นตรัย แยกเปนแตล ะวนั ๆ ก็ดนี ะ วันวิสาขบูชาน้ี เปนวันที่พระพุทธเจาประสูติ ตรัสรูปรินิพพาน เปนวันเกี่ยวกับองคพระพุทธเจา เพราะฉะน้ันนาจะเรยี กวาเปน วนั พระพุทธเจา ก็ดูสมเหตสุ มผลดี ทีนี้ก็มาดูวา เออ… วันมาฆบูชาที่พระพุทธเจาทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกขน้ัน ก็เปนการแสดงหลักใหญแหงคําสอนของพระพุทธเจา คือหลักใหญแหงธรรมะ หรือหลักการของ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๓พระพุทธศาสนาท้ังหมด ฉะนั้น นาจะถือวาวันมาฆบูชาเปนวันพระธรรม กเ็ ลยบอกวา ใหว ันมาฆบูชาเปนวันพระธรรม สวนวันอาสาฬหบูชาน่ี พระพุทธเจาทรงแสดงปฐมเทศนาแกเบญจวัคคีย แลวหัวหนาเบญจวัคคีย ช่ือวาโกณฑัญญะ ไดฟงแลวบรรลุธรรม ดังท่ีพระพุทธเจาตรัสวา “อัญญาสิ วต โภโกณฑญั โญ” ทแี่ ปลวา โกณฑัญญะไดรูแลวหนอ ก็เลยเติมชื่อใหทาน เหมือนกับเปนสมญาวา อัญญาโกณฑัญญะ (แตประเทศอ่ืนเขาเรยี ก อัญญาตโกณฑัญญะ เพี้ยนกนั นดิ หนอย) ทีนี้ ทานขอบวช ก็เลยเปนพระภิกษุองคแรก เราก็ถือวาเออ… ในวันอาสาฬหบูชาน่ีเกิดพระภิกษุองคแรก ซ่ึงเปนพระสาวกองคแรกในอริยสงฆนะ ถาอยางนั้นเราก็เรียกวันอาสาฬห-บชู าเปน วันพระสงฆ ดเู ขาเหตุผลดี ก็เลยคลายๆ ตกลงกันมา แตที่จริงก็ไมไดมีการตกลงเปนทางการหรอก แตคลายๆ ถือกันมาวา วันวิสาขบูชาเปนวันพระพุทธเจา วันมาฆบูชาเปนวันพระธรรม วันอาสาฬหบูชาเปนวันพระสงฆ แตวากันไปแลว ที่จริง ตามเหตุการณในพุทธประวัติเองน้ัน วันของอาสาฬหบูชาเกิดกอนวันของมาฆบูชา เพราะวาพระพุทธเจาทรงแสดงปฐมเทศนา ก็คือเทศนครั้งแรก จนกระทั่งมีสาวกองคแรกข้ึนมา ตอนท่ีพระพุทธเจาทรงแสดงโอวาทปาฏิ-โมกขใ นวนั มาฆบชู านนั้ มพี ระสงฆต้งั ๑๒๕๐ รูปแลว ทีน้ีบางทานก็มาคิดวา เอ… วันอาสาฬหบูชาน่ี เปนวันท่ีพระพุทธเจาทรงเทศนคร้ังแรก เปนวันประกาศธรรมะนี่ นาจะ
๑๔ จักรใด ขบั ดันยุคไอทีเปนวันพระธรรม ก็เลยบอกวานาจะเอาวันอาสาฬหบูชาเปนวันพระธรรม ดูมเี หตผุ ลอยู กว็ าไป อยางไรก็ตาม ไมตองไปเถียงกันหรอก อันนี้พระพุทธเจาไมไดท รงวา มาหรอก เรามาวากนั เอง ตกลงกันอยางไรก็ได ใหมันไดความหมายดีก็แลวกัน เม่ือไดความหมายเปนประโยชน มีคณุ คา และใหเกิดผลในการปฏบิ ัติ เอามาใชไดล ะ ก็เปนดีท่ีสุด ทีนี้ เราก็มาถึงวันอาสาฬหบูชาละ จะเรียกเปนวันพระสงฆก็สุดแตเห็นเหมาะ เพราะสอดคลองเขาในชุดอยางที่วามาแลวจะถอื อยา งน้ันก็ถือไป แตถาพูดตามเหตุการณ ก็เรียกวาเปนวันประกาศพระธรรมจักร และแสดงมัชฌิมาปฏิปทา หรือประกาศพระธรรมจักรแสดงทางสายกลาง อันนค้ี อื ตัวเหตกุ ารณที่แท เม่ือก้ีบอกวา วันอาสาฬหบูชาน้ัน มาถึงวันน้ีครบ ๕๐ ปแตเหตุการณของอาสาฬบูชาน้ัน ๒๕๙๕ ปแลวนะ ไมใช ๕๐ ปท่วี า ๕๐ ป คอื พูดตามท่เี ราไดจ ัดไดมีพิธีบูชากันมา
ภาค ๒ จักรตวั ใหม ทข่ี ับดนั ยคุ ไอที --ธรรมจกั รหมุน ทางเปน มชั ฌิมา ถึงพทุ ธศาสนาทันที ทีน้ี ก็มาพูดกันถึงวันอาสาฬหบูชาวา ในวันนั้นพระพุทธเจาทรงแสดงปฐมเทศนา คือเทศนคร้ังแรก เปนการเริ่มประกาศพระพทุ ธศาสนา พระธรรมท่ีเทศนน้ันเปนพระสูตร เรียกวา ธัมมจักกัป-ปวตั ตนสตู ร แปลวา พระสตู รวาดว ยการหมนุ วงลอ แหง ธรรม เรียกกันงายๆ วาเปนวันประกาศพระธรรมจักร คือ ไมจาํ เปน ตอ งเรียกเตม็ วา ธัมมจักกัปปวตั ตนสูตร คําวา “ธรรมจักร” น้ี เปนทั้งเน้ือหาสาระของธัมมจักกัปป-วัตตนสูตร และบางครั้งก็ใชเปนคําเรียกแทนพระสูตรนี้ท้ังสูตรดว ย ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรน้ัน มีสาระสําคัญท่ีขึ้นตนดวยมัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง และทางสายกลางนี่โยงตอ ไปถึงอรยิ สัจ เม่ือพูดถึงทางสายกลางแลว ทางสายกลางน้ันก็นําไปสูอริยสัจแนนอนอยูในตัว ก็เลยไมตองเอยช่ืออริยสัจออกมา พูด
๑๖ จักรใด ขบั ดันยุคไอทีแควาทางสายกลางกพ็ อ เพราะฉะนั้น เม่ือจะพูดใหกะทัดรัด ก็บอกวา วันอาสาฬห-บูชา คือ วันประกาศพระธรรมจักรและแสดงมัชฌิมาปฏิปทาหรือวันประกาศพระธรรมจกั รและชที้ างสายกลาง เรื่องธรรมจักรกับทางสายกลางนี้ เปนเรื่องที่เน่ืองกัน วันน้ีกจ็ ะคุยกับโยมเปนความรเู กรด็ ๆ ไมต องลงลกึ อะไรนัก แตจะรูจักธรรมจักร ก็ตองรูจักจักรกอน เพราะธรรมจักรก็มาจากจักรพอจกั รเกดิ ขึน้ อารยธรรมก็ขยับเคล่อื น “จักร” แปลวาอะไร พอพูดวาจักร เราก็นึกถึงวงกลมๆอะไรเปน จักร มันก็ตองเปนวงกลมๆ และ จักรที่รูจักกันมาแตไหนแตไร ก็คือ ลอ จําพวกลอเกวียน ลอรถ อะไรพวกน้ี นี่แหละจักรของแทแตด ้ังแตเ ดมิ ทีนี้จักร หรือลอนี่ เมื่อเกิดขึ้นมาสมัยกอนนั้น คนต่ืนเตนมาก เพราะนําความสะดวกสบายและความเจริญมาให จนกลายเปนสัญลักษณของความเจริญ ของความกาวหนางอกงามแหงอารยธรรมของมนษุ ย เม่ือมนุษยสามารถเดินทางดวยยานพาหนะ โดยมีลอข้ึนมา ความเจริญก็เกิดข้ึนมากมายและรวดเร็ว ใชภาษาจีนแดงวา แบบกาวกระโดดเลย เฉพาะอยางยิ่งในเรื่องธุรกิจการคา มีกองเกวียนคาราวานไปในแวนแควนประเทศตางๆ สื่อสารกันไปไดทั่วถึง หน่ึงละนะ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๗ดานการคา พาณชิ ย แลวความเจริญก็ตามมากับพาณิชยกรรมนั้น เพราะนอกจากการคาขายแลว วัฒนธรรมและอะไรตออะไรก็ไปดวยไมวาจะเปนการส่ือสาร การถายทอดความรู การเลาเรียนวทิ ยาการตา งๆ ในสมยั โบราณกพ็ ว งไปกับการคา นี่แหละมาก เพราะฉะน้นั ลอ รถจึงเปน เครอ่ื งหมายของความเจริญ หรือเปนสัญลักษณแหงการพฒั นาอยางสูงของอารยธรรม แตไมใชเทาน้ัน เมื่อลอเกิดขึ้นแลว พอรถไปได มันไมแคการคาพาณิชยหรือธุรกิจเทาน้ัน แตมันหมายถึงอํานาจของพระราชาดว ย เพราะวา ตอนนีพ้ ระราชากม็ รี ถศึกแลว ละ แตกอนโนน ตองรบกันดวยชาง ดวยมา ดวยทหารราบตอนน้ีมีรถมาดวย มีรถศึกแลว อยางนอยก็มีรถขนเสบียงและบรรทุกยุทโธปกรณ การศึกสงคราม การแผขยายอํานาจ ก็ย่ิงเกรกิ กอ งเกรียงไกร เพราะฉะนั้น ก็กลายเปนวา การมีลอน่ีเอง ไดทําใหเกิดความเจริญกาวหนาเหลาน้ี ลอก็คือเครื่องหมายของรถน่ันเองเพราะมันหมุนพารถไปใหคนสามารถแผข ยายอาํ นาจได ตอมา “จักร” หรือลอ ก็เลยกลายเปนสัญลักษณแหงอํานาจ หมายถึงการแผขยายไปแหงอํานาจ ลอรถศึกหมุนไปถึงไหน อาณาคืออํานาจปกครองบังคับ ก็แผขยายไปถึงนั่น ก็เลยเกิดคาํ วาอาณาจกั รขึน้ มา “อาณาจักร” ก็คือ ดินแดนท่ีวงลอแหงอํานาจหมุนไปถึงเด๋ียวน้ีเราก็ยังใชอยู เราใชกันโดยไมรูเลยใชไหมวา อาณาจักรก็
๑๘ จกั รใด ขบั ดนั ยคุ ไอทีคือ วงลอแหง อาํ นาจ แตกอนน้ี ลอรถศึกพาอาณาคืออํานาจไป ลอรถไปถึงไหนอํานาจของพระราชาก็ไปถึงน่ัน อาณาจักร ก็คือ ดินแดนที่อยูในอํานาจของพระราชาพระองคน น้ั แลว อันนี้กจ็ ะโยงมาหาธรรมจักรธรรมจักรหมุนมา พาอารยธรรมเขาสูวถิ ี พระพุทธเจาทรงพิจารณาเห็นวา ลอรถที่พาอํานาจไปน้ันบางทีมันพาไปแตความเดือดรอน พาสงครามไป พาการเบียดเบียนไป พาเอาความเดือดรอนไปใหเขา เพราะฉะนั้นควรคิดกนั ใหด ี ควรจะใหว งลอ นเี้ ปนเคร่อื งนําเอาสิ่งท่ีสูงสงกวาน้ันไปดว ย อะไรที่ดีท่ีงามท่ีสูงที่ประเสริฐ น่ันก็คือธรรม เพราะฉะนั้น วงลอ นี้ควรจะนาํ ธรรมะไป น่ีแหละจึงไดเกิดคําวา “ธรรมจักร” ขึน้ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร คือพระสูตรแหงการหมุนวงลอธรรมนี้ จึงเปนพระสูตรที่ปฏิวัติความคิดมนุษย ท่ีประกาศขึ้นมาใหมวา ทานผูย่ิงใหญท้ังหลาย อยามัวคิดแตจะแผขยายอาณาที่กออาชญากันเลย แตจงหันมาแผขยายธรรม คือความดีงามของมนุษยและปญญาท่ีรซู ึ้งเขาถงึ ธรรมชาติกนั เถิด เพราะฉะน้ัน แทนที่จะมีเพียงอาณาจักร ก็ใหมีธรรมจักรดวย พระพุทธเจาทรงแสดงธรรมคร้ังแรก ก็เหมือนทรงหมุนวงลอแหงธรรม ใหว งลอ ธรรมะหมุนพาธรรมนน้ั แผขยายไป เม่ือวงลอแหงธรรมน้ีหมุนไปถึงไหน ดินแดนแหงความรม เย็นเปนสุขดว ยธรรมะ กจ็ ะแผขยายไปถงึ น่นั
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๙ ดังนั้น “ธรรมจักร” จึงมีความหมาย ๒ อยาง เชนเดียวกับอาณาจกั ร หนึ่ง หมายถึงวงลอแหงธรรมที่พระพุทธเจาทรงหมุน คือธรรมะทท่ี รงประกาศ แลว สืบเนอ่ื งจากหนงึ่ วงลอนี้หมุนไปเพ่ืออะไร ก็เพ่ือพาเอาธรรม คอื ความดีงาม ความรม เย็นเปน สขุ แผข ยายออกไป ใหเ กิดมี สอง ดินแดนท่ีวงลอแหงธรรมน้ันหมุนไปถึง ซ่ึงกลายเปนดนิ แดนแหงธรรม เปน อันวา “ธรรมจักร” กเ็ ลยแปลไดว า ๑. วงลอแหงธรรม หรือธรรมดุจวงลอ ท่ีถูกหมุน คือถูกประกาศ ถกู เผยแผส งั่ สอน และ ๒. ดินแดนทวี่ งลอแหง ธรรมหมนุ ไปถงึ หรอื แผไ ปถงึ ธรรมจักร จึงเปนทั้งธรรมท่ีทรงแสดง และเปนท้ังดินแดนแหงธรรม พระพุทธเจาทรงประกาศธรรม ยังธรรมจักรใหหมุนออกไปและทรงสถาปนาธรรมจกั ร ดวยธรรมจักรทห่ี มุนออกไปนน้ั รวมความวา วันอาสาฬหบูชานี้ เปนวันท่ีสําคัญมากเพราะเปนวันแหงธรรมจักร คือวันท่ีพระพุทธเจาทรงประกาศธรรมจักร ซ่ึงเตือนใจเราวา พวกเราชาวพุทธในบัดน้ี ควรพยายามสรางธรรมจักร คือ ดินแดนแหงธรรมใหเกิดขึ้น ใหเรามีครบ ท้งั อาณาจักร และธรรมจกั ร เม่ือมีลอ จึงมีรถ หรือมียานพาหนะ และเม่ือมีรถ มียานพาหนะ ก็ตองมีทางไป และทางน้ันก็จะตองเปนทางที่
๒๐ จักรใด ขับดนั ยุคไอทีถกู ตอง ท่จี ะพาไปดี ไปใหถ ึงที่หมาย ทางไปที่ถูกตอง ซ่ึงพระพุทธเจาทรงช้ีบอก คือทางสายกลาง และธรรมจักรคือลอแหงธรรม ก็หมุนพารถไปตามทางสายกลางน้ี ที่วามาน้ันคือความหมายสําคัญ ท่ีเราจะตองเขาใจ เร่ือง“จักร” ทั้งหลาย จนถึงธรรมจักรน้ี เปนเร่ืองใหญมาก ทั้งสัมพันธกับและสําคัญตออารยธรรมของโลก ต้ังแตอดีตจนถึงปจจุบัน จึงไดบอกวาวนั นจี้ ะเลาเปนเรื่องเกรด็ ๆ ใหโ ยมฟง“จักร” เล็กก็สําคัญ “จักร” ใหญก็อัศจรรย มาดูความหมายของศัพทกอน เม่ือก้ีพูดไปทีหน่ึงแลว“จักร” นี้ ไทยเราใชตามรูปสันสกฤต (จกฺร) แตในภาษาบาลี ทานเขียนสอง ก เปน จกกฺ “จักร” คือวัตถุที่มีรูปทรงเปนมณฑล คือเปนรูปวงกลม แตถาแคเ ปนมณฑล กอ็ าจจะเปน รูปทรงกลมทีอ่ ยูนง่ิ ๆ ทีน้ี จักร น้ัน นอกจากเปนมณฑล มีรูปทรงกลมๆ แลว ยังมีลักษณะอีกอยางหน่ึง คือมันเคลื่อนไหวดวย และการเคลื่อนไหวของมันนั้น มอี าการท่เี ปน วัฏฏะ คอื หมุน หรอื วน เพราะฉะนั้น จักร จึงเปนวงท่ีวน หรือเปนวงกลมที่หมุนไดเปน อันวา จักรมีลักษณะ ๒ อยางทสี่ ําคญั คือ หนึ่ง รูปทรงมันกลมและ สอง มันมีอาการหมุนได รวมแลวก็เปนวงกลมที่หมุน ดังตัวอยางที่รูจักกันดีก็คือ วงลอ หรอื ลอน่ีเอง
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๒๑ วงกลมท่ีหมุนได นี้แหละสําคัญอ ยางยิ่ง มันเป นเครือ่ งหมายของอารยธรรมมนษุ ยต ลอดมา เรียกไดวาทุกยุคสมัยจนกระทั่งปจ จบุ นั น้ี เดิมทีนั้น จักรก็เปนวงกลมธรรมดา อยางลูกตาดําเรานี้ก็เปนวงกลม เปนอักขิมณฑล แตคงจะเปนเพราะมันเคล่ือนไหว(กลอกไปกลอกมา มองกวาดและกราดไปไดท่ัวๆ รอบๆ) ก็เรียกวาจักรอยางหนงึ่ (เปน อักขิจกั ร) น่ีจักรเลก็ แลวก็มีจักรอื่นท่ีใหญขึ้นไปๆ จนถึง “จักรราศี” แลวก็“จกั รวาล” กเ็ ปน จักร จนกระท่ังเขามาในพุทธศาสนาแบบวัชรยาน เกิดเปนวงลอมหึมาแหงกาละ เรียกวา “กาลจักร” ท่ีโยงเขาดวยกันท้ังดานกาละดานเทศะ และดานจิต ที่นับถือเปนตันตระอันยิ่งใหญสืบมาในทิเบต เอาละ นี่เปนดานหนึ่ง ซ่ึงเปนเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ แตไปๆ มาๆ ชักจะเลยไปทางลึกลบั พอแคนก้ี อน ทนี ้ี เรามาดูจักรท่ีเขามาสกู ารใชป ระโยชนข องมนษุ ย“จกั ร” ถงึ มือคน ก็เรม่ิ ตน ผันอารยธรรม ในสมัยพุทธกาล จักรไดถูกนํามาใชในความเปนอยูของมนุษยหลายอยาง อยางหน่ึงที่เดนมากก็คือ แปนหมุนของชางหมอในการปน หมอ ชางหมอ สมัยนั้นเรียกวากุมภการ เวลาปนหมอน้ันเขามีแปนหมุน และเขาก็ปนหมอบนแปนหมุนนั้น ซ่ึงเรียกวาจักร หรือ
๒๒ จักรใด ขับดันยคุ ไอทีเรียกเต็มคําวา “กุมภการจักร” แปลวาจักรของชางหมอ ก็คือแปนหมุนของชางหมอน่ันแหละ เม่ือกอนดินอยูบนแปนหมุนแลวจะทําหมอโดยปนแตงแปลงรูปอยางไรก็งาย เปนเทคโนโลยีพืน้ ฐานสมัยนนั้ เทคโนโลยีประเภทจักรคงจะมีอีกหลายอยาง ดังที่บางทีก็พบในพระไตรปฎก อยางเรื่องในพระวินัยวา สมัยน้ัน ภิกษุทั้งหลายใชเถาวัลยบาง ประคดเอวบาง ผูกภาชนะตักน้ํา ตอมาพระพุทธเจาไดทรงอนุญาตอุปกรณตางๆ จนถึงคันโพง ระหัดและจักรผันนํ้า ท่ีทานเรียกวา “จักรวัฏก” (วินย.๗/๙๕/๓๖, คําบาลีวาจกฺกวฏฏก, กลับกันกับท่ีไทยเราบัญญัติศัพทข้ึนมาใชวา วัฏจักรซง่ึ มีความหมายอยางอน่ื และไมม ใี นภาษาบาลี) เรื่องเกาๆ แบบน้ี พอละ คนสมัยน้ีไมรูจักชางปนหมอแลวจักรวัฏก กไ็ มท นั เห็น เอาจักรที่มีมาถึงปจจุบันน้ี ก็คือลอรถ ลอเกวียน เปนเทคโนโลยีทมี่ อี ายุยืนยาวทีส่ ดุ แมจะแปลงรปู มาเรอื่ ยๆ อยางท่ีวาเมื่อก้ี เมื่อมีลอเกิดข้ึน ลอก็หมุนพาเกวียนไป พารถไป ทําใหการเกษตรเจริญขยายกวางถึงกัน ทําใหการคาพาณิชยรงุ เรือง ทาํ ใหก ารเมอื งการทหารแผอํานาจรุกไปฉับไวเร็วไกล เขา สยู คุ ทคี่ นสอ่ื สารคมนาคมกันไดกวางไกลไพศาล เรียกวาเปน ความเจริญของอารยธรรม เพราะฉะน้ัน จักรจึงเปนเครื่องหมายของความเจริญแหงอารยธรรมมนุษย อยางที่บอกไปแลว ที่เดนก็คือ ทางดานอํานาจและความเจริญทั้งดานการเมืองและในเรื่องบานเมือง จักรก็เขา
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๒๓มาอยูในคาํ สําคัญ ท่เี รียกวา “อาณาจกั ร” คําวา “จักร” นี้ ตามศัพท ทานแปลวา “สิ่งท่ีบดแผนดินไป”คือเวลามันหมุนไป มันก็บดผืนแผนดินไป เปนความหมายในเชิงแสดงอํานาจ ใชกําลงั กด ขม หรอื ทาํ ลาย จากลอรถ จักรก็มาเปนอาวุธของเทพเจาผูยิ่งใหญ คือพระนารายณ เรียกวา จกั ราวุธ พระนารายณม จี กั รเปนอาวุธ จักราวธุ ของพระนารายณน้ันเปนวงกลมท่ีมีขอบเปนจักๆ นี่คือ วงจักรบาลีสันสกฤต มามีจักไทยเปน ขอบ รวมกันนะ อยาเพ่ิงงง พูดอีกทีวา จักรที่มีขอบเปนจักๆ นี้ มาเปนอาวุธของพระนารายณ พระนารายณพิโรธ ไมพอพระทัยใคร ก็ขวางเปร้ียงไปตดั คอเลย นเี่ ปน เครอ่ื งหมายของอํานาจชัดเลย แลวก็มีการลงโทษชนิดหนึ่งในแดนของเปรต ซ่ึงใชจักรหมนุ บดบนศีรษะ รวมแลวก็เปนท้ังการมองและการใชจักร ในฐานะเปนเครื่องมือของอํานาจและความรุนแรง เปนเรื่องของอาณา แลวก็อาชญา พระพุทธเจาทรงมองเห็นวา จักรนั้นคนเอามาใชกันมุงไปแตใ นเรื่องของอํานาจ เรื่องความรุนแรง มีการเบียดเบียนกันมากไมเปนการสรางสรรคท่ีแทจริง ควรจะนํามาใชในทางของความดีงาม การแสวงปญญา และการพัฒนามนุษย หรือพูดสั้นๆ วา ใชในเรือ่ งของ “ธรรม” คําศัพทใ หม และความคิดใหมวา “ธรรมจักร” จึงเกิดขึ้นมา
๒๔ จกั รใด ขับดันยคุ ไอทีอยางทวี่ าเม่ือก้ี เพราะฉะน้ัน เราจะตอ งเขาใจถงึ ความสําคัญของธรรมจักรโดยเฉพาะตองจับแนวคิดใหมนี้ใหได เพ่ือจะเปล่ียนแปลงหันเหแนวทางของอารยธรรมมนุษย เอาละ ขอผา นไป“จกั ร” ขบั เคลอื่ นอารยธรรม สยู ุคใหมแหงอตุ สาหกรรม เปนอันวา ในอดีตตอนนี้ จักรไดนํามนุษยเขาสูขั้นตอนแรกท่ีสําคัญของอารยธรรม ทําใหมีรถ มียานพาหนะ ท่ีจะเดินทางไปไดไกลๆ ท้ังในการคาพาณิชย เร่ืองธุรกิจ วัฒนธรรม และการแผอํานาจ แตก็ยังเรยี กกนั วา เปน ยุคเกษตรกรรม ตอมา มนุษยก็กาวเขาสูยุคใหมถัดตอมา ที่เรียกวา “ยุคอุตสาหกรรม” และกาวที่วานั้นก็ตองอาศัยจักรน่ีแหละเปนตัวขบั เคลือ่ น คราวนี้ นอกจากจักรท่ีพารถไปบนถนนในท่ีแจงแลว ก็เกิดจักรในรูปแบบหลากหลายขึ้นมา เปนสวนประกอบท่ีซับซอนในโรงงาน และในเครื่องยนตท้ังหลาย ไมวาจะเปนกงจักร ลูกโมรอก มอเตอร กงั หัน ฯลฯ คราวนี้จักรแบบพระนารายณ คือจักรท่ีมีขอบรอบตัวเปนจักๆ หรือหยักๆ ก็ไดเขามามีบทบาทในเคร่ืองจักรเครื่องยนตอยางมาก เรียกกันวา เฟอง หรือฟนเฟอง ซ่ึงไดกลายเปนสัญลักษณอยางหนึ่งของอุตสาหกรรม บางทีก็เปนสัญลักษณของวิชาวิศวกรรม จําพวกทีเ่ รยี กไดวา จกั รยนตรศาสตร เปนอันวา เร่ืองวงกลมนี้สําคัญมาก วงกลมท่ีหมุนนี่แหละ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๒๕เปนตัวแกนเลย ถาไมมีวงจักรวงกลมอันนี้ อุตสาหกรรมก็คงไมไปไหน พูดไดวา ยุคอุตสาหกรรมกาวมาไดดวยมีวงกลมที่หมุนคือจักรน้ีเปนตัวขับเคลื่อน ท้ังจักรขอบเรียบ และจักรมีหยักท่ีขอบหรอื ท่ีขอบเปน จกั ๆ วงกลมที่หมุนอันนี้ ซึ่งตอนนี้อาจจะมีรูปแปลกๆ ใหมๆ ก็ขับเคลื่อนความเจริญมาจนกระทั่งใหมนุษยเดินทางไปไดแมแตในอวกาศ เครื่องบินที่เปนผลผลิตแหงความเจริญอยางสูงของยุคอุตสาหกรรม ก็มาผลักดันความเจริญทางดานการส่ือสารคมนาคม ไตมาตงั้ แตเ คร่อื งยนตใบพดั จนมาเปน turbojet เทอรโบเจตน้ีก็จักรอีกนั่นแหละ คือ แวนวงกลมแหวะเปนใบพัดท่ีจะหมุนอัดแกสไอนํ้ามันเพ่ิมแรงพุงขับเคล่ือนเคร่ืองยนตไป เปน เครือ่ งบนิ ไอพน ไปจนถงึ ยานอวกาศ“จกั ร” พาอารยธรรม กาวข้นึ ยุคใหมท ช่ี อื่ ไอที อุตสาหกรรมเจริญเร่ือยมาจนกระท่ังเวลาน้ี ที่บอกกันวาเรากาวผานพนยุคอุตสาหกรรมแลว มนุษยเจริญเขาสูยุคท่ีเรียกวา “ไอที” เปนยุคของเทคโนโลยีดานขอมูลขาวสาร บางทีเรยี กใหโ กขึ้นอกี หนอยวา เทคโนโลยีสารสนเทศ ตัวเอกของยุคไอที ก็คือคอมพิวเตอร จนบางที แทนท่ีจะเรียกวายุคไอที ก็เรียกงายๆ วา ยุคคอมพิวเตอร ในคอมพิวเตอรน้ัน ก็รูกันวาตัวทํางานคือ CPU (central
๒๖ จักรใด ขบั ดันยคุ ไอทีprocessing unit) แตคอมพิวเตอร ถามี CPU อยางเดียว ก็อยูท่ีนั่นแหละ ไมไปไหน เหมือนคนมีแตสมอง พาไปไหนไมได คงจะคลายกับรถยนต ท่ีมีตัวทํางานคือเครื่องยนต ซ่ึงมักอยูในสวนหนาของรถแตถึงจะมีเคร่ืองยนตดีพรอมอยางไร ถาไมมีลอ มันก็ทําหนาที่เปน รถไปไมไ ด หรอื เหมือนเครื่องบินที่มีเครื่องยนต แตไมมีใบพัดไมม ไี อพน ก็ไมไ ปไหน เรามักจะลืมวา กงลอท่ีพาเรากาวไปสูความเจริญในยุคนี้ก็คือจกั รเหมือนกนั จกั รตวั น้ีเขาเรียกกนั วา disc หรือ disk ถึงตัว CPU เอง ก็ทํางานเปนจักรเหมือนกัน แตเปนจักรทางอิเลก็ ทรอนิกส คือนับจํานวน cycles เปน “จักร” ทตี่ ามองไมเห็น หันมาดู Disk ดิสกน้ี ก็คือวงกลม หรือจานกลมๆ ท่ีใชกับเคร่ืองคอมพิวเตอร ตอนแรกมีแต diskette หรือ floppy diskและ hard disk ท่ีพวกโปรแกรมสําคัญท้ังหลาย ต้ังแต วินโดวสออฟฟซ จนถึงพวก Web browsers มาเขาประจําที่ในการทํางานขับเคล่ือน แลวตอมาก็มี CD ท่ียอจาก Compact Discและ DVD คือ Digital Video Disc มาเสรมิ ชวย ก็ disk ท้ังน้นั“จกั ร” บอกความเปน ญาติมิตร วาลกึ ลงไปยงั ม่นั ขอแทรกหนอย ไดลองไปดูในภาษามลายูวา ชาวมลายูเรียกdisk เหลา นว้ี า อยา งไร ปรากฏวา เขาเรียกdisk ทกุ อยา งเปน “จักร”ท้งั นั้น เริ่มดวย floppy disk เขาเรียกวา จักระ-Felopi, hard disk
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๒๗เรียกวา จักระ- Keras, CD และ DVD เรียกวา จักระ- Padat น่ีแสดงวา วัฒนธรรมศรีวิชัยฝงลึกมากในดินแดนมลายูพระพุทธศาสนาเจริญอยูในอาณาจักรศรีวิชัยท่ียิ่งใหญคอนพันป(ตอนเจริญมาก แผคลุมอินโดนีเซีย ตลอดมาเลเซีย ขึ้นมาถึงภาคใตของประเทศไทย อยางนอยถึงสุราษฎรธานี) ภาษาสันสกฤตจงึ เขา ไปอยูในภาษามลายมู ากมาย เคยบอกญาติโยมและเด็กๆ วา ลองไปสืบคนซิวา ในภาษาไทย กบั ในภาษามลายู รวมทั้งภาษายาวที ่พี ดู กันในภาคใตของเรา อันไหนจะมีภาษาบาลีสันสกฤตปะปนอยูมากกวากัน(ในภาษายาวีนี้ ก็ตง้ั แตคําบอกชอ่ื กนั วา “นามา สะยะ …”) การท่ีชาวมลายูรับเอาภาษาสันสกฤตเขาไปในภาษาของตนนน้ั กเ็ นอื่ งมาจากการนับถือพระพุทธศาสนา เปนการต้ังใจรับเอาไปใชจนถึงข้ันเปนคานิยม โดยวิถีของศาสนาและการศึกษาตลอดจนแมแตวิถีชีวิตในครอบครัว เชน ชอบตั้งช่ือลูกเปนภาษาสนั สกฤต การท่ีภาษาหน่ึงจะรับเอาอีกภาษาหนึ่งเขามาใชเปนภาษาของตนดวย ถาไมใชมาจากความนิยมนับถือในทางพระศาสนาและการศกึ ษาอยา งที่วา น้นั แลว จะติดตอคาขายกัน จะคบหากันถงึ สมั ผัสกนั แสนนานกเ็ ขาไดน อย ดูอยางภาษาจีนสิ คนไทย-คนจีนคบกันถึงไหน นานเทาไรแตภาษาไทยมีคําจีนท่ีรับเขามาใชไมก่ีคํา และก็มีแคคําชาวบานอยางเรือ “สําปน” (คนไทยบางคนก็อาจจะไมยอม แลวก็บอกวาเรียกตรงกนั เอง)
๒๘ จกั รใด ขับดนั ยุคไอที ย่ิงภาษาสันสกฤตดวยแลว (ภาษาบาลีก็เชนกัน) ไมใชภาษาท่ีพอคาและชาวบานจะใชพูดจาสื่อสารกันเลย แมแตในอินเดียหรือชมพูทวีปเอง สันสกฤตก็เปนภาษาช้ันสูง ใชแตในศาสนาและวรรณคดีเทานั้น คนอินเดียมาคาขายท่ีสุมาตรา ชวา และมะละกา ไมไดพ ูดสนั สกฤต แตส นั สกฤต มากับพระพุทธศาสนา กลายเปน วา คนมลายแู ละคนไทยใชภ าษาช้ันสูงของชมพู-ทวปี ซ่ึงไมใ ชภาษาของสามญั ชนคนอนิ เดยี ทว่ั ไป คําสําคัญๆ ชาวมลายูยังนิยมหาคําสันสกฤตมาใช เชน“ภูมิปุตระ” ใชกันเปนคําทางการ โดยชาวมลายูทั้งในอินโดนีเซียและในมาเลเซีย (“ภูมิปุตระ”หรือ “ภูมิปุตรา” เปนคําแสดงสถานะที่ชื่นใจอยูในกฎหมายของมาเลเซีย เวลาเขียนดวยตัวอักษรฝร่ังเขาสะกดเพีย้ นนิดหนอ ยเปน bumiputra บา ง bumiputera บา ง) ในอินโดนีเซีย ชาวมลายูที่น่ัน ถึงแมปจจุบันตัวเองจะเปนมุสลิม แตจะเปนเพราะยังภูมิใจในอารยธรรมศรีวิชัยของบรรพบุรุษที่เปนชาวพุทธ หรืออยางไรก็แลวแต ดูเหมือนวาจะนิยมใชคําที่มาจากสันสกฤตมากเปนพิเศษ ดังท่ีพระสงฆไทยผูไปอยูท่ีน่ันเลาวา ถึงจะเปนมุสลิม พอมีบุตร ก็มีผูมาขอช่ือบาลีสันสกฤตจากพระ รถยนตเกาหลีใต ยี่หอ Hyundai รุน Elantra เขาไปขายในอินโดนีเซีย ตั้งช่ือใหเขากับคานิยมทางภาษาท่ีน่ันวา “พิมันตระจกั ระ” (Bimantara Cakra) เอาละ กลบั มาวา เรอื่ งคอมพวิ เตอรจ ักรกันตอ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๒๙“จักร”จะหมนุ ไปทางไหนอยทู ่คี นเปนเสรที าสหรือเสรไี ท เจาจักรประเภท disk พวกนี้แหละท่ีเปนพาหะของความเจริญยุคไอที เราก็อาศัยเจาจักรใหมหรือคอมพิวเตอรจักรน้ันหมุนพาเราทอ งเท่ยี วไปใน space ใหม ทีเ่ รียกวา cyberspace Cyberspace น่ีเปนอวกาศทางความคิด หรือเปนอวกาศแหงจินตนาการ ไมใชอวกาศท่ีแทจริง และเราก็อาศัยเจา diskพวกนี้พาเราไป เราก็ทองเที่ยวไปกับมัน โดยท่ีบางทีเราก็ไมรูวามันเปน ตัวขบั เคลอื่ นท่ีสําคญั ไมเหน็ คุณคา ของมนั เทาไรนัก เรามี Internet เปนเครือขายท่ีเช่ือมตอถึงกันท่ัวท้ังโลกแลวก็อยางท่ีวา เราก็ใชคอมพิวเตอรจักรทองเท่ียวไปในcyberspace จะดูจะหาจะคนควาอะไร จะติดตอพูดจาสื่อหากันก็งา ยและสะดวกไปหมด แถมมีอะไรแปลกๆ ใหไดรูไดเห็นเยอะแยะแลวเรากส็ นกุ สนานกันใหญ บางทีก็เลยมัวแตเพลดิ เพลิน ท่ีหนกั นัก กถ็ ึงข้ันลุมหลง ติดอยูนั่น เรื่องอื่นๆ แมจะสําคัญก็ปลอยเร่อื ยเปอ ย เวลาผานไปๆ ไมค ดิ ทําอะไร แมแ ตหนาท่ีการงานการเลาเรียนศึกษาของตัว ก็ละเลยจนเส่ือมเสีย ท่ีถึงกับชักพากันออกนอกลูนอกทาง เสยี หายเสียคนไปเลย ก็มไี มนอย คิดกันใหดี หันหนายอนไปมอง ก็จะพบวา พระพุทธเจาไดตรสั ไวแ ลว เร่อื งจักรน่ี มันเปนวงลอ ทีห่ มุนพาเราไป แตท่ีจริงก็ตัวเราน่ีแหละ ที่จะใหมันหมุนไปทางไหน ถาไมใชใ หดี ไมด ูทศิ ดูทาง เราอาจจะไปทางผดิ เมื่อกี้นี้ ไดบอกแลววา พระพุทธเจาทรงเตือนไวใหเราเดินไปในทางท่ีถูกตอง เพราะพระองคทรงเห็นแลววาคนเดินทางผิด
๓๐ จักรใด ขับดันยุคไอทีกันมาก ทางท่ถี กู ตอง คือทางสายกลาง ทางผิดนั้น เรียกวาทางสุดโตง มี ๒ ทาง ทางสุดโตงซายกับทางสุดโตงขวา ทางหน่ึงไปแลวตกหลุม ตกเหวตาย อีกทางหน่ึงไปแลวก็วนเวียนอยูนั่น ไมไปไหน เพราะวนเวียนแลว ไมออกไป หาทางออกไมได ก็จน กจ็ ม กจ็ บอยูใ นนัน้ สองทางผิดที่พระพุทธเจาทรงบอกใหหลีกเสีย ไมใหไปน้ันไมวามนษุ ยใ นยคุ สมยั ไหนก็สามารถพลาดไปไดท ั้งนนั้ ท่ีเปนกันมาแลวก็ตามที่เปนกันอยูก็ตาม วิถีชีวิตของมนุษยและการทํากิจกรรมดําเนินกิจการท้ังหลาย แมแตอารยธรรมของมนุษยก็อยางนี้ทั้งน้ัน เมื่อไมเขาสูวิถีท่ีถูกตองเปนทางสายกลางก็แลนไปในทางสุดโตง เปนทางซายบาง ทางขวาบาง ไมหมกอยูในกามสุขลั ลกิ านุโยค กไ็ ถลเลยเถิดไปอตั ตกิลมถานุโยค ดังเชน ในรัฐอยางหน่ึง หรือสังคมแบบหน่ึง ก็มุงไปในทางของการเสพบริโภคเสรี ปลอยตามใจอยากกันเต็มที่ ใครจะเปนทาสกาม เปนทาสกินอยา งไร กเ็ ปนทาสของตณั หาไดอยางเสรี ขณะท่ีในรัฐอีกอยางหนึ่ง หรือสังคมอีกแบบหนึ่ง ก็จะบังคับจะกําหนดใหตองทํา ตองเปนอยูอยางนั้นๆ หามคิด หามพูดขัดแยงหรือแตกตางออกมา ใหเปนทาสแหงวิหิงสากันอยางเต็มที่ วิถีชีวิต และวิถีสังคม ท่ีสุดโตง พวกเชิดตัณหา กับพวกชูวิหิงสา ตางผงาด เผชิญหนา และผจญกัน ปดกั้นวิถีมัชฌิมา ทําทาจะพาทั้งอารยธรรมของมนุษยแ ละโลกแหง ธรรมชาติไปสอู วสาน
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๓๑“จกั ร” หมุนอยา งไร “เครือขา ย” จงึ กลายเปน “ตาขา ย” เวลานี้เราไดจักรคือ disks ทั้งหลาย มาพาเราทองเที่ยวไปใน cyberspace โดยอาศัยเครอื ขา ย Internet ที่เชื่อมตอทุกสวนทุกถิ่นแดนของโลกใหถึงกันไดหมดน้ี ถาเราไปถูกทาง ก็จะพาชีวิต สังคม ท้ังโลก และอารยธรรม ใหเจริญ รุงเรือง งดงาม เปนสุข สดใส แตถาไปผิดทาง อารยธรรมแทนที่จะวิวัฒน ก็คงจะเปลี่ยนเปนวิบตั ิ หรืออาจจะยิ่งกวาน้นั คอื วนิ าศ เราไดฉ กุ คดิ หรอื ย้ังใจพจิ ารณากนั บา งไหมวา ที่เราเปนกันอยู ทําอะไรกันอยูนี้ ชีวิตของเรา สังคมของเรา เดินทางถูกตองหรือเปลา ทางท่ีเรากําลังเดินไปน้ี เปนทางท่ีจะไปตกหลุมตกเหวอยา งทวี่ า หรือเปนทางทจ่ี ะไปวนเวียนติดตนั หรอื เปลา บอกแลววา cyberspace เปนอวกาศในความคิด ไมใชของจริง จึงเขาทางของจินตนาการ แลวจินตนาการนี่ ถาไมประกอบดวยปญญา ก็เปนจินตนาการแหงความเพอฝน นําไปสูความลุมหลง เพลิดเพลิน มัวเมา ไมพัฒนาชีวิตของตน ใชเวลาของชีวิตใหเสียไปเปลา บางทีก็ตกเปนเหยื่อของผูที่มาหาผลประโยชนโดยไมรูตัว อาจจะถึงกับทําลายชีวิต ทําลายความเจริญกาวหนา ทาํ ลายอนาคตของตนเอง ไมเพียงเบียดเบียนและทําลายตัวเองเทาน้ัน ยังเอาความประมาทและความลุมหลงมัวเมาของตนเองนั้น ไปบ่ันทอนทาํ ลายคนอน่ื และทําสงั คมใหเ สื่อมโทรมดวย แทนท่ีจะเอาส่ิงเหลาน้ีมาใชเปนเครื่องมือพัฒนาชีวิตพัฒนาสังคม ก็กลับเอามันมาทําการราย ฉุดกระชากชีวิตของตัว
๓๒ จักรใด ขบั ดันยุคไอทีลงไปใหตกตาํ่ และดึงสังคมลงสอู บาย เวลานี้เรากําลังประสบปญหาหนัก คือการที่ไดกงลอวงจักรตัวใหมมา แตคนมากมายเอามันมาหมุนพาตัวไปผิดทางเขาทางสุดโตงไป เพราะฉะนั้น เม่ือถึงวันอาสาฬหบูชา ก็คือถึงเวลาท่ีเราจะตองมาคิดเร่ืองนี้กันใหจริงจังและชัดเจน เพราะวา วันอาสาฬห-บูชา อันเปนวันประกาศพระธรรมจักรและแสดงทางสายกลางน้ัน ก็คือวันท่ีเตือนใจเราใหมาพิจารณาวา การดําเนินชีวิต การประกอบกิจกรรม และกระบวนการพัฒนาท้ังหลายแมแตอารย-ธรรมของเรานี้ กําลังมุงหนาไปในทิศทางท่ีถูกตองหรือไม เราจะตองมีจิตสํานึกตระหนักรูตัว เริ่มต้ังแตมีสติท่ีจะเตือนตนเอง และใชวิจารณปญญา สํารวจตรวจตราใหรูวา อะไรผิด อะไรถูก อะไรเปนโทษ อะไรเปนคุณประโยชนท่ีแทจริง มิใหเคร่ืองมือสรางสรรคความดีงามและความเจริญ กลายเปนสื่อท่ีชักนาํ เอามาซึง่ ความชั่วรา ยและความเส่อื มเสียหาย มิฉะนั้น ระบบ Internet ที่เปน “เครือขาย” ซึ่งเช่ือมตอใหหมูมนุษยติดตอถึงกัน ก็อาจจะกลายเปน “ตาขาย” ที่ดักคนใหตรึงติดนงุ นังอยกู ับมนั แลวการณก็ปรากฏวา เวลาน้ี เครือขายชักจะกลายเปนตาขายไปจริงๆ เสียดวย คนจํานวนมากเอาจักรหมุนพาตัวไปติดในตาขายนี้ แลว กด็ น้ิ ไมหลดุ บางก็พาตัวไปเจอภัย แลวก็จบลงดวยความทกุ ขเปน รายการสุดทาย
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๓ ระหวางน้ี กอนจะดับ ก็ด้ินสนุกกันไปอยางไรสติ ด้ินไปด้ินมาไมร วู า ตัวเองนั้น ที่จริงกําลงั เอาตาขา ยพนั ตวั เหมือนรางแหดักปลาใหเขาไปติด ตอนแรกปลานึกวาจะไดกินเหยื่ออรอย พอเจอตาขายดัก ก็ด้ินรน ดิ้นไปดิ้นมา ก็ถูกแหพันแลว กร็ ดั แลว กต็ ิดแนน เลยโดนเขาจบั เอามาใสห มอ แกง กจ็ บกนั“จกั ร” น้นั ไซร ไฉนตองหมุนไปในทางสายกลาง เพราะฉะน้ัน จึงควรคิดกันใหดี ในท่ีสุด ที่วาเจริญกันนักหนานั้น ก็ไปไมถึงไหน ถึงจะมีจักรตัวใหม แตตัวเราคือคนที่ใชจักรน้ัน ก็เปนคนอยางเกาท่ีไมคอยไดพัฒนา พอไดจักร ก็เอามาหมุนพาตัวไปไดแคเขาในทางสุดโตง ไมขวาก็ซาย ไมซายก็ขวา เวยี นอยูเทาเดิม พระพุทธเจาทรงมาเตือนวา จักรน้ี ที่ยังก้ําก่ึงอยู ไมรูวาจะเอาไปหมุนเขาทางดีหรือทางรายน้ัน ใหเราจัดการใหมีเครื่องกํากับท่ีแนชัดลงไปเสียวาจะหมุนเขาในทางท่ีถูกตอง คือใหเปนธรรมจักร หรือมฉิ ะนน้ั กใ็ หมีธรรมจกั รไปรว มเปนลอ นาํ จักรอ่นื ถาไดธรรมจักรมาใสแลว รถหรือยานพาหนะน้ัน ก็จะกลายเปนธรรมยาน หรือธรรมรถ ซึ่งแนนอนวาจะพาเราเดินไปในทางสายกลาง ที่เรียกวา “มัชฌมิ าปฏปิ ทา” ทางสายกลาง หมายถึงทางท่ีถูก ซ่ึงจะนําไปใหถึงจุดหมายมนุษยจะทําอะไรก็ยอมมีจุดหมาย ถาพูดรวมๆ ในระดับโลก ก็คือจุดหมายของอารยธรรม ซ่ึงแนละ ก็ตองเปนจุดหมายท่ีดี ท่ีเย่ียมยอด เชน มุงใหเกิดสันติสุขแกมวลมนุษย และเมื่อมี
๓๔ จกั รใด ขบั ดันยุคไอทีจุดหมายแลว ก็ตองมีวิถีทางที่จะไปใหลุถึงจุดหมายนั้น แลวทางทจี่ ะไปถึงจุดหมายน้ันแหละ เรยี กวา “ทางสายกลาง” ทําไมทางท่ีจะนําไปใหถึงจุดหมายนั้น จึงมีช่ือวาเปนทางสายกลาง เพื่อรวบรัด ขอพูดแบบเขาใจกันงายๆ วา เหมือนอยางคนมากมายมายิงลูกศรไปท่ีเปา ลูกศรที่ไมถูกเปา จะพลาดออกไปขางๆ ทั้งหมด จะเปนขางซาย ขางขวา หรือขางไหนก็ตาม ก็คือไมถูก สวนลูกศรทถ่ี กู เปา ก็คอื ลูกทว่ี ิง่ ไปตรงกลาง อยตู รงกลาง ทางก็เหมือนกัน ทางท่ีผิดก็เฉออกขาง แตทางท่ีถูกจะแลนตรงไปเขาจุดกลาง ทีนี้ ขอท่ีสําคัญมากก็คือ จะเขาทางที่ถูกตอง จับจุดกลางใหพุงตรงไปสูจุดหมายได ก็ตองมีปญญา ต้ังแตรูจุดหมายน้ันจบั ทิศทางไดช ัด รูเขาใจกระบวนการ รูสภาพแวดลอมและอะไรๆที่เกี่ยวของซ่ึงจะตองหลีกหลบพบผาน รูท่ีจะนํารถหรือยานไปใหถึงจุดหมาย เพราะฉะนั้น ทานจึงพูดส้ันๆ วา ทางสายกลางมีปญญาเปนตัวนํา เรียกวาสัมมาทิฏฐิ แปลกันวาปญญาเห็นชอบ หรือเขา ใจถูกตอ ง แลวก็แนละ เหมือนคนขับรถท่ีอาศัยลอทั้งหลาย ตองมีสติทั้งน้นั สติตอ งอยกู ับตัวตลอดเวลา ต้ังตน แตไมเ ผลอลืมจุดหมาย เพราะฉะน้ัน เมื่อเอาคอมพิวเตอรจักรหมุนพาเราเขาสูเครือขาย Internet จะทองเที่ยวไปใน cyberspace ก็เอาธรรมจักรมาหมนุ นาํ เลย
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๕ ตอนน้ี ท้ังปญญาก็ชัดในวัตถุประสงค มองเห็นโลงประดาเรอ่ื งราวขอ มูลท่ีสนองจดุ หมาย ทั้งสติก็อยูกํากับคอยกันขยะหรือเรื่องเหลวไหลออกไป ไมท้ิงไมพลาดขอมูลท่ีเขาเรื่อง ไมเผลอ ไมเขวหรือไถลออกนอกทาง“จักร” จะขบั เคลือ่ นอารยธรรมได ตอ งหมนุ ไปดวยปญญา ที่จริงนั้น ประดิษฐกรรมทั้งหลายเกิดมีข้ึน ก็เพื่อประโยชนแกชีวิตและสังคม แลวเราจะใชมันเพื่อประโยชนแกชีวิตอยางไรใชเ พือ่ ประโยชนแกสังคมอยางไร เอาเลย สืบคนเสาะหาส่ือสารกันเพ่ือขอมูลขาวสารท่ีใหเกิดการศึกษา ที่สงเสริมการทําหนาท่ีการงาน ที่เอื้อตอการสรางสรรค ท่ีนําไปสูการพัฒนาชีวิต พัฒนาสังคม ท้ังใชจักรน้ันดวยปญญา และใชมันเพ่ือพัฒนาปญญา อยางน้ีละก็กาวไปไดในทางสายกลาง จะมีแตค วามเจริญพัฒนา แตถาใชมันเพียงเพื่อสนองความอยากเสพ ความใฝบริโภค หาชองทางบําเรอปรนเปรอ เอาแตความสนุกสนานเพลิดเพลิน นั่นก็คือการที่เราอยูในเสนทางสายท่ีวนเวียนติดจมอยางนอยก็ใชเวลาใหหมดไปเปลา ความเจริญพัฒนาก็ไมอาจจะเกิดข้นึ ได ที่รายกวาน้ันก็คือ พวกที่ใชจักรหมุนหาผลประโยชนใหแกตัวในแดน cyberspace น้ัน บางคนก็ใชทุกวิธีท่ีจะเอาคนอื่นเปนเหย่ือ มีการหลอกลวงสารพัตร บางก็หมุนจักรไปเพียงเพ่ือหาชองทางทํารายผูอื่นพวกอ่ืนและทําการรายตางๆ รวมท้ังประดา
๓๖ จักรใด ขับดนั ยุคไอทีอาชญากรรม นี่คือทางสุดโตงท่ีพากันไปตกหลุม ตกเหว พาชีวิตและสงั คมใหเ ดอื ดรอน ถา หนกั นักก็อาจถึงกับพินาศแหลกลาญ เปนอันวา มาถึงยุคน้ีที่เจริญนักหนา เราก็กาวกันไปดวยวงกลมที่เรียกวาจักรนี่แหละ เพียงแตวาในยุคนี้เราเดินทางไปในขอบเขตท่ีกวางขวางมากข้ึน เปนโลกาภิวัตน ท่ัวโลก ท่ัวจักรวาลและเขาสูแดนที่เปนนามธรรมมากข้ึน อยางที่วาเรามีโลก มีจกั รวาลแหง จนิ ตนาการ ท่ีจริง เม่ืออยูในแดนแหงความคิด หรือแดนแหงจินตนาการ คนจะตองเปนมนุษยที่พัฒนาอยางมาก จึงจะทันกันหรือเหมาะกัน เฉพาะอยางย่ิงควรมีการพัฒนาทางธรรมทางปญ ญาอยา งสูง ถาไดแคสนุกสนานเสพบริโภคหลงไหลเพลิดเพลิน และแยงชงิ หาผลประโยชนกัน กไ็ มรูจะเจริญไปทาํ ไม ก็รูกันอยูแลว ความลุมหลงเพลิดเพลินนี้คือโมหะ เปนอวิชชา แลวก็ตามมาดวยโลภะ และโทสะ ท่ีจะนําไปสูการเบียดเบียนกัน สูความทุกขและความพินาศ หมุนกล้ิงกันไปในสังสาร-จักร จมด่ิงลงไปในภวจักร ไมเห็นจะเปนอารยธรรมที่ไหนมนุษยก็ยํ่าเทาเวียนวนอยูกับสภาพเกา ไมกาวไปในอะไรท่ีดีจริงเลย ถามัวประมาทกันอยู คนเอาแตเสพผลของการพัฒนาในอารยธรรมท่ีผานมา โดยไมพัฒนาตัวคนเอง อารยธรรมก็จะกินตวั กรอ นลงไปๆ ความเสอื่ มสลายก็มาถึงเอง มาเขาทางสายกลางกัน แลวจะไดพาอารยธรรมกาวไป
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๗ดว ย พูดมาเสยี ยาว ท่ีจรงิ วนั นคี้ วรจะพดู กนั นดิ เดยี ว ขอทวนนิดหนึ่งวา องคประกอบอยางแรกอันสําคัญที่พระพุทธเจาตรัสบอกไวในทางสายกลาง ก็คือ ใหมีสัมมาทิฏฐิเปนตัวนํา มีความรูเทาทัน มีความรูเขาใจใชปญญาและแสวงปญ ญา แมแตจะซ้ือคอมพิวเตอรเคร่ืองหนึ่ง ก็ตองวางแผนกอนเร่ิมตนก็มีสติถามตัวเองวา เราจะมีจะใชมันเพื่ออะไรบาง ถาจะคํานึงถึงความสนุกสนานเพลิดเพลิน ก็ตองรูวาน่ันเปนเพียงสวนขางเคียง สวนเสริม สวนพวงหรือแถม แตจุดหมายท่ีแทก็คือ เราจะเอามันมาทําประโยชนแกชีวิต แกครอบครัว แกสังคมไดอยางไร พัฒนาชีวิตของเราไดอยางไร ใชแลวเราไดปญญาไหมไดความรูไหม อยางนอยจะใชอยางไรใหคุมคาคุมราคา น่ีวางแผนการใช ใชป ญ ญา ใชด ว ยปญญา และใชเพ่อื ปญญา แมแตใชแลวไดรูขาวสารขอมูล ก็ไมพอ ตองเขาใจเขาถึงขาวสารขอมูลเหลานั้น และเอาไปใชประโยชนได สนองความตอ งการในทางทเ่ี ปนคุณเปนประโยชนได ถาใชแลวลุมหลง ชีวิตไมดีงาม ปญญาไมเจริญพัฒนา ก็ตองสงสัยวาผิด ใชแลวไมเกื้อกูลแกครอบครัว แกเพื่อนมนุษยแกสงั คม ตอ งบอกวา ผิดแน เดินทางผดิ ไมใชทางสายกลางแลว ถาเดินอยูในทางท่ีถูกตอง ไปดวยธรรมจักร มีลอรถแหงธรรม เปนธรรมยาน เปนธรรมรถ และแลนไปในทางสายกลางแลว จะเขา Internet ทองเที่ยวไปใน cyberspace ไปถึงไหน ก็ไมผิดพลาด ไมเ ปน ปญ หา จะไดแตคณุ ประโยชน
๓๘ จักรใด ขบั ดนั ยุคไอที เพราะฉะนั้น มัชฌิมาปฏิปทา คือทางสายกลางของพระพุทธเจานี้ จึงใชไดอยางดี ในยุค cyberspace นี้ดวยเพียงแตข อใหเรานกึ ถึง และยกขน้ึ มาสปู ญ ญา คิดวาวันน้ีพูดแคนี้ก็แลวกัน ไมตองขยายความมาก เปนเ ร่ื อ ง ท่ี ว า เ ร า จ ะ ต อ ง รู จั ก ใ ช ป ร ะ โ ย ช น จ า ก วั น สํ า คั ญ ท า งพระพุทธศาสนาใหถ กู ตอ ง“ทางสายกลาง” พาคนถึงจุดหมาย นําอารยธรรมใหศรีวไิ ล หลักมัชฌิมาปฏิปทานี้มีความหมายกวางไกล เพราะเปนเร่ืองของปญญา ทางสายกลางคืออะไร คือ อริโย อัฏฐังคิโก มัคโคเสยยถีทัง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป ฯลฯ หมายถึง มรรคามีองค ๘ประการ อนั ประเสรฐิ ไดแกส มั มาทฏิ ฐิ สัมมาสังกัปปะ … เร่ิมดวยมีปญญาอันเห็นชอบ แลวมีสติกํากับคอยเตือนพอเจออะไร สติก็มาเตือนทันที ใหตรวจสอบกอนวา เออวัตถุประสงคของเรื่องน้ีท่ีแทมันเพ่ืออะไร แลวเรากําลังจะใชมันถกู ทางหรือไม ทใ่ี ชไปแลว ใชถูกไหม จะใชตอไป ใชอยางไรจึงจะถูก พอเราใชถูกตอง เราก็เดินไปในทางสายกลาง เปนมัชฌิมาปฏิปทา วงจักรลอรถแหงธรรมก็หมุนขับเคล่ือนธรรมรถพาเราไป ถาไปกับธรรมรถดวยธรรมจักร ก็ปลอดภัย ลุจุดหมาย ถึงนิพพาน อยางที่พระพุทธเจาตรัสไวในอัจฉราสูตร (สํ.ส.๑๕/๑๔๓/
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๙๔๕) วา ทางน้ัน ช่ือวา ทางสายตรง ทิศนน้ั ช่อื วา ทศิ ปลอดภยั รถชื่อวารถไรเสียง ประกอบดวยลอธรรมจักร มีหิริเปนฝา มีสติเปนเกราะกั้น สารถีนั่นฤา เราบอกให คือธรรม มีสัมมาทิฏฐินํามุงหนาไป บุคคลใดมียานเชนน้ี จะเปนสตรีหรอื บุรษุ ก็ตาม เขายอมใชยานน้ัน (ขับไป) ถึงในสํานักแหงนิพพาน เมื่อไปถึงจุดหมายของทางสายกลางแลว ก็เปนคนท่ีสมบรู ณ มชี ีวติ ดงี าม เต็มอมิ่ เปนอิสระ บุคคลนั้น ทานเรียกวาเปนผูท่ีไมมีอะไรจะตองทําเพื่อตัวเองอีกตอไป จึงเปนผูพรอมท่ีจะทําการทุกอยาง เพื่อความดีงามความรมเย็นเปนสขุ ทแ่ี ทจรงิ ของมนุษยชาติ ชีวิตของเขา นับแตน้ัน ก็จะดําเนินตามพุทธคติท่ีวา “พะหุ-ชะนะหิตายะ พะหุชะนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ” คือ เพ่ือประโยชนเกือ้ กลู เพื่อความสขุ ของพหูชน เพอ่ื เก้ือการุณยแกชาวโลก น่ีก็คือ จักรไดนําอารยธรรมไปสูจุดหมายที่แทจริง คือสันติสขุ ของมนุษยชาติ ขออนุโมทนาทุกทานท่ีไดมารวมทําบุญ ในวันอาสาฬห-บูชาน้ี ซ่ึงเปนวันสําคัญท่ีขอย้ําอีกครั้งหนึ่งวา เปนวันประกาศพระธรรมจกั รและแสดงทางสายกลาง แลวก็ขอชวนใหเราท้ังหลาย นําเอาวงลอธรรมจักรมาเปนเครื่องขับเคล่ือนชีวิต สังคม และอารยธรรม ใหเดินไปในทางสายกลาง สูค วามดีงามความสขุ ความเจริญ ดังไดก ลา วมา
๔๐ จกั รใด ขบั ดันยุคไอที
Search
Read the Text Version
- 1 - 44
Pages: