Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัยในชั้นเรียน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนให้มีวินัย (วิจัย 2563 )

วิจัยในชั้นเรียน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนให้มีวินัย (วิจัย 2563 )

Published by บัญญัติ เคล้าคลึง, 2021-09-13 14:02:07

Description: วิจัยในชั้นเรียน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนให้มีวินัย (วิจัย 2563 )

Search

Read the Text Version

งานวิจยั การศึกษา เรอื่ ง การปรับเปลย่ี นพฤตกิ รรมการเรยี นให้มีวินยั และความรบั ผดิ ชอบ ของนักศกึ ษา ปวช. 3 สาขาคอมพวิ เตอรธ์ รุ กจิ ปีการศึกษา 2564 นายบญั ญัติ เคลา้ คลึง ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563 วิทยาลยั การอาชีพบ้านลาด

กติ ตกิ รรมประกาศ การวิจัยเรื่องการปรับเปล่ียนพฤติกรรมการเรียนให้มีวินัยและความรับผิดชอบของนักศึกษา ปวช. 3 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยการอาชีพบ้านลาด คร้ังน้ี ได้รับการสนับสนุนจากนักศึกษาจากวิทยาลัยการ อาชีพบ้านลาด ท่ีให้การสนับสนุนการวิจัยด้วยดีและให้ ข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้จัดทา ขอขอบพระคุณผู้ให้ข้อเสนอแนะ พร้อมทั้งช่วยตรวจสอบ ปรับปรุงและแก้ไขรายงานการวิจัยครั้งนี้ อย่างดีมา ตลอด จนกระท่ังทาใหก้ ารวิจัยคร้ังน้ี สาเร็จและสมบูรณ์มากยิ่งข้ึน คณะผู้จดั ทายงั ได้รบั ความช่วยเหลือและความ อนุเคราะห์จากคณะอาจารย์ฝ่ายปกครองและสภานักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ทุกชั้นปี จาก วิทยาลัยการอาชีพบ้านลาด ที่ให้การสนับสนุนในการทาการวิจัยในคร้ังน้ีในการศึกษา ค้นคว้าและสารวจ ข้อมูล ต่างๆ เพื่อเปน็ ส่วนหน่ึงในการเตรียมความพร้อมของอาจารย์ในการวางแผนชุดการเรียนรู้ ปรบั ปรงุ วิธกี ารสอนให้ สอดคลอ้ งกับพฤตกิ รรมของนักศึกษา ผจู้ ัดทาขอขอบคณุ ในความอนุเคราะห์และความร่วมมือท่ีดี ผู้วจิ ัย บัญญัติ เคล้าคลึง

สารบญั บทท่ี 1 ความเป็นมาและความสาคญั บทที่ 2 ความสาคญั ของการศึกษา ...…..……………………............................................. 1 บทท่ี 3 วัตถปุ ระสงค์ .………………………………………......................................... 2 บทท่ี 4 บทที่ 5 สมมตุ ฐิ านการวจิ ยั .……………………..................................................................... 2 ขอบเขตของการศึกษาคน้ คว้า..………….................................................................. 2 นิยามศพั ท์เฉพาะ....………………………………...................................................... 2 เอกสารและทฤษฎีทเ่ี ก่ียวข้อง จติ วทิ ยาการศึกษา ……………………..………………………….............................. 3 เจตคติ (Attitude) ……………………..………………………….............................. 8 ทฤษฎแี รงจูงใจ ……………………..…………………………................................. 14 ทฤษฎกี ารเรยี นรู้แบบวางเงื่อนไข แบบแบบการกระทาของสกนิ เนอร์……………… 15 วธิ ีการดาเนินการศึกษาค้นคว้า ข้ันตอนการดาเนนิ การวิจัย …...……………………..................................... 16 ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง ………………………………………............................. 17 เครือ่ งมือที่ใชใ้ นการวิจัย ……………………………............................................. 17 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ……………………......................................................... 17 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ……………………......................................................... 17 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู การวิเคราะห์ข้อมลู ........................................................................... 18 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล ……………………….................................... 21 สรปุ ผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ ความมุง่ หมาย ……………………………………….............................. 23 ประชากร/กลุ่มตวั อยา่ ง ..……………………………........................................... 23 เครอ่ื งทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาคน้ คว้า ……………………………............................... 23 วิธกี ารดาเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูล………..………………...................................... 23 สรปุ ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ……………….. …....................................................... 23 ข้อเสนอแนะ ……………….…………………................................................. 25 บรรณานุกรม ภาคผนวก ประวตั ผิ ู้จดั ทาวิจัย

ช่ือเรอ่ื ง : การปรับเปล่ยี นพฤติกรรมการเรยี นให้มวี นิ ัยและความรับผิดชอบของนักศึกษา ปวช. 3 สาขาคอมพิวเตอร์ ชอื่ ผู้วจิ ัย : นายบญั ญัติ เคลา้ คลึง สาขาวิชา : แผนกพาณชิ ยกรรม ปกี ารศึกษา : 2563 บทคดั ย่อ งานวิจัยในช้ันเรียนฉบับน้ี มีจุดมุ่งหมายเพ่ือเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนให้เป็นผู้มีวินัยและ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่และการเรียนดีขึ้นของนักศึกษา ปวช. 3 สาขาคอมพิวเตอร์ ปีการศึกษา 2563 วิทยาลัยการอาชีพบ้านลาด โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสังเกต การสัมภาษณ์ ข้อมูลด้านการเรียนของ แต่ละวชิ า และการตอบแบบสอบถามจากนักเรียน การใช้แรงจูงใจเสริมแรงโดยให้คาชมเชยแกน่ ักเรียน รวมทั้ง ดูแลด้านการเรียนให้มีความรับผิดชอบ สนใจเรียน และติดตามจากผู้ปกครอง คุณครูท่ีเข้าสอนแต่ละ วิชา ทาให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นต่อการมาเรียนและการเรียนมากข้ึน มีความเอาใจใส่ต่อการเรียน รับผิดชอบและสนใจเรียนมากขึ้น ทาให้บรรยากาศการเรียนภายในห้องเรียนท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้ มีความต้ังใจ เรียนมากขึ้น มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่ขาดเรียนหรือมาสาย ทางานท่ีได้รับมอบหมายและส่งงานตรง กาหนดเวลา รจู้ ักชว่ ยเหลือซ่งึ กันและกันดว้ ยความเตม็ ใจ

บทท่ี 1 บทนา ความเปน็ มาและความสาคัญ ปัจจุบันสังคมท่ีมีการเปล่ียนแปลงในทุก ๆ ด้าน ท้ังในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง จึงจาเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบต่าง ๆ มาเกื้อหนุนกัน ซ่ึงต้องมีการพัฒนาโดยต้องคานึงถึงทรัพยากรที่มี คุณภาพและสิ่งท่ีสาคัญท่ีสุดคือทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ โดยจะต้องมีคุณสมบัติด้านสมรรถภาพทางร่างกาย และจิตใจท่ีดี มีสติปัญญา มีความรู้ความสามารถ มีความอดทน ขยันขันแข็ง ไม่ย่อท้อต่อความยากลาบาก กล้าเผชิญปัญหาและอุปสรรคด้วยความมุ่งม่ัน ถ้ามนุษย์ทุกคนมีคุณสมบัติดังกล่าวก็จะเป็นผู้มีวินัยในตนเอง ซึ่งจะเป็นวัฒนธรรมที่ทุกคนในสังคมต้องปฏิบัติ เพราะจะทาให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข วินัยจึงเป็น คุณธรรมที่ควรสร้างและปลูกฝังให้ทุกคนใช้เป็นแนวทางสาหรับบังคับพฤติกรรมของตนเอง ทาให้บรรลุตาม จุดหมายของชีวิตและประสบความสาเร็จในชีวิต เพราะฉะน้ันครูควรสร้างสรรค์วินัยให้เกิดแก่นักเรียน เม่ื อ นักเรียนมีวินัย มีความรับผิดชอบในหน้าท่ีของตนจะทาให้สามารถควบคุมพฤติกรรมของตนให้เป็นไปในทางท่ีดี งาม จึงควรมีการปลูกฝังให้ยึดถือและปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ถ้าหากในสังคมไม่มีการปลูกฝังและพัฒนาเด็กให้มี วินัยและมีคุณภาพแล้ว การพัฒนาสงั คมและประเทศก็จะเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธภิ าพจึงควรต้องปลูกฝังวนิ ัยใน ตนเองให้เป็นพน้ื ฐาน ในทสี่ ุดก็จะสามารถพฒั นาประเทศชาตใิ หม้ คี วามกา้ วหนา้ มากยง่ิ ขนึ้ ดงั นนั้ การศกึ ษาจงึ เป็นส่ิงท่ีสาคัญและมีความจาเป็นอย่างมากในการท่ีจะพัฒนาให้มนุษยม์ ีประสทิ ธภิ าพ จากการเป็นคณุ ครปู ระจาชั้นของนักศึกษา ปวช. 3 สาขาคอมพิวเตอร์ วทิ ยาลัยการอาชีพบ้านลาด ซ่ึงมีหน้าท่ี ดูแลนักเรียนด้านพฤติกรรมและการเรียนของนักเรียนท้ังภายในและภายนอกห้องเรียน พบว่า พฤติกรรมการ เรียนของนักเรียนบางคนในห้องเรียนไม่สนใจเรียน ขาดความรับผิดชอบและระเบียบวินัย จึงทาให้บรรยากาศ การเรยี นรไู้ ม่เออ้ื ต่อการเรียนการสอนและมีพฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงค์จึงทาให้เกิดปัญหาในการเรียนรู้จะส่งผลต่อ นักเรียนบางคนท่ีมีผลการเรียนค่อนข้างต่า จึงต้องใช้กระบวนการวิจัยมาแก้ปัญหาโดยการนาทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีแรงจูงใจ และทฤษฎีการวางเง่ือนไข มาใช้กับนักเรียนเพื่อเป็นการพัฒนาและปรับเปล่ียนพฤติกรรมการ เรียนและส่งเสริมศักยภาพของนักเรียน ใหเ้ กิดการเรียนรเู้ ต็มศกั ยภาพและความสามารถของตนเอง ซึ่งจะส่งผลให้ นักเรียนมีวินัย ความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเอง มีบรรยากาศการเรียนรู้ที่เหมาะสม เป็นการปลูกฝังระเบียบ วนิ ยั การรับผดิ ชอบต่อตนเองและผอู้ ื่น ทาให้สามารถพัฒนานักเรยี นใหเ้ กดิ การเรียนรู้อย่างมีประสิทธภิ าพและมี ผลการเรียนดขี ึน้ ความสาคัญของการศกึ ษา การศกึ ษาวิจัยในครัง้ น้ีทาใหท้ ราบถึงดา้ นพฤติกรรมการเรียน เมื่อศึกษามีการปรับเปล่ยี นพฤติกรรมให้ เป็นผทู้ ม่ี วี นิ ัยในตนเองและความรบั ผดิ ชอบ จะทาใหน้ กั เรียนสนใจเรยี นและมีความขยนั อดทน มแี รงจูงใจ ทาให้มผี ลการเรยี นดีข้นึ ซึ่งจะเปน็ ประโยชนต์ ่อครผู ู้สอน และครทู ุกท่านทจ่ี ะนามาเสริมสรา้ ง พัฒนานกั ศกึ ษา ให้มคี ุณคา่ มีคุณประโยชนต์ อ่ ครอบครวั โรงเรยี น สังคมและประเทศชาติต่อไป

วตั ถปุ ระสงค์ เพอื่ เปน็ การปรับเปลย่ี นพฤติกรรมการเรยี นใหเ้ ปน็ ผมู้ ีวนิ ยั และความรบั ผดิ ชอบต่อหน้าที่และการเรียนดี ขนึ้ ของการปรบั เปลย่ี นพฤติกรรมการเรยี นให้มวี ินัยและความรบั ผดิ ชอบของนกั ศกึ ษา ปวช. 3 สาขาคอมพวิ เตอร์ ปกี ารศึกษา 2563 ของ วิทยาลยั การอาชีพบา้ นลาด สมมตุ ิฐานการวิจยั การปรบั เปลีย่ นพฤติกรรมการเรยี นใหม้ วี ินยั และความรบั ผิดชอบต่อหน้าท่ีของนกั เรยี น ทาใหส้ ามารถ พัฒนาศักยภาพดา้ นพฤติกรรมและการเรียนให้ดีข้ึน ขอบเขตของการศึกษาค้นควา้ 1. ประชากร ในการศึกษาค้นคว้าเป็นของนกั ศึกษา ปวช. 3 สาขาคอมพวิ เตอร์ ปีการศกึ ษา 2563 ของ วทิ ยาลัยการอาชีพบา้ นลาด จานวน 13 คน 2. ตัวแปรทศ่ี ึกษา 2.1 ตัวแปรอิสระ คือ พฤติกรรมด้านวินัยและความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเองได้แก่ วนิ ยั ในตนเอง ความรบั ผิดชอบ แรงจงู ใจในการเรียน 2.2 ตวั แปรตาม คือ พฤตกิ รรมดา้ นความมีวินยั ในตนเอง นิยามศพั ท์เฉพาะ ความมีวนิ ัยในตนเอง หมายถึง การประพฤติปฏบิ ตั ิตามกฎระเบียบและไมท่ าผิดต่อกฎระเบียบในการ เป็นนักเรยี น ความรบั ผิดชอบ หมายถึง ความมุ่งม่ันของนักเรียนที่จะงานท่ีได้รบั มอบหมายให้สาเร็จลุล่วงด้วยดี และ ตั้งใจเรียนอย่างเต็มความสามารถ แรงจูงใจในการเรียน หมายถึง การแสดงพฤติกรรมเม่ือถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้า เชน่ คาชมเชย การให้รางวลั ฯลฯ แล้วสามารถประพฤตติ นได้บรรลุเป้าหมายโดยการเรยี นรขู้ องแตล่ ะคน

บทท่ี 2 เอกสารและทฤษฎที ีเ่ กยี่ วขอ้ ง ทฤษฎีทเี่ กยี่ วขอ้ งในการจัดทางานวิจัย มดี งั นี้ จติ วทิ ยาการศึกษา เจตคติ (Attitude) ทฤษฎีแรงจูงใจ ทฤษฎีการเรยี นรู้แบบวางเงื่อนไข แบบแบบการกระทาของสกนิ เนอร์ จติ วทิ ยาการศึกษา จิตวิทยาการศึกษา มีบทบาทสาคญั ในการจัดการศึกษา การสรา้ งหลักสตู รและการเรยี นการสอนโดย คานึงถึงความแตกต่างของบุคคล นักศึกษาและครู จาเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานทางจิตวิทยาการศึกษา เพ่ือจะได้ เข้าใจพฤตกิ รรมของผเู้ รียนและกระบวนการเรียนรู้ ตลอดจนถึงปัญหาต่างๆเก่ียวกบั การเรียนการ ความสาคัญของการศกึ ษาจติ วิทยาการศึกษา ความสาคัญของวัตถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษาและบทเรียน นกั จติ วทิ ยาการศึกษาได้เน้นความสาคญั ของ ความชัดเจนของการระบวุ ัตถุประสงคข์ องการศกึ ษาบทเรยี นตลอดจนถึงหนว่ ยการเรียน เน่ืองจาวัตถุประสงค์จะ เป็นตัวกาหนดการจดั การเรียนการสอน ทฤษฎีพฒั นาการ และทฤษฎบี ุคลกิ ภาพ เป็นเรื่องท่นี ักการศึกษาและครู จะต้องมีความรู้เพราะจะช่วยให้เข้าใจเอกลักษณ์ของผู้เรียนในวัยต่าง ๆ โดยเฉพาะวัยอนุบาล วัยเด็ก และวัยรุ่น ซ่ึงเป็นวัยที่กาลังศึกษาในโรงเรียน ความแตกต่างระหว่างบุคคลและกลุ่ม นอกจากมีความเข้าใจพัฒนาการของ เด็กวัยต่าง ๆ แล้ว นักการศึกษาและครูจะต้องเรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและกลุ่มทางด้านระดับ เชาวน์ปัญญา ความคดิ สร้างสรรค์ เพศ สถานะทางเศรษฐกจิ และสังคม ซ่ึงนักจติ วิทยาได้คดิ วธิ ีการวิจัยที่จะช่วย ช้ีให้เห็นว่า ความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นตัวแปรท่ีสาคัญในการเลือกวิธีสอนและในการสร้างหลักสูตรที่ เหมาะสม ทฤษฎีการเรียนรู้ นักจิตวิทยาที่ศึกษาวิจัยเก่ียวกับการเรียนรู้นอกจากจะสนใจว่าทฤษฎีการเรียนรู้ จะช่วยนักเรียนให้เรียนรู้และจดจาอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไรแล้ว ยังสนใจองค์ประกอบเกี่ยวกับตัวของ ผู้เรียน เช่น แรงจูงใจว่ามีความสัมพันธ์กับการเรียนรู้อย่างไร ความรู้เหล่าน้ีก็มีความสาคัญต่อการเรียนการสอน ทฤษฎีการสอนและเทคโนโลยีทางการศึกษา นักจิตวิทยาการศึกษาได้เป็นผู้นาในการบุกเบิกตั้งทฤษฎีการสอน ซึ่งมีความสาคัญและมีประโยชน์เท่าเทียมกับทฤษฎีการเรียนรู้และพัฒนาการในการช่วยนักการศึกษาและครู เกี่ยวกับการเรียนการสอน สาหรับเทคโนโลยีในการสอนท่ีจะช่วยครูได้มากก็คือ คอมพิวเตอร์ช่วยการสอน หลักการสอนและวิธีสอน นักจิตวิทยาการศึกษาได้เสนอหลักการสอนและวิธีการสอนตามทฤษฎีทางจิตวทิ ยาที่ แต่ละทา่ นยดึ ถอื เชน่ หลกั การสอนและวิธีสอนตามทัศนะนักจติ วิทยาพฤตกิ รรมนิยม ปัญญานิยม และมนษุ ยนิยม หลักการวัดผลและประเมินผลการศึกษา ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องน้ีจะช่วยให้นักการศึกษา และครูทราบว่า การเรยี นการสอนมีประสทิ ธิภาพหรอื ไม่ หรอื ผูเ้ รยี นได้ สมั ฤทธิผลตามวตั ถุประสงค์เฉพาะของแตล่ ะวชิ าหรอื หนว่ ยเรยี นหรือไม่ เพราะถ้าผ้เู รียนมีสัมฤทธิผลสงู ก็จะเป็น ผลสะท้อนว่าโปรแกรมการศึกษามีประสิทธิภาพและการสร้างบรรยากาศของห้องเรียน เพ่ือเอื้อการเรียนรู้และ ช่วยเสริมสรา้ งบคุ ลิกภาพของนักเรยี น ความสาคญั ของจิตวิทยาการศึกษาตอ่ อาชีพครูมีความสาคญั ในเร่ืองต่อไปน้ี

1. ชว่ ยใหค้ รูรจู้ กั ลกั ษณะนสิ ัยของนกั เรยี นทค่ี รตู ้องสอนโดยทราบหลักพฒั นาการท้งั ทางรา่ งกา สติปัญญา อารมณ์ สังคม และบคุ ลกิ ภาพเปน็ ส่วนรวม 2. ช่วยให้ครูมคี วามเขา่ ใจพฒั นาการทางบุคลกิ ภาพบางประการของนักเรียน เช่น อตั มโนทัศน์ วา่ เกดิ ข้นึ ไดอ้ ยา่ งไร และเรยี นรู้ถึงบทบาทของครูในการทช่ี ว่ ยนักเรียนใหม้ ีอัตมโนทศั น์ท่ดี ีและถกู ตอ้ งได้อยา่ งไร 3. ช่วยครูใหม้ ีความเขา้ ใจในความแตกต่างระหวา่ งบคุ คลเพื่อจะได้ช่วยนักเรียนเป็นรายบุคคลให้พัฒนา ตามศักยภาพของแตล่ ะบุคคล 4. ชว่ ยใหค้ รรู ู้วิธีจดั สภาพแวดลอ้ มของห้องเรยี นใหเ้ หมาะสมแก้วยั และขนั้ พัฒนาการของนักเรียน เพอ่ื จูงใจใหน้ กั เรียนมีความสนใจและมคี วามท่ีอยากจะเรียนรู้ 5. ช่วยใหค้ รทู ราบถงึ ตัวแปรตา่ งๆ ท่ีมอี ทิ ธิพลตอ่ การเรยี นรูข้ องนกั เรยี นเชน่ แรงจูงใจอัตมโนทศั น์ แล การตงั้ ความคาดหวังของครทู ่มี ตี ่อนักเรยี น 6. ชว่ ยครูในการเตรียมการสอนวางแผนการเรียน เพอ่ื ทาให้การสอนมีประสิทธภิ าพสามารถชว่ ยให้ นกั เรียนทุกคนเรียนตามศักยภาพของแตล่ ะบคุ คล โดยคานงึ ถึงหวั ขอ้ ต่อไปนี้ 6.1 ช่วยครูเลือกวัตถปุ ระสงคข์ องบทเรยี นโดยคานึงถงึ ลักษณะนสิ ัยและความแตกต่างระหว่าง บุคคลของนักเรียนที่จะต้องสอนและสามารถท่ีจะเขียนวัตถุประสงค์ให้นักเรียนเข้าใจว่าส่ิงคาดหวังให้นักเรียนรู้มี อะไรบ้าง โดยถือว่าวัตถุประสงค์ของบทเรียนคือส่ิงที่จะช่วยให้นักเรียนทราบ เม่ือจบบทเรียนแล้วนักเรียน สามารถทาอะไรไดบ้ ้าง 6.2 ช่วยครูในการเลือกหลักการสอนและวธิ สี อนท่ีเหมาะสม โดยคานงึ ลกั ษณะนิสัยของ นกั เรียนและวิชาทีส่ อน และกระบวนการเรยี นรู้ของนกั เรยี น 6.3 ช่วยครใู นการประเมนิ ไม่เพยี งแตเ่ ฉพาะเวลาครูไดส้ อนจนจบบทเรยี นเท่านน้ั แต่ใช้ ประเมินความพร้อมของนักเรียนก่อนสอน ในระหว่างที่ทาการสอน เพ่ือทราบว่านักเรียนมีความก้าวหน้าหรือมี ปญั หาในการเรียนรู้อะไรบ้าง 7. ชว่ ยครใู หท้ ราบหลกั การและทฤษฎขี องการเรียนรู้ทน่ี ัก ไดพ้ ิสูจน์แล้ววา่ ได้ผลดี เช่น การเรียนจาก การสงั เกตหรือการเลียนแบบ 8. ชว่ ยครูให้ทราบถงึ หลกั การสอนและวิธสี อนทมี่ ีประสิทธภิ าพรวมทง้ั พฤติกรรมของครูท่ีมีการสอน อยา่ งมีประสิทธิภาพวา่ มอี ะไรบา้ ง เช่น การใชค้ าถาม การใหแ้ รงเสริม และการทาตนเป็นต้นแบบ 9. ช่วยครใู หท้ ราบว่านักเรยี นที่มผี ลการเรยี นดไี ม่ไดเ้ ป็นเพราะระดบั เชาวน์ปญั ญาเพยี งอย่างเดยี ว แต่มีองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น แรงจูงใจ ทัศนคติหรืออัตมโนทัศน์ของนักเรียนและความคาดหวังของครูที่มีต่อ นกั เรยี น 10. ช่วยครูในการปกครองชั้นและการสร้างบรรยากาศของห้องเรียนให้เอ้ือต่อการเรียนรู้และเสริมสร้าง บุคลิกภาพของนักเรียน ครูและนักเรียนมีความรักและไว้วางใจซ่ึงกันและกันนักเรียน ต่างก็ช่วยเหลือกันและกัน ทาให้ห้องเรยี นเป็นสถานที่ท่ที ุกคนมคี วามสุขและนักเรียนรกั โรงเรยี น อยากมาโรงเรียน เนือ่ งจากการศึกษามีบทบาทสาคัญในการช่วยให้เยาวชนพฒั นาการท้ังทางด้านเชาวนป์ ญั ญา และทาง

บุคลิกภาพ เพื่อช่วยให้เยาวชนมีความสาเร็จในชีวิต ทุกประเทศจึงหาทางส่งเสริมการศึกษาให้มีคุณภาพ มี มาตรฐานความเป็นเลิศ ความรู้เก่ียวกับจิตวิทยาการศึกษาจึงสาคัญในการช่วยท้ังครูและนักศึกษาผู้มีความ รบั ผดิ ชอบในการปรับปรุงหลกั สูตรและการเรยี นการสอน พัฒนาการจิตวทิ ยาการศึกษา จิตวิทยา เป็นศาสตร์ท่ีมีคนสนใจมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณก่อนคริสต์กาล มีนักปรัชญาชื่อ พลาโต (Plato 427 – 347 ก่อนคริสต์กาล) อริสโตเติล (Aristotle 384 – 322 ก่อนคริสต์กาล) ได้กล่าวถึง ธรรมชาติและพฤติกรรมของมนุษย์ในเชิงปรัชญามากกว่าแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ การศึกษาในยุคน้ันเป็นแบบ เก้าอี้โต๊ะกลมหรือเรียกว่า Arm Chair Method เรียกจิตวิทยาในยุคน้ันว่า จิตวิทยายุคเก่าเพราะ นักจิตวิทยาน่ังศึกษาอยู่กับโต๊ะทางาน โดยใช้ความคิดเห็นของตนเองเพียงอย่างเดียวไม่มีการทดลอง ไม่มีการ วิเคราะห์ใด ๆ ท้ังส้ิน ต่อมาอริสโตเตลิ ได้สนใจจิตวิทยาได้ทาการศึกษาและได้เขียนตาราเล่มแรกของโลกเป็น ตาราท่ีว่าด้วยเร่ือง วิญญาณช่ือ De Anima แปลว่า ชีวิต เขากล่าวว่า วิญญาณเป็นต้นเหตุให้คนต้องการ เรียนจิตวิทยา คนในสมัยโบราณจึงศึกษาจิตวิทยาที่เก่ียวข้องกับวิญญาณ โดยมีความเช่ือว่าวิญญาณจะสิงอยู่ใน ร่างกายของมนุษย์ขณะมีชีวิตอยู่ เม่ือคนส้ินชีวิตก็หมายถึงร่างกายปราศจากวิญญาณและวิญญาณออกจากร่าง ลอ่ งลอยไปช่ัวระยะหน่ึงแล้วอาจจะกลับสู่ร่างกายคืนอกี ได้ และเม่ือนั้นคน ๆ น้ันก็จะฟื้นคืนชีพขึน้ มาอกี ชาวกรีก จึงมีการคิดค้นวิธีการป้องกันศพไม่ให้เน่าเป่ือยท่ีเรียกว่า มัมม่ี เพ่ือคอยการกลับมาของวิญญาณ ต่อมาประมาณ ศตวรรษท่ี 11 - 12 ได้เกิดลัทธิความจริง (Realism) เป็นลัทธิที่เชื่อสภาพความเป็นจรงิ ของสิ่งต่าง ๆ และ ลัทธิความคิดรวบยอด (Conceptualism) ที่กล่าวถึงความคิดท่ีเกิดหลังจากได้วิเคราะห์พิจารณาสิ่งต่าง ๆ ถี่ถ้วนแล้ว จากลทั ธิทั้งสองนีเ้ องทาใหผ้ ู้คนมีความคดิ มากข้ึนมกี ารคดิ วเิ คราะห์ ไตรต่ รอง จึงเปน็ เหตใุ หผ้ ู้คนเริ่ม หนั มาสนใจในทางวิทยาศาสตร์ และจึงเรมิ่ มาสนใจในเร่ืองจิตวิทยาในเชิงวิทยาศาสตร์มากขึ้น ในขณะเดียวกัน กย็ ังสนใจศึกษาเรอ่ื งจิตมากข้ึนด้วย รวมทั้งให้ความสนใจศึกษาเก่ียวกับเรื่องจิตสานึก (Conscious) อันได้แก่ การมีสมาธิ การมีสติสัมปชัญญะ และเชื่อว่าจะเป็นมนุษย์ได้จะต้องประกอบไปด้วย ร่างกายกับจิตใจ จึงมี คาพูดติดปากว่า “A Sound mind is in a sound body” จิตท่ีผ่องใสอยู่ในร่างกายท่ีสมบูรณ์ ความ สนใจเร่ืองจิตจึงมีมากขึ้นตามลาดับ นอกจากน้ียังเช่ือว่า จิต แบ่งสามารถเป็นส่วนๆ ได้แก่ ความคิด (Idea) จินตนาการ (Imagine) ความจา (Memory) การรับรู้ (Concept) ส่วนท่ีสาคัญที่สุดเรียกว่า Faculty of will เป็นส่วนหนึ่งของจิตท่ีสามารถสั่งการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของร่างกายต่อมา Norman L. Mumm มีความสนใจเรื่องจิต เขา กล่าวว่า จิตวิทยา คือ การศึกษาเร่ืองจิต ในปี ค.ศ. 1590 คาว่า Psychology จงึ เป็นทร่ี ูจ้ ักและสนใจของคนทว่ั ไป จอห์น ลอค (John Locke ค.ศ. 1632 - 1704) ได้ชื่อว่าเป็น บิดาจิตวิทยาแผนใหม่ เขาเชื่อว่า ความร้สู ึกตวั ( Conscious ) และสิ่งแวดล้อมเปน็ ตวั ท่มี ีอทิ ธิพลต่อจติ วธิ ีการศกึ ษาทางจิตวทิ ยา การศึกษาทางจิตวิทยาใช้หลาย ๆ วิธีการมาผสมผสานและทาการวิเคราะห์ บนสมมุติฐาน นักจิตวิทยาจะใช้วิธีการต่าง ๆ ดังต่อไปน้ี เช่น การตรวจสอบตนเอง การสังเกต การศึกษา บคุ คลเปน็ รายกรณี การสมั ภาษณ์ การทดสอบ ดงั จะอธบิ ายเรยี งตามลาดบั ต่อไปน้ี 1. การตรวจสอบตนเอง (Introspection) หมายถึง วิธีการให้บุคคลสารวจ ตรวจสอบตนเองด้วย การย้อนทบทวนการกระทาและความรู้สึกนึกคิดของตนเองในอดีต ที่ผ่านมา แล้วบอกความรู้สึกออกมา โดยการ

อธิบายถึงสาเหตุและผลของการกระทาในเรื่องต่าง ๆ เช่น ต้องการทราบว่าทาไมเดก็ นักเรียนคนหนงึ่ จึงชอบพูด ปดเสมอ ๆ ก็ให้เล่าเหตุหรือเหตุการณ์ในอดีต ที่เป็นสาเหตุให้มีพฤติกรรมเช่นนั้นก็จะทาให้ทราบท่ีมาของ พฤติกรรมและได้แนวทางในการทจ่ี ะชว่ ยเหลือแก้ไขพฤตกิ รรมดงั กล่าวได้ การตรวจสอบตนเองจะได้รับข้อมูลตรงตามความเป็นจริงและเป็นประโยชน์ เพราะผู้รายงานที่มี ประสบการณ์และอยู่ในเหตุการณ์น้ันจริง ๆ แต่หากผู้รายงานจดจาเหตุการณ์ได้แม่นยา และมีความจริงใจใน การรายงานอย่างซื่อสตั ยไ์ มป่ ิดบังและบิดเบือนความจรงิ แต่หากผู้รายงานจาเหตุการณ์หรือเรอื่ งราวไม่ได้หรอื ไม่ ต้องการรายงานข้อมูลทแี่ ท้จรงิ ให้ทราบก็จะทาให้การตีความหมายของเรอ่ื งราวต่าง ๆ หรือเหตุการณ์ผิดพลาด ไม่ตรงตามขอ้ เทจ็ จริง 2. การสังเกต (Observation) หมายถึง การเฝ้าดูพฤติกรรมในสถานการณ์ท่ีเป็นจริง อย่างมี จดุ มุ่งหมาย โดยไมใ่ ห้ผถู้ ูกสงั เกตรตู้ วั การสังเกตแบง่ เป็น 2 ลกั ษณะคอื 2.1 การสังเกตอย่างมีแบบแผน ( Formal Observation ) หมายถึง การสังเกตท่ีมีการเตรียมการ ล่วงหน้า มีการวางแผน มีกาหนดเวลา สถานการณ์ สถานที่ พฤติกรรมและบุคคลท่ีจะสังเกต ไว้เรยี บร้อยเมื่อ ถึงเวลาท่ีนักจิตวิทยาวางแผน ก็จะเริ่มทาการสังเกตพฤติกรรมตามที่กาหนดและผู้สังเกตพฤติกรรมจะจด พฤติกรรมทุกอย่างในช่วงเวลานน้ั อย่างตรงไปตรงมา 2.2 การสังเกตอย่างไม่มีแบบแผน ( Informal Observation ) หมายถึง การสังเกตโดยไม่ต้องมีการ เตรียมการล่วงหน้าหรือวางแผนล่วงหน้า แต่สงั เกตตามความสะดวกของผู้สังเกตคือจะสังเกตช่วงเวลาใดก็ไดแ้ ล้ว ทาการจดบันทกึ พฤตกิ รรมท่ีตนเหน็ อย่างตรงไปตรงมา การสังเกตช่วยให้ได้ข้อมูลละเอียด ชัดเจนและตรงไปตรงมา เช่น การสังเกต อารมณ์ ความรู้สึก ของบุคคลต่อสถานการณ์ต่าง ๆ จะทาให้เห็นพฤติกรรมได้ชัดเจนกว่าการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการอื่น ๆ แต่การ สังเกตท่ีดีมีคุณภาพมีส่วนประกอบหลายอย่าง เช่น ผู้สังเกตจะต้องมีใจเป็นกลางไม่อคติหรือลาเอียงอย่างหนึ่ง อย่างใด และสังเกตได้ทั่วถึง ครอบคลุม สังเกตหลาย ๆ สถานการณ์หลาย ๆ หรือหลายๆ พฤติกรรม และใช้ เวลาในการสังเกต ตลอดจนการจดบันทึกการสังเกตอย่างตรงไปตรงมาและแยกการบันทึกพฤติกรรมจากการ ตีความไมป่ ะปนกัน ก็จะทาใหก้ ารสังเกตไดข้ ้อมูลตรงตามความเป็นจริงและนามาใช้ประโยชน์ตามจุดมุ่งหมาย 3. การศึกษาบุคคลเป็นรายกรณี (Case Study) หมายถึง การศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ที่สาคัญของ บคุ คล แตต่ ้องใช้เวลาศึกษาติดต่อกนั เปน็ ระยะเวลาหนงึ่ แล้วรวบรวมข้อมูลมาวเิ คราะหพ์ ิจารณาตคี วามเพ่อื ให้ เข้าใจถึงสาเหตุของพฤติกรรม หรือลักษณะพิเศษท่ีผู้ศึกษาต้องการทราบ ทั้งนี้เพ่ือจะได้หาทางช่วยเหลือแก้ไข ปรับปรุง ตลอดจนส่งเสริมพฤติกรรมให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์ท่ีสาคัญของบุคคลแต่ต้องใช้เวลาศึกษาติดต่อกัน เป็นระยะหนึ่ง แล้วรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์พิจารณาตีความเพื่อให้เข้าใจถึงสาเหตุของพฤติกรรม หรือ ลักษณะพิเศษท่ีผู้ศึกษาต้องการทราบ ท้ังน้ี เพื่อจะได้หาทางช่วยเหลือแก้ไข ปรับปรุง ตลอดจนส่งเสริม พฤตกิ รรมใหเ้ ป็นไปในทางสร้างสรรค์ 4. การสัมภาษณ์ (Interview) หมายถึง การสนทนากันระหว่างบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยมี จุดมุ่งหมาย ซึ่งการสัมภาษณ์ก็มีหลายจุดมุ่งหมาย เช่น การสัมภาษณ์เพ่ือความคุ้นเคย สัมภาษณ์เพ่ือ คัดเลือกบุคคลเข้าทางาน สัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อ ตลอดจนสัมภาษณ์เพื่อการแนะแนว และการให้คาปรกึ ษา เป็นต้น แต่ท้ังการสัมภาษณ์ก็เพื่อให้ได้ข้อมูลหรือข้อเทจ็ จรงิ ตา่ ง ๆ เพอื่ ใชใ้ นการตดั สินใจ

การสัมภาษณ์ที่ดี จาเปน็ ต้องมกี ารเตรยี มการลว่ งหน้า วางแผน กาหนดสถานที่ เวลาและเตรียมหวั ข้อ หรอื คาถามในการสมั ภาษณ์ และนอกจากน้นั ในขณะสัมภาษณ์ผสู้ ัมภาษณ์ควรจะใช้เทคนิคอนื่ ๆ ประกอบด้วยก็ ย่ิงจะได้ผลดี เช่น การสังเกต การฟัง การใช้คาถาม การพูด การสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างผู้ให้ สมั ภาษณแ์ ละผสู้ มั ภาษณก์ ็จะช่วยให้การสัมภาษณไ์ ดด้ าเนินไปดว้ ยดี 5. การทดสอบ (Testing) หมายถึง การใช้เครื่องมือที่มีเกณฑ์ในการวัดลักษณะของพฤติกรรมใด พฤติกรรมหน่ึง หรือหลาย ๆ พฤติกรรม โดยให้ผู้รับการทดสอบเป็นผู้ตอบสนองต่อแบบทดสอบซึ่งอาจเป็น แบบทดสอบภาษาและแบบปฏิบัติการหรือลงมือทา ทั้งนี้เพ่ือให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลน้ันตามจุดมุ่งหมายท่ีผู้ ทดสอบวางไว้แบบทดสอบที่นามาใช้ในการทดสอบหาข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบบุคลิกภาพ แบบทดสอบ ความสนใจ เป็นต้น การทดสอบก็มีสิ่งที่ควรคานึงถึงเพื่อผลของข้อมูลที่ไดร้ ับ ซ่งึ แบบทดสอบท่ีนามาใช้ควรเป็นแบบทดสอบ ทเี่ ชอ่ื ถือได้เปน็ มาตรฐาน ตลอดจนการแปรผลไดอ้ ย่างถูกต้อง เป็นตน้ 6. การทดสอบ (Experiment) หมายถึง วิธีการรวบรวมข้อมูลท่ีเป็นระบบ มีขั้นตอนและเป็น วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ซึ่งมลี าดับข้ันตอนดังนี้ ต้ังปัญหา ต้ังสมมุติฐาน การรวบรวมข้อมลู การทดสอบ สมมุติฐาน การแปลความหมายและรายงานผล ตลอดจนการนาผลท่ีได้ไปใช้ในการแก้ปัญหาหรือส่งเสริม ต่อไป การทดลองจึงเป็นการจัดสภาพการณ์ขึ้นมาเพ่ือดูผลการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนเพื่อศึกษาเปรียบเทียบกลุ่ม หรือสถานการณ์ คือ 1. กลุ่มทดลอง (Experiment Group) คือ กลุ่มท่ีได้รับการจัดสภาพการณ์ทดลองเพื่อศึกษาผลที่ ปรากฏจากสภาพนัน้ เชน่ การสอนดว้ ยเทคนคิ ระดมพลังสมอง จะทาให้กลุ่มเกดิ ความคิดสรา้ งสรรค์หรือไม่ 2. กลมุ่ ควบคุม (Control Group) คอื กล่มุ ที่ไม่ได้รบั การจดั สภาพการณ์ใด ๆ ทุกอย่างถูกควบคุม ให้คงภาพเดิม ใช้เพ่ือเปรียบเทียบกับกลุ่มทดลอง สิ่งที่ผู้ทดลองต้องการศึกษาเรียกว่า ตัวแปร ซึ่งมีตัวแปรอิสระ หรอื ตัวแปรตน้ (Independent Variable) และตัวแปรตาม ( Dependent Variable ) เจตคติ (Attitude) ความหมายของเจตคติ เจตคติ หมายถึงอะไร ขตั ติยา กรรณสูต (2516:2) ให้ความหมายไว้ คือ ความรสู้ ึกท่คี นเรามีต่อส่ิงหนึง่ สิ่ง ใดหรือหลายส่ิงในลักษณะที่เป็นอัตวิสัย (Subjective) อันเป็นพื้นฐานเบ้ืองต้นหรือการแสดงออกท่ีเรียกว่า พฤตกิ รรม สุชา จันทร์เอม และ สุรางค์ จันทร์เอม (2520:104) ให้ความหมายเจตคติ คือความรู้สึก หรือท่าทีของ บุคคลที่มีต่อบุคคล วัตถุส่ิงของ หรอื สถานการณ์ต่างๆ ความรู้สึก หรือท่าทีจะเป็นไปในทานองท่ีพึงพอใจ หรือไม่ พอใจ เห็นดว้ ยหรือไม่เหน็ ด้วยกไ็ ด้ สงวนศรี วิรัชชัย (2527:61) ให้ความหมายเจตคติ คือสภาพความคิด ความเข้าใจและความรู้สึกเชิง ประเมินท่ีมตี ่อส่ิงต่างๆ(วัตถุ สถานการณ์ ความคิด ผู้คน ฯลฯ) ซ่งึ ทาใหบ้ ุคคลมแี นวโน้มท่ีจะแสดงพฤติกรรมต่อสิ่ง น้นั ในลกั ษณะเฉพาะตัวตามทิศทางของทัศนคตทิ ม่ี ีอยู่ ชม ภูมิภาค (2516:64) ให้ความหมายเจตคติ คือวิถีทางที่บุคคลเกิดความรู้สึกต่อบางสิ่งบางอย่าง คา จากัดความเช่นน้ีมิใช่คาจากัดความเชิงวิชาการมากนักแต่หากเราจะพิจารณาโดยละเอียดแล้วเราก็พอจะมองเห็น ความหมายของมันลึกซ้ึงชัดเจนพอดู เมื่อพูดว่าคือความรู้สึกต่อส่ิงนั้นก็หมายความว่าเจตคตินั้นมีวัตถุ วัตถุที่

เจคติจะมุ่งตรงต่อน้นั จะเป็นอะไรก็ได้อาจจะเปน็ บคุ คล สิ่งของ สถานการณ์ นโยบายหรืออื่น ๆ อาจจะเป็นได้ทั้ง นามธรรมและรปู ธรรม ดังนัน้ วตั ถุแหง่ เจตคตินั้นอาจจะเปน็ อะไรก็ได้ทค่ี นรับรู้หรอื คดิ ถงึ ความร้สู กึ เชน่ นี้อาจจะ เป็นในด้านการจูงใจหรืออารมณ์และเช่นเดียวกันแรงจูงใจแบบอ่ืนๆคือดูได้จากพฤติกรรม ตัวอย่างเช่น เจคติต่อ ศาสนาหากเป็นเจตคติท่ีดีเราจะเกิดความเคารพในวัดเราจะเกิดความรู้สึกว่าศาสนาหรือวัดน้ันจะเป็นสิ่งจรรโลง ความสงบสุข เรายินดีบริจาคทาบุญร่วมกับวัดเราจะพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นความพร้อมที่จะถูกกระตุ้นด้วย วตั ถุ การกระทาต่างๆของคนน้ันมักถูกกาหนดด้วยเจตคติทจ่ี ะตดั สินใจว่าจะบริจาคเงินแก่วัดสักเท่าใดน้ันย่อมมี ปัจจัยต่างๆเข้าเกี่ยวข้อง เช่น ชอบสมภาร รายได้ตนเองดีข้ึน เห็นความสาคัญของวัด เห็นว่าสิ่งที่จะต้องบูรณะ มาก “เจตคติ” คือ สภาพความรู้สึกทางด้านจิตใจที่เกิดจากประสบการณ์และการเรียนรู้ของบุคคลอันเป็น ผลทาให้เกิดมีทา่ ทีหรือมคี วามคิด เห็นรู้สึกต่อส่งิ ใดสิ่งหน่ึงในลักษณะที่ชอบหรือไม่ชอบ เหน็ หรอื ไม่เหน็ ด้วย เจต คติมี ๒ ประเภทคือ เจตคตทิ วั่ ไป เจตคตเิ ฉพาะอย่าง COLLINS (1970:68) ให้ความหมายเจตคติ คือการท่ีบุคคลตัดสินในส่ิงต่างๆว่าดี –ไม่ดี เห็นด้วย-ไม่เห็น ดว้ ย ยอมรับได้-ยอมรับไม่ได้ ROKEACH (1970:10) ให้ความหมายเจตคติ คือการผสมผสานหรือจัดระเบียบของความเชื่อท่ีมีต่อสิ่ง หน่ึงส่ิงใดหรือสถานการณ์หน่ึงสถานการณ์ใดผลรวมของความเชื่อนี้จะเป็นตัวกาหนดแนวทางของบุคคลในการท่ี จะมีปฏกิ รยิ าตอบสนองในลักษณะทชี่ อบหรือไม่ชอบ BELKIN และ HKYDELL (1979:13) ให้ความหมายเจตคติ คือ แนวโน้มท่ีบุคคลจะตอบสนอง ในทาง ที่เปน็ ความพอใจ ไม่พอใจ ต่อผคู้ น เหตกุ ารณ์ และสงิ่ ตา่ งๆอยา่ งสม่าเสมอและคงท่ี ดังนั้นอาจสรุปความหมายของเจตคติ คือ ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อสิ่งใด ๆ ซ่ึงแสดงออกมาเป็น พฤติกรรมในลักษณะชอบ ไม่ชอบ อาจเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย พอใจ ไม่พอใจ ต่อสิ่งใด ๆ ในลักษณะเฉพาะตัว ตามทศิ ทางของทศั นคติท่ีมีอยู่และทาใหจ้ ะเป็นตวั กาหนดแนวทางของบุคคลในการท่จี ะมีปฏกิ ริยาตอบสนอง องคป์ ระกอบของเจตคติ องคป์ ระกอบของเจตคตทิ ่สี าคัญ 3 ประการ คอื 1. การรู้ (COGNITION) ประกอบด้วยความเชื่อของบุคคลที่มีต่อเป้าหมาย เจตคติ เช่น ทัศนคติต่อลัทธิ คอมมวิ นิสต์ สิง่ สาคญั ขององค์ประกอบนี้ ก็คอื จะประกอบด้วยความเชื่อท่ีได้ประเมนิ ค่าแล้วว่านา่ เชอื่ ถือหรอื ไม่ น่าเช่ือถือ ดีหรือไม่ดี และยังรวมไปถึงความเชื่อในใจว่าควรจะมีปฏิกริยาตอบโต้อย่างไรต่อเป้าหมายทัศนคติ จึงจะเหมาะสมท่สี ุด ดงั นั้นการรแู้ ละแนวโนม้ พฤตกิ รรมจงึ มีความเก่ยี วขอ้ งและสมั พันธอ์ ยา่ งใกลช้ ิด 2. ความรู้สึก (FEELING) หมายถึง อารมณ์ที่มีต่อเป้าหมาย เจตคติ น้ัน เป้าหมายจะถูกมองด้วย อารมณ์ชอบหรือไม่ชอบ ถูกใจหรือไม่ถูกใจ ส่วนประกอบด้านอารมณ์ ความรู้สึกน้ีเองท่ีทาให้บุคคลเกดิ ความดื้อ ดงึ ยึดม่นั ซึ่งอาจกระตนุ้ ใหม้ ปี ฎกิ รยิ าตอบโต้ได้หากมีสง่ิ ทข่ี ดั กบั ความรสู้ ึกมากระทบ 3. แนวโน้มพฤติกรรม (ACTION TENDENCY) หมายถึง ความพร้อมที่จะมีพฤติกรรมท่ีสอดคล้อง กบั เจตคติ ถ้าบุคคลมีเจตคตทิ ่ีดีต่อเป้าหมาย เขาจะมคี วามพร้อมท่ีจะมีพฤติกรรมช่วยเหลือหรือสนับสนุน เปา้ หมายนั้น ถ้าบคุ คลมเี จตคติในทางลบต่อเป้าหมาย เขาก็จะมีความพรอ้ มท่ีจะมพี ฤติกรรมทาลาย หรอื ทาร้าย เป้าหมายนั้นเช่นกนั

การเกดิ เจตคติ และเจตคติเกิดจากอะไร เจตคติเกิดจากการเรียนรู้ของบุคคลไม่ใช่เป็นส่ิงมีติดตัวมาแต่กาเนิด หากแต่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบส่ิงใด ต้องภายหลัง เมื่อตนเองได้มีประสบการณ์ในสิ่งน้ัน ๆ แล้ว ดังน้ัน จึงพอสรุปได้ว่า เจตคติเกิดข้ึนจากเร่ืองต่างๆ ดังต่อไปนี้ 1. การรวบรวมความคดิ อนั เกิดจากประสบการณห์ ลาย ๆ อยา่ ง 2. เกดิ จากความรสู้ ึกท่รี อยพมิ พใ์ จ 3. เกดิ จากการเห็นตามคนอนื่ ชม ภูมิภาค (2516:66-67) ได้อธิบายเรื่องการเกิดเจตคติว่าเกิดจากการเรียนรู้และโดยมากก็เป็นการ เรยี นรู้ทางสังคม(social learning)ดังนน้ั ปจั จัยทท่ี าใหเ้ กดิ เจตคติจงึ มหี ลายประการเชน่ 1. ประสบการณ์เฉพาะ เม่ือคนเราได้รับประสบการณ์ต่อสง่ิ ใดสิง่ หน่ึงอาจจะมลี กั ษณะในรปู แบบทีผ่ ู้ได้รับ รูส้ ึกว่าได้รางวัลหรือถูกลงโทษ ประสบการณ์ท่ีผู้รู้สึกเกิดความพึงพอใจย่อมจะทาให้เกิดเจตคติท่ีดีต่อสิ่งนั้นแต่ถ้า เปน็ ประสบการณ์ทีไ่ มเ่ ปน็ ทพ่ี งึ พอใจก็ย่อมจะเกิดเจตคตทิ ่ีไมด่ ี 2. การสอน การสอนนน้ั อาจจะเป็นทงั้ แบบท่ีเป็นแบบแผนหรอื ไม่เป็นแบบแผนก็ได้ซึ่งเราไดร้ ับจากคนอ่ืน องค์การท่ีทาหน้าที่สอนเรามีมากมายอาทิเช่น บ้าน วัด โรงเรียน ส่ือมวลชนต่าง ๆ เรามักจะได้รับเจตคติที่ สงั คมมีอยู่และนามาขยายตามประสบการณ์ของเรา การสอนทีไ่ มเ่ ปน็ แบบแผนนน้ั สว่ นใหญ่เริ่มจาก ครอบครัวต้ังแต่เด็ก ๆ มาแล้ว พ่อแม่พี่น้องมักจะบอกเราว่าส่ิงนั้นไม่ดีสิ่งนี้ไม่ดีหรือใครควรทาอะไรมี ความสาคัญอย่างไร การสอนส่วนมากเปน็ แบบยัดทะนานและมักไดผ้ ลดเี สยี ดว้ ยในรูปแบบการปลกู ฝังเจตคติ 3. ตัวอย่าง (Model) เจตคติบางอย่างเกิดข้ึนจากการเลียนแบบในสถานการณ์ต่าง ๆ เราเห็นคนอื่น ประพฤติ เราเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมคนอื่นออกมาเป็นรูปของเจตคติถ้าเรายอมรับนับถือหรือเคารพคนๆน้นั เราก็ มักยอมรับความคิดของเขาตามท่ีเราเข้าใจ เช่น เด็กชายแดงเห็นบิดาดูรายการกีฬาทางโทรทัศน์ประจาเขาก็จะ แปลความหมายว่า กีฬานั้นเป็นเร่ืองน่าสนใจและจะต้องดูหรือถ้าเขาเห็นพ่อแม่ระมัดระวังต่อชุดรับแขกในบ้าน มากกว่าของที่อยู่ในสนามหญ้าหลังบ้านเขาก็จะเกิดความรู้สึกว่าของในบ้านต้องระวังรักษาเป็นพิเศษ ซ่ึงการ เรยี นร้เู ช่นน้ีพ่อไม่ไมจ่ าเป็นต้องพูดว่าอะไรเลย เด็กจะเฝา้ สังเกตการณป์ ฏบิ ัติของพ่อแม่ต่อบุคคลอ่ืนอย่างถี่ถ้วนจะ เรียนรวู้ ่าใครควรคบใครควรนับถือ ใครไมค่ วรนบั ถือ 4. ปัจจัยท่ีเก่ียวกับสถาบัน ปัจจัยทางสถาบันมีอยู่เป็นอันมากท่ีมีส่วนสร้างสนับสนุนเจตคติของเรา ตัวอย่างเช่น การปฏิบัตติ นในวัด ในโบสถ์ การแต่งกายของคนในสถานการณ์ทางสังคมต่าง ๆ เป็นส่ิงให้แนวเจต คติของคนเราเปน็ อันมาก สภาวะที่มีผลต่อการก่อเกิดของเจตคติน้ันมีหลายอย่าง อาทิเช่น ประการแรก ขึ้นอยู่กับการที่เราคิด ว่าเราเป็นพวกเดียวกัน (identification) เด็กท่ียอมรับว่าตนเองเป็นพวกเดียวกับพ่อแม่ย่อมจะรับเจตคติของ พ่อแม่ง่ายขนึ้ หรือท่โี รงเรียนหากเด็กถือวา่ ครเู ปน็ พวกเดียวกับตนเดก็ ย่อมจะรับความเชื่อถือหรือเจตคตขิ องครู ประการท่ีสอง ขึ้นอยู่กับว่า เจตคตินั้นคนอื่นๆเป็นจานวนมากเชื่ออย่างน้ันหรือคิดอย่างนั้น (uniformity) การท่ีเราจะมีเจตคติเขา้ กลมเกลียวเป็นอนั หนงึ่ อันเดียวกนั ได้น้ันอาจจะมสี าเหตุอื่นอกี เช่นโอกาสที่ จะได้รับเจตคติแตกต่างไปน้ันไม่มีประการหน่ึงอีกประการหน่ึงหากไม่เห็นด้วยกับส่วนใหญ่เราเกิดความรู้สึกว่า ส่วนใหญ่ปฏิเสธเรา นอกจากน้ีประการท่ีสามการท่ีเรามีเจตคติตรงกับคนอ่ืนทาให้เราพูดติดต่อกับคนอื่น

เข้าใจ เม่ือเราเจริญเติบโตจากเด็กเป็นผู้ใหญ่นั้นแน่ท่ีสุดที่เราจะพบความแตกต่างของเจตคติมากมาย ในบ้านนั้น นับว่าเป็นแหล่งเกิดเจตคติตรงกันที่สุด แต่พอมีเพ่ือนฝูงเราจะเห็นว่าเจตคติของเพื่อนฝูงและของพ่อแม่ของเขา แตกต่างกันบ้าง ในโรงเรียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับการศึกษาชั้นสูงเราจะพบความแตกต่างของเจตคติ มากมาย ดังน้ันเราจะเห็นได้ว่าเจตคติแรกๆท่ีเราได้รับน้ันค่อนข้างจะคงทนถาวร เจตคติน้ันจะสามารถนาไปใช้ กับสถานการณ์ใหม่ท่ีคล้ายกัน เช่น คนที่มีพ่อดุดันเข้มงวดเขาจะเกิดความมุ่งร้ายต่อพ่อ อาจจะคิดว่า ผู้บังคับบัญชานั้นดุดันเข้มงวดและเกิดความรู้สึกมุ่งร้ายต่อผู้บังคับบัญชาก็ได้ หรือคนงานที่ไม่ชอบหัวหน้างาน อาจจะนาความไม่ชอบน้นั ไปใช้ตอ่ บรษิ ัทหรือเกลยี ดบริษัทไปด้วย ลกั ษณะของเจตคติ ทติ ยา สวุ รรรณชฎ (2520:602-603) กลา่ วถงึ ลกั ษณะสาคญั ของเจตคติ 4 ประการ คือ 1. เจตคติ เป็นสภาวะกอ่ นทพ่ี ฤติกรรมโตต้ อบ (PREDISPOSITION TO RESPOND) ตอ่ เหตุการณ์หรอื สิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะหรือจะเรยี กวา่ สภาวะพร้อมท่ีจะมีพฤติกรรมจรงิ 3. เจตคติ จะมคี วามคงตวั อยู่ในชว่ งระยะเวลา (PERSISTENCE OVERTIME) แต่มิได้ หมายความวา่ จะไม่มกี ารเปลย่ี นแปลง 3. เจตคติ เปน็ ตัวแปรหน่ึงนาไปสคู่ วามสอดคล้องระหว่างพฤตกิ รรม ความรู้สกึ นึกคิดไมว่ า่ จะเปน็ การแสดงออกโดยวาจา หรือการแสดงความร้สู กึ ตลอดจนการที่จะตอ้ งเผชิญหรือหลกี เลย่ี งตอ่ สงิ่ ใดสิ่งหนึ่ง 4. เจตคติ มีคุณสมบัติของแรงจูงใจ ในอันท่ีจะทาให้บุคคลประเมินผล หรือเลือกส่ิงใดส่ิงหนึ่ง ซึ่ง หมายความตอ่ ไปถงึ การกาหนดทศิ ทางของพฤตกิ รรมจรงิ ด้วย เจตคตินับว่าเป็นส่วนประกอบท่ีสาคัญในการทางานอย่างหน่ึง นอกจากความพร้อมและการจงู ใจ บุคคล ที่มเี จตคติที่ดีต่อการทางานจะช่วยให้ทางานได้ผลท้ังน้ีเพราะเจตคติเป็นต้นกาเนิดของความคิดและการแสดงการ กระทาออกมาน่ันเอง กล่าวโดยสรุป เจตคติ เป็นลักษณะทางจิตของบุคคลท่ีเป็นแรงขับแรงจูงใจของบุคคล แสดง พฤติกรรมท่ีจะแสดงออกไปในทางต่อต้านหรือสนับสนุนต่อส่ิงนั้นหรือสถานการณ์นั้น ถ้าทราบทัศนคติของ บุคคลใดที่สามารถทานายพฤติกรรมของบุคคลนั้นได้ โดยปกติคนเรามักแสดงพฤติกรรมในทิศทางที่สอดคล้อง กบั ทัศนคตทิ มี่ อี ยู่ อย่างไรก็ดีเจตคติเมื่อเกิดข้ึนแล้วอาจจะมีลักษณะที่ค่อนข้างถาวรและคงทน ความรังเกียจที่เรียนรู้ในวัย เด็กอาจจะคงอยู่ต่อไปจนช่ัวชีวิต เจตคติทางการเมือง ศาสนาและอ่ืนๆมักจะมีความคงทนเป็นอันมาก สาเหตุท่ี ทาให้เจตคตบิ างอย่างมคี วามคงทนอาจมีสาเหตุดังต่อไปนี้ 1. เน่ืองจากเจตคตนิ ั้นเป็นแนวทางปรับตวั ได้อย่างพอเพียงคือ ตราบใดที่สถานการณ์นั้นยงั สามารถจะใช้ เจตคติเช่นนั้นในการปรับตัวอยู่เจตคติน้ัน ก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแต่เน่ืองจากไม่สามารถที่จะใช้ได้เนื่องจาก สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วเจตคตินั้นก็มักจะเปลี่ยนแปลงไป เช่น ในสหรัฐอเมริกาคนส่วนใหญ่มักจะ คัดค้านการช่วยเหลือของรัฐบาลอย่างรุนแรง แต่พอเกิดเศรษฐกิจตกต่าอย่างรุนแรงก็อาจจะรับความช่วยเหลือ ของรัฐบาลมากข้นึ 2. เหตุท่ีเจตคติไม่เปลี่ยนแปลง่ายๆก็เพราะว่าผู้มีเตคตินั้นจะไม่ยอมรับรสู้ ิ่งยกเว้นใด ๆ เหตุการณ์เช่นน้ี เรียกว่า Selective perception เช่น คนท่ีเกลียดยิว เกิดความคิดว่าพวกยิวน้ีข้ีเหนียวเอารัดเอาเปรียบต่อมา

มียิวมาอยู่บ้านใกล้ ๆ ท้ัง ๆ ที่ยิวคนน้ันแสนจะดีเป็นกันเองให้ความช่วยเหลือเราดีเจตคติของเรามีอยู่เดิมจะไม่ ยอมรบั รู้ความดขี องยวิ เช่นนั้น ดงั นั้นเจตคติจงึ ไมเ่ ปลยี่ น 3. สาเหตุอีกอย่างหนึ่งคือ ความภักดีต่อหมู่กลุ่มที่เราเป็นสมาชิกคนเราไม่อยากได้ชื่อว่าทรยศต่อพวก ตั วอย่างเช่น หญิงสาวถูกอบรมมาในครอบครัวซ่ึงเคร่ง ไม่ยอมให้เล่นการพนัน สูบบุหรี่เพราะการกระทาเช่นน้ัน ครอบครัวถือว่าเป็นการกระทามิใช่วิสัยสตรีที่ดี ที่จะพึงกระทา ต่อมาแม้ว่าจะมีโอกาสท่ีจะกระทาได้แต่ไม่ทา เพราะเห็นว่าขัดตอ่ เจตคตขิ องพ่อแมท่ เี่ คยส่ังสอนไว้ 4. ความต้องการป้องกันตนเอง บุคคลท่ีไม่ยอมเปล่ียนเจตคติท่ีเขามีอยู่เดิมนั้นอาจเน่ืองจากเหตุผลว่า หากเขาเปล่ียนแปลงแล้วจะทาให้คนอ่ืนเห็นว่าเขาอ่อนแอ เช่น คนขายของเสนอวิธีการขายใหญ่ให้หัวหน้า หวั หน้าเหน็ ว่าดเี หมอื นกันแตไ่ มย่ อมรับเพราะเห็นวา่ เปน็ เรื่องท่ที าให้คนอื่นเหน็ หวั หนา้ ไมม่ ีความสามารถ 5. การได้รับการสนับสนุนจากสังคมน้ันคือการท่ีเราเช่ืออย่างน้ันมีเจตคติอยู่อย่างนั้นเรายังได้รับการ สนบั สนุนกับคนทม่ี ีความเชื่ออย่างเดียวกบั เราอยู่ หนา้ ทีแ่ ละประโยชนข์ องเจตคติ Katz (อา้ งในนพมาศ 2534:130) มองว่าเจตคติมีประโยชนแ์ ละหน้าท่ี คอื 1. เป็นประโยชน์โดยการเปน็ เคร่ืองมอื ปรบั ตัว และเปน็ ประโยชนใ์ นการใชเ้ พ่อื ทาการตา่ ง ๆ 2. ทาประโยชน์โดยการใช้ป้องกันสภาวะจิตใจ หรือปกป้องสภาวะจิตของบุคคล (EGODEFENSIVE FUNCTION) เพราะความคิด หรือความเชื่อบางอย่างสามารถทาให้ผู้เชื่อหรือคิดสบายใจ ส่วนจะผิดจะถูกเป็น อกี เร่อื งหนงึ่ 3. เจตคตทิ าหน้าท่แี สดงค่านิยม ใหค้ นเห็นหรือรบั รู้ (VALUE EXPRESSIVE FUNCTION) 4. มีประโยชนห์ รอื ให้คุณประโยชนท์ างความรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกบั ผู้คนและสิ่งตา่ งๆ 5. ชว่ ยให้บคุ คลมหี ลักการและกฎเกณฑใ์ นการแสดงพฤติกรรมหรอื ชว่ ยพฒั นาค่านิยมให้กบั บคุ คล การที่ บคุ คลมที ัศนคติทดี่ ีต่อบคุ คล สถานการณ์ต่าง ๆ ในสงั คมจะเปน็ สงิ่ ที่ชว่ ยให้บุคคลสามารถประเมนิ และตดั สนิ ไดว้ ่าควรจะเลอื กประพฤตอิ ย่างไรจึงจะเหมาะสมและดงี าม ชม ภมู ิภาค (2516:65) หนา้ ท่ขี องเจตคติ เจตคตทิ าหน้าที่เกี่ยวกบั การรับรอู้ ยู่มาก เจตคติมีส่วน กาหนดการมองเหน็ ของคน นอกจากนี้ยงั ทาหน้าทอ่ี น่ื ๆ อีกเชน่ 1. เตรียมบคุ คลเพ่ือให้พรอ้ มต่อการปฏบิ ัติการ 2. ชว่ ยใหบ้ ุคคลได้คาดคะเนล่วงหน้าวา่ อะไรจะเกิดขึน้ 3. ทาใหบ้ ุคคลได้รบั ความสาเร็จตามหลักชัยทว่ี างไว้การเปล่ยี นแปลงเจตคติ สชุ า จันเอม และสรุ างค์ จันเอม (2520:110-111) กล่าวว่า ทศั นคติของบุคคลสามารถ เปลี่ยนแปลงได้เน่ืองมาจาก 1) การชกั ชวน (PERSUASION) ทัศนคตจิ ะเปลย่ี นแปลงหรอื ปรับปรงุ ใหม่ไดห้ ลงั จากที่ไดร้ ับ คาแนะนา บอกเล่า หรือได้รบั ความรู้เพิ่มพนู ขึ้น 2) การเปลยี่ นแปลงกลุ่ม (GROUP CHANGE) ช่วยเปลยี่ นทศั นคติของบคุ คลได้ 3) การโฆษณาชวนเชอื่ (PROPAGANDA) เป็นการชกั ชวนใหบ้ คุ คลหันมาสนใจหรือรับรโู้ ดยก สรา้ งสิง่ แปลกๆใหม่ๆขึน้ สิ่งท่ีมีอิทธิพลตอ่ เจตคติ คือ

1. บิดา มารดา ของเด็ก 2. ระเบียบแบบแผน วัฒนธรรมของสังคม 3. การศึกษาเลา่ เรียน 4. สง่ิ แวดล้อมในสังคม 5. การพักผ่อนหย่อนใจทแ่ี ต่ละคนใชป้ ระจาตัว การแก้ไขเจตคติหรือวิธสี ร้างเจตคติ เจตคตเิ ป็นเรอ่ื งท่ีแก้ไขได้อยากถ้าจาเปน็ จะต้องช่วยแก้ไขเปลีย่ นเจตคติของคนอาจใชว้ ิธเี หลา่ นัน้ คอื 1. การคอ่ ย ๆ ชนื้ ลงใหเ้ ข้าใจ 2. หาส่งิ เรา้ และส่ิงจงู ใจอย่างเขม้ ขน้ มายว่ั ยุ 3. คบหาสมาคมกับเพ่ือนดีดี 4. ให้อา่ นหนงั สือดีมปี ระโยชน์ 5. ใหล้ องทาจนเห็นชอบแล้วกลับตวั ดเี อง ชม ภูมภิ าค (2516:65) ได้อธบิ ายว่าเจตคตเิ ปล่ยี นแปลงได้ ปัจจยั ท่จี ะชว่ ยใหเ้ จคตเิ ปลย่ี นแปลงได้มี หลายประการเชน่ 1. ความกดดันของกลุ่ม(Group pressure) หากกลุ่มจะสามารถให้รางวัลหรือลงโทษได้ย่อมจะมีแรง กดดันมากในการท่ีจะกดดันทิศทางเจตคตขิ องเราสิ่งย่ัวยุทีเ่ ป็นรางวัลนัน้ ได้แก่ ความเป็นผู้มคี นรู้จกั มากการเลอื่ น ตาแหนง่ การงาน สัญลกั ษณข์ องการยอมรับนบั ถือเป็นตน้ ส่วนสิ่งย่ัวยุท่ีเป็นการลงโทษก็เช่น การเสยี เพ่ือนฝงู เสีย ชื่อเสียง เสียตาแหน่ง เป็นต้น ย่ิงเรามีความผิดปกติไปจากกลุ่มเท่าใดแรงบีบบังคับของหมู่มีมากเท่าใดหรือย่ิงหมู่ กล่มุ น้นั ยงิ่ เราต้องการเป็นสมาชิกของหมู่ใด แรงบีบบังคับของหมู่ยอ่ มมมี ากเทา่ นั้นหรือยิ่งหม่กู ลุ่มตอ้ งการเรามาก เท่าใดกลุ่มก็ยิ่งต้องการให้เราปฏิบัติตามมาตรฐานของกลุ่มเท่าน้ัน กลุ่มท่ีมีเกียรติศักด์ิหรือศักด์ิศรีต่าในหมู่ อาจจะกระทาผิดแปลกไปได้บ้าง แต่ย่ิงมีตาแหน่งสูงหรือศักด์ิศรสี ูงแล้วกระทาผิดมาตรฐานเพียงนิดเดียวแรง กดดันของหมู่จะเกิดข้นึ ทนั ทีเพื่อใหป้ ฏิบัตอิ ยู่ในแนว นอกจากน้ีแรงกดดันของกลุ่มจะมีมากก็คือ การท่ีไม่มีมาตรฐานอ่ืนที่จะปฏิบัติหรือมีน้อยทางที่จะเลือก หรอื เราไม่มีความรู้มากมายนักในเรื่องน้ัน บุคคลมักจะเปลี่ยนความคิดเห็นหรือเจตคติหากกลุ่มของเขาที่ยึดอยู่ เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น กรรมกร แรกๆอาจไม่สนใจกันรวมเป็นสมาคมแต่ต่อมาหากรู้ว่าคนอื่น ๆ ในกลุ่ม รับฟังความคิดเห็นนั้น เขาก็อาจเปลี่ยนความคิดย่ิงกลุ่มมีความเป็นเอกภาพเท่าใดแรงกดดันของกลุ่มย่ิงมีผล เท่านน้ั เร่ืองอานาจของความกดดันของกลมุ่ อนั มผี ลต่อการเปลยี่ นแปลงนัน้ อาจจะเปน็ ไปได้ 4 กรณีคอื 1.1 เราอาจปฏิเสธบรรทัดฐานของกลุ่มและยึดม่ันในเจตคติของเราและเราอาจจะก้าวร้าวยิ่งขึ้นหากเรา เช่อื วา่ กลุม่ ไม่มผี ลบีบบงั คบั เรามากนกั หรอื เรามีความภกั ดตี อ่ กล่มุ อื่นมากกวา่ 1.2 เราอาจจะไมเ่ ปลี่ยนแปลงต่อเจตคติของเราแต่เราปฏิบัติตามกลุ่มเพราะเหตุผลภายนอกอย่างอื่นโดย ถือวา่ เป็นส่วนตัวและเราไมเ่ หน็ ดว้ ยแตส่ ่วนรวมทาเชน่ นน้ั กต็ ้องปฏบิ ัติตาม 1.3 เราอาจยอมรับบรรทัดฐานของกลุ่มเพียงผิวเผิน ภายในส่วนลึกของจิตใจเราไม่ยอมเปลี่ยนแต่พอเรา ออกไปอยกู่ ลมุ่ อน่ื เราจะได้เห็นวา่ เราเปลย่ี นแปลงเปน็ อยา่ งอืน่ 1.4 เราอาจจะนาเอาบางสว่ นของบรรทัดฐานของกลุ่มมาผนวกกบั ความเช่ือของเราและปฏเิ สธบางส่วน

2. ประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจหรือไม่น่าพึงพอใจ เราอาจเปลี่ยนแปลงเจตคติไปได้เม่ือได้รับ ประสบการณ์ที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ เช่น นายแดงเข้าทางานบริษัทหนึ่งเพราะเขาเชื่อว่าจะมีความก้าวหน้า แต่พบวา่ หัวหน้าของเขาเป็นคนข้ีอจิ ฉาเม่อื เขาเกดิ เสนอความคิดเหน็ ดๆี เพอ่ื ปฏิบัติหัวหน้าอาจจะเห็นวา่ การ เสนอแนะของเขาเชน่ น้ันทาให้ฐานะของเขาส่ันคลอนและนอกจากน้ันยังทราบดีว่าเพอื่ นร่วมงานของเขาไปฟ้องแก่ หัวหน้างานบ่อยๆเขาจึงอาจเปลี่ยนเจตคติไปอีกแบบหน่ึงคือมองไม่เห็นความก้าวหน้าในการทางานกับบริษัทน้ี เชน่ น้ีเป็นต้น 3. อิทธิพลของกลุ่มบุคคลที่มีชื่อเสียง บุคคลท่ีมีช่ือเสียงในความหมายน้ีอาจจะเป็นเพ่ือนซ่ึงเรานับถือ ความคิดของเขาหรืออาจจะเป็นผู้เชียวชาญทางด้านความพิเศษต่างๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในเร่ืองนี้ก็คือ การ โฆษณา ซึง่ มักจะใช้คนมีชื่อเสยี งไปย่งุ เก่ยี ว เชน่ ดาราภาพยนตรช์ ่ือดังคนนนั้ ใช้สบยู่ ีห่ อ้ นัน้ ๆ เป็นตน้ เจตคติเป็นความรู้สึกของบุคคลท่ีมีต่อสิ่งต่าง ๆ อันเป็นผลเน่ืองมาจากการเรียนรู้ ประสบการณ์ และ เป็นตัวกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมหรือแนวโน้มท่ีจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าน้ัน ๆ ไปในทิศทางหนึ่ง อาจ เป็นไปในทางสนับสนุนหรอื คัดค้านกไ็ ด้ ทัง้ น้ีข้ึนอย่กู ับขบวนการการอบรมให้การเรียนรู้ระเบยี บวิธีของสังคม ซ่ึง เจตคตินจี่ ะแสดงออกหรือปรากฏให้เหน็ ชัดในกรณที ่สี งิ่ เรา้ นั้นเปน็ สิ่งเรา้ ทางสงั คม องค์ประกอบของเจตคติ องคป์ ระกอบของเจตคติมี 3 ประการ ได้แก่ 1. ด้านความคิด ( Cognitive Component) หมายถึง การรับรู้และวินิจฉัยข้อมูลต่าง ๆ ท่ีได้รับ แสดงออกมาในแนวคิดทวี่ า่ อะไรถูก อะไรผดิ 2. ด้านความรู้สึก ( Affective Component) หมายถึง ลักษณะทางอารมณ์ของบุคคลท่ีสอดคล้อง กบั ความคดิ เชน่ ถา้ บุคคลมีความคดิ ในทางที่ไม่ดีตอ่ ส่งิ ใด ก็จะมีความรู้สึกท่ีไม่ดตี ่อส่งิ น้ันด้วย จึงแสดงออกมา ในรูปของความรสู้ ึกไม่ชอบหรือไม่พอใจ 3. ด้านพฤติกรรม ( Behavior Component) หมายถึง ความพร้อมที่จะกระทาซึ่งเป็นผลมาจาก ความคดิ และความร้สู ึกและจะออกมาในรปู ของการยอมรับหรือปฏเิ สธ การปฏิบตั ิหรอื ไมป่ ฏบิ ัติ ทฤษฎแี รงจงู ใจ ความหมายและองค์ประกอบของแรงจงู ใจ ( Motivation) แรงจูงใจ หมายถึง สภาวะท่ีอินทรีย์ถูกกระตุ้นให้แสดงพฤติกรรมเพื่อไปยังจุดมุ่งหมายดังนั้นแรงจูงใจจึง เป็นความปรารถนา ท่ีบุคคลมีความต้องการท่ีจะบรรลุเป้าหมายโดยการเรียนรู้ของแต่ละคนนั่นเอง เม่ือบุคคล ได้รับการกระตุ้นจากส่ิงเร้าต่างๆ และบุคคลจะเกิดความต้องการ ( Needs ) และถ้าความต้องการของบุคคล ไม่ได้รับการตอบสนอง บุคคลจะเกิดความเครียด ( stress ) เม่ือบุคคลสะสมความเครียดไว้มาก ๆ บุคคลจะขาด ความสขุ ในการดาเนินชีวติ การสะสมความเครียด ความวิตกกังวลมาก ๆ จะทาให้บคุ คลเกดิ แรงขับ ( drive ) ท่ี จะกระทากิจกรรมบางอยา่ งหรอื แสดงพฤติกรรมบางอย่างให้ลดความเครียดน้ันลงมากระบวนการท่ีเกิดข้ึนภายใน นีเ้ อง ซ่งึ จะทาการกระตนุ้ ให้บุคคลไปสู่การกระทาบางอย่างทไ่ี ปสู่เปา้ หมาย กระบวนการเชน่ นีเ้ รียกวา่ แรงจงู ใจ ( Motivation ) องค์ประกอบในการเกิดแรงจูงใจ มี 4 ขน้ั ตอน คอื

1. ขั้นความต้องการ ( needs stage ) ออความต้องการเป็นสภาวะขาดสมดุลท่ีเกิดได้เมื่อบุคคลขาดสิ่ง ทจ่ี ะทาให้ส่วนตา่ ง ๆ ภายในร่างกายทาหน้าที่ไปตามปกติ ส่ิงที่อาจจะเปน็ สง่ิ ท่จี าเปน็ ตอ่ การดาเนินชวี ิตจึงทาให้ เกิดแรงขบั และเกิดแรงกระตนุ้ เชน่ ความหิว เมอ่ื บคุ คลหิวบคุ คลก็ตอ้ งพยายามหาอาหาร คนท่ีลดนา้ หนักโดย การใช้ยาลดความอ้วน ยาจะไปกดประสาทไม่ให้หิวแต่พอหลังจากไม่ใช้ยาลดน้าหนัก จะเห็นว่าคนที่ลด น้าหนกั โดยใชย้ าจะกนิ อาหารชดเชยมากขึ้นและอาจจะกลบั มาอ้วนใหม่อกี หรือเด็กเล็กท่ีไม่กินนมตอนป่วย แต่พอให้ป่วยเด็กจะเร่ิมกินนมมากข้ึนเพื่อชดเชยตอนท่ีป่วย ความกระหายก็เป็นความต้องการอีกอย่างท่ีเม่ือ เกิดแล้วบุคคลต้องหาวธิ ีการเพื่อให้หายกระหาย ความต้องการทางเพศและความต้องการการพักผ่อนก็จัดเป็น ความต้องการข้ันพ้ืนฐานในการดารงชวี ิต และไม่มใี ครในโลกน้ีท่ีพยายามฝืนเพอื่ ไม่ให้ตนเองหลับ มนุษย์ทุก คนตอ้ งการการพกั ผ่อนด้วยกันท้งั สิน้ 2. ขนั้ แรงขบั ( drive stage ) หรอื ภาวะทีบ่ ุคคลถูกกระตุน้ ใหเ้ กิดแรงขบั เมอื่ บุคคลเกิดแรงขับแล้ว บคุ คลจะนิง่ อยเู่ ฉย ๆ ไมไ่ ดบ้ ุคคลอาจจะรู้สกึ ไม่มีความสุข กระวนกระวายใจ ดงั น้นั บคุ คลจะคิดคน้ หาวธิ กี ารท่ี ทาใหต้ นเองร้สู กึ ว่าไดร้ ับการตอบสนองจากความหิว ความกระหาย ความต้องการท้ังปวงทเ่ี กดิ ข้ึน เพ่ือผลกั ดัน ให้ไปสู่จดุ หมายปลายทาง ตามทบี่ คุ คลตอ้ งการ เชน่ เมอื่ เราวิ่งเหน่ือยๆ อากาศกร็ ้อนจัด ทาใหเ้ ราเหน่ือยและ คอแหง้ อยากกนิ นา้ สิง่ ท่เี ราตอ้ งการบาบดั ความกระหายในชว่ งเวลาน้ันคอื น้า บคุ คลจะพยายามทุกวิธีทางท่ีจะ หานา้ มาด่มื 3. ขัน้ พฤติกรรม ( behavior stage ) เปน็ ขัน้ ทเี่ กดิ แรงขบั อย่างมากที่ทาใหบ้ ุคคลเดินไปหานา้ ดมื่ โดยการเดนิ เข้าไปในรา้ นสะดวกซอื้ แล้วเปิดขวดด่ืมแล้วจึงเดนิ มาจ่ายสตางคห์ รือถ้าทนต่อความกระหายนา้ ได้ก็รบี เดินอย่างรวดเร็วไปจ่ายสตางค์แลว้ ยกน้าดมื่ รวดเดียวหมดขวด ชนื่ ใจ ความกระหายก็บรรเทาลง 4. ข้นั ลดแรงขับ ( drive reduction stage ) เป็นข้นั สุดท้ายท่ีอนิ ทรีย์ได้รับการตอบสนองคือ ได้ดมื่ น้า เป็นขัน้ ทบ่ี คุ คลเกดิ ความพึงพอใจ ความต้องการต่างๆ กจ็ ะลดลง ทฤษฎีการเรยี นรูแ้ บบวางเงอ่ื นไขแบบแบบการ กระทาของสกนิ เนอร์ สกนิ เนอร์ (B.F. Skinner) เกดิ ในมลรฐั เพนซลิ วาเนีย ในปี ค.ศ. 1904 มบี ทบาทสาคัญในการนาบทเรยี น สาเร็จรูปและเคร่ืองมือมาใช้ บางคนเรียกวา่ ทฤษฎเี สริมแรง การเสรมิ แรงเปน็ การชว่ ยตอบสนองส่ิงเรา้ ให้ ปรากฏขึน้ ซ้าอยู่เสมอจนทาให้เกิดความเคยชนิ สิ่งเร้าเดิม การตอบสนองเชน่ เดิม กต็ ามมาคือ เกิดเปน็ การเรยี นรู้ การทดลองของสกินเนอร์ ไดท้ ดลองกบั หนูขาว โดยมขี ้ันการทดลอง ดงั น้ี ข้นั ท่ี 1 ก่อนการเรียนรู้ ---> กดคาน (CR) ---> อาหาร (UCS) ---> กนิ (UCR) ขัน้ ท่ี 2 หลังการเรียนรู้ (S1) ---> (R1) ---> S2 -- -> R2 คาน(CS) กดคาน(CR) อาหาร(UCS) กิน(UCR) การประยุกตใ์ ช้ในการสอน 1. การตงั้ จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม 2. การใชต้ ัวเสรมิ แรง ได้แก่ ยิม้ แยม้ การชมเชยจากครู คะแนน 3. การใชบ้ ทเรยี นสาเร็จรปู

บทที่ 3 วธิ ีการดาเนนิ การศกึ ษาค้นควา้ การศกึ ษาวิจัยคร้ังน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือเป็นการปรับเปลย่ี นพฤติกรรมการเรียน ใหเ้ ปน็ ผมู้ ีวนิ ยั และความ รับผิดชอบตอ่ หนา้ ที่และการเรียนดีขน้ึ ของของนักศกึ ษา ปวช. 3 สาขาคอมพิวเตอร์ ปีการศึกษา 2563 วิทยาลยั การอาชีพบ้านลาด ไดด้ าเนนิ การตามขน้ั ตอนดังน้ี 1. ข้ันตอนการดาเนินการวจิ ัย 2. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง 3. เครอ่ื งมือทใี่ ช้ในการวิจยั 4. การเก็บรวบรวมข้อมลู 5. การวเิ คราะห์ข้อมูล 1. ขั้นตอนการดาเนินการวจิ ัย ผูว้ จิ ยั ไดก้ าหนดขน้ั ตอนในการวิจัยไวด้ งั นี้ 1. ศึกษาหลกั การ ทฤษฏจี ิตวทิ ยาการศึกษา เจตคติ (Attitude) ทฤษฎแี รงจงู ใจ ทฤษฎีการ เรียนร้แู บบวางเงอ่ื นไข แบบแบบการกระทาของสกนิ เนอร์ ลักษณะดา้ นวินัยในหอ้ งเรียน ความขยนั อดทนและ ความรับผดิ ชอบ 2. กาหนดกรอบความคิดในการวจิ ัย เพื่อทาการศึกษาความมีวินยั ในตนเอง ความรับผิดชอบของของ นักศึกษา ปวช. 3 สาขาคอมพวิ เตอร์ ปีการศึกษา 2563 ของ วทิ ยาลัยการอาชีพบ้านลาด 3. กาหนดวตั ถปุ ระสงค์ 4. กาหนดกลมุ่ ประชากร ในการวจิ ัยคร้ังนไี้ ด้กาหนดกลุม่ ประชากร คือ ของนักศึกษา ปวช. 3 สาขาคอมพิวเตอร์ จานวน 13 คน 5. สรา้ งเครือ่ งมือการวิจัย โดยผู้วจิ ัยศึกษาจากหลักการ ทฤษฎี แนวคิด วตั ถุประสงค์ เพอ่ื จาแนกวา่ ควรสรา้ งเครอ่ื งมอื วัดดา้ นใดบ้างให้เหมาะสมกบั สภาพของของนกั ศกึ ษา ปวช. 3 สาขาคอมพิวเตอร์ จานวน 13 คน ที่นามาทาการวิจัยในคร้ังนี้ 6. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ผู้วิจยั นาได้ดาเนินการเก็บข้อมูลดัวยตวั เองโดยการสงั เกต ใหน้ กั เรยี นกลมุ่ ตัวอย่างได้ตอบแบบสอบถาม 7. การสรุปผลการวิจยั และนาเสนอผลการวจิ ัย โดยนาขอ้ มูลทไี่ ดม้ าวิเคราะห์ขอ้ มลู และเขยี นสรุปผล การวเิ คราะห์ข้อมูล 2. ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง ประชากร / กลุ่มตวั อย่างท่ใี ช้ในการศึกษาครง้ั นีเ้ ป็นนักศึกษา ปวช. 3 สาขาคอมพิวเตอร์ ของวทิ ยาลยั การอาชีพบา้ นลาด จานวน 13 คน 3. เครื่องมือที่ใชใ้ นการศึกษาค้นควา้ ในการทาวิจัยครั้งนี้ เคร่อื งมือทใ่ี ช้เปน็ แบบสงั เกต แบบสอบถาม ทผี่ วู้ ิจยั สรา้ งขึ้นเอง

4. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ผวู้ ิจัยได้ใช้การสังเกตและนาเครื่องมือท่สี รา้ งขึ้นให้ นกั ศึกษา ปวช. 3 สาขา คอมพวิ เตอร์ จานวน 13 คน ได้ตอบแบบสอบถามและเกบ็ ข้อมูลดว้ ยตนเอง 5. การวเิ คราะหข์ ้อมูล ผู้วจิ ยั ใชค้ า่ ร้อยละในการวิเคราะห์ข้อมลู

บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู การศึกษาวิจัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนให้เป็นผู้มีวินัยและความรับผิดชอบต่อหน้าท่ีและการ เรียนดีขึ้นของของนักศึกษา ปวช. 3 สาขาคอมพิวเตอร์ ปีการศึกษา 2563 วิทยาลัยการอาชีพบ้านลาด ปรากฏว่าได้รับความร่วมมือจากนักเรียนเป็นอย่างดี จึงทาให้นักเรียนมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สามารถ ตอบสนองตอ่ ตัวนักเรียนเอง ทาให้นกั เรยี นมีพฤติกรรมการเรียนทด่ี ีข้ึน มีวนิ ัยในตนเองและมคี วามรับผิดชอบต่อ หนา้ ทท่ี ี่ไดร้ บั มอบหมายและการเรยี นดีขน้ึ ผวู้ จิ ัยได้ดาเนินการเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลตามลาดบั ขั้นตอนดังนี้ 1. การวิเคราะหข์ อ้ มลู 2. ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล การวเิ คราะหข์ อ้ มูล ในการศึกษาวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัยได้การดาเนินติดตามข้อมูลด้วยตัวเองโดยการสังเกต สัมภาษณ์ ให้ นักเรียนตอบแบบสอบถามและมกี ารตดิ ตามดแู ลพฤติกรรมและการเรียนของนกั เรียนอย่างใกลช้ ดิ ดังน้ี ผู้วิจัยได้ดาเนินการศึกษาและสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนนักศึกษา ปวช. 3 สาขาคอมพิวเตอร์ ปีการศึกษา 2563 วิทยาลัยการอาชีพบ้านลาด โดยการสังเกตพฤติกรรมและการเรียนของนักเรียนในช่ัวโมงโฮม รูม ขณะที่ทาการสอน และสอบถามจากครูแต่ละวิชาที่ทาการสอน ซ่ึงพบว่ามีนักเรียนที่มีปัญหาด้านพฤติกรรม การเรียน ขาดวินัยและความรับผิดชอบ เช่น มาสาย ไม่สนใจเรียน ไม่ส่งงานตามกาหนดเวลา บางคร้ังไม่มา เรียน มีการจดบันทึกและติดตามนักเรียนเป็นรายกรณี โดยการว่ากล่าวตักเตือนและมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์ อักษรและมีการใหน้ กั เรียนตอบแบบสอบถาม สรปุ ไดด้ งั นี้

ตารางแสดงความมีวนิ ยั ความรับผดิ ชอบและความสนใจการเรียนของนกั เรยี นนักศกึ ษาช้นั ปวช. 3 สาขาคอมพิวเตอร์ (ครั้งท่ี 1) ขอ้ รายการ ทาเปน็ ทาเปน็ ไม่เคยทา ประจา บางครง้ั 1 นกั เรยี นมักนางานวชิ าอ่นื มาทา ขณะทีก่ าลังเรียนวิชาหนึ่ง 2 นกั เรยี นพูดคุยและเล่นเพ่อื นในขณะท่ีครูสอน 76.74 13.96 9.30 3 นกั เรยี นสง่ งานและการบ้านตรงเวลาทค่ี รกู าหนด 4 นกั เรียนนอนหลับในห้องเรยี นขณะชว่ั โมงเรยี น 69.77 25.58 4.65 5 นกั เรยี นไม่ทาการบ้านและลอกการบา้ นเพอื่ น 6 นกั เรยี นทาผดิ จะพยายามแก้ไขโดยไม่ท้อแท้ 72.09 18.60 9.31 7 นักเรียนมีความรบั ผดิ ชอบตอ่ งานทไี่ ดร้ ับมอบหมาย 8 นกั เรยี นมาเรียนตรงเวลาและต้งั ใจเรียน 58.14 25.58 16.28 9 นักเรียนรู้จกั วางแผนและเตรียมพร้อมท่ีจะศึกษาต่อใน 74.42 16.28 9.30 มหาวิทยาลยั 10 นักเรียนใช้เวลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชนโ์ ดยการอ่านหนังสือ 41.86 44.19 13.95 46.51 46.51 6.98 44.19 51.16 4.65 25.58 46.51 27.91 41.89 46.57 11.54 จากแบบสอบถามนักเรยี นเกยี่ วกบั ความมีวนิ ัยและรับผดิ ชอบในห้องเรียน (คร้ังที่ 1) สรปุ ได้ ดงั น้ี นักเรียนมักน างาน วิชาอื่นมาทา ขณ ะที่ กาลังเรียนวิชาหน่ึง นักเรียน ที่ทาเป็นประจา มากที่ สุด คิดเปน็ ร้อยละ 76.74 นักเรียนพดู คยุ และเลน่ เพอ่ื นในขณะท่ีครสู อน นกั เรียนทที่ าเปน็ ประจามากทส่ี ุด คิดเปน็ ร้อยละ 69.77 นกั เรียนส่งงานและการบา้ นตรงเวลาทคี่ รกู าหนด นักเรยี นทีท่ าเปน็ ประจามากที่สดุ คิดเปน็ รอ้ ยละ 72.09 นกั เรียนนอนหลบั ในห้องเรยี นขณะชัว่ โมงเรียน นักเรยี นทที่ าเป็นประจามากท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ 58.14 นักเรยี นไมท่ าการบา้ นและลอกการบ้านเพื่อน นักเรยี นที่ทาเป็นประจา มากท่ีสดุ คดิ เป็นรอ้ ยละ 74.41 นกั เรยี นทาผดิ จะพยายามแก้ไขโดยไม่ท้อแท้ นักเรยี นทีท่ าบางครง้ั มากทส่ี ดุ คิดเปน็ รอ้ ยละ 44.19 นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานท่ีได้รับมอบหมาย นักเรียนท่ีทาเป็นประจาและทาเป็นบางครั้ง มากที่สุด คดิ เปน็ รอ้ ยละ 46.51 นกั เรียนมาเรยี นตรงเวลาและต้งั ใจเรียน นกั เรยี นทท่ี าบางครง้ั มากทสี่ ุด คิดเปน็ ร้อยละ 51.16 นักเรียนรู้จักวางแผนและเตรียมพร้อมท่ีจะศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย นักเรียนท่ีทาบางครั้ง มากท่ีสุด คิดเปน็ ร้อยละ 46.51 นั ก ศึ ก ษ าใช้ เว ลาว่างให้ เป็ น ป ระโย ช น์ โด ยก ารอ่าน ห นั งสื อ นั ก ศึ ก ษ าที่ ท าบ างค รั้ง ม าก ที่ สุ ด คิดเป็นร้อยละ 46.57

หลังจากทผี่ ู้วจิ ัยไดท้ าการสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนและไดใ้ ช้แบบสอบถามเก่ียวกับความมีวินัย ความ รับผิดชอบและความสนใจการเรียน จานวน 13 คน ตอบแบบสอบถามด้วยความจริงแล้วนามาสรุปโดยใช้ค่า ร้อยละในการวิเคราะห์ผลการวิจัย (จากแบบสรุปผลการตอบแบบสอบถาม) และประกอบกับผลการเรียนของ ภาคเรยี นที่ 1 ทาใหผ้ ู้วิจยั ได้ทาการสงั เกตนักศกึ ษาท่มี ี พฤติกรรมในลักษณะดังกล่าวและมีผลการเรียนค่อนข้างต่า ซึ่งผู้วิจัยจะทาการวิจัยเพื่อเป็นปรับเปลี่ยนด้าน พฤติกรรมให้นกั ศกึ ษาในห้องเรียนมีวนิ ยั และความรับผดิ ชอบ ตั้งใจเรียน จงึ ได้ดาเนนิ การโดยให้แตล่ ะคนร่วมกัน แสดงความคดิ เหน็ และรว่ มกนั สรา้ งบรรยากาศการเรียนรู้ภายในห้องเรียนใหเ้ อ้อื ต่อการเรยี นการสอน โดยการวางเงื่อนไขกันภายในห้องเรียน สร้างแรงจูงใจ และสร้างความตระหนักให้นักศึกษาเห็นถึงผล ของการไมม่ วี นิ ยั ขาดความรบั ผดิ ชอบ และไมต่ ั้งใจเรยี น โดยไดด้ าเนินการ ดังนี้ ๏ ให้นักศกึ ษาแตล่ ะคนเขียนคาม่ันสญั ญา ๏ ขอความร่วมมือจากผู้ปกครองร่วมกันดูแลพฤติกรรมและการเรียนของนักศึกษา ให้ผู้ปกครองแจ้ง พฤติกรรมของนักศึกษาขณะอยู่บ้าน เม่ือนักศึกษาขาดเรียนหรือมาสายให้ครูทราบและครูก็มีการติดตาม นกั ศกึ ษาเรียนร่วมกัน ๏ ขอความร่วมมือจากครูทท่ี าการสอนทกุ ท่านใหข้ ้อมลู ดา้ นพฤติกรรมของนักเรยี นขณะเรียน ในแตล่ ะวิชา ๏ ขอความร่วมมือกับเพื่อนภายใน รวมเป็นทั้งสิ้นจานวน 13 คน โดยครูจะคัดเลือกนักศึกษาท่ีมีความ รับผิดชอบ ต้งั ใจเรยี นและมีผลการเรยี นค่อนข้างดี เปน็ หัวหน้ากลุ่มเพื่อเปน็ พีเ่ ลีย้ งภายในกล่มุ และให้นกั เรียนที่ เหลือเข้ารวมกลุ่มกันเองตามความสมัครใจให้ครบจานวนตามท่ีกาหนด หลังจากนั้นให้แต่ละกลุ่มเขียนคามั่น สัญญาร่วมกัน และร่วมกันวางแผนการศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งนักศึกษาท่ีได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า กลมุ่ จะดาเนินการแต่งตั้งกรรมการแตล่ ะด้านร่วมกนั ดูแลภายในกลุ่ม เชน่ ดแู ลเก่ยี วกบั พฤติกรรม การขาดเรยี น มาสาย การเรียนฯลฯ นักเรียนจะเข้ากลุ่มร่วมกันทางานและเป็นพี่เลี้ยงคอยให้คาปรึกษา ช่วยเหลือกรณีไม่ เขา้ ใจบทเรียน อา่ นหนงั สอื และทางานแตล่ ะวิชาไดส้ าเรจ็ ผู้วิจัยได้ติดตาม ดูแลและสังเกตนักเรียนเป็นระยะ ๆ และในกรณีที่นักเรียนมีปัญหาไม่ว่าจะเป็นปัญหา ด้านพฤติกรรมและการเรียน หัวหน้ากลุ่มแต่ละกลุ่มจะรายงานครูและร่วมกันแก้ปัญหาทั้งด้านการมาเรียน ถ้ามี นักศึกษาขาดเรียนภายในกลุ่มจะแจ้งให้ครูทราบและมีการติดตามให้มาเรียนและชี้ให้นักศึกษาเห็นความสาคัญ ของการเรียน ต้องมีวินัยและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทาให้บรรยากาศการเรียนรู้ภายในห้องเรียนดีขึ้น รู้จัก เสยี สละ มคี วามสามัคคแี ละช่วยเหลอื ซ่ึงกนั และกัน ภายในหอ้ งเรยี นมีการจัดกจิ กรรม ต่าง ๆ ร่วมกัน เช่น ร่วมกันทาความสะอาดห้องเรียนนอกเหนือจากเวรทาความสะอาดประจาวันแล้ว แข่งขัน กีฬาภายในห้องเรียน นอกจากนี้มีการจัดให้นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมรักการอ่าน การรู้จักการออมโดยในแต่ละ สัปดาห์จะมีการให้นักเรียนนาเงินที่เหลือมาฝากเงินกับธนาคารโรงเรียน ท้ังนี้เพื่อเป็นฝึกให้นักเรียนมีความ รบั ผิดชอบและรูจ้ กั ประหยัดตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ผู้วิจัยได้สังเกตพบว่า พฤติกรรมของนักเรียนภายในห้องหลังจากมีการแบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มย่อย ๆ แล้ว ให้เพื่อนคอยเป็นพ่ีเลี้ยงแนะนาเพื่อนไม่ว่าจะเป็นด้านพฤติกรรมและการเรียน ทาให้มีบรรยากาศที่เอื้อต่อการ

เรยี นการสอนมากขน้ึ เมื่อนานักเรียนมารว่ มกันทากจิ กรรมของโรงเรียน พบวา่ นักเรียนมีความกระตอื รือร้นในการ เข้ารว่ มกจิ กรรม และเอาใจใส่ตอ่ การเรยี นมากขนึ้ ขณะเขา้ แถวก็มีความเปน็ ระเบยี บและมวี ินยั มากขึ้น ตามลาดับ เมือ่ แต่ละวิชาทาการสอบก็จะพบว่านักเรียนจะเข้ากลุ่มร่วมกันอา่ นหนังสือและมีการซกั ถามบทเรียนที่ ไม่เข้าใจ เพื่อนท่ีเข้าใจก็จะอธิบายให้กับเพื่อนท่ีไม่เข้าใจบทเรียนทาให้ได้คะแนนดีขึ้น ครูก็ให้คาชมเชยและให้ กาลังใจนักเรียนเพ่ือที่จะได้มีกาลังใจทาต่อไป รู้จักหน้าท่ีและมีความรับผิดชอบมากขึ้น ทาให้นักเรียนเห็น ความสาคัญของตัวเอง สนใจเรียนมากข้ึน มีการซักถามเก่ียวกับบทเรียนกับครูให้อธิบายให้เข้าใจ โดยดูจาก พฤติกรรมการเรียน การส่งงานตรงกาหนดเวลา และได้รับคาชมเชยจากครูแต่ละวิชาที่ทาการสอน โดยภาพ รว่ มของนักเรียนในห้องปฏิบัตติ ามกฎระเบียบของโรงเรียน ตั้งใจเรียน ช่วยเหลือซ่ึงกันและกันมากขึ้น มีน้าใจ รจู้ ักเสียสละ มกี ารปรับเปลีย่ นพฤตกิ รรมการมาเรียนให้มาทนั เรยี น หลงั จากผวู้ ิจัยเห็นการปรบั เปล่ียนพฤติกรรมให้นักเรียนเปน็ ผ้มู ีวินัย มคี วามรับผิดชอบต่อการเรียนและมี บรรยากาศภายในห้องเรยี นดขี ้ึน ครูก็มกี ารพูดคยุ และร่วมกันประเมินผลการเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมของแตล่ ะคน โดยการสัมภาษณ์และให้นักเรียนแตล่ ะคนตอบแบบสอบถามชุดเดมิ อีกครั้ง แลว้ นามาสรุเปรียบเทียบกบั การตอบ แบบสอบถามครั้งแรก พบว่า นักเรียนมีความรัก สามัคคีในหมู่คณะ มีความรับผิดชอบ มาเรียนเป็นประจา ตงั้ ใจเรยี นและทางานท่ไี ด้รับมอบหมาย มีผลการเรียนดขี ้ึน ทาใหเ้ กดิ ความภาคภมู ใิ จในตนเอง ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการสังเกต การสัมภาษณ์ ข้อมูลด้านการเรียนของแต่ละวิชา การตอบ แบบสอบถามจากนักเรียนและจากการใชแ้ รงจูงใจเสริมแรงโดยใหค้ าชมเชยแก่นักเรียน รวมทั้งดูแลด้านการเรยี น ให้มีความรับผิดชอบ สนใจเรียน และติดตามจากผู้ปกครอง คุณครูท่ีเข้าสอนแต่ละวิชา ปรากฏว่า ของ นักศึกษา ปวช. 3 สาขาคอมพิวเตอร์ ห้อง 3/3 ปีการศึกษา 2554 ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาจุลมณีอุทุมพร พิสัย มีความเอาใจใส่ต่อการเรียน รับผิดชอบและสนใจเรียนมากข้ึน โดยสังเกตจากบรรยากาศการเรียน ภายในห้องเรียนท่เี อื้อต่อการเรยี นรู้ ทาให้นกั เรียนมคี วามกระตือรือร้นต่อการมาเรียนและการเรียน มีความตั้งใจ เรียน มีความรบั ผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่ขาดเรียนหรือมาสาย ทางานท่ีได้รบั มอบหมายและส่งงานตรงกาหนดเวลา รู้จักชว่ ยเหลือซ่ึงกันและกันด้วยความเตม็ ใจ ยงั ส่งผลทาให้ผลการเรียนมีวินยั ความรับผิดชอบและความสนใจการ เรียนของนกั เรียน โดยสรุปจากผลการเปรียบเทียบจากการตอบแบบสอบถาม ดังนี้

ตารางแสดงความมีวนิ ัย ความรับผิดชอบและความสนใจการเรยี น ของนักเรยี นนักศกึ ษาชนั้ ปวช. 3 สาขา คอมพิวเตอร์ (ครั้งท่ี 2) ข้อ รายการ ทาเปน็ ทาเปน็ ไม่เคยทา ประจา บางคร้ัง 1 นกั เรยี นมักนางานวิชาอืน่ มาทา ขณะท่ีกาลังเรยี นวชิ าหน่งึ 2 นักเรยี นพดู คยุ และเล่นเพือ่ นในขณะทีค่ รูสอน 9.30 37.21 53.49 3 นกั เรยี นสง่ งานและการบา้ นตรงเวลาที่ครกู าหนด 4 นกั เรยี นนอนหลับในห้องเรยี นขณะชว่ั โมงเรียน 13.95 46.51 39.54 5 นกั เรยี นไม่ทาการบ้านและลอกการบา้ นเพ่ือน 6 นกั เรยี นทาผดิ จะพยายามแก้ไขโดยไมท่ ้อแท้ 4.65 30.23 65.12 7 นักเรยี นมีความรับผดิ ชอบตอ่ งานท่ีได้รับมอบหมาย 8 นักเรยี นมาเรยี นตรงเวลาและตงั้ ใจเรียน 0.00 4.65 95.35 9 นักเรียนรู้จักวางแผนและเตรียมพรอ้ มทจี่ ะศึกษาต่อใน 0.00 11.63 88.37 มหาวิทยาลัย 10 นักเรียนใช้เวลาว่างให้เปน็ ประโยชนโ์ ดยการอา่ นหนังสอื 90.69 9.31 0.00 93.03 6.97 0.00 90.70 9.30 0.00 76.74 23.26 0.00 79.06 20.94 0.00 จากแบบสอบถามนักเรียนเก่ียวกับความมวี นิ ยั และรบั ผิดชอบในห้องเรียนครั้งที่ 2 พบวา่ นักศกึ ษา ปวช. 3 สาขาคอมพวิ เตอร์ มีความกระตื้อร้ือร้น เอาใจใส่ต่อการเรยี น และมีวนิ ัยและความรับผิดชอบมากข้ึน โดยสรุปได้ ดงั นี้ นกั เรียนมกั นางานวชิ าอ่นื มาทา ขณะที่กาลงั เรยี นวชิ าหนึง่ นกั เรยี นไมเ่ คยทา มากท่สี ดุ คิดเปน็ รอ้ ยละ 53.49 นกั เรียนพูดคยุ และเลน่ เพอ่ื นในขณะทค่ี รูสอน นักเรียนที่ทาเป็นบางครง้ั มากท่ีสดุ คดิ เปน็ ร้อยละ 46.51 นักเรียนสง่ งานและการบ้านตรงเวลาที่ครกู าหนด นกั เรียนท่ีไมเ่ คยทามากทส่ี ุด คิดเปน็ ร้อยละ 65.12 นักเรียนนอนหลับในห้องเรยี นขณะชวั่ โมงเรียน นักเรยี นท่ีไม่เคยทา มากท่ีสุด คิดเปน็ ร้อยละ 95.35 นกั เรยี นไม่ทาการบ้านและลอกการบ้านเพื่อน นักเรยี นที่ไม่เคยทา มากทีส่ ุด คิดเป็นร้อยละ 88.37 นกั เรียนทาผดิ จะพยายามแก้ไขโดยไมท่ ้อแท้ นกั เรียนทที่ าเปน็ ประจามากทส่ี ดุ คิดเปน็ ร้อยละ 90.69 นกั เรยี นมคี วามรับผดิ ชอบตอ่ งานทไี่ ด้รับมอบหมาย นกั เรยี นท่ีทาเปน็ ประจามากท่สี ุดคดิ เป็นรอ้ ยละ 93.02 นกั เรียนมาเรียนตรงเวลาและตง้ั ใจเรียน นกั เรยี นทที่ าเปน็ ประจา มากที่สุด คดิ เป็นร้อยละ 90.70 นักเรียนรจู้ ักวางแผนและเตรียมพร้อมที่จะศึกษาต่อในมหาวทิ ยาลัย นักเรยี นท่ที าเป็นประจา มากทสี่ ุด คดิ เป็น รอ้ ยละ 76.74 นักเรยี นใชเ้ วลาวา่ งให้เปน็ ประโยชนโ์ ดยการอ่านหนังสือ นักเรียนท่ีทาเปน็ ประจา มากท่ีสดุ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 79.06

บทที่ 5 สรปุ ผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ ความมุ่งหมาย เพ่ือเป็นการปรับเปล่ียนพฤติกรรมการเรียนให้เป็นผู้มีวินัยและความรับผิดชอบต่อหน้าที่และการเรียนดี ข้ึนของการปรับเปล่ียนพฤติกรรมการเรียนให้มีวินัยและความรับผิดชอบของนักศึกษา ปวช . 3 สาขาคอมพิวเตอร์ ของวิทยาลัยการอาชีพบา้ นลาด ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง ประชากร / กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาครั้งน้ีเป็นการปรับเปล่ียนพฤติกรรมการเรียนให้มีวินัยและ ความรับผิดชอบของนักศึกษา ปวช. 3 สาขาคอมพิวเตอร์ ของวิทยาลัยการอาชีพบ้านลาด จานวน 13 คน เครอ่ื งมือทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาคน้ คว้า เคร่ืองมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า คือ การสังเกต และการสัมภาษณ์ การพูดคุย การใช้คาม่ันสัญญา และทฤษฎีเสรมิ แรง วิธีการดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ในการทาวจิ ัยครงั้ น้ี เคร่ืองมือที่ใชเ้ ปน็ แบบสังเกต แบบสอบถาม ที่ผู้วิจยั สร้างขนึ้ เอง การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผูว้ จิ ยั ใชค้ า่ รอ้ ยละในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู สรุปผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล จากผลการวิเคราะหข์ ้อมูลจากการสงั เกต ข้อมูลด้านการเรียนของแต่ละวชิ า และการตอบแบบสอบถาม จากนักศึกษา การใช้แรงจูงใจเสริมแรงโดยให้คาชมเชยแก่นักเรียน รวมทั้งดูแลด้านการเรียนให้มีความ รบั ผิดชอบ สนใจเรยี น และติดตามจากผปู้ กครอง คุณครูท่ีเข้าสอนแตล่ ะวิชา ซึ่งนักเรียนให้ความรว่ มมือ เปน็ อยา่ งดี ทาใหน้ ักเรยี นมคี วามกระตอื รือร้นต่อการมาเรยี นและการเรยี นมากขึ้น ในการทาวิจัยคร้งั น้ปี รากฏว่า การปรบั เปลีย่ นพฤตกิ รรมการเรียนให้มวี นิ ัยและความรับผดิ ชอบของนกั ศกึ ษา ปวช. 3 สาขาคอมพวิ เตอร์ ปีการศกึ ษา 2563 ของวิทยาลยั การอาชพี บ้านลาด มีความเอาใจใส่ต่อการเรียน รับผดิ ชอบและสนใจเรียนมาก ขึ้น โดยสังเกตจากบรรยากาศการเรียนภายในห้องเรียนท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้ มีความต้ังใจเรียนมากข้ึน มีความ รบั ผดิ ชอบต่อหนา้ ท่ี ไม่ขาดเรียนหรือมาสาย ทางานท่ีได้รับมอบหมายและสง่ งานตรงกาหนดเวลา รู้จกั ชว่ ยเหลือ ซึ่งกันและกันด้วยความเต็มใจ โดยดูจากการสังเกต การสัมภาษณ์ ผลการเรียนและสรุปผลการเปรียบเทียบจาก การตอบแบบสอบถามเก่ียวกบั ความมีวินัย ความรบั ผิดชอบและความสนใจการเรียนของนักศึกษา ดังนี้

ตารางเปรียบเทียบความมีวินยั ความรับผดิ ชอบและความสนใจการเรียน ของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรยี นให้มีวนิ ัยและความรบั ผิดชอบของนกั ศกึ ษา ปวช. 3 สาขาคอมพิวเตอร์ ปีการศึกษา 2563 (ครัง้ ที่ 1 และคร้ังท่ี 2) ครง้ั ท่ี 1 ครง้ั ท่ี 2 ขอ้ รายการ ทาเป็น ทาเป็น ไมเ่ คย ทาเป็น ทาเปน็ ไม่เคย ประจา บางครง้ั ทา ประจา บางครั้ง ทา 1 นักเรยี นมกั นางานวชิ าอนื่ มาทาขณะทก่ี าลงั เรียน 76.74 13.95 9.30 9.30 37.21 53.49 วชิ าหนง่ึ 2 นักเรยี นพูดคยุ และเล่นเพอ่ื นในขณะทีค่ รสู อน 69.77 25.58 4.65 13.95 46.51 39.53 3 นักเรยี นส่งงานและการบา้ นตรงเวลาทค่ี รูกาหนด 72.09 18.60 9.30 4.65 30.23 65.12 4 นักเรียนนอนหลบั ในหอ้ งเรียนขณะช่ัวโมงเรียน 58.14 25.58 16.28 0.00 4.65 95.35 5 นกั เรยี นไมท่ าการบา้ นและลอกการบา้ นเพอื่ น 74.41 16.28 9.30 0.00 11.62 88.37 6 นกั เรียนทาผดิ จะพยายามแกไ้ ขโดยไม่ทอ้ แท้ 41.86 44.19 13.95 90.69 9.30 0.00 7 นกั เรียนมีความรับผิดชอบต่องานทไี่ ดร้ บั มอบหมาย 46.51 46.51 6.98 93.02 6.97 0.00 8 นักเรยี นมาเรียนตรงเวลาและต้ังใจเรยี น 44.19 51.16 4.65 90.69 9.30 0.00 9 นกั เรยี นรจู้ กั วางแผนและเตรยี มพร้อมทจี่ ะศึกษาต่อ 25.58 46.51 27.91 76.74 23.25 0.00 ในมหาวทิ ยาลยั 10 นกั เรียนใชเ้ วลาว่างให้เปน็ ประโยชนโ์ ดยการอา่ น 41.86 46.51 11.53 79.06 20.93 0.00 หนังสอื จากแบบสอบถามนักเรยี นเกย่ี วกับความมีวนิ ยั และรับผดิ ชอบในห้องเรยี น เม่อื นาผลสรุปของ การตอบแบบสอบถามคร้ังที่ 1 และครั้งที่ 2 พบว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนให้มีวินัยและความ รบั ผิดชอบของนักศึกษา ปวช. 3 สาขาคอมพิวเตอร์ ของวิทยาลัยการอาชีพบ้านลาด มีความกระต้ือร้ือร้น เอา ใจใส่ต่อการเรียน และมีวินัยและความรับผิดชอบมากขึ้น จากตารางพบว่า ในการตอบแบบสอบถามคร้ังที่ 2 นักเรียนมีพฤติกรรมดังกล่าวมากกว่าครั้งที่ 1 หากพิจารณาในภาพรวมจะเห็นได้ว่าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือนักเรียนไม่นางานวิชาอ่ืนมาทาขณะที่กาลังเรียนวิชาหน่ึงไม่คุยและเล่นเพ่ือนในขณะท่ีครูสอน ส่งงานและ การบ้านตรงเวลาที่ครูกาหนด ไม่นอนหลับในหอ้ งเรยี นขณะชั่วโมงเรียน ทาการบ้านและไม่ลอกการบา้ นเพื่อน ทาผิดจะพยายามแก้ไขโดยไม่ท้อแท้ มีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย มาเรียนตรงเวลาและต้ังใจ เรียน รู้จักวางแผนและเตรยี มพร้อมท่ีจะศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการอ่าน หนังสือ ทาให้นักเรียนสามารถปรับเปล่ียนพฤติกรรมการเรียนให้เป็นผู้มีวินัยและความรับผิดชอบต่อหน้าที่และ การเรยี น สง่ ผลใหก้ ารเรียนดีขน้ึ และเปน็ ผทู้ ่มี ีความสาเร็จในชีวิตตามจดุ หมายทีต่ งั้ ไว้

ขอ้ เสนอแนะ ควรมกี ารติดตามอย่างใกลช้ ดิ และตอ่ เนื่อง ควรมกี ารติดตามอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ครู ผู้ปกครอง นกั เรียนและผู้ทเี่ กี่ยวขอ้ ง ควรรว่ มมือกนั แกไ้ ขและสะท้อนปญั หา ต่าง ๆ ของนักเรียน ทาให้นักเรียนมกี ารปรบั เปลี่ยนพฤติกรรมและการเรยี น

บรรณานุกรม โยธิน คนั สนยทุ ธ และคณะ. จิตวทิ ยา. กรงุ เทพมหานคร: ศูนยส์ ่งเสริมวิชาการ, 381 หนา้ . 2533. จรี าภา เตง็ ไตรรตั น์ และคณะ. จติ วิทยาทวั่ ไป. พิมพ์ครั้งท่ี 4. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 364 หน้า. 2533. ฉนั ทนา ภาคบงกช และคณะ. การสารวจคณุ ลกั ษณะทางวนิ ยั ท่พี ึงประสงคใ์ นสังคมไทย. กรุงเทพมหานคร: สถาบนั วจิ ัยพฤติกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. 2539 จุมพล หนมิ พานิช และคณะ. จติ วิทยาท่ัวไป. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลยั รามคาแหง. 2542

ภาคผนวก