วนั ศกุ รท ี่ 14 สิงหาคม THEORY ทฤษฎีสี
สี(COLOUR) หมายถึง ลกั ษณะกระทบตอ สายตาใหเ หน็ เปนสีมีผลถึงจิตวทิ ยา คอื มอี ํานาจใหเกดิ ความเขมของ แสงทอี่ ารมณและความรสู ึกได การที่ไดเหน็ สีจากสายตาสายตาจะสงความรสู ึกไปยังสมองทาํ ใหเ กิดความรูส ึก ตา งๆตามอทิ ธิพลของสี เชน สดชน่ื รอ น ต่นื เตน เศรา สมี ีความหมายอยางมากเพราะศิลปนตองการใชส เี ปนส่อื สรางความประทบั ใจในผลงานของศิลปะและสะทอ นความประทบั ใจนั้นใหบ งั เกดิ แกผูด ูมนุษยเก่ยี วขอ งกับสี ตางๆ อยูตลอดเวลาเพราะทกุ ส่ิงทอ่ี ยรู อบตัวนนั้ ลวนแตมีสสี นั แตกตา งกนั มากมาย สเี ปน สิ่งทีค่ วรศึกษาเพอื่ ประโยชนกบั ตนเองและ ผสู รา งงานจติ รกรรมเพราะ เรอ่ื งราวองสนี ้ันมหี ลกั วชิ าเปนวทิ ยาศาสตรจ งึ ควรทําความ เขา ใจวทิ ยาศาสตร ของสจี ะบรรลผุ ลสาํ เร็จในงานมากข้นึ ถา ไมเ ขาใจเรื่องสีดีพอสมควร ถา ไดศกึ ษาเรอื่ งสีดี พอแลว งานศลิ ปะกจ็ ะประสบความสมบูรณเปน อยางย่ิง
ประวัติความเปน มาของสี มนุษยเริม่ มกี ารใชสตี ัง้ แตสมยั กอนประวัตศิ าสตร มที ัง้ การเขียนสลี งบนผนังถ้ํา ผนังหนิ บนพื้นผิว เคร่ืองปน ดินเผา และที่อนื่ ๆภาพเขียนสีบนผนงั ถา้ํ (ROCK PAINTING) เรม่ิ ทําตง้ั แตสมยั กอน ประวัตศิ าสตรใ นทวีปยโุ รป โดยคนกอนสมยั ประวตั ศิ าสตรในสมยั หนิ เกาตอนปลาย ภาพเขียนสที ี่มชี ่ือ เสยี งในยคุ น้พี บที่ประเทศฝรงั่ เศษและประเทศสเปนในประเทศ ไทย กรมศลิ ปากรไดส ํารวจพบภาพ เขยี นสสี มยั กอ นประวตั ศิ าสตรบ นผนังถ้าํ และ เพงิ หนิ ในทต่ี างๆ จะมอี ายุระหวาง 1500-4000 ป เปนสมัยหนิ ใหมแ ละยุคโลหะไดคนพบตงั้ แตป พ.ศ. 2465 ครั้งแรกพบบนผนงั ถา้ํ ในอา วพงั งา ตอ มาก็ คน พบอีกซึง่ มอี ยูทั่วไป เชน จังหวดั กาญจนบุรี อุทยั ธานี เปน ตนสีท่เี ขยี นบนผนงั ถํา้ สว นใหญเ ปนสี แดง นอกน้นั จะมีสีสม สเี ลือดหมู สีเหลอื ง สนี ้ําตาล และสดี าํ สีบนเครื่องปน ดินเผา ไดคนพบการเขยี น ลายครงั้ แรกทีบ่ า นเชียงจังหวัดอุดรธานีเมอื่ ป พ.ศ.2510 สีทเี่ ขียนเปน สีแดงเปนรูปลายกา นขดจติ กรรมฝาผนังตามวัดตางๆสมยั สโุ ขทัยและอยุธยามหี ลักฐานวา ใชส ใี นการเขยี นภาพหลายสี แตก ็อยู ในวงจาํ กัดเพียง 4 สี คอื สดี ํา สีขาว สดี ินแดง และสเี หลืองในสมัยโบราณน้ัน ชา งเขียนจะเอาวัตถุ ตางๆในธรรมชาตมิ าใชเปนสสี ําหรบั เขียนภาพ เชน ดินหรือหินขาวใชท าํ สขี าว สดี าํ กเ็ อามาจากเขมา ไฟ หรอื จากตัวหมึกจนี เปน ชาติแรกทพ่ี ยายามคน ควาเรือ่ งสีธรรมชาตไิ ดมากกวา ชาตอิ นื่ ๆ คือ ใชห ิน นํามาบดเปน สีตา งๆ สเี หลอื งนาํ มาจากยางไม รงหรอื รงทอง สีครามกน็ าํ มาจากตน ไมสวนใหญแ ลว การคนควาเร่ืองสีก็เพื่อท่จี ะนํามาใช ยอมผา ตา งๆ ไมน ิยมเขียนภาพเพราะจีนมคี ตใิ นการเขียนภาพ เพียงสีเดียว คือ สีดําโดยใชหมึกจนี เขยี น
วงจรสี (COLOUR CIRCLE) วงจรสี ( Colour Circle) สขี ัน้ ที่ 1 คือ แมส ี ไดแ ก สแี ดง สเี หลือง สีนํา้ เงิน สีข้ันที่ 2 คือ สที ่ีเกดิ จากสีข้นั ท่ี 1 หรือแมส ผี สมกันในอัตราสวนทเ่ี ทากนั จะทาํ ใหเ กิดสีใหม 3 สี ไดแ ก สแี ดง ผสมกบั สีเหลือง ไดส ี สม สแี ดง ผสมกบั สนี า้ํ เงิน ไดส มี วง สเี หลือง ผสมกับสีนา้ํ เงิน ไดสีเขยี ว สขี น้ั ท่ี 3 คอื สีท่เี กดิ จากสีข้นั ท่ี 1 ผสมกบั สขี ั้นที่ 2 ในอตั ราสว นท่ีเทากนั จะไดส อี น่ื ๆ อกี 6 สี คอื สีแดง ผสมกับสสี ม ไดส ี สม แดง สีแดง ผสมกบั สีมวง ไดสมี วงแดง สีเหลือง ผสมกบั สีเขียว ไดส เี ขียวเหลอื ง สีน้าํ เงนิ ผสมกบั สเี ขยี ว ไดส ีเขียวน้าํ เงิน สนี ํ้าเงิน ผสมกบั สมี วง ไดส มี ว งนาํ้ เงิน สีเหลือง ผสมกับสสี ม ไดส ีสม เหลือง
แม่สีวัตถุธาตุ (PIGMENTARY RRIMARIES) แมสวี ตั ถธุ าตนุ นั้ หมายถงึ “วตั ถุทม่ี สี ีอยูใ นตัว” สามานาํ มาระบาย ทา ยอ ม และผสมไดเ พราะมีเนือ้ สีและสีเหมือนตวั เอง เรียกอกี อยา งหน่งึ วา แมส ีของชางเขียนสีตา งๆ จะเกดิ ขึ้นมาอีกมากมายดวยการผสมของแมส ซี งึ่ มอี ยูดวยกนั 3 สีคอื 1. นา้ํ เงนิ (PRUSSIAN BLUE) 2. แดง (CRIMSON LEKE) 3. เหลอื ง (GAMBOGE TINT) สแี ดง (CRIMSION LAKE) สะทอ นรังสขี องสแี ดงออกมาแลวดึงดดู เอาสนี ํ้าเงินกบั สีเหลืองซ่ึงตางผสม กันในตวั แลว กลายเปน สเี ขยี ว อันเปนคสู ีของสีแดง สเี หลอื ง (GAMBOGE YELLOW) สะทอนรงั สขี องสีเหลืองออกมาแลวดึงดูดเอาสีแดงกบั สีนาํ้ เงินซ่ึง ผสมกัน ในตัวแลวกลายเปน สมี ว ง อันเปนคสู ีของสีเหลอื ง สีนํา้ เงิน (PRESSION BLUE) สะทอ นรงั สขี องสนี ํา้ เงินออกมาแลวดงึ ดดู เอาสีแดงกับสเี หลอื งเขามาแลว ผสมกนั ก็จะกลายเปนสีสม ซึ่งเปนคสู ขี องสนี าํ้ เงนิ
แมส่ ีวตั ถุธาตุ การผสมสี วัตถธุ าตุ แมส วี ัตถธุ าตุ แดง เหลือง และสีน้ําเงนิ นั้น ผสมกนั แลวเกดิ สีขึน้ อกี หลายสีแมส ี วตั ถุธาตุ (PIGMEMPAR Y PRIMARIES) หรือเรยี กอกี อยางหน่งึ วา สขี ้ันทีห่ นึง่
ขนั้ ท่ี 1 คอื สี สขี ั้นที่ 2 (SECONTARY HUES) สีข้นั ที่ 3 (TERTIARY HUES) 1. นํ้าเงิน (PRUSSIAN BLUE) เกิดจากการนาํ สแี ท 2 สี เกิดจากการผสมสีข้นั ที่ 2 กับแม 2. แดง (CRIMSOM LEKE) มาผสมกนั ในปริมาณเทากนั (สขี ้นั ที่ 1) ไดส เี พ่ิมขน้ึ อกี คือ 3. เหลอื ง (GAMBOGE TINT) จะเกดิ สีใหมข น้ึ น้าํ เงนิ ผสม แดง เหลือง ผสม เขยี ว เปน เขยี วออน แมสที ้ังสามถานํามาผสมกัน เปน มว ง (VIOLET) (YELLOW – GREEN) จะไดัเปนสีกลาง (NEUTRAL TINT) น้ําเงนิ ” เหลอื ง ” เขยี ว (GREEN) นํ้าเงนิ ” เขยี ว ” เขียวแก (BLUE – GREEN) แดง ” เหลือง ” สม (ORANGE) น้าํ เงนิ ” มวง ” มวงนํา้ เงิน (BLUE – VIOLET) แดง ” มวง ” มวงแก (RED – VIOLET) แดง ” สม ” แดงสม (RED – ORANGE) เหลือง ” สม ” สมเหลือง (YELLOW – ORANGE)
วรรณะของสี คอื สที ีใ่ หความรสู กึ รอน-เย็น ในวงจรสจี ะมีสรี อ น 7 สี และ สีเย็น 7 สี ซึ่งแบงที่ สีมว งกบั สเี หลือง ซ่งึ เปนไดท้ังสองวรรณะ สตี รงขาม หรอื สีตัดกัน หรอื สคี ูป ฏิปก ษ เปน สีทมี่ ีคา ความเขม ของสี ตดั กันอยา ง รุนแรง ในทางปฏิบัติไมน ิยมนํามาใชรว มกัน เพราะจะทาํ ใหแ ตละสไี มส ดใส เทาทค่ี วร การนาํ สีตรงขา มกนั มาใชร ว มกัน อาจกระทาํ ไดด ังนี้ 1. มีพน้ื ท่ขี องสหี นง่ึ มาก อีกสหี น่งึ นอย 2. ผสมสีอ่นื ๆ ลงไปสสี ีใดสีหน่งึ หรือทง้ั สองสี 3. ผสมสตี รงขา มลงไปในสีทง้ั สองสี สีกลาง คอื สีท่เี ขา ไดก ับสีทกุ สี สีกลางในวงจรสี มี 2 สี คือ สีน้ําตาล กับ สเี ทา สนี ํา้ ตาล เกดิ จากสตี รงขามกนั ในวงจรสีผสมกนั ในอตั ราสวนท่เี ทา กัน สนี า้ํ ตาลมี คณุ สมบตั ิสาํ คัญ คอื ใชผ สมกับสอี ่นื แลวจะทาํ ใหสนี น้ั ๆ เขม ขึน้ โดยไมเ ปล่ยี น แปลงคา สี ถา ผสมมาก ๆ เขา กจ็ ะกลายเปน สนี ้ําตาล สเี ทา เกิดจากสีทกุ สี ๆ สีในวงจรสีผสมกนั ในอัตราสวนเทากัน สเี ทา มคี ณุ สมบัติ ทีส่ าํ คัญ คือ ใชผ สมกบั สอี ่ืน ๆ แลวจะทําให มดื หมน ใชในสว นทเ่ี ปนเงา ซึ่งมนี า้ํ หนกั ออนแกใ นระดับตาง ๆ ถาผสมมาก ๆ เขาจะกลายเปน สเี ทา
ระบบสี RGB ระบบสี RGB เปนระบบสขี องแสง ซง่ึ เกดิ จากการหกั เหของแสงผา นแทงแกว ปรซิ มึ จะเกดิ แถบสที ีเ่ รียกวา สรี งุ ( Spectrum ) ซงึ่ แยกสตี ามที่สายตามองเหน็ ได 7 สี คอื แดง แสด เหลือง เขียว นํ้าเงนิ คราม มวง ซึ่งเปน พลงั งานอยูในรปู ของรงั สี ที่มชี วงคลน่ื ทสี่ ายตา สามารถมองเห็นได แสงสมี วงมคี วามถี่คลืน่ สูงที่สดุ คล่ืนแสงทม่ี คี วามถ่สี งู กวาแสงสีมวง เรยี กวา อุลตราไวโอเลต ( Ultra Violet ) และคลืน่ แสงสีแดง มีความถค่ี ลื่นตา่ํ ท่ีสุด คลนื่ แสง ท่ตี ่ํากวา แสงสแี ดงเรียกวา อินฟราเรด ( InfraRed) คลนื่ แสงท่ีมีความถ่ีสูงกวาสีมว ง และตํ่า กวาสแี ดงนัน้ สายตาของมนุษยไมสามารถรบั ได และเม่อื ศึกษาดูแลว แสงสีท้ังหมดเกิดจาก แสงสี 3 สี คือ สีแดง ( Red ) สนี ํา้ เงนิ ( Blue)และสีเขยี ว ( Green )ทงั้ สามสีถือเปนแมส ี ของแสง เมอื่ นํามาฉายรวมกันจะทาํ ใหเ กดิ สใี หม อกี 3 สี คือ สแี ดงมาเจนตา สีฟา ไซแอน และสีเหลือง และถา ฉายแสงสีท้งั หมดรวมกนั จะไดแ สงสขี าว จากคณุ สมบัติของแสงน้เี รา ไดนาํ มาใชป ระโยชนท่วั ไป ในการฉายภาพยนตร การบันทึกภาพวดิ ีโอ ภาพโทรทัศน การสรางภาพเพอื่ การนาํ เสนอทางจอคอมพิวเตอร และการจดั แสงสใี นการแสดง เปน ตน
ตารางบอกความร้สู ึก
แผน่ ภาพรูปวงจรสี
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: