Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วัสดที่ใช่ในชีวิตประจำวัน

วัสดที่ใช่ในชีวิตประจำวัน

Published by koryakoy2548, 2019-07-11 05:23:42

Description: วัสดที่ใช่ในชีวิตประจำวัน

Search

Read the Text Version

วสั ดทีใชใ้ น ชวี ติ ประจาํ วนั

จัดทาํ โดย ด.ญ.สกณุ ณภา บุญหนกั ชันมธั ยมศึกษาปที 2/1 เลขที 37 เสนอ นางสาว ภทั ราวรรณ อุทย์สิงห์ งานชนิ นีเปนส่วนหนงึ ของรายวชิ า การออกแบบและ เทคโนโลย(ี ว2203) โรงเรยี น โพธไิ ทรพิทยาคาร

คํานาํ งานชนิ นจี ดั ทําขนึ เพอื เปนสว่ นหนงึ ของวชิ า การ ออกแบบและเทคโนโลยี ชนั ม.2 เพอื ใหไ้ ดศ้ ึกษา หาความรใู้ นเรอื ง วสั ดทุ ีใชใ่ นชวี ติ ประจาํ วนั และได้ ศึกษาอยา่ งเขา้ ใจเพอื เปนประโยชนก์ ับการเรยี น ผจู้ ดั ทําหวงั วา่ รายงานเล่มนจี ะเปนประโยชนก์ ับ ผอู้ ่าน หรอื นกั เรยี น นกั ศึกษา ทีกําลังหาขอ้ มูลเรอื งนี อยูห่ ากมขี อ้ แนะนาํ หรอื ขอ้ ผดิ พลาดประการใด ผจู้ ดั ทําขอนอ้ มรบั ไวแ้ ละขออภัยมาณ ทีนดี ว้ ย ผจู้ ดั ทํา วนั ที 09/07/62

สารบญั ความหมายของวสั ดุ 1 คณุ สมบตั ขิ องวัสดุ 2 สมบัติความยืดหยุ่น 3 ความแขง็ ของวสั ดุ 4 ความเหนียวของวสั ดุ 5 การนาํ ความรอ้ นของวัสดุ 6 การนาํ ไฟฟา 7 ความหนาแน่น 8 ประเภทของวสั ดุ 10 โลหะ 11 เซรามิก พอลิเมอร์ 12 กระดาษ

ไม้ ผ้า วัสดธุ รรมชาติ 13 วัสดสุ ังเคราะห์ 18 ประโยชนข์ องวัสดุ 20 ตัวอยา่ งวัสดทุ ีใชใ่ นชีวติ ประจาํ วนั 21 บรรณานกุ รม

ความหมายของวัสดุ วัสด ุ คือ สิงทีนาํ มาทําสิงของเครืองใชต้ ่างๆ วสั ดุ รอบตัวเรามีทังวสั ดุธรรมชาติ ซงึ ไดม้ าจากสิงมี ชีวิตและไม่มีชีวิต เชน่ ไม้ ขนสัตว์ ไยไหม เปลอื ก หอย ดนิ เหนยี ว หนิ ทราย และวัสดุสังเคราะห์ เช่น พลาสติก เส้นใยสังเคราะห์ 1

คุณสมบตั ิของวสั ดุ ลกั ษณะเฉพาะของวสั ดนุ นั ๆ ลกั ษณธพืนผิว นาํ หนัก ความแข็ง ความยืดหยุน่ การดูดซึมของ นาํ สิงของทที ําด้วยวัสดุต่างกนั จะมีคณุ สมบัติ ตา่ กัน ตม่ ลักษณะการใช่งาน เชน่ กอ้ นหนิ จะ แขง็ ผา้ จะน่มุ 2

สมบัตคิ วามยืดหยุ่น ความยดื หยุ่น หมายถงึ ลักษณะทีวตั ถุนันสามารถกลบั คืนรปู ร่าง ทรงเดมิ ได้ หลังจากแรงทมี ากระทําตอ่ วตั ถหุ ยดุ กระทาํ ต่อวตั ถุ นัน วัสดทุ ีถกู แรงกระทําแลว้ สามารถเปลยี นรปู รา่ งหรอื ขนาดของ วสั ดุ และเมือเราหยดุ ออกแรงวัสดนุ นั จะกลบั คนื สู่สภาพเดมิ เรยี กว่า วัสดุนันมสี ภาพความยืดหยุ่น เช่น ถุงมอื ยาง ยางยดื ฟองนาํ วสั ดุแต่ละชนดิ มสี ภาพยดื หยุ่นไมเ่ ทา่ กัน บางชนดิ ตอ้ งออกแร งมากๆ สภาพยดื หยุ่นยงั คงอยู่ แตบ่ างชนดิ เมือออกแรงมากเกนิ ไปกห็ มดสภาพยดื หยุน่ ได้ ส่วนวสั ดุทเี ราออกแรงกระทาํ แล้ว วัสดเุ กิดการเปลยี นรูปรา่ งหรือ ขนาด แต่เมือหยดุ ออกแรง วัสดไุ มค่ นื สภาพเดมิ เราเรียกวสั ดุนัน วา่ วัสดไุ มม่ คี วามยดื หยุ่น เช่น ดนิ นาํ มัน ไม้ แผน่ พลาสติก กระดาษ   การใช้ความยดื หยุ่นในชวี ิตประจําวัน เชน่ การใชย้ างรดั ผม การ ใชย้ างยืดทําขอบกางเกง ใช้เส้นเอ็นทําไม้แบดมนิ ตนั หรอื ไม้ เทนนสิ 3

ความแขง็ ของวสั ดุ ความแขง็  หมายถึง ความทนทานต่อกรตดั และการขดู ขดี  วสั ดุทมี ีความแข็งมากจะทนทานต่อการขูดขีดมาก เชน่ ตะปูกบั ไม้ เมือเราเอาตะปูไปขูดกับไม้ จะพบว่า ไม้ เกดิ รอย นนั แสดงวา่ วสั ดใุ ดทเี กดิ รอยจะมีความแข็ง น้อยกวา่ วัสดุทีไม่เกิดรอย แสดงวา่ ตะปูมีความแข็ง มากกว่าไม้ สิงสําคัญทตี อ้ งคาํ นึงมดี ังนี 1. วัสดทุ ีถกู ขดู เกิดรอย แสดงวา่ ความแขง็ นอ้ ยกว่าวสั ดุ ทีใช้ขดู 2. วสั ดทุ ีถูกขดู ไม่เกดิ รอย แสดงว่า ความแข็งมากกวา่ วัสดทุ ใี ชข้ ูด การใช้ความยดื หยนุ่ ในชวี ิตประจําวนั  ใหเ้ หมาะแก่การใช้ ประโยชนแ์ ละใช้งานได้ เชน่ กลอ่ งสําหรับเกบ็ ของ โตะ๊ เก้าอี แก้ว กระเบอื ง ม้านัง 4

ความเหนยี วของวัสดุ ความเหนยี ว หมายถงึ ความสามารถในการรับนาํ หนกั ของวัสดุ ดงึ ขาดยาก  ถา้ เราทาํ การพิจารณาดา้ นความ เหนยี วสามารถทาํ ได้ 2 วิธี คือ 1.ความสามารถในการดึงเปนเส้น 2.ความสามารถในการตเี ปนแผ่นบางได้ การใชค้ วามยดื หยุ่นในชีวิตประจาํ วัน เชน่ ใช้เชอื กใน การผกู สิงของ เบด็ ตกปลา วัสดใุ นการทําสะพานแขวน 5

การนําความร้อนของวัสดุ การนําความรอ้ น หมายถงึ  การถ่ายเทพลังงานความร้อนจากอนภุ าค หนงึ สู่อนภุ าคหนึง และถา่ ยทอดกนั ไปเรือยๆ ภายในเนือของวัตถุ วัสดแุ ตล่ ะชนิดสามารถนําความร้อนไดแ้ ตกตา่ งกนั วัสดทุ ีนาํ ความ รอ้ นไดด้ จี ะถ่ายเทพลงั งานความร้อนไดเ้ รว็ และมาก เมือวสั ดุชนดิ นันได้รับความรอ้ นทบี ริเวณใดบริเวณหนงึ จะถ่ายโอนความรอ้ นไป สู่บรเิ วณอืนด้วย  วสั ดุบางชนิดไมน่ าํ ความรอ้ น เราจงึ สามารถ จําแนกสมบตั กิ ารนาํ ความรอ้ นของวสั ดุได้ 2 ประเภท คอื ตัวนาํ ความร้อน และฉนวนความร้อน 1.ตัวนําความรอ้ น คอื วัสดทุ ีความรอ้ นผา่ นได้ดี ส่วนใหญเ่ ปนโลหะ เช่น เหล็ก อะลูมเิ นียม เงนิ ทอง ทองแดง นยิ มมาใช้ทําภาชนะหุง ขา้ ว เชน่ หม้อ กาตม้ นํา กระทะ 2.ฉนวนความรอ้ น คอื วัสดุทคี วามรอ้ นผ่านไดไ้ ม่ดี หรอื ไม่สามารถ ผ่านได้ ส่วนใหญ่เปนอโลหะ เชน่ ผา้ ไม้ ยาง พลาสติก กระเบอื ง นยิ มนาํ มาทาํ ดา้ มตะหลวิ ด้ามหมอ้ หหู ม้อ ทจี ับหม้อ เพือปองกัน ความร้อน 6

การนําไฟฟา การนาํ ไฟฟา หมายถงึ สมบัติยอมให้ประจุไฟฟาหรอื กระแสไฟฟา ไหลผา่ นได้ และสามารถแสดงอํานาจไฟฟาออกมา  ซึงวสั ดแุ ตล่ ะ ชนดิ มสี มบัตกิ ารนาํ ไฟฟาทีแตกต่างกัน ดงั นี ตัวนําไฟฟา วสั ดุทียอมให้ประจไุ ฟฟาหรอื กระแสไฟฟาไหลผา่ นได้ ไดแ้ ก่ โลหะ ต่างๆ เชน่ ทองแดง เงิน เหลก็ อะลมู เิ นียม ตวั นาํ ไฟฟาทีดีทสี ุด คือ เงนิ (แตไ่ มน่ ยิ ม เพราะราคาแพง) อโลหะทสี ามารถนาํ ไฟฟาได ้ คือ แกรไฟต์ ฉนวนไฟฟา วสั ดทุ ีไม่ยอมใหป้ ระจุไฟฟาหรือกระแสไฟฟาไหลผ่านหรือผา่ นได้ นอ้ ยมาก เช่น ไม้ แกว้ กระดาษ ยาง พลาสติก 7

ความหนาแน่น ความหนาแน่น  หมายถึง ปรมิ าณมวลสารทมี อี ย่ใู น 1 หน่วยปรมิ าตร  ความหนาแนน่ เปนสมบตั ิเกยี วกับเนอื ของ วสั ดุ วสั ดทุ ีมีเนอื แนน่ จะมคี วามหนาแน่นมากกวา่ วสั ดทุ ี เปนเนอื โปรง่ สามารถทดสอบโดยเอาวสั ดนุ นั ไปลอยนํา   ***ถ้าวัสดนุ นั ลอยนาํ ได้ แสดงว่า วสั ดนุ นั มคี วามหนา แน่นน้อยกว่านาํ แต่ถ้าวัสดนุ นั เกดิ การจมนาํ แสดงว่ามี ความหนาแนน่ มากกวา่ นาํ 8

การหาความหนาแน่นของวสั ดทุ แี นน่ อน  หาจากความสัมพันธ์ ดงั นี        ความหนาแน่น  = มวล / ปริมาตร   (ความหนาแน่นมีหนว่ ย คอื กโิ ลกรัมตอ่ ลูกบาศก์เมตร หรือ กรมั ตอ่ ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร) จากสูตร    มวล คือ  ปริมาณเนือของวัตถุ มีหน่วยเปนกิโลกรมั มวลจะมี ค่าคงทีเสมอ นาํ หนัก    คอื แรงดึงดดู ของโลกทีกระทาํ ตอ่ มวลของวตั ถุ มี หน่วยเปน นิวตัน  **นําหนัก (นิวตนั )   =  มวล (กโิ ลกรมั )  x  สนามความโนม้ ถ่วง โลก (นิวตัน/กิโลกรัม) ปริมาตร  หาไดด้ งั นี   -ถา้ หาปริมาตรของแขง็ จะหาโดยการแทนทีนํา หรือ ถ้าเปนรปู ทรง สีเหลียมมุมฉากใช้สูตรนี  กวา้ ง X ยาว X สูง -ถ้าเปนของเหลว  โดยใช้กระบอกตวงวดั ปรมิ าตรแลว้ อ่านคา่ ทีได้ 9

ประเภทของวสั ดุ สิงของต่างๆ รอบตวั เรามอี ย่มู ากมาย ไม่วา่ เราจะ มองไปทางใด  ก็จะมีวสั ดุอุปกรณ์ตา่ งๆ เรียงรายเต็มไป หมด        คุณเคยลองแยกประเภทของเหลา่ นันไหม วา่ พวกมัน ทํามาจากวัสดุใดบา้ ง ประเภทของวัสดุ มีอะไรบาง ? 10

โลหะ     เปนสารอนินทรยี ท์ ีนาํ มาใชใ้ นชีวิตประจาํ วัน เชน่ เหลก็ ตะกัว ทองแดง เงนิ เปนตน้         โลหะเปนวสั ดทุ มี ีความแข็งแรงและมคี วามเหนียวสูง จึง นยิ มนาํ มาทําเปนส่วนประกอบของ งานทีตอ้ งการความแข็งแร งมากๆ เซรามกิ       เปนวสั ดทุ ีเกดิ จากการนาํ ดนิ หรอื แรต่ ่างๆ เชน่ หิน เขยี วหนุมาน มาขนึ รปู และนําไปเผาให ้ ความร้อนสูง จนเกิด ความแขง็ แรง เซรามกิ เปนวสั ดทุ ีมคี วามแข็งแต่เปราะ นยิ มใช้ทํา ของใช ้    และเครอื งประดบั 11

พอลิเมอร์       เปนวสั ดทุ ีได้จากธรรมชาติ เชน่ ยางพารา และได้รับการ สังเคราะห์ เช่น พลาสตกิ มนี าํ หนัก   เบา ทําให้เกิดสีสันง่าย จงึ นยิ มใช้กันอย่างแพร่หลาย  กระดาษ       เปนวัสดุทที าํ จากต้นไม้ ผ่านกระบวนการทาํ ใหเ้ ปนชิน เล็กๆ ไม่ทนทาน ฉกี ขาดงา่ ย สามารถ        นาํ มาพับเปนรูป แบบตา่ งๆได้ ไม้      เปนวัสดุทีไดจ้ ากธรรมชาติ เปนวสั ดทุ ีแข็งแรง ทนทาน แต่ เมอื ได้รบั ความชนื จะผุเนอื งจาก          การย่อยสลายตาม ธรรมชาติ   ผ้า      เกิดจากการทอเส้นใย ซึงมที ังจากธรรมชาตแิ ละการ สังเคราะห์ มีนําหนักเบา ซบั นาํ ได้ 12

วัสดธุ รรมชาติ ประเทศไทยมที รัพยากรธรรมชาติอนั อดุ มสมบูรณ์ ในแตล่ ะ ทอ้ งถินจะมที รัพยากรธรรมชาติทแี ตกต่างกันไป และมี ทรพั ยากรบางชนิดทีไม่นาํ มาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชนห์ รอื ถูกทิงไป อยา่ งนา่ เสียดาย หากประชาชนแต่ละทอ้ งถนิ ไดศ้ ึกษาคน้ คว้า และสํารวจทรพั ยากรธรรมชาตปิ ระเภทพืช สัตว์และแรธ่ าตุอืน ๆ ทีมีอยแู่ ล้ว นําไปใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ ผลผลติ ทังหลายทเี กดิ จะ ช่วยเสริมสรา้ งสถานะทางเศรษฐกจิ ของครอบครวั ชมุ ชน และ ประเทศได้ วสั ดธุ รรมชาติ จาํ แนกไดเ้ ปน 3 ประเภท 1. วสั ดุธรรมชาติ ประเภทพืช ไดแ้ ก่ ต้นไมช้ นดิ ต่าง ๆ เชน่           ฟางข้าว มีจํานวนมากในแต่ละครงั ของการเก็บเกียว มี การนาํ ฟางข้าวมาใช้ในงานประดษิ ฐ์ต่าง ๆ เชน่ นําไปยดั เปนไส้ แทนนนุ่ ในหมอนขิดรูปสามเหลียม ทาํ ตะกร้า พวงหรีด หนุ่ ฟาง นก มงุ หลงั คากนั แดด เปนตน้ 13

มะพรา้ ว ในประเทศไทย สามารถปลูกมะพร้าวได้เกอื บ ทุกจังหวดั แต่บริเวณทีมีการเพาะปลกู อย่างหนาแน่นคอื บรเิ วณ จังหวดั ทางภาคใต้ มะพรา้ วทปี ลูกในประเทศไทยมีหลายสาย พันธุ์ เช่น มะพร้าวใหญ่ มะพรา้ วกลาง มะพรา้ วหมูสี เปนตน้ มี การนาํ ส่วนต่าง ๆ ของมะพรา้ วมาใช้ใน งานประดิษฐ์ เชน่ กะลามะพร้าวนํามาประดษิ ฐ์ ซออู้ กระบวยตกั นาํ กระปุก ออมสิน ใบสานปลาตะเพียน เปนต้น กลว้ ย เปนไมล้ ม้ ลุกทปี ลูก กนั อย่ทู ัวไปทกุ พืนที พันธุก์ ลว้ ยในประเทศไทยมีหลายชนิด เชน่ กล้วยนาํ ว้า กล้วยตานี กล้วยไข่ เปนต้น ประโยชนข์ องกล้วย นาํ มาใชใ้ น งานประดิษฐ์ เชน่ ใบตองนาํ มาประดิษฐ์ กระทง บายศรี ปอกลว้ ยนาํ มาประดิษฐ์ กระเปา เก้าอี กา้ นกล้วยนํามา ประดษิ ฐ์ของเล่น เชน่ มา้ ก้านกล้วย ปน เปนต้น ผกั ตบชวา เปนพืชนําเจริญเติบโตโดยไม่ตอ้ งยดึ เกาะ แพร่พันธุไ์ ดร้ วดเร็ว และเปนวชั พืชทีสรา้ งความเสียหายใหก้ ับ แม่นาํ ลําคลองอย่างมาก มีผนู้ าํ ผกั ตบชวามาเปนวัสดุใชใ้ นงาน ประดษิ ฐ์ตา่ ง ๆ เชน่ ตะกร้า หมวก ถาดใส่ผลไม้ เปนตน้ 14

กระจูด เปนพืชล้มลกุ จาํ พวกเดียวกับต้นกก ลาํ ตน้ กลม สีเขยี วเข้ม ภายในลาํ ตน้ กลวงเปนปลอ้ ง เมือโตเตม็ ทลี ําตน้ ของ กระจดู จะมเี ส้นผ่าศูนย์กลาง 2-3 เซนตเิ มตร ขนึ อยู่ทุกภาค ของประเทศ แตท่ มี หี นาแนน่ ทางภาคตะวันออกและภาคใต้ ต้น กระจูดนํามาประดิษฐ์เครืองใช้ภายในบา้ นได้หลายชนดิ เชน่ เสือ กระเปา หมวก ของชําร่วย เปนตน้         ยางพารา เปนไมย้ ืนต้นทนี ยิ มปลกู กันมากทางภาคใต้และ ภาคตะวันออก ตน้ ยางพารานอกจากจะให้ประโยชน์ นํา ยางพารา นาํ ไปใช้ประดษิ ฐ์เปน ยางมัดของ ยางลบ ยางรถยนต์ ถงุ มือยาง เปนต้น ตน้ สามารถนํามาแปรรปู เปนเครอื งใชต้ ่าง ๆ เช่น โตะ๊ เก้าอี และใชใ้ บยางพารามานํามาประดิษฐ์ ดอกไม้ต่าง ๆ พวงกญุ แจ เปนตน้ 2. ประเภทสัตว์ ได้แก่           ไหม ไหมเปนเส้นใยทไี ดจ้ ากรงั ไหม ผ้าทีผลิตจากใยไหม มีความสวยงาม มนั หรหู รา ราคาแพง นยิ มนํามาผลิตเปน เสือผ้าและของใช้ตา่ ง ๆ เช่น เสือสูท กระเปา ผ้าพันคอและรงั ไหมนํามาประดษิ ฐ์ ดอกไม้ ตกุ๊ ตา เปนต้น 15

เปลอื กไข่ เปนผลติ ภณั ฑอ์ าหารทีนยิ มบรโิ ภคกนั ทกุ ครวั เรือน เช่น ไขไ่ ก่ ไข่เปด ไขห่ า่ น ไข่นกกระทา และ ไขน่ ก กระจอกเทศ ปจจุบัน มกี ารนาํ เปลอื กไข่มาสร้างเปนสิง ประดิษฐ์ต่าง ๆ มากมายเชน่ นํามาประดษิ ฐ์ ตุ๊กตา ระบายสีลง บนเปลือกไข่ เครืองประดบั       เปลอื กหอย มที ังหอยทะเลและหอยนาํ จดื ซึงมีรูปแบบ สีสัน ขนาดและผวิ แตกตา่ งกันออกไป มกี ารนําเปลอื กหอยมาส ร้างสิงประดษิ ฐ์ตา่ ง ๆ เช่น โคมไฟ พวงกญุ แจ เครอื งแขวน (โมบาย) เครอื งประดับ กรอบรูป เปนตน้ ดนิ ขาว ดินขาวเปนวัตถดุ บิ ทใี ชใ้ นอตุ สาหกรรมเซรามิก ทีนํามาประดษิ ฐ์เปน ถว้ ย ชาม แจกัน และเครืองประดับ เปนตน้           หนิ ก้อนหนิ มีอย่มู ากมายหลายชนดิ แต่ละชนิดมีรปู รา่ ง ลักษณะ สีสันและลวดลายทีสวยงามแตกตา่ งกัน หิน นาํ มา ประดษิ ฐ์เปน ทที ับกระดาษ เครอื งประดบั หนิ แกะสลกั เปนตน้ ทราย ทรายเกิดจากหินทีถูกย่อยเปนเม็ดละเอียด ซงึ หมายถึงทรายทวั ๆไปทเี ราพบเหน็ ตามชายหาด มีการนาํ ทรายมา ใชป้ ระดิษฐ์ตกแตง่ กรอบรูป ผสมปูนทําเปนของเล่นและของใช้ เปนตน้ 16

อญั มณีตา่ งๆ เปนแร่ทมี คี ุณค่าหรือ ลกั ษณะทีเมอื นาํ มาเจยี ระไนหรือขดั มัน แลว้ สวยงาม เปนเครอื งประดับได้ อาจ จะมคี า่ สูงมากนบั ตังแต่ เพชร ทับทิม มรกต สําหรบั ผู้ทีหลงรัก อัญมณหี ลากสี สีมีอทิ ธพิ ลในการสือความหมาย และบคุ ลิกของ ผู้ทีสวมใส่ ดังนันแวดวงเครืองประดบั และนกั ออกแบบจึงผสม ผสานสีสันต่างๆ ออกเปนชินงาน มกี ารนาํ เอาอญั มณสี ีสันหลาก สีเขา้ มาผสมผสานในตวั เรอื นแหวน สร้อย นา ิกา เข็มกลดั เปนต้น 17

วสั ดสุ ังเคราะห์ วสั ดสุ ังเคราะห์หรอื วสั ดทุ ีถกู ปรุงแตง่ ขนึ ใหม่ วสั ดุสังเคราะห์ หรอื วัสดทุ ีถูกปรงุ แต่งขนึ ใหม่ เปนผลติ ภัณฑ์ทางวทิ ยาศาสตร์ ทเี กดิ จากการสังเคราะห์สารเคมหี รือวสั ดุธรรมชาตดิ ว้ ย กรรมวิธตี ่างๆ การนําวัสดุสังเคราะห์ มาใชใ้ นการสรา้ ง ประดษิ ฐ์ผลงาน ควรเลอื กใช้วัสดุทีมรี าคาถกู และหาไดง้ ่ายดงั ตอ่ ไปนี พลาสติก พลาสติก เปนสารสังเคราะห์ประเภทโพลเี ม อร์ มลี กั ษณะออ่ นตวั ในขณะผลติ หรือใชค้ วามรอ้ นทาํ ให้ออ่ นตัว สามารถนาํ ไปหลอ่ อัดหรือฉดี เปนรปู ร่างตา่ ง ๆ เชน่ นํามา ประดิษฐ์ ทอ่ นํา เก้าอี ถงุ ใส่ของ ขวด ถ้วยชาม รถของเล่น ถงั นาํ ลกู ปด กระเบอื งยาง เชอื กไนลอน เปนตน้            กระดาษ กระดาษ เปนวัสดทุ ีสังเคราะหไ์ ด้จากเนือไม้ มี หลายชนิด หลายลกั ษณะ เช่น กระดาษแข็ง กระดาษออ่ น กระดาษเรียบ กระดาษมนั เปนตน้ งานกระดาษทีพบเหน็ กนั ทัวไปได้แก่ กล่อง ภาพประดบั ผนงั กรอบรปู โคมไฟ เปนตน้ 18

เส้นใยสังเคราะห์ เปนเส้นใยทีประดษิ ฐ์ขนึ จากพืชเรยี ก วา่ ใยเซลลูโลสและ เส้นใยทีประดิษฐ์ขึนจากสัตวท์ ีเรยี กว่า ใย โปรตนี รวมทงั จากสารเคมี เส้นใยสังเคราะหม์ ีมากมายหลาย ชนดิ เชน่ อะคลิลกิ โพลีอะไมด์ วินยอน โพลีเอสเตอร์ เปนตน้ เส้นใยทีนยิ มนํามาทําเปนเสือผ้าและเครืองแตง่ กายมหี ลายชนดิ มคี ุณสมบตั ิแตกตา่ งกนั เชน่ ใยโพลอี ะไมด์ นยิ มนํามาทําพรม เตน็ ท์ ผา้ ตดั ชุดชนั ใน ชุดกฬี า รม่ เปนต้น ใยโพลีเอสเตอร์ ไนลอน นิยมนํามาทอผสมกบั ใยฝายนําไปตัดเสือ กระโปรง กางเกง เปนต้น 19

ประโยชนข์ องวสั ดุ สมัยกอ่ นวสั ดุชนิดตา่ งๆยงั มไี ม่มาก มนุษย์ในสมัยนันใช้ วสั ดจุ ากธรรมชาติ เช่น ดนิ หิน เขาสัตว์ กระดูกสัตว์มาทําเปน สิงของเครืองใช้และ ขนสัตว์ หนังสัตว์ ใบไม้ มาทาํ เครืองน่งุ ห่ม ต่อมามนษุ ย์เริมเรยี นรูว้ ธิ ีการนําวสั ดุจากธรรมชาตมิ า ดัดแปลงมากขึน เช่น นาํ ยางมาทาํ ยางรถยนต์ นาํ ฝายมาทอผ้า นาํ สีจากพืชมาทําสีย้อมผา้ หรือสีผสมอาหาร นาํ เยือไมม้ าทาํ กระดาษ นาํ เมล็ดพืชมาสกัดเอานาํ มนั พืช นําดินมาปนเปนหมอ้ กระถ่าง โอ่ง แล้วนําไปเผาในเตาทมี ีอุณหภูมสิ ูงเพือเพิมความ แข็งแรงและให้มคี วามทนทานมากขนึ การคน้ พบวิธกี ารนาํ เหลก็ และโลหะชนิดอืนๆมาทาํ เครอื งใช้ รวมทังแก้วกเ็ ปนวสั ดุทมี นษุ ย์ ทาํ ขึนมาใช้ดว้ ย 20

ประโยชนจ์ ากวสั ดุ (แจกันทาํ จากดนิ เผา) ประโยชน์จากวัสดุ (ธงชาตทิ ําจากผา้ ) 21

ประโยชนจ์ ากวสั ดุ (หมอ้ ทําจากสเตนเลส) 22

บรรณานกุ รม http://krootonwich.com/data-3801.html https://storylog.co/story/5892abaa1577b0be7 2a31fe1 http://119.46.166.126/digitalschool/technology m1-3/inventionm1_1/lesson2/page1.php https://armattad9597.wordpress.com https://sites.google.com/site/hnwykar/home/s mbati-khxng-wasdu/smbati-khxng-wasdu


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook