Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 4 กฎหมายเกี่ยวกับเรื่องเพศ

หน่วยที่ 4 กฎหมายเกี่ยวกับเรื่องเพศ

Published by nano03012553, 2018-09-03 00:04:21

Description: หน่วยที่ 4 กฎหมายเกี่ยวกับเรื่องเพศ

Search

Read the Text Version

หนว่ ยที่ 4 กฎหมายเกีย่ วกบั เรอ่ื งเพศ 1. กฎหมายคืออะไร คำจำกัดควำมของ “กฎหมำย” หมำยถึงคำส่ังหรือข้อบังคับควำมประพฤติของมนุษย์ ซึ่งผ้มู ีอำนำจสูงสดุ หรอื รัฏฐำธปิ ตั ย์เปน็ ผบู้ ญั ญัติข้นึ ผูใ้ ดฝำ่ ฝนื มสี ภำพบังคับ 2. ลักษณะของกฎหมาย เมอ่ื ไดท้ รำบควำมหมำยของกฎหมำยแลว้ กฎหมำยตอ้ งมลี ักษณะ 5 ประกำร ดังนี้ 2.1 กฎหมำยต้องเปน็ คำส่ังหรือขอ้ บังคบั หมำยควำมว่ำ กฎหมำยน้ันต้องอยู่ในรูปของคำส่ังคำบัญชำ อันเป็นกำรแสดงออกซ่ึงควำมประสงค์ของผู้มีอำนำจในลักษณะเป็นกำรบังคับ เพื่อให้บุคคลอีกคนหนึ่งปฏิบัติหรืองดเว้นกำรปฏิบัติ มิใช่เป็นกำรประกำศชวนเชิญเฉย ๆ เช่น ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงครำม เป็นนำยกรัฐมนตรี รฐั บำลได้ประกำศเชิญชวนคนไทยใหส้ วมหมวก เลิกกินหมำก และใหน้ ุ่งผ้ำซ่ินแทนผ้ำโจงกระเบน ประกำศน้ีแจ้งให้ประชำชนทรำบว่ำรัฐบำลนิยมให้ประชำชนปฏิบัติอย่ำงไร มิได้บงั คับจึงไมเ่ ปน็ กฎหมำย 2.2 กฎหมำยตอ้ งเปน็ คำสง่ั หรือขอ้ บังคับทมี่ ำจำกรัฏฐำธิปัตย์ รฎั ฐำธปิ ัตย์ คือ ผู้ที่ประชำชนส่วนมำกยอมรบั นบั ถอื วำ่ เป็นผู้มอี ำนำจสูงสุดในแผ่นดินโดยท่ีไม่ต้องฟังอำนำจจำกผู้ใดอีก ดังน้ันรัฎฐำธิปัตย์จึงไม่ต้องพิจำรณำถึงท่ีมำหรือลักษณะกำรได้อำนำจว่ำจะได้อย่ำงไร แม้จะเป็นกำรปฏิวัติหรือรัฐประหำรก็ตำมถ้ำหำกคณะปฏิวัติหรือคณะรฐั ประหำรเปน็ รฎั ฐำธปิ ัตยท์ ีส่ ำมำรถออกคำส่ังคำบญั ชำในฐำนะเป็นกฎหมำยของประเทศได้ 2.3 กฎหมำยตอ้ งเป็นคำส่ังหรือขอ้ บงั คบั ทีใ่ ช้ไดท้ ่ัวไป หมำยควำมว่ำ กฎหมำยต้องเป็นเร่ืองที่เม่ือประกำศใชแ้ ลว้ จะมีผลบังคับเป็นกำรทั่วไปไม่ใช่กำหนดข้ึนเพื่อประโยชน์ของบุคคลหน่ึง หรือให้บุคคลหน่ึงบุคคลใดปฏิบัติตำมเท่ำนั้น ไม่ว่ำบุคคลน้ันจะมีอำยุ เพศ หรือฐำนะอย่ำงไรก็ตกอยู่ภำยใต้กำรใช้บังคับกฎของกฎหมำยอันเดียวกัน(โดยไม่เลือกปฏบิ ตั ิ) เพรำะบุคคลทุกคนมีควำมเสมอภำคที่จะได้รบั ควำมคุ้มครองตำมกฎหมำยเท่ำเทียมกัน แม้กฎหมำยบำงอย่ำงอำจจะมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่บุคคล หรือวำงควำมรับผิดชอบให้แก่คนบำงหมู่เหล่ำ แต่ก็ยังอยู่ในควำมหมำยที่ว่ำใช้บังคับท่ัวไปอยู่เหมือนกัน เพรำะคนทัว่ ๆ ไปที่เข้ำมำเก่ียวขอ้ งในกฎหมำยน้นั ก็ยังตอ้ งปฏบิ ัตติ ำมอยู่เสมอ สำระสำคัญอกี ประกำรหนงึ่ คือ กฎหมำยเมอื่ ประกำศมีผลบงั คบั ใช้แลว้ กใ็ ชไ้ ด้ตลอดไป(Continuity) จนกว่ำจะถูกแก้ไขเพิ่มเติมหรือถูกยกเลิก หำกไม่มีกำรยกเลิกก็มีผลบังคับใช้ไดเ้ สมอดังสุภ ำษิต กฎ หมำยท่ีว่ำ “กฎ หมำยนอนหลับบำงครำวแ ต่ ไม่เคยตำย ” (The LawSometimessleep, Never Die)

2.4 กฎหมำยบญั ญตั ขิ น้ึ เพอื่ ให้บคุ คลปฏิบตั ิตำม แม้กำรปฏิบัติบำงคร้ังอำจจะเกิดจำกควำมไม่เต็มใจท่ีจะปฏิบัติ แต่หำกเป็นคำส่ัง คำบญั ชำแล้ว ผู้รับคำส่ัง คำบัญชำ ต้องปฏิบตั ิตำม หำกขัดขืนไม่ปฏิบัติตำมก็จะเกิดสภำพบังคับของกฎหมำย อันเป็นผลร้ำยต่อผู้ฝ่ำฝืนคำสั่งน้ัน และเป็นทพี่ ึงเข้ำใจด้วยว่ำผู้ที่อยู่ในฐำนะที่จะรับคำส่ังและปฏิบตั ติ ำมกฎหมำยได้นนั้ ต้องเป็นบุคคลตำมกฎหมำย อย่ำงไรก็ดีแม้กฎหมำยจะไม่ใช้บังคับแก่สัตว์ แต่ก็มีควำมจำเป็นที่จะต้องควบคุมมิให้สตั วก์ ่อควำมเสยี หำยหรือควำมเดอื ดร้อนรำคำญแก่มนษุ ย์ ดงั นั้นกฎหมำยจึงกำหนดควำมรับผิดไว้กับบุคคลผู้เป็นเจ้ำของท่ีปล่อยปละละเลยไม่ควบคุมดูแลสัตว์เล้ียงของตนตำมสมควร จึงมิใช่เป็นกำรออกคำสั่ง คำบัญชำแก่สัตว์ แต่เป็นกำรควบคุมโดยผ่ำนทำงผู้เป็นเจ้ำของเท่ำน้ัน ตัวอย่ำงเช่นประมวลกฎหมำยแพ่งและพำณิชย์ มำตรำ 433 บัญญัติว่ำ “ถ้ำควำมเสียหำยเกิดขึ้นเพรำะสัตว์ท่ำนวำ่ เจ้ำของสัตวห์ รือบคุ คลผู้รับเล้ียงรับรักษำไว้แทนเจ้ำของ จำต้องใช้ค่ำเสียหำยทดแทนให้แก่ฝำ่ ยท่ีต้องเสียหำย” 2.5 กฎหมำยต้องมีสภำพบังคับ เพื่อให้กฎหมำยเกิดควำมศักด์ิสิทธิ์ และประชำชนเคำรพเชื่อฟังปฏิบัติตำมกฎหมำยจึงต้องมีสภำพบังคับ (Sanetion) สภำพบังคับของกฎหมำยน้ันแบ่งเป็นสภำพบังคับในทำงอำญำและทำงแพ่ง สภำพบังคับให้ทำงอำญำโดยทั่วไปแล้วคล้ำยคลึงกัน คือ หำกเป็นโทษสูงสุดจะใช้วิธีประหำรชีวิต ซึ่งบำงประเทศใช้วิธีกำรน่ังเก้ำอี้ไฟฟ้ำ แขวนคอ แต่ประเทศไทยในปัจจุบันให้นำไปฉีดยำให้ตำยใช้วิธีประหำรด้วยวิธีอ่ืนไม่ได้ นอกจำกน้ันก็เป็นกำรจำคุก เป็นกำรเอำตัวนักโทษควบคุมในเรือนจำ ซ่ึงตำ่ งกบั กักขังเป็นกำรเอำตัวไปกกั ไว้ที่อน่ื ท่ีมิใช่เรือนจำ เช่น ที่อยขู่ องผู้น้ันเองหรอื สถำนท่ีอื่นท่ผี ู้ต้องกักขังมีสิทธดิ ีกว่ำผตู้ อ้ งจำคุกสำหรบั กฎหมำยไทยโทษกกั ขังจะใชเ้ ฉพำะผู้ซึ่งกระทำผิดครง้ั แรก และควำมผิดนั้นมีโทษจำคุกไม่เกินสำมเดือน ศำลจึงจะลงโทษกักขังแทนจำคุกได้ ส่วนกำรปรับคอื ให้ชำระเงนิ ตำมที่กฎหมำยกำหนดไว้ในคำพพิ ำกษำต่อศำล 3. การกระทาอนั เป็นการลว่ งละเมิดหรอื คุกคามทางเพศ ตามมาตรา ๘๓ (๘) 1. กระทำกำรด้วยกำรสัมผัสทำงกำยท่ีมีลักษณะส่อไปในทำงเพศ เช่น กำรจูบ กำรโอบกอด กำรจบั อวยั วะส่วนใดส่วนหนึ่ง เปน็ ต้น 2. กระทำกำรด้วยวำจำที่ส่อไปในทำงเพศ เช่น วิพำกษ์วิจำรณ์ร่ำงกำย พูดหยอกล้อพดู หยำบคำย เปน็ ต้น 3. กระทำกำรด้วยอำกัปกิริยำที่ส่อไปในทำงเพศ เช่น กำรใช้สำยตำลวนลำม กำรทำสัญญำณหรือสญั ลกั ษณ์ใด ๆ เปน็ ตน้ 4. กำรแสดงหรือส่ือสำรด้วยวิธีกำรใด ๆ ที่ส่อไปในทำงเพศ เช่น แสดงรูปลำมกอนำจำร สง่ จดหมำย ขอ้ ควำม หรือกำรส่ือสำรรปู แบบอน่ื เป็นต้น

5. กำรแสดงพฤติกรรมอ่ืนใดที่ส่อไปในทำงเพศ ซึ่งผู้ถูกกระทำไม่พึงประสงค์หรือเดือดรอ้ นรำคำญ 3.1ความผิดฐานข่มขืนกระทาชาเราหญิง ตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ 276 บัญญัติว่ำ “ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเรำหญิงอื่นซ่ึงมิใช่ภริยำของตน โดยขู่เข็ญด้วยประกำรใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้ำย โดยหญิงอยู่ในภำวะท่ไี ม่สำมำรถขดั ขนื ได้ หรือโดยทำให้หญิงเข้ำใจผดิ วำ่ ตนเป็นบุคคลอ่นื บทลงโทษ ตอ้ งระวำงโทษจำคุกต้ังแต่ 4 ปี ถงึ 20 ปี และปรบั ตงั้ แต่ 8,000 บำท ถึง 40,000บำท” ควำมผิดฐำนข่มขืนกระทำชำเรำ เป็นกำรบังคับใจ ฝืนใจหญิงอื่นที่มิใช่ภริยำของตน โดยหญิงน้ันไม่ยินยอมหรือใช้กำลังบังคับ จนหญิงนั้นอยู่ในภำวะที่ไม่สำมำรถขัดขืนได้ จนผู้กระทำผิดล่วงเกินทำงเพศหรือมีเพศสัมพันธก์ ับหญิงนน้ั หำกเป็นกำรขม่ ขืนกระทำชำเรำ เด็กหญิงอำยุไม่เกินสิบห้ำปี ซึ่งมิใช่ภริยำของตน โดยเด็กหญิงน้ันจะยินยอมหรือไม่ก็ตำม ผู้นั้นจะต้องได้รับโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปี ถึง 20 ปี และปรับต้ังแต่ 8,000บำท ถึง40,000 บำท 3.2ความผดิ ฐานพรากผ้เู ยาว์ 1.1 ตำมประมวลกฎหมำยอำญำมำตรำ 317 บัญญัติว่ำ “ผู้ใดโดยปรำศจำกเหตุอันสมควรพรำกเดก็ อำยยุ งั ไมเ่ กนิ สิบห้ำปไี ปเสียจำกบดิ ำมำรดำ ผปู้ กครอง หรอื ผ้ดู แู ล บทลงโทษ ตอ้ งระวำงโทษจำคกุ ตง้ั แต่ 3 ปี ถงึ 15 ปี และปรบั ตัง้ แต่ 6,000 ถึง 30,000 บำท” 1.2 ประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ 318 บัญญัตวิ ำ่ “ผ้ใู ดพรำกผู้เยำว์อำยุกว่ำสิบห้ำปี แต่ยังไม่เกนิ สิบแปดปีไปเสยี จำกบิดำมำรดำ ผปู้ กครอง หรือผู้ดูแล โดยผ้เู ยำว์น้ันไม่เต็มใจไปดว้ ย บทลงโทษ ต้องระวำงโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 4,000 ถึง 20,000 บำท” 3.3ความผิดฐานกระทาอนาจาร 1.1 ตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ 278 บญั ญัตวิ ่ำ “ผใู้ ดกระทำอนำจำรแก่บคุ คลอำยุกว่ำสิบห้ำปี โดยขเู่ ข็ญด้วยประกำรใด ๆ โดยใชก้ ำลังประทษุ ร้ำย โดยบุคคลน้ันอยใู่ นภำวะท่ไี มส่ ำมำรถขัดขนื ได้ หรอื โดยทำใหบ้ คุ คลน้ันเข้ำใจผดิ ว่ำตนเป็นบุคคลอื่น บทลงโทษ ต้องระวำงโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บำท หรือท้ังจำท้ัง ปรบั

1.2 ประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ 279 บัญญัติว่ำ “ผู้ใดกระทำอนำจำรแก่เด็กอำยุยงั ไมเ่ กนิ สิบหำ้ ปี โดยเด็กนนั้ จะยินยอมหรอื ไม่กต็ ำม บทลงโทษ ต้องระวำงโทษจำคุกไมเ่ กิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บำท หรอื ท้ังจำทง้ั ปรับ 3.4ความผดิ ฐานดารงชีพจากรายไดข้ องหญิงโสเภณี 1.1 ฐำนเขำ้ ไปมว่ั สมุ ในสถำนกำรค้ำประเวณีเพ่อื ประโยชน์ ในกำรค้ำประเวณขี องตนเองหรอื ผู้อน่ื บทลงโทษ ต้องระวำงโทษจำคุกไมเ่ กนิ 1 เดือน หรอื ปรับไม่เกนิ 1,000 บำท หรือทงั้ จำทง้ั ปรับ 1.2 มบี คุ คลซงึ่ มอี ำยกุ ว่ำ 15 ปี แต่ยงั ไมเ่ กนิ 18 ปที ำกำรค้ำประเวณี บทลงโทษ ตอ้ งระวำงโทษจำคุกตง้ั แต่ 5 ปถี ึง 15 ปีและปรับตง้ั แต่ 100,000 บำท ถงึ 300,000 บำท” 3.5ความผดิ ฐานค้ามนุษย์ ผ้ใู ดเพอื่ แสวงหำประโยชนโ์ ดยมิชอบ กระทำกำรอยำ่ งหน่ึงอย่ำงใด ดงั ต่อไปน้ี 1. เป็นธุระจัดหำ ซ้ือ ขำย จำหน่ำย พำมำจำกหรือส่งไปยังท่ีใด หน่วงเหน่ียวกักขังจัดให้อยู่อำศัย หรือรับไว้ซึ่งบุคคลใด โดยข่มขู่ ใช้กำลังบังคับ ลักพำตัว ฉ้อฉล หลอกลวงใช้อำนำจโดยมิชอบ หรือโดยให้เงินหรือผลประโยชน์อย่ำงอ่ืนแก่ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลบุคคลนั้นเพื่อให้ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลให้ควำมยินยอมแก่ผู้กระทำควำมผิดในกำรแสวงหำประโยชน์จำกบุคคลทตี่ นดแู ล หรอื 2. เป็นธุระจัดหำ ซื้อ ขำย จำหน่ำย พำมำจำกหรือส่งไปยังท่ีใด หน่วงเหนี่ยวกักขังจดั ใหอ้ ยอู่ ำศยั หรอื รับไวซ้ ง่ึ เด็กผูน้ น้ั กระทำควำมผิดฐำนค้ำมนษุ ย์ บทลงโทษ มำตรำ 52 ผู้ใดกระทำควำมผิดฐำนค้ำมนุษย์ ต้องระวำงโทษจำคุกต้ังแต่ 4 ปี ถึง10 ปี และปรบั ต้งั แต่ 80,000 บำท ถึง 200,000 บำท ถ้ำกำรกระทำควำมผิดตำมวรรคหน่ึง ได้กระทำแก่บุคคลอำยุเกิน 15 ปี แต่ไม่ถึง18 ปี ต้องระวำงโทษจำคกุ ตัง้ แต่ 6 ปี ถงึ 12 ปี และปรบั ตัง้ แต่ 120,000 บำท ถงึ 240,000 บำท ถ้ำกำรกระทำควำมผิดตำมวรรคหน่ึง ได้กระทำแก่บุคคลอำยุไม่เกิน 15 ปี ต้องระวำงโทษจำคกุ ตงั้ แต่ 8 ปี ถึง 15 ปี และปรบั ตัง้ แต่ 160,000 บำท ถึง 300,000 บำท

3.6ความผดิ ฐานขายสง่ิ ลามก ประมวลกฎหมำยอำญำ ตำมมำตรำ 287 บัญญัติว่ำ “ผู้ใดประสงค์ แจกจ่ำยแสดง อวด ทำ ผลิต แก่ประชำชน หรือทำให้เผยแพร่ซึ่งเอกสำร ภำพระบำยสี ส่ิงพิมพ์ แถบบนั ทกึ เสียง บันทึกภำพ หรอื เกี่ยวข้องกับสิ่งพิมพ์ดังกล่ำว บทลงโทษ ต้องระวำงโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไมเ่ กิน 6,000 บำท หรอื ทั้งจำท้ังปรับ” 3.7ความผดิ ฐานทาใหแ้ ทง้ ลูก 1.1 ตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ 301 หญิงใดทำใหต้ นเองแท้งลูก หรือยอมใหผ้ อู้ ่ืนทำให้ตนเองแทง้ ลกู บทลงโทษ ตอ้ งระวำงโทษจำคกุ ไมเ่ กิน 3 ปี หรอื ปรบั ไม่เกนิ 6,000 บำท หรือท้ังจำทั้งปรับ” 1.2 ตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ 302 บัญญัตวิ ่ำ “ผ้ใู ดทำให้หญงิ แท้งลูกโดยหญงิ นน้ั ยินยอม บทลงโทษ ตอ้ งระวำงโทษจำคกุ ไม่เกิน 5 ปี หรอื ปรับไมเ่ กนิ 10,000 บำท หรือทั้งจำทง้ั ปรับ” 1.3 ตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ 303 บัญญัติว่ำ “ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนน้ั ไม่ยินยอม บทลงโทษ ตอ้ งระวำงโทษจำคกุ ไมเ่ กิน 7 ปี หรือปรบั ไม่เกนิ 14,000 บำท หรือทง้ั จำทั้งปรบั 3.8ความผดิ ฐานทอดทิ้งเด็ก ผู้ใดมีหน้ำท่ีตำมกฎหมำยหรือตำมสัญญำต้องดูแล ผู้ซ่ึงพ่ึงตนเองมิได้เพรำะอำยุควำมป่วยเจ็บ กำยพิกำร หรือจิตพิกำร ทอดท้ิงผู้ซ่ึงพ่ึงตนเองมิได้น้ันเสีย โดยประกำรท่ีน่ำจะเป็นเหตใุ ห้เกดิ อันตรำยแกช่ วี ติ บทลงโทษ ต้องระวำงโทษจำคกุ ไม่เกนิ 3 ปี หรอื ปรับไมเ่ กนิ 6,000 บำท หรอื ท้งั จำทัง้ ปรับ 3.9ความผดิ ฐานสมรสซ้อน ตำมประมวลกฎหมำยอำญำ มำตรำ 137 คนท่ีจดทะเบียนสมรสได้ต้องไม่เป็นคู่สมรสของบคุ คลอ่ืน ถำ้ กำรสมรสยงั ไมส่ ิ้นสุดลง คอื คูส่ มรสคนแรกตำยหรือหยำ่ ร้ำงกัน

บทลงโทษ ไม่มีบทลงโทษไว้แต่อย่ำงใด เป็นเร่ืองทำงแพ่งท่ีจะร้องขอให้ศำลส่ังกำรจดทะเบียนคร้ังหลังเป็นโมฆะเท่ำน้ัน แต่ถ้ำจะดำเนินคดีอำญำก็ทำได้เพียงควำมผิดฐำนข้อควำมอันเปน็ ควำมเทจ็ ต่อเจำ้ พนกั งำน 3.10 ความผิดฐานมชี ู้ ในกฎหมำยอำญำของไทย กำรมีช้เู ปน็ ควำมผดิ ทำงอำญำ แตเ่ ปน็ ควำมผิดทำงแพ่งซง่ึ ยกขึ้นอำ้ งเพอ่ื กำรฟอ้ งหย่ำหรือเรยี กคำ่ สินไหมทดแทนไดเ้ ทำ่ น้นั 4. กฎหมายครอบครวั ครอบครัวเป็นสถำบันขั้นพื้นฐำนและเป็นสถำบันหลักของสังคม ครอบครัวจึงประกอบไปด้วย สำมี ภรรยำ บุตรและญำติ กฎหมำยท่ีเกี่ยวข้องกับครอบครัวจึงเป็นกฎหมำยที่บญั ญตั ิเกี่ยวกบั ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงบุคคลภำยในครอบครัวหรอื เครอื ญำติ ดงั น้นั หลักกฎหมำยท่ีใช้โดยทั่วไปอำจนำมำใช้กับกฎหมำยครอบครัวไม่ได้ กฎหมำย ครอบครัวจึงเป็นกฎหมำยท่ีอ้ำงอิงหลักศีลธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีมำกที่สุด เช่น เงื่อนไขเก่ียวกับกำรหมั้น กำรสมรส กำรปฏบิ ัตติ ่อกนั ระหว่ำงสำมีและภรรยำ กำรปกครองบุตร ทรัพย์สินระหว่ำงสำมีและภรรยำ ตลอดถึงหลกั เกณฑเ์ กยี่ วกับมรดก เป็นต้น 4.1การหมน้ั ก่อนทำกำรสมรสมักจะมีพิธีหมั้นก่อน แต่ไม่ได้หมำยควำมว่ำ กำรสมรสจะต้องมีกำรหม้ันเสมอไปทุกครั้ง กำรหมั้นจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ ที่กฏหมำยบัญญัติเกี่ยวกับกำรหม้ันเอำไว้ด้วยนั้นก็เพ่ือรักษำและส่งเสริมประเพณีของไทยดังนั้นกำรหมั้นจึงเป็นเรื่องกำรทำสัญญำระหว่ำงฝ่ำยชำยและหญงิ เพื่อตกลงว่ำจะสมรสกนั แตเ่ ปน็ สัญญำที่แตกตำ่ งจำกสญั ญำ โดยทั่วไป คือเมื่อมีกำรผิดสัญญำหม้ันโดยฝ่ำยหนึ่งไม่ยอมสมรสด้วย อีกฝ่ำยหน่ึงจะถือเป็นเหตุไปฟ้องร้องต่อศำลบังคับให้ฝ่ำยที่ผิดสัญญำต้องทำกำรสมรสด้วยไม่ได้ จะทำได้ก็แต่เพียงให้ฝ่ำยที่ผิดสัญญำรับผิดใช้ค่ำทดแทนเท่ำนั้นตำมประมวลกฏหมำยแพ่งและพำณิชย์ว่ำด้วยครอบครัว ได้กำหนดเง่อื นไขเก่ียวกับกำรหมัน้ โดยสรปุ ไดด้ งั น้ี ชำยและหญิงจะทำกำรหมั้นได้ต้องมอี ำยุ 17 ปีบริบูรณ์ ถ้ำฝ่ำยใดฝ่ำยหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ำยมอี ำยตุ ำ่ กว่ำ 17 ปบี รบิ ูรณ์ สัญญำหม้ันนน้ั ใช้ไมไ่ ด้ ถ้ำชำยและหญิง เป็นผู้บรรลุนิติภำวะ คืออำยุครบ 20 ปีบริบูรณ์ สำมำรถทำกำรหมั้นได้ด้วยตนเอง ถ้ำฝ่ำยหนึ่งฝ่ำยใดหรือทั้งสองฝ่ำยยังไม่บรรลุนิติภำวะ จะต้องได้รับคำยินยอมจำกบดิ ำและมำรดำหรือผู้ปกครอง ของชำยและหญงิ ด้วย

ในกำรหมั้นฝ่ำยชำยจะต้องให้ทรัพย์สินไม่ว่ำจะเป็นเงิน ทอง หรือแหวนเพชรแก่ฝ่ำยหญิง ซงึ่ ทรัพย์สินน้ีเรยี กว่ำ ของหมนั้ มิฉะนนั้ จะถือว่ำกำรหมนั้ นี้ไม่ถกู ต้อง และนอกจำกน้ีฝ่ำยชำยยังอำจให้ทรัพย์สินแก่พ่อแม่ของหญิงคู่หม้ัน โดยถือว่ำทรัพย์สินนี้เป็นสินสอด หำกต่อมำภำยหลังฝ่ำยหญิง คู่หม้ันไม่ยอมสมรสกับชำยคู่หมั้นก็จะต้องคืนสินสอดและของหม้ันให้กับฝ่ำยชำยคู่หม้ันด้วย 4.2การสมรส กำรสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชำยและหญิงมีอำยุสิบเจ็ดปี บริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ศำลอำจอนุญำตใหท้ ำกำรสมรสกอ่ นน้ันได้กำรสมรสจะกระทำมไิ ด้ถ้ำชำยหรือหญิงเป็นบุคคลวิกลจริตหรือเป็นบุคคลซึ่งศำลส่ังให้เป็นคนไร้ควำมสำมำรถชำยหญิงซึ่งเป็นญำตสิ ืบสำยโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมำก็ดี เป็นพ่ีน้องร่วมบิดำมำรดำหรือร่วมแต่บิดำหรือมำรดำก็ดีจะทำกำร สมรสกนั ไม่ได้ ควำมเป็นญำตดิ ังกลำ่ วมำน้ีใหถ้ อื ตำมสำยโลหิตโดยไม่ คำนงึ ว่ำจะเป็นญำตโิ ดยชอบด้วยกฎหมำยหรือไมผ่ ู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมจะสมรสกันไม่ไดช้ ำยหรือหญิงจะทำกำรสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ ไม่ได้หญิงท่ีสำมีตำยหรือที่กำรสมรสส้ินสุดลงด้วยประกำรอ่ืนจะทำกำรสมรสใหม่ได้ต่อเมื่อกำรสน้ิ สดุ แห่งกำรสมรสได้ผ่ำนพน้ ไปแล้วไม่นอ้ ย กว่ำสำมร้อยสบิ วันเว้นแต่ (1) คลอดบุตรแล้วในระหว่ำงนั้น (2) สมรสกบั คู่สมรสเดมิ (3) มีใบรับรองแพทย์ประกำศนียบัตรหรือปริญญำซึ่งเป็นผู้ประกอบกำร รักษำ โรคในสำขำเวชกรรมได้ตำมกฎหมำยวำ่ มไิ ดม้ คี รรภห์ รือ (4) มคี ำสงั่ ของศำลให้สมรสได้ การให้ความยนิ ยอมให้ทาการสมรสจะกระทาไดแ้ ตโ่ ดย (1) ลงลำยมือชื่อในทะเบยี นขณะจดทะเบียนสมรส (2) ทำเป็นหนังสือแสดงควำมยินยอมโดยระบุช่ือผู้จะสมรสทั้งสองฝ่ำย และลงลำยมอื ชือ่ ของผู้ให้ควำมยินยอม (3) ถำ้ มีเหตจุ ำเป็น จะใหค้ วำมยินยอมด้วยวำจำต่อหน้ำพยำนอย่ำงนอ้ ยสองคนก็ได้ควำมยินยอมน้นั เมื่อใหแ้ ลว้ ถอนไม่ได้ กำรสมรสในต่ำงประเทศระหว่ำงคนท่ีมีสัญชำติไทยด้วย กัน หรอื ฝ่ำยใดฝ่ำยหนึ่งมีสัญชำติไทย จะทำตำมแบบทีก่ ำหนดไว้ตำม กฎหมำยไทยหรอื กฎหมำยแห่งประเทศน้นั กไ็ ด้ หลักฐานที่ใช้ในการจดทะเบียนสมรส 1. คู่สมรสทั้งสองที่บรรลุนิติภำวะแล้ว ให้นำบัตรประจำตวั ประชำชนและสำเนำทะเบยี นบำ้ นของท้งั สองฝ่ำยไปแสดง

2. ถ้ำคู่สมรสมีอำยุต้ังแต่ 17 ปีข้ึนไปแต่ยังไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์ ท้ังสองฝ่ำยหรือฝ่ำยหน่ึงฝ่ำยใด นอกจำกต้องใช้หลักฐำนในข้อ 1 แล้ว ต้องนำบิดำมำรดำหรือผู้ปกครอง หรือหนังสือยินยอมจำกบิดำมำรดำหรือผู้ปกครอง ซึ่งมีพยำนลงลำยมือช่ือ 2 คนเซ็นรับรองไปแสดงพรอ้ มบัตรประจำตัวประชำชนของบิดำมำรดำหรอื ผ้ปู กครอง การใหค้ ายนิ ยอมในการสมรส สำหรับคู่สมรสท่ียงั ไมบ่ รรลนุ ิติภำวะหรอื อำยุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์จะต้องได้รับควำมยินยอมจำกพ่อและแม่ของท้ังสองฝ่ำยจึงจะทำกำรสมรสกันได้ ซ่ึงกฎหมำยได้กำหนดวิธีกำรไวช้ ดั เจน ซึง่ ดำเนินกำรไดด้ งั นี้ 1. ลงลำยมอื ชอ่ื ในทะเบียน ขณะจดทะเบยี นสมรส หรอื 2. ทำเป็นหนังสือแสดงควำมยินยอม โดยระบุชื่อผู้จะสมรสท้ังสองฝ่ำยและลงลำยมอื ชือ่ ของผู้ใหค้ ำยินยอมในหนงั สอื นน้ั หรือ 3. ถ้ำมีควำมจำเป็นจะให้ควำมยินยอมด้วยวำจำต่อหน้ำพยำนอย่ำงน้อยสองคนก็ได้ กำรยนิ ยอมนั้นเม่ือไดแ้ ลว้ ไม่สำมำรถถอนได้ กำรสมรสที่ดำเนินกำรตำมเงื่อนไขและขั้นตอนตำมที่กฎหมำยกำหนดแล้ว ต่อมำภำยหลังทรำบว่ำ กำรสมรสนั้นขัดต่อเง่ือนไขที่กฎหมำยกำหนด เช่น ฝ่ำยใดฝ่ำยหน่ึงมีคู่สมรสอยู่ก่อนแล้วมำจดทะเบียนซ้ำ กำรสมรสครั้งหลังนี้ก็ถือว่ำสมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมำยอยู่จนกว่ำฝ่ำยท่ีเสียหำยจะฟ้องร้องต่อศำลให้พิพำกษำเพิกถอนกำรสมรสน้ัน บุคคลอื่นไม่มีอำนำจที่จะเพิกถอนกำรสมรสได้ แม้นำยทะเบยี นผรู้ บั จดทะเบยี นนัน้ เอง ท้งั นี้ ในกำรจดทะเบียนสมรสนั้น นอกเหนือจำกหญิงและชำยจะเป็นสำมีภรรยำที่ถูกต้องกันตำมกฎหมำยแล้ว บุตรท่ีเกิดมำก็เป็นบุตรที่ถูกต้องตำมกฎหมำยด้วย คู่สมรสได้รับกำรยกยอ่ งในสงั คม ได้รบั กำรลดหยอ่ นภำษีเงนิ ได้ หำกเปน็ ข้ำรำชกำรจะมีสิทธไิ ด้รับเงินช่วยเหลอื บตุ รคำ่ เล่ำเรียนและค่ำรักษำพยำบำล 4.3การจดทะเบียนรับรองบุตร ในระหว่ำงกำรสมรส สำมีภรรยำท่ีจดทะเบียนถูกต้องตำมกฎหมำยและมีบุตรด้วยกันถือว่ำ บุตรผู้น้ันเป็นบุตรท่ีชอบด้วยกฎหมำย ซ่ึงมีสิทธิ์ใช้ชื่อสกุลของบิดำ แต่หำกไม่มีกำรจดทะเบียนสมรสกนั ถือว่ำบุตรที่เกิดนัน้ เป็นบุตรนอกสมรส หรือหำกบดิ ำไม่ปรำกฏ บุตรน้ันมีสิทธ์ิใช้ชื่อสกุลของมำรดำ ซึ่งโดยกฎหมำยจะถือว่ำบุตรนั้นเป็นบุตรท่ีชอบด้วยกฎหมำยของมำรดำเสมอ บุตรนอกสมรสจะเป็นบุตรท่ีชอบด้วยกฎหมำยของบิดำได้ต่อเม่ือปฏิบัติตำมที่กฎหมำยกำหนดไว้ดังนี้  เมอ่ื บิดำมำรดำจดทะเบียนกันภำยหลัง

 บิดำไดใ้ ห้กำรจดทะเบยี นรบั รองวำ่ เปน็ บุตร  เม่อื ศำลพพิ ำกษำว่ำเป็นบตุ ร ในกำรจดทะเบียนรับรองบุตรนั้น บิดำมำรดำและบุตรจะต้องไปท่ีว่ำกำรอำเภอหรือก่ิงอำเภอ หรือสำนักงำน ถำ้ มำรดำและบตุ รไมไ่ ด้ไปดว้ ย นำยทะเบียนผู้รบั จดจะแจ้งไปยังฝำ่ ยที่ไม่มำ เพื่อให้มำให้ควำมยินยอมหรือคัดค้ำนกำรขอจดทะเบียนน้ัน ถ้ำพ้น 60 วัน นับแต่วันแจ้งควำมของนำยทะเบียนไปถึงถือว่ำไม่มีกำรคัดค้ำน นำยทะเบียนก็จะรับจดทะเบียนให้ ถ้ำมำรดำและบุตรอยู่ต่ำงประเทศก็จะขยำยเวลำไปเป็น 180 วัน เมื่อบิดำได้จดทะเบียนรับรองบุตรแล้วบตุ รนน้ั ย่อมเป็นบตุ รทีช่ อบด้วยกฎหมำยของบิดำ นบั แต่วนั ท่ีจดทะเบยี นนั้นไป 4.4มรดกและการทาพนิ ยั กรรม มรดก หมำยถึง ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตำย ตลอดทั้งสิทธิหน้ำท่ีและควำมรบั ผิดชอบต่ำง ๆ เช่นสิทธติ ำมสญั ญำซื้อขำย สิทธใิ นกำรไถถ่ อนกำรขำยฝำก เปน็ ต้น เมื่อบุคคลได้ถึงแก่ควำมตำย ทรัพย์สินทุกอย่ำง รวมท้งั ทม่ี ีในขณะนน้ั ถือวำ่ เป็นมรดกของบุคคลนัน้ ท่ีจะตกทอดไปยังลกู หลำนหรือญำติสนทิ ทเ่ี ปน็ ทำยำท เว้นแต่สิทธบิ ำงอยำ่ งซ่ึงเป็นสทิ ธิเฉพำะตัว ถือว่ำสิทธิน้ันเปน็ อนั ส้ินไปเมอื่ บคุ คลนน้ั ไดต้ ำยไป ไม่ถือว่ำเป็นมรดก 4.5ทายาทโดยธรรมและผ้รู บั พนิ ัยกรรม ทำยำทโดยธรรมและผูร้ บั พนิ ยั กรรม คือ ผ้ทู มี่ สี ิทธริ ับมรดกของผู้ตำย ซึ่งมลี กั ษณะที่แตกต่ำงกันดังน้ีทำยำทโดยธรรม หรือเรียกว่ำทำยำทท่ีมีสิทธิตำมกฎหมำย ได้แก่ ผู้ที่มีควำมผูกพันกับผู้ตำยโดยควำมเป็นญำติหรือคู่สมรสหรือเป็นบุตร ซ่ึงกฎหมำยกำหนดไว้ 6 ลำดับ ได้แก่ผ้สู ืบสันดำน ได้แก่ บตุ ร บุตรนอกกฎหมำยทบ่ี ิดำรับรองแลว้ และบตุ รบุญธรรม  บิดำมำรดำ  พน่ี อ้ งรว่ มบดิ ำมำรดำ  พน่ี อ้ งรว่ มแตบ่ ดิ ำ หรอื มำรดำ  ปู่ ยำ่ ตำ ยำย  ลุง ป้ำ นำ้ อำ ผู้รับพินัยกรรม หมำยถึง ผู้ท่ีมีชื่อปรำกฏในพินัยกรรมที่เจ้ำของมรดกมีเจตนำยกทรัพย์ให้ ในกรณีท่ีผู้ตำยประสงค์ท่ีจะให้ญำติของตนแต่ละคนได้รับมรดกในสัดส่วนท่ีไม่เท่ำกันหรือตอ้ งกำรให้บุคคลอน่ื ทไี่ มใ่ ชญ่ ำติมำมีสว่ นรับมรดกของตน หรอื ไม่ต้องกำรให้ญำติของตนคนใดมำรับมรดกของตัวเอง ทำได้โดยกำรทำพินัยกรรมระบุไว้ว่ำจะยกทรัพย์สินใดให้แก่ใครบ้ำง เป็นจำนวนเท่ำไร ซ่ึงผู้รับมรดกตำมพินัยกรรมนี้ เรียกว่ำ ผู้รับพินัยกรรม ซ่ึงอำจจะเป็นบุคคลธรรมดำหรือเป็นวัด มลู นธิ ิ หรอื โรงพยำบำลก็ได้

4.6การทาพินยั กรรม ในกำรทำพินัยกรรม จะต้องเปน็ ลำยลกั ษณอ์ กั ษร เป็นหนังสอื พินยั กรรม ซ่งึ มีแบบพิธีในกำรทำ 3 แบบดังน้ีพินัยกรรมธรรมดำ เป็นหนังสือพินัยกรรมที่ลง วัน เดือน ปี ทีทำมีพยำนรับรอง 2 คน และผู้ทำพินยั กรรมต้องลงชอื่ ไว้ด้วย ถำ้ ลงเขียนหนังสือไม่ได้ให้ประทับตรำหัวแม่มือขวำลงในพินัยกรรม แทนกำรลงช่ือ พินัยกรรมเขียนเอง ผู้ทำพินัยกรรมต้องเขียนด้วยลำยมือตัวเองทั้งฉบับ แล้วลงชื่อ และวันเดือนปี ท่ีทำพินัยกรรมด้วย พินัยกรรมทำที่อำเภอ ผู้ทำพินัยกรรมต้องไปหำนำยอำเภอ หรือผู้อำนวยกำรเขตให้ทำพินัยกรรมให้ และต้องลงช่ือไว้ในพนิ ัยกรรมน้ันด้วยพร้อมพยำนอีก 2 คน ในกำรพินัยกรรมไม่ว่ำจะเป็นแบบใดน้ัน ผู้ทำพินัยกรรมจะสำมำรถยกเลิกเม่ือใดก็ได้ และพินัยกรรมจะมผี ลใชบ้ ังคับกต็ ่อเมื่อผู้ทำพินยั กรรมได้ถึงแก่ควำมตำยไปแล้วเทำ่ นน้ั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook